-
เชื่อมต่อถึงกัน!ตื่นเถิด! 2012 | กุมภาพันธ์
-
-
เชื่อมต่อถึงกัน!
● ขอนึกภาพเหตุการณ์สมมุตินี้. ใคร ๆ ก็บอกว่าแซมเป็นคนล้าสมัย เพราะหลายปีแล้วที่เขาไม่ยอมใช้เทคโนโลยีใหม่ชนิดหนึ่งซึ่งช่วยเขาให้ติดต่อกับครอบครัวและเพื่อน ๆ ได้. ไม่ว่าใครก็อยากใช้เทคโนโลยีนี้ แม้แต่ลูกวัยรุ่นของแซม. แซมพูดหยอกลูกสาววัย 16 ปีว่า “พ่อนึกถึงสมัยก่อนที่เวลาผู้คนจะคุยกันพวกเขาก็จะมาเจอหน้ากัน!”
แต่แล้วแซมเริ่มคิดทบทวนอีกทีหนึ่ง. เขาคิดถึงคนที่ไม่ได้พบหน้าและพูดคุยกันมานานหลายปีแล้ว. เขาคิดถึงคนในครอบครัวที่มีงานยุ่งมากจนรู้สึกเริ่มห่าง ๆ กัน. แซมคิดในใจว่า ‘ถ้าผมอยากติดต่อพูดคุยกับคนเหล่านี้ ผมคงต้องเริ่มใช้วิธีใหม่.’ ขณะนั้นเป็นตอนกลางของศตวรรษที่ 20 ในเขตชนบทของสหรัฐ. ในที่สุด แซมซึ่งใคร ๆ บอกว่าเป็นคนล้าสมัยก็คิดจะใช้โทรศัพท์.
ข้ามมาถึงปี 2012. นาทาน หลานชายของแซมเพิ่งโทรศัพท์คุยกับเพื่อนสนิทชื่อโรเบอร์โตและแองเจลา ซึ่งได้ย้ายไปอยู่อีกซีกโลกหนึ่ง. นาทานพูดกับตัวเองว่า ‘พวกเขาย้ายไปสิบปีแล้วหรือนี่!’ และตกใจที่เวลาผ่านไปเร็วเหลือเกิน.
ในช่วงหลายปีที่ผ่านมา นาทานชอบที่ได้โทรศัพท์พูดคุยเป็นครั้งคราวกับสมาชิกครอบครัวและเพื่อน ๆ ซึ่งย้ายไปอยู่ที่ไกล ๆ. แต่ตอนนี้ดูเหมือนว่า ใคร ๆ ก็ใช้เครือข่ายสังคมออนไลน์ในการติดต่อกัน แม้แต่ลูกวัยรุ่นของนาทานเองก็ตาม.
คนอื่นบอกว่านาทานเป็นคนล้าสมัยเพราะเขาไม่ยอมใช้เทคโนโลยีใหม่ที่ใคร ๆ ก็ใช้กัน. เขาบอกว่า “ผมนึกถึงสมัยก่อนที่เราพูดคุยกับคนอื่นทางโทรศัพท์และได้ยินเสียงของเขา.” แต่ตอนนี้ นาทานเริ่มคิดทบทวนอีกทีหนึ่ง. เขาพูดกับตัวเองว่า ‘ถ้าผมอยากติดต่อคนเหล่านี้ ผมคงต้องเริ่มใช้วิธีใหม่.’
คุณเคยรู้สึกเหมือนนาทานไหม? ธรรมชาติของมนุษย์ชอบติดต่อสื่อความกับคนอื่น. (เยเนซิศ 2:18; สุภาษิต 17:17, ล.ม.) และในปัจจุบันคนจำนวนมากติดต่อสื่อสารกันทางเครือข่ายสังคมออนไลน์. ถ้าอย่างนั้น คุณควรรู้อะไรเกี่ยวกับเทคโนโลยีนี้?
