-
คุณจะประสบความยินดีได้ในโลกที่ทำให้ซึมเศร้า!หอสังเกตการณ์ 1990 | มีนาคม 1
-
-
คุณจะประสบความยินดีได้ในโลกที่ทำให้ซึมเศร้า!
แมรีมีนิสัยร่าเริง เบิกบาน. เป็นเรื่องยากที่จะเชื่อว่า เพียงไม่กี่ปีมานี้เอง สตรีวัย 32 ปีผู้นี้ได้พรรณนาถึงตัวเธอเองเสมือนว่าตายแล้วข้างใน. แมรีเคยเป็นเหยื่อของโรคซึมเศร้าอย่างแรง. เธอชี้แจงว่า “มันเป็นเหมือนเมฆดำทะมึนที่ค่อย ๆ สลายตัวไป.” ถูกแล้ว น่ายินดีที่เธอหายเป็นปกติและกลับมีความยินดีดังเดิม.
แต่ละปีหลายร้อยล้านคนทั่วโลกเป็นคนทุพพลภาพเนื่องจากความซึมเศร้าอย่างรุนแรง! โรคนี้ใช่ว่าเป็นเพียงอารมณ์เศร้าหมองชั่วระยะหนึ่งซึ่งเกิดขึ้นกับคนส่วนใหญ่เป็นครั้งคราวไม่. ความซึมเศร้าแบบรุนแรงนั้นมีความเศร้าหมองอย่างต่อเนื่อง. บุคคลที่ซึมเศร้าหมดความสนใจในชีวิต ไม่ประสบความยินดีในสิ่งใด ๆ และมีความรู้สึกหมดหวังและไร้ค่าเป็นส่วนใหญ่. ในปี 1983 องค์การอนามัยโลกแถลงว่า “ปัจจุบันแทบไม่ต้องสงสัยเลยว่า โรคซึมเศร้าเกิดขึ้นในทุกส่วนของโลก.”
ผู้ที่ศึกษาพระคัมภีร์อย่างถี่ถ้วนไม่แปลกใจกับรายงานเช่นนี้. พระคัมภีร์ระบุสมัยของเราว่าเป็น “ยุคสุดท้าย” ซึ่งส่อลักษณะพิเศษด้วย “วิกฤตกาลที่ยากจะจัดการ.” (2 ติโมเธียว 3:1-5, ล.ม.) โครงสร้างทางสังคมซึ่งในอดีตให้การสนับสนุนในยามที่มีภาวะฉุกเฉินทางด้านความรู้สึกนั้นได้เสื่อมลง. ในบทความเรื่อง “ยุคแห่งความหดหู่ใจหรือ?” ดร. เจอร์รัลด์ เคลอร์แมนถือว่า การเพิ่มทวีขึ้นของความซึมเศร้าในปัจจุบันเนื่องมาจากการเปลี่ยนแปลงเช่นนี้. เขาชี้แจงว่า “หน่วยเกื้อหนุนสังคมสามอย่างซึ่งเป็นที่รู้จักกันอย่างกว้างขวางที่สุดนั้นได้แก่ครอบครัว คริสต์จักร และเพื่อนบ้านใกล้เคียง. . . . นับเป็นลักษณะพิเศษจำเพาะของสมัยปัจจุบันที่หน่วยเกื้อหนุนสังคมทั้งสามอย่างนี้อยู่ในสภาพที่ยุ่งเหยิงเป็นอย่างยิ่ง.”
ความแตกร้าวในครอบครัวของแมรีนั่นเองที่ทำให้เธอหมดหวัง. แมรีหวนระลึกว่า “เมื่อแม่เลี้ยงของดิฉันจากไปโดยไม่พูดสักคำ ดิฉันรู้สึกว่าถูกทรยศและถูกทอดทิ้ง. ดิฉันอายุ 12 ปี และในทันใดนั้นโลกของดิฉันดูเหมือนว่ากลับตาลปัตร.” หลังจากนั้นไม่นานเธอต้องออกจากบ้านเพราะพ่อของเธอพยายามจะปฏิบัติกับเธอแบบที่ผิดศีลธรรม และเธอยอมรับว่า “ดิฉันรู้สึกไม่ปกติและหมดความมั่นใจในตัวเองทั้งสิ้น.” ด้วยเหตุนี้เธอจึงเริ่มตกเข้าสู่ความซึมเศร้าอย่างแรง.
วันหนึ่งขณะที่แมรีรู้สึกซึมเศร้าเหลือเกินนั้น พยานพระยะโฮวาสองคนได้มาเยี่ยมที่บ้านของเธอ. ในทันทีทันใด เธอได้แสดงความสนใจอย่างมากในข่าวสารจากพระคัมภีร์ซึ่งทำให้ใจเบิกบาน. “เมื่อก่อน ดิฉันเห็นเพียงความเปล่าประโยชน์ของชีวิตอย่างสิ้นเชิงและสิ่งที่น่าเกลียดหลายอย่าง แต่บัดนี้ดิฉันรู้สึกเชื่อมั่นว่า ดิฉันจะมีชีวิตอยู่ได้ในโลกใหม่ที่พระเจ้าจะทรงแก้ไขความอยุติธรรมทั้งมวลเหล่านี้. โดยการสงเคราะห์จากพระเจ้าดิฉันจึงมีคุณสมบัติที่จะได้รับพระพรดังกล่าวนั้นได้ ด้วยเหตุนี้ชีวิตของดิฉันจึงมีความหมายอย่างแท้จริง.” เมื่อเธอเข้าร่วมการประชุมของพวกพยานฯ เธอพบความรักแท้และการสนับสนุนทางด้านอารมณ์. (โยฮัน 13:34, 35) การให้คำแนะนำแบบช่ำชองของพวกผู้ปกครองในประชาคมได้ช่วยเธอให้เริ่มเปลี่ยนความคิดในแง่ลบด้วย. (ยาโกโบ 5:14) ความซึมเศร้าของเธอเริ่มบรรเทาลง. คนอื่น ๆ จำนวนมากมาย ผู้ซึ่งรู้สึกซึมเศร้าเนื่องจากสภาพการณ์ของโลกเช่นเดียวกับแมรีนั้น ได้ประสบ “ความโสมนัสยินดีในพระยะโฮวา” โดยการบรรลุถึงความรู้ถ่องแท้เกี่ยวกับสัจธรรมในคัมภีร์ไบเบิล.—นะเฮมยา 8:10; 1 ติโมเธียว 2:4.
