แนวคิดนี้เข้ามาในศาสนาต่าง ๆ ทางตะวันออก
“ผมคิดเสมอว่าสภาพอมตะของจิตวิญญาณคือสัจธรรมสากลที่ทุกคนยอมรับ. ดังนั้น ผมจึงรู้สึกแปลกใจจริง ๆ ที่มารู้ว่าผู้ทรงภูมิปัญญาบางคนทั้งจากตะวันออกและตะวันตกต่างก็โต้แย้งความเชื่อนี้อย่างเผ็ดร้อน. ตอนนี้ผมสงสัยว่าแนวคิดเรื่องสภาพอมตะนี้เข้ามาในจิตสำนึกของชาวฮินดูได้อย่างไร.”—นักศึกษามหาวิทยาลัยคนหนึ่งซึ่งได้รับการเลี้ยงดูอย่างชาวฮินดู.
1. เหตุใดเราพึงสนใจความรู้เรื่องพัฒนาการและการแพร่หลายของหลักคำสอนศาสนาต่าง ๆ เรื่องสภาพอมตะของมนุษย์?
แนวคิดที่ว่ามนุษย์มีจิตวิญญาณซึ่งเป็นอมตะได้เข้ามาในศาสนาฮินดูและศาสนาอื่น ๆ ของทางตะวันออกได้อย่างไร? คำถามนี้น่าสนใจแม้แต่สำหรับคนที่อยู่ทางตะวันตกซึ่งอาจไม่คุ้นกับศาสนาเหล่านี้ เนื่องจากความเชื่อดังกล่าวส่งผลกระทบต่อทัศนะที่ทุกคนมีต่ออนาคต. เพราะคำสอนเรื่องสภาพอมตะของมนุษย์เป็นสาระสำคัญอย่างเดียวกันในศาสนาส่วนใหญ่ในทุกวันนี้ การรู้ว่าแนวคิดนี้เกิดขึ้นอย่างไรย่อมสามารถส่งเสริมให้มีความเข้าใจและการสื่อความที่ดีขึ้น.
2. เหตุใดอินเดียจึงเป็นแหล่งแห่งอิทธิพลทางศาสนาที่น่าสังเกตในเอเชีย?
2 นีเนียน สมาร์ต ศาสตราจารย์ประจำภาควิชาศาสนาที่มหาวิทยาลัยแลงคาสเตอร์ในบริเตนให้ข้อสังเกตดังนี้: “ศูนย์กลางสำคัญที่สุดของอิทธิพลทางศาสนาในเอเชียเคยเป็นอินเดีย. นี่ไม่ใช่เพียงเพราะอินเดียเองเคยเป็นถิ่นกำเนิดของหลายศาสนา คือ ฮินดู, พุทธ, เชน, สิข, และอื่น ๆ เท่านั้น แต่เป็นเพราะหนึ่งในศาสนาดังกล่าวนั้น คือ ศาสนาพุทธ ได้ส่งผลกระทบอย่างลึกซึ้งต่อวัฒนธรรมของเอเชียตะวันออกเกือบทั้งหมด.” นิคิลานันทะ ผู้คงแก่เรียนชาวฮินดูกล่าวว่า วัฒนธรรมหลายอย่างที่ได้รับผลกระทบด้วยวิธีนี้ “ยังคงถือว่าอินเดียเป็นถิ่นกำเนิดศาสนาของตน.” ถ้าเช่นนั้น คำสอนเรื่องสภาพอมตะแทรกซึมเข้ามาในอินเดียและส่วนอื่น ๆ ของเอเชียอย่างไร?
คำสอนเรื่องการกลับชาติของศาสนาฮินดู
3. ตามคำกล่าวของนักประวัติศาสตร์ผู้หนึ่ง ใครน่าจะเป็นผู้นำเอาแนวคิดเรื่องการย้ายที่อยู่ของจิตวิญญาณมาสู่อินเดีย?