-
-
ทำไมผู้คนนิยม?ตื่นเถิด! 2012 | กุมภาพันธ์
-
-
ทำไมผู้คนนิยม?
คุณติดต่อกับคนอื่นด้วยวิธีใดบ้างในช่วงหนึ่งเดือนที่ผ่านมา?
การพบหน้าพูดคุยกัน
จดหมายหรือการ์ดที่เขียนด้วยมือ
โทรศัพท์
อีเมล
ข้อความทางมือถือ
ข้อความทางอินเทอร์เน็ต
วิดีโอแชต
เว็บเครือข่ายสังคม
ไม่เคยมีทางเลือกมากขนาดนี้มาก่อนในการติดต่อกับคนอื่น และแต่ละทางเลือกก็มีทั้งข้อดีและข้อเสีย. ขอพิจารณาบางตัวอย่าง:
การพบหน้าพูดคุยกัน
ข้อดี: ทำให้เห็นสีหน้า ท่าทาง และน้ำเสียงของอีกฝ่ายหนึ่ง.
ข้อเสีย: คู่สนทนาต้องมาอยู่ด้วยกันจึงจะพูดคุยกันได้.
จดหมายหรือการ์ดที่เขียนด้วยมือ
ข้อดี: ถ่ายทอดความอบอุ่นและความห่วงใย.
ข้อเสีย: ต้องใช้เวลาในการเขียนและการส่ง.
อีเมล
ข้อดี: เขียนและส่งได้อย่างรวดเร็ว.
ข้อเสีย: ถ่ายทอดอารมณ์ความรู้สึกไม่ค่อยได้ หรือทำให้เข้าใจผิดได้ง่าย.
แล้วก็มาถึงเครือข่ายสังคมออนไลน์ซึ่งบางคนบอกว่าเป็นวิธีติดต่อสื่อสารที่ดีที่สุด. มีเว็บเครือข่ายสังคมหลายร้อยเว็บ และเว็บที่นิยมใช้กันมากที่สุดคือเฟซบุ๊ค ซึ่งมีสมาชิกประมาณ 800 ล้านคน! วารสารไทม์ กล่าวว่า “ถ้าเฟซบุ๊คเป็นประเทศ มันจะเป็นประเทศที่ใหญ่เป็นอันดับสามของโลก รองจากจีนและอินเดีย.” เครือข่ายสังคมคืออะไร และทำไมผู้คนจึงนิยมกัน?
เครือข่ายสังคมคือเว็บไซต์ที่เป็นช่องทางให้ผู้ใช้แบ่งปันข้อมูลกับกลุ่มเพื่อนที่เลือกไว้. จีนวัย 21 ปีพูดว่า “เครือข่ายสังคมเป็นวิธีติดต่อที่ดีมาก และช่วยให้แชร์รูปจากการไปเที่ยวหรืองานต่าง ๆ ได้สะดวกมากด้วย.”
ทำไมไม่เขียนจดหมาย? บางคนคงตอบว่า ‘เสียเวลา’ และถ้าจะอัดรูปหลาย ๆ ใบก็แพง. ทำไมไม่โทรศัพท์? ก็เสียเวลาเหมือนกัน เพราะคุณต้องโทรศัพท์ไปหาทีละคน และบางคนไม่อยู่บ้านหรือไม่มีเวลาคุยด้วยตอนที่คุณอยากจะคุย. แล้วอีเมลล่ะ? แดเนียลวัย 20 ปีบ่นว่า “ไม่ค่อยมีใครตอบอีเมลกันแล้ว หรือนานหลายสัปดาห์ กว่าจะตอบ. ในเครือข่ายสังคมออนไลน์ ฉันโพสต์ลงไปว่าทำอะไรอยู่ แล้วเพื่อน ๆ ก็โพสต์ความเห็นเกี่ยวกับสิ่งที่เกิดขึ้นในชีวิตของเขาในวันนั้น. เรารู้ข่าวคราวความเป็นไปของกันและกันทันทีที่เข้าสู่ระบบ. ง่ายจริง ๆ!”