กระนั้น ความซึมเศร้าของแมรีถูกขจัดให้หมดไปทันทีไหม? ควรไหมที่เราจะทึกทักเอาว่า คริสเตียนมีภูมิต้านทานโรคซึมเศร้า? เพื่อตอบคำถามเหล่านี้ เราต้องดำเนินการยิ่งกว่าเพียงพิจารณาดูโรคนี้และสาเหตุอันซับซ้อนของโรคอย่างผิวเผิน. การรู้จักมูลเหตุอันแท้จริงของความซึมเศร้าจะทำให้คุณประสบผลสำเร็จได้มากขึ้นในการรับมือกับโรคนั้นในตัวคุณเอง หรือในการช่วยใครบางคนที่เป็นโรคนั้น.
สาเหตุของความซึมเศร้าอย่างแรง
ในบางกรณีความซึมเศร้ามีสาเหตุทางด้านสรีระ เช่น โรค การบกพร่องทางด้านโภชนาการ และปัญหาเกี่ยวกับฮอร์โมน. อาจเป็นปฏิกิริยาต่อเชื้อพิษ สารพิษบางอย่าง ยา และสารที่ทำให้เกิดภูมิแพ้ด้วย.a อย่างไรก็ตาม พระคัมภีร์เปิดเผยว่า “ความคิดที่ทำให้เป็นกังวล” ของคนเราเองนั้นอาจเป็นสาเหตุหนึ่งด้วย.—บทเพลงสรรเสริญ 94:19, ล.ม.
คนส่วนใหญ่ซึ่งรู้สึกซึมเศร้า เหมือนแมรี ได้เผชิญกับประสบการณ์ที่ไม่น่ายินดีซึ่งทำให้ปวดร้าวใจ หรือสถานการณ์ที่ก่อความตึงเครียดหลายอย่าง. หลายคนรู้สึกเช่นเดียวกับผู้ประพันธ์บทเพลงสรรเสริญ: “จิตวิญญาณของข้าพเจ้าเต็มเปี่ยมไปด้วยความทุกข์ . . . พากันล้อมข้าพเจ้าไว้แน่นหนา. พระองค์ [พระยะโฮวา] ทรงกระทำให้คนที่รักใคร่และมิตรสหายอยู่ห่างไกลจากข้าพเจ้าแล้ว ข้าพเจ้าคุ้นเคยกับความมัวมืด.” (บทเพลงสรรเสริญ 88:3, 17, 18) ดังนั้น เช่นเดียวกับผู้ประพันธ์บทเพลงสรรเสริญ พวกเขารู้สึกว่าท่วมท้นด้วยปัญหาหรือความสูญเสีย และมองดูชีวิตโดยทั่วไปของเขาว่าหมดหวัง. เขาอาจรู้สึกเสมือนว่าอยู่คนเดียวในสถานที่มืด และรู้สึกว่าแม้แต่พระเจ้าก็ได้ทอดทิ้งเขาด้วยซ้ำ.
ทำไมเขาลงความเห็นที่ทำให้ท้อแท้ใจเช่นนั้น ที่แท้แล้วก่อให้เกิดน้ำใจชอกช้ำ? นั่นมิใช่เพียงเพราะปัญหาภายนอกของเขาเท่านั้น มันเนื่องมาจากความรู้สึกปวดร้าวหรือความไม่แน่ใจในตัวเองด้วย. เขารู้สึกว่าไม่มีความสามารถพอที่จะรับมือกับปัญหาหรือความสูญเสีย. สุภาษิต 15:13, (ล.ม.) ชี้แจงว่า “มีน้ำใจชอกช้ำเนื่องจากความปวดร้าวหัวใจ.” ความปวดร้าวหัวใจดังกล่าวจะรวมเอาความรู้สึกที่ว่า คนเราเป็นผู้ที่ล้มเหลว หรือว่าคนอื่นคิดเช่นนั้น. แม้แต่เอปาฟะโรดีโต คริสเตียนในศตวรรษแรก ภายหลังหายจากการป่วยหนักระหว่างการเดินทางเผยแพร่ที่ประชาคมของเขาจัดขึ้นแล้วก็ “เป็นทุกข์มาก เพราะ [ประชาคม] ได้ยินว่าเขาป่วย.”—ฟิลิปปอย 2:25-30.
