-
อ่านข้อคัมภีร์โดยมีการเน้นอย่างถูกต้องการรับประโยชน์จากโรงเรียนการรับใช้ตามระบอบของพระเจ้า
-
-
บทเรียน 21
อ่านข้อคัมภีร์โดยมีการเน้นอย่างถูกต้อง
เมื่อคุณพูดเรื่องพระประสงค์ของพระเจ้ากับคนอื่น ไม่ว่าจะพูดเป็นส่วนตัวหรือจากเวที การพิจารณาของคุณควรยึดสิ่งที่อยู่ในพระคำของพระเจ้าเป็นหลัก. สิ่งนี้มักเกี่ยวข้องกับการอ่านข้อต่าง ๆ จากคัมภีร์ไบเบิลซึ่งควรอ่านให้ดีที่สุด.
การเน้นอย่างถูกต้องเกี่ยวข้องกับความรู้สึก. ควรอ่านข้อคัมภีร์ต่าง ๆ ด้วยความรู้สึก. ขอพิจารณาบางตัวอย่าง. เมื่ออ่านออกเสียงบทเพลงสรรเสริญ 37:11 น้ำเสียงของคุณควรถ่ายทอดความหวังอันน่ายินดีเกี่ยวกับสันติสุขที่ข้อนี้ได้สัญญาไว้. เมื่ออ่านวิวรณ์ 21:4 ที่เกี่ยวกับการขจัดความเจ็บปวดและความตายให้สูญสิ้น น้ำเสียงของคุณควรสะท้อนความหยั่งรู้ค่าอันอบอุ่นสำหรับการปลดเปลื้องที่ยอดเยี่ยมซึ่งบอกไว้ล่วงหน้า. วิวรณ์ 18:2, 4, 5 ที่เรียกให้หนีออกจาก “บาบูโลนใหญ่” ซึ่งเต็มไปด้วยความบาป ควรอ่านข้อเหล่านี้ด้วยน้ำเสียงที่เร่งเร้า. แน่นอน ควรถ่ายทอดความรู้สึกออกมาจากใจจริง แต่ไม่มากเกินไป. จะอ่านโดยใส่อารมณ์ความรู้สึกมากน้อยแค่ไหนนั้นย่อมขึ้นอยู่กับข้อคัมภีร์ข้อนั้นและจุดประสงค์ที่ใช้ข้อนั้น.
เน้นคำที่ควรเน้น. ถ้าคำอธิบายของคุณในข้อคัมภีร์บางข้อเกี่ยวข้องเพียงส่วนหนึ่งของข้อนั้น คุณก็ควรทำให้ส่วนนั้นเด่นขึ้นตอนที่อ่าน. ยกตัวอย่าง เมื่ออ่านมัดธาย 6:33 คุณจะไม่อ่านเน้นหนักตรงคำ “ความชอบธรรมของพระองค์” หรือ “สิ่งทั้งปวงเหล่านี้” หากคุณตั้งใจจะวิเคราะห์ความหมายของ ‘การแสวงหาราชอาณาจักรก่อน.’
ในคำบรรยายสำหรับการประชุมวิธีปฏิบัติงาน คุณอาจตั้งใจจะอ่านมัดธาย 28:19. คุณควรจะเน้นคำไหน? ถ้าคุณต้องการสนับสนุนให้ขยันขันแข็งในการเริ่มการศึกษาพระคัมภีร์ตามบ้านก็ควรเน้นคำ “ให้เป็นสาวก.” ในอีกด้านหนึ่ง ถ้าคุณตั้งใจพิจารณาหน้าที่รับผิดชอบของคริสเตียนในการแบ่งปันความจริงจากคัมภีร์ไบเบิลให้แก่คนต่างชาติ หรือคุณต้องการสนับสนุนผู้ประกาศบางคนให้ไปรับใช้ในที่ที่มีความจำเป็นมากกว่า คุณก็ควรเน้นคำ “ชนทุกประเทศ.”
บ่อยครั้ง มีการใช้ข้อคัมภีร์เพื่อตอบคำถามหรือสนับสนุนข้อพิสูจน์สิ่งที่คนอื่นมองว่าเป็นข้อที่ขัดแย้งกัน. ถ้าเน้นแนวคิดทุกอย่างที่อยู่ในข้อคัมภีร์นั้นเท่ากันหมด ผู้ฟังก็อาจไม่เข้าใจความเกี่ยวข้องกันระหว่างข้อนั้นกับเรื่องที่พูด. จุดที่คุณเข้าใจดีแต่เขาอาจไม่เข้าใจ.
ยกตัวอย่าง เมื่ออ่านบทเพลงสรรเสริญ 83:18 จากคัมภีร์ไบเบิลซึ่งมีพระนามของพระเจ้าปรากฏอยู่ ถ้าคุณให้การเน้นทั้งหมดอยู่ที่คำ “พระเจ้าใหญ่ยิ่ง” เจ้าของบ้านอาจไม่เข้าใจข้อเท็จจริงที่ชัดเจนที่ว่าพระเจ้าทรงมีพระนาม. คุณควรเน้นตรงพระนาม “พระยะโฮวา.” อย่างไรก็ตาม เมื่อคุณใช้ข้อคัมภีร์เดียวกันนี้ในการพิจารณาพระบรมเดชานุภาพของพระยะโฮวา คุณก็ควรเน้นหนักที่คำ “พระเจ้าใหญ่ยิ่ง.” ทำนองเดียวกัน เมื่อใช้ยาโกโบ 2:24 เพื่อแสดงให้เห็นความสำคัญของการมีความเชื่อควบคู่กับการกระทำ การเน้นหนักที่คำ “คนชอบธรรม” แทนที่จะเน้นคำ “การประพฤติ” ก็อาจทำให้ผู้ฟังบางคนไม่เห็นจุดสำคัญนั้น.