ไม่ได้หมายความว่าเครือข่ายสังคมออนไลน์มีแต่การพูดคุยไร้สาระ. ยกตัวอย่างเมื่อเกิดภัยพิบัติ เช่น แผ่นดินไหวและสึนามิที่ก่อความเสียหายในญี่ปุ่นเมื่อวันที่ 11 มีนาคม 2011 หลายคนเปิดดูเว็บเครือข่ายสังคมเพื่อจะรู้ว่าคนที่เขารักปลอดภัยหรือไม่.
ขอพิจารณาประสบการณ์ของเบนจามิน ซึ่งอยู่ที่สหรัฐ. เขาบอกว่า “หลังจากเกิดสึนามิที่ญี่ปุ่น โทรศัพท์ใช้การไม่ได้. คนรู้จักบอกผมว่าเขาส่งอีเมลไปหาเพื่อนของเราซึ่งอยู่ที่โตเกียว แต่เธอยังไม่ตอบกลับมา. ตอนนั้นเอง ผมใช้โทรศัพท์มือถือเปิดอินเทอร์เน็ตแล้วเข้าไปในหน้าเครือข่ายสังคมของเธอ. แล้วผมก็เห็นข้อความสั้น ๆ ที่เธอโพสต์ไว้บอกว่าเธอไม่เป็นไร และจะอธิบายเรื่องราวภายหลัง.”
เบนจามินพูดเสริมว่า “แล้วผมก็ต้องการติดต่อเพื่อนคนอื่น ๆ ของผมที่รู้จักเธอแต่ไม่ได้ ใช้เครือข่ายสังคม. ผมต้องส่งอีเมลไปหาแต่ละคน. ต้องใช้เวลาเพื่อจะได้ที่อยู่และเขียนไปหาแต่ละคน. พวกเขาตอบกลับมาบ้างในช่วงสองสามวันต่อมา. คนหนึ่งใช้เวลาเกือบสองสัปดาห์กว่าจะตอบ! พวกเขาได้รับอีเมลมากจนตอบไม่ทัน. เราคงประหยัดเวลาได้จริง ๆ ถ้าใช้เครือข่ายสังคม. ทุกคนคงจะรู้ข่าวล่าสุดได้ภายในไม่กี่นาที!”
เห็นได้ชัด เครือข่ายสังคมมีประโยชน์อยู่บ้าง. แต่มีอันตรายไหม? ถ้ามี อันตรายเหล่านั้นคืออะไร และคุณจะเลี่ยงได้อย่างไร?
[กรอบ/ภาพหน้า 5]
การทำงานของเครือข่ายสังคม
1. โพสต์ข้อความที่หน้าแรกของคุณ (อัพเดทสถานะ).
2. ทุกคนที่อยู่ในรายชื่อเพื่อนได้รับข้อความของคุณเมื่อเข้าสู่ระบบแล้วดูที่หน้าแรกของเขา ส่วนคุณก็ได้รับข้อความของเขา เมื่อคุณเข้าสู่ระบบแล้วดูที่หน้าแรกของคุณ.
-
-
คำถามสี่ข้อที่ควรถามเกี่ยวกับเครือข่ายสังคมตื่นเถิด! 2012 | กุมภาพันธ์
-
-
คำถามสี่ข้อที่ควรถามเกี่ยวกับเครือข่ายสังคม
เช่นเดียวกับการใช้งานอินเทอร์เน็ตในด้านอื่นแทบทุกด้าน เครือข่ายสังคมออนไลน์มีอันตรายอยู่ด้วย.a เมื่อคำนึงถึงเรื่องนี้ ขอพิจารณาคำถามเหล่านี้.
1 เครือข่ายสังคมส่งผลต่อความเป็นส่วนตัวของฉันอย่างไร?