เนื่องจาก ‘จิตชอกช้ำเป็นที่ให้กระดูกเหี่ยวแห้งไป’ หรือบ่อนทำลายความเป็นอยู่ของคนเรานั่นทีเดียว ความรู้สึกประเมินค่าตัวเองต่ำมักจะเป็นมูลเหตุของความซึมเศร้าอย่างร้ายแรงอยู่เนือง ๆ. (สุภาษิต 17:22) ความปวดร้าวหัวใจอาจเกิดขึ้นเนื่องจากความเป็นห่วงมากเกินไปในเรื่องที่ว่าคนอื่นมองดูเราอย่างไร คาดหมายความสมบูรณ์ครบถ้วน ความโกรธที่แก้ไม่หาย ความแค้นเคือง ความขัดแย้งกับคนอื่นแบบที่แก้ไขไม่ได้ หรือความรู้สึกผิด (ที่ผิดจริง หรือคิดไปเองว่าผิด).
ดังนั้น สาเหตุของความซึมเศร้าแบบร้ายแรงนั้นมีมากมาย. กระนั้น แมรีได้ประสบความยินดีแท้หลังจากเข้ามาเป็นคริสเตียน. เธอบอกว่า “ครั้นแล้วดิฉันก็มีความหวัง.” แต่เธอยังคงต้องอดทนกับความซึมเศร้าเป็นระยะเวลาหนึ่ง. ในที่สุดคนเช่นนั้นเอาชนะความซึมเศร้าได้อย่างไร?
-
-
ประสบชัยชนะในการสู้กับความซึมเศร้าหอสังเกตการณ์ 1990 | มีนาคม 1
-
-
ประสบชัยชนะในการสู้กับความซึมเศร้า
โลลาสารภาพว่า “สิ่งที่ทำให้หมดกำลังมากที่สุดซึ่ง ดิฉันต้องรับมือก็คือความผิดในการรู้สึกว่าหมดหวัง เนื่องจากในฐานะเป็นผู้รับใช้คนหนึ่งของพระยะโฮวา ดิฉันคิดว่าดิฉันไม่น่าจะรู้สึกอย่างนั้น.” ความเข้าใจผิดที่พบบ่อย ๆ เช่นนี้มักเป็นศัตรูตัวแรกที่คริสเตียนผู้ซึมเศร้าต้องเอาชนะให้ได้. โลลากล่าวเสริมว่า “เมื่อดิฉันเลิกทุบตีตัวเองทางด้านจิตใจเนื่องจากความรู้สึกอย่างที่ดิฉันมีนั้น และเพ่งเล็งแต่ในเรื่องที่จะหายจากอาการเช่นนี้ ดิฉันก็รับมือกับความซึมเศร้าได้ดีขึ้น.” ถูกแล้ว ความซึมเศร้าแต่อย่างเดียวใช่ว่าเป็นเหตุผลสำหรับคุณที่จะคิดว่าคุณได้ทำให้พระเจ้าผิดหวังไม่.
ดังที่ได้กล่าวไว้ในบทความก่อน สาเหตุของความซึมเศร้าอาจมาจากทางสรีระ. ในปี 1915 นานก่อนการวิจัยเร็ว ๆ นี้เชื่อมโยงความเจ็บป่วยทางร่างกายหลายอย่างเข้ากับความซึมเศร้านั้น เดอะ ว็อชเทาเวอร์ ได้แถลงว่า “ความหนักอึ้งของอารมณ์เช่นนี้ หรือความรู้สึกเหงาและความซึมเศร้าเป็นเรื่องธรรมดาสำหรับมวลมนุษยชาติในบางครั้ง . . . ภาวะของสุขภาพร่างกายมักจะทำให้ความรู้สึกนั้นยิ่งหนักขึ้น.” ด้วยเหตุนี้ถ้าหากอารมณ์ซึมเศร้าเป็นแบบยืดเยื้อ การตรวจโดยแพทย์อาจมีส่วนช่วยได้. ถ้าหากอาการรุนแรง คนเราอาจต้องการได้รับการรักษาโรคโดยผู้เชี่ยวชาญซึ่งชำนาญเป็นพิเศษในโรคซึมเศร้า.a
แต่ถึงแม้สาเหตุมิใช่ด้านร่างกายก็ตาม ก็เป็นเรื่องที่ไม่ตรงกับความเป็นจริงที่จะคาดหมายว่า ผู้รับใช้คนใดคนหนึ่งของพระเจ้าจะไม่เคยเศร้าโศกหรือท้อแท้ใจเลย. ขอให้พิจารณาดูนางฮันนาผู้ซื่อสัตย์ว่าเธอ ‘เป็นทุกข์ร้อนใจ และร้องไห้พิลาปร่ำไร’ สักเพียงไร. (1 ซามูเอล 1:7, 10) นะเฮมยา ‘ร้องไห้เป็นทุกข์โศกเศร้าหลายวัน’ และมี “ความทุกข์ในใจ.” (นะเฮมยา 1:4; 2:2) โยบชิงชังชีวิตของท่านและรู้สึกว่าพระเจ้าได้ละทิ้งท่านแล้ว. (โยบ 10:1; 29:2, 4, 5) กษัตริย์ดาวิดได้ตรัสว่า ท่านมีความรู้สึกอ่อนเพลียละเหี่ยใจอยู่ข้างใน และหัวใจของท่านหมดความรู้สึก. (บทเพลงสรรเสริญ 143:4) และอัครสาวกเปาโลได้กล่าวถึงการมี “ความกลัวภายใน” และ “ท้อใจ” หรือ “ถูกตีลงแล้ว” ทางด้านความรู้สึก.—2 โกรินโธ 4:9; 7:5, 6.
