-
จงระวังกับดักของพญามาร!หอสังเกตการณ์ 2012 | 15 สิงหาคม
-
-
จงระวังกับดักของพญามาร!
“[จงหนีให้] พ้นจากกับดักของพญามาร.”—2 ติโม. 2:26
คุณจะตอบอย่างไร?
คุณจำเป็นต้องตรวจสอบตัวเองเช่นไรถ้าคุณมีแนวโน้มที่จะตำหนิคนอื่นอย่างที่ไม่สมควร?
คุณเรียนรู้อะไรได้จากตัวอย่างของปีลาตและเปโตรเพื่อจะไม่พ่ายแพ้แก่ความกลัวและแรงกดดัน?
คุณจะหลีกเลี่ยงความรู้สึกผิดมากเกินไปได้อย่างไร?
1, 2. เราจะพิจารณากับดักอะไรของพญามารในบทความนี้?
พญามารเสาะหาเหยื่อในหมู่ผู้รับใช้ของพระยะโฮวา. มันไม่ได้มีเป้าหมายที่จะทำลายชีวิตพวกเขาเสมอไปแบบเดียวกับพรานที่ฆ่าสัตว์ใหญ่ที่เขาล่า. แทนที่จะเป็นอย่างนั้น เป้าหมายหลักของพญามารคือการจับเหยื่อทั้งเป็นและทำให้คนที่มันจับได้ทำตามความประสงค์ของมัน.—อ่าน 2 ติโมเธียว 2:24-26
2 เพื่อจะจับเหยื่อทั้งเป็น พรานอาจใช้กับดักบางชนิด. เขาอาจต้อนสัตว์ให้ออกมาในที่โล่งเพื่อจะคล้องจับด้วยบ่วงบาศ. หรือเขาอาจใช้กับดักที่ซ่อนไว้ซึ่งมีกลไกที่จะจับสัตว์โดยที่มันไม่ทันรู้ตัว. พญามารใช้กับดักคล้าย ๆ กันเพื่อจับผู้รับใช้ของพระเจ้าทั้งเป็น. ถ้าเราไม่อยากถูกจับ เราต้องตื่นตัวและเอาใจใส่สัญญาณเตือนต่าง ๆ ที่บอกให้รู้ว่ามีบ่วงแร้วหรือกับดักของพญามารอยู่ใกล้ ๆ. บทความนี้จะพิจารณาวิธีที่เราจะระวังกับดักสามชนิดที่พญามารมักใช้ได้ผล. กับดักเหล่านี้ได้แก่ (1) คำพูดที่ไม่ได้ควบคุม (2) ความกลัวและแรงกดดัน และ (3) ความรู้สึกผิดมากเกินควร. บทความถัดไปจะพิจารณากับดักหรือบ่วงแร้วอีกสองอย่างของซาตาน.
ดับไฟคำพูดที่ไม่ได้ควบคุม
3, 4. การไม่ควบคุมคำพูดของเราอาจก่อให้เกิดผลเช่นไร? จงยกตัวอย่าง.
3 นายพรานบางคนจะจุดไฟเผาส่วนหนึ่งของป่าเพื่อจะไล่สัตว์ออกจากที่ซ่อน แล้วก็จับสัตว์ขณะที่พวกมันพยายามหนีไฟ. อาจกล่าวโดยนัยได้ว่าพญามารคงอยากจุดประชาคมคริสเตียนให้ลุกเป็นไฟ. ถ้ามันทำได้สำเร็จ มันก็จะสามารถไล่สมาชิกของประชาคมให้ออกจากสถานที่ที่ปลอดภัยเข้าไปสู่กรงเล็บของมัน. เราเองอาจร่วมมือกับมันโดยไม่รู้ตัวแล้วก็ติดกับดักของมันได้โดยวิธีใด?
4 สาวกยาโกโบเปรียบลิ้นหรือคำพูดว่าเป็นเหมือนไฟ. (อ่านยาโกโบ 3:6-8) ถ้าเราไม่ได้ควบคุมคำพูดของเรา เราอาจเริ่มจุดไฟป่าโดยนัยขึ้นในประชาคม. อาจเกิดเหตุการณ์แบบนี้ขึ้นได้อย่างไร? ขอให้พิจารณาฉากเหตุการณ์ต่อไปนี้: ณ การประชุม มีคำประกาศว่าพี่น้องหญิงคนหนึ่งได้รับการแต่งตั้งเป็นไพโอเนียร์ประจำ. หลังการประชุม ผู้ประกาศสองคนคุยกันเกี่ยวกับคำประกาศนั้น. คนหนึ่งพูดว่าเป็นเรื่องน่ายินดีที่พี่น้องหญิงคนนั้นเริ่มเป็นไพโอเนียร์และหวังว่าเธอจะประสบความสำเร็จ. อีกคนหนึ่งตั้งข้อสงสัยเกี่ยวกับแรงกระตุ้นของไพโอเนียร์ใหม่คนนี้และพูดในทำนองว่าเธอก็เพียงแค่อยากจะเป็นคนเด่นในประชาคม. คุณอยากเป็นเพื่อนกับผู้ประกาศคนไหนในสองคนนี้? ไม่ใช่เรื่องยากที่จะดูออกว่าคนไหนที่อาจจะจุดไฟขึ้นในประชาคมด้วยคำพูดของเธอ.
5. เพื่อจะดับไฟคำพูดที่ไม่ได้ควบคุม เราควรตรวจสอบตัวเองเช่นไร?
5 เราจะดับไฟคำพูดที่ไม่ได้ควบคุมได้อย่างไร? พระเยซูตรัสว่า “ใจเต็มไปด้วยสิ่งใด ปากก็พูดตามนั้น.” (มัด. 12:34) ดังนั้น ขั้นตอนแรกก็คือการตรวจสอบหัวใจของเราเอง. เราหลีกเลี่ยงความรู้สึกที่ไม่ดีที่อาจทำให้เราพูดอย่างที่ทำให้คนอื่นเสียหายไหม? ตัวอย่างเช่น เมื่อเราได้ยินว่าพี่น้องคนหนึ่งพยายามเพื่อจะได้รับสิทธิพิเศษในการรับใช้บางอย่าง เราเชื่อว่าเขาทำอย่างนั้นด้วยแรงกระตุ้นที่บริสุทธิ์ หรือเราสงสัยว่าเขาทำอย่างนั้นด้วยเหตุผลที่เห็นแก่ตัว? ถ้าเรามีแนวโน้มที่จะมองคนในแง่ร้าย นับว่าดีที่จะจำไว้ว่าพญามารตั้งข้อสงสัยแรงกระตุ้นของโยบซึ่งเป็นผู้รับใช้ที่ซื่อสัตย์ของพระเจ้า. (โยบ 1:9-11) แทนที่จะสงสัยพี่น้องของเรา เราควรพิจารณาว่าทำไมเราจึงตำหนิเขา. เรามีเหตุผลที่ดีจริง ๆ ไหมที่จะทำอย่างนั้น? หรือว่าเราได้รับอิทธิพลจากทัศนคติของผู้คนในสมัยสุดท้ายนี้ที่ไม่มีความรัก?—2 ติโม. 3:1-4
6, 7. (ก) สาเหตุบางอย่างที่อาจทำให้เราตำหนิคนอื่นคืออะไร? (ข) เราควรแสดงปฏิกิริยาอย่างไรเมื่อถูกด่าว่า?