3 ในศตวรรษที่หก ก.ส.ศ. ขณะที่พีทาโกรัสกับเพื่อน ๆ ในกรีซกำลังส่งเสริมทฤษฎีการย้ายที่อยู่ของจิตวิญญาณ เหล่าปราชญ์ชาวฮินดูที่อาศัยอยู่ตามริมฝั่งแม่น้ำสินธุและคงคาในอินเดียต่างกำลังพัฒนาแนวคิดเดียวกัน. นักประวัติศาสตร์ อาร์โนลด์ ทอยน์บี กล่าวว่า การปรากฏพร้อมกันของความเชื่อนี้ “ในแวดวงชาวกรีกและในอินเดียนั้นยากจะเป็นเรื่องบังเอิญได้.” ทอยน์บีชี้ให้เห็นว่า “แหล่ง [แห่งอิทธิพล] ร่วมที่อาจเป็นไปได้คือ สังคมของชนเผ่าเร่ร่อนชาวยูเรเชียซึ่งในศตวรรษที่ 8 และ 7 ก่อน ค.ศ. ได้ย้ายลงมาทางอินเดีย, เอเชียตะวันตกเฉียงใต้, ประเทศแถบทุ่งหญ้ากึ่งทะเลทรายซึ่งอยู่ตามชายฝั่งทะเลดำ, และคาบสมุทรบอลข่านและอนาโตเลีย.” ปรากฏว่าชนเผ่ายูเรเชียซึ่งย้ายถิ่นนั้นได้นำแนวคิดเรื่องการย้ายที่อยู่ของจิตวิญญาณมายังอินเดีย.
4. เหตุใดแนวความคิดเรื่องการย้ายที่อยู่ของจิตวิญญาณจึงดึงดูดใจปราชญ์ชาวฮินดู?
4 ศาสนาฮินดูได้เริ่มต้นในอินเดียก่อนนั้นนานมาก พร้อมกับการมาถึงของชนเผ่าอารยันในราว ๆ ปี 1500 ก.ส.ศ. ตั้งแต่เริ่มต้นเลยทีเดียว ศาสนาฮินดูยึดมั่นในความเชื่อที่ว่า จิตวิญญาณเป็นสิ่งที่ต่างจากร่างกายและจิตวิญญาณอยู่รอดจากความตาย. ดังนั้น ชาวฮินดูจึงทำการบูชาบรรพบุรุษและจัดอาหารให้จิตวิญญาณของผู้ตายรับประทาน. หลายศตวรรษต่อมา เมื่อแนวคิดเรื่องการย้ายที่อยู่ของจิตวิญญาณมาถึงอินเดีย แนวคิดนี้คงต้องดึงดูดใจพวกปราชญ์ชาวฮินดูซึ่งกำลังรับมือกับปัญหาที่มีอยู่ทั่วไปในเรื่องความชั่วและความทุกข์ท่ามกลางมนุษย์. โดยผนวกแนวคิดนี้เข้ากับสิ่งที่เรียกกันว่า กฎแห่งกรรม คือกฎว่าด้วยเหตุและผล ปราชญ์ชาวฮินดูจึงคิดทฤษฎีการกลับชาติขึ้นมา ซึ่งตามทฤษฎีนี้ การดีและการชั่วในชีวิตคนเราจะได้รับรางวัลหรือไม่ก็ถูกลงโทษในภพหน้า.
5. ตามศาสนาฮินดู เป้าหมายสูงสุดของจิตวิญญาณคืออะไร?
