-
คุณจะมีฐานะเช่นไรเมื่ออยู่ต่อหน้าบัลลังก์พิพากษา?หอสังเกตการณ์ 1995 | ตุลาคม 15
-
-
คุณจะมีฐานะเช่นไรเมื่ออยู่ต่อหน้าบัลลังก์พิพากษา?
“เมื่อบุตรมนุษย์เสด็จมาด้วยสง่าราศีของพระองค์ พร้อมด้วยหมู่ทูตสวรรค์ทั้งสิ้น ครั้นแล้วพระองค์จะทรงประทับบนราชบัลลังก์อันรุ่งโรจน์ของพระองค์.”—มัดธาย 25:31, ล.ม.
1-3. พวกเรามีเหตุผลอะไรที่จะมองในแง่ดีเกี่ยวกับความยุติธรรม?
‘มีความผิดหรือไม่มีความผิด?’ หลายคนรู้สึกสงสัยเมื่อเขาได้ฟังรายงานคำตัดสินบางคดีในศาล. ผู้พิพากษาและคณะลูกขุนอาจพยายามเป็นคนซื่อตรง ทว่าความยุติธรรมชนะเสมอไปไหม? คุณเคยได้ยินมามิใช่หรือเกี่ยวกับความอยุติธรรมและฉันทาคติในขบวนการพิจารณาคดี? ความอยุติธรรมเช่นนั้นไม่ใช่เรื่องใหม่ ดังเราได้เรียนจากอุทาหรณ์ของพระเยซูในพระธรรมลูกา 18:1-8.
2 ไม่ว่าประสบการณ์อะไรก็ตามที่คุณได้พบเห็นเกี่ยวกับความอยุติธรรมของมนุษย์ ขอให้สังเกตข้อสรุปของพระเยซูที่ว่า “พระเจ้าจะไม่ทรงแก้แค้นให้คนที่พระองค์ได้ทรงเลือกไว้หรือ. เมื่อเขาร้องถึงพระองค์ทั้งกลางวันกลางคืน . . . เราบอกท่านทั้งหลายว่า, พระองค์จะทรงแก้แค้นให้เขาโดยเร็ว แต่เมื่อบุตรมนุษย์จะมา. ท่านจะพบความเชื่อในแผ่นดินโลกหรือ.”
3 ใช่แล้ว พระยะโฮวาจะทรงคอยดูแลว่า ในที่สุดผู้รับใช้ของพระองค์ต้องได้รับความยุติธรรม. พระเยซูทรงมีส่วนเกี่ยวข้องอยู่ด้วย โดยเฉพาะเวลานี้เนื่องจากพวกเรากำลังอยู่ใน “สมัยสุดท้าย” แห่งระบบปัจจุบันที่ชั่ว. อีกไม่นาน พระยะโฮวาจะทรงใช้พระบุตรผู้ทรงอานุภาพให้ขจัดความชั่วหมดสิ้นจากแผ่นดินโลก. (2 ติโมเธียว 3:1, ล.ม.; 2 เธซะโลนิเก 1:7, 8; วิวรณ์ 19:11-16) เราสามารถได้ความหยั่งเห็นเข้าใจบทบาทของพระเยซูจากอุทาหรณ์เรื่องแกะและแพะ ซึ่งเป็นหนึ่งในจำนวนอุทาหรณ์เรื่องท้าย ๆ ของพระองค์.
4. พวกเราได้เข้าใจว่าอุทาหรณ์เรื่องแกะและแพะจะสำเร็จเมื่อไร แต่ทำไมเวลานี้เราจะมุ่งความสนใจไปที่อุทาหรณ์? (สุภาษิต 4:18)
4 พวกเราเคยเข้าใจมานานแล้วว่า อุทาหรณ์เรื่องนี้แสดงภาพพระเยซูประทับลงบนบัลลังก์ฐานะเป็นกษัตริย์ในปีสากลศักราช 1914 และทรงดำเนินงานพิพากษาตัดสินตั้งแต่นั้นมา—ให้ชีวิตนิรันดร์แก่ประชาชนที่พิสูจน์ตัวเสมือนแกะ และความตายตลอดกาลสำหรับจำพวกแพะ. แต่การพิจารณาอุทาหรณ์อย่างละเอียดอีกทีหนึ่งชี้ไปถึงความเข้าใจที่รับการแก้ไขเกี่ยวกับกำหนดเวลาและนัยของอุทาหรณ์. การปรับปรุงความเข้าใจนี้เสริมความสำคัญของงานประกาศเผยแพร่และความหมายของการตอบรับของประชาชน. ที่จะทราบพื้นฐานสำหรับความเข้าใจที่ลึกซึ้งมากขึ้นเรื่องอุทาหรณ์นี้ ให้เราพิจารณาสิ่งที่คัมภีร์ไบเบิลแสดงให้เห็นเกี่ยวด้วยพระยะโฮวาและพระเยซู ทั้งในฐานะพระมหากษัตริย์และผู้พิพากษา.
พระยะโฮวาทรงเป็นผู้พิพากษาสูงสุด
5, 6. เหตุใดจึงนับว่าเหมาะสมที่จะคำนึงถึงพระยะโฮวาฐานะทั้งองค์บรมมหากษัตริย์และผู้พิพากษา?
5 พระยะโฮวาทรงปกครองทั่วทั้งเอกภพด้วยอำนาจเหนือสิ่งสารพัด. เนื่องจากไม่มีเบื้องต้นและเบื้องปลาย พระองค์ทรงเป็น “พระมหากษัตริย์แห่งนิรันดรกาล.” (1 ติโมเธียว 1:17, ล.ม.; บทเพลงสรรเสริญ 90:2, 4; วิวรณ์ 15:3) พระองค์ทรงมีอำนาจออกพระราชบัญญัติหรือกฎหมาย และทรงดำเนินการให้เป็นไปตามข้อกฎหมายเหล่านี้. แต่อำนาจของพระองค์หมายรวมถึงการเป็นผู้พิพากษาด้วย. ยะซายา 33:22 (ล.ม. ฉบับแปลเก่าข้อ 23) บอกดังนี้: “พระยะโฮวาทรงเป็นผู้พิพากษาของเรา พระยะโฮวาทรงเป็นผู้บัญญัติกฎหมายของเรา พระยะโฮวาทรงเป็นพระมหากษัตริย์ของเรา พระองค์เองจะช่วยเราให้รอด.”
6 เหล่าผู้รับใช้ของพระเจ้าได้ยอมรับมานานแล้วว่า พระยะโฮวาทรงเป็นผู้พิพากษาตัดสินคดีและประเด็นต่าง ๆ. ยกตัวอย่าง หลังจาก “ผู้พิพากษาทั้งโลก” ได้พิจารณาหลักฐานความชั่วร้ายของเมืองโซโดมและเมืองโกโมร์ราห์แล้ว พระองค์ทรงตัดสินชาวเมืองเหล่านั้นว่าสมควรถูกทำลาย ทั้งทรงดำเนินการให้เป็นไปตามการตัดสินที่เป็นธรรม. (เยเนซิศ 18:20-33; โยบ 34:10-12) เรื่องนี้น่าจะทำให้เรามั่นใจเพียงไรที่รู้ว่าพระยะโฮวาทรงเป็นผู้พิพากษาที่ชอบธรรม ผู้ทรงสามารถดำเนินงานให้เป็นไปตามการตัดสินชี้ขาดของพระองค์ได้ทุกกรณี.
7. พระยะโฮวาได้ปฏิบัติหน้าที่ผู้พิพากษาอย่างไรเมื่อทรงดำเนินการกับชาติยิศราเอล?
7 สมัยยิศราเอลโบราณ บางครั้งพระยะโฮวาทรงพิพากษาตัดสินโดยตรง. หากคุณอยู่สมัยนั้น คุณคงรู้สึกโล่งใจมิใช่หรือเมื่อรู้ว่าผู้พิพากษาองค์สมบูรณ์พร้อมทรงตัดสินเรื่องราวต่าง ๆ? (เลวีติโก 24:10-16; อาฤธโม 15:32-36; 27:1-11) อนึ่ง พระเจ้าทรงจัดให้มี “ข้อพิพากษา” ซึ่งล้วนแต่ดีเพื่อใช้เป็นมาตรฐานในการตัดสินชี้ขาด. (เลวีติโก 25:18, 19; นะเฮมยา 9:13; บทเพลงสรรเสริญ 19:9, 10; 119:7, 75, 164; 147:19, 20) พระองค์ทรงเป็น “ผู้พิพากษาทั้งโลก” เหตุฉะนั้น พวกเราทุกคนได้รับผลกระทบ.—เฮ็บราย 12:23.
8. ดานิเอลได้เห็นภาพนิมิตอะไรที่เกี่ยวข้องกับเรื่องนี้?
8 พวกเรามี “ประจักษ์พยาน” เกี่ยวกับเรื่องนี้. ผู้พยากรณ์ดานิเอลได้รับภาพนิมิตสัตว์ร้ายซึ่งเป็นภาพเล็งถึงรัฐบาลต่าง ๆ หรือจักรวรรดิ. (ดานิเอล 7:1-8, 17) ท่านเพิ่มเติมว่า “มีพระที่นั่งมาตั้งลงหลายพระที่, และผู้ทรงพระชนม์แต่เบื้องบรรพ์ทรงประทับลง. ฉลองพระองค์ขาวดังหิมะ.” (ดานิเอล 7:9) พึงสังเกตว่า ดานิเอลได้เห็นหลายพระที่นั่ง “และผู้ทรงพระชนม์แต่เบื้องบรรพ์ [พระยะโฮวา] ทรงประทับลง.” ถามตัวเองสิว่า ‘ตอนนั้นดานิเอลเป็นพยานรู้เห็นพระเจ้าขึ้นปกครองเป็นกษัตริย์ไหม?’
