-
การรักษาโรคโดยความเชื่อ—พระเจ้าทรงพอพระทัยไหม?หอสังเกตการณ์ 1992 | มิถุนายน 1
-
-
การรักษาโรคโดยความเชื่อ—พระเจ้าทรงพอพระทัยไหม?
“วันนี้เราได้เห็นสิ่งแปลกประหลาด!” ถูกแล้ว ผู้สังเกตการณ์รู้สึกประทับใจ. ชายคนหนึ่งที่เป็นอัมพาตอย่างหนักได้รับการรักษาให้หายต่อหน้าต่อตาพวกเขาทีเดียว. ผู้รักษาบอกชายคนนั้นว่า “จงลุกขึ้นยกที่นอนไปยังบ้านของตนเถิด.” และชายคนนั้นก็ได้ทำเช่นนั้นทีเดียว! เขาไม่เป็นอัมพาตอีกต่อไป. ไม่น่าประหลาดใจที่คนเหล่านั้นซึ่งร่วมอยู่ที่นั่น “สรรเสริญพระเจ้า”! (ลูกา 5:18-26) การรักษาโรคครั้งนี้ซึ่งดำเนินการโดยพระเยซูคริสต์เกือบ 2,000 ปีมาแล้วนั้น พระเจ้าทรงพอพระทัยอย่างเห็นได้ชัดทีเดียว.
จะว่าอย่างไรในทุกวันนี้? การรักษาโรคโดยการอัศจรรย์ยังคงมีทางเป็นไปได้จริง ๆ ไหมสำหรับคนเหล่านั้นซึ่งไม่สามารถพบวิธีรักษาทางการแพทย์? พระเยซูกระทำการอัศจรรย์ที่รักษาโรค. ผู้รักษาโรคด้วยความเชื่อในปัจจุบันอ้างว่าเลียนแบบพระองค์. เราควรมีทัศนะอย่างไรต่อคำอ้างของพวกเขา?
การรักษาโรคโดยความเชื่อได้รับการนิยามว่าเป็น “วิธีรักษาโรคโดยการอธิษฐานและโดยการแสดงความเชื่อในพระเจ้า.” สารานุกรมบริแทนนิกา ยืนยันว่า “ประวัติเกี่ยวกับการรักษาโรคโดยความเชื่อในศาสนาคริสเตียนนั้นเริ่มต้นด้วยงานรับใช้เฉพาะตัวที่น่าพิศวงของพระเยซูและพวกอัครสาวก.” ถูกแล้ว พระเยซูได้บันดาลให้เกิดการรักษาโรคอันโดดเด่น. ผู้รักษาโรคโดยความเชื่อในทุกวันนี้กระทำการอัศจรรย์ดังเช่นพระองค์ทรงกระทำนั้นไหม?
ความเชื่อ—เป็นข้อเรียกร้องไหม?
ตามพจนานุกรมคัมภีร์ไบเบิลของแบล็ก นั้น พระเยซู “ได้กำหนด [ความเชื่อ] เป็นเงื่อนไขอันดับแรกสำหรับการอัศจรรย์ของพระองค์ในการรักษาโรค.” แต่เป็นเช่นนั้นไหม? พระเยซูทรงเรียกร้องให้คนป่วยมีความเชื่อก่อนที่พระองค์จะรักษาเขาไหม? คำตอบคือไม่. ความเชื่อเป็นสิ่งจำเป็นในส่วนของผู้รักษา แต่ทว่าไม่จำเป็นในส่วนของคนป่วย. ในโอกาสหนึ่ง พวกสาวกของพระเยซูไม่สามารถรักษาเด็กชายที่เป็นลมบ้าหมูได้. พระเยซูทรงรักษาเด็กชายคนนั้นหายและหลังจากนั้นทรงแจ้งแก่พวกสาวกถึงเหตุผลที่เขาไม่สามารถรักษาเด็กนั้นให้หาย. “พระเยซูตรัสตอบเขาว่า ‘เพราะเหตุพวกท่าน มีความเชื่อน้อย.’”—มัดธาย 17:14-20.