5 แต่มีแนวคิดอีกอย่างหนึ่งซึ่งส่งผลกระทบต่อคำสอนของศาสนาฮินดูในเรื่องจิตวิญญาณ. สารานุกรมศาสนาและจริยธรรม (ภาษาอังกฤษ) กล่าวว่า “ดูเหมือนเป็นความจริงที่ว่า ในตอนที่ทฤษฎีการย้ายที่อยู่ของจิตวิญญาณและกรรม ถูกตั้งขึ้น หรือแม้แต่ก่อนหน้านั้นด้วยซ้ำ อีกแนวคิดหนึ่ง . . . ได้ค่อย ๆ เกิดขึ้นมาในแวดวงเล็ก ๆ ของผู้ทรงภูมิปัญญาในอินเดียทางภาคเหนือ คือแนวคิดทางปรัชญาเรื่อง พรหมัน-อัตตา [พรหมันสูงสุดและเป็นนิรันดร์, สัจธรรมสูงสุด].” แนวคิดนี้ถูกรวมเข้ากับทฤษฎีการกลับชาติเพื่อให้คำนิยามเป้าหมายสูงสุดของชาวฮินดู นั่นคือการหลุดพ้นจากวัฏจักรแห่งการย้ายที่อยู่ของจิตวิญญาณเพื่อเป็นอันหนึ่งอันเดียวกันกับสัจธรรมสูงสุด. ชาวฮินดูเชื่อว่าเป้าหมายนี้จะบรรลุได้ด้วยการพยายามอย่างหนักเพื่อให้ได้มาซึ่งความประพฤติที่สังคมยอมรับและความรู้พิเศษของฮินดู.
6, 7. ความเชื่อในปัจจุบันของศาสนาฮินดูในเรื่องชีวิตหลังความตายคืออย่างไร?
6 ด้วยเหตุนั้น ผู้ทรงปัญญาของชาวฮินดูจึงขัดเกลาแนวคิดเรื่องการย้ายที่อยู่ของจิตวิญญาณให้เข้ากับหลักคำสอนเรื่องการกลับชาติโดยผนวกแนวคิดนี้เข้ากับเรื่องกฎแห่งกรรมและแนวความคิดเรื่องพรหมัน. ออกตาเบียว ปาซ กวีผู้ได้รับรางวัลโนเบลและอดีตเอกอัครราชทูตชาวเม็กซิกันประจำอินเดียเขียนว่า “เมื่อศาสนาฮินดูแพร่หลาย แนวคิด . . . ซึ่งเป็นแก่นสำคัญของศาสนาพราหมณ์, พุทธ, และศาสนาอื่น ๆ ในเอเชียก็แพร่ไปด้วยคือ เมเตมไซโคซิส ซึ่งก็คือการที่จิตวิญญาณย้ายที่อยู่จากที่หนึ่งไปอีกที่หนึ่งต่อเนื่องกันไป.”
7 หลักคำสอนเรื่องการกลับชาติเป็นแก่นของศาสนาฮินดูสมัยปัจจุบัน. นิคิลานันทะ นักปรัชญาชาวฮินดูกล่าวว่า “การบรรลุสภาพอมตะหาใช่สิทธิพิเศษเฉพาะของผู้ที่ถูกเลือกไม่กี่คนเท่านั้น แต่เป็นสิทธิที่ทุกคนมีแต่กำเนิด นั่นแหละเป็นความเชื่อมั่นของชาวฮินดูผู้เลื่อมใสทุกคน.”
วัฏสงสารในศาสนาพุทธ
8-10. (ก) ศาสนาพุทธให้คำนิยามสำหรับการมีชีวิตอยู่ว่าอย่างไร? (ข) ผู้คงแก่เรียนชาวพุทธอธิบายอย่างไรในเรื่องการเกิดใหม่?
8 ศาสนาพุทธถูกก่อตั้งขึ้นในอินเดียประมาณปี 500 ก.ส.ศ. ตามตำนานของศาสนาพุทธ เจ้าชายชาวอินเดียองค์หนึ่งนามว่าสิทธารถเคาตมะ ซึ่งมาเป็นที่รู้จักในฐานะพระพุทธเจ้านั้นได้ตั้งศาสนาพุทธขึ้นภายหลังการตรัสรู้. เนื่องจากศาสนานี้มีต้นตอจากศาสนาฮินดู คำสอนของศาสนานี้จึงคล้ายกับคำสอนบางอย่างของศาสนาฮินดู. ตามที่ศาสนาพุทธสอน การมีชีวิตอยู่เป็นวัฏสงสารที่ไม่รู้จบ และเช่นเดียวกับในศาสนาฮินดู สถานะของแต่ละคนในชีวิตปัจจุบันถูกกำหนดโดยการกระทำของเขาในชาติก่อน.