อีกตัวอย่างหนึ่งที่เป็นประโยชน์จะพบได้ในพระธรรมโรม 15:7-13. นี่เป็นส่วนของจดหมายฉบับหนึ่งที่อัครสาวกเปาโลเขียนไปถึงประชาคมที่มีทั้งคนต่างชาติและชาวยิวโดยกำเนิด. ในข้อเหล่านี้ อัครสาวกเปาโลหาเหตุผลว่างานรับใช้ของพระคริสต์ไม่ได้ให้ประโยชน์เฉพาะกับชาวยิวที่รับสุหนัตเท่านั้น แต่ยังให้ประโยชน์ต่อคนชาติต่าง ๆ ด้วยเพื่อว่า “คนต่างประเทศจะได้ถวายเกียรติยศแก่พระเจ้าเพราะความเมตตาของพระองค์.” ครั้นแล้ว เปาโลอ้างพระคัมภีร์สี่ข้อที่นำความสนใจไปที่โอกาสสำหรับชาวต่างชาติ. คุณควรอ่านข้อคัมภีร์ที่อ้างถึงนี้อย่างไรโดยเน้นจุดที่เปาโลคิดอยู่ในใจ? ถ้าคุณจะหมายคำต่าง ๆ ที่จะเน้น ในข้อ 9 คุณอาจหมายคำ “พวกต่างประเทศ,” ข้อ 10 “พวกต่างประเทศทั้งหลาย,” ข้อ 11 “พวกต่างประเทศทั้งหลาย” และ “บรรดาคนทั้งปวง,” และในข้อ 12 “พลประเทศ.” ลองอ่านโรม 15:7-13 ด้วยการเน้นคำดังกล่าว. เมื่อคุณทำเช่นนั้น ก็จะทำให้เข้าใจแนวการหาเหตุผลทั้งหมดของเปาโลได้อย่างชัดเจนและง่ายขึ้น.
วิธีเน้นแบบต่าง ๆ. มีหลายวิธีที่คุณจะเน้นคำที่สื่อความหมายซึ่งต้องการทำให้เด่นขึ้น. วิธีที่คุณใช้ควรเข้ากันกับข้อคัมภีร์นั้นและฉากของคำบรรยายและการพิจารณา. ต่อไปนี้เป็นข้อเสนอแนะบางอย่าง.
การเน้นด้วยเสียง. วิธีนี้เกี่ยวข้องกับการเปลี่ยนน้ำเสียงที่ทำให้คำที่สื่อความหมายเด่นกว่าคำอื่น ๆ ในประโยค. การเน้นวิธีนี้อาจทำได้โดยเพิ่มหรือลดความดัง. ในหลายภาษา การเปลี่ยนระดับเสียงก็เป็นการช่วยเน้น. อย่างไรก็ตาม ในบางภาษาการทำเช่นนั้นอาจทำให้ความหมายเปลี่ยนไปอย่างสิ้นเชิง. เมื่อพูดวลีที่สำคัญ การพูดช้าลงจะเพิ่มน้ำหนักให้วลีนั้น. ในบางภาษาที่ไม่อาจเน้นด้วยเสียงได้ นับว่าจำเป็นที่จะใช้วิธีใดก็ตามที่ใช้กันในภาษานั้นเพื่อจะได้ผลตามที่ต้องการ.
การหยุด. อาจหยุดก่อนหรือหลังการอ่านส่วนสำคัญของข้อคัมภีร์นั้น หรืออาจหยุดทั้งก่อนและหลัง. การหยุดก่อนที่คุณจะอ่านแนวคิดสำคัญย่อมสร้างความคาดหมาย; การหยุดหลังการอ่านย่อมทำให้จุดสำคัญที่ได้ยินฝังลงในใจลึกซึ้งยิ่งขึ้น. อย่างไรก็ตาม ถ้าหยุดบ่อยเกินไปก็จะไม่มีอะไรโดดเด่น.
การกล่าวซ้ำ. คุณอาจเน้นจุดเฉพาะจุดหนึ่งได้โดยการหยุด แล้วอ่านซ้ำคำหรือวลีนั้นอีกครั้ง. บ่อยครั้งดีกว่าที่จะอ่านข้อคัมภีร์จบทั้งข้อแล้วกลับมาอ่านซ้ำคำสำคัญอีกครั้งหนึ่ง.
การออกท่าทาง. ท่าทางและสีหน้ามักจะช่วยเพิ่มอารมณ์ความรู้สึกให้แก่คำหรือวลีหนึ่ง ๆ ได้.