ถึงแม้คนเหล่านี้ทั้งหมดเป็นผู้รับใช้ที่ซื่อสัตย์ของพระเจ้าก็ตาม ความทุกข์ร้อนต่าง ๆ นานา ความหวั่นกลัวหรือความผิดหวังอย่างข่มขื่นได้ทำให้เกิดความเศร้าระทมชั่วคราว. กระนั้น พระเจ้าหาได้ละทิ้งพวกเขาหรือเอาพระวิญญาณบริสุทธิ์ของพระองค์ไปเสียจากพวกเขาไม่. อารมณ์ซึมเศร้าของเขามิใช่เนื่องจากความล้มเหลวทางวิญญาณ. ครั้งหนึ่งเมื่อดาวิดเป็นทุกข์ ท่านได้อ้อนวอนในคำอธิษฐานว่า “ขอทรงโปรดกระทำจิตใจผู้ทาสของพระองค์ให้ชื่นชมยินดี.” พระเจ้าทรงปลอบประโลมใจดาวิดระหว่าง ‘ยามทุกข์ยาก’ และในที่สุดได้ทรงช่วยให้ท่านชื่นชมยินดี. (บทเพลงสรรเสริญ 86:1, 4, 7) พระยะโฮวาจะทรงช่วยผู้รับใช้ของพระองค์ในขณะนี้เช่นเดียวกัน.
เนื่องจากความซึมเศร้าในตัวมันเองใช่ว่าเป็นข้อพิสูจน์ทั้งในเรื่องความล้มเหลวฝ่ายวิญญาณ หรือความอ่อนแอทางด้านจิตใจไม่ คริสเตียนที่ตกอยู่ในสภาพนี้ไม่ควรเงียบอยู่เนื่องจากอับอาย. แทนที่จะเป็นเช่นนั้น เขาควรดำเนินการขั้นสำคัญที่สุดอย่างหนึ่งในการต่อสู้กับโรคนี้. นั้นคืออะไร?
ระบายความรู้สึกของคุณออกมา
เขาควรจะพูดคุยกับใครสักคนถึงเรื่องนั้น. สุภาษิต 12:25 บอกว่า “ความหนักใจทำให้คนท้อใจลง แต่คำปรานีทำให้คนเบิกบานใจ.” ไม่มีมนุษย์คนใดจะรู้ได้ถึงความรุนแรงของความวิตกกังวลในหัวใจของคุณ เว้นเสียแต่คุณจะเปิดเผยและพูดถึงเรื่องนั้น. โดยไว้ใจในบุคคลที่เห็นอกเห็นใจซึ่งช่วยได้ คุณคงจะเรียนรู้ว่าคนอื่น ๆ ก็เคยมีความรู้สึกและปัญหาคล้าย ๆ กัน. นอกจากนี้ การถ่ายทอดความรู้สึกออกมาเป็นคำพูดเป็นขั้นตอนหนึ่งในการรักษาด้วย เพราะนั่นผ่อนคลายหัวใจให้แสดงประสบการณ์อันปวดร้าวออกมาแทนที่จะข่มไว้. เพราะฉะนั้น คนที่ซึมเศร้าควรไว้ใจในคู่สมรส บิดาหรือมารดา หรือไม่ก็เพื่อนที่เห็นอกเห็นใจและมีคุณวุฒิทางฝ่ายวิญญาณ.—ฆะลาเตีย 6:1.
ส่วนหนึ่งแห่งปัญหาของแมรี (ที่กล่าวถึงในบทความก่อน) คือการที่เธอข่มอารมณ์ที่ทำให้หนักใจนั้นไว้ซึ่งนำเธอไปสู่ความซึมเศร้า. เธอบอกว่า “ดิฉันต้องทำเป็นเสแสร้งตลอดหลายปี. คนอื่น ๆ จะนึกไม่ถึงเลยว่าดิฉันมีความทุกข์ใจเช่นนั้นที่เกี่ยวกับความรู้สึกว่าไร้ค่าอย่างนี้.” แต่แมรีได้เปิดเผยกับผู้ปกครองคนหนึ่งในประชาคม. โดยใช้คำถามแบบมีวิจารณญาณ ผู้ปกครองทำให้ความกระวนกระวายที่เธอแบกอยู่นั้นถูก ‘ยกขึ้นมา’ จากหัวใจของเธอ และช่วยเธอให้เข้าใจตัวเองดีขึ้น. (สุภาษิต 20:5) คำพูดที่เหมาะสมของเขาจากพระคัมภีร์ทำให้เธอมีความมั่นใจขึ้นมาอีก. แมรีชี้แจงว่า “เป็นครั้งแรก ดิฉันเริ่มได้รับความช่วยเหลือที่จะรับมือกับความรู้สึกบางอย่างซึ่งมีส่วนส่งเสริมความซึมเศร้าของดิฉัน.”
ดังนั้น การพูดคุยกับผู้ปกครองที่มีความเข้าใจอาจจัดให้มี “น้ำ” ที่ทำให้สดชื่นทางฝ่ายวิญญาณแก่คนที่ “จิตวิญญาณเป็นเหมือนแผ่นดินที่แห้งผาก.” (ยะซายา 32:1, 2; บทเพลงสรรเสริญ 143:6, ล.ม.) ที่ปรึกษาทางฝ่ายวิญญาณซึ่งมีวิจารณญาณอาจช่วยคุณให้เข้าใจด้วยซ้ำไปว่า คุณจะดำเนินการตามขั้นตอนที่ใช้ได้ผลอย่างไรเพื่อรับมือกับสิ่งที่คุณอาจเคยถือว่าเป็นสภาพการณ์ที่หมดหวัง. (สุภาษิต 24:6) แต่มีสิ่งจำเป็นยิ่งกว่าเพียงปรับทุกข์กับคนอื่น.