9. อะไรคือความหมายอย่างหนึ่งของ ‘การประทับลง’ บนบัลลังก์? จงยกตัวอย่าง.
9 เมื่อเราอ่านว่าบางคน “ประทับลง” บนพระที่นั่ง เราอาจคิดถึงการที่ผู้นั้นได้ขึ้นครองราชย์ เพราะบางครั้งคัมภีร์ไบเบิลได้ใช้คำพูดดังกล่าว. ยกตัวอย่าง: “พอซิมรีขึ้นเสวยราชย์และประทับบนพระที่นั่ง . . . ” (1 กษัตริย์ 16:11; 2 กษัตริย์ 10:30; 15:12; ยิระมะยา 33:17) คำพยากรณ์ที่กล่าวถึงพระมาซีฮาบอกดังนี้: “ท่าน . . . จะได้นั่งประทับอยู่เหนือพระที่นั่งของท่าน.” ฉะนั้น ที่จะ “ประทับอยู่เหนือพระที่นั่ง” อาจหมายถึงการขึ้นครองเป็นกษัตริย์. (ซะคาระยา 6:12, 13) มีการพรรณนาว่าพระยะโฮวาเป็นกษัตริย์ทรงประทับบนราชบัลลังก์. (1 กษัตริย์ 22:19; ยะซายา 6:1; วิวรณ์ 4:1-3) พระองค์ทรงเป็น “พระมหากษัตริย์แห่งนิรันดรกาล.” ถึงกระนั้น เมื่อพระองค์ทรงแถลงแง่มุมใหม่เกี่ยวด้วยพระบรมเดชานุภาพ จึงอาจกล่าวได้ว่าพระองค์ทรงขึ้น ครองเป็นพระมหากษัตริย์อีก ราวกับว่าประทับลงบนพระที่นั่งของพระองค์อีกคำรบหนึ่ง.—1 โครนิกา 16:1, 31; ยะซายา 52:7; วิวรณ์ 11:15-17; 15:3; 19:1, 2, 6.
10. พระกรณียกิจสำคัญของกษัตริย์ชาติยิศราเอลได้แก่อะไร? จงให้ตัวอย่าง.
10 แต่นี่คือจุดสำคัญ: พระกรณียกิจสำคัญของบรรดากษัตริย์ในสมัยโบราณได้แก่ การพิจารณาคดีฟ้องร้องและดำเนินการตัดสิน. (สุภาษิต 29:14) ขอให้นึกถึงการตัดสินอย่างชาญฉลาดของซะโลโมเมื่อหญิงสองคนต่างก็ขอร้องตามสิทธิเพื่อจะได้ลูกน้อยคนเดียวกัน. (1 กษัตริย์ 3:16-28; 2 โครนิกา 9:8) ตึกทำการหนึ่งของซะโลโมคือ “ระเบียง . . . บนบัลลังก์สำหรับจะได้ทรงพิพากษา” เรียกอีกชื่อหนึ่งว่า “ระเบียงสำหรับการพิพากษา.” (1 กษัตริย์ 7:7) ยะรูซาเลมได้รับการพรรณนาเป็นนครซึ่ง “พระที่นั่งสำหรับพิพากษาตั้งอยู่ที่นั่น.” (บทเพลงสรรเสริญ 122:5) เห็นได้ชัดว่า ‘การนั่งพิพากษาบนพระที่นั่ง’ อาจหมายถึงการใช้อำนาจหน้าที่พิจารณาคดีได้เหมือนกัน.—เอ็กโซโด 18:13; สุภาษิต 20:8.
11, 12. (ก) อะไรคือความหมายของการประทับลงของพระยะโฮวา ดังกล่าวในดานิเอลบท 7? (ข) ข้อคัมภีร์อื่น ๆ ยืนยันอย่างไรว่า พระยะโฮวาประทับลงบนราชบัลลังก์เพื่อพิพากษา?
11 ตอนนี้ให้เรากลับไปยังฉากที่ดานิเอลได้เห็น ‘ผู้ทรงพระชนม์แต่เบื้องบรรพ์ทรงประทับลง.’ ดานิเอล 7:10 กล่าวต่อไปว่า “การพิจารณาพิพากษาก็เริ่มขึ้น, แล้วบรรดาสมุดทั้งหลายถูกเปิดกางออก.” ใช่แล้ว ผู้ทรงพระชนม์แต่เบื้องบรรพ์ทรงประทับเพื่อดำเนินการพิจารณาตัดสินเรื่องอำนาจการปกครองโลก และทรงตัดสินให้บุตรมนุษย์เหมาะสมคู่ควรกับการปกครอง. (ดานิเอล 7:13, 14) แล้วเราอ่านว่า “พระผู้ทรงพระชนม์อยู่แต่เบื้องบรรพ์ได้เสด็จมา และตั้งศาลพิจารณาตัดสิน มอบรัชชแก่เหล่าผู้บริสุทธิ์แห่งพระเจ้าผู้สูงสุดนั้น” คือคนเหล่านั้นที่ถูกตัดสินว่าเหมาะที่จะปกครองร่วมกับบุตรมนุษย์. (ดานิเอล 7:22) ในที่สุด “ก็จะตั้งศาลพิจารณาตัดสิน” และตัดสินให้มหาอำนาจสุดท้ายของโลกต้องรับผลร้าย.—ดานิเอล 7:26.a
12 เหตุฉะนั้น ที่ดานิเอลได้เห็นพระเจ้า “ประทับบนพระที่นั่ง” จึงหมายถึงการเสด็จมาของพระองค์เพื่อจะพิพากษา. ดาวิดเองก็เคยร้องสดุดีมาก่อนว่า “พระองค์ [พระยะโฮวา] ได้ทรงโปรดพยุงเหตุการณ์และความสัตย์ธรรมของข้าพเจ้า; พระองค์ทรงประทับบนพระที่นั่งทรงพิพากษาโดยยุติธรรม.” (บทเพลงสรรเสริญ 9:4, 7) และโยเอลเขียนไว้ว่า “ให้นานาประเทศพากันตื่นเต้น, และมายังหุบเขาแห่งการพิพากษา; ด้วยว่าในที่นั่นเราจะนั่งพิพากษาบรรดาชาวนานาประเทศที่อยู่ล้อมรอบ.” (โยเอล 3:12; เทียบกับยะซายา 16:5) ทั้งพระเยซูและเปาโลต่างก็ตกอยู่ในสภาพที่ต้องให้การแก้คดี ซึ่งผู้นั่งพิจารณาพิพากษาและตัดสินชี้ขาดเป็นมนุษย์.b—โยฮัน 19:12-16; กิจการ 23:3; 25:6.
ตำแหน่งของพระเยซู
13, 14. (ก) ไพร่พลของพระเจ้ามีคำรับรองอะไรที่ว่าพระเยซูจะได้เป็นกษัตริย์? (ข) พระเยซูประทับลงบนราชบัลลังก์ของพระองค์เมื่อไร และพระองค์ทรงปกครองในแง่ไหนตั้งแต่ปีสากลศักราช 33 เป็นต้นมา?
13 พระยะโฮวาทรงเป็นทั้งพระมหากษัตริย์และผู้พิพากษา. แล้วพระเยซูล่ะ? ทูตสวรรค์ซึ่งประกาศการประสูติของพระองค์กล่าวว่า “พระเจ้า [พระยะโฮวา, ล.ม.] จะประทานพระที่นั่งของดาวิดบิดาของท่านให้แก่ท่าน . . . และแผ่นดินของท่านจะไม่รู้สิ้นสุดเลย.” (ลูกา 1:32, 33) พระเยซูจะเป็นรัชทายาทนิรันดร์แห่งราชวงศ์ดาวิด. (2 ซามูเอล 7:12-16) พระองค์จะทรงปกครองจากสวรรค์ เพราะกษัตริย์ดาวิดตรัสว่า “คำตรัสของพระยะโฮวาถึงองค์พระผู้เป็นเจ้า [พระเยซู] ของข้าพเจ้ามีว่า: ‘จงนั่งเบื้องขวาพระหัตถ์ของเรา จนกว่าเราจะทำให้ศัตรูของเจ้าเป็นม้ารองเท้าของเจ้า.’ พระยะโฮวาจะทรงส่งไม้ธารพระกรแห่งอำนาจของท่านออกจากเมืองซีโอนโดยตรัสว่า: ‘จงออกไปปราบในท่ามกลางศัตรูของเจ้า.’”—บทเพลงสรรเสริญ 110:1-4, ล.ม.