น้ำเสียง. ในบางภาษา บางครั้งน้ำเสียงที่เราอ่านนั้นอาจมีผลต่อความหมายของคำนั้นและทำให้คำนั้นเด่นชัดขึ้น. ในเรื่องนี้ก็เช่นกัน ควรระมัดระวัง โดยเฉพาะเมื่อใช้คำพูดแบบกระทบกระเทียบ.
เมื่อคนอื่นอ่านข้อคัมภีร์. เมื่อเจ้าของบ้านอ่านข้อคัมภีร์ เขาอาจเน้นผิดคำหรือไม่เน้นเลย. คุณจะทำอย่างไร? ปกติแล้วนับว่าดีที่สุดที่จะอธิบายความหมายของข้อคัมภีร์นั้นให้ชัดเจน. หลังจากอธิบายแล้ว คุณอาจชี้โดยตรงให้เขาสนใจคำที่สื่อความหมายในคัมภีร์ไบเบิล.
-
-
การใช้ข้อคัมภีร์อย่างถูกต้องการรับประโยชน์จากโรงเรียนการรับใช้ตามระบอบของพระเจ้า
-
-
บทเรียน 22
การใช้ข้อคัมภีร์อย่างถูกต้อง
เมื่อสอนคนอื่น ต้องทำมากกว่าการอ่านข้อต่าง ๆ จากคัมภีร์ไบเบิล. อัครสาวกเปาโลเขียนถึงติโมเธียวผู้ร่วมงานของท่านดังนี้: “จงทำสุดความสามารถเพื่อสำแดงตนให้เป็นที่พอพระทัยพระเจ้า เป็นคนงานที่ไม่มีอะไรต้องอาย ใช้คำแห่งความจริงอย่างถูกต้อง.”—2 ติโม. 2:15, ล.ม.
เพื่อจะทำดังกล่าวนั้นหมายความว่าเราต้องอธิบายข้อคัมภีร์สอดคล้องกับสิ่งที่คัมภีร์ไบเบิลสอน. เราต้องคำนึงถึงบริบท แทนที่จะเพียงแต่เลือกถ้อยคำที่ดึงดูดใจเราและเสริมความคิดเห็นของเราลงไป. โดยทางผู้พยากรณ์ยิระมะยา พระยะโฮวาทรงเตือนให้ระวังผู้พยากรณ์เหล่านั้นที่ได้อ้างว่ากล่าวคำจากพระโอษฐ์ของพระยะโฮวา แต่ที่แท้แล้ว พวกเขากล่าว “นิมิตในใจของเขาเอง.” (ยิระ. 23:16, ล.ม.) อัครสาวกเปาโลเตือนคริสเตียนให้ระวังการปนเปื้อนพระคำของพระเจ้าด้วยปรัชญาของมนุษย์เมื่อท่านเขียนว่า “วิธีเล่ห์เหลี่ยมซึ่งเป็นที่น่าอาย เราก็ได้สละทิ้งเสียแล้ว, คือไม่ได้ดำเนินในทางอุบาย, และไม่ได้พลิกแพลงพระคำของพระเจ้า.” ในสมัยนั้น พ่อค้าที่คดโกงจะเอาน้ำเจือจางเหล้าองุ่นของตนเพื่อให้ได้ปริมาณและรายได้มากขึ้น. เราไม่เจือปนพระคำของพระเจ้าโดยผสมผสานเข้ากับปรัชญาของมนุษย์. ท่านเปาโลกล่าวว่า “เราไม่เหมือนคนโดยมากที่เอาพระคำของพระเจ้าไปขายกินแต่ว่าเราประกาศด้วยอาศัยพระคริสต์อย่างคนสัตย์ซื่อ, อย่างคนที่มาจากพระเจ้า, และอย่างคนที่อยู่จำเพาะพระพักตร์พระเจ้า.”—2 โก. 2:17; 4:2.
บางครั้ง คุณอาจอ้างข้อคัมภีร์เพื่อเน้นหลักการอย่างหนึ่ง. คัมภีร์ไบเบิลเต็มไปด้วยหลักการที่ให้คำแนะนำที่ดีในการรับมือกับสภาพการณ์ต่าง ๆ. (2 ติโม. 3:16, 17) แต่ควรทำให้แน่ใจว่าคุณใช้ข้อคัมภีร์อย่างถูกต้องและไม่ใช้ข้อคัมภีร์ข้อหนึ่งข้อใดอย่างผิด ๆ ซึ่งจะทำให้ข้อคัมภีร์นั้นดูเหมือนว่ากล่าวตามที่คุณ ต้องการให้กล่าว. (เพลง. 91:11, 12; มัด. 4:5, 6) การใช้ข้อคัมภีร์ต่าง ๆ ต้องสอดคล้องกับพระประสงค์ของพระยะโฮวา และลงรอยกับพระคำของพระเจ้าทั้งเล่ม.