จงสำนึกถึงคุณค่าแท้ของคุณ
ความรู้สึกว่าไร้ค่าเป็นสาเหตุสำคัญอย่างหนึ่งของความซึมเศร้า. บางทีเนื่องจากวัยเด็กที่ไม่มีความสุข คริสเตียนบางคนประเมินค่าตัวเองต่ำ. แต่ถึงแม้การทารุณทางด้านร่างกาย ด้านอารมณ์ หรือทางด้านเพศในอดีตได้ทิ้งความบอบช้ำทางด้านความรู้สึกไว้ก็ตาม ทั้งนี้ใช่ว่าเปลี่ยนคุณค่าของคนเราไม่. ด้วยเหตุนี้ คุณต้องพยายามที่จะมีทัศนะที่สมดุลในเรื่องคุณค่าอันแท้จริงของคุณในฐานะเป็นบุคคล. อัครสาวกเปาโลได้กระตุ้นเตือนว่า “ข้าพเจ้าขอกล่าวแก่ท่านทั้งหลายทุกคนว่า อย่าประเมินค่าตัวเองเกินกว่าคุณค่าแท้ของเขา แต่ให้ตีราคาตัวเองพอสมควร.” (โรม 12:3, ชาร์ลส บี. วิลเลียมส์) ขณะที่ระวังความหยิ่งยโส คุณควรพยายามที่จะไม่เลยขอบเขตอีกข้างหนึ่ง. คนเหล่านั้นที่มีสัมพันธภาพกับพระเจ้ามีค่าล้ำ เป็นที่น่าปรารถนาสำหรับพระองค์ เพราะพระองค์ทรงเลือกมนุษย์ให้มาเป็น “สมบัติพิเศษ” ของพระองค์. ช่างเป็นสิทธิพิเศษอันยอดเยี่ยมเสียนี่กระไร!—มาลาคี 3:17, ล.ม.; ฮาฆี 2:7.
นอกจากนี้ นับว่าเป็นเกียรติอะไรเช่นนี้ที่จะเป็น “ผู้ร่วมทำการด้วยกันกับพระเจ้า” โดยเข้าร่วมในงานคริสเตียนเกี่ยวกับการทำให้คนเป็นสาวก. (1 โกรินโธ 3:9; มัดธาย 28:19, 20) คริสเตียนที่ซึมเศร้าหลายคนได้ประสบว่างานนี้เสริมสร้างความรู้สึกว่าตัวเองมีค่า. แมรีได้ยอมรับว่า “แม้หลังจากเข้ามาเป็นคริสเตียนแล้ว ดิฉันรู้สึกว่าไม่มีความสามารถพอ.” กระนั้น เธอพากเพียรในงานประกาศ และวันหนึ่งเธอได้พบหญิงสาวคนหนึ่งที่สมองได้รับความเสียหาย ซึ่งต้องการคนสอนพระคัมภีร์. แมรีบอกว่า “เธอต้องการใครสักคนผู้ที่จะอดทนกับเธอ เนื่องจากเธอเป็นคนเรียนรู้ช้า. เพราะเธอได้เรียกร้องความเอาใจใส่จากดิฉันอย่างมากมาย ดิฉันจึงลืมเรื่องตัวเองและความรู้สึกที่ว่าไม่มีความสามารถพอ. เธอต้องการความช่วยเหลือจากดิฉัน และดิฉันสำนึกว่า ดิฉันให้ความช่วยเหลือแก่เธอได้โดยพลังของพระยะโฮวา. การเห็นเธอได้รับบัพติสมาทำให้ดิฉันมีกำลังใจสุดที่จะพรรณนา. ความนับถือตัวเองของดิฉันเพิ่มขึ้น และความซึมเศร้าอย่างรุนแรงมลายหายไปเลยทีเดียว. ช่างเป็นจริงสักเพียงไรว่า “คนที่รดน้ำให้คนอื่นอย่างไม่อั้น เขาเองก็จะได้รับการรดน้ำอย่างไม่อั้นด้วยเช่นกัน.”!—สุภาษิต 11:25, ล.ม.
กระนั้น บุคคลที่ซึมเศร้าหลายคนตอบรับเช่นเดียวกับสตรีคริสเตียนคนหนึ่งที่ซึมเศร้าอย่างรุนแรง ผู้ซึ่งได้ยอมรับว่า “ถึงแม้ดิฉันทำงานหนักจริง ๆ ในการทำความสะอาด และทำกับข้าว และชอบต้อนรับแขก ดิฉันแปรเปลี่ยนไปและทำลายตัวเองอย่างไม่มีชิ้นดีในความผิดพลาดเล็ก ๆ น้อย ๆ ทุกเรื่อง.” การจับผิดอย่างไม่มีเหตุผลดังกล่าวบ่อนทำลายความนับถือตัวเองอย่างยิ่ง. โปรดจำไว้ว่า พระเจ้าของเราทรงเข้าพระทัยและ “มิได้ทรงจับผิดอยู่ตลอดเวลา.” (บทเพลงสรรเสริญ 103:8-10, 14, ล.ม.) ถ้าหากพระยะโฮวา ผู้ทรงมีความสำนึกเกี่ยวกับสิ่งถูกต้องยิ่งกว่าที่เรามีนั้น มิได้ทรงรบกวนเราเกี่ยวกับความผิดพลาดเล็ก ๆ น้อย ๆ ทุกเรื่อง และเต็มพระทัยที่จะแสดงความอดกลั้นเช่นนั้น มิควรหรือที่เราจะพยายามเลียนแบบพระองค์ในการจัดการกับตัวเราเอง?