“การพูดมากมักมีความผิด; แต่ผู้ที่ยับยั้งริมฝีปากของตนย่อมประพฤติเป็นคนมีปัญญา.”—สุภาษิต 10:19
สิ่งที่คุณควรรู้. ถ้าคุณไม่ระวัง ข้อมูลส่วนตัว รูปภาพ อัพเดทสถานะ (ข้อความสั้นที่ส่งถึงทุกคนในรายชื่อเพื่อน) และความเห็น (ข้อความที่คุณตอบอัพเดทสถานะของคนอื่น) อาจเปิดเผยข้อมูลมากเกินควร. ตัวอย่างเช่น สิ่งเหล่านั้นอาจบอกให้รู้ว่าคุณอาศัยอยู่ที่ไหน คุณอยู่บ้าน (หรือไม่อยู่บ้าน) เวลาใด คุณทำงานที่ไหน หรือเรียนโรงเรียนอะไร. ถ้ามีคนรู้ที่อยู่ของคุณและคุณได้โพสต์สั้น ๆ ไว้ว่า “เราจะไปพักร้อนวันพรุ่งนี้!” ขโมยก็รู้แล้วว่าจะลงมือเมื่อไรและที่ไหน.
การเปิดเผยข้อมูลอื่น ๆ เช่น ที่อยู่อีเมล วันเกิด หรือหมายเลขโทรศัพท์ของคุณ อาจทำให้คุณถูกก่อกวน รังควาน หรือถูกแอบอ้างชื่อ. แต่หลายคนก็พร้อมจะเปิดเผยข้อมูลดังกล่าวในหน้าเครือข่ายสังคมของตน.
ผู้คนมักจะลืมว่าเมื่อนำข้อมูลหรือภาพขึ้นเว็บ ก็ถือว่าได้เปิดเผยสู่สาธารณชนแล้ว. แม้พวกเขาจะกำหนดว่า “เพื่อนเท่านั้น” ที่จะเห็นอัพเดทสถานะของตนได้ แต่พวกเขาไม่อาจควบคุมว่าเพื่อนเหล่านั้นจะทำอะไรกับข้อมูลดังกล่าว. ฉะนั้น สิ่งใดก็ตามที่ถูกนำขึ้นเครือข่ายสังคมแล้วก็ควรถือว่าได้เปิดเผยสู่สาธารณชนหรือจะถูกเปิดเผย ได้ง่าย ๆ.
สิ่งที่คุณทำได้. ทำความคุ้นเคยกับการตั้งค่าความเป็นส่วนตัวในเครือข่ายสังคม และตั้งค่าให้เหมาะสม. เปิดเผยอัพเดทสถานะและรูปภาพของคุณให้เฉพาะคนที่คุณรู้จักและไว้ใจเท่านั้น.
ถึงจะทำเช่นนั้นแล้ว ก็ขอให้ตระหนักว่าสิ่งที่คุณโพสต์ลงไปอาจถูกนำไปเผยแพร่โดยที่คุณไม่ต้องการ. จงตรวจดูหน้าเครือข่ายสังคมของคุณบ่อย ๆ และถามตัวเองว่ามีสิ่งใดไหมซึ่งคุณเปิดเผยและอาจถูกพวกมิจฉาชีพนำไปใช้เพื่อค้นหาที่อยู่หรือขโมยข้อมูลส่วนตัวของคุณ. แม้แต่กับเพื่อนก็อย่าโพสต์ข้อมูลส่วนตัวของคุณเองหรือของคนอื่นที่ไม่ควรเปิดเผย. (สุภาษิต 11:13) ถ้าคุณต้องส่งข้อมูลที่เป็นความลับ ก็ให้ใช้ช่องทางอื่น. หญิงสาวชื่อแคเมอรอนกล่าวว่า “การพูดทางโทรศัพท์มีความเป็นส่วนตัวมากกว่า.”
จุดสำคัญที่ควรจำ. ผู้หญิงชื่อคิมสรุปไว้อย่างดีว่า “ถ้าคุณระวังสิ่งที่ทำในเครือข่ายสังคม คุณจะรักษาความเป็นส่วนตัวได้ในระดับหนึ่ง. ปัญหาจะไม่เกิดขึ้นนอกจากคุณยอมให้มันเกิด.”