การ “ใช้คำแห่งความจริงอย่างถูกต้อง” ยังหมายรวมถึงการเข้าใจเจตนารมณ์ของสิ่งที่กล่าวในคัมภีร์ไบเบิล. คัมภีร์ไบเบิลไม่ได้เป็น “ไม้กระบอง” ที่เอาไว้รังแกคนอื่น. ผู้สอนศาสนาซึ่งต่อต้านพระเยซูคริสต์ได้ยกข้อความจากพระคัมภีร์ แต่พวกเขาละเลยเรื่องต่าง ๆ ที่สำคัญกว่า ซึ่งรวมไปถึงการแสดงความยุติธรรม, ความเมตตา, และความเชื่อ ซึ่งเป็นสิ่งที่พระเจ้าเรียกร้อง. (มัด. 22:23, 24; 23:23, 24) เมื่อสอนพระคำของพระเจ้า พระเยซูทรงสะท้อนบุคลิกลักษณะของพระบิดา. พระเยซูทรงกระตือรือร้นต่อความจริงอีกทั้งยังรักประชาชนที่พระองค์ทรงสอนอย่างลึกซึ้ง. เราควรมุ่งมั่นติดตามตัวอย่างของพระองค์.—มัด. 11:28.
เราจะแน่ใจได้อย่างไรว่าเราใช้ข้อคัมภีร์อย่างถูกต้อง? การอ่านคัมภีร์ไบเบิลเป็นประจำจะช่วยได้. นอกจากนั้น เราต้องหยั่งรู้ค่าการจัดเตรียมของพระยะโฮวาเกี่ยวกับ “ทาสสัตย์ซื่อและสุขุม” ซึ่งคริสเตียนที่ถูกเจิมด้วยพระวิญญาณกลุ่มนี้ได้รับอาหารฝ่ายวิญญาณเพื่อถ่ายทอดให้ครัวเรือนแห่งความเชื่อ. (มัด. 24:45, ล.ม.) การศึกษาส่วนตัวรวมทั้งการเข้าร่วมประชุมและออกความคิดเห็นเป็นประจำ ณ การประชุมประชาคมจะช่วยเราได้รับประโยชน์จากการสอนที่จัดเตรียมผ่านทางชนชั้นทาสสัตย์ซื่อและสุขุม.
ถ้ามีหนังสือการหาเหตุผลจากพระคัมภีร์ ในภาษาของคุณ และคุณเรียนรู้ที่จะใช้หนังสือนั้นเป็นอย่างดี คุณก็จะหาคำแนะนำที่ต้องการได้ทันทีเกี่ยวกับวิธีอธิบายข้อคัมภีร์อย่างถูกต้องจำนวนหลายร้อยข้อซึ่งใช้กันบ่อย ๆ ในงานรับใช้. ถ้าคุณตั้งใจจะใช้ข้อคัมภีร์ที่ไม่คุ้นเคย ความเจียมตัวจะกระตุ้นคุณให้ทำการค้นคว้าที่จำเป็นเพื่อว่าเมื่อคุณพูด คุณจะใช้คำแห่งความจริงอย่างถูกต้อง.—สุภา. 11:2.
จงแสดงความเกี่ยวข้องกันให้ชัดเจน. เมื่อสอนคนอื่น จงทำให้เขาเข้าใจชัดเจนถึงความเกี่ยวข้องกันระหว่างเรื่องที่พิจารณากับข้อคัมภีร์ต่าง ๆ ที่คุณใช้. ถ้าคุณเริ่มนำข้อคัมภีร์ด้วยการตั้งคำถาม ผู้ฟังก็น่าจะเห็นว่าข้อคัมภีร์นั้นตอบคำถามอย่างไร. ถ้าคุณใช้ข้อคัมภีร์เพื่อสนับสนุนคำพูดบางอย่าง ก็จงทำให้นักศึกษาเข้าใจชัดเจนว่าข้อคัมภีร์นั้นพิสูจน์จุดนั้นอย่างไร.
ตามธรรมดาแล้ว เพียงแค่อ่านข้อคัมภีร์หรือแม้แต่อ่านโดยมีการเน้นด้วยซ้ำยังไม่พอ. พึงจำไว้ว่า คนทั่วไปไม่คุ้นเคยกับคัมภีร์ไบเบิลและอาจจับจุดสำคัญไม่ได้โดยฟังการอ่านเพียงครั้งเดียว. จงนำความสนใจไปยังส่วนของข้อคัมภีร์นั้นที่เกี่ยวข้องโดยตรงกับเรื่องที่คุณพิจารณา.
ตามปกติแล้ว คุณต้องทำให้คำสำคัญเด่นชัด คือคำเหล่านั้นที่เกี่ยวข้องโดยตรงกับจุดที่พิจารณา. วิธีง่ายที่สุดคือกล่าวซ้ำคำที่สื่อความคิดของเรื่องที่พิจารณา. ถ้าพูดกับคนหนึ่ง คุณอาจตั้งคำถามเพื่อช่วยให้เขาเห็นคำสำคัญต่าง ๆ. เมื่อบรรยาย ผู้บรรยายบางคนชอบที่จะบรรลุเป้าหมายโดยการใช้คำอื่นที่มีความหมายเหมือนกันหรือกล่าวซ้ำแนวคิดนั้นอีกครั้ง. อย่างไรก็ตาม ถ้าคุณเลือกใช้วิธีนี้ คุณต้องระวังเพื่อว่าวิธีที่ใช้นั้นจะไม่ทำให้ผู้ฟังมองไม่เห็นความเกี่ยวข้องกันระหว่างจุดที่พิจารณากับถ้อยคำที่อยู่ในข้อคัมภีร์นั้น.
เมื่อทำให้คำสำคัญเด่นชัด คุณได้วางพื้นฐานที่ดี. แต่ไม่ใช่แค่นั้น. คุณเริ่มนำข้อคัมภีร์โดยชี้ให้เห็นชัดเจนถึงเหตุผลที่ใช้ข้อคัมภีร์นั้นไหม? ถ้าเช่นนั้น จงชี้ให้เห็นว่าคำต่าง ๆ ที่คุณเน้นเกี่ยวข้องกันอย่างไรกับสิ่งที่คุณได้เกริ่นให้ผู้ฟังคาดหมาย. จงกล่าวถึงความเกี่ยวข้องกันนั้นให้ชัดเจน. ถึงแม้คุณไม่ได้เริ่มนำข้อคัมภีร์โดยชี้เหตุผลที่ใช้ข้อนั้น คุณก็ควรอธิบายความเกี่ยวข้องกันของข้อคัมภีร์นั้นให้กระจ่าง.
พวกฟาริซายถามพระเยซูด้วยคำถามที่พวกเขาคิดว่าตอบยาก นั่นคือ “ผู้ชายจะหย่าภรรยาของตนเพราะเหตุต่าง ๆ เป็นการถูกต้องตามกฎหมายหรือไม่?” พระเยซูทรงตอบโดยอาศัยเยเนซิศ 2:24. ขอสังเกตว่าพระองค์ทรงมุ่งความสนใจไปยังส่วนเดียวของข้อนั้น แล้วก็ใช้ส่วนนั้นเพื่อตอบคำถาม. เมื่อชี้ให้เห็นว่าผู้ชายและภรรยาเป็น “เนื้ออันเดียวกัน” พระเยซูจึงสรุปดังนี้: “เหตุฉะนั้นซึ่งพระเจ้าได้ผูกพันกันแล้ว อย่าให้มนุษย์ทำให้พรากจากกันเลย.”—มัด. 19:3-6.
คุณควรอธิบายมากน้อยสักแค่ไหนเพื่อจะทำให้เห็นความเกี่ยวข้องกันระหว่างจุดที่พิจารณากับข้อคัมภีร์ที่ยกขึ้นมานั้นอย่างชัดเจน? ผู้ฟังและความสำคัญของจุดที่พิจารณาเป็นองค์ประกอบที่ใช้ตัดสิน. ขอทำให้ง่ายและตรงจุด.
จงหาเหตุผลจากพระคัมภีร์. เกี่ยวกับงานรับใช้ของอัครสาวกเปาโลในเมืองเทสซาโลนีกา กิจการ 17:2, 3 บอกเราว่าท่าน “อ้างข้อความในพระคัมภีร์.” นี่เป็นความสามารถอย่างหนึ่งที่ผู้รับใช้ทุกคนของพระยะโฮวาควรพยายามพัฒนา. ยกตัวอย่าง เปาโลกล่าวถึงข้อเท็จจริงต่าง ๆ เกี่ยวกับชีวิตและงานรับใช้ของพระเยซู และแสดงให้เห็นว่าสิ่งเหล่านี้มีบอกล่วงหน้าไว้แล้วในพระคัมภีร์ภาคภาษาฮีบรู แล้วจากนั้นท่านให้ข้อสรุปที่ทรงพลังโดยกล่าวว่า “พระเยซูองค์นี้ซึ่งเราได้ประกาศแก่ท่านทั้งหลายคือพระคริสต์นั้นเอง.”
เมื่อเขียนจดหมายถึงพี่น้องชาวเฮ็บราย เปาโลอ้างถึงพระคัมภีร์ภาคภาษาฮีบรูหลายครั้ง. เพื่อจะเน้นหรือทำให้จุดหนึ่งชัดเจน ท่านมักทำให้คำหนึ่งหรือวลีสั้น ๆ เด่นชัดขึ้นมา และจากนั้นแสดงให้เห็นความหมายของคำนั้น. (เฮ็บ. 12:26, 27) ดังบันทึกที่พบในพระธรรมเฮ็บรายบท 3 เปาโลยกข้อความจากบทเพลงสรรเสริญ 95:7-11. ขอสังเกตว่าหลังจากนั้นท่านได้ขยายสามส่วนของเรื่องนั้น: (1) การพาดพิงถึงหัวใจ (เฮ็บ. 3:8-12), (2) ความหมายของคำว่า “วันนี้” (เฮ็บ. 3:7, 13-15; 4:6-11), และ (3) ความหมายของคำกล่าวที่ว่า “คนเหล่านั้นจะเข้าในที่สงบสุขของเราไม่ได้” (เฮ็บ. 3:11, 18, 19; 4:1-11). จงพยายามเลียนแบบตัวอย่างนี้ขณะที่คุณใช้ข้อคัมภีร์แต่ละข้อ.
ขอสังเกตวิธีที่พระเยซูทรงหาเหตุผลจากพระคัมภีร์อย่างบังเกิดผลจากบันทึกที่พบในลูกา 10:25-37. ชายคนหนึ่งซึ่งรอบรู้พระบัญญัติถามดังนี้: “อาจารย์เจ้าข้า, ข้าพเจ้าจะต้องทำอะไรเพื่อจะได้ชีวิตนิรันดร์?” ในการตอบ พระเยซูทรงขอให้ชายคนนั้นแสดงทัศนะของเขาเกี่ยวกับเรื่องนั้นก่อน และต่อจากนั้น พระเยซูทรงเน้นความสำคัญของการปฏิบัติตามสิ่งที่กล่าวในพระคำของพระเจ้า. เมื่อเห็นได้ชัดว่าเขาไม่เข้าใจจุดนั้น พระเยซูจึงพิจารณาคำหนึ่งจากพระคัมภีร์อย่างละเอียด นั่นคือคำว่า “เพื่อนบ้าน.” แทนที่จะเพียงแต่บอกความหมายของคำนั้น พระองค์ทรงใช้ตัวอย่างเปรียบเทียบเพื่อช่วยชายคนนั้นให้ได้ข้อสรุปที่ถูกต้องด้วยตัวเขาเอง.
เห็นได้ชัดว่าเมื่อตอบคำถาม พระเยซูไม่เพียงแต่อ้างข้อคัมภีร์ที่ให้คำตอบโดยตรงและชัดเจนเท่านั้น. พระองค์ทรงวิเคราะห์สิ่งที่กล่าวในข้อคัมภีร์เหล่านั้น แล้วนำมาประยุกต์ใช้กับคำถามนั้น.
เมื่อพวกซาดูกายโต้แย้งความหวังเรื่องการกลับเป็นขึ้นจากตาย พระเยซูทรงเพ่งความสนใจไปยังส่วนหนึ่งโดยเฉพาะของเอ็กโซโด 3:6. แต่หลังจากอ้างข้อคัมภีร์นั้นแล้ว พระองค์ไม่ได้หยุดอยู่เพียงแค่นั้น. พระองค์ทรงหาเหตุผลเกี่ยวกับเรื่องนั้นเพื่อแสดงให้เห็นชัดเจนว่าการกลับเป็นขึ้นจากตายเป็นส่วนหนึ่งในพระประสงค์ของพระเจ้า.—มโก. 12:24-27.
ความสามารถในการหาเหตุผลจากพระคัมภีร์อย่างชำนิชำนาญ, ถูกต้อง, และบังเกิดผลนั้นจะเป็นปัจจัยสำคัญที่คุณจะเป็นผู้สอนที่มีความสามารถ.
-
-
แสดงให้เห็นคุณค่าที่ใช้ได้จริงอย่างชัดเจนการรับประโยชน์จากโรงเรียนการรับใช้ตามระบอบของพระเจ้า
-
-
บทเรียน 23
แสดงให้เห็นคุณค่าที่ใช้ได้จริงอย่างชัดเจน
ไม่ว่าคุณพูดกับคนหนึ่งหรือกับผู้ฟังกลุ่มใหญ่ นับว่าไม่สุขุมที่จะทึกทักเอาว่าผู้ฟังจะสนใจเรื่องที่คุณพูดเพียงเพราะคุณสนใจเรื่องนั้น. เรื่องราวที่คุณพูดนั้นสำคัญ แต่ถ้าคุณไม่ทำให้เห็นชัดเจนว่าเรื่องนั้นมีคุณค่าที่ใช้ได้จริง คุณก็อาจดึงความสนใจของผู้ฟังไว้ได้ไม่นาน.
นี่เป็นจริงแม้แต่กับผู้ฟังในหอประชุม. พวกเขาอาจตั้งใจฟังเมื่อคุณใช้ตัวอย่างเปรียบเทียบหรือประสบการณ์ที่ไม่เคยได้ยินมาก่อน. แต่พวกเขาอาจเลิกฟังเมื่อคุณพูดเรื่องที่เขารู้อยู่แล้ว โดยเฉพาะถ้าคุณไม่ได้ขยายเรื่องเหล่านั้น. คุณต้องช่วยผู้ฟังให้เห็นว่าทำไมเรื่องที่คุณพูดจึงเป็นประโยชน์ต่อพวกเขาจริง ๆ และเป็นประโยชน์อย่างไร.
คัมภีร์ไบเบิลสนับสนุนเราให้คิดในแง่การนำไปใช้ได้จริง. (สุภา. 3:21) พระยะโฮวาทรงใช้โยฮันผู้ให้รับบัพติสมาให้ชี้นำประชาชนไปยัง “ปัญญา [“สติปัญญาที่ใช้ได้จริง,” ล.ม.] ของคนชอบธรรม.” (ลูกา 1:17) สติปัญญานี้เกิดจากความเกรงกลัวพระยะโฮวาอย่างเหมาะสม. (เพลง. 111:10) ผู้ที่หยั่งรู้เข้าใจสติปัญญานี้ได้รับการช่วยเหลือให้รับมือกับชีวิตปัจจุบันอย่างประสบผลสำเร็จ และยึดเอาชีวิตแท้ไว้ คือชีวิตนิรันดร์ในอนาคต.—1 ติโม. 4:8; 6:19.
การทำให้คำบรรยายเป็นประโยชน์. ถ้าคำบรรยายของคุณจะเป็นประโยชน์จริง ๆ คุณต้องคิดให้รอบคอบไม่เพียงแต่เนื้อหาที่จะบรรยายเท่านั้น แต่คิดถึงผู้ฟังด้วย. อย่าเพียงแต่คิดถึงผู้ฟังเป็นกลุ่มเท่านั้น. กลุ่มผู้ฟังประกอบไปด้วยบุคคลและครอบครัวต่าง ๆ. กลุ่มนั้นอาจมีเด็กเล็ก ๆ, หนุ่มสาว, ผู้ใหญ่, และบางคนเป็นคนสูงอายุ. อาจมีคนสนใจใหม่ ๆ และคนที่ได้เริ่มรับใช้พระยะโฮวาก่อนที่คุณจะเกิดเสียด้วยซ้ำ. บางคนอาจอาวุโสฝ่ายวิญญาณ; แต่สำหรับบางคน ทัศนะและกิจปฏิบัติบางอย่างของโลกอาจยังมีอิทธิพลต่อเขาอยู่มาก. จงถามตัวเองดังนี้: ‘เรื่องที่ฉันพิจารณาจะเป็นประโยชน์ต่อผู้ฟังเหล่านี้อย่างไร? ฉันจะช่วยพวกเขาให้เข้าใจจุดนี้ได้อย่างไร?’ คุณอาจเลือกที่จะมุ่งความสนใจไปที่แค่หนึ่งหรือสองกลุ่มของผู้ฟัง. อย่างไรก็ตาม อย่าลืมคนอื่น ๆ ไปเสียทั้งหมด.
จะว่าอย่างไรหากคุณได้รับมอบหมายให้พิจารณาคำสอนพื้นฐานของคัมภีร์ไบเบิล? คุณจะทำให้คำบรรยายเป็นประโยชน์ต่อผู้ฟังที่เชื่อคำสอนนั้นอยู่แล้วได้อย่างไร? จงพยายามทำให้ความเชื่อมั่นของผู้ฟังในเรื่องนั้นเข้มแข็งยิ่งขึ้น. คุณจะทำอย่างไร? โดยหาเหตุผลเกี่ยวกับหลักฐานในพระคัมภีร์ที่สนับสนุนเรื่องนั้น. คุณยังอาจทำให้ผู้ฟังหยั่งรู้เข้าใจคำสอนของคัมภีร์ไบเบิลลึกซึ้งยิ่งขึ้นได้. อาจทำเช่นนี้โดยแสดงให้เห็นว่าคำสอนนั้นสอดคล้องกับความจริงเรื่องอื่น ๆ ของคัมภีร์ไบเบิลและคุณลักษณะของพระยะโฮวาอย่างไร. จงใช้ตัวอย่าง ถ้าเป็นได้ ใช้ประสบการณ์จากชีวิตจริงที่เผยให้เห็นว่าการเข้าใจคำสอนนี้เป็นประโยชน์ต่อผู้คนอย่างไร และมีผลต่อทัศนะของพวกเขาเกี่ยวกับอนาคตอย่างไร.
อย่าเพียงแค่บอกสั้น ๆ ถึงวิธีนำไปใช้เฉพาะในคำลงท้ายของคำบรรยายเท่านั้น. ตั้งแต่ต้นทีเดียว ผู้ฟังแต่ละคนควรรู้สึกว่า “เรื่องนี้เกี่ยวข้องกับฉัน.” เมื่อได้วางพื้นฐานเช่นนั้นแล้ว จงแสดงให้เห็นวิธีนำไปใช้ขณะที่คุณขยายจุดสำคัญแต่ละจุดในตัวคำบรรยายรวมทั้งในคำลงท้ายด้วย.
เมื่อแสดงให้เห็นวิธีนำไปใช้ จงทำเช่นนั้นแบบที่สอดคล้องกับหลักการของคัมภีร์ไบเบิล. นั่นหมายความเช่นไร? หมายความว่าทำเช่นนั้นด้วยความรักและการร่วมความรู้สึก. (1 เป. 3:8; 1 โย. 4:8) แม้แต่เมื่อจัดการกับปัญหายุ่งยากในเมืองเทสซาโลนีกา อัครสาวกเปาโลก็ยังเน้นในด้านดีเกี่ยวกับความก้าวหน้าฝ่ายวิญญาณของพี่น้องคริสเตียนที่นั่น. ท่านแสดงความมั่นใจด้วยว่า พวกเขาต้องการ ทำสิ่งที่ถูกต้องเกี่ยวกับเรื่องที่กำลังพิจารณา. (1 เธ. 4:1-12) ช่างเป็นแบบอย่างที่ดีที่ควรเลียนแบบจริง ๆ!
คำบรรยายของคุณมีจุดมุ่งหมายเพื่อกระตุ้นผู้ฟังให้เข้าส่วนร่วมในงานประกาศและการสอนข่าวดีแก่คนอื่นไหม? จงเสริมสร้างความกระตือรือร้นและความหยั่งรู้ค่าต่อสิทธิพิเศษนี้. อย่างไรก็ตาม ขณะที่ทำเช่นนั้น จงจำไว้ว่าแต่ละคนสามารถมีส่วนร่วมในงานนั้นได้ไม่เท่ากัน และคัมภีร์ไบเบิลก็คำนึงถึงเรื่องนี้ด้วย. (มัด. 13:23) อย่าทำให้พี่น้องเป็นทุกข์กังวลด้วยความรู้สึกผิด. เฮ็บราย 10:24 (ล.ม.) กระตุ้นเราให้ “เร้าใจให้เกิดความรักและการกระทำที่ดี.” ถ้าเราเร้าใจให้เกิดความรัก การงานจากแรงกระตุ้นที่ดีก็จะตามมา. แทนที่จะใช้วิธีบังคับให้ปฏิบัติตาม จงตระหนักว่าสิ่งที่พระยะโฮวาต้องการคือให้เราส่งเสริม “การเชื่อฟังด้วยความเชื่อ.” (โรม 16:26, ล.ม.) โดยคำนึงถึงเรื่องนี้ เราพยายามเสริมสร้างความเชื่อทั้งของเราเองและของพี่น้องของเราให้เข้มแข็งยิ่งขึ้น.
การช่วยคนอื่นให้เห็นคุณค่าที่ใช้ได้จริง. ขณะที่คุณให้คำพยาน จงอย่าลืมเน้นคุณค่าที่ใช้ได้จริงของข่าวดี. เพื่อจะทำเช่นนี้ คุณต้องคำนึงถึงความคิดของผู้คนในเขตประกาศ. คุณจะรู้ได้อย่างไร? จงฟังข่าวจากวิทยุหรือโทรทัศน์. ดูข่าวหน้าหนึ่งของหนังสือพิมพ์. นอกจากนั้น พยายามนำผู้คนเข้าสู่การสนทนา และฟังเมื่อพวกเขาพูด. คุณอาจพบว่าพวกเขากำลังต่อสู้กับปัญหาหนัก อาทิเช่น การตกงาน, การจ่ายค่าเช่าบ้าน, ความเจ็บป่วย, การสูญเสียสมาชิกในครอบครัว, อันตรายจากอาชญากรรม, ได้รับความอยุติธรรมจากผู้มีอำนาจ, ครอบครัวล่มสลาย, การควบคุมดูแลเด็กวัยรุ่น, และปัญหาอื่น ๆ. คัมภีร์ไบเบิลจะช่วยพวกเขาได้ไหม? ได้แน่นอน.
เมื่อเริ่มสนทนา คุณคงมีเรื่องที่จะพูดอยู่ในใจแล้ว. อย่างไรก็ตาม ถ้าคนนั้นพูดถึงเรื่องอื่นที่เขาสนใจในตอนนั้น จงอย่าลังเลที่จะพิจารณาเรื่องนั้นถ้าคุณทำได้ หรือเสนอจะกลับเยี่ยมพร้อมกับนำข้อมูลที่เป็นประโยชน์ไปให้. แน่นอน เราหลีกเลี่ยง ‘การก้าวก่ายในเรื่องที่ไม่เกี่ยวกับเรา’ แต่เรายินดีให้คำแนะนำที่ใช้ได้จริงจากคัมภีร์ไบเบิลแก่คนอื่น. (2 เธ. 3:11, ล.ม.) เห็นได้ชัด สิ่งที่จะทำให้ผู้คนประทับใจมากที่สุดคือคำแนะนำจากคัมภีร์ไบเบิลที่เกี่ยวข้องกับชีวิตของเขาเอง.
ถ้าผู้คนเห็นว่าข่าวสารของเราไม่มีผลต่อเขาเป็นส่วนตัวแต่ประการใด เขาก็อาจรีบจบการสนทนา. ถึงแม้พวกเขายอมสนทนากับเรา แต่การที่เราไม่ได้แสดงให้เห็นว่าเรื่องนั้นมีคุณค่าที่ใช้ได้จริงก็อาจทำให้ข่าวสารของเรามีผลต่อชีวิตของพวกเขาน้อยมาก. ในทางกลับกัน ถ้าเราทำให้เห็นชัดเจนว่าข่าวสารนั้นมีคุณค่าที่ใช้ได้จริง การสนทนาของเราก็อาจเปลี่ยนชีวิตผู้คนได้.
เมื่อนำการศึกษาคัมภีร์ไบเบิล จงเน้นวิธีนำไปใช้ได้จริงอยู่เรื่อย ๆ. (สุภา. 4:7) จงช่วยนักศึกษาให้เข้าใจคำแนะนำ, หลักการ, และตัวอย่างต่าง ๆ ในพระคัมภีร์ที่แสดงให้พวกเขาเห็นวิธีดำเนินในแนวทางของพระยะโฮวา. จงเน้นประโยชน์จากการทำเช่นนั้น. (ยซา. 48:17, 18) การทำเช่นนี้จะกระตุ้นนักศึกษาให้ทำการเปลี่ยนแปลงที่จำเป็นในชีวิตของเขา. จงเสริมสร้างพวกเขาขึ้นให้มีความรักต่อพระยะโฮวาและมีความปรารถนาที่จะทำให้พระองค์พอพระทัย, และให้แรงกระตุ้นที่จะนำคำแนะนำจากพระคำของพระเจ้าไปใช้นั้นออกมาจากภายใน.
-