6 ขอพิจารณาเหตุผลอื่น ๆ บางอย่างที่อาจทำให้เราตำหนิผู้อื่น. เหตุผลหนึ่งอาจเป็นเพราะเราอยากให้คนอื่นหันมามองเรามากขึ้น. การที่เราตำหนิคนอื่นแบบนั้นเป็นเหมือนกับการพยายามยกตัวเองให้สูงขึ้นโดยการกดคนอื่นให้ต่ำลง. หรือเราอาจกำลังพยายามหาข้อแก้ตัวที่เราไม่ได้ทำสิ่งที่ควรทำ. ไม่ว่าจะเป็นเพราะความหยิ่ง ความอิจฉา หรือความไม่มั่นใจในตัวเอง การทำอย่างนั้นย่อมจะก่อให้เกิดผลเสียหายอย่างมาก.
7 เราอาจคิดว่าเรามีเหตุผลที่ดีที่จะตำหนิใครบางคน. เราอาจเคยเจ็บใจเพราะคำพูดที่ไม่ดีของเขา. หากเป็นอย่างนั้น การทำการร้ายตอบแทนการร้ายก็ไม่ใช่สิ่งที่ควรทำ. การทำอย่างนั้นมีแต่จะทำให้สถานการณ์เลวร้ายยิ่งขึ้น. ผู้ที่อยากให้เราทำอย่างนั้นคือพญามาร ไม่ใช่พระเจ้า. (2 ติโม. 2:26) เราควรเลียนแบบพระเยซูในเรื่องนี้. เมื่อพระองค์ถูกด่า “พระองค์ไม่ได้ด่าตอบ.” แทนที่จะทำอย่างนั้น พระองค์ “ทรงฝากพระองค์เองไว้กับพระเจ้าผู้ทรงพิพากษาด้วยความชอบธรรม.” (1 เป. 2:21-23) พระเยซูทรงเชื่อมั่นว่าพระยะโฮวาจะทรงดูแลเรื่องต่าง ๆ ด้วยวิธีและตามเวลาที่พระองค์ทรงประสงค์. เราควรไว้วางใจพระเจ้าแบบเดียวกันนี้. เมื่อเราพูดอย่างกรุณาซึ่งให้กำลังใจคนอื่น เราก็จะช่วยรักษา “ความเป็นน้ำหนึ่งใจเดียวกันด้วยสันติสุขซึ่งเป็นสิ่งที่ผูกพันผู้คนให้มีเอกภาพ” ในประชาคม.—อ่านเอเฟโซส์ 4:1-3
จงหนีให้พ้นบ่วงแร้ว แห่งความกลัวและแรงกดดัน
8, 9. เหตุใดปีลาตจึงตัดสินลงโทษพระเยซู?
8 สัตว์ที่ถูกจับด้วยบ่วงแร้วไม่มีอิสระที่จะขยับตัวตามใจชอบได้อีกต่อไป. คล้ายกัน คนที่พ่ายแพ้แก่ความกลัวและแรงกดดันจากคนอื่น ๆ ก็สูญเสียการควบคุมชีวิตของตนอย่างน้อย ๆ ก็บางส่วน. (อ่านสุภาษิต 29:25) ขอให้เราพิจารณาตัวอย่างของชายสองคนที่แตกต่างกันมากซึ่งพ่ายแพ้แก่แรงกดดันและความกลัว และขอให้ดูว่าเราจะเรียนอะไรได้จากประสบการณ์ของพวกเขา.
9 ผู้ว่าราชการโรมันปอนติอุส ปีลาต รู้ว่าพระเยซูเป็นผู้บริสุทธิ์และเห็นได้ชัดว่าเขาไม่ต้องการทำร้ายพระองค์. ที่จริง ปีลาตกล่าวว่า พระเยซู “ไม่ได้ทำอะไรที่ควรได้รับโทษถึงตาย.” แต่ปีลาตก็ตัดสินให้ประหารพระองค์. เพราะเหตุใด? เพราะปีลาตพ่ายแพ้แก่แรงกดดันจากฝูงชน. (ลูกา 23:15, 21-25) พวกผู้ต่อต้านกดดันให้ปีลาตทำตามที่พวกเขาต้องการโดยร้องตะโกนว่า “ถ้าท่านปล่อยคนนี้ ท่านก็ไม่ใช่มิตรของซีซาร์.” (โย. 19:12) ปีลาตอาจกลัวว่าเขาจะถูกปลดจากตำแหน่งหรือถึงกับถูกฆ่า ถ้าเขาเข้าข้างพระคริสต์. ด้วยเหตุนั้น เขาจึงยอมแพ้แก่แรงกดดันและทำตามความประสงค์ของพญามาร.
10. อะไรทำให้เปโตรปฏิเสธพระคริสต์?
10 อัครสาวกเปโตรเป็นคนหนึ่งที่ใกล้ชิดพระเยซูมากที่สุด. ท่านประกาศต่อหน้าคนอื่นว่าพระเยซูเป็นพระมาซีฮา. (มัด. 16:16) เปโตรยังคงรักษาความภักดีเมื่อสาวกคนอื่น ๆ ไม่เข้าใจว่าคำตรัสของพระเยซูในโอกาสหนึ่งมีความหมายเช่นไรและละทิ้งพระองค์. (โย. 6:66-69) และเมื่อพวกศัตรูมาจับพระเยซู เปโตรใช้ดาบเพื่อปกป้องผู้เป็นนายของตน. (โย. 18:10, 11) อย่างไรก็ตาม ในเวลาต่อมาเปโตรพ่ายแพ้แก่ความกลัวและปฏิเสธว่าไม่รู้จักพระเยซูคริสต์เสียด้วยซ้ำ. ความกลัวหน้ามนุษย์เป็นเหมือนกับดัก และเปโตรติดกับดักนี้อยู่ชั่วระยะหนึ่ง. ท่านไม่กล้าทำสิ่งที่ถูกต้องและไม่ภักดีต่อพระเยซู.—มัด. 26:74, 75
11. เราอาจต้องต่อสู้กับอิทธิพลที่ไม่ดีอะไรบ้าง?