14 นั่นจะเป็นเมื่อไร? พระเยซูไม่ได้ปกครองเป็นกษัตริย์ขณะที่เป็นมนุษย์. (โยฮัน 18:33-37) ปีสากลศักราช 33 พระองค์สิ้นพระชนม์, ได้รับการปลุกคืนพระชนม์, และเสด็จสู่สวรรค์. เฮ็บราย 10:12 แจ้งดังนี้: “ฝ่ายพระองค์นี้, ครั้นทรงกระทำบูชาเพราะความบาปเพียงหนเดียวซึ่งใช้ได้เป็นนิตย์, ก็เสด็จนั่งเบื้องขวาพระหัตถ์ของพระเจ้า.” พระเยซูทรงมีอำนาจอะไร? “[พระเจ้า] ทรงให้พระองค์ [พระเยซู] นั่ง ณ เบื้องขวาพระหัตถ์ของพระองค์ในสวรรค์, สูงยิ่งเหนือการปกครอง เหนืออำนาจ เหนือฤทธิ์ เหนือตำแหน่งผู้เป็นนาย . . . และทรงตั้งพระองค์เป็นประมุขเหนือสิ่งสารพัดแห่งประชาคม.” (เอเฟโซ 1:20-22, ล.ม.) เนื่องจากเวลานั้น พระเยซูได้รับอำนาจปกครองคริสเตียนเยี่ยงกษัตริย์อยู่แล้ว เปาโลจึงสามารถเขียนได้ว่า พระยะโฮวา “ได้ทรงช่วยเราทั้งหลายให้พ้นจากอำนาจแห่งความมืด, และได้ทรงย้ายเรามาตั้งไว้ในแผ่นดินแห่งพระบุตรที่รักของพระองค์.”—โกโลซาย 1:13; 3:1.
15, 16. (ก) เหตุใดเราจึงพูดว่า พระเยซูไม่ได้เป็นกษัตริย์แห่งราชอาณาจักรของพระเจ้าในปีสากลศักราช 33? (ข) พระเยซูเริ่มปกครองราชอาณาจักรของพระเจ้าเมื่อไร?
15 อย่างไรก็ตาม เวลานั้นพระเยซูไม่ได้ทำหน้าที่เป็นกษัตริย์และผู้พิพากษาเหนือนานาชาติ. พระองค์ได้ประทับบนพระที่นั่งเคียงข้างพระเจ้า รอเวลาปฏิบัติหน้าที่ฐานะเป็นกษัตริย์ในราชอาณาจักรของพระเจ้า. เปาโลเขียนเกี่ยวกับพระองค์ดังนี้: “ทูตสวรรค์องค์ไหนเล่าที่พระองค์ได้ตรัสแก่เขาในเวลาใดว่า, จงนั่งเบื้องขวาหัตถ์ของเรา กว่าเราจะปราบศัตรูของท่านลงใต้เท้าท่าน?”—เฮ็บราย 1:13.
16 พยานพระยะโฮวาได้ตีพิมพ์หลักฐานมากมายว่าช่วงการคอยของพระเยซูมาสิ้นสุดลงในปี 1914 เมื่อพระองค์ได้รับการสถาปนาเป็นกษัตริย์แห่งราชอาณาจักรของพระเจ้าในสวรรค์อันไม่ประจักษ์. วิวรณ์ 11:15, 18 (ล.ม.) กล่าวดังนี้: “อาณาจักรของโลกได้กลายเป็นราชอาณาจักรขององค์พระผู้เป็นเจ้าของเราและของพระคริสต์ของพระองค์ และพระองค์จะทรงปกครองเป็นกษัตริย์ตลอดไปเป็นนิตย์.” “แต่ชาติต่าง ๆ ได้โกรธแค้น และพระพิโรธของพระองค์เองก็มาถึง.” เป็นจริงเช่นนั้น นานาชาติแสดงความโกรธแค้นต่อกันระหว่างสงครามโลกครั้งที่หนึ่ง. (ลูกา 21:24) สงครามในที่ต่าง ๆ, แผ่นดินไหว โรคระบาด การขาดแคลนอาหาร และอื่น ๆ ทำนองนี้ ซึ่งเราได้รู้เห็นเรื่อยมาตั้งแต่ปี 1914 เป็นข้อยืนยันว่า บัดนี้พระเยซูทรงปกครองราชอาณาจักรของพระเจ้า และอวสานของโลกคืบใกล้เข้ามาทุกขณะ.—มัดธาย 24:3-14.
17. จนถึงบัดนี้ เราได้จุดสำคัญอะไรบ้าง?
17 ต่อไปนี้เป็นการทบทวนโดยย่อ: กล่าวได้ว่าพระเจ้าทรงประทับบัลลังก์ฐานะพระมหากษัตริย์ กระนั้น อีกแง่หนึ่ง พระองค์ประทับลงบนราชบัลลังก์เพื่อพิจารณาพิพากษา. ปีสากลศักราช 33 พระเยซูประทับ ณ เบื้องขวาพระหัตถ์พระเจ้า และขณะนี้พระองค์ทรงเป็นกษัตริย์แห่งราชอาณาจักร. ทว่าพระเยซูที่ทรงครองราชย์เป็นกษัตริย์ในขณะนี้ปฏิบัติหน้าที่เป็นผู้พิพากษาด้วยหรือ? และเหตุใดเราจึงสนใจเรื่องดังกล่าว โดยเฉพาะเวลานี้?
18. มีพยานหลักฐานอะไรที่แสดงว่า พระเยซูจะทรงเป็นผู้พิพากษาด้วย?
18 พระยะโฮวาผู้ทรงมีสิทธิอันชอบธรรมในการแต่งตั้งผู้พิพากษา ได้เลือกพระเยซูเป็นผู้พิพากษาที่บรรลุมาตรฐานของพระองค์. พระเยซูทรงแสดงให้เห็นจุดนี้เมื่อตรัสถึงเรื่องผู้คนที่เข้ามามีชีวิตฝ่ายวิญญาณว่า “พระบิดามิได้ทรงพิพากษาผู้ใดเลย แต่พระองค์ได้ทรงมอบการพิพากษาทั้งสิ้นไว้กับพระบุตร.” (โยฮัน 5:22, ล.ม.) แต่บทบาทของพระเยซูในการพิจารณาตัดสินครอบคลุมไกลกว่านั้น เนื่องจากพระองค์จะทรงพิพากษาทั้งคนเป็นและคนตาย. (กิจการ 10:42; 2 ติโมเธียว 4:1) คราวหนึ่งเปาโลได้ประกาศว่า “พระองค์ [พระเจ้า] ได้ทรงกำหนดวันหนึ่งไว้ ประสงค์จะพิพากษาแผ่นดินโลกที่มีผู้คนอาศัยอยู่ด้วยความชอบธรรมโดยบุรุษผู้หนึ่ง [พระเยซู] ซึ่งพระองค์ได้ทรงแต่งตั้งไว้ และพระองค์ให้หลักประกันแก่คนทั้งปวงโดยที่พระองค์ได้ทรงปลุกท่านผู้นั้นเป็นขึ้นจากตาย.”—กิจการ 17:31, ล.ม.; บทเพลงสรรเสริญ 72:2-7.
19. เหตุใดเป็นการถูกต้องที่พูดถึงพระเยซูว่าทรงประทับลงฐานะเป็นผู้พิพากษา?
19 ดังนั้น ชอบด้วยเหตุผลไหมที่เราจะสรุปว่า พระเยซูประทับบนพระที่นั่งอันรุ่งโรจน์ ในบทบาทผู้พิพากษาโดยเฉพาะ? ใช่แล้ว. พระเยซูตรัสแก่เหล่าอัครสาวกว่า “ในการสร้างใหม่ เมื่อบุตรมนุษย์ประทับลงที่ราชบัลลังก์อันรุ่งโรจน์ของพระองค์ พวกท่านที่ได้ติดตามเรามาจะนั่งบนบัลลังก์สิบสองบัลลังก์ด้วย พิพากษา อิสราเอลสิบสองตระกูล.” (มัดธาย 19:28, ล.ม.) ถึงแม้ขณะนี้พระเยซูทรงเป็นกษัตริย์แห่งราชอาณาจักร ราชกิจขั้นต่อไปของพระองค์ตามที่กล่าวในมัดธาย 19:28 จะรวมถึงการประทับบัลลังก์ดำเนินงานพิพากษาตลอดรัชสมัยพันปี. ในเวลานั้นพระองค์จะพิพากษามวลมนุษย์ ทั้งคนชอบธรรมและไม่ชอบธรรม. (กิจการ 24:15) นับว่าเป็นประโยชน์ที่จะจำเรื่องนี้อยู่เสมอ ขณะที่เรามุ่งความสนใจไปที่อุทาหรณ์ของพระเยซูซึ่งเกี่ยวโยงมาถึงยุคของเราและชีวิตของเรา.
อุทาหรณ์ว่าอย่างไร?
20, 21. อัครสาวกของพระเยซูได้ทูลถามเรื่องอะไรเกี่ยวโยงมาถึงสมัยของเรา นำไปสู่คำถามอะไร?
20 ไม่นานก่อนพระเยซูสิ้นพระชนม์ เหล่าอัครสาวกได้ทูลถามพระองค์ดังนี้: “ขอโปรดบอกข้าพเจ้าทั้งหลายเถอะว่า สิ่งเหล่านี้จะเกิดขึ้นเมื่อไร และจะมีอะไรเป็นสัญลักษณ์แห่งการประทับของพระองค์และช่วงอวสานของระบบ?” (มัดธาย 24:3, ล.ม.) พระเยซูตรัสพยากรณ์ถึงเหตุการณ์บนแผ่นดินโลกที่ส่อความหมาย ก่อน “อวสานจะมาถึง.” ไม่นานก่อนอวสานนั้น ชาติต่าง ๆ “จะเห็นบุตรมนุษย์เสด็จมาบนเมฆแห่งฟ้าสวรรค์ด้วยฤทธิ์และสง่าราศีเป็นอันมาก.”—มัดธาย 24:14, 29, 30, ล.ม.