2 เครือข่ายสังคมส่งผลต่อเวลาของฉันอย่างไร?
“ให้ท่านทั้งหลายตรวจดูให้แน่ใจว่าสิ่งไหนสำคัญกว่า.”—ฟิลิปปอย 1:10
สิ่งที่คุณควรรู้. คุณอาจใช้เวลากับเครือข่ายสังคมออนไลน์มากเกินไปจนละเลยสิ่งที่สำคัญกว่า. ผู้หญิงชื่อเคย์พูดไว้ว่า “ยิ่งคุณติดต่อกับคนจำนวนมากเท่าไร คุณก็ยิ่งต้องใช้เวลามากเท่านั้น และอาจรู้สึกติดจนเลิกไม่ได้.” ขอพิจารณาคำพูดของบางคนที่บอกว่าเคยเป็นเช่นนั้น.
“เมื่อใช้เว็บเครือข่ายสังคมแล้วก็เลิกยากมาก แม้ว่าจริง ๆ แล้วคุณไม่ค่อยชอบเท่าไรนัก. สิ่งนี้เป็นเหมือนการหมกมุ่น.”—เอลีส
“มีอะไรให้ทำหลายอย่างเหลือเกิน ทั้งเล่นเกม การทดสอบ แฟนเพจนักร้อง ตลอดจนการเปิดเข้าไปดูหน้าข้อมูลของเพื่อน ๆ.”—เบลน
“มันเป็นเหมือนวังวนที่ดูดคุณเข้าไป และคุณไม่รู้ตัวเลยว่าติดกับแล้วจนกระทั่งแม่กลับมาบ้านและถามว่าทำไมไม่ล้างจาน.”—แอนาลีส
“ฉันอยากกลับบ้านเร็วที่สุดเท่าที่เป็นไปได้เพื่อมาดูว่าใครเขียนอะไรเกี่ยวกับโพสต์ของฉันบ้าง. แล้วฉันก็ต้องตอบพวกเขาทุกคนและดูรูปใหม่ ๆ ของพวกเขา. ขณะที่ทำอย่างนั้นฉันจะโมโหง่ายมาก และไม่ชอบให้ใครมารบกวน. บางคนที่ฉันรู้จักอยู่ในระบบเกือบตลอดเวลา แม้แต่ขณะออกไปงานสังสรรค์ที่บ้านของคนอื่นและตอนดึก ๆ ดื่น ๆ!”—เมแกน
สิ่งที่คุณทำได้. เวลาเป็นเหมือนทรัพย์สินที่คุณไม่ควรเสียไปเปล่า ๆ. ดังนั้น คุณน่าจะกำหนดการใช้เวลาในลักษณะเดียวกับการตั้งงบประมาณรายจ่าย. ก่อนอื่น ให้คิดว่าน่าจะใช้เวลากับเครือข่ายสังคมมากเท่าไรจึงจะเหมาะสม แล้วเขียนลงในกระดาษ. จากนั้น บันทึกเวลาที่คุณใช้ในช่วงหนึ่งเดือน และดูซิว่าคุณทำตามความตั้งใจได้มากแค่ไหน. ปรับกำหนดเวลาของคุณถ้าจำเป็น.
ถ้าคุณเป็นพ่อแม่และลูกวัยรุ่นของคุณใช้เวลามากเกินไปกับเครือข่ายสังคมออนไลน์ ให้พยายามหาสาเหตุที่แท้จริง. ตัวอย่างเช่น แนนซี อี. วิลลาร์ด เขียนในหนังสือเล่มหนึ่ง (Cyber-Safe Kids Cyber-Savvy Teens) ว่าการใช้เครือข่ายสังคมมากเกินไปอาจเกี่ยวข้องกับความวิตกกังวล ความเครียด และการประเมินค่าตัวเองต่ำ. เธอเขียนว่า “วัยรุ่นหลายคนเป็นห่วงฐานะทางสังคมของตัวเองมาก. ถ้าวัยรุ่นประเมินค่าตัวเองโดยอาศัยการติดต่อสื่อสารทางอิเล็กทรอนิกส์กับเพื่อน ๆ พวกเขาก็อาจติดได้.”