เราทุกคนมีข้อบกพร่องและความอ่อนแอ. กระนั้น เราก็ยังมีข้อดีอีกด้วย. อัครสาวกเปาโลมิได้คาดหมายความยอดเยี่ยมจากตัวเองในความพยายามทุกประการของท่าน. ท่านบอกว่า “แม้ว่าข้าพเจ้าพูดไม่เก่ง แต่ข้าพเจ้าก็ยังมีความรู้.” เปาโลไม่รู้สึกด้อยค่าเพียงเพราะท่านไม่เด่นในการบรรยายสาธารณะ. (2 โกรินโธ 11:6, ฉบับแปลใหม่) เช่นเดียวกัน คนที่ซึมเศร้าควรเพ่งเล็งในสิ่งต่าง ๆ ที่เขาทำได้ดี.
“ปัญญาย่อมอาศัยอยู่กับผู้ถ่อมลง” หรือกับคนเหล่านั้นที่สำนึกและยอมรับขีดจำกัดของเขา. (สุภาษิต 11:2) เราแต่ละคนผิดแผกกับคนอื่นทั้งหมดโดยมีสภาพแวดล้อม ความแข็งแรงทางร่างกาย และความสามารถที่ต่างกัน. เท่าที่คุณรับใช้พระยะโฮวาอย่างสิ้นสุดจิตวิญญาณ กระทำสิ่งที่คุณ ทำได้ พระองค์ก็ทรงพอพระทัย. (มาระโก 12:30-33) พระเจ้ามิใช่ผู้ซึ่งไม่เคยพอพระทัยกับความพยายามของผู้นมัสการที่เลื่อมใสของพระองค์. เลียวรา คริสเตียนซึ่งประสบผลสำเร็จในการต่อสู้กับความซึมเศร้าของเธอได้บอกว่า “ดิฉันทำไม่ได้ดีเท่ากับคนอื่นทุกคนในบางสิ่ง เช่น การเสนอในงานรับใช้ตามบ้าน. แต่ดิฉันก็พยายามอยู่. สิ่งที่ดิฉันทำก็เป็นสิ่งดีที่สุดของดิฉัน.”
การรับมือกับความผิดพลาดและความเข้าใจผิด
แต่จะว่าอย่างไรหากคุณทำความผิดพลาดอย่างร้ายแรง? บางทีคุณรู้สึกเช่นเดียวกับกษัตริย์ดาวิด ผู้ซึ่ง ‘เดินเป็นทุกข์ไปวันยังค่ำ’ เนื่องจากความผิด หรือบาปของท่าน. แต่ความรู้สึกนี้ทีเดียวแหละอาจเป็นหลักฐานว่า คุณมิได้ดำเนินไกลเกินไปและกระทำบาปที่อภัยไม่ได้! (บทเพลงสรรเสริญ 38:3-6, 8, ฉบับแปลใหม่) ความรู้สึกว่ามีความผิดอาจแสดงให้เห็นว่า คนที่ได้ทำบาปนั้นมีหัวใจสุจริตและสติรู้สึกผิดชอบที่ดี. ดังนั้น จะจัดการกับความผิดนั้นได้อย่างไร? เอาละ คุณได้ทูลอธิษฐานขออภัยจากพระเจ้าไหมและดำเนินการเพื่อแก้ไขความผิดนั้น? (2 โกรินโธ 7:9-11) ถ้าเช่นนั้น จงมีความเชื่อในความเมตตาของพระองค์ผู้ทรงให้อภัยอย่างไม่อั้น ขณะที่ตั้งใจจะไม่ทำบาปนั้นซ้ำอีก. (ยะซายา 55:7) หากคุณได้รับการตีสอน อย่า ‘อ่อนระอาใจเมื่อท่านได้รับการแก้ไข เพราะพระยะโฮวาทรงรักผู้ซึ่งพระองค์ตีสอน.’ (เฮ็บราย 12:5, 6, ล.ม.) การแก้ไขดังกล่าวมีจุดมุ่งหมายในการช่วยเหลือเพื่อทำให้แกะที่หลงหายไปตั้งมั่นคงอีก. นั่นใช่ว่าลดคุณค่าของเขาในฐานะบุคคลลงไม่.
ถึงแม้ว่าหัวใจของเราตำหนิเราเอง เราไม่จำเป็นต้องลงความเห็นว่าพระยะโฮวาจะทรงตำหนิเราด้วย. “เรา . . . ได้ตั้งใจของเราให้แน่วแน่จำเพาะพระองค์ เพราะถึงแม้ว่าใจของเราเองปรับโทษตัวเรา พระเจ้าก็ยังทรงเป็นใหญ่กว่าใจของเรา และยังทรงทราบสารพัดทุกสิ่ง.” (1 โยฮัน 3:19, 20) พระยะโฮวาทรงมองเห็นมากกว่าความบาปและข้อผิดพลาดของเรา. พระองค์ทรงทราบสภาพแวดล้อมอันควรแก่การลดหย่อนผ่อนโทษ แนวทางชีวิตทั้งสิ้นของเรา เจตนาและความมุ่งหมายของเรา. ความรู้อันมหาศาลของพระองค์ทำให้พระองค์ทรงสามารถสดับคำอธิษฐานอย่างจริงจังของเราเพื่อขอการให้อภัยนั้นด้วยความเห็นอกเห็นใจ ดังที่พระองค์สดับคำอธิษฐานของดาวิด.