9 แต่ศาสนาพุทธไม่ได้นิยามการมีชีวิตอยู่ในแง่ของจิตวิญญาณของบุคคลซึ่งอยู่รอดจากความตาย. อาร์โนลด์ ทอยน์บี ให้ข้อสังเกตว่า “[พระพุทธเจ้า] ได้เห็นในตัวมนุษย์แค่กลุ่มของภาวะทางจิตต่าง ๆ ที่ไม่ต่อเนื่องกัน ซึ่งถูกยึดไว้ด้วยกันโดยกิเลสเท่านั้น.” กระนั้น พระพุทธเจ้าเชื่อว่าสิ่งหนึ่ง—คือสภาพหรือพลังบางอย่าง—ถูกส่งผ่านจากชีวิตหนึ่งไปสู่อีกชีวิตหนึ่ง. ดร. วาลโปลา ราฮูล ผู้คงแก่เรียนชาวพุทธชี้แจงดังนี้:
10 “สิ่งมีชีวิตเป็นเพียงการรวมกันของพลังหรือพลังงานทางกายและทางจิต. สิ่งที่เราเรียกว่าความตายคือการที่ร่างกายไม่ปฏิบัติงานอย่างสิ้นเชิง. พลังและพลังงานต่าง ๆ เหล่านี้ทั้งหมดหยุดไปพร้อมกับการไม่ปฏิบัติงานของร่างกายไหม? ศาสนาพุทธบอกว่า ‘ไม่.’ เจตนา, กิเลส, ตัณหา, ความปรารถนาที่จะดำรงอยู่, ที่จะมีชีวิตอยู่ต่อไป, ที่จะได้เกิดใหม่เรื่อย ๆ ไป เป็นพลังยิ่งใหญ่ที่กระตุ้นชีวิตทั้งสิ้น, สิ่งที่ดำรงอยู่ทั้งสิ้น ซึ่งกระตุ้นแม้แต่โลกทั้งสิ้น. นี่คือพลังอันใหญ่ยิ่ง พลังงานทรงอำนาจที่สุดในโลก. ตามที่ศาสนาพุทธกล่าว พลังนี้ไม่หยุดไปพร้อมกับการหยุดปฏิบัติงานของร่างกายที่ตาย; แต่พลังนี้สำแดงต่อไปในอีกรูปหนึ่ง โดยก่อการดำรงอยู่ขึ้นอีกซึ่งเรียกกันว่า เกิดใหม่.”
11. ชาวพุทธมีแนวความคิดอย่างไรเกี่ยวกับชีวิตหลังความตาย?
11 แนวความคิดชาวพุทธเกี่ยวกับชีวิตหลังความตายคืออย่างนี้: เป็นการดำรงอยู่นิรันดร์เว้นแต่คนเราบรรลุจุดหมายสุดท้าย คือนิพพาน ซึ่งเป็นการหลุดพ้นจากวัฏสงสาร. นิพพานเป็นสภาพที่ไม่ใช่ทั้งความสุขตลอดกาล และการกลายเป็นอันหนึ่งอันเดียวกับสัจธรรมสูงสุด. นิพพานเป็นเพียงสภาพของการไม่ดำรงอยู่—เป็น “สถานที่ปราศจากความตาย” อยู่เหนือการดำรงอยู่ของบุคคล. พจนานุกรม นิว คอลลิจิเอต ฉบับที่เก้าของเว็บสเตอร์ นิยามคำ “นิพพาน” ว่าเป็น “สถานที่หรือสถานะที่ปราศจากความห่วงกังวล, ความเจ็บปวด, หรือความเป็นจริงทางภววิสัย.” แทนที่จะแสวงหาสภาพอมตะ ชาวพุทธได้รับการสนับสนุนให้บรรลุขั้นที่เหนือกว่านั้นด้วยการบรรลุนิพพาน.