อย่ายอมให้เครือข่ายสังคมออนไลน์หรือสิ่งใดก็ตามมาขวางกั้นสายสัมพันธ์ที่คุณควรมีกับคนในครอบครัว. ดอน แทปสกอตต์เขียนในหนังสือเติบโตในยุคดิจิตอล (ภาษาอังกฤษ) ว่า “เรื่องน่าแปลกอย่างหนึ่งของอินเทอร์เน็ตคือ แม้ว่ามันอาจทำให้สมาชิกในครอบครัวติดต่อกันง่ายขึ้นเมื่ออยู่ไกลกัน แต่มันกลับทำให้พวกเขาเหินห่างกันเมื่ออยู่ด้วยกันที่บ้าน.”
จุดสำคัญที่ควรจำ. เด็กสาวชื่อเอมิลีบอกว่า “หนูคิดว่าเครือข่ายสังคมเป็นวิธีที่ดีมากในการติดต่อกับคนอื่น. แต่เช่นเดียวกับสิ่งอื่น ๆ คุณจำเป็นต้องรู้ว่าเมื่อไรควรจะหยุด.”
3 เครือข่ายสังคมส่งผลต่อชื่อเสียงของฉันอย่างไร?
“น่าจะเลือกชื่อเสียงดีมากกว่าเลือกทรัพย์สมบัติ; และมีคนนับถือก็ดีกว่ามีเงินทองอีก.”—สุภาษิต 22:1
สิ่งที่คุณควรรู้. สิ่งที่คุณโพสต์ในเครือข่ายสังคมทำให้คุณมีชื่อเสียงในทางใดทางหนึ่งซึ่งอาจเปลี่ยนแปลงได้ยาก. (สุภาษิต 20:11; มัดธาย 7:17) หลายคนดูเหมือนไม่รู้ถึงอันตรายนี้. หญิงสาวคนหนึ่งชื่อราเคลพูดว่า “ดูเหมือนเวลาที่คนใช้เครือข่ายสังคม พวกเขาจะลืมนึกถึงเหตุผล. พวกเขาพูดสิ่งที่ปกติแล้วจะไม่พูด. บางคนไม่รู้ตัวว่าแค่การโพสต์สิ่งที่ไม่เหมาะสมลงไปครั้งเดียว ชื่อเสียงที่ดีของพวกเขาก็เสียไป.”
ถ้าชื่อเสียงของคุณเสียไปเนื่องจากการใช้เครือข่ายสังคม นั่นก็อาจส่งผลกระทบระยะยาวได้. หนังสือเติบโตในยุคดิจิตอล กล่าวว่า “มีเรื่องราวของผู้คนจำนวนมากที่ต้องตกงานหรือไม่ถูกรับเข้าทำงานเพราะสิ่งที่พวกเขาโพสต์ในเครือข่ายสังคม.”
สิ่งที่คุณทำได้. ดูหน้าเครือข่ายสังคมของคุณเองและพยายามดูจากมุมมองของคนอื่น. ถามตัวเองต่อไปนี้: ‘ฉันอยากให้คนอื่นมองว่าฉันเป็นคนแบบนี้จริง ๆ หรือ? ถ้ามีใครดูรูปภาพที่ฉันโพสต์ไว้และต้องพรรณนาบุคลิกภาพของฉันตามที่เขาเห็น พวกเขาจะพรรณนาอย่างไร? “คนเจ้าชู้” ไหม? “ยั่วยวน” ไหม? “นักเที่ยวปาร์ตี” ไหม? ฉันอยากให้นายจ้างมองว่าฉันเป็นคนอย่างนั้นไหมถ้าต้องไปสมัครงาน? รูปภาพเหล่านี้แสดงตัวตนที่แท้จริงของฉันไหม?’
ถ้าคุณเป็นเยาวชน ถามตัวเองว่า ‘จะว่าอย่างไรถ้าพ่อแม่ ครู หรือผู้ใหญ่ที่ฉันนับถือดูหน้าเครือข่ายสังคมของฉัน? ฉันจะอายไหม?’
จุดสำคัญที่ควรจำ. ในเรื่องชื่อเสียงของคุณ ขอให้จำคำของอัครสาวกเปาโลไว้ที่ว่า “ใครหว่านอะไรก็จะเก็บเกี่ยวสิ่งนั้น.”—กาลาเทีย 6:7
4 เครือข่ายสังคมส่งผลต่อมิตรภาพของฉันอย่างไร?
“คนที่คบกับคนมีปัญญาจะมีปัญญา แต่คนที่คบกับคนโง่จะเดือดร้อน.” —สุภาษิต 13:20, ล.ม.
สิ่งที่คุณควรรู้. เพื่อนมีอิทธิพลต่อวิธีที่คุณคิดและทำ. (1 โครินท์ 15:33) ดังนั้น คุณควรเลือกให้ดีว่าจะเป็นเพื่อนกับใครในเครือข่ายสังคม. บางคนตอบรับคำขอเป็นเพื่อนของใครต่อใครหลายสิบหรือหลายร้อยคน ทั้ง ๆ ที่ไม่ค่อยรู้จักหรือไม่รู้จักเลยด้วยซ้ำ. ส่วนบางคนพบว่าไม่ใช่ทุกคนในรายชื่อเพื่อนเป็นคนที่น่าคบ. ขอพิจารณาสิ่งที่บางคนพูด.
“ถ้าใครยอมเป็นเพื่อนกับทุกคน เขาจะมีปัญหาแน่ ๆ.”—แอนาลีส
“หลายคนที่ฉันรู้จักยอมเพิ่มคนซึ่งจริง ๆ แล้วเขาไม่ต้องการจะเป็นเพื่อนด้วย แต่เขาบอกว่าไม่อยากทำให้คนอื่นเสียใจถ้าจะเมินเฉยคำขอของคนเหล่านั้น.”—ลีแอนน์
“เรื่องนี้ก็เหมือนการคบหากับพวกเขาจริง ๆ. คุณต้องคอยดูให้ดีว่าจะให้ใครเป็นเพื่อน.”—อะเล็กซิส
สิ่งที่คุณทำได้. กำหนดหลักเกณฑ์ว่าจะรับใครเป็นเพื่อน. ตัวอย่างเช่น บางคนได้วางข้อจำกัดในเรื่องเพื่อนดังนี้:b
“ฉันยอมเป็นเพื่อนกับคนที่ฉันรู้จักดีเท่านั้น ไม่ใช่แค่รู้จักอย่างผิวเผิน.”—จีน
“ฉันเป็นเพื่อนกับคนที่ฉันรู้จักมาเป็นเวลานานแล้วเท่านั้น. ฉันไม่เคยเพิ่มคนที่ไม่รู้จักเป็นเพื่อน.”—โมนิก
“ฉันอยากเพิ่มคนที่ฉันรู้จักดีเป็นเพื่อนเท่านั้น ซึ่งเป็นคนที่ฉันรู้ว่ามีมาตรฐานเดียวกับฉัน.”—เร
“ถ้าฉันได้รับคำขอเป็นเพื่อนจากคนที่ฉันไม่รู้จัก ฉันจะไม่สนใจคำขอนั้น. ฉันตัดสินใจเรื่องนี้ได้ง่ายมาก. เพื่อนทุกคนของฉันเป็นคนที่ฉันรู้จักและเป็นเพื่อนในชีวิตจริง อยู่แล้ว.”—มารี