ความเข้าใจผิดกับคนอื่น ๆ และการเป็นห่วงมากเกินไปในเรื่องการได้รับความพอใจจากเขามีส่วนทำให้ขาดความรู้สึกว่าตัวเองมีค่าด้วย บางทีถึงกับมีความรู้สึกว่าถูกปฏิเสธด้วยซ้ำ. เนื่องจากความไม่สมบูรณ์ เพื่อนคริสเตียนอาจพูดกับคุณด้วยท่าทีที่ดูเหมือนว่าเย็นชาหรือไม่กรุณา. กระนั้น ความเข้าใจผิดหลายประการอาจขจัดออกไปได้โดยการบอกคนนั้นว่า คุณได้รับผลกระทบอย่างไรจากคำพูดนั้น. (เปรียบเทียบมัดธาย 5:23, 24.) นอกจากนี้ ซะโลโมได้แนะนำว่า “อย่าปล่อยใจให้ไปฟังบรรดาถ้อยคำที่ใคร ๆ กล่าว.” เพราะเหตุใด? “ด้วยว่าหลายครั้งหลายคราวเจ้าก็แจ้งอยู่กับใจของเจ้าเองแล้วว่า ตัวเจ้าเองได้แช่งด่าเขาเหมือนกัน.” (ท่านผู้ประกาศ 7:21, 22) อย่าคาดหมายความสมบูรณ์พร้อมอย่างที่ไม่ตรงกับความเป็นจริงจากตัวคุณเอง หรือจากความสัมพันธ์ของคุณกับมนุษย์ที่ไม่สมบูรณ์คนอื่น ๆ. จงว่องไวในการให้อภัย และอดทนกับคนอื่น ๆ.—โกโลซาย 3:13.
นอกจากนี้ คุณค่าแท้ของคุณใช่ว่าจะวัดจากการที่คนอื่นรักคุณหรือไม่นั้นเป็นอันดับแรก. พระคริสต์ “หาได้ [รับความ] นับถือ . . . ไม่” และพระองค์ถูก ‘ตีราคาจากแง่คิดของคนอื่น ๆ’ ด้วยค่าที่น้อยทีเดียว. (ยะซายา 53:3; ซะคาระยา 11:13, ล.ม.) ทั้งนี้เปลี่ยนคุณค่าแท้ของพระองค์ หรือขอบเขตที่พระเจ้าให้ความสำคัญแก่พระองค์ไหม? หามิได้ เพราะแม้ว่าเราเป็นคนสมบูรณ์ เหมือนพระเยซู เราก็ไม่อาจทำให้ทุกคนพอใจได้.
พลังที่จะอดทน
บางครั้ง ความซึมเศร้าอย่างร้ายแรงอาจยืดเยื้ออยู่ทั้ง ๆ ที่เราพยายามจะเอาชนะมัน. ความเจ็บปวดทางด้านอารมณ์อาจเป็นเหตุให้คริสเตียนบางคนรู้สึกเช่นเดียวกับโยนาด้วยซ้ำ: “ข้าพเจ้าจะตายเสียก็ดีกว่าที่จะมีชีวิตอยู่ต่อไป.” (โยนา 4:1-3) กระนั้น ความปวดร้าวของท่านมิใช่เป็นแบบถาวร. ท่านได้กลับคืนสู่สภาพปกติ. ดังนั้นหากความซึมเศร้าทำให้ชีวิตของคุณดูเหมือนอยู่ในภาวะที่สุดจะทนได้ โปรดรำลึกว่านั่นเป็นความทุกข์ลำบากซึ่งเปาโลบอกว่าเป็นแบบ “ชั่วคราว.” (2 โกรินโธ 4:8, 9, 16-18, ล.ม.) มันจะยุติลง! ไม่มีสภาพการณ์ใดที่เป็นแบบหมดหวัง. พระยะโฮวาทรงสัญญาที่จะ “ฟื้นฟูหัวใจของคนเหล่านั้นซึ่งมีความปวดร้าว.”—ยะซายา 57:15, แลมซา.
อย่าได้หยุดอธิษฐาน ถึงแม้คำอธิษฐานของคุณดูเหมือนจะ ไร้ประโยชน์. ดาวิดได้ทูลอ้อนวอนว่า “ข้าแต่พระเจ้า ขอพระองค์ทรงฟังคำร้องทูลของข้าพเจ้า . . . เมื่อใจของข้าพเจ้าอ่อนเพลียไป. ขอทรงนำไปถึงศิลาอันสูงกว่าข้าพเจ้า.” (บทเพลงสรรเสริญ 61:1, 2) พระเจ้าทรงนำเราไปสู่ความมั่นใจภายในอย่างไรซึ่งดูเหมือนว่าโดยกำลังของเราเองแล้วไปไม่ถึง? ไอลีนผู้ซึ่งได้ต่อสู้กับความซึมเศร้าเป็นเวลาหลายปีให้คำตอบว่า “พระยะโฮวาไม่ได้ปล่อยดิฉันให้ยอมแพ้. ทั้งนี้ทำให้ดิฉันมีความหวังว่า หากดิฉันพยายามเรื่อยไป พระองค์ก็จะทรงช่วยต่อไป. การรู้จักสัจธรรมในพระคัมภีร์ได้ทำให้ดิฉันมีชีวิตอยู่ต่อไปอย่างแท้จริง. โดยทางวิธีต่าง ๆ กันหลายประการ—การอธิษฐาน งานรับใช้ การประชุม สรรพหนังสือ ครอบครัว และเพื่อนฝูง—พระยะโฮวาได้ทรงจัดเตรียมพลังไว้สำหรับดิฉันเพื่อจะพยายามต่อไป.”