11 ในฐานะคริสเตียน เราจำเป็นต้องต้านทานแรงกดดันให้ทำสิ่งที่จะทำให้พระเจ้าไม่พอพระทัย. นายจ้างหรือคนอื่น ๆ อาจพยายามบีบบังคับเราให้ทำสิ่งที่ไม่ซื่อสัตย์หรืออาจชักนำเราให้ทำผิดศีลธรรมทางเพศ. เด็กนักเรียนที่เป็นพยานฯ อาจต้องรับมือแรงกดดันจากเพื่อน ๆ ที่พยายามกดดันให้พวกเขาโกงข้อสอบ ดูสื่อลามก สูบบุหรี่ ใช้ยาเสพย์ติด ใช้เครื่องดื่มประเภทแอลกอฮอล์ หรือทำผิดประเวณี. ดังนั้น อะไรจะช่วยเราได้ให้หนีพ้นจากบ่วงแร้วแห่งความกลัวและแรงกดดันให้ทำสิ่งที่พระยะโฮวาไม่พอพระทัย?
12. อะไรทำให้ปีลาตและเปโตรพ่ายแพ้แก่ความกลัวและแรงกดดัน?
12 ขอให้เรามาดูว่าเราจะเรียนอะไรได้จากตัวอย่างของปีลาตและเปโตร. ปีลาตรู้น้อยมากเกี่ยวกับพระคริสต์. ถึงกระนั้น เขารู้ว่าพระเยซูทรงเป็นผู้บริสุทธิ์และไม่ใช่คนธรรมดา. แต่ปีลาตไม่มีความถ่อมใจและความรักต่อพระเจ้าองค์เที่ยงแท้. พญามารจับเขาทั้งเป็นได้อย่างง่ายดาย. เปโตรมีทั้งความรู้ถ่องแท้และความรักต่อพระเจ้า. แต่บางครั้ง ท่านขาดความเจียมตัว กลัว และพ่ายแพ้แก่แรงกดดัน. ก่อนพระเยซูจะถูกจับ เปโตรอวดอ้างว่า “แม้ทุกคนจะทิ้งพระองค์ไป แต่ข้าพเจ้าจะไม่ทิ้งพระองค์ไปเลย.” (มโก. 14:29) ท่านอัครสาวกคงจะพร้อมกว่านี้สำหรับการทดสอบในวันข้างหน้าถ้าท่านไว้วางใจพระเจ้าเหมือนกับผู้ประพันธ์เพลงสรรเสริญที่ร้องเพลงว่า “พระยะโฮวาทรงสถิตอยู่ฝ่ายข้าพเจ้า ข้าพเจ้าจะไม่กลัว. มนุษย์จะกระทำอะไรแก่ข้าพเจ้าได้เล่า?” (เพลง. 118:6) ในคืนสุดท้ายของชีวิตพระเยซูบนแผ่นดินโลก พระองค์ทรงพาเปโตรกับอัครสาวกอีกสองคนไปกับพระองค์ในสวนเกทเซมาเน. แต่แทนที่จะตื่นตัวอยู่เสมอ เปโตรกับเพื่อนกลับผล็อยหลับไป. พระเยซูทรงปลุกพวกเขาและตรัสว่า “จงเฝ้าระวังและอธิษฐานอยู่เสมอเพื่อเจ้าทั้งหลายจะไม่พ่ายแพ้การล่อใจ.” (มโก. 14:38) แต่เปโตรก็ยังหลับไปอีกครั้งหนึ่งและภายหลังจึงพ่ายแพ้แก่ความกลัวและแรงกดดัน.
13. เราจะต้านทานแรงกดดันให้ทำสิ่งที่ไม่ถูกต้องได้อย่างไร?
13 ตัวอย่างของปีลาตและเปโตรสอนบทเรียนที่สำคัญอย่างหนึ่งแก่เราคือ เราต้องมีความรู้ถ่องแท้ ความถ่อมใจ ความเจียมตัว ความรักต่อพระเจ้า และความเกรงกลัวพระยะโฮวาเพื่อเราจะไม่พ่ายแพ้แก่แรงกดดันหรือความกลัวหน้ามนุษย์. ถ้าเรามีความเชื่อที่อาศัยความรู้ถ่องแท้ เราจะกล้าพูดถึงความเชื่อของเราด้วยความมั่นใจ. นี่จะช่วยเราให้ต้านทานแรงกดดันและเอาชนะความกลัวหน้ามนุษย์. แน่นอน เราต้องไม่ประเมินความเข้มแข็งของตัวเองสูงเกินไป. แทนที่จะเป็นอย่างนั้น เราควรยอมรับอย่างถ่อมใจว่าเราจำเป็นต้องได้รับกำลังจากพระเจ้าเพื่อจะต้านทานแรงกดดัน. เราจำเป็นต้องอธิษฐานขอพระวิญญาณและให้ความรักที่มีต่อพระองค์กระตุ้นเราให้ทำตามมาตรฐานของพระเจ้าและยกย่องเชิดชูพระนามของพระองค์. นอกจากนั้น เราจำเป็นต้องเตรียมตัวให้พร้อมจะรับแรงกดดันก่อนที่จะเผชิญการทดสอบ. ตัวอย่างเช่น เราจำเป็นต้องอธิษฐานกับลูกและเตรียมเขาไว้ให้พร้อมเพื่อเขาจะรู้ว่าต้องทำอะไรเมื่อเพื่อน ๆ พยายามชักจูงเขาให้ทำสิ่งที่ไม่ถูกต้อง.—2 โค. 13:7a
จงหลีกเลี่ยงกับดักที่บดขยี้ ความรู้สึกผิดมากเกินควร
14. พญามารอยากให้เราเชื่อเช่นไรในเรื่องความผิดของเราในอดีต?
14 บางครั้ง กับดักที่ใช้จับสัตว์ประกอบด้วยไม้ซุงหรือหินหนัก ๆ แขวนไว้เหนือทางที่เหยื่อมักเดินผ่าน. เมื่อสัตว์ที่ไม่ทันระวังเดินเตะสายดักที่ขึงไว้ ไม้ซุงหรือหินก็จะตกลงมากระแทกเหยื่อ. ความรู้สึกผิดเกินควรอาจเปรียบได้กับไม้ซุงหรือหินหนัก ๆ ที่บดขยี้. เมื่อคิดถึงความผิดพลาดในอดีต เราอาจรู้สึกว่าถูกตีจน “ฟกช้ำมาก.” (อ่านบทเพลงสรรเสริญ 38:3-5, 8) ซาตานคงอยากให้เราเชื่อว่าเราเป็นคนบาปเกินกว่าที่พระยะโฮวาจะเมตตาเราได้และเราไม่มีทางจะปฏิบัติตามมาตรฐานของพระองค์ได้.