“ถ้าเพื่อนคนหนึ่งเริ่มโพสต์ภาพหรือข้อความที่ฉันรับไม่ได้ ฉันไม่ตะขิดตะขวงใจเลยที่จะลบเขาออกจากรายชื่อเพื่อน. แม้ว่าคุณแค่ดูโพสต์ของเขา นั่นก็เป็นการคบหาที่ไม่ดี.”—คิม
“ตอนที่ฉันมีบัญชีผู้ใช้เครือข่ายสังคม ฉันตั้งค่าความเป็นส่วนตัวไว้เข้มงวดมาก. ฉันไม่ยอมให้เพื่อนของเพื่อนเห็นโพสต์หรือรูปภาพของฉัน มีแต่เพื่อนของฉันเท่านั้นที่เห็นได้. ที่ทำอย่างนี้เพราะฉันไม่แน่ใจว่าเพื่อนของเพื่อนเป็นคนที่น่าคบด้วยหรือไม่. ฉันไม่รู้จักพวกเขา หรือชื่อเสียงของพวกเขา.”—เฮเทอร์
จุดสำคัญที่ควรจำ. แพทย์หญิงเกว็นน์ ชูร์กิน โอคีฟฟ์เขียนในหนังสือไซเบอร์เซฟ ว่า “แนวทางที่ดีที่สุดคือการเป็นเพื่อนกับคนที่คุณรู้จักและเป็นเพื่อนอยู่แล้วในชีวิตจริง.”c
[เชิงอรรถ]
a ตื่นเถิด! ไม่ได้สนับสนุนหรือตำหนิเครือข่ายสังคมเว็บใดเว็บหนึ่ง. คริสเตียนควรแน่ใจว่าการใช้อินเทอร์เน็ตของตนไม่ได้ละเมิดหลักการของคัมภีร์ไบเบิล.—1 ติโมเธียว 1:5, 19
b ในบทความนี้ เราพิจารณาเพื่อนในชีวิตส่วนตัว ไม่ใช่ผู้ร่วมงานทางธุรกิจ.
c สำหรับข้อมูลเพิ่มเติมเกี่ยวกับเครือข่ายสังคม โปรดดูตื่นเถิด! ฉบับเดือนกรกฎาคม 2011 หน้า 24-27 และฉบับเดือนสิงหาคม 2011 หน้า 10-13.
[กรอบหน้า 8]
ออกจากระบบ!
ถ้าคุณเข้าสู่ระบบและปล่อยทิ้งไว้อย่างนั้นโดยที่คุณไม่อยู่ คุณก็เสี่ยงต่อการที่คนอื่นจะโพสต์บางสิ่งในหน้าของคุณ. ทนายความคนหนึ่งชื่อโรเบิร์ต วิลสันกล่าวว่า นั่น “เท่ากับการวางกระเป๋าสตางค์หรือโทรศัพท์มือถือทิ้งไว้ในที่สาธารณะ. ใคร ๆ ก็อาจโพสต์สิ่งใดก็ตามบนกระดานข้อความของคุณ.” เขาแนะนำอย่างไร? “อย่าลืมออกจากระบบ.”
[กรอบหน้า 8]
หาเรื่องเดือดร้อนหรือ?
การสำรวจในนิตยสารคอนซูเมอร์ รีพอร์ต เผยว่าผู้ใช้เครือข่ายสังคมออนไลน์หลายคน “ทำสิ่งที่เสี่ยงซึ่งอาจทำให้เขาถูกโจรกรรม ถูกแอบอ้างชื่อ และถูกสะกดรอย. สิบห้าเปอร์เซ็นต์โพสต์ว่าขณะนั้นเขาอยู่ที่ไหนหรือวางแผนจะเดินทางไปที่ไหน 34 เปอร์เซ็นต์เปิดเผยวันเดือนปีเกิดอย่างครบถ้วน และ 21 เปอร์เซ็นต์ของคนที่มีลูกอยู่บ้านได้โพสต์ชื่อและรูปถ่ายของลูก.”
-