ตามมัดธาย 8:16, 17 นั้น “บรรดาคนเจ็บป่วย” พระเยซู “ได้ทรงรักษาให้หาย.” จริงอยู่ ประชาชนเหล่านี้มีความเชื่อในพระเยซูอยู่บ้างซึ่งทำให้พวกเขาเข้ามาหาพระองค์. (มัดธาย 8:13; 9:22, 29) ในกรณีส่วนใหญ่ พวกเขาต้องมาหาและทูลขอก่อนที่พระองค์ทรงรักษาพวกเขา. แต่ไม่จำเป็นต้องมีคำแถลงอย่างเป็นทางการเกี่ยวกับความเชื่อเพื่อจะกระทำการอัศจรรย์. ในโอกาสหนึ่งพระเยซูทรงรักษาชายง่อยคนหนึ่งซึ่งไม่รู้จักด้วยซ้ำว่าพระเยซูเป็นใคร. (โยฮัน 5:5-9, 13) ในคืนที่พระองค์ถูกจับกุมนั้น พระเยซูทรงต่อหูผู้รับใช้ของมหาปุโรหิตที่ถูกฟันขาดนั้นให้ติดดังเดิม ถึงแม้ชายคนนี้เป็นหนึ่งในกลุ่มศัตรูของพระเยซูซึ่งมาเพื่อจับพระองค์. (ลูกา 22:50, 51) ที่จริง บางโอกาส พระเยซูทรงปลุกคนตายให้ฟื้นด้วยซ้ำ!—ลูกา 8:54, 55; โยฮัน 11:43, 44.
พระเยซูทำการอัศจรรย์เช่นนั้นได้อย่างไร? เพราะพระองค์พึ่งอาศัยในพระวิญญาณบริสุทธิ์ หรือพลังปฏิบัติการของพระเจ้า. นี้แหละคือสิ่งที่ทำการรักษา หาใช่ความเชื่อของบุคคลที่ป่วยนั้นไม่. หากคุณอ่านเรื่องราวในกิตติคุณ คุณจะสังเกตด้วยว่าการรักษาโรคที่พระเยซูทรงกระทำนั้นมีพิธีรีตองน้อยที่สุด. ไม่มีการแสดงอย่างโอ้อวด หรือการใช้ความรู้สึกอย่างไม่ถูกต้อง. นอกจากนี้ ไม่ว่าโรคอะไรก็ตาม พระเยซูไม่เคยล้มเหลว. พระองค์ประสบผลสำเร็จอยู่เสมอ และพระองค์ไม่เคยคิดค่าธรรมเนียม.—มัดธาย 15:30, 31.
การรักษาโรคสมัยปัจจุบันเหมือนของพระเยซูไหม?
ความเจ็บป่วยเป็นปัญหาที่ร้ายแรง และเมื่อเกิดขึ้น ตามธรรมดาแล้วเราแสวงหาการบรรเทา. แต่จะว่าอย่างไรถ้าหากเราอยู่ในเขตที่ “ผู้คน โดยเฉพาะอย่างยิ่งคนเหล่านั้นที่มีรายได้น้อย ได้รับการปฏิบัติจากผู้ที่มีอาชีพทางการแพทย์ เสมือนเป็นสิ่งของ และมิใช่คน”? นั่นเป็นสภาพการณ์ที่แพทย์คนหนึ่งได้สังเกตเห็นในประเทศหนึ่งแถบละตินอเมริกา. และจะว่าอย่างไรถ้าหากเราอยู่ในเขตเช่นเดียวกับในประเทศเดียวกันนั้นที่ ‘เพียง 40 เปอร์เซนต์ของแพทย์ที่รักษาโรคนั้นมีคุณสมบัติจะดำเนินอาชีพของเขา’?
ไม่น่าแปลกใจที่หลายคนซึ่งมองไม่เห็นทางออกอื่นใด จะถือว่าการรักษาโรคโดยความเชื่อนั้นอย่างน้อยที่สุดก็น่าจะลองดู. กระนั้น การรักษาที่อ้างกันโดยผู้รักษาโรคด้วยความเชื่อนั้นก่อให้เกิดการโต้แย้ง. ตัวอย่างเช่น ประมาณ 70,000 คนที่ได้เข้าร่วมการประชุม ในเมืองเซาเพาโล ประเทศบราซิล ที่ซึ่งมีผู้รักษาโรคสองคนนั้น ‘ได้เหยียบย่ำแว่นตาหลายร้อยอันที่ผู้ฟังได้โยนทิ้ง โดยสัญญาว่าเจ้าของแว่นที่งมงายนั้นจะกลับมีสายตาดีดังเดิม.’ ผู้รักษาโรคคนหนึ่งได้ยอมรับอย่างตรงไปตรงมาในการสัมภาษณ์ว่า “ผมบอกไม่ได้ว่าคนป่วยเหล่านั้นทุกคนซึ่งเราอธิษฐานเผื่อนั้นจะได้รับการรักษา. นั่นสุดแท้แต่ความเชื่อของเขา. หากคนเราเชื่อ เขาก็จะได้รับการรักษาให้หาย.” เขาอ้างว่าหากใคร ๆ ไม่หายโรคก็เพราะว่าคนป่วยขาดความเชื่อ. แต่ดังที่เราเห็นในตอนต้นโปรดจำไว้ว่า พระเยซูทรงตรัสว่าการที่ผู้ป่วยไม่หายโรคว่าเป็นการขาดความเชื่อของคนเหล่านั้นที่กระทำการรักษานั้น!—มาระโก 9:37-42.