12-14. ศาสนาพุทธนิกายต่าง ๆ นำแนวคิดเรื่องสภาพอมตะเข้ามาอย่างไร?
12 ขณะที่แพร่หลายไปสู่ที่ต่าง ๆ ในเอเชีย ศาสนาพุทธได้ปรับแต่งคำสอนของตนให้เหมาะกับความเชื่อในท้องถิ่น. ตัวอย่างเช่น ศาสนาพุทธนิกายมหายานซึ่งเด่นในประเทศจีนและญี่ปุ่นยึดตามความเชื่อในเรื่องพระโพธิสัตว์ หรือผู้ที่จะตรัสรู้เป็นพระพุทธเจ้า. พระโพธิสัตว์ผัดเลื่อนการเข้าสู่นิพพานเพื่อเกิดใหม่เพื่อจะรับใช้คนอื่น ๆ และช่วยคนเหล่านั้นให้บรรลุนิพพาน. ดังนั้น คนเราสามารถเลือกอยู่ต่อไปในวัฏสงสารแม้ภายหลังบรรลุนิพพานแล้ว.
13 การปรับเปลี่ยนอีกประการหนึ่งซึ่งได้มามีอิทธิพลในจีนและญี่ปุ่นโดยเฉพาะคือหลักคำสอนเรื่องแผ่นดินบริสุทธิ์ทางประจิมทิศ ซึ่งก่อตั้งโดย พุทธอมิตาบ หรืออมิดา. ผู้ที่ร้องเรียกนามของพระพุทธเจ้าด้วยความเชื่อจะได้เกิดใหม่ในแผ่นดินบริสุทธิ์หรืออุทยาน ที่ที่สภาพการณ์เอื้อมากกว่าต่อการบรรลุการตรัสรู้ขั้นสุดท้าย. มีอะไรที่พัฒนาจากคำสอนนี้? ศาสตราจารย์สมาร์ตที่มีกล่าวถึงก่อนหน้านี้อธิบายว่า “เป็นธรรมดาที่ความรุ่งโรจน์แห่งอุทยานซึ่งมีพรรณนาอย่างมีชีวิตชีวาในคัมภีร์มหายานบางเล่มนั้นได้เข้ามาเป็นเป้าหมายสูงสุดแทนเรื่องนิพพานในจินตนาการอันเป็นที่นิยมกัน.”
14 ศาสนาพุทธของชาวทิเบตผสมผสานกับความเชื่อเรื่องอื่น ๆ ในท้องถิ่น. ตัวอย่างเช่น หนังสือของชาวธิเบตอันเกี่ยวกับคนตายพรรณนาชะตากรรมของคนเราในขั้นกลางก่อนการเกิดใหม่. กล่าวกันว่า คนตายจะถูกปล่อยให้สัมผัสแสงเจิดจ้าแห่งสัจธรรมสูงสุด และผู้ที่ไม่สามารถทนแสงนั้นก็จะไม่ได้รับการหลุดพ้นแต่จะเกิดใหม่. เห็นชัดว่าศาสนาพุทธหลายรูปแบบถ่ายทอดแนวคิดเรื่องสภาพอมตะ.
การนมัสการบรรพบุรุษในศาสนาชินโตของญี่ปุ่น
15-17. (ก) การบูชาวิญญาณบรรพบุรุษพัฒนาขึ้นมาอย่างไรในศาสนาชินโต? (ข) ความเชื่อเรื่องสภาพอมตะของจิตวิญญาณเป็นหลักพื้นฐานของศาสนาชินโตอย่างไร?
15 มีศาสนาอยู่แล้วในญี่ปุ่นก่อนที่ศาสนาพุทธเข้ามาในศตวรรษที่หก ส.ศ. นั่นเป็นศาสนาที่ไม่มีชื่อเรียก และศาสนานั้นประกอบด้วยความเชื่อที่ผนวกกับหลักศีลธรรมและขนบประเพณีของประชาชน. แต่เนื่องด้วยมีการนำศาสนาพุทธเข้ามา จึงเกิดความจำเป็นต้องแยกศาสนาของชาวญี่ปุ่นออกจากศาสนาพุทธ. และดังนั้น ชื่อเฉพาะว่า “ชินโต” ซึ่งหมายความว่า “มรรคาแห่งเทพเจ้า” จึงเกิดขึ้น.