21 แต่ผู้คนในชาติเหล่านั้นจะได้รับการปฏิบัติอย่างไรเมื่อบุตรมนุษย์เสด็จมาด้วยสง่าราศี? ให้เราหาคำตอบจากอุทาหรณ์ว่าด้วยแกะและแพะ ซึ่งเริ่มต้นด้วยถ้อยคำว่า “เมื่อบุตรมนุษย์เสด็จมาด้วยสง่าราศีของพระองค์ พร้อมด้วยหมู่ทูตสวรรค์ทั้งสิ้น ครั้นแล้วพระองค์จะทรงประทับลงบนราชบัลลังก์อันรุ่งโรจน์ของพระองค์. และชาติทั้งปวงจะถูกรวบรวมเข้ามาเฉพาะพระพักตร์พระองค์.”—มัดธาย 25:31, 32, ล.ม.
22, 23. จุดสำคัญอะไรแสดงว่า อุทาหรณ์เรื่องแกะและแพะหาได้เริ่มสำเร็จเป็นจริงเมื่อปี 1914 ไม่?
22 อุทาหรณ์เรื่องนี้นำมาใช้กับช่วงที่พระเยซูเสด็จประทับด้วยขัตติยอำนาจในปี 1914 ได้ไหมดังที่เราเข้าใจมานานแล้ว? มัดธาย 25:34 กล่าวถึงพระองค์ฐานะเป็นกษัตริย์ ดังนั้นอุทาหรณ์เรื่องนี้ใช้ได้อย่างเหมาะสมตั้งแต่พระเยซูรับการสถาปนาเป็นกษัตริย์ปี 1914. แต่พระองค์ได้ทรงพิพากษาอะไรไม่นานหลังจากนั้น? ไม่ใช่การพิพากษา “ชาติทั้งปวง.” แทนที่จะเป็นอย่างนั้น พระองค์ทรงใฝ่พระทัยต่อคนเหล่านั้นที่อ้างตัวว่าได้ประกอบกันเป็น “ราชนิเวศของพระเจ้า.” (1 เปโตร 4:17, ล.ม.) สอดคล้องกับมาลาคี 3:1-3 พระเยซูในฐานะเป็นทูตของพระยะโฮวาจึงดำเนินการตรวจตราพิพากษาคริสเตียนผู้ถูกเจิมที่ยังเหลืออยู่บนแผ่นดินโลก. อนึ่ง เป็นเวลาที่จะตัดสินคริสต์ศาสนจักรด้วย ซึ่งได้อ้างอย่างผิด ๆ ว่าเป็น “ราชนิเวศของพระเจ้า.”c (วิวรณ์ 17:1, 2; 18:4-8) แต่ไม่มีข้อบ่งชี้ใด ๆ ว่าในปีนั้นหรือตั้งแต่ปี 1914 พระเยซูได้ประทับเพื่อพิพากษาผู้คนแห่งชาติทั้งปวง ในลักษณะเด็ดขาดว่าเขาเป็นแกะหรือแพะ.
23 ถ้าเราวิเคราะห์กิจกรรมของพระเยซูจากอุทาหรณ์นั้นก็เห็นว่าพระองค์ทรงดำเนินการขั้นสุดท้ายพิพากษาชาติทั้งปวง. อุทาหรณ์ไม่ได้ระบุว่า การพิพากษาดังกล่าวจะต่อเนื่องเนิ่นนานหลายปี ประหนึ่งทุกคนที่ตายระหว่างหลายสิบปีหลังนี้ถูกพิพากษาให้ตายตลอดไป หรือสมควรได้ชีวิตนิรันดร์. ดูเหมือนคนส่วนใหญ่ซึ่งตายช่วงหลายสิบปีหลังนี้อยู่ในหลุมฝังศพทั่วไป. (วิวรณ์ 6:8; 20:13) กระนั้น อุทาหรณ์ให้ภาพแสดงเวลาที่พระเยซูพิพากษาผู้คนแห่ง “ชาติทั้งปวง” ซึ่งมีชีวิตอยู่ในเวลานั้นและเผชิญการสำเร็จโทษตามการพิพากษาของพระองค์.
24. อุทาหรณ์เรื่องแกะและแพะจะสำเร็จเป็นจริงเมื่อไร?
24 พูดอีกนัยหนึ่ง อุทาหรณ์นั้นชี้ถึงกาลภายหน้าเมื่อบุตรมนุษย์จะเสด็จมาด้วยสง่าราศีอันรุ่งโรจน์ของพระองค์. พระองค์จะประทับลงบนพระที่นั่งพิพากษาผู้คนที่มีชีวิตอยู่ในเวลานั้น. การพิพากษาของพระองค์จะยึดเอาตามที่เขาได้แสดงตนว่าเป็นคนชนิดใด. ตอนนั้น “ความแตกต่างระหว่างคนชอบธรรมและคนชั่ว” จะประจักษ์ชัด. (มาลาคี 3:18) การประกาศคำพิพากษาและการสำเร็จโทษจะเสร็จสิ้นภายในเวลาจำกัด. พระเยซูจะทรงพิพากษาอย่างเป็นธรรม โดยอาศัยสิ่งที่ปรากฏชัดเกี่ยวกับแต่ละตัวบุคคล.—ดู 2 โกรินโธ 5:10 ด้วย.
25. มัดธาย 25:31 แสดงภาพอะไรเมื่อกล่าวถึงบุตรมนุษย์ประทับลงบนราชบัลลังก์อันรุ่งโรจน์?
25 ทั้งนี้หมายความว่า ‘การประทับลงบนราชบัลลังก์อันรุ่งโรจน์’ ของพระองค์เพื่อพิพากษา ตามที่กล่าวในมัดธาย 25:31 หมายถึงกาลเบื้องหน้า เมื่อมหากษัตริย์ผู้ทรงอานุภาพองค์นี้จะประทับลงทรงพิจารณาตัดสินและสำเร็จโทษประชาชาติ. ใช่แล้ว ฉากการพิพากษาซึ่งมีพระเยซูเกี่ยวข้องด้วยในมัดธาย 25:31-33, 46 เปรียบได้กับฉากเหตุการณ์ในพระธรรมดานิเอลบท 7 ซึ่งที่นั่นพระมหากษัตริย์องค์ทรงราชย์ ผู้ทรงพระชนม์แต่เบื้องบรรพ์ ทรงประทับลงเพื่อปฏิบัติหน้าที่ผู้พิพากษาให้สำเร็จ.
26. ปรากฏว่ามีคำอธิบายใหม่อะไรเกี่ยวด้วยอุทาหรณ์นี้?
26 การเข้าใจอุทาหรณ์ว่าด้วยแกะและแพะในแนวนี้บ่งชี้ว่า การพิจารณาตัดสินแกะและแพะนั้นจะเกิดขึ้นในอนาคต. จะเกิดขึ้นหลังจาก “ความทุกข์ลำบาก” ที่กล่าวถึงในมัดธาย 24:29, 30 ปะทุขึ้น และบุตรมนุษย์ ‘เสด็จมาด้วยสง่าราศีของพระองค์.’ (เทียบกับมาระโก 13:24-26.) ครั้นแล้ว เมื่อระบบชั่วทั้งหมดมาถึงจุดอวสาน พระเยซูจะทรงออกนั่งบัลลังก์พิจารณาคดีและตัดสินและสำเร็จโทษ.—โยฮัน 5:30; 2 เธซะโลนิเก 1:7-10.
27. เราน่าจะให้ความสนใจต่อเรื่องใดเมื่อเข้าใจเรื่องราวในอุทาหรณ์สุดท้ายของพระเยซู?
27 ทั้งนี้ทำให้เราได้รับความเข้าใจชัดเจนเกี่ยวกับเวลาที่อุทาหรณ์ของพระเยซูจะสำเร็จ ซึ่งแสดงให้เห็นเวลาที่แกะและแพะจะถูกพิพากษา. แต่เรื่องนี้มีผลกระทบพวกเราอย่างไรซึ่งขณะนี้ทำงานเผยแพร่ข่าวดีเรื่องราชอาณาจักรด้วยความกระตือรือร้น? (มัดธาย 24:14) ความเข้าใจใหม่นี้ทำให้งานประกาศของเรามีความสำคัญน้อยลงไหม หรือทำให้เราต้องรับผิดชอบมากขึ้น? ให้เราพิจารณาในบทความต่อจากนี้ว่าเราได้รับผลกระทบอย่างไร?
-
-
ชนเยี่ยงแกะและแพะจะมีอนาคตแบบไหน?หอสังเกตการณ์ 1995 | ตุลาคม 15
-
-
ชนเยี่ยงแกะและแพะจะมีอนาคตแบบไหน?
“พระองค์จะทรงแยกผู้คนออกจากกันเหมือนผู้เลี้ยงแกะแยกแกะออกจากแพะ.”—มัดธาย 25:32, ล.ม.
1, 2. ทำไมเราควรสนใจอุทาหรณ์เรื่องแกะและแพะ?