15, 16. คุณจะหลีกเลี่ยงกับดักของความรู้สึกผิดมากเกินควรได้อย่างไร?
15 คุณจะหลีกเลี่ยงกับดักที่บดขยี้ได้อย่างไร? ถ้าคุณพลาดพลั้งทำผิดร้ายแรง จงลงมือตั้งแต่บัดนี้ที่จะฟื้นฟูมิตรภาพกับพระยะโฮวา. จงเข้าหาผู้ปกครอง และขอความช่วยเหลือจากพวกเขา. (ยโก. 5:14-16) จงทำสิ่งที่คุณทำได้เพื่อแก้ไขสิ่งที่ผิด. (2 โค. 7:11) ถ้าคุณถูกตีสอน อย่าท้อใจ. การตีสอนเป็นสิ่งหนึ่งที่แสดงให้เห็นอย่างชัดเจนว่าพระยะโฮวาทรงรักคุณ. (ฮีบรู 12:6) จงตั้งใจแน่วแน่ว่าจะไม่ทำผิดซ้ำ และระวังที่จะไม่ทำสิ่งใดก็ตามที่จะทำให้คุณทำผิดอย่างนั้นอีก. หลังจากที่คุณกลับใจและหันกลับแล้ว คุณต้องมีความเชื่อว่าค่าไถ่ของพระเยซูคริสต์สามารถปิดคลุมบาปของคุณได้จริง ๆ.—1 โย. 4:9, 14
16 บางคนยังคงรู้สึกผิดในเรื่องบาปซึ่งแท้ที่จริงเขาได้รับการอภัยแล้ว. หากเป็นอย่างนั้นกับคุณ ขอให้จำไว้ว่าพระยะโฮวาทรงให้อภัยเปโตรและอัครสาวกคนอื่น ๆ ที่ละทิ้งพระเยซูพระบุตรที่รักในยามที่จำเป็นต้องได้รับการสนับสนุนมากที่สุด. พระยะโฮวาทรงให้อภัยชายคนนั้นที่ถูกขับออกจากประชาคมในเมืองโครินท์เนื่องจากการทำผิดประเวณีที่เลวร้ายอย่างยิ่งแต่ในภายหลังได้กลับใจ. (1 โค. 5:1-5; 2 โค. 2:6-8) พระคำของพระเจ้ากล่าวถึงหลายคนที่ทำบาปร้ายแรงซึ่งได้กลับใจและได้รับการอภัยจากพระเจ้า.—2 โคร. 33:2, 10-13; 1 โค. 6:9-11
17. ค่าไถ่สามารถทำอะไรเพื่อเรา?
17 พระยะโฮวาจะทรงให้อภัยคุณและลืมความผิดที่คุณได้ทำหากคุณกลับใจอย่างแท้จริงและตอบรับพระเมตตาของพระองค์. อย่าคิดว่าค่าไถ่ของพระเยซูปิดคลุมบาปของคุณไม่ได้. การคิดอย่างนั้นย่อมจะทำให้คุณติดกับดักอย่างหนึ่งของซาตาน. ไม่ว่าพญามารอยากให้คุณเชื่อเช่นไรก็ตาม แต่ค่าไถ่สามารถปิดคลุมบาปของทุกคนที่พลาดพลั้งทำผิดได้ถ้ากลับใจ. (สุภา. 24:16) ความเชื่อในเครื่องบูชาไถ่สามารถยกภาระหนักของความรู้สึกผิดเกินควรออกไปจากบ่าของคุณ และทำให้คุณมีกำลังเรี่ยวแรงที่จะรับใช้พระเจ้าอย่างสุดหัวใจ สุดความคิด และสุดชีวิต.—มัด. 22:37
เรารู้อุบายของซาตาน
18. เราจะหลีกเลี่ยงบ่วงแร้วที่พญามารวางไว้ได้อย่างไร?
18 ซาตานไม่สนใจว่ากับดักชนิดไหนที่จะใช้ได้ผล ตราบใดที่มันจับเราได้. เนื่องจากเรารู้อุบายของซาตาน เราจึงสามารถหลีกเลี่ยงไม่ให้ถูกมันจับ. (2 โค. 2:10, 11) เราจะไม่ถูกจับด้วยบ่วงแร้วหรือกับดักของมัน ถ้าเราอธิษฐานขอสติปัญญาเพื่อเราจะรับมือการทดสอบ. ยาโกโบเขียนว่า “ถ้าพวกท่านคนใดขาดสติปัญญา ให้เขาทูลขอพระเจ้าต่อ ๆ ไป แล้วเขาจะได้รับจากพระองค์ เพราะพระองค์จะทรงประทานแก่ทุกคนด้วยพระทัยกว้างและไม่ทรงตำหนิ.” (ยโก. 1:5) เราต้องลงมือทำสอดคล้องกับคำอธิษฐานของเราด้วยการศึกษาส่วนตัวเป็นประจำและนำพระคำของพระเจ้าไปใช้ในชีวิต. คู่มือการศึกษาพระคัมภีร์ที่ทาสสัตย์ซื่อและสุขุมจัดเตรียมไว้ช่วยเราให้มองเห็นกับดักที่พญามารวางไว้และหลีกเลี่ยงกับดักเหล่านั้นได้.
19, 20. เหตุใดเราควรเกลียดสิ่งที่ชั่ว?
19 การอธิษฐานและการศึกษาคัมภีร์ไบเบิลช่วยเราให้มีความรักต่อสิ่งที่ดีมากยิ่งขึ้น. แต่เป็นเรื่องสำคัญพอ ๆ กันที่เราต้องพัฒนาความเกลียดต่อสิ่งที่ชั่ว. (เพลง. 97:10) การใคร่ครวญถึงผลกระทบของการทำตามความปรารถนาที่เห็นแก่ตัวอาจช่วยเราให้หลีกเลี่ยงความปรารถนาเหล่านั้นได้. (ยโก. 1:14, 15) เมื่อเราเรียนรู้ที่จะเกลียดสิ่งที่ชั่วและรักสิ่งที่ดีอย่างแท้จริง เหยื่อล่อที่ซาตานวางไว้ในกับดักของมันก็จะไม่ดึงดูดใจเรา.
20 เรารู้สึกขอบคุณสักเพียงไรที่พระเจ้าทรงช่วยเราเพื่อซาตานจะไม่ชนะเรา! โดยทางพระวิญญาณ พระคำ และองค์การของพระองค์ พระยะโฮวาทรงช่วยเราให้รอดพ้น “จากตัวชั่วร้าย.” (มัด. 6:13) ในบทความถัดไป เราจะเรียนรู้วิธีหลีกเลี่ยงกับดักอีกสองอย่างที่พญามารใช้อย่างมีประสิทธิภาพในการจับผู้รับใช้ของพระเจ้าบางคนทั้งเป็น.