จงมองดูโรคนั้นว่าเป็นการทดลองความเชื่อของคุณ. อัครสาวกเปาโลรับรองกับเราว่า “ท่านสามารถไว้วางใจพระองค์ได้ พระองค์จะไม่ทรงปล่อยให้ท่านถูกทดลองเกินกว่าที่ท่านจะทนได้. แต่เมื่อท่านถูกทดลองนั้น พระองค์จะทรงโปรดให้มีทางออกด้วย เพื่อว่าท่านจะทนการทดลองนั้นได้.” (1 โกรินโธ 10:13, เบ็ค) ถูกแล้ว พระเจ้าจะประทาน “ความสามารถเกินกว่าปกติ” ให้คุณเพื่อจะแบกภาระทางด้านความรู้สึกใด ๆ ได้.—2 โกรินโธ 4:7.
โลกใหม่ที่ปราศจากความซึมเศร้า!
พระเจ้าได้ทรงสัญญาไว้ว่าในไม่ช้า พระองค์จะขจัดสภาพการณ์ทั้งปวงที่ทำให้ซึมเศร้าบนแผ่นดินโลกของเราให้หมดไปโดยทางราชอาณาจักรฝ่ายสวรรค์. พระวจนะของพระองค์แถลงว่า “เรากำลังสร้างท้องฟ้าใหม่และพิภพใหม่ และของเก่า ๆ นั้นจะไม่จดจำไว้ และเราจะไม่ฟื้นคิดขึ้นอีก. แต่คนทั้งหลายจะชื่นใจและปลาบปลื้มในสิ่งที่เรากำลังสร้างอยู่นั้นร่ำไป.” (ยะซายา 65:17, 18) ถ้อยคำเหล่านี้ได้สำเร็จสมจริงในขั้นแรกย้อนหลังไปในปี 537 ก่อนสากลศักราช ในคราวเมื่อชาติยิศราเอลโบราณได้กลับคืนสู่มาตุภูมิ. พลไพร่ของพระองค์ในครั้งนั้นได้ร้องเพลงว่า “พวกข้าพเจ้ารู้สึกเหมือนคนที่กำลังฝันอยู่. คราวนั้นปากของพวกข้าพเจ้าเต็มไปด้วยการหัวเราะ และลิ้นของพวกข้าพเจ้าประกอบไปด้วยการขับร้อง.” (บทเพลงสรรเสริญ 126:1, 2) ความสำเร็จสมจริงขั้นสุดท้ายของคำพยากรณ์ที่ทำให้หัวใจอบอุ่นนี้ที่จะเกิดขึ้นในไม่ช้า ในโลกใหม่ของพระเจ้านั้นจะยิ่งใหญ่กว่ามากสักเพียงไร!—2 เปโตร 3:13; วิวรณ์ 21:1-4.
ภายใต้ราชอาณาจักรของพระเจ้า (“ฟ้าสวรรค์ใหม่”) สังคมชอบธรรมที่ประกอบด้วยผู้คนบนแผ่นดินโลก (“แผ่นดินโลกใหม่”) จะได้รับการฟื้นฟูสู่สุขภาพที่สมบูรณ์ด้านอารมณ์ ด้านร่างกาย และทางฝ่ายวิญญาณ. มิใช่ว่าคนเหล่านี้จะไม่มีความทรงจำในเรื่องอดีต แต่ทว่าเมื่อคำนึงถึงสิ่งที่น่ายินดีทั้งมวลที่พวกเขาจะมีโอกาสคิดถึงและชื่นชมยินดีในครั้งนั้นแล้ว ก็จะไม่มีเหตุผลสำหรับเขาที่จะระลึกถึงหรือเพ่งเล็งอยู่ในประสบการณ์ที่น่าเศร้าทั้งสิ้นในอดีต. ขอให้นึกภาพดูซิ ตื่นขึ้นมาทุกเช้าพร้อมด้วยจิตใจแจ่มใส กระหายที่จะรุดหน้าพร้อมกับกิจการประจำวัน—ไม่ถูกขัดขวางเนื่องจากภาวะซึมเศร้าอีกต่อไป!
เพราะเชื่อมั่นอย่างเต็มเปี่ยมในความหวังนี้ โลลา (ที่กล่าวถึงในตอนต้น) ได้กล่าวว่า “การรำลึกว่าราชอาณาจักรของพระยะโฮวาจะขจัดปัญหานี้ออกไปเป็นความช่วยเหลือแก่ดิฉันมากที่สุด. ดิฉันรู้อยู่ว่าความซึมเศร้าจะไม่คงอยู่ตลอดกาล.” ถูกแล้ว คุณแน่ใจได้ว่าในไม่ช้า พระเจ้าจะทรงบันดาลให้เป็นไปได้ที่จะมีชัยชนะโดยเด็ดขาดเหนือความซึมเศร้า!
-