พระเยซูคริสต์ทรงเป็นครูที่ใหญ่ยิ่งจริง ๆ บนแผ่นดินโลก. (โยฮัน 7:46) วิธีสอนของพระองค์อย่างหนึ่งคือการใช้อุทาหรณ์ หรือตัวอย่างเปรียบเทียบ. (มัดธาย 13:34, 35) อุทาหรณ์เหล่านี้เรียบง่าย แต่ก็เต็มด้วยพลังในการถ่ายทอดความจริงด้านวิญญาณและในเชิงพยากรณ์.
2 ในอุทาหรณ์เรื่องแกะและแพะ พระเยซูทรงชี้ถึงสมัยซึ่งพระองค์จะกระทำหน้าที่ในตำแหน่งพิเศษ: “เมื่อบุตรมนุษย์เสด็จมาด้วยสง่าราศีของพระองค์ และ. . . . ” (มัดธาย 25:31, ล.ม.) เราน่าจะสนใจในเรื่องนี้เพราะเป็นอุทาหรณ์ที่พระเยซูทรงจบคำตอบต่อคำถามที่ว่า “จะมีอะไรเป็นสัญลักษณ์แห่งการประทับของพระองค์และช่วงอวสานของระบบนี้?” (มัดธาย 24:3, ล.ม.) แต่เรื่องนี้หมายถึงอะไรสำหรับพวกเรา?
3. ก่อนหน้าในคำชี้แจงของพระองค์ พระเยซูตรัสว่าอะไรจะเกิดขึ้นทันทีภายหลังการเริ่มต้นของความทุกข์ลำบากครั้งใหญ่?
3 พระเยซูทรงพยากรณ์ถึงเหตุการณ์โดดเด่นที่จะเกิดขึ้น “ทันทีหลังจาก” ความทุกข์ลำบากครั้งใหญ่ปะทุขึ้น ซึ่งเป็นเหตุการณ์ที่เราเฝ้าคอย. พระองค์ตรัสว่า ครั้นแล้ว “สัญลักษณ์แห่งบุตรมนุษย์” จะปรากฏ. ทั้งนี้ย่อมส่งผลกระทบอย่างใหญ่หลวงต่อ “ตระกูลทั้งปวงแห่งแผ่นดินโลก” ซึ่งจะ “เห็นบุตรมนุษย์เสด็จมาบนเมฆแห่งฟ้าสวรรค์ด้วยฤทธิ์และสง่าราศีเป็นอันมาก.” บุตรมนุษย์จะเสด็จพร้อมด้วย “เหล่าทูตสวรรค์ของพระองค์.” (มัดธาย 24:21, 29-31, ล.ม.)a อุทาหรณ์เรื่องแกะและแพะล่ะเป็นอย่างไร? คัมภีร์ไบเบิลฉบับปัจจุบันได้เอาอุทาหรณ์นี้เข้าไว้ในบท 25 แต่ก็เป็นส่วนแห่งคำตอบของพระเยซู เป็นการให้รายละเอียดมากขึ้นเกี่ยวกับการเสด็จของพระองค์ด้วยสง่าราศี และรวมจุดอยู่ที่การพิพากษา “บรรดาชนนานาชาติ.”—มัดธาย 25:32, ล.ม.
บุคคลต่าง ๆ ในอุทาหรณ์
4. เริ่มต้นอุทาหรณ์เรื่องแกะและแพะ มีการกล่าวอะไรเกี่ยวด้วยพระเยซู และได้พูดถึงใครอีก?
4 พระเยซูเริ่มอุทาหรณ์ดังนี้: “เมื่อบุตรมนุษย์เสด็จมา.” คุณก็คงรู้ว่า “บุตรมนุษย์” หมายถึงใคร. ผู้เขียนกิตติคุณมักจะใช้ถ้อยคำนี้หมายถึงพระเยซู. แม้แต่พระเยซูเองทรงใช้ถ้อยคำนี้หมายถึงพระองค์ ไม่ต้องสงสัย พระองค์คงนึกถึงนิมิตของดานิเอลที่ว่า “ผู้หนึ่งรูปร่างดังบุตรของมนุษย์” เข้ามาหาผู้ทรงพระชนม์แต่เบื้องบรรพ์เพื่อจะรับมอบ “รัชช, และเกียรติยศและอาณาจักร.” (ดานิเอล 7:13, 14; มัดธาย 26:63, 64; มาระโก 14:61, 62) แม้ว่าพระเยซูเป็นตัวเอกในอุทาหรณ์เรื่องนี้ แต่ก็ไม่เฉพาะพระองค์เพียงลำพัง. ตอนต้นของคำเทศน์นี้ ดังที่มีเขียนไว้ที่มัดธาย 24:30, 31 พระองค์ตรัสว่า เมื่อบุตรมนุษย์ ‘เสด็จมาด้วยอำนาจและสง่าราศีเป็นอันมาก,’ ทูตสวรรค์ของพระองค์จะมีบทบาทสำคัญ. คล้ายคลึงกัน อุทาหรณ์เรื่องแกะและแพะแสดงให้เห็นพวกทูตสวรรค์อยู่กับพระเยซูเมื่อพระองค์ ‘ทรงประทับลงบนราชบัลลังก์อันรุ่งโรจน์ของพระองค์’ เพื่อดำเนินงานพิพากษา. (เทียบกับมัดธาย 16:27.) แต่ผู้พิพากษาองค์นี้พร้อมด้วยเหล่าทูตสวรรค์ของพระองค์อยู่ในสวรรค์ ดังนั้น มีการกล่าวถึงมนุษย์ในอุทาหรณ์เรื่องนี้ไหม?
5. เราจะชี้ตัว “พี่น้อง” ของพระเยซูได้อย่างไร?
5 เพียงแต่ดูอุทาหรณ์ชั่วแวบก็เห็นว่า มีบุคคลสามกลุ่มที่เราต้องรู้จัก. นอกจากแกะและแพะแล้ว บุตรมนุษย์เพิ่มกลุ่มที่สามเข้ามาซึ่งเอกลักษณ์ของกลุ่มนี้เป็นหลักสำคัญที่จะช่วยระบุชนจำพวกแกะและจำพวกแพะ. พระเยซูเรียกกลุ่มที่สามนี้เป็นพี่น้องของพระองค์ฝ่ายวิญญาณ. (มัดธาย 25:40, 45) พวกเขาต้องเป็นผู้นมัสการแท้ เพราะพระเยซูตรัสว่า “ผู้ใดจะกระทำตามพระทัยพระบิดาของเรา . . . ผู้นั้นแหละเป็นพี่น้องชายหญิงและมารดาของเรา.” (มัดธาย 12:50; โยฮัน 20:17) ยิ่งตรงจุดมากขึ้น เปาโลเขียนไปถึงคริสเตียนผู้ซึ่งเป็นส่วนแห่ง “พงศ์พันธุ์ของอับราฮาม” และเป็นเหล่าบุตรทั้งหลายของพระเจ้า. เปาโลเรียกคนเหล่านี้ว่า “พวกพี่น้อง” ของพระเยซู และ “ผู้เข้าส่วนด้วยกันในการทรงเรียกซึ่งมาจากสวรรค์.”—เฮ็บราย 2:9–3:1; ฆะลาเตีย 3:26, 29.
6. ใครคือ “ผู้เล็กน้อย” ในหมู่พี่น้องของพระเยซู?
6 ทำไมพระเยซูตรัสถึง “ผู้เล็กน้อยที่สุด” ในบรรดาพี่น้องของพระองค์? ถ้อยคำเหล่านี้สะท้อนสิ่งที่พวกอัครสาวกได้ยินพระองค์ตรัสก่อนหน้านี้. เมื่อเปรียบเทียบกับโยฮันบัพติศโต ซึ่งได้ตายไปก่อนพระเยซู และจึงมีความหวังทางแผ่นดินโลก กับคนที่จะได้ชีวิตทางภาคสวรรค์ พระเยซูตรัสดังนี้: “ในบรรดาคนซึ่งบังเกิดมานั้น, ไม่มีผู้ใดใหญ่กว่าโยฮันบัพติศโต, แต่ว่าผู้ที่เล็กน้อยในแผ่นดินสวรรค์ก็ใหญ่กว่าโยฮันอีก.” (มัดธาย 11:11) บางคนที่จะไปสวรรค์อาจเคยมีชื่อเสียงในประชาคม เช่นเหล่าอัครสาวก และคนอื่นซึ่งไม่สู้จะมีชื่อเสียง แต่พวกเขาทุกคนล้วนเป็นพี่น้องของพระเยซูฝ่ายวิญญาณ. (ลูกา 16:10; 1 โกรินโธ 15:9; เอเฟโซ 3:8; เฮ็บราย 8:11) ดังนั้น แม้ดูเหมือนว่าบางคนไม่สู้จะเด่นดังบนแผ่นดินโลก แต่พวกเขาเป็นพี่น้องของพระองค์และน่าจะได้รับการปฏิบัติอย่างสมควรแก่ฐานะ.
ใครคือแกะและแพะ?
7, 8. พระเยซูตรัสอะไรเกี่ยวกับแกะ ดังนั้นเราจะสรุปเรื่องของเขาได้อย่างไร?
7 เราอ่านเกี่ยวกับการพิพากษาแกะดังนี้: “ขณะนั้นพระมหากษัตริย์ [พระเยซู] จะตรัสแก่บรรดาผู้ที่อยู่เบื้องขวาว่า, ‘ท่านทั้งหลายที่ได้รับพระพรจากพระบิดาของเรา. จงมารับเอาแผ่นดินซึ่งได้ตระเตรียมไว้สำหรับท่านทั้งหลายตั้งแต่แรกสร้างโลก. เพราะว่าเมื่อเราอยากอาหารท่านก็ได้จัดหาให้เรากิน, เรากระหายน้ำท่านก็ได้ให้เราดื่ม, เราเป็นแขกแปลกหน้าท่านก็ได้ต้อนรับเราไว้, เราเปลือยกายท่านก็ได้ให้เสื้อผ้าเรานุ่งห่ม, เมื่อเราเจ็บท่านก็ได้มาเยี่ยมเรา, เมื่อเราต้องจำอยู่ในพันธนาคารท่านก็ได้มาหาเรา.’ เวลานั้นบรรดาผู้ชอบธรรม จะกราบทูลว่า, ‘พระองค์เจ้าข้า. ที่ข้าพเจ้าเห็นพระองค์ทรงอยากพระกระยาหารหรือทรงกระหายน้ำและได้จัดมาถวายแก่พระองค์แต่เมื่อไร? ที่ข้าพเจ้าได้เห็นพระองค์ทรงเป็นแขกแปลกหน้าและได้ต้อนรับไว้. หรือเปลือยพระกายและได้สวมฉลองพระองค์ให้แต่เมื่อไร? ที่ข้าพเจ้าเห็นพระองค์ทรงประชวรหรือต้องจำอยู่ในพันธนาคาร, และได้มาเฝ้าพระองค์นั้นแต่เมื่อไร?’ แล้วพระมหากษัตริย์จะตรัสแก่เขาว่า, ‘เราบอกท่านทั้งหลายตามจริงว่า, ซึ่งท่านได้กระทำแก่ผู้เล็กน้อยที่สุดคนหนึ่งในพวกพี่น้องของเรานี้, ก็เหมือนท่านได้กระทำแก่เราด้วย.’”—มัดธาย 25:34-40.
8 เป็นที่ชัดแจ้งแล้วว่า แกะที่ถูกตัดสินว่าสมควรจะอยู่เบื้องขวาของพระเยซูหมายถึงมนุษย์พวกหนึ่ง. (เอเฟโซ 1:20; เฮ็บราย 1:3) พวกเขาได้ทำอะไรบ้าง และทำเมื่อไร? พระเยซูตรัสว่า ด้วยความกรุณา, เคารพยำเกรง, และมีน้ำใจโอบอ้อมอารี พวกเขาได้ให้อาหาร, น้ำดื่ม, เครื่องนุ่งห่ม, ได้ให้การเกื้อหนุนเมื่อพระองค์ป่วยหรืออยู่ในคุก. ครั้นแกะบอกว่าตนไม่ได้ทำการเหล่านี้แก่พระองค์โดยตรง พระองค์ชี้แจงว่า พวกเขาได้สนับสนุนพี่น้องฝ่ายวิญญาณของพระองค์ คือชนที่เหลือจำพวกคริสเตียนผู้ถูกเจิม ฉะนั้น กล่าวในแง่นั้นก็เหมือนกับว่า พวกเขากระทำแก่พระองค์
9. เหตุใดอุทาหรณ์เรื่องนี้ไม่สำเร็จสมจริงในสมัยหนึ่งพันปี?
9 อุทาหรณ์เรื่องนี้ใช่ว่าจะสำเร็จระหว่างสมัยพันปี เพราะผู้ถูกเจิมจะไม่อยู่ในสภาพมนุษย์ที่ต้องทนลำบากเนื่องจากหิว, กระหายน้ำ, เจ็บป่วย, หรือติดคุก. อย่างไรก็ตาม ผู้ถูกเจิมหลายคนได้ประสบความยากลำบากดังกล่าวระหว่างช่วงอวสานแห่งระบบนี้. ตั้งแต่ซาตานถูกขับลงมาอยู่ที่แผ่นดินโลก มันมุ่งเป้าไปยังชนที่เหลืออย่างโกรธแค้น ทำให้พวกเขาถูกเยาะเย้ย, รับการทรมาน, และเสียชีวิต.—วิวรณ์ 12:17.
10, 11. (ก) เหตุใดไม่เป็นไปตามเหตุผลที่จะคิดว่า ทุกคนที่ทำดีต่อพี่น้องของพระเยซูย่อมถูกนับรวมเข้าอยู่ในจำพวกแกะ? (ข) พวกแพะหมายถึงใครอย่างเหมาะเจาะ?
10 พระเยซูตรัสว่า ทุกคนที่แสดงความกรุณาเล็กน้อยต่อพี่น้องคนหนึ่งของพระองค์ เป็นต้นว่า ให้ขนมปังแผ่นหนึ่งหรือน้ำแก้วหนึ่งก็มีสิทธิจะอยู่ในจำพวกแกะอย่างนั้นไหม? เป็นความจริง การแสดงความกรุณาเช่นนั้นอาจสะท้อนถึงความกรุณาของมนุษย์ แต่จริง ๆ แล้ว ดูเหมือนยังมีอีกมากที่เกี่ยวข้องกับแกะในอุทาหรณ์นี้. เพื่อให้ตัวอย่าง พระเยซูคงไม่ได้พาดพิงถึงนักอเทวนิยมหรือนักเทศน์นักบวชแน่ ๆ ผู้ซึ่งบังเอิญได้แสดงความกรุณาต่อพี่น้องคนหนึ่งของพระองค์. ตรงกันข้าม พระเยซูทรงเรียกแกะว่า “ผู้ชอบธรรม” ถึงสองครั้ง. (มัดธาย 25:37, 46) ดังนั้น แกะจึงต้องเป็นพวกที่ได้ให้การช่วยเหลืออยู่ช่วงเวลาหนึ่ง—ให้การสนับสนุนอย่างแข็งขัน—แก่บรรดาพี่น้องของพระคริสต์และได้แสดงความเชื่อถึงขีดที่ได้รับฐานะชอบธรรมต่อพระพักตร์พระเจ้า.
11 ตลอดเวลาหลายศตวรรษมีหลายคน อาทิ อับราฮาม มีฐานะที่ชอบธรรม. (ยาโกโบ 2:21-23) โนฮา, อับราฮาม, และผู้ซื่อสัตย์คนอื่น ๆ ถูกนับอยู่ในจำพวก “แกะอื่น” ผู้ซึ่งจะได้รับชีวิตอยู่ในอุทยานภายใต้ราชอาณาจักรของพระเจ้า. เมื่อไม่นานมานี้ มีหลายล้านคนได้ยึดเอาการนมัสการแท้ในฐานะแกะอื่น และเข้ามารวมเป็น “ฝูงเดียว” กับผู้ถูกเจิม. (โยฮัน 10:16; วิวรณ์ 7:9) คนเหล่านี้ที่มีความหวังทางแผ่นดินโลกได้ยอมรับพี่น้องของพระเยซูฐานะราชทูตราชอาณาจักร และจึงให้การช่วยเหลือพวกเขา—ทั้งในความหมายตามตัวอักษรและด้านวิญญาณ. พระเยซูทรงถือว่าสิ่งที่แกะอื่นกระทำต่อพี่น้องของพระองค์ทางแผ่นดินโลกเสมือนหนึ่งได้กระทำต่อพระองค์. บุคคลดังกล่าวซึ่งมีชีวิตอยู่ขณะที่พระองค์เสด็จมาพิพากษาชนนานาชาติจะถูกตัดสินให้อยู่ในจำพวกแกะ.
12. เหตุใดชนจำพวกแกะอาจถามว่า โดยวิธีใดเขาได้แสดงความกรุณาต่อพระเยซู?
12 ถ้าแกะอื่นทำการเผยแพร่ข่าวดีร่วมกับผู้ถูกเจิม และช่วยเหลือพวกเขาอยู่แล้วเวลานี้ ทำไมแกะอื่นจึงถามว่า “พระองค์เจ้าข้า. ที่ข้าพเจ้าเห็นพระองค์ทรงอยากพระกระยาหารหรือทรงกระหายน้ำและได้จัดมาถวายแก่พระองค์แต่เมื่อไร?” (มัดธาย 25:37) อาจมีเหตุผลหลายอย่าง. นี่คืออุทาหรณ์. โดยทางอุทาหรณ์ พระเยซูทรงแสดงถึงความห่วงใยอย่างลึกซึ้งต่อพี่น้องฝ่ายวิญญาณของพระองค์ พระองค์ทรงร่วมรู้สึกกับเขา ร่วมทนทุกข์กับเขา. พระเยซูตรัสก่อนหน้านี้แล้วว่า “ผู้ที่รับท่านก็รับเรา, ผู้ที่รับเราก็รับพระองค์ที่ทรงใช้เรามา.” (มัดธาย 10:40) ในอุทาหรณ์เรื่องนี้ พระเยซูทรงขยายหลักการ โดยแสดงให้เห็นว่าสิ่งที่ทำ (ไม่ว่าดีหรือร้าย) ต่อพี่น้องของพระองค์ส่งผลไปถึงสวรรค์ด้วยซ้ำ ประหนึ่งเป็นการกระทำแก่พระองค์ในสวรรค์เลยทีเดียว. อนึ่ง ในที่นี้พระเยซูทรงตอกย้ำมาตรฐานการตัดสินของพระยะโฮวา ทำให้ชัดเจนว่า การตัดสินของพระยะโฮวาไม่ว่าด้วยการเห็นดีเห็นชอบหรือตัดสินลงโทษ ย่อมถูกต้องและยุติธรรม. ฝ่ายแพะไม่อาจแก้ตัวได้ว่า ‘ถ้าเราได้เห็นพระองค์โดยตรง เราจะทำดีแก่พระองค์.’
13. เหตุใดชนจำพวกแพะอาจเรียกพระเยซูว่า “พระองค์เจ้าข้า”?
13 ครั้นเราได้เข้าใจแล้วว่าการพิจารณาตัดสินตามที่แสดงไว้ในอุทาหรณ์นี้จะเกิดขึ้นเมื่อไร เราก็มองเห็นภาพชัดเจนยิ่งขึ้นว่าใครคือแพะ. ความสำเร็จเป็นจริงคือเมื่อ “สัญลักษณ์แห่งบุตรมนุษย์จะปรากฏในฟ้าสวรรค์ และครั้นแล้วตระกูลทั้งปวงแห่งแผ่นดินโลก จะทุบตีตัวเองด้วยความคร่ำครวญ และเขาทั้งหลายจะเห็นบุตรมนุษย์เสด็จมา . . . ด้วยฤทธิ์และสง่าราศีเป็นอันมาก.” (มัดธาย 24:29, 30, ล.ม.) ผู้ที่ผ่านพ้นความทุกข์ลำบากครั้งใหญ่ต่อบาบูโลนใหญ่ ผู้ซึ่งเคยปฏิบัติกับพี่น้องของพระคริสต์โดยเจตนาร้าย มาบัดนี้ อาจเรียกพระเยซูเป็น “องค์พระผู้เป็นเจ้า” ด้วยหวังจะเอาตัวรอด.—มัดธาย 7:22, 23; เทียบกับวิวรณ์ 6:15-17.
14. พระเยซูจะพิจารณาตัดสินแกะและแพะโดยอาศัยหลักเกณฑ์อะไร?
14 อย่างไรก็ตาม พระเยซูจะไม่ถือเอาคำกล่าวอ้างอย่างสิ้นหวังของพวกที่เคยไปโบสถ์เป็นประจำ, หรือคำอ้างของนักอเทวนิยม หรือของคนอื่นเป็นหลักเกณฑ์การพิจารณาตัดสิน. (2 เธซะโลนิเก 1:8) แทนที่จะทำเช่นนั้น ท่านผู้พิพากษาจะทบทวนสภาพหัวใจและการกระทำในอดีตของผู้คนต่อ “ผู้เล็กน้อยที่สุดคนหนึ่ง [แห่งพวกพี่น้องของพระองค์].” เป็นที่ยอมรับว่า จำนวนคริสเตียนผู้ถูกเจิมมีเหลือในโลกน้อยลง. อย่างไรก็ตาม ตราบใดผู้ถูกเจิมที่ประกอบกันเป็น “ทาสสัตย์ซื่อและสุขุม” ยังคงจัดเตรียมอาหารฝ่ายวิญญาณและให้การชี้นำ ผู้ที่คาดหวังจะได้เป็นแกะจึงมีโอกาสทำดีกับชนจำพวกทาส อย่างที่ ‘ชนฝูงใหญ่จากทุกชาติทุกตระกูลและทุกภาษา’ ได้ทำมาแล้ว.”—วิวรณ์ 7:9, 14.
15. (ก) ผู้คนจำนวนมากได้แสดงตัวเสมือนแพะโดยวิธีใด? (ข) ทำไมพวกเราพึงหลีกเลี่ยงการพูดถึงบางคนว่าเป็นแกะหรือเป็นแพะ?
15 พี่น้องของพระคริสต์กับแกะอื่นอีกหลายล้านคนที่เข้ามาร่วมกับเขาเสมือนเป็นฝูงเดียวกันได้รับการปฏิบัติอย่างไร? หลายคนโดยส่วนตัวอาจจะไม่โจมตีตัวแทนพระคริสต์ แต่เขาก็หาได้ปฏิบัติไพร่พลของพระองค์ด้วยความรักไม่. ด้วยความนิยมโลกชั่วนี้ คนจำพวกแพะปฏิเสธข่าวราชอาณาจักรไม่ว่าเขาได้ฟังข่าวโดยตรงหรือโดยอ้อม. (1 โยฮัน 2:15-17) แน่นอน ในที่สุด พระเยซูคือท่านองค์นั้นซึ่งได้รับการแต่งตั้งให้พิจารณาตัดสิน. ไม่ใช่หน้าที่ของเราจะตัดสินว่าใครคือแกะหรือใครคือแพะ.—มาระโก 2:8; ลูกา 5:22; โยฮัน 2:24, 25; โรม 14:10-12; 1 โกรินโธ 4:5.
อนาคตของแต่ละพวกจะเป็นเช่นไร?
16, 17. อนาคตของชนจำพวกแกะจะเป็นอย่างไร?
16 พระเยซูทรงตัดสินชนจำพวกแกะดังนี้: “มาเถิด เจ้าทั้งหลาย ซึ่งได้รับพระพรจากพระบิดาของเรา จงมารับราชอาณาจักรเป็นมรดกซึ่งตระเตรียมไว้สำหรับพวกเจ้าตั้งแต่การวางรากฐานโลก.” ช่างเป็นการเชื้อเชิญอย่างอบอุ่นเสียนี่กระไร—“มาเถิด”! เชื้อเชิญให้รับอะไร? ชีวิตนิรันดร์ ดังที่พระองค์ตรัสสรุปว่า “ผู้ชอบธรรมจะเข้าสู่ชีวิตนิรันดร์.”—มัดธาย 25:34, 46, ล.ม.
17 ในอุทาหรณ์เรื่องตะลันต์ พระเยซูทรงแสดงถึงสิ่งซึ่งเรียกร้องจากคนเหล่านั้นที่จะปกครองร่วมกับพระองค์ในสวรรค์ แต่ในอุทาหรณ์เรื่องนี้ พระองค์ทรงชี้ถึงสิ่งซึ่งคาดหมายจากพลเมืองแห่งราชอาณาจักร. (มัดธาย 25:14-23) พูดอย่างตรงจุดก็คือ เนื่องจากได้ให้การสนับสนุนสุดหัวใจแก่พี่น้องของพระเยซู ชนจำพวกแกะได้รับที่ในแผ่นดินโลกภายใต้ราชอาณาจักรของพระองค์เป็นมรดก. เขาจะอยู่อย่างสุขสบายบนแผ่นดินโลกที่เป็นอุทยาน—ความหวังซึ่งพระเจ้าได้เตรียมไว้สำหรับพวกเขา “ตั้งแต่การวางรากฐานโลก” แห่งมนุษย์ที่ถูกไถ่ได้.—ลูกา 11:50, 51.
18, 19. (ก) พระเยซูจะทรงตัดสินให้ฝ่ายที่เป็นแพะได้รับผลอะไร? (ข) เราแน่ใจได้อย่างไรว่า ชนจำพวกแพะจะไม่ทนทุกข์ตลอดกาล?
18 การตัดสินลงโทษชนจำพวกแพะช่างแตกต่างกันเสียจริง ๆ! “พระองค์จึงตรัสแก่บรรดาผู้ที่อยู่เบื้องซ้ายว่า, ‘เจ้าทั้งหลายผู้ต้องแช่งสาป, จงถอยไปจากเราเข้าไปอยู่ในไฟซึ่งไหม้อยู่เป็นนิตย์. ซึ่งเตรียมไว้สำหรับมารและพรรคพวกของมันนั้น. เพราะว่าเมื่อเราอยากอาหารเจ้าก็มิได้ให้เรากิน, เรากระหายน้ำเจ้าก็มิได้ให้เราดื่ม, เราเป็นแขกแปลกหน้าเจ้าก็ไม่ได้ต้อนรับเราไว้, เราเปลือยกายเจ้าก็ไม่ได้ให้เสื้อผ้าเรานุ่งห่ม. เราเจ็บและต้องจำอยู่ในพันธนาคารเจ้าก็ไม่ได้เยี่ยมเรา.’ เขาทั้งหลายจะทูลว่า, ‘พระองค์เจ้าข้า, ที่ข้าพเจ้าได้เห็นพระองค์ทรงอยากพระกระยาหาร, หรือทรงกระหายน้ำ, หรือทรงเป็นแขกแปลกหน้าและเปลือยพระกาย, หรือทรงประชวรและต้องจำอยู่ในพันธนาคาร, และข้าพเจ้ามิได้ปรนนิบัติพระองค์นั้นแต่เมื่อไร?’ เมื่อนั้นพระองค์จะตรัสแก่เขาว่า, ‘เราบอกเจ้าทั้งหลายตามจริงว่า, ซึ่งเจ้ามิได้กระทำแก่ผู้เล็กน้อยที่สุดสักคนหนึ่งในพวกนี้, เจ้าก็มิได้กระทำแก่เราด้วย.’”—มัดธาย 25:41-45.
19 นักศึกษาคัมภีร์ไบเบิลรู้ว่า ข้อความตอนนี้ไม่อาจจะหมายถึงจิตวิญญาณอมตะของชนจำพวกแพะจะรับการทรมานในไฟไม่รู้ดับ. เป็นเช่นนั้นไม่ได้ เพราะมนุษย์เป็น จิตวิญญาณ มนุษย์ใช่ว่ามี จิตวิญญาณอมตะไม่. (เยเนซิศ 2:7; ท่านผู้ประกาศ 9:5, 10; ยะเอศเคล 18:4) โดยการตัดสินพวกแพะให้รับโทษอยู่ใน “ไฟซึ่งไหม้อยู่เป็นนิตย์” ผู้พิพากษาหมายถึงความพินาศโดยปราศจากความหวังใด ๆ ในอนาคต ซึ่งจะเป็นจุดจบตลอดกาลสำหรับพญามารและปิศาจพรรคพวกของมันด้วย. (วิวรณ์ 20:10, 14) ดังนั้น ผู้พิพากษานี้ของพระยะโฮวาจึงตัดสินในทางที่ตรงข้ามกัน. พระองค์ตรัสแก่จำพวกแกะว่า “มาเถิด” แต่สำหรับแพะ “จงถอยไปจากเรา.” ชนจำพวกแกะจะรับ “ชีวิตนิรันดร์” เป็นมรดก. ส่วนแพะจะ “ถูกตัดขาดเป็นนิตย์.”—มัดธาย 25:46, ล.ม.b
ทั้งนี้หมายความอย่างไรสำหรับพวกเรา?
20, 21. (ก) คริสเตียนมีงานสำคัญอะไรต้องทำ? (ข) ขณะนี้ การแบ่งแยกอะไรกำลังดำเนินอยู่? (ค) สภาพการณ์ของผู้คนจะเป็นอย่างไรเมื่ออุทาหรณ์เรื่องแกะและแพะเริ่มสำเร็จเป็นจริง?
20 อัครสาวกทั้งสี่คนที่ได้ฟังคำตอบจากพระเยซูเกี่ยวด้วยการเสด็จประทับและอวสานของระบบนี้มีหลายเรื่องที่ต้องใคร่ครวญ. เขาจำต้องตื่นตัวเฝ้าระวังอยู่เสมอ. (มัดธาย 24:42) นอกจากนั้น เขาจะต้องทำงานให้คำพยานตามที่กล่าวในมาระโก 13:10. ปัจจุบันนี้ พยานพระยะโฮวาใช้กำลังวังชาเต็มที่ทำงานที่ว่านี้.
21 กระนั้น ความเข้าใจกระจ่างที่เพิ่งได้รับนี้เกี่ยวกับอุทาหรณ์เรื่องแกะและแพะหมายความอย่างไรสำหรับพวกเรา? ทุกวันนี้ผู้คนต่างก็เลือกฝ่ายใดฝ่ายหนึ่งอยู่แล้ว. บางคนอยู่บน ‘ทางกว้างซึ่งนำไปสู่ความพินาศ’ ขณะที่คนอื่นพยายามอยู่ต่อไปบน ‘ทางแคบซึ่งนำไปสู่ชีวิต.’ (มัดธาย 7:13, 14) แต่เวลาเมื่อพระเยซูจะประกาศคำตัดสินครั้งสุดท้ายว่าใครเป็นแกะหรือเป็นแพะดังแสดงไว้ในอุทาหรณ์นั้นยังอยู่เบื้องหน้า. เมื่อบุตรมนุษย์เสด็จมาในฐานะผู้พิพากษา พระองค์จะทรงตัดสินว่า คริสเตียนแท้จำนวนมาก—ซึ่งจริง ๆ แล้วเป็น “ชนฝูงใหญ่” แห่งจำพวกแกะผู้อุทิศตัว—จะมีคุณสมบัติที่จะผ่านช่วงท้ายแห่ง “ความทุกข์ลำบากครั้งใหญ่” เข้าสู่โลกใหม่. ความหวังเช่นนั้นน่าจะเป็นแหล่งยังความชื่นชมยินดีในเวลานี้. (วิวรณ์ 7:9, 14) ในทางกลับกัน มหาชนมากมายจาก “ทุกชาติ” จะได้พิสูจน์ตัวเองเสมือนแพะที่ดื้อด้าน. พวกเขา “จะไปสู่การตัดขาดเป็นนิตย์.” แผ่นดินโลกจะได้รับการปลดเปลื้องภาระหนักสักเพียงใด!
22, 23. เนื่องจากอุทาหรณ์จะสำเร็จในวันข้างหน้า ทำไมงานประกาศเผยแพร่ของเราในปัจจุบันเป็นเรื่องสำคัญ?
22 ถึงแม้การพิพากษาตัดสินตามที่พรรณนาไว้ในอุทาหรณ์นั้นจะมีขึ้นในอนาคตอันใกล้นี้ก็ตาม แต่ตอนนี้ เหตุการณ์สำคัญบางอย่างกำลังอุบัติขึ้น. พวกเราชาวคริสเตียนกำลังมีส่วนร่วมทำงานช่วยชีวิต ด้วยการประกาศข่าวสารซึ่งก่อการแบ่งแยกท่ามกลางผู้คน. (มัดธาย 10:32-39) เปาโลเขียนว่า “เพราะว่า ทุกคนที่จะร้องออกพระนามขององค์พระผู้เป็นเจ้า [พระยะโฮวา, ล.ม.] ก็จะรอด. แต่คนที่ยังไม่ได้เชื่อในพระองค์, เขาจะร้องขอพระองค์อย่างไรได้? และคนที่ยังไม่ได้ยินถึงพระองค์, เขาจะเชื่อในพระองค์อย่างไรได้? และเมื่อไม่มีใครประกาศให้เขาฟัง, เขาจะได้ยินถึงพระองค์อย่างไรได้?” (โรม 10:13, 14) งานที่พวกเราเผยแพร่ท่ามกลางสาธารณชน พร้อมกับการประกาศพระนามของพระเจ้าและข่าวความรอดจากพระองค์ได้แผ่ไปถึงผู้คนตามดินแดนต่าง ๆ มากกว่า 230 ดินแดน. บรรดาพี่น้องผู้ถูกเจิมของพระคริสต์ยังคงเป็นกองหน้าของงานนี้อยู่. เวลานี้ แกะอื่นประมาณห้าล้านคนร่วมสมทบกับพวกเขา. และประชาชนทั่วโลกต่างก็ตอบรับข่าวสารที่พี่น้องของพระเยซูได้ประกาศ.
23 หลายคนมีโอกาสฟังข่าวสารขณะที่พวกเราออกไปเผยแพร่ตามบ้านหรือเมื่อสบโอกาส. คนอื่นอาจเรียนรู้เกี่ยวกับพยานพระยะโฮวาและข่าวสารของเราโดยวิธีที่เราไม่รู้. เมื่อเวลาการพิพากษาตัดสินมาถึง พระเยซูจะทรงพิจารณาความรับผิดชอบของชุมชนและความดีความชอบของคนในครอบครัวถึงระดับไหน? เราไม่สามารถบอกได้ และไม่มีประโยชน์ที่จะคาดเดา. (เทียบกับ 1 โกรินโธ 7:14.) เวลานี้หลายคนปักใจไม่ยอมฟัง, หัวเราะเยาะ, หรือร่วมการข่มเหงไพร่พลของพระเจ้าโดยตรง. ฉะนั้น เวลานี้จึงเป็นช่วงสำคัญมาก คนประเภทดังกล่าวอาจกลายเป็นผู้ที่พระเยซูจะทรงตัดสินให้อยู่ในจำพวกแพะ.—มัดธาย 10:22; โยฮัน 15:20; 16:2, 3; โรม 2:5, 6.
24. (ก) ทำไมจึงเป็นสิ่งสำคัญที่แต่ละคนพึงตอบรับงานเผยแพร่ของเรา? (ข) การศึกษาเรื่องนี้ได้ช่วยคุณเป็นส่วนตัวให้มีทัศนะเช่นไรต่องานรับใช้ของคุณ?
24 แต่น่ายินดี หลายคนตอบรับด้วยความเห็นดีเห็นชอบ, ศึกษาพระคำของพระเจ้า, และเข้ามาเป็นพยานของพระยะโฮวา. บางคนซึ่งขณะนี้ดูเหมือนแสดงตัวอยู่ในจำพวกแพะอาจจะเปลี่ยนแล้วมาเป็นจำพวกแกะก็ได้. จุดสำคัญคือ บรรดาผู้ที่ตอบรับและสนับสนุนชนที่เหลือพี่น้องของพระคริสต์อย่างแข็งขันขณะนี้กำลังให้หลักฐานอันจะเป็นพื้นฐานเพื่อเขาจะถูกจัดให้เข้าอยู่เบื้องขวาพระหัตถ์พระเยซู เมื่อพระองค์ประทับลงบนราชบัลลังก์เพื่อดำเนินงานพิจารณาตัดสินในอนาคตอันใกล้. คนเหล่านี้กำลังรับพระพรอยู่แล้วและจะได้พระพรอย่างต่อเนื่อง. ดังนั้น อุทาหรณ์นี้น่าจะปลุกเร้าเราให้กระตือรือร้นมากขึ้นในกิจกรรมฝ่ายคริสเตียน. ก่อนจะสายเกินไป เราต้องการทำสุดความสามารถเพื่อประกาศข่าวดีเรื่องราชอาณาจักร และด้วยแนวทางเช่นนั้นจะช่วยคนอื่นมีโอกาสตอบรับ. ต่อจากนั้นก็แล้วแต่พระเยซูจะพิจารณาตัดสิน ให้รับโทษหรือได้รับความโปรดปราน.—มัดธาย 25:46.
-