-
-
จงยืนหยัดและหลีกเลี่ยงกับดักของซาตาน!หอสังเกตการณ์ 2012 | 15 สิงหาคม
-
-
จงยืนหยัดและหลีกเลี่ยงกับดักของซาตาน!
“จง . . . ยืนหยัดต้านทานกลอุบายของพญามาร.” —เอเฟ. 6:11
คุณจะตอบอย่างไร?
ผู้รับใช้ของพระยะโฮวาจะหลีกเลี่ยงกับดักของการนิยมวัตถุได้อย่างไร?
อะไรอาจช่วยคริสเตียนที่สมรสแล้วไม่ให้ตกหลุมพรางของการเล่นชู้?
เหตุใดคุณจึงเชื่อว่าเป็นประโยชน์ที่จะยืนหยัดต้านทานการนิยมวัตถุและการผิดศีลธรรมทางเพศ?
1, 2. (ก) เหตุใดซาตานไม่มีความปรานีต่อผู้ถูกเจิมและ “แกะอื่น”? (ข) ในบทความนี้เราจะพิจารณากับดักอะไรของซาตาน?
ซาตานพญามารไม่เคยปรานีมนุษย์ โดยเฉพาะอย่างยิ่งคนที่รับใช้พระยะโฮวา. ที่จริง ซาตานกำลังทำสงครามกับชนที่เหลือผู้ถูกเจิม. (วิ. 12:17) คริสเตียนที่เข้มแข็งเหล่านี้นำหน้าในงานประกาศเรื่องราชอาณาจักรในสมัยปัจจุบันและเปิดเผยว่าซาตานเป็นผู้ครองโลกนี้. นอกจากนั้น พญามารไม่มีความรักต่อ “แกะอื่น” ที่สนับสนุนเหล่าผู้ถูกเจิมและมีความหวังที่จะมีชีวิตนิรันดร์ ซึ่งเป็นความหวังที่มันไม่มีอีกต่อไป. (โย. 10:16) ไม่แปลกที่มันโกรธมาก! ไม่ว่าเราจะมีความหวังที่จะมีชีวิตในสวรรค์หรือบนแผ่นดินโลก ซาตานไม่สนใจในเรื่องสวัสดิภาพของเราอย่างแน่นอน. มันต้องการให้เราตกเป็นเหยื่อของมัน.—1 เป. 5:8
2 เพื่อจะบรรลุจุดประสงค์ของมัน ซาตานวางกับดักหรือบ่วงแร้วไว้หลายอย่าง. เนื่องจากมัน “ทำให้จิตใจของคนที่ไม่เชื่อมืดไป” พวกเขาจึงไม่ยอมรับข่าวดีและมองไม่เห็นกับดักเหล่านี้. อย่างไรก็ตาม พญามารยังจับบางคนที่ตอบรับข่าวสารเรื่องราชอาณาจักรด้วย. (2 โค. 4:3, 4) บทความก่อนแสดงให้เห็นวิธีที่เราสามารถหลีกเลี่ยงกับดักสามอย่างของซาตาน ซึ่งก็คือ (1) คำพูดที่ไม่ได้ควบคุม (2) ความกลัวและแรงกดดัน และ (3) ความรู้สึกผิดมากเกินควร. ตอนนี้ขอให้เรามาพิจารณาวิธีที่เราจะยืนหยัดต้านทานกับดักหรือบ่วงแร้วอีกสองอย่างที่ซาตานใช้ คือการนิยมวัตถุและการล่อใจให้เล่นชู้.
การนิยมวัตถุ—บ่วงแร้วที่รัดคอ
3, 4. ความวิตกกังวลกับชีวิตในยุคนี้อาจทำให้เรากลายเป็นคนนิยมวัตถุอย่างไร?
3 ในอุทาหรณ์เรื่องหนึ่งของพระเยซู พระองค์ตรัสถึงเมล็ดพืชที่หว่านลงกลางต้นไม้มีหนาม. พระองค์ทรงชี้ให้เห็นว่าใครคนหนึ่งอาจได้ยินพระคำ “แต่ความวิตกกังวลกับชีวิตในยุคนี้และอำนาจล่อลวงของทรัพย์สมบัติก็มาบดบังพระคำนั้น เขาจึงไม่เกิดผล.” (มัด. 13:22) ใช่แล้ว การนิยมวัตถุเป็นบ่วงแร้วอย่างหนึ่งที่ซาตานศัตรูของเราใช้.
4 มีปัจจัยสองอย่างรวมกันที่บดบังพระคำ. ปัจจัยอย่างหนึ่งก็คือ “ความวิตกกังวลกับชีวิตในยุคนี้.” ใน “วิกฤตกาลซึ่งยากจะรับมือได้” นี้ มีหลายสิ่งที่อาจทำให้คุณวิตกกังวล. (2 ติโม. 3:1) เนื่องจากค่าครองชีพสูงขึ้นและอัตราการว่างงานเพิ่มขึ้น คุณอาจรู้สึกว่ายากที่จะหาเงินให้พอใช้จ่าย. นอกจากนั้น คุณอาจกังวลเกี่ยวกับอนาคตและอาจสงสัยว่า ‘ฉันจะมีเงินพอใช้หลังจากเกษียณแล้วไหม?’ เนื่องจากมีความกังวลอย่างนี้ บางคนจึงพยายามหาเงินให้ได้มาก ๆ โดยคิดว่าเงินจะช่วยให้ชีวิตของเขามั่นคง.
5. ‘อำนาจของทรัพย์สมบัติ’ อาจล่อลวงคนเราอย่างไร?
5 ปัจจัยอีกอย่างหนึ่งที่พระเยซูตรัสถึงคือ “อำนาจล่อลวงของทรัพย์สมบัติ.” ปัจจัยนี้กับความวิตกกังวลรวมกันอาจบดบังพระคำได้. คัมภีร์ไบเบิลยอมรับว่า “เงินก็เป็นเครื่องปกป้อง.” (ผู้ป. 7:12) แต่นับว่าไม่ฉลาดที่จะมุ่งแสวงหาทรัพย์สมบัติ. หลายคนพบว่ายิ่งเขาพยายามจะร่ำรวยมากเท่าไร บ่วงแร้วของการนิยมวัตถุก็จะยิ่งรัดแน่นขึ้นเท่านั้น. บางคนถึงกับกลายเป็นทาสของทรัพย์สมบัติ.—มัด. 6:24
6, 7. (ก) สถานการณ์แบบใดในที่ทำงานที่อาจทำให้คุณเกิดความปรารถนาจะร่ำรวย? (ข) คริสเตียนควรคำนึงถึงอะไรเมื่อนายจ้างเสนอให้ทำงานล่วงเวลา?