ผู้รักษาอีกคนหนึ่งสัญญาว่าจะรักษาโรคมะเร็งและอัมพาต. เกิดอะไรขึ้น? ตามวารสารเวชา นั้น “ปรากฏว่าไม่ได้เป็นจริงตามคำสัญญานั้น.” และขอฟังวิธีที่ชายคนนั้นปฏิบัติตัว: “ตลอดเวลาเกือบสองชั่วโมง [ผู้รักษาโรคด้วยความเชื่อ] เทศน์, อธิษฐาน, กรีดร้อง, ร้องเพลง—ถึงกับใช้การตีด้วยซ้ำ โดยมุ่งหมายที่จะขับผีซึ่งสิงอยู่ในร่างของผู้เชื่อถือ. ในที่สุด เขาโยนเน็คไทและผ้าเช็ดหน้าของเขาไปยังผู้ชมที่เคลิบเคลิ้ม แล้วส่งถาดเรี่ยไรผ่านไปเพื่อที่จะเก็บ ‘เงินบริจาคโดยสมัครใจ.’” พระเยซูและพวกอัครสาวกของพระองค์ไม่เคยขอเงินสำหรับการรักษาโรคโดยการอัศจรรย์ และไม่เคยเข้าร่วมในการแสดงแบบอวดอ้างเช่นนั้น.
ดังนั้นแล้ว เห็นได้ชัดว่าผู้รักษาโรคด้วยความเชื่อในสมัยปัจจุบันมิได้ทำสิ่งที่พระเยซูกระทำ. และนับว่ายากที่จะเข้าใจว่าพระเจ้าพอพระทัยในสิ่งที่พวกเขาทำอยู่นั้น. แต่พระองค์พอพระทัยการรักษาโรคแบบอัศจรรย์ใด ๆ ในทุกวันนี้ไหม? หรือว่ามีทางใดไหมที่ความเชื่อของเราอาจช่วยเราได้เมื่อเราหรือคนที่เรารักนั้นล้มป่วยลง?
-
-
วิธีที่ความเชื่อสามารถช่วยผู้ป่วยได้หอสังเกตการณ์ 1992 | มิถุนายน 1
-
-
วิธีที่ความเชื่อสามารถช่วยผู้ป่วยได้
เรื่องราวเกี่ยวกับการรักษาโรคอย่างอัศจรรย์ในพระคัมภีร์ทำให้เรามั่นใจอีกว่าพระเจ้าทรงห่วงใยในสวัสดิภาพของเรา และเรื่องเหล่านั้นแสดงให้เห็นพลังอำนาจของพระองค์ในการรักษา. เนื่องจากการรักษาโรคอย่างอัศจรรย์เหล่านี้ถวายพระเกียรติแด่พระเจ้าและนำมาซึ่งความยินดีมากจริง ๆ นับว่ามีเหตุผลที่จะถามว่า ของประทานในการรักษาโรคโดยพระวิญญาณบริสุทธิ์ยังคงดำเนินงานอยู่ไหม?
คำตอบสำหรับคำถามนั้นคือไม่—และเหตุผลอาจทำให้บางคนประหลาดใจ. การรักษาโรคอย่างอัศจรรย์เหล่านั้นในศตวรรษแรกได้บรรลุผลสมตามจุดมุ่งหมายของการเหล่านั้น. พจนานุกรมคัมภีร์ไบเบิลที่มีภาพประกอบ ได้ให้อรรถาธิบายไว้อย่างถูกต้องว่า “จุดมุ่งหมายของการอัศจรรย์ในการรักษาโรคนั้นเป็นทางด้านศาสนา หาใช่ทางด้านการแพทย์ไม่.” จุดมุ่งหมายทางด้านศาสนาอะไรบ้างที่ได้รับการส่งเสริมจากการอัศจรรย์เหล่านั้น?
ประการหนึ่ง การอัศจรรย์ของพระเยซูในการรักษาโรคนั้นใช้ส่งเสริมจุดมุ่งหมายในการระบุตัวพระองค์ฐานะเป็นพระมาซีฮา. และหลังจากการวายพระชนม์ของพระองค์ การอัศจรรย์เหล่านั้นช่วยในการยืนยันว่าพระพรของพระเจ้าอยู่เหนือประชาคมคริสเตียนใหม่นั้น. (มัดธาย 11:2-6; เฮ็บราย 2:3, 4) นอกจากนี้ การอัศจรรย์นั้นพิสูจน์ให้เห็นว่าคำสัญญาของพระเจ้าที่จะรักษามนุษยชาติในโลกใหม่นั้นจะเป็นจริง. เรื่องเหล่านั้นทำให้ความเชื่อของเราแน่นแฟ้นยิ่งขึ้นที่ว่า เวลาที่ “จะไม่มีใครที่อาศัยอยู่ที่นั่นพูดว่า ‘ข้าพเจ้าป่วยอยู่.’ เพราะเหตุว่าพลเมืองทั้งหมดจะได้รับการอภัยโทษแล้ว” นั้นจะมาถึงอย่างแท้จริง. (ยะซายา 33:24) เมื่อมีการบรรลุจุดมุ่งหมายเหล่านี้ในศตวรรษแรกแล้ว การอัศจรรย์ก็ไม่จำเป็นอีกต่อไป.
เป็นที่น่าสังเกตว่า พวกสาวกของพระเยซูในศตวรรษแรกเองได้ประสบโรคภัยไข้เจ็บซึ่งไม่ได้รับการรักษาอย่างอัศจรรย์. นี้เป็นหลักฐานอีกว่ากิจการงานรักษาโรคอย่างอัศจรรย์ของพระเยซูรวมทั้งของอัครสาวกด้วยนั้น มีจุดประสงค์ที่จะสอนสัจธรรมอันสำคัญ มิใช่เพื่อจัดเตรียมบริการทางด้านการแพทย์. เมื่อเสนอแนะวิธีการรักษาโรคที่เกิดขึ้นกับติโมเธียวอยู่เนือง ๆ นั้น เปาโลสนับสนุนการใช้เหล้าองุ่นในการบำบัดโรค หาใช่การรักษาโรคโดยความเชื่อไม่. เปาโลผู้ซึ่งกระทำการอัศจรรย์ในการรักษาโรคนั้น มิได้รับการปลดเปลื้องจาก “เสี้ยนหนามในเนื้อหนัง” ซึ่งคอย “ทุบตี” ท่านอยู่.—2 โกรินโธ 12:7; 1 ติโมเธียว 5:23.
เมื่อพวกอัครสาวกสิ้นชีวิตไปแล้ว ของประทานในการรักษาโรคได้ผ่านพ้นไป. เปาโลเองได้ชี้แจงว่าเหตุการณ์นี้จะเกิดขึ้น. โดยเปรียบประชาคมคริสเตียนเป็นเหมือนทารก เปาโลกล่าวว่า “เมื่อข้าพเจ้ายังเป็นเด็ก ข้าพเจ้าได้พูดอย่างเด็ก ได้คิดอย่างเด็ก ได้ใคร่ครวญหาเหตุผลอย่างเด็ก แต่ครั้นข้าพเจ้าเป็นผู้ใหญ่แล้ว ข้าพเจ้าจึงเลิกธรรมเนียมอย่างเด็กเสีย.” จุดสำคัญของอุทาหรณ์ของท่านคือ ของประทานอัศจรรย์แห่งพระวิญญาณนั้นเป็นส่วนหนึ่งแห่งช่วงแรกเริ่มของประชาคมคริสเตียน. ของประทานนั้นเป็น “ธรรมเนียมอย่างเด็ก.” เนื่องจากเหตุนี้ ท่านจึงแถลงว่า “ความบกพร่อง [ของประทานอัศจรรย์] นั้นก็จะเสื่อมศูนย์ไป.”—1 โกรินโธ 13:8-11.
ความเชื่อสามารถช่วยได้เมื่อเราล้มป่วยไหม?
อย่างไรก็ดี ถึงแม้เรามิได้พึ่งอาศัยการรักษาโรคโดยความเชื่อก็ตาม นับว่าสมควรแน่ ๆ ที่จะอธิษฐานถึงพระเจ้าเพื่อขอความช่วยเหลือเมื่อเราล้มป่วย. และแน่นอน ไม่มีอะไรผิดเมื่อคนอื่นอธิษฐานเผื่อ. แต่คำอธิษฐานนั้นต้องเป็นเรื่องที่ตรงกับสภาพจริงและประสานกับพระทัยประสงค์ของพระเจ้า. (1 โยฮัน 5:14, 15) ไม่มีที่ไหนในพระคัมภีร์ที่สั่งให้เราอธิษฐานขอการรักษาโรคโดยