-
ปัญหาระดับโลกตื่นเถิด! 2001 | พฤศจิกายน 8
-
-
ปัญหาระดับโลก
“การฆ่าตัวตายเป็นปัญหาร้ายแรงด้านสาธารณสุข.”—เดวิด แซตเชอร์ แพทย์ใหญ่ที่ปรึกษาด้านสาธารณสุขของประธานาธิบดีสหรัฐ ในปี 1999.
นี่ถือเป็นครั้งแรกที่แพทย์ใหญ่ที่ปรึกษาด้านสาธารณสุขของประธานาธิบดีสหรัฐได้กล่าวว่า การฆ่าตัวตายเป็นปัญหาที่ต้องให้ความสนใจ. ปัจจุบันผู้ที่ฆ่าตัวเองในสหรัฐมีจำนวนมากกว่าผู้ที่ถูกคนอื่นฆ่า. ไม่น่าแปลกใจที่วุฒิสภาสหรัฐประกาศว่าการป้องกันการฆ่าตัวตายเป็นงานเร่งด่วนของชาติ.
กระนั้น อัตราการฆ่าตัวตายในสหรัฐซึ่งอยู่ที่ 11.4 ต่อประชากร 100,000 คนในปี 1997 ก็ต่ำกว่าอัตราทั่วโลกซึ่งมีการพิมพ์เผยแพร่โดยองค์การอนามัยโลกในปี 2000 ซึ่งอยู่ที่ 16 ต่อประชากร 100,000 คน. อัตราการฆ่าตัวตายทั่วโลกได้เพิ่มขึ้น 60 เปอร์เซ็นต์ภายในช่วงเวลา 45 ปีที่ผ่านมา. ปัจจุบัน ภายในปีเดียวมีคนฆ่าตัวตายทั่วโลกประมาณหนึ่งล้านคน. นั่นเท่ากับมีคนตายหนึ่งคนทุก ๆ 40 วินาทีโดยประมาณ!
อย่างไรก็ตาม สถิติไม่ได้ทำให้เข้าใจเรื่องราวอย่างครบถ้วน. ในหลายกรณี สมาชิกครอบครัวปฏิเสธว่าผู้ที่เสียชีวิตนั้นไม่ได้ฆ่าตัวตาย. ยิ่งกว่านั้น ประมาณกันว่าทุก ๆ หนึ่งคนที่ฆ่าตัวตายสำเร็จ จะมีราว ๆ 10 ถึง 25 คนที่พยายามฆ่าตัวตาย. การสำรวจครั้งหนึ่งพบว่า 27 เปอร์เซ็นต์ของนักเรียนชั้นมัธยมปลายในสหรัฐยอมรับว่า ในปีที่ผ่านมาพวกเขาเคยคิดอย่างจริงจังที่จะฆ่าตัวตาย; 8 เปอร์เซ็นต์ของกลุ่มที่ถูกสำรวจกล่าวว่าเคยพยายามฆ่าตัวตาย. การศึกษาวิจัยรายอื่น ๆ พบว่า 5 ถึง 15 เปอร์เซ็นต์ของประชากรวัยผู้ใหญ่เคยคิดจะฆ่าตัวตายในช่วงใดช่วงหนึ่ง.
ความแตกต่างทางวัฒนธรรม
ผู้คนมีทัศนะที่ต่างกันอย่างมากเกี่ยวกับการฆ่าตัวตาย. บางคนถือว่าเป็นอาชญากรรม, บางคนถือว่าเป็นการหลบหนีของคนขี้ขลาด, และส่วนบางคนก็ถือว่าเป็นการขออภัยอย่างมีเกียรติสำหรับความผิดพลาด. บางคนถึงกับถือว่าเป็นวิธีที่น่ายกย่องในการส่งเสริมอุดมการณ์บางอย่าง. ทำไมจึงมีทัศนะที่แตกต่างกันอย่างนี้? วัฒนธรรมมีบทบาทสำคัญ. ที่จริง จดหมายข่าวสุขภาพจิตของฮาร์เวิร์ด (ภาษาอังกฤษ) ชี้ว่าวัฒนธรรมอาจ “ส่งผลกระทบต่อแนวโน้มในการฆ่าตัวตาย” ด้วยซ้ำ.
ขอพิจารณาประเทศหนึ่งในยุโรปกลาง นั่นคือฮังการี. ดร. ซอลทัน รีห์เมอร์ กล่าวถึงการที่ประเทศนั้นมีอัตราการฆ่าตัวตายสูงว่าเป็น “‘ธรรมเนียม’ อันน่าเศร้า” ของฮังการี. เบลา บูดา ผู้อำนวยการสถาบันเพื่อสุขภาพของฮังการี กล่าวว่าชาวฮังการีฆ่าตัวตายง่ายเกินไป ในแทบจะทุกสาเหตุ. บูดากล่าวว่า ปฏิกิริยาที่มีแพร่หลายคือ “เขาเป็นมะเร็ง—เขารู้ว่าจะหยุดมันอย่างไร.”
ที่อินเดียเคยมีประเพณีทางศาสนาซึ่งรู้จักกันว่าสุตที. ในประเพณีนี้ภรรยาของผู้ตายจะกระโจนเข้าไปในกองเพลิงที่เผาศพสามี ซึ่งแม้ว่าการทำอย่างนี้จะถูกห้ามมานานแล้ว แต่ก็ยังไม่หมดไปทีเดียว. เมื่อมีข่าวว่าผู้หญิงคนหนึ่งฆ่าตัวตายด้วยวิธีนี้ คนในท้องถิ่นหลายคนสรรเสริญโศกนาฏกรรมครั้งนั้น. ตามรายงานของหนังสือพิมพ์อินเดีย ทูเดย์ ในภูมิภาคนั้นของอินเดีย “มีผู้หญิงเกือบ 25 คนเผาตัวเองในกองเพลิงที่เผาศพสามีภายในระยะเวลา 25 ปี.”
น่าสังเกต ในญี่ปุ่นการฆ่าตัวตายทำให้มีผู้เสียชีวิตมากกว่าอุบัติเหตุทางรถยนต์ถึงสามเท่า! สารานุกรมเจแปน—แอน อิลลัสเทรตเตด เอ็นไซโคลพีเดีย กล่าวว่า “ประเพณีที่สืบทอดกันมาของญี่ปุ่นซึ่งไม่เคยตำหนิการฆ่าตัวตาย เป็นที่รู้จักกันในเรื่องการคว้านท้องตัวเอง (เซ็ปปุกุ หรือฮารา-คีรี) ซึ่งเป็นพิธีกรรมที่ได้รับการยอมรับนับถืออย่างยิ่ง.”
ในหนังสือชื่อบุชิโดะ—จิตวิญญาณของญี่ปุ่น (ภาษาอังกฤษ) อินาโซะ นิโตเบะ ซึ่งต่อมาได้เป็นรองเลขาธิการใหญ่สันนิบาตชาติ ได้อธิบายเกี่ยวกับวัฒนธรรมที่หลงใหลความตายนี้. เขาเขียนว่า “ความคิดนี้เกิดขึ้นในยุคกลาง [เซ็ปปุกุ] เป็นวิธีที่นักรบจะสามารถลบล้างอาชญากรรมของตน, ขอขมาสำหรับความผิดพลาด, หนีจากการเสียเกียรติ, ชดใช้ให้มิตรสหาย, หรือพิสูจน์ความจริงใจ.” แม้ว่าการฆ่าตัวตายที่เป็นพิธีกรรมนี้โดยทั่วไปแล้วเป็นเรื่องของอดีต แต่ก็ยังมีบางคนทำเช่นนั้นเพื่อก่อผลกระทบต่อสังคม.
ในอีกด้านหนึ่ง ประเทศในคริสต์ศาสนจักรถือกันมานานแล้วว่าการฆ่าตัวตายเป็นอาชญากรรม. พอถึงศตวรรษที่หกและเจ็ด คริสตจักรโรมันคาทอลิกตัดคนที่ฆ่าตัวตายออกจากศาสนาและไม่ยอมประกอบพิธีศพให้. ในบางแห่ง ความรู้สึกแรงกล้าทางศาสนาทำให้เกิดธรรมเนียมแปลก ๆ เกี่ยวกับการฆ่าตัวตาย เช่น การแขวนคอศพ และแม้แต่การตอกหมุดเข้าที่หัวใจของศพ.
น่าแปลก คนที่พยายามฆ่าตัวตายอาจได้รับโทษประหารชีวิต. เนื่องจากพยายามจะฆ่าตัวเองโดยการตัดคอ ชายชาวอังกฤษคนหนึ่งในศตวรรษที่ 19 จึงถูกแขวนคอ. ด้วยเหตุนี้พวกเจ้าหน้าที่ก็ทำสิ่งที่ชายคนนั้นทำไม่สำเร็จ. แม้ว่าบทลงโทษสำหรับการพยายามฆ่าตัวตายได้เปลี่ยนไปตามกาลเวลา แต่การทำเช่นนั้นก็เป็นความผิดจนกระทั่งถึงปี 1961 เมื่อรัฐสภาอังกฤษประกาศว่าอัตวินิบาตกรรมและการพยายามฆ่าตัวตายไม่ได้เป็นอาชญากรรมอีกต่อไป. ในไอร์แลนด์ อัตวินิบาตกรรมเป็นความผิดทางอาญาจนถึงปี 1993.
ในปัจจุบัน นักเขียนบางคนสนับสนุนการฆ่าตัวตายว่าเป็นทางเลือก. หนังสือเล่มหนึ่งซึ่งออกในปี 1991 เกี่ยวกับการฆ่าตัวตายที่ได้รับการช่วยเหลือสำหรับผู้ป่วยที่หมดหวังจะรักษาได้แนะนำวิธีต่าง ๆ ในการจบชีวิตตัวเอง. ต่อมา มีคนที่ไม่ใช่ ผู้ป่วยหนักจำนวนเพิ่มมากขึ้นได้ใช้วิธีหนึ่งในหลาย ๆ วิธีซึ่งแนะนำไว้ในหนังสือนั้น.
การฆ่าตัวตายเป็นวิธีแก้ปัญหาจริง ๆ ไหม? หรือมีเหตุผลที่ดีที่จะมีชีวิตอยู่ต่อไป? ก่อนจะพิจารณาคำถามเหล่านี้ ขอให้เราพิจารณาว่าอะไรเป็นสาเหตุของการฆ่าตัวตาย.
[คำโปรยหน้า 4]
แต่ละปีมีคนฆ่าตัวตายทั่วโลกประมาณหนึ่งล้านคน. นั่นเท่ากับมีคนตายหนึ่งคนในเกือบทุก ๆ 40 วินาที!
-
-
สาเหตุที่ผู้คนไม่อยากมีชีวิตอยู่ต่อไปตื่นเถิด! 2001 | พฤศจิกายน 8
-
-
สาเหตุที่ผู้คนไม่อยากมีชีวิตอยู่ต่อไป
“คนที่ฆ่าตัวตายแต่ละคนมีเหตุผลของตัวเอง: เป็นเรื่องส่วนตัวมาก ๆ, ไม่มีใครทราบได้, และน่ากลัวมาก.” จิตแพทย์เคย์ เรดฟีลด์ เจมีสัน.
“การมีชีวิตอยู่ทำให้ทุกข์ทรมานเหลือเกิน.” นั่นเป็นข้อความที่ริวโนสุเกะ อะกุทากาวะ นักเขียนที่มีชื่อเสียงของญี่ปุ่นในช่วงต้นศตวรรษที่ 20 เขียนไว้ก่อนที่เขาจะฆ่าตัวตายไม่นาน. อย่างไรก็ตาม ก่อนข้อความนั้นเขาเขียนว่า “แน่นอน ข้าพเจ้าไม่อยากตาย แต่ . . . ”
เช่นเดียวกับอะกุทากาวะ หลายคนที่ฆ่าตัวตายไม่อยากตาย แต่พวกเขาอยาก “ให้เรื่องจบไปเสีย” ตามคำกล่าวของศาสตราจารย์ด้านจิตวิทยาคนหนึ่ง. ข้อความที่พบบ่อย ๆ ในจดหมายลาตายบ่งชี้อย่างนั้น. ข้อความอย่างเช่น ‘ฉันทนต่อไปไม่ไหวแล้ว’ หรือ ‘จะอยู่ไปเพื่ออะไร?’ แสดงถึงความปรารถนาอันแรงกล้าที่จะหนีให้พ้นจากความเป็นจริงอันโหดร้ายในชีวิต. แต่ดังที่ผู้เชี่ยวชาญคนหนึ่งพรรณนาไว้ การฆ่าตัวตายเป็น “เหมือนการรักษาอาการหวัดด้วยระเบิดนิวเคลียร์.”
แม้ว่าสาเหตุที่ผู้คนฆ่าตัวตายมีต่างกันไป แต่โดยทั่วไปแล้วเหตุการณ์บางอย่างในชีวิตมักจะกระตุ้นให้เขาฆ่าตัวตาย.
ชนวนเหตุ
ไม่ใช่เรื่องผิดปกติที่เยาวชนจะรู้สึกสิ้นหวังและฆ่าตัวตายเนื่องด้วยสาเหตุที่คนอื่นเห็นว่าเป็นเรื่องเล็กน้อย. เมื่อพวกเขารู้สึกช้ำใจและไม่อาจทำอะไรได้ เยาวชนอาจมองว่าความตายของตนเป็นการแก้แค้นคนที่ทำให้พวกเขาช้ำใจ. ฮิโรชิ อินามุระ ผู้เชี่ยวชาญในการเกลี้ยกล่อมผู้คิดจะฆ่าตัวตายในญี่ปุ่น เขียนว่า “เด็กหวังอยู่ลึก ๆ ว่าความตายของตัวเองจะเป็นการลงโทษคนที่ทรมานพวกเขา.”
การสำรวจครั้งหนึ่งในบริเตนเมื่อไม่นานมานี้บ่งชี้ว่า ถ้าเด็ก ๆ ถูกข่มเหงรังแกมาก แนวโน้มที่พวกเขาพยายามฆ่าตัวตายจะเพิ่มขึ้นถึงเกือบเจ็ดเท่า. ความปวดร้าวซึ่งเด็กเหล่านี้ทนรับนั้นเป็นเรื่องจริงทีเดียว. เด็กชายวัย 13 ปีคนหนึ่งที่ผูกคอตายได้เขียนชื่อคนห้าคนซึ่งได้รังแกเขาและถึงกับรีดไถเงินจากเขา. เขาเขียนว่า “ได้โปรดละเว้นเด็กคนอื่น ๆ.”
บางคนอาจพยายามปลิดชีวิตตัวเองเมื่อมีปัญหาในโรงเรียนหรือมีปัญหาทางกฎหมาย, อกหัก, ผลการสอบตกต่ำ, เครียดกับการสอบไล่, หรือสิ้นหวังเกี่ยวกับอนาคต. ท่ามกลางเยาวชนที่เรียนเก่งและอาจมีแนวโน้มจะเป็นคนที่มุ่งแต่ความสมบูรณ์พร้อม ความล้มเหลวไม่ว่าจะเป็นเรื่องจริงหรือคิดเอาเอง อาจทำให้เขาพยายามฆ่าตัวตาย.
สำหรับผู้ใหญ่ ปัญหาด้านการเงินหรือปัญหาซึ่งเกี่ยวข้องกับงานอาชีพเป็นชนวนเหตุที่พบเห็นทั่วไป. ในญี่ปุ่น หลังจากเศรษฐกิจตกต่ำอยู่หลายปี การฆ่าตัวตายในปีหลัง ๆ นี้เพิ่มสูงกว่า 30,000 รายต่อปี. ตามรายงานของหนังสือพิมพ์ไมนิชิ เดลี นิวส์ เกือบสามในสี่ของผู้ชายวัยกลางคนที่ฆ่าตัวตายทำเช่นนั้น “เพราะปัญหาซึ่งเกิดจากหนี้สิน, ธุรกิจล้มเหลว, ความยากจนและการตกงาน.” ปัญหาครอบครัวก็อาจเป็นสาเหตุของการฆ่าตัวตายด้วย. หนังสือพิมพ์ภาษาฟินแลนด์ฉบับหนึ่งรายงานว่า “ผู้ชายวัยกลางคนซึ่งเพิ่งหย่าได้ไม่นาน” เป็นกลุ่มคนที่มีความเสี่ยงสูงกลุ่มหนึ่ง. การศึกษาในฮังการีพบว่า เด็กผู้หญิงส่วนใหญ่ซึ่งคิดฆ่าตัวตายเป็นเด็กที่โตขึ้นในครอบครัวที่แตกแยก.
การเกษียณอายุและความเจ็บป่วยก็เป็นปัจจัยกระตุ้นที่สำคัญด้วย โดยเฉพาะอย่างยิ่งในหมู่ผู้สูงอายุ. บ่อยครั้งมีการหาทางออกด้วยการฆ่าตัวตาย ไม่ใช่เพราะไม่มีทางรักษาให้หาย แต่เมื่อผู้ป่วยมองว่าความทุกข์ทรมานนั้นเกินจะทนได้.
อย่างไรก็ตาม ไม่ใช่ทุกคนจะฆ่าตัวตายเมื่อเจอเหตุการณ์กระตุ้นเหล่านี้. ตรงกันข้าม เมื่อเผชิญกับสถานการณ์ตึงเครียด คนส่วนใหญ่ไม่ได้ฆ่าตัวตาย. ถ้าอย่างนั้นทำไมบางคนจึงมองว่าการฆ่าตัวตายเป็นวิธีแก้ปัญหาขณะที่คนส่วนใหญ่ไม่ได้มองเช่นนั้น?
ปัจจัยแฝง
เคย์ เรดฟีลด์ เจมีสัน ศาสตราจารย์ภาควิชาจิตเวชศาสตร์แห่งวิทยาลัยแพทย์จอนส์ ฮอบกินส์ กล่าวว่า “การตัดสินใจที่จะตายส่วนใหญ่ขึ้นอยู่กับวิธีมองดูเหตุการณ์ต่าง ๆ.” เธอเสริมว่า “จิตใจของคนส่วนใหญ่เมื่อปกติดี จะไม่มองเหตุการณ์ใด ๆ ว่ารุนแรงถึงขั้นที่ต้องฆ่าตัวตาย.” อีฟ เค. มอชชิตสกี จากสถาบันสุขภาพจิตสหรัฐ ให้ข้อสังเกตว่ามีหลายปัจจัย—บางอย่างเป็นปัจจัยแฝง—ประกอบกันทำให้เกิดพฤติกรรมการฆ่าตัวตาย. ปัจจัยแฝงเหล่านี้รวมไปถึงโรคทางจิตและการติดยาเสพติด, ลักษณะทางพันธุกรรม, และสารเคมีในสมอง. ขอให้เราพิจารณาปัจจัยเหล่านี้บางอย่าง.
ที่เด่นที่สุดในบรรดาปัจจัยเหล่านี้คือความผิดปกติทางจิตและปัญหาสิ่งเสพติด เช่น โรคซึมเศร้า, โรคไบโพลาร์, โรคจิตเภท, และการใช้แอลกอฮอล์และยาเสพติด. การวิจัยทั้งในยุโรปและในสหรัฐบ่งชี้ว่ากว่า 90 เปอร์เซ็นต์ของการฆ่าตัวตายที่ทำสำเร็จนั้นเกี่ยวข้องกับความผิดปกติเหล่านี้. ที่จริง นักวิจัยชาวสวีเดนพบว่า ท่ามกลางผู้ชายที่ไม่มีความผิดปกติใด ๆ ในลักษณะนั้น อัตราการฆ่าตัวตายอยู่ที่ 8.3 ต่อ 100,000 คน แต่ท่ามกลางคนที่เป็นโรคซึมเศร้า อัตราสูงถึง 650 ต่อ 100,000 คน! และผู้เชี่ยวชาญกล่าวว่าปัจจัยซึ่งนำไปสู่การฆ่าตัวตายนั้นมีคล้ายกันในประเทศทางตะวันออก. อย่างไรก็ตาม แม้จะเป็นโรคซึมเศร้าประกอบกับมีชนวนเหตุต่าง ๆ นั่นก็ไม่ได้หมายความว่าการฆ่าตัวตายเป็นสิ่งที่เลี่ยงไม่ได้.
ศาสตราจารย์เจมีสัน ซึ่งเคยพยายามฆ่าตัวตายด้วย กล่าวว่า “ดูเหมือนผู้คนจะสามารถทนกับความซึมเศร้าได้ตราบที่ยังมีหวังว่าสิ่งต่าง ๆ จะดีขึ้น.” อย่างไรก็ตาม เธอพบว่าเมื่อความสิ้นหวังเพิ่มขึ้นเรื่อย ๆ จนกลายเป็นสิ่งที่ทนรับไม่ไหว ความสามารถของจิตใจที่จะต้านทานแรงผลักดันให้ฆ่าตัวตายก็ค่อย ๆ อ่อนแอลง. เธอเปรียบเรื่องนี้กับเบรกของรถยนต์ซึ่งถูกเสียดสีอยู่เรื่อย ๆ จนบาง.
นับเป็นสิ่งสำคัญยิ่งที่จะตระหนักถึงแนวโน้มเช่นนั้น เพราะโรคซึมเศร้ารักษาได้. ความรู้สึกสิ้นหวังแก้ไขได้. เมื่อมีการจัดการปัจจัยแฝงแล้ว ผู้คนก็อาจแสดงปฏิกิริยาต่างออกไปต่อความปวดร้าวและความตึงเครียด ซึ่งมักกระตุ้นให้เกิดการฆ่าตัวตาย.
บางคนคิดว่าลักษณะทางพันธุกรรมของคนเราอาจเป็นปัจจัยแฝงสำหรับการฆ่าตัวตายในหลายราย. จริงอยู่ ยีนอาจมีบทบาทต่อการกำหนดอารมณ์ของคนเรา และการศึกษาหลายรายก็เผยว่าบางวงศ์ครอบครัวมีเหตุการณ์ฆ่าตัวตายมากกว่าครอบครัวอื่น ๆ. ถึงกระนั้น ศาสตราจารย์เจมีสันกล่าวว่า “การมีแนวโน้มทางพันธุกรรมที่จะฆ่าตัวตายไม่ได้หมายความว่าการฆ่าตัวตายนั้นเป็นสิ่งที่เลี่ยงไม่ได้.”
สารเคมีในสมองก็อาจเป็นปัจจัยแฝงเช่นกัน. ในสมอง เซลล์ประสาทหลายพันล้านเซลล์สื่อสารกันแบบเคมีไฟฟ้า. ที่ปลายเส้นใยเซลล์ประสาทที่แตกแขนงออกมามีช่องว่างเล็ก ๆ ซึ่งเรียกว่าซินแนปส์ ที่ซึ่งสารถ่ายทอดสัญญาณประสาทจะส่งผ่านข้อมูลแบบเคมี. ระดับของสารถ่ายทอดสัญญาณประสาทตัวหนึ่ง คือเซโรโทนิน อาจเกี่ยวข้องกับความเสี่ยงทางชีววิทยาของคนเราที่จะฆ่าตัวตาย. หนังสือภายในสมอง (ภาษาอังกฤษ) อธิบายว่า “การมีเซโรโทนินในระดับต่ำ . . . อาจทำให้ความสุขในชีวิตเหือดแห้งไป ทำให้คนนั้นมีความสนใจน้อยลงต่อการมีชีวิตอยู่และเพิ่มความเสี่ยงในการเป็นโรคซึมเศร้าและการฆ่าตัวตาย.”
อย่างไรก็ตาม จริง ๆ แล้วไม่มีใครถูกลิขิต ให้ฆ่าตัวตาย. หลายล้านคนรับมือกับความปวดร้าวใจและความเครียดได้. วิธีที่จิตใจและหัวใจมีปฏิกิริยา ต่อความกดดันนั้นต่างหากที่ทำให้บางคนฆ่าตัวตาย. ต้องมีการจัดการไม่เพียงแค่ชนวนเหตุที่เกิดขึ้นอย่างฉับพลันแต่รวมถึงปัจจัยแฝงด้วย.
ถ้าเช่นนั้นแล้วจะทำอะไรได้เพื่อสร้างมุมมองที่ดีขึ้นซึ่งจะฟื้นฟูความสุขความยินดีให้กับชีวิตในระดับหนึ่ง?
[กรอบหน้า 6]
เพศกับการฆ่าตัวตาย
ตามการศึกษาวิจัยครั้งหนึ่งในสหรัฐ ขณะที่ผู้หญิงมักจะพยายามฆ่าตัวตายมากกว่าผู้ชายสองถึงสามเท่า แต่ผู้ชายมักจะทำสำเร็จมากกว่าผู้หญิงถึงสี่เท่า. ผู้หญิงมักจะเป็นโรคซึมเศร้ามากกว่าผู้ชายอย่างน้อยสองเท่า ซึ่งอาจเป็นสาเหตุที่ทำให้มีการพยายามฆ่าตัวตายมากกว่า. อย่างไรก็ตาม โรคซึมเศร้าของผู้หญิงอาจมีความรุนแรงน้อยกว่า และด้วยเหตุนี้ผู้หญิงจึงใช้วิธีฆ่าตัวตายที่รุนแรงน้อยกว่า. ส่วนผู้ชายอาจมีแนวโน้มจะใช้วิธีที่รุนแรงและเด็ดขาดมากกว่าเพื่อแน่ใจว่าจะประสบความสำเร็จ.
อย่างไรก็ตาม ในประเทศจีนผู้หญิงฆ่าตัวตายสำเร็จมากกว่าผู้ชาย. ที่จริง การศึกษาเผยว่า ประมาณ 56 เปอร์เซ็นต์ของการฆ่าตัวตายของผู้หญิงในโลกเกิดขึ้นในประเทศจีน โดยเฉพาะอย่างยิ่งในเขตชนบท. กล่าวกันว่าเหตุผลหนึ่งสำหรับการพยายามฆ่าตัวตายของผู้หญิงที่นั่นซึ่งนำไปสู่การฆ่าตัวตายจนสำเร็จคือสามารถหายากำจัดศัตรูพืชซึ่งมีฤทธิ์ร้ายแรงได้ง่าย.
[กรอบ/ภาพหน้า 7]
การฆ่าตัวตายและความว้าเหว่
ความว้าเหว่เป็นปัจจัยหนึ่งซึ่งทำให้ผู้คนเป็นโรคซึมเศร้าและฆ่าตัวตาย. โยอูโก เลินน์ควิสต์ ซึ่งเป็นหัวหน้าในการศึกษาเรื่องการฆ่าตัวตายในฟินแลนด์ กล่าวว่า “สำหรับ [คนที่ฆ่าตัวตาย] ส่วนใหญ่ ชีวิตประจำวันของเขานั้นเปล่าเปลี่ยว. พวกเขามีเวลาว่างมากแต่ติดต่อสัมพันธ์กับคนอื่นน้อย.” เคนชิโร โอฮาระ จิตแพทย์แห่งวิทยาลัยแพทย์ฮามามัตสุ แห่งญี่ปุ่น ให้ความเห็นว่า “ความว้าเหว่” เป็นสาเหตุที่ทำให้เมื่อเร็ว ๆ นี้มีจำนวนการฆ่าตัวตายในหมู่ชายวัยกลางคนที่ประเทศนั้นเพิ่มสูงขึ้น.
[ภาพหน้า 5]
สำหรับผู้ใหญ่ ปัญหาด้านการเงินหรือปัญหาซึ่งเกี่ยวข้องกับงานอาชีพเป็นชนวนเหตุที่พบเห็นบ่อย ๆ
-
-
คุณจะพบความช่วยเหลือได้ตื่นเถิด! 2001 | พฤศจิกายน 8
-
-
คุณจะพบความช่วยเหลือได้
‘ยานอนหลับสี่สิบเก้าเม็ดอยู่ในถ้วย. ผมควรจะกินมันหรือไม่?’ ชายวัย 28 ปีคนหนึ่งในสวิตเซอร์แลนด์ถามตัวเอง. ภรรยากับลูก ๆ ทิ้งเขาไป และเขาเป็นโรคซึมเศร้าอย่างหนัก. แต่หลังจากกินยานั้นเข้าไป เขาพูดกับตัวเองว่า ‘ไม่. ผมไม่อยากตาย!’ น่ายินดีที่เขารอดชีวิตมาเล่าเรื่องราวของตนได้. แรงผลักดันให้ฆ่าตัวตายไม่ได้นำไปสู่ความตายเสมอไป.
อเลกซ์ ครอสบี จากศูนย์ควบคุมและป้องกันโรคแห่งสหรัฐ กล่าวเกี่ยวกับการพยายามฆ่าตัวตายในหมู่วัยรุ่นว่า “ถ้าคุณสามารถหน่วงไว้ได้เพียงไม่กี่ชั่วโมง คุณอาจจะหยุดมันได้. ถ้ามีการแทรกแซง ก็อาจมีหลายรายที่คุณจะป้องกันไม่ให้ฆ่าตัวตายได้สำเร็จ. คุณสามารถช่วยชีวิตพวกเขาได้.”
ขณะที่ทำงานในศูนย์ช่วยชีวิตและเหตุฉุกเฉิน ณ วิทยาลัยแพทย์แห่งญี่ปุ่น ศาสตราจารย์ฮิซาชิ คุโรซาวะ ได้ช่วยคนที่คิดจะฆ่าตัวตายหลายร้อยคนให้กลับมามีความปรารถนาที่จะมีชีวิตอยู่อีกครั้ง. ถูกแล้ว ถ้ามีการแทรกแซงโดยวิธีใดวิธีหนึ่ง ก็อาจช่วยชีวิตหลายคนไว้ได้. ความช่วยเหลือแบบใดที่จำเป็น?
เผชิญปัญหาที่แฝงเร้น
ดังที่กล่าวในบทความก่อนหน้านี้ นักวิจัยกล่าวว่า 90 เปอร์เซ็นต์ของคนที่ฆ่าตัวตายมีความผิดปกติทางจิตเวชหรือไม่ก็ปัญหายาเสพติด. ด้วยเหตุนั้น อีฟ เค. มอชชิตสกี แห่งสถาบันสุขภาพจิตสหรัฐจึงกล่าวว่า “ความหวังอันยิ่งใหญ่ที่สุดในการป้องกันการฆ่าตัวตายของคนทุกกลุ่มอายุก็คือการป้องกันความผิดปกติทางจิตและปัญหายาเสพติด.”
น่าเศร้า หลายคนซึ่งมีความผิดปกติดังกล่าวมักไม่แสวงหาความช่วยเหลือ. เพราะเหตุใด? โยชิโตโมะ ทากาฮาชิ แห่งสถาบันจิตเวชศาสตร์โตเกียว ให้ความเห็นว่า “เพราะว่าสังคมมีอคติอย่างมาก.” เขาเสริมว่าเนื่องจากเหตุนี้ แม้แต่คนที่พอจะรู้ว่าตัวเองป่วยก็ลังเลที่จะหาทางรักษาโดยทันที.
แต่บางคนไม่ยอมให้ความอายยับยั้งพวกเขาไว้. ฮิโรชิ โอกาวะ พิธีกรทางโทรทัศน์ที่มีชื่อเสียงซึ่งได้จัดรายการในญี่ปุ่นมาเป็นเวลากว่า 17 ปี ยอมรับอย่างเปิดเผยว่าเขาเป็นโรคซึมเศร้า และเกือบจะฆ่าตัวตายด้วยซ้ำ. โอกาวะกล่าวว่า “โรคซึมเศร้าเป็นเหมือนกับอาการหวัดทางจิตใจ.” เขาอธิบายว่า ใคร ๆ ก็อาจติดได้ แต่ก็หายได้ด้วย.
คุยกับใครสักคน
เบลา บูดา เจ้าหน้าที่ด้านสาธารณสุขของฮังการีซึ่งกล่าวถึงข้างต้นกล่าวว่า “เมื่อใครสักคนสู้กับปัญหาโดยลำพัง เขาก็มักจะมองปัญหานั้นว่าใหญ่เกินจริงและไม่มีทางแก้.” ข้อสังเกตนี้เน้นถึงสติปัญญาของสุภาษิตโบราณในคัมภีร์ไบเบิลที่ว่า “คนที่ปลีกตัวออกไปจากผู้อื่นจงใจจะทำตามตนเอง, และค้านคติแห่งปัญญาอันถูกต้องทั้งหลาย.”—สุภาษิต 18:1.
ขอคุณรับฟังถ้อยคำแห่งสติปัญญานี้. อย่าสู้กับปัญหาส่วนตัวที่หนักหนาสาหัสโดยลำพัง. จงหาใครสักคนที่คุณไว้ใจและที่คุณสามารถเปิดเผยเรื่องราวต่าง ๆ ได้. คุณอาจกล่าวว่า ‘แต่ไม่มีใครที่ฉันจะระบายความในใจให้ฟังเลย.’ หลายคนรู้สึกอย่างนั้น ตามคำกล่าวของผู้เชี่ยวชาญด้านสุขภาพจิต ดร. นาโอกิ ซาโตะ. เขากล่าวว่า คนไข้อาจไม่อยากจะเล่าเรื่องส่วนตัวให้คนอื่นฟังเพราะพวกเขาไม่ต้องการเปิดเผยความอ่อนแอของตัวเอง.
คนเราจะหันไปหาใครที่ยินดีรับฟัง? ในหลายแห่ง เขาอาจขอความช่วยเหลือจากศูนย์ป้องกันการฆ่าตัวตาย หรือศูนย์ฮอตไลน์หรือพบแพทย์ที่มีชื่อเสียงในการรักษาปัญหาทางอารมณ์. แต่ผู้เชี่ยวชาญบางคนยังตระหนักว่ามีแหล่งที่ให้ความช่วยเหลืออีกแหล่งหนึ่ง นั่นคือศาสนา. ศาสนาจะช่วยได้อย่างไร?
การพบความช่วยเหลือที่จำเป็น
มาริน ผู้ทุพพลภาพในบัลแกเรีย เกิดความรู้สึกอยากฆ่าตัวตายมาก. อยู่มาวันหนึ่งเขาได้พบวารสารทางศาสนาเล่มหนึ่งโดยบังเอิญ นั่นคือหอสังเกตการณ์ ซึ่งจัดพิมพ์โดยพยานพระยะโฮวา. เขาตอบรับคำเชิญในวารสารนั้นที่ให้พยานพระยะโฮวามาเยี่ยมเขาเป็นส่วนตัว. มารินอธิบายถึงผลที่เกิดขึ้นดังนี้: “ผมได้เรียนรู้จากพวกเขาว่าชีวิตเป็นของประทานจากพระบิดาฝ่ายสวรรค์และเราไม่มีสิทธิ์จะทำร้ายตัวเองหรือจงใจจบชีวิตของตัวเอง. เพราะเหตุนี้ จากเมื่อก่อนที่ผมเคยอยากฆ่าตัวตาย ผมจึงกลับมารักชีวิตอีกครั้ง!” มารินยังได้รับการหนุนกำลังใจด้วยความรักจากประชาคมคริสเตียนอีกด้วย. แม้ว่ายังทุพพลภาพ แต่เขากล่าวว่า “แต่ละวันของผมในตอนนี้มีความยินดีและความสงบสุข และมีสิ่งที่น่ายินดีให้ทำมากกว่าที่ผมมีเวลาเสียอีก! ทั้งหมดนี้ผมเป็นหนี้พระคุณพระยะโฮวารวมทั้งเหล่าพยานของพระองค์.”
ชายหนุ่มชาวสวิสซึ่งกล่าวถึงในตอนต้นก็ได้รับความช่วยเหลือจากพยานพระยะโฮวาด้วย. ปัจจุบันนี้เขากล่าวชม “ความกรุณาของครอบครัวคริสเตียน” ซึ่งรับเขาไว้ให้อาศัยในบ้าน. เขาเสริมว่า “ต่อมา สมาชิกในประชาคม [ของพยานพระยะโฮวา] ต่างก็เวียนกันเชิญผมไปรับประทานอาหารวันแล้ววันเล่า. สิ่งที่ช่วยผมไม่ใช่แค่การได้รับการปฏิบัติอย่างกรุณาเท่านั้น แต่ยังรวมถึงการที่ได้พูดให้ใครสักคนฟัง.”
ชายคนนี้ได้รับการหนุนกำลังใจอย่างมากจากการศึกษาคัมภีร์ไบเบิล โดยเฉพาะอย่างยิ่งเมื่อเขาเรียนรู้เกี่ยวกับความรักที่พระยะโฮวา พระเจ้าองค์เที่ยงแท้ ทรงมีต่อมนุษยชาติ. (โยฮัน 3:16) ที่จริง พระยะโฮวาพระเจ้าทรงฟังเมื่อคุณ ‘ระบายความในใจของคุณ’ ต่อพระองค์. (บทเพลงสรรเสริญ 62:8, ล.ม.) “พระยะโฮวาทรงทอดพระเนตรไปทั่วพิภพโลก” ไม่ใช่เพื่อจับผิดไพร่พลของพระองค์ แต่ “เพื่อจะสำแดงว่าพระองค์ทรงฤทธานุภาพสถิตอยู่กับคนทั้งปวงที่มีใจซื่อสัตย์สุจริตต่อพระองค์.” (2 โครนิกา 16:9) พระยะโฮวาทรงรับรองกับเราว่า “อย่ากลัวเลย, ด้วยว่าเราอยู่กับเจ้า, อย่าท้อใจ, เพราะเราเป็นพระเจ้าของเจ้า, เราจะหนุนกำลังเจ้า, เออ, เราจะช่วยเจ้า, เออ, เราจะยกชูเจ้าไว้ด้วยมือขวาอันชอบธรรมของเรา.”—ยะซายา 41:10.
เกี่ยวกับโลกใหม่ที่พระเจ้าทรงสัญญาไว้ ชายชาวสวิสคนนั้นกล่าวว่า “เรื่องนี้ได้ช่วยบรรเทาความกลัดกลุ้มของผมลงมากทีเดียว.” ความหวังนี้ ซึ่งได้รับการพรรณนาว่าเป็น “สมอของจิตต์วิญญาณ” เกี่ยวข้องกับคำสัญญาเรื่องชีวิตนิรันดร์ในอุทยานบนแผ่นดินโลก.—เฮ็บราย 6:19; บทเพลงสรรเสริญ 37:10, 11, 29.
ชีวิตของคุณมีความสำคัญสำหรับคนอื่น
จริงอยู่ คุณอาจเผชิญกับสถานการณ์ที่ทำให้รู้สึกว่าคุณอยู่ตัวคนเดียวจริง ๆ และถ้าคุณตายไปก็คงไม่กระทบกระเทือนใคร. แต่จงจำไว้ว่า มีความแตกต่างอย่างมากทีเดียวระหว่างการรู้สึก ว่าอยู่เดียวดายกับการอยู่เดียวดายจริง ๆ. ในสมัยคัมภีร์ไบเบิล ผู้พยากรณ์เอลียาประสบกับช่วงที่ท้อแท้ในชีวิต. ท่านทูลพระยะโฮวาว่า “[พวกเขาได้] ฆ่าผู้พยากรณ์ด้วยดาบ; ยังเหลือเฉพาะแต่ข้าพเจ้าผู้เดียวเท่านั้น.” ถูกแล้ว เอลียารู้สึกว่าท่านอยู่คนเดียวจริง ๆ และก็มีเหตุผลที่จะคิดเช่นนั้น. เพื่อนผู้พยากรณ์หลายคนถูกฆ่า. ท่านเองก็ถูกขู่ฆ่า และกำลังหนีเอาชีวิตรอด. แต่ท่านอยู่ตัวคนเดียวจริง ๆ ไหม? เปล่า. พระยะโฮวาทรงบอกให้ท่านทราบว่ายังมีผู้ภักดีอีกประมาณ 7,000 คนที่เป็นเช่นเดียวกับท่าน คือพยายามรับใช้พระเจ้าเที่ยงแท้อย่างซื่อสัตย์ในสมัยอันมืดมนนั้น. (1 กษัตริย์ 19:1-18) แล้วจะว่าอย่างไรกับคุณ? เป็นไปได้ไหมที่คุณอาจไม่ได้อยู่เดียวดายอย่างที่คุณคิด?
มีคนที่ห่วงใยคุณ. คุณอาจคิดถึงบิดามารดา, คู่สมรส, บุตร, และเพื่อนของคุณ. แต่มีมากกว่านั้น. ในประชาคมของพยานพระยะโฮวา คุณจะพบคริสเตียนผู้อาวุโสซึ่งสนใจในตัวคุณ ผู้ซึ่งจะฟังคุณ และจะอธิษฐานกับคุณและเพื่อคุณ. (ยาโกโบ 5:14, 15) และถึงแม้มนุษย์ไม่สมบูรณ์ทุกคนจะทำให้คุณผิดหวัง แต่มีผู้หนึ่งซึ่งจะไม่ทอดทิ้งคุณเลย. กษัตริย์ดาวิดผู้อยู่ในสมัยโบราณกล่าวว่า “เมื่อบิดามารดาละทิ้งข้าพเจ้าแล้ว, พระยะโฮวาจะทรงรับข้าพเจ้าไว้.” (บทเพลงสรรเสริญ 27:10) ถูกแล้ว พระยะโฮวา “ทรงใฝ่พระทัยในท่านทั้งหลาย.” (1 เปโตร 5:7, ล.ม.) ขออย่าได้ลืมว่าตัวคุณมีค่าในสายพระเนตรของพระยะโฮวา.
ชีวิตเป็นของประทานจากพระเจ้า. จริงอยู่ บางครั้งชีวิตอาจดูเหมือนเป็นภาระแทนที่จะเป็นของประทาน. แต่ขอนึกดูว่าคุณจะรู้สึกอย่างไรถ้าคุณให้ของขวัญที่มีค่าชิ้นหนึ่งกับใครสักคนซึ่งทิ้งมันไปก่อนที่จะใช้ของชิ้นนั้นอย่างเต็มที่? มนุษย์ไม่สมบูรณ์อย่างพวกเราเพียงแค่ได้เริ่มใช้ของประทานแห่งชีวิต. ที่จริง คัมภีร์ไบเบิลบอกว่าชีวิตที่เรามีอยู่ในปัจจุบันไม่ใช่ “ชีวิตแท้” ด้วยซ้ำในสายพระเนตรของพระเจ้า. (1 ติโมเธียว 6:19, ล.ม.) ใช่แล้ว ในอนาคตอันใกล้นี้ ชีวิตของเราจะสมบูรณ์, มีความหมาย, และมีความสุขยิ่งกว่าในปัจจุบันนี้มาก. จะเป็นเช่นนั้นได้อย่างไร?
คัมภีร์ไบเบิลกล่าวว่า “พระเจ้าจะทรงเช็ดน้ำตาทุก ๆ หยดจากตาของเขา ความตายจะไม่มีต่อไป การคร่ำครวญและร้องไห้และการเจ็บปวดอย่างหนึ่งอย่างใดจะไม่มีอีกเลย เพราะเหตุการณ์ที่ได้มีอยู่แต่ดั้งเดิมนั้นได้ล่วงพ้นไปแล้ว.” (วิวรณ์ 21:3, 4) ลองนึกภาพว่าชีวิตของคุณจะเป็นเช่นไรเมื่อถึงวันที่ถ้อยคำเหล่านี้สำเร็จเป็นจริง. อย่ารีบร้อน. จงพยายามสร้างภาพให้กระจ่างและสดใสในจิตใจของคุณ. ภาพนั้นไม่ใช่ความเพ้อฝันเลื่อนลอย. ขณะที่คุณคิดรำพึงถึงวิธีที่พระยะโฮวาทรงปฏิบัติต่อไพร่พลของพระองค์ในอดีต คุณก็จะยิ่งเชื่อมั่นในพระองค์มากขึ้น และภาพนั้นก็จะเป็นจริงสำหรับคุณยิ่งขึ้น.—บทเพลงสรรเสริญ 136:1-26.
อาจต้องใช้เวลาสักระยะหนึ่งก่อนที่คุณจะฟื้นฟูความปรารถนาที่จะมีชีวิตอยู่ต่อไปให้กลับคืนมาอย่างเต็มที่. จงทูลอธิษฐานต่อ ๆ ไปถึง “พระเจ้าผู้ทรงชูใจทุกอย่าง, พระองค์ผู้ทรงโปรดให้เราได้รับความชูใจในการทุกข์ยากทั้งสิ้นของเรา.” (2 โกรินโธ 1:3, 4; โรม 12:12; 1 เธซะโลนิเก 5:17) พระยะโฮวาจะทรงประทานความเข้มแข็งที่จำเป็นสำหรับคุณ. พระองค์จะสอนคุณว่า ชีวิตยังมีค่า.—ยะซายา 40:29.
[กรอบ/ภาพหน้า 9]
คุณจะช่วยเหลือผู้ที่คิดฆ่าตัวตายได้อย่างไร?
คุณควรจะทำอย่างไรถ้ามีใครสักคนบอกคุณว่าเขาอยากฆ่าตัวตาย? ศูนย์ควบคุมและป้องกันโรคแห่งสหรัฐ (ซีดีซี) แนะนำว่า “จงตั้งใจฟังเขา.” ให้เขาระบายความรู้สึกของตนออกมา. แต่ในหลายกรณี คนที่คิดฆ่าตัวตายจะเก็บตัวอยู่คนเดียวและไม่อยากพูดคุยกับใคร. จงยอมรับว่าความเจ็บปวดหรือความสิ้นหวังที่เขาประสบนั้นเป็นเรื่องจริง. ถ้าคุณกล่าวอย่างนิ่มนวลว่าคุณได้สังเกตเห็นเขามีพฤติกรรมบางอย่างเปลี่ยนไป คุณอาจทำให้เขาเปิดใจและเล่าให้คุณฟัง.
ขณะที่ฟัง จงแสดงความร่วมรู้สึก. ศูนย์ ซีดีซี กล่าวว่า “เป็นสิ่งสำคัญที่ต้องเน้นว่าชีวิตของเขาสำคัญต่อคุณและคนอื่น.” บอกเขาให้รู้ว่าถ้าเขาเสียชีวิตไป คุณกับคนอื่น ๆ จะเป็นทุกข์สักเพียงไร. ช่วยให้เขาเข้าใจว่าพระผู้สร้างทรงใฝ่พระทัยในตัวเขา.—1 เปโตร 5:7.
ผู้เชี่ยวชาญยังแนะนำให้กำจัดอะไรก็ตามที่คนนั้นอาจใช้เพื่อฆ่าตัวตาย โดยเฉพาะอย่างยิ่งอาวุธปืน. ถ้าสถานการณ์ดูท่าว่าจะร้ายแรง คุณอาจสนับสนุนคนนั้นให้ไปพบแพทย์. ในกรณีที่รุนแรงมาก คุณอาจไม่มีทางเลือกนอกจากจะขอความช่วยเหลือจากแผนกฉุกเฉินในโรงพยาบาลด้วยตัวคุณเอง.
[กรอบหน้า 11]
‘พระเจ้าจะทรงให้อภัยที่ฉันรู้สึกแบบนี้ไหม?’
การคบหากับพยานพระยะโฮวาได้ช่วยหลายคนให้เอาชนะความคิดที่จะฆ่าตัวตาย. แต่ไม่มีใครเลยในเวลานี้ที่ชีวิตไม่เคยประสบเหตุการณ์ที่ทำให้เครียดหรือซึมเศร้า. คริสเตียนซึ่งเคยคิดจะฆ่าตัวตายมักต้องต่อสู้กับความรู้สึกผิดอย่างรุนแรงที่มีความคิดเช่นนั้น. ความรู้สึกผิดอาจทำให้ปัญหาของเขาหนักขึ้นไปอีก. ดังนั้น จะจัดการกับความรู้สึกเช่นนั้นได้อย่างไร?
น่าสังเกตว่า ชายหญิงผู้ซื่อสัตย์บางคนในสมัยคัมภีร์ไบเบิลเคยแสดงความรู้สึกในแง่ลบอย่างมากต่อชีวิต. นางริบะคา ภรรยาของยิศฮาคบุรุษต้นตระกูล เคยเป็นทุกข์กับปัญหาในครอบครัวมากจนครั้งหนึ่งนางกล่าวว่า “ฉันเบื่อชีวิตของฉันเหลือเกิน.” (เยเนซิศ 27:46, ฉบับแปลใหม่) โยบ ซึ่งสูญเสียบุตร, สุขภาพทรุดโทรม, สูญเสียความมั่งคั่งและฐานะทางสังคม กล่าวว่า “ดวงจิตของข้าฯ เบื่อหน่ายต่อชีวิตของข้าฯ.” (โยบ 10:1) ครั้งหนึ่งโมเซเคยร้องทูลพระเจ้าว่า “ขอพระองค์จงประหารชีวิตข้าพเจ้าเสียทีเดียว.” (อาฤธโม 11:15) เอลียา ผู้พยากรณ์ของพระเจ้า เคยกล่าวว่า “พอแล้วพระองค์เจ้าข้า, ขอพระยะโฮวาทรงประหารชีวิตข้าพเจ้าเสียเดี๋ยวนี้เถิด.” (1 กษัตริย์ 19:4) และผู้พยากรณ์โยนากล่าวซ้ำแล้วซ้ำอีกว่า “ตายเสียก็ดีกว่าที่จะมีชีวิตอยู่ต่อไป.”—โยนา 4:8.
พระยะโฮวาทรงตำหนิพวกเขาที่รู้สึกอย่างนั้นไหม? เปล่า. พระองค์ถึงกับให้มีการบันทึกถ้อยคำของพวกเขาไว้ในคัมภีร์ไบเบิล. แต่นับว่าสำคัญที่จะสังเกตว่า ไม่มีใครในบุคคลเหล่านี้ที่ยอมให้ความรู้สึกดังกล่าวกระตุ้นเขาให้ฆ่าตัวตาย. พระยะโฮวาทรงหยั่งรู้ค่าพวกเขา; พระองค์ทรงต้องการให้เขามีชีวิตอยู่. ความจริงก็คือพระเจ้าทรงเป็นห่วงแม้กระทั่งชีวิตของคนชั่ว. พระองค์ทรงกระตุ้นให้พวกเขาเปลี่ยนแนวทางของตนและ “มีชีวิตอยู่.” (ยะเอศเคล 33:11, ฉบับแปลใหม่) พระองค์ทรงปรารถนาให้คนที่เป็นห่วงเรื่องการได้รับความโปรดปรานจากพระองค์มีชีวิตอยู่ต่อไปมากยิ่งกว่านั้นสักเท่าใด!
พระเจ้าทรงจัดเตรียมเครื่องบูชาไถ่ของพระบุตรของพระองค์, ประชาคมคริสเตียน, คัมภีร์ไบเบิล, และสิทธิพิเศษของการอธิษฐาน. ช่องทางในการติดต่อกับพระเจ้าโดยการอธิษฐานนี้เปิดอยู่เสมอ. พระเจ้าทรงสามารถและจะทรงฟังทุกคนที่เข้าหาพระองค์ด้วยหัวใจถ่อมและจริงใจ. “เหตุฉะนั้น ให้เราทั้งหลายเข้าไปถึงราชบัลลังก์แห่งพระกรุณาอันไม่พึงได้รับและพูดอย่างสะดวกใจ เพื่อเราจะได้รับความเมตตาและประสบพระกรุณาอันไม่พึงได้รับมาช่วยในเวลาอันควร.”—เฮ็บราย 4:16, ล.ม.
[กรอบหน้า 12]
คนที่คุณรักฆ่าตัวตายหรือ?
เมื่อมีคนฆ่าตัวตาย สมาชิกในครอบครัวและเพื่อนสนิทจะประสบกับความทุกข์ใจอย่างมาก. หลายคนโทษตัวเองสำหรับโศกนาฏกรรมนั้น. พวกเขาจะพูดทำนองนี้: ‘ถ้าฉันเพียงแต่อยู่กับเขานานขึ้นอีกหน่อยในวันนั้น,’ ‘ถ้าตอนนั้นฉันเพียงแต่ยั้งปากไว้,’ ‘ถ้าฉันเพียงแต่ช่วยเขามากขึ้นอีกหน่อย.’ ความหมายคือว่า ‘ถ้าฉันเพียงแต่ทำนี่หรือทำนั่น คนที่ฉันรักคงยังมีชีวิตอยู่.’ กระนั้น มีเหตุผลไหมที่จะโทษตัวเองเมื่อคนอื่นฆ่าตัวตาย?
จำไว้ว่า เป็นเรื่องง่ายมากที่จะรู้ถึงสัญญาณเตือนของความคิดที่จะฆ่าตัวตายหลังจากเหตุการณ์เกิดขึ้นแล้ว. แต่ก่อนที่เหตุการณ์จะเกิดขึ้นนั้นเป็นอีกเรื่องหนึ่ง. คัมภีร์ไบเบิลกล่าวว่า “ใจของใครก็ย่อมรู้ความขื่นขมของตนเอง; และคนอื่นจะเข้ามายุ่มย่ามกับความปลาบปลื้มยินดีในดวงใจของใครนั้นก็หาได้ไม่.” (สุภาษิต 14:10) บางครั้งเป็นไปไม่ได้เลยที่จะหยั่งรู้ว่าอีกคนหนึ่งคิดหรือรู้สึกอย่างไร. คนที่คิดจะฆ่าตัวตายหลายคนไม่อาจบอกความรู้สึกเบื้องลึกของตนเองให้คนอื่นรู้ได้เลย แม้แต่กับคนใกล้ชิดในครอบครัว.
หนังสือการให้ถ้อยคำแก่ความขมขื่น (ภาษาอังกฤษ) กล่าวเกี่ยวกับสัญญาณที่บอกให้ทราบว่าคนหนึ่งอาจคิดฆ่าตัวตายดังนี้: “ข้อเท็จจริงคือว่า ไม่ใช่เรื่องง่ายที่จะมองสัญญาณเหล่านั้นออก.” หนังสือเล่มเดียวกันเสริมว่า ถึงแม้คุณจะรู้ว่ามีสัญญาณเตือนบางอย่าง นั่นก็ไม่ได้รับประกันว่าคุณจะป้องกันการฆ่าตัวตายได้. แทนที่จะทรมานตัวเอง คุณอาจได้การปลอบโยนจากถ้อยคำของกษัตริย์ซะโลโมที่ว่า “เพราะว่าคนเป็นย่อมรู้ว่าเขาเองคงจะตาย, แต่คนตายแล้วก็ไม่รู้อะไรเลย.” (ท่านผู้ประกาศ 9:5) คนที่คุณรักไม่ได้ถูกทรมานในไฟนรก. และความทุกข์ทางจิตใจและทางอารมณ์ซึ่งกระตุ้นให้เขาฆ่าตัวตายนั้นก็ยุติลงแล้ว. เขาไม่ทนทุกข์; เขาเพียงแต่พักผ่อนอยู่.
ตอนนี้อาจดีที่สุดที่จะมุ่งสนใจสวัสดิภาพของผู้ที่ยังมีชีวิตอยู่ รวมทั้งของตัวคุณเองด้วย. ซะโลโมกล่าวต่อไปว่า “เมื่อมือไม้ของเจ้าจับการอันใดทำ, จงกระทำการอันนั้นด้วยกำลังวังชาของเจ้า” ขณะที่คุณมีชีวิตอยู่. (ท่านผู้ประกาศ 9:10) ขอให้มั่นใจว่าความหวังเรื่องชีวิตในอนาคตของผู้ที่ฆ่าตัวตายอยู่ในพระหัตถ์ของพระยะโฮวา “พระบิดาผู้ทรงความเมตตาและพระเจ้าผู้ทรงชูใจทุกอย่าง.”—2 โกรินโธ 1:3.a
[เชิงอรรถ]
a คุณจะพบทัศนะที่สมดุลเรื่องความหวังเกี่ยวกับอนาคตของคนที่ฆ่าตัวตายได้ในบทความ “ทัศนะของคัมภีร์ไบเบิล: คนฆ่าตัวตาย—จะได้เป็นขึ้นมาไหม?” ในตื่นเถิด! ฉบับ 8 กันยายน 1990.
[ภาพหน้า 8]
คุยกับใครสักคน
[ภาพหน้า 10]
ชีวิตของคุณมีความสำคัญสำหรับคนอื่น
-