6 คุณอาจเริ่มมีความปรารถนาที่จะร่ำรวยโดยไม่ทันรู้ตัว. ตัวอย่างเช่น ขอให้พิจารณาฉากเหตุการณ์ต่อไปนี้. นายจ้างเข้ามาหาคุณและบอกว่า “ผมมีข่าวดี! บริษัทเราเพิ่งได้เซ็นสัญญางานใหญ่ชิ้นหนึ่ง. นี่หมายความว่าคุณจะต้องทำงานล่วงเวลาบ่อยหน่อยในช่วงสองสามเดือนข้างหน้านี้. แต่ผมรับรองได้เลยว่าคุณจะได้เงินคุ้ม.” คุณจะรู้สึกอย่างไรต่อข้อเสนอเช่นนี้? แน่นอน การหาเลี้ยงครอบครัวเป็นเรื่องสำคัญ แต่นี่ไม่ใช่หน้าที่รับผิดชอบเพียงอย่างเดียวที่คุณมี. (1 ติโม. 5:8) มีอีกหลายเรื่องที่คุณต้องคำนึงถึง. ต้องทำงานล่วงเวลามากน้อยขนาดไหน? งานที่บริษัทจะขัดขวางการทำกิจกรรมฝ่ายวิญญาณของคุณไหม เช่น การเข้าร่วมการประชุมและการนมัสการประจำครอบครัวตอนเย็น?
7 ขอให้คิดดูว่าอะไรสำคัญที่สุดสำหรับคุณ. ยอดเงินในบัญชีธนาคารที่เพิ่มขึ้น หรือสายสัมพันธ์ของคุณกับพระยะโฮวา? คุณจะเลิกให้ผลประโยชน์ของราชอาณาจักรมาเป็นอันดับแรกในชีวิตเพราะต้องการมีเงินมากขึ้นไหม? คุณมองเห็นไหมว่าการนิยมวัตถุจะส่งผลอย่างไรต่อคุณถ้าคุณละเลยสุขภาพฝ่ายวิญญาณของตัวคุณเองและครอบครัว? ถ้าเรื่องนี้กำลังเกิดขึ้นกับคุณ คุณจะยืนหยัดและหลีกเลี่ยงการนิยมวัตถุซึ่งเป็นเหมือนบ่วงแร้วที่รัดคอคุณได้อย่างไร?—อ่าน 1 ติโมเธียว 6:9, 10
8. มีตัวอย่างอะไรบ้างในพระคัมภีร์ที่ช่วยเราตรวจสอบรูปแบบชีวิตของเรา?
8 เพื่อจะหลีกเลี่ยงการนิยมวัตถุซึ่งเป็นเหมือนบ่วงแร้วที่รัดคอ ขอให้ตรวจสอบรูปแบบชีวิตของคุณเป็นระยะ ๆ. คุณคงไม่ต้องการเป็นเหมือนเอซาวที่ดูหมิ่นสิ่งฝ่ายวิญญาณ. (เย. 25:34; ฮีบรู 12:16) และเป็นเรื่องแน่นอนว่าคุณคงไม่อยากเป็นเหมือนชายหนุ่มผู้มั่งมีที่พระเยซูทรงเชิญให้ขายทรัพย์สมบัติของเขาแล้วแจกให้แก่คนยากจนและติดตามพระองค์. แทนที่จะทำตามคำเชิญ ชายผู้นี้ “ออกไปด้วยความทุกข์ใจเพราะเขามีทรัพย์สมบัติมาก.” (มัด. 19:21, 22) เนื่องจากติดบ่วงแร้วของทรัพย์สมบัติ ชายผู้นี้จึงพลาดโอกาสที่จะได้รับสิทธิพิเศษใหญ่หลวงที่จะติดตามบุรุษผู้ยิ่งใหญ่ที่สุดที่เคยมีชีวิตอยู่! เราควรระวังที่จะไม่สูญเสียสิทธิพิเศษของการเป็นสาวกของพระเยซูคริสต์.
9, 10. ดังที่กล่าวไว้ในพระคัมภีร์ เราควรมีทัศนะอย่างไรต่อสิ่งฝ่ายวัตถุ?
9 เพื่อจะไม่กังวลมากเกินไปเกี่ยวกับสิ่งฝ่ายวัตถุ ขอให้เราเอาใจใส่คำกระตุ้นเตือนของพระเยซูที่ว่า “อย่าวิตกกังวลและพูดว่า ‘เราจะกินอะไร?’ หรือ ‘เราจะดื่มอะไร’ หรือ ‘เราจะสวมอะไร?’ เพราะสิ่งเหล่านี้เป็นสิ่งที่ชนต่างชาติร้อนรนแสวงหา. ด้วยว่าพระบิดาของเจ้าทั้งหลายผู้สถิตในสวรรค์ทรงทราบว่าพวกเจ้าต้องมีสิ่งทั้งปวงนี้.”—มัด. 6:31, 32; ลูกา 21:34, 35
10 ถ้าเราไม่ต้องการตกเป็นเหยื่อของอำนาจล่อลวงของทรัพย์สมบัติ เราต้องคิดเหมือนกับอาฆูรผู้เขียนคัมภีร์ไบเบิลที่กล่าวว่า “ขออย่าให้ข้าพระองค์ยากจนหรือร่ำรวย. ขอประทานเพียงสิ่งจำเป็นแก่ข้าพระองค์.” (สุภา. 30:8, ฉบับแปลคอนเทมโพรารี อิงลิช) เห็นได้ชัดว่า อาฆูรเข้าใจว่าเขาจำเป็นต้องมีเงินในการดำรงชีพ แต่ก็เข้าใจด้วยว่าทรัพย์สมบัติมีอำนาจล่อลวงคนเราให้หลงได้. เราควรตระหนักว่าความวิตกกังวลกับชีวิตในยุคนี้และอำนาจล่อลวงของทรัพย์สมบัติอาจทำให้เราสูญเสียสายสัมพันธ์ที่มีกับพระยะโฮวาได้. ถ้าเรากังวลมากเกินไปเกี่ยวกับสิ่งฝ่ายวัตถุ เราอาจไม่มีเวลา กำลัง หรือแรงกระตุ้นที่จะแสวงหาผลประโยชน์ของราชอาณาจักร. ด้วยเหตุนั้น เราควรระมัดระวังเพื่อจะไม่ติดบ่วงแร้วของการนิยมวัตถุที่ซาตานวางไว้!—อ่านฮีบรู 13:5
การเล่นชู้ หลุมพรางที่แยบยล
11, 12. ในที่ทำงาน คริสเตียนอาจตกหลุมพรางของการเล่นชู้ได้อย่างไร?
11 พรานที่ต้องการจับสัตว์ที่แข็งแรงอาจขุดหลุมไว้ตามทางที่เหยื่อมักเดินผ่าน. เขาอาจคลุมปากหลุมนั้นด้วยกิ่งไม้และโรยดินบาง ๆ เพื่อพรางตา. การล่อใจอย่างหนึ่งที่ซาตานใช้ซึ่งได้ผลมากที่สุดมีลักษณะคล้ายกับหลุมพรางแบบนี้ นั่นคือการทำผิดศีลธรรมทางเพศ. (สุภา. 22:14; 23:27) คริสเตียนหลายคนตกหลุมพรางนี้โดยพาตัวเองไปอยู่ในสถานการณ์ที่ล่อแหลม. คริสเตียนที่สมรสแล้วบางคนพ่ายแพ้การล่อใจและทำผิดศีลธรรมหลังจากที่ได้สร้างความสัมพันธ์ในเชิงรัก ๆ ใคร่ ๆ กับคนที่ไม่ใช่คู่สมรสของตน.
12 ความสัมพันธ์ฉันชู้สาวที่ไม่ถูกต้องแบบนั้นอาจเกิดขึ้นได้ในที่ทำงาน. ที่จริง ผลการสำรวจครั้งหนึ่งเผยให้เห็นว่าในบรรดาคนที่มีเพศสัมพันธ์นอกสายสมรสนั้นมีผู้หญิงมากกว่าครึ่ง และผู้ชายเกือบ 3 ใน 4 ที่เล่นชู้กับเพื่อนร่วมงาน. งานอาชีพของคุณจำเป็นต้องติดต่อเกี่ยวข้องกับคนที่เป็นเพศตรงข้ามไหม? หากเป็นอย่างนั้น ความสัมพันธ์ของคุณกับพวกเขาเป็นแบบใด? คุณได้วางข้อจำกัดเอาไว้ว่าจะเกี่ยวข้องเฉพาะเรื่องงานและไม่ให้มากไปกว่านั้นไหม? ตัวอย่างเช่น หลังจากที่พูดคุยกันบ่อย ๆ กับเพื่อนร่วมงานผู้ชายคนหนึ่ง พี่น้องหญิงอาจเกิดความไว้เนื้อเชื่อใจเขาและถึงกับเล่าปัญหาในชีวิตสมรสให้เขาฟัง. ในอีกกรณีหนึ่ง หลังจากที่เริ่มเป็นมิตรและสนิทสนมกับเพื่อนร่วมงานหญิงคนหนึ่ง พี่น้องชายอาจคิดว่า “เธอชอบความคิดเห็นของผมและตั้งใจฟังเมื่อผมพูด. และเธอนับถือ ผม. ผมอยากให้ภรรยาปฏิบัติต่อผมแบบนี้บ้าง!” คุณเห็นไหมว่าคริสเตียนที่อยู่ในสถานการณ์ดังกล่าวอาจเสี่ยงที่จะเล่นชู้?
13. บางคนในประชาคมอาจเริ่มมีความสัมพันธ์ฉันชู้สาวที่ไม่ถูกต้องได้อย่างไร?
13 ความสัมพันธ์ฉันชู้สาวที่ไม่ถูกต้องอาจเกิดขึ้นในประชาคมได้ด้วย. ขอให้พิจารณาเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นจริงกับคู่สมรสคู่หนึ่ง. แดเนียลและซาราห์ภรรยาของเขาaเป็นไพโอเนียร์ประจำ. ดังที่แดเนียลเองกล่าว เขาเป็น “ผู้ปกครองที่ปฏิเสธไม่เป็น.” เขายินดีตอบรับสิทธิพิเศษทุกอย่างในประชาคม. เขานำการศึกษาพระคัมภีร์กับชายหนุ่มห้าคน และมีสามคนที่รับบัพติสมา. พี่น้องใหม่สามคนนี้จำเป็นต้องได้รับความช่วยเหลือด้านอารมณ์อย่างมาก. เนื่องจากแดเนียลยุ่งอยู่กับงานมอบหมายหลายอย่างในประชาคม ซาราห์จึงต้องให้ความช่วยเหลือแก่พวกเขาอยู่บ่อย ๆ. แต่ซาราห์เองก็ต้องการได้รับการเกื้อหนุนด้านอารมณ์ด้วย และเธอได้รับจากนักศึกษาของแดเนียล. สถานการณ์ดังกล่าวได้กลายเป็นเหมือนหลุมพรางที่เป็นอันตราย. แดเนียลกล่าวว่า ‘เดือนแล้วเดือนเล่าที่ภรรยาผมทุ่มเทแรงกายแรงใจเพื่อช่วยคนอื่น เธอจึงจำเป็นต้องได้รับการเกื้อหนุนด้านอารมณ์และฝ่ายวิญญาณ. ในช่วงนั้น ผมไม่ได้ดูแลเอาใจใส่เธอ. สถานการณ์แบบนี้นำไปสู่ความหายนะ. ภรรยาผมเล่นชู้กับชายหนุ่มคนหนึ่งที่ผมเคยนำการศึกษา. ผมยุ่งมากจนไม่ได้สังเกตว่าสายสัมพันธ์ของเธอกับพระยะโฮวาเริ่มอ่อนลง.’ คุณจะหลีกเลี่ยงหายนะเช่นนั้นได้อย่างไร?
14, 15. อะไรอาจช่วยคริสเตียนที่สมรสแล้วให้หลีกเลี่ยงการเล่นชู้?
14 เพื่อจะหลีกเลี่ยงการเล่นชู้ ขอให้ใคร่ครวญถึงความหมายของข้อผูกมัดของการสมรส. พระเยซูตรัสว่า “ที่พระเจ้าทรงผูกมัดไว้ด้วยกันแล้วนั้นอย่าให้มนุษย์ทำให้แยกจากกันเลย.” (มัด. 19:6) คุณไม่ควรคิดว่าสิทธิพิเศษในองค์การของพระเจ้าสำคัญยิ่งกว่าคู่สมรสของคุณ. นอกจากนั้น ถ้าคุณอยู่ห่างจากคู่สมรสบ่อย ๆ โดยไม่มีเหตุจำเป็นจริง ๆ สายสัมพันธ์ในชีวิตสมรสของคุณอาจเริ่มอ่อนลง และคุณอาจถูกล่อใจให้เล่นชู้.
15 แต่ถ้าคุณเป็นผู้ปกครอง คุณควรดูแลฝูงแกะมิใช่หรือ? อัครสาวกเปโตรเขียนว่า “จงบำรุงเลี้ยงฝูงแกะของพระเจ้าซึ่งอยู่ในความดูแลของท่านทั้งหลาย ไม่ใช่โดยฝืนใจ แต่ด้วยความเต็มใจ ไม่ใช่เพราะอยากได้ผลประโยชน์ แต่ด้วยความกระตือรือร้น.” (1 เป. 5:2) แน่นอน พี่น้องในประชาคมซึ่งอยู่ในความดูแลของคุณไม่ควรถูกละเลย. ถึงกระนั้น คุณไม่ควรทำหน้าที่ผู้ปกครองจนลืมทำหน้าที่สามีที่ดี. นับว่าไม่มีเหตุผลหรือแม้แต่เป็นอันตรายด้วยซ้ำที่จะมุ่งสนใจในการบำรุงเลี้ยงพี่น้องในประชาคม แต่กลับปล่อยให้คู่สมรส “อดอยาก.” แดเนียลกล่าวว่า ‘คุณไม่ควรยุ่งเกินไปกับการทำหน้าที่รับผิดชอบจนครอบครัวของคุณเองได้รับความเสียหาย.’
16, 17. (ก) คริสเตียนที่สมรสแล้วอาจทำอะไรได้บ้างเพื่อให้ทุกคนในที่ทำงานรู้ว่าเขาไม่ต้องการสร้างความสัมพันธ์ฉันชู้สาวกับใครอื่น? (ข) จงยกตัวอย่างบทความในวารสารของเราที่อาจช่วยคริสเตียนให้หลีกเลี่ยงการเล่นชู้.
16 วารสารหอสังเกตการณ์ และตื่นเถิด! ให้คำแนะนำที่ดีเพื่อช่วยคริสเตียนที่สมรสแล้วให้หลีกเลี่ยงการเล่นชู้. ตัวอย่างเช่น หอสังเกตการณ์ ฉบับ 15 กันยายน 2006 ให้คำแนะนำต่อไปนี้: “ในที่ทำงานและที่อื่น ๆ จงระวังสถานการณ์ที่อาจส่งเสริมให้เกิดความสนิทชิดเชื้อกับเพศตรงข้าม. ตัวอย่างเช่น การทำงานนอกเวลาอย่างใกล้ชิดกับบางคนที่เป็นเพศตรงข้ามอาจนำไปสู่การล่อใจได้. ในฐานะชายหรือหญิงที่สมรสแล้ว คุณควรทำให้ชัดเจนด้วยคำพูดและท่าทีว่าคุณสมรสแล้วและไม่ต้องการสร้างความสัมพันธ์ฉันชู้สาวกับใครอื่น. ในฐานะคนที่ดำเนินด้วยความเลื่อมใสพระเจ้า คุณย่อมจะไม่ต้องการเชื้อเชิญให้คนอื่นสนใจตัวคุณอย่างไม่เหมาะสมด้วยการเกี้ยวพานหรือด้วยการแต่งกายและประดับตัวอย่างไม่สุภาพเรียบร้อย. . . . การติดหรือวางรูปคู่สมรสและลูกไว้ในที่ทำงานจะช่วยเตือนใจตัวคุณเองและคนอื่น ๆ ให้เห็นว่าคุณให้ความสำคัญแก่ครอบครัวมากขนาดไหน. จงตั้งใจแน่วแน่ว่าจะไม่กระตุ้น—หรือแม้แต่จะยอม—ให้ใครมาเกี้ยวพานเด็ดขาด.”
17 บทความที่ชื่อ “ความซื่อสัตย์ต่อคู่สมรสหมายความอย่างไรจริง ๆ?” ในตื่นเถิด! ฉบับเมษายน 2009 เตือนให้ระวังอย่าสร้างภาพขึ้นในใจถึงการมีเพศสัมพันธ์กับคนอื่นที่ไม่ใช่คู่สมรสของตน. บทความนี้ชี้ให้เห็นว่าการสร้างจินตนาการทางเพศเช่นนั้นจะทำให้เป็นไปได้มากขึ้นที่คุณอาจเล่นชู้. (ยโก. 1:14, 15) ถ้าคุณแต่งงานแล้ว คงดีที่คุณจะทบทวนคำแนะนำเหล่านี้ด้วยกันกับคู่ของคุณเป็นครั้งคราว. พระยะโฮวาทรงเป็นผู้ก่อตั้งการสมรส และการสมรสเป็นสิ่งศักดิ์สิทธิ์. การจัดเวลาไว้เพื่อคุยกับคู่ของคุณเกี่ยวกับชีวิตสมรสเป็นวิธีที่ดีที่แสดงให้เห็นว่าคุณเห็นคุณค่าสิ่งศักดิ์สิทธิ์.—เย. 2:21-24
18, 19. (ก) การเล่นชู้ทำให้เกิดผลเสียหายเช่นไร? (ข) ความซื่อสัตย์ในชีวิตสมรสทำให้เกิดผลดีเช่นไร?
18 ถ้าคุณถูกล่อใจให้สร้างความสัมพันธ์ฉันชู้สาวที่ไม่ถูกต้อง จงใคร่ครวญถึงผลเสียหายของการผิดประเวณีและการเล่นชู้. (สุภา. 7:22, 23; กลา. 6:7) คนที่ทำผิดประเวณีทำให้พระยะโฮวาไม่พอพระทัยและทำให้คู่สมรสรวมทั้งตัวเขาเองเจ็บปวดใจ. (อ่านมาลาคี 2:13, 14) ในอีกด้านหนึ่ง ขอให้ใคร่ครวญถึงผลประโยชน์ที่คุณจะได้รับหากรักษาตัวให้บริสุทธิ์สะอาด. คุณไม่เพียงจะมีความหวังเรื่องชีวิตนิรันดร์ แต่จะมีชีวิตที่ดีที่สุดในเวลานี้ รวมทั้งมีสติรู้สึกผิดชอบที่สะอาดด้วย.—อ่านสุภาษิต 3:1, 2
19 ผู้ประพันธ์เพลงสรรเสริญร้องเพลงว่า “คนทั้งปวงที่รักกฎหมายของ [พระเจ้า] มีความสุขมาก และเหตุที่จะสะดุดกะดากแก่เขาไม่มีเลย.” (เพลง. 119:165) ดังนั้น จงรักความจริงและ “เฝ้าระวังให้ดี จะได้ไม่ประพฤติอย่างคนไร้ปัญญา แต่ประพฤติอย่างคนมีปัญญา” ในสมัยที่ชั่วช้านี้. (เอเฟ. 5:15, 16) เส้นทางชีวิตที่เราเดินอยู่เต็มไปด้วยกับดักที่ซาตานวางไว้เพื่อจับผู้นมัสการแท้. แต่พระยะโฮวาทรงเตรียมเราไว้ให้พร้อมเพื่อป้องกันตัวเราเอง. พระองค์ทรงประทานทุกสิ่งที่เราจำเป็นต้องมีเพื่อจะ “ยืนหยัด” และ “ดับลูกศรเพลิงทั้งหมดของตัวชั่วร้าย”!—เอเฟ. 6:11, 16
-