16 ศาสนาชินโตดั้งเดิมยึดถือความเชื่อแบบใดอันเกี่ยวกับชีวิตหลังความตาย? สารานุกรมโคดันชะแห่งญี่ปุ่น อธิบายว่า พร้อมกับการเข้ามาของการทำนาข้าวในดินชุ่มน้ำ “เกษตรกรรมในดินชุ่มน้ำทำให้จำเป็นต้องมีชุมชนที่จัดระเบียบอย่างดีและมั่นคง และจึงเกิดมีประเพณีที่เกี่ยวกับการเกษตรขึ้น—ซึ่งต่อมาได้มีบทบาทสำคัญมากในศาสนาชินโต.” ความกลัวจิตวิญญาณที่จากไปชักนำประชาชนในสมัยโบราณเหล่านั้นให้เริ่มต้นประเพณีต่าง ๆ ขึ้นเพื่อทำให้วิญญาณเหล่านั้นสงบ. แล้วประเพณีนี้จึงพัฒนาขึ้นเป็นการบูชาวิญญาณบรรพบุรุษ.
17 ตามความเชื่อของศาสนาชินโต จิตวิญญาณ “ที่จากไป” ยังคงมีลักษณะบุคคลแต่เป็นมลทินเนื่องจากความตาย. เมื่อญาติผู้ตายทำพิธีรำลึกถึง จิตวิญญาณนั้นจึงถูกทำให้บริสุทธิ์ถึงขั้นที่ขจัดเจตนาร้ายทุกอย่างออกไป และจิตวิญญาณนั้นจะได้รับลักษณะที่สงบและดีงาม. ต่อจากนั้น วิญญาณบรรพบุรุษจึงขึ้นสู่ฐานะเทพบรรพบุรุษ หรือผู้พิทักษ์. เนื่องจากศาสนาชินโตอยู่ร่วมสมัยกับศาสนาพุทธ ศาสนาชินโตจึงมีคำสอนบางอย่างเหมือนกับศาสนาพุทธ ซึ่งรวมถึงหลักคำสอนเรื่องอุทยานสวรรค์ด้วย. ดังนั้น เราจึงพบว่าความเชื่อในเรื่องสภาพอมตะเป็นหลักพื้นฐานของศาสนาชินโต.
สภาพอมตะในลัทธิเต๋า, การนมัสการบรรพบุรุษในลัทธิขงจื๊อ
18. ผู้นับถือเต๋ามีความคิดเช่นไรเกี่ยวกับสภาพอมตะ?
18 ลัทธิเต๋าก่อตั้งโดยเหลาจื๊อซึ่งกล่าวกันว่ามีชีวิตอยู่ในประเทศจีนในศตวรรษที่หก ก.ส.ศ. เป้าหมายในชีวิตตามลัทธิเต๋าคือ ทำให้กิจกรรมของมนุษย์ประสานกับเต๋า—คือวิถีแห่งธรรมชาติ. ความคิดของผู้นับถือเต๋าอันเกี่ยวกับสภาพอมตะอาจสรุปได้อย่างนี้: เต๋าคือหลักที่ควบคุมเอกภพ. เต๋าไม่มีการเริ่มต้นและไม่มีจุดจบ. โดยการดำเนินชีวิตประสานกับเต๋า คนเราก็มีส่วนร่วมในเต๋าและได้เป็นนิรันดร์.
19-21. การคาดหมายของผู้นับถือเต๋านำไปสู่ความพยายามเช่นไร?
19 ด้วยการที่พวกเขาพยายามจะเป็นอันหนึ่งอันเดียวกับธรรมชาติ ต่อมาผู้นับถือเต๋าสนใจโดยเฉพาะในเรื่องสภาพชั่วนิรันดร์และการคืนสู่สภาพเดิมของเต๋า. พวกเขาคาดว่า อาจเป็นได้ที่โดยการดำเนินชีวิตประสานกับเต๋าหรือวิถีแห่งธรรมชาติ คนเราอาจค้นพบความลับของธรรมชาติได้และสามารถต้านความเสียหายด้านร่างกาย, โรคภัย, และแม้แต่ความตาย.
20 ผู้นับถือเต๋าเริ่มทดลองด้วยการนั่งสมาธิ, ฝึกการหายใจ, และกำหนดชนิดอาหาร ซึ่งคิดกันว่าอาจชะลอความเสื่อมของร่างกายและความตายได้. ไม่ช้าตำนานต่าง ๆ ก็เริ่มแพร่หลายเกี่ยวกับพวกผู้เป็นอมตะ [เซียน] ที่สามารถเหาะบนเมฆและปรากฏตัวหรือหายตัวได้ตามใจชอบ และที่อาศัยอยู่บนภูเขาศักดิ์สิทธิ์หรือบนเกาะอันไกลโพ้นเป็นเวลานานเหลือคณนา ซึ่งค้ำจุนชีวิตด้วยน้ำค้างหรือผลไม้วิเศษ. ประวัติศาสตร์จีนรายงานว่า ในปี 219 ก.ส.ศ. จักรพรรดิจิ๋นซีฮ่องเต้ได้ส่งกองเรือพร้อมกับเด็กชายและเด็กหญิง 3,000 คนออกไปค้นหาเกาะพงไล้ตามตำนาน ซึ่งเป็นที่พำนักแห่งผู้เป็นอมตะเพื่อนำยาอายุวัฒนะกลับมา. แน่ละ คนเหล่านั้นไม่ได้กลับมาพร้อมกับยาอายุวัฒนะ.
21 การมุ่งค้นหาชีวิตตลอดกาลชักนำผู้นับถือเต๋าให้ทดลองปรุงยาอายุวัฒนะโดยใช้ รสายนเวท (วิชาประสมแร่แปรธาตุ). ตามทัศนะของผู้นับถือเต๋า ชีวิตเกิดขึ้นเมื่อพลังแห่งหยินและหยาง (หญิงและชาย) ซึ่งตรงข้ามกันมาผนึกรวมกัน. ด้วยเหตุนั้น โดยหลอมตะกั่ว (สีเข้ม หรือหยิน) และปรอท (สีสดใส หรือหยาง) รวมเข้าด้วยกัน พวกนักเล่นแร่แปรธาตุเริ่มเลียนแบบกระบวนการของธรรมชาติ และพวกเขาคิดว่าผลที่ได้คงจะเป็นยาที่ทำให้ชีวิตเป็นอมตะ.
22. อิทธิพลจากศาสนาพุทธก่อผลเช่นไรแก่แวดวงศาสนาของชาวจีน?
22 พอถึงศตวรรษที่เจ็ด ส.ศ. ศาสนาพุทธได้รุกเข้าสู่แวดวงศาสนาของชาวจีน. ผลที่ได้จึงเป็นการผสมผเสกันของส่วนต่าง ๆ ของศาสนาพุทธ, ลัทธิภูตผีปิศาจ, และการนมัสการบรรพบุรุษ. ศาสตราจารย์สมาร์ตกล่าวว่า “ทั้งศาสนาพุทธและลัทธิเต๋าต่างก็ได้ให้โครงสร้างและสาระสำคัญแก่ความเชื่อเรื่องชีวิตในชาติหน้าซึ่งไม่ค่อยละเอียดของการนมัสการบรรพบุรุษของชาวจีนโบราณ.”
23. ทัศนะของขงจื๊อในเรื่องการนมัสการบรรพบุรุษเป็นเช่นไร?
23 ขงจื๊อ ปราชญ์ผู้โดดเด่นอีกคนหนึ่งของจีนในศตวรรษที่หก ก.ส.ศ. ซึ่งหลักปรัชญาของเขาได้กลายเป็นพื้นฐานของลัทธิขงจื๊อนั้น ไม่ได้ออกความเห็นมากเท่าไรเกี่ยวกับชีวิตหลังความตาย. แทนที่จะเป็นเช่นนั้น เขาเน้นคุณความดีตามหลักศีลธรรมและความประพฤติอันเป็นที่ยอมรับในสังคม. แต่เขามีเจตคติที่เห็นชอบกับการนมัสการบรรพบุรุษและเน้นมากเกี่ยวกับการปฏิบัติตามขนบประเพณีและพิธีฉลองต่าง ๆ อันเกี่ยวข้องกับวิญญาณของบรรพบุรุษที่ล่วงลับ.
ศาสนาอื่น ๆ ของ ทางตะวันออก
24. ศาสนาเชนสอนอย่างไรในเรื่องจิตวิญญาณ?
24 ศาสนาเชนก่อตั้งในอินเดียในศตวรรษที่หก ก.ส.ศ. พระมหาวีระผู้ก่อตั้งศาสนานี้สอนว่า สิ่งมีชีวิตทุกอย่างมีจิตวิญญาณที่อยู่ตลอดกาลและการที่จิตวิญญาณจะรอดพ้นจากบ่วงกรรมจะเป็นไปได้ก็โดยการละกิเลสและการบำเพ็ญทุกขกิริยาเท่านั้น รวมทั้งการปฏิบัติอย่างเคร่งครัดในเรื่องการไม่ใช้ความรุนแรงต่อสิ่งมีชีวิตทุกชนิด. ผู้นับถือศาสนาเชนยึดถือตามความเชื่อเหล่านี้จนถึงปัจจุบัน.
25, 26. ความเชื่อในเรื่องอะไรบ้างของชาวฮินดูที่พบในศาสนาสิขเช่นกัน?
25 นอกจากนี้ อินเดียยังเป็นถิ่นกำเนิดของศาสนาสิขซึ่งมีประชาชน 19 ล้านคนนับถือ. ศาสนานี้เริ่มต้นในศตวรรษที่ 16 เมื่อคุรุนานักตัดสินใจนำส่วนดีที่สุดของศาสนาฮินดูและอิสลามมาหลอมรวมกันแล้วตั้งศาสนาที่เป็นอันหนึ่งอันเดียวขึ้น. ศาสนาสิขรับเอาความเชื่อของศาสนาฮินดูในเรื่องสภาพอมตะแห่งจิตวิญญาณ, การกลับชาติ, และกรรม.
26 เห็นชัดว่า ความเชื่อที่ว่าชีวิตดำรงอยู่ต่อไปภายหลังร่างกายตายเป็นส่วนที่สำคัญของศาสนาส่วนใหญ่ของทางตะวันออก. แต่จะว่าอย่างไรเกี่ยวกับคริสต์ศาสนจักร, ศาสนายิว, และอิสลาม?
[แผนที่หน้า 10]
(รายละเอียดดูจากหนังสือ)
เอเชียกลาง
แคชเมียร์
ทิเบต
จีน
เกาหลี
ญี่ปุ่น
พาราณสี
อินเดีย
พุทธคยา
พม่า
ไทย
ศรีลังกา
กัมพูชา
ชวา
ศตวรรษที่ 3 ก.ส.ศ.
ศตวรรษที่ 1 ก.ส.ศ.
ศตวรรษที่ 1 ส.ศ.
ศตวรรษที่ 4 ส.ศ.
ศตวรรษที่ 6 ส.ศ.
ศตวรรษที่ 7 ส.ศ.
ศาสนาพุทธส่งผลกระทบต่อทุกประเทศในเอเชียตะวันออก
[รูปภาพหน้า 9]
การกลับชาติเป็นแก่นของศาสนาฮินดู
[รูปภาพหน้า 11]
ผู้นับถือเต๋าพยายามจะอยู่ตลอดไปโดยดำเนินชีวิตประสานกับธรรมชาติ
[รูปภาพหน้า 12]
ขงจื๊อมีเจตคติที่เห็นชอบกับการนมัสการบรรพบุรุษ