-
เมื่อคนที่คุณรักตายจากไปหอสังเกตการณ์ (สาธารณะ) 2016 | ฉบับที่ 3
-
-
จากปก
เมื่อคนที่คุณรักตายจากไป
“พระเจ้ารู้ว่าอะไรดีที่สุด . . . อย่า . . . ร้องไห้ . . . เลยลูก”
หญิงสาวที่ชื่อบีบี้ได้ยินคนหนึ่งกระซิบข้างหูเธอด้วยคำพูดประโยคนี้ในงานศพของพ่อซึ่งเสียชีวิตเพราะอุบัติเหตุทางรถยนต์
บีบี้ผูกพันกับพ่อมาก พอได้ฟังคำพูดแบบนี้ซึ่งมาจากคนที่สนิทกับครอบครัวเธอ แม้เขาจะพูดด้วยเจตนาดี แต่กลับทำให้บีบี้รู้สึกเจ็บปวดใจมากกว่าที่จะเป็นการปลอบใจ เธอได้แต่พูดกับตัวเองว่า “ที่พ่อต้องตาย มันดีที่สุดแล้วเหรอ” ต่อมาเมื่อบีบี้เขียนหนังสือเล่มหนึ่งเกี่ยวกับเรื่องนี้ ข้อความที่เธอเขียนสะท้อนให้เห็นว่าเธอยังเศร้าใจไม่หาย แม้ว่าเหตุการณ์นั้นจะผ่านไปหลายปีแล้ว
ต่อมาบีบี้ได้เข้าใจว่า กว่าคนเราจะลืมความโศกเศร้าได้ก็ต้องใช้เวลา โดยเฉพาะกับคนที่ผูกพันกันอย่างมาก คัมภีร์ไบเบิลพูดไว้อย่างถูกต้องว่าความตายเป็น “ศัตรูตัวสุดท้าย” (1 โครินธ์ 15:26) ความตายเป็นสิ่งที่ไม่มีใครหยุดยั้งได้ และมักจะสร้างปัญหาให้ชีวิตโดยเฉพาะเมื่อเกิดขึ้นแบบที่ไม่ทันตั้งตัว ความตายไม่ต่างอะไรกับโจรที่พรากคนที่เรารักไป และไม่มีใครหนีความตายได้ ดังนั้น ไม่ใช่เรื่องแปลกที่เราอาจรู้สึกมืดแปดด้าน เพราะไม่รู้ว่าจะรับมืออย่างไรกับการตายของคนที่เรารัก รวมทั้งผลกระทบที่เกิดขึ้นหลังจากนั้น
บางทีคุณอาจสงสัยว่า ‘จะต้องใช้เวลานานแค่ไหนถึงจะทำใจได้? เราจะเอาชนะความรู้สึกแบบนั้นได้อย่างไร? ฉันจะปลอบใจคนที่สูญเสียคนที่เขารักได้อย่างไร? มีความหวังอะไรไหมสำหรับคนที่เรารักซึ่งตายจากไป?’
-
-
ผิดไหมที่จะโศกเศร้า?หอสังเกตการณ์ (สาธารณะ) 2016 | ฉบับที่ 3
-
-
จากปก | เมื่อคนที่คุณรักตายจากไป
ผิดไหมที่จะโศกเศร้า?
คุณเคยเจ็บป่วยไหม? บางทีคุณอาจหายเร็วมากจนจำแทบไม่ได้ว่าช่วงที่ป่วยเป็นอย่างไร แต่ความโศกเศร้าไม่เหมือนกับความเจ็บป่วย ดร. อลัน วูลเฟลต์ เขียนไว้ในหนังสือการเยียวยาหัวใจของคนที่สูญเสียคู่ชีวิต (ภาษาอังกฤษ) ว่า “ไม่มีอะไรจะทำให้ ‘ลืม’ ความโศกเศร้าได้” แต่เขาก็เขียนอีกว่า “เวลาที่ผ่านไปกับกำลังใจที่ได้รับจากคนอื่นจะช่วยให้คลายความเศร้าได้”
ขอให้นึกถึงตัวอย่างของอับราฮัมผู้ชายที่เคยมีชีวิตอยู่เมื่อหลายพันปีก่อน ตอนที่ภรรยาของเขาตายจากไป คัมภีร์ไบเบิลบอกว่า “อับราฮัมร้องไห้เสียใจและไว้ทุกข์ให้ซาราห์” ดูเหมือนว่าอับราฮัมโศกเศร้าอยู่ระยะหนึ่งกว่าจะทำใจได้a กรณีของยาโคบก็เหมือนกัน เขาถูกหลอกให้คิดว่าลูกชายที่ชื่อโยเซฟถูกสัตว์ร้ายฆ่าตาย เขาจึงร้องไห้คร่ำครวญอยู่ “หลายวัน” แต่ไม่มีใครสักคนในครอบครัวปลอบโยนเขาได้ หลายปีผ่านไป ความตายของโยเซฟก็ยังทำให้ยาโคบเศร้าใจอยู่ไม่หาย—ปฐมกาล 23:2; 37:34, 35; 42:36; 45:28
อับราฮัมโศกเศร้าเพราะซาราห์ภรรยาที่เขารักตายจากไป
หลายคนในทุกวันนี้ที่โศกเศร้าเพราะการจากไปของคนที่เขารักและผูกพันก็รู้สึกแบบนั้นด้วย ขอให้เรามาดู 2 ตัวอย่างนี้
“โรเบิร์ตสามีของฉันเสียชีวิตวันที่ 9 กรกฎาคม 2008 เช้าวันที่เกิดอุบัติเหตุก็ไม่ได้มีอะไรแตกต่างจากวันอื่น ๆ เลย หลังจากกินอาหารเช้า ก่อนเขาออกจากบ้าน เราก็ทำเหมือนที่เคยทำ เราหอมแก้มกัน กอดกัน แล้วก็พูดว่า ‘รักคุณนะ’ หกปีผ่านไปใจฉันก็ยังเจ็บปวดไม่หาย และฉันไม่คิดว่าตัวเองจะลืมความสูญเสียครั้งนี้ได้ โรเบิร์ตตายจากฉันไปแล้ว”—เกล อายุ 60 ปี
“แม้ผมจะอยู่โดยไม่มีภรรยาที่แสนรักอยู่ด้วยนานกว่า 18 ปีแล้ว แต่ผมก็ยังคิดถึงเธอเสมอและเศร้าใจที่สูญเสียเธอไป พอผมเห็นธรรมชาติที่สวยงาม ผมก็คิดถึงเธอขึ้นมาทันที ผมอดคิดไม่ได้ว่า ถ้าเธอได้มาเห็นอย่างที่ผมเห็น เธอจะมีความสุขขนาดไหน”—เอเทียน อายุ 84 ปี
เห็นได้ชัดว่า เป็นเรื่องธรรมดาที่คนเราจะรู้สึกเจ็บปวดและยากที่จะลบความรู้สึกนั้นออกไปจากใจ และแต่ละคนก็แสดงความทุกข์โศกไม่เหมือนกัน ดังนั้น เราไม่ควรวิพากษ์วิจารณ์เมื่อเห็นคนที่สูญเสียแสดงความโศกเศร้าอย่างที่เราอาจคิดไม่ถึง ในขณะเดียวกัน เราก็ต้องระวังที่จะไม่ตำหนิตัวเองถ้าดูเหมือนว่าเราร้องไห้คร่ำครวญมากเกินไปเมื่อสูญเสียคนที่เรารัก แล้วเราจะทำอย่างไรถึงจะหายโศกเศร้าได้ล่ะ?
a อิสอัค ลูกชายของอับราฮัมก็โศกเศร้าอยู่หลายปี ในบทความ “จงเลียนแบบความเชื่อของเขา” ในฉบับนี้ เราจะได้เห็นว่า อิสอัคยังโศกเศร้าอยู่ทั้ง ๆ ที่ซาราห์แม่ของเขาตายจากไป 3 ปีแล้ว—ปฐมกาล 24:67
-
-
วิธีรับมือกับความโศกเศร้าหอสังเกตการณ์ (สาธารณะ) 2016 | ฉบับที่ 3
-
-
จากปก | เมื่อคนที่คุณรักตายจากไป
วิธีรับมือกับความโศกเศร้า
คำแนะนำเกี่ยวกับวิธีรับมือกับความโศกเศร้ามีอยู่มากมาย แต่ก็ใช่ว่าจะใช้ได้ทั้งหมด ตัวอย่างเช่น บางคนอาจพูดกับคุณว่า อย่าร้องไห้หรืออย่าแสดงความโศกเศร้าออกมาให้ใครเห็น ส่วนบางคนก็แนะนำไปอีกอย่างหนึ่ง เช่น บอกว่าให้ปลดปล่อยอารมณ์ความรู้สึกออกมาให้หมด แต่คัมภีร์ไบเบิลมีแนวคิดที่สมดุลกว่า ซึ่งแม้แต่นักวิชาการในทุกวันนี้ก็ยังเห็นด้วย
ในบางวัฒนธรรมถือว่าลูกผู้ชายต้องไม่ร้องไห้ แต่การร้องไห้ต่อหน้าคนอื่นเป็นเรื่องที่น่าอับอายขายหน้าจริง ๆ ไหม? นักวิชาการด้านสุขภาพจิตยอมรับว่าเป็นเรื่องปกติที่คนเราจะร้องไห้เมื่อโศกเศร้า และเมื่อเวลาผ่านไป การแสดงความโศกเศร้าออกมาจะช่วยให้คุณสู้ชีวิตต่อไปได้ ไม่ว่าความสูญเสียนั้นจะหนักหนาสาหัสแค่ไหน แต่การเก็บความรู้สึกเอาไว้อาจเป็นผลเสียมากกว่าผลดี คัมภีร์ไบเบิลไม่ได้สนับสนุนความคิดที่ว่าการร้องไห้เสียใจเป็นสิ่งผิดหรือเป็นสิ่งที่ลูกผู้ชายต้องไม่ทำ ขอให้นึกถึงตัวอย่างของพระเยซู ตอนที่ลาซารัสเพื่อนรักของท่านตาย พระเยซูก็ร้องไห้ต่อหน้าผู้คนมากมาย แม้ท่านมีฤทธิ์อำนาจที่จะปลุกคนตายให้ฟื้นได้!—ยอห์น 11:33-35
ความโกรธที่พลุ่งขึ้นเป็นระลอก ๆ เป็นความรู้สึกอย่างหนึ่งที่มาพร้อมกับความโศกเศร้า โดยเฉพาะถ้าเป็นการตายแบบกะทันหัน หรือไม่ทันคาดคิด ผู้สูญเสียอาจรู้สึกโกรธด้วยเหตุผลหลายอย่าง เช่น คำพูดแบบไม่คิดหรือคำพูดที่ไม่มีมูลความจริงซึ่งออกมาจากปากของคนที่น่านับถือ ไมค์ชายคนหนึ่งจากแอฟริกาใต้เล่าว่า “ตอนที่พ่อเสีย ผมเพิ่งอายุ 14 ในงานศพวันนั้น นักเทศน์นิกายแองกลิกันบอกว่า พระเจ้าต้องการคนดี พระองค์เลยรับไปเร็วหน่อยa พอได้ยินแบบนั้นผมฉุนขึ้นมาทันที เพราะเราก็ต้องการพ่อมากเหมือนกัน ถึงพ่อจะตายไป 63 ปีแล้ว ผมก็ยังทำใจไม่ได้”
แล้วความรู้สึกผิดล่ะ? โดยเฉพาะการตายแบบไม่คาดคิด ผู้สูญเสียอาจคิดวนไปวนมาเกี่ยวกับเรื่องนั้นว่า ‘เขาคงจะไม่ตายหรอก ถ้าฉันทำอย่างนั้นอย่างนี้’ หรือคุณอาจเพิ่งทะเลาะกันไปหยก ๆ แล้วปุบปับเขาก็ตายจากไป นี่อาจทำให้คุณรู้สึกผิดเข้าไปใหญ่
ถ้าความรู้สึกผิดและความโกรธยังรบกวนใจคุณอยู่ ก็อย่าเก็บความรู้สึกนั้นไว้คนเดียว คุณอาจระบายกับเพื่อนที่เต็มใจรับฟังและทำให้คุณมั่นใจว่าความรู้สึกแบบนั้นเป็นเรื่องที่เกิดขึ้นได้กับผู้สูญเสีย คัมภีร์ไบเบิลให้ข้อคิดว่า “เพื่อนแท้รักกันอยู่เสมอ และเป็นเหมือนพี่น้องที่เกิดมาเพื่อช่วยกันในเวลาลำบาก”—สุภาษิต 17:17
ผู้ที่จะเป็นเพื่อนที่ดีที่สุดของผู้สูญเสียได้ก็คือพระยะโฮวาพระเจ้าที่สร้างตัวเราขึ้นมา คุณระบายความทุกข์ใจได้โดยอธิษฐานถึงพระองค์ เพราะ “พระองค์ห่วงใยคุณ” (1 เปโตร 5:7) พระเจ้ายังสัญญาว่าทุกคนที่หันมาพึ่งพระองค์จะมี “สันติสุขของพระเจ้าที่เกินความเข้าใจทุกอย่าง” ที่ช่วยปกป้องความคิดและอารมณ์ของพวกเขาไม่ให้ฟุ้งซ่าน (ฟีลิปปี 4:6, 7) นอกจากนี้ ยังมีอีกวิธีหนึ่งที่จะช่วยได้คือ ยอมให้พระเจ้ารักษาความเจ็บปวดทางใจด้วยคำปลอบโยนจากคัมภีร์ไบเบิล ลองเขียนข้อคัมภีร์ที่คุณรู้สึกว่าช่วยปลอบโยนออกมาไว้หลาย ๆ ข้อ (ดูกรอบในหน้านี้) คุณจะท่องจำบางข้อด้วยก็ได้ การคิดถึงข้อคัมภีร์เหล่านั้นอาจช่วยคุณได้มากโดยเฉพาะในคืนที่คุณอยู่คนเดียวและนอนไม่หลับ—อิสยาห์ 57:15
ไม่นานมานี้มีชายวัย 40 คนหนึ่งซึ่งเราจะเรียกเขาว่าแจ็ก ได้สูญเสียภรรยาไปเพราะโรคมะเร็ง แจ็กบอกว่า บางครั้งเขารู้สึกเหงาจับใจ แต่เขารู้สึกว่าการอธิษฐานช่วยได้มาก แจ็กเล่าว่า “เวลาผมอธิษฐานถึงพระยะโฮวา ผมก็หายเหงา ผมตื่นกลางดึกบ่อย ๆ แล้วก็หลับต่อไม่ได้ แต่พอผมอ่านและใคร่ครวญคำปลอบโยนต่าง ๆ จากพระคัมภีร์ อธิษฐานระบายความรู้สึกที่อัดอั้นในใจออกมา ผมก็รู้สึกได้ทันทีว่ามีความสงบและสันติสุขที่เกินความเข้าใจทุกอย่างเกิดขึ้นในตัวผม ทำให้ผมหายฟุ้งซ่านและข่มตานอนหลับได้”
เวเนสซาหญิงสาวคนหนึ่งที่สูญเสียแม่ไปเพราะความเจ็บป่วย เธอเป็นอีกคนหนึ่งที่บอกว่า การอธิษฐานช่วยให้เธอมีพลังเข้มแข็งขึ้น เธอเล่าว่า “ในช่วงที่ฉันเศร้าเสียใจจนบอกไม่ถูก ฉันได้แต่ร้องเรียกชื่อพระเจ้าแล้วก็ร้องไห้ พระยะโฮวาฟังคำอธิษฐานของฉันและช่วยให้ฉันเข้มแข็งเสมอ”
ผู้ให้คำปรึกษาบางคนแนะนำคนที่กำลังต่อสู้กับความโศกเศร้าให้พยายามหันไปช่วยเหลือคนอื่น ๆ หรือเป็นอาสาสมัครช่วยงานบริการสังคม การทำแบบนั้นจะทำให้เขามีความสุขและอาจทำให้คนนั้นหายโศกเศร้าได้ (กิจการ 20:35) คริสเตียนหลายคนที่เป็นผู้สูญเสียต่างก็รู้สึกว่าการทำงานช่วยเหลือผู้อื่นทำให้พวกเขาเองมีกำลังใจขึ้นมาก—2 โครินธ์ 1:3, 4
a นี่ไม่ใช่คำสอนจากคัมภีร์ไบเบิล พระคัมภีร์บอกว่ามี 3 สาเหตุที่ทำให้คนเราตาย—ปัญญาจารย์ 9:11; ยอห์น 8:44; โรม 5:12
-
-
ปลอบโยนคนที่โศกเศร้าหอสังเกตการณ์ (สาธารณะ) 2016 | ฉบับที่ 3
-
-
จากปก | เมื่อคนที่คุณรักตายจากไป
ปลอบโยนคนที่โศกเศร้า
คุณเคยรู้สึกแบบนี้ไหม คุณเห็นญาติหรือเพื่อนสนิทเศร้าเสียใจเพราะการจากไปของคนที่เขารัก คุณอยากช่วย แต่ก็ไม่รู้ว่าจะช่วยอย่างไร? บางครั้งเราอาจไม่แน่ใจว่าจะพูดหรือทำอะไรดี เราเลยอยู่เฉย ๆ ไม่พูดหรือทำอะไรสักอย่าง แต่ที่จริงมีหลายวิธีที่ดีและมีประโยชน์ที่เราอาจทำได้
สิ่งที่คุณน่าจะทำมากที่สุดก็คืออยู่กับเขา และอาจพูดเพียงสั้น ๆ ว่า “เสียใจด้วยนะ” ในหลายวัฒนธรรม ผู้คนอาจแสดงความห่วงใยด้วยการกอดหรือบีบแขนเบา ๆ ถ้าผู้ที่กำลังโศกเศร้าอยากพูดอะไร ก็ควรฟังเขาด้วยความรู้สึกเห็นอกเห็นใจ สิ่งสำคัญที่สุดที่ต้องไม่ลืมคือ การทำอะไรบางอย่างเพื่อครอบครัวของผู้สูญเสีย อาจช่วยทำงานที่พวกเขาทำไม่ได้ในตอนนั้น เช่น ทำอาหาร เอาใจใส่เด็ก ๆ หรือช่วยงานต่าง ๆ ในงานศพถ้าพวกเขาอยากให้ช่วย การทำสิ่งเหล่านี้อาจมีประโยชน์มากกว่าคำพูดด้วยซ้ำ
จากนั้น คุณอาจรู้สึกอยากพูดถึงผู้ตาย โดยพูดถึงลักษณะนิสัยที่ดีหรือช่วงเวลาที่คุณเคยมีความสุขด้วยกัน การพูดคุยเรื่องแบบนี้อาจทำให้ผู้สูญเสียถึงกับยิ้มได้ ตัวอย่างเช่น แพมซึ่งสูญเสียสามีที่ชื่อเอียนไปเมื่อ 6 ปีก่อนพูดว่า “บางครั้งก็มีคนพูดให้ฉันฟังเกี่ยวกับสิ่งดี ๆ ที่เอียนเคยทำเพื่อพวกเขา ซึ่งบางเรื่องฉันก็ไม่เคยรู้มาก่อน พอฟังแล้วก็รู้สึกปลื้มใจจริง ๆ”
นักวิจัยหลายคนบอกว่า ผู้สูญเสียหลายคนได้รับความช่วยเหลือมากมายเฉพาะในช่วงแรก ๆ เท่านั้น แต่พอเพื่อน ๆ เริ่มกลับไปวุ่นวายกับชีวิตของตัวเอง ไม่ช้าพวกเขาก็ลืมไปว่าผู้สูญเสียยังต้องการความช่วยเหลืออยู่ ดังนั้น ถ้าเพื่อนของคุณสูญเสียคนที่เขารัก ก็ขอให้พยายามติดต่อกับเขาเป็นประจำหลังจากการสูญเสียนั้นa ผู้สูญเสียหลายคนรู้สึกขอบคุณจริง ๆ ที่มีโอกาสระบายความโศกเศร้าที่ยังฝังลึกอยู่ในใจแม้ว่าวันเวลาจะผ่านไปนานแล้วก็ตาม
ให้เรามาดูตัวอย่างของเด็กสาวชาวญี่ปุ่นที่ชื่อคาโอริ เธอแทบจะหมดอาลัยตายอยากกับชีวิตเพราะเธอเพิ่งเสียแม่ไปได้แค่ 15 เดือนพี่สาวก็มาตายจากไปอีกคน แต่ยังดีที่เธอได้รับกำลังใจเสมอจากเพื่อนที่รักและห่วงใยเธอจริง ๆ เพื่อนคนหนึ่งที่ชื่อริตสุโกะ ซึ่งอายุแก่กว่าคาโอริมากได้เสนอตัวที่จะเป็นเพื่อน แต่คาโอริบอกว่า “พูดก็พูดเถอะ ฉันไม่ได้ดีใจเลย เพราะฉันไม่อยากให้ใครมาแทนที่แม่ฉัน แล้วฉันก็ไม่คิดว่าจะมีใครมาแทนที่ท่านได้ แต่เพราะคุณแม่ริตสุโกะเอาใจใส่ดูแลฉันดีมาก ๆ ไม่นานฉันก็สนิทกับท่านมากขึ้น ทุกสัปดาห์ เราออกไปสอนศาสนาด้วยกัน ไปประชุมคริสเตียนด้วยกัน ท่านชวนฉันไปดื่มน้ำชา เอาอาหารมาให้ เขียนจดหมายเขียนการ์ดให้ฉันหลายต่อหลายครั้ง คุณแม่ริตสุโกะเป็นคนที่มองโลกในแง่ดี แล้วฉันก็ได้ซึมซับความคิดแบบเดียวกับท่านด้วย”
คุณแม่ของคาโอริจากเธอไป 12 ปีแล้ว ตอนนี้เธอกับสามีเป็นผู้เผยแผ่ศาสนาแบบเต็มเวลา คาโอริพูดว่า “คุณแม่ริตสุโกะยังคงรักและห่วงใยฉัน ทุกครั้งที่ฉันกลับบ้าน ฉันจะไปหาท่าน แล้วท่านก็เล่าเรื่องดี ๆ ให้ฟัง ซึ่งทำให้ฉันรู้สึกสดชื่นและมีกำลังใจ”
อีกคนหนึ่งที่ได้รับประโยชน์จากความช่วยเหลือแบบต่อเนื่องก็คือพอลี ซึ่งเป็นพยานพระยะโฮวาในไซปรัส พอลีมีสามีชื่อซอโซส เขาเป็นคนใจดีและเป็นคริสเตียนผู้ดูแลที่วางตัวอย่างในเรื่องการเอาใจใส่ดูแลพี่น้อง เขามักจะเชิญพี่น้องที่เป็นลูกกำพร้าและแม่ม่ายมาที่บ้านเพื่อพูดคุยและกินอาหารด้วยกัน (ยากอบ 1:27) แต่น่าเสียดายที่ซอโซสอายุสั้น เขาเพิ่งอายุ 53 แต่ก็มาตายเพราะโรคเนื้องอกในสมอง พอลีบอกว่า “สามีที่แสนดีจากฉันไปแล้ว เราอยู่กินกันมาถึง 33 ปี”
หาวิธีดี ๆ เพื่อช่วยผู้ที่สูญเสียคนที่เขารัก
หลังจากงานศพ เธอกับแดเนียลลูกชายคนเล็กวัย 15 ก็ย้ายไปอยู่ที่แคนาดา เธอกับลูกไปร่วมการประชุมกับพยานพระยะโฮวาที่นั่น พอลีเล่าว่า “เพื่อน ๆ ในประชาคมใหม่นี้ไม่รู้อะไรเลยเกี่ยวกับชีวิตที่ผ่านมาของฉัน พวกเขาไม่รู้ว่าฉันต้องเจอความยากลำบากอะไรบ้าง แต่พวกเขาก็เข้ามาหาเรา พูดกับเราอย่างกรุณา และให้ความช่วยเหลือที่เป็นประโยชน์มาก ความช่วยเหลือแบบนี้มีค่ามากจริง ๆ โดยเฉพาะช่วงที่ลูกชายฉันต้องการพ่อมากที่สุด ผู้ดูแลในประชาคมรักและเอ็นดูแดเนียลมาก แล้วก็มีอยู่คนหนึ่งที่ชอบมาชวนแดเนียลเสมอเวลาจะออกไปเล่นฟุตบอลหรือเมื่อมีการสังสรรค์กัน” ตอนนี้พอลีกับลูกผ่านวันร้าย ๆ ไปได้ด้วยดี
แน่นอนว่า มีหลายวิธีที่เราอาจทำได้เพื่อช่วยเหลือและปลอบโยนคนที่โศกเศร้า แต่คัมภีร์ไบเบิลยังปลอบโยนเราด้วยความหวังที่น่าตื่นเต้นซึ่งรออยู่ข้างหน้า
a บางคนถึงกับกาเครื่องหมายไว้ในปฏิทินเพื่อจะไม่ลืมและจะได้ปลอบใจญาติหรือเพื่อน ๆ ที่สูญเสียคนที่เขารักเมื่อถึงวันครบรอบการตาย หรือใกล้จะถึงวันนั้น
-
-
คนตายจะกลับมามีชีวิตอีก!หอสังเกตการณ์ (สาธารณะ) 2016 | ฉบับที่ 3
-
-
จากปก | เมื่อคนที่คุณรักตายจากไป
คนตายจะกลับมามีชีวิตอีก!
คุณคงจำได้ว่าในบทความก่อนหน้านี้ เราพูดถึงเกล ผู้หญิงคนหนึ่งที่สูญเสียสามีไป เธอสงสัยว่าตัวเองจะมีวันหายโศกเศร้าไหม แต่เธอก็รอวันที่จะได้เจอโรเบิร์ตสามีของเธออีกครั้งในโลกใหม่ที่พระเจ้าสัญญาไว้ เธอพูดว่า “ข้อคัมภีร์ที่ฉันชอบมากคือวิวรณ์ 21:3, 4” ข้อนี้อ่านว่า “พระเจ้าจะอยู่กับพวกเขา และพระเจ้าจะเช็ดน้ำตาทุกหยดจากตาของพวกเขา ความตายจะไม่มีอีกต่อไป ความโศกเศร้าหรือเสียงร้องไห้เสียใจหรือความเจ็บปวดจะไม่มีอีกเลย สิ่งที่เคยมีอยู่นั้นผ่านพ้นไปแล้ว”
เกลบอกว่า “คำสัญญานี้แหละใช่เลย ฉันรู้สึกเห็นใจคนที่สูญเสียคนที่เขารัก ซึ่งไม่รู้ว่าเขามีความหวังที่จะได้เจอกับคนที่เขารักอีกครั้ง” เกลทำตามความเชื่อของเธอ โดยอาสาทำงานเผยแผ่ศาสนาแบบเต็มเวลา เธอบอกให้ผู้คนรู้เรื่องคำสัญญาของพระเจ้าเกี่ยวกับอนาคตที่ว่า “ความตายจะไม่มีอีกต่อไป”
โยบมั่นใจว่าเขาจะได้กลับมามีชีวิตอีกครั้ง
คุณอาจสงสัยว่า “จะเป็นไปได้ยังไง?” แต่ขอให้ลองคิดถึงตัวอย่างของชายคนหนึ่งที่ชื่อโยบ เขาป่วยหนักจนคิดว่าตัวเองคงไม่รอด (โยบ 2:7) แม้โยบพูดว่าเขาอยากตาย แต่เขาก็ยังเชื่อว่าพระเจ้ามีฤทธิ์อำนาจที่จะปลุกเขาให้ฟื้นขึ้นมามีชีวิตอีกบนโลก เขาพูดอย่างมั่นใจว่า “คงจะดีถ้าพระองค์ซ่อนผมไว้ในหลุมศพ . . . พระองค์จะเรียก และผมจะตอบ พระองค์คิดถึงคนที่พระองค์สร้างมากเหลือเกิน” (โยบ 14:13, 15) โยบมั่นใจว่าพระเจ้าจะไม่ลืมเขาและพระองค์ก็อยากให้เขากลับมามีชีวิตอีกครั้ง
ในไม่ช้านี้ พระเจ้าจะปลุกโยบและคนอื่น ๆ อีกมากมายให้กลับมามีชีวิตอีกครั้ง พวกเขาจะได้อยู่ในโลกที่ได้รับการฟื้นฟูจนเป็นอุทยานที่สวยงาม (ลูกา 23:42, 43) คัมภีร์ไบเบิลรับรองไว้ในหนังสือกิจการ 24:15 ว่า จะมีการ “ฟื้นขึ้นจากตาย” และพระเยซูก็ยืนยันกับเราว่า “ไม่ต้องแปลกใจในเรื่องนี้ เพราะจะมีเวลาที่ทุกคนซึ่งอยู่ในอุโมงค์ฝังศพจะได้ยินเสียงท่าน และจะออกมา” (ยอห์น 5:28, 29) โยบจะได้เห็นคำสัญญาเรื่องนี้เป็นจริง เขามีความหวังที่จะกลับมา “มีเรี่ยวแรงเหมือนตอนเป็นหนุ่ม” และเนื้อหนังของเขาจะ “เปล่งปลั่งยิ่งกว่าตอนเป็นเด็ก” (โยบ 33:24, 25) เรื่องนี้จะเกิดขึ้นกับทุกคนที่เชื่อและรู้สึกขอบคุณในความเมตตาของพระเจ้าที่สัญญาว่าจะปลุกคนตายให้กลับมามีชีวิตบนโลกอีกครั้ง
ถ้าคุณสูญเสียคนที่คุณรัก แม้การพิจารณาเรื่องเหล่านี้อาจไม่ได้ช่วยให้คุณหายเศร้าเป็นปลิดทิ้ง แต่การคิดใคร่ครวญเกี่ยวกับคำสัญญาต่าง ๆ ของพระเจ้าที่มีบอกไว้ในคัมภีร์ไบเบิล จะช่วยให้คุณพบความหวังแท้ และทำให้คุณมีกำลังใจที่จะสู้ชีวิตต่อไป—1 เธสะโลนิกา 4:13
คุณอยากเรียนรู้มากขึ้นเกี่ยวกับวิธีเอาชนะความโศกเศร้าไหม? หรือมีข้อสงสัยเกี่ยวกับเรื่องแบบนี้ไหม เช่น “ทำไมพระเจ้ายอมให้มีความทุกข์?” เชิญเข้าไปดูเว็บไซต์ของเราที่ jw.org/th เพื่อดูว่าคัมภีร์ไบเบิลมีคำตอบที่ให้กำลังใจและเป็นประโยชน์ต่อคุณอย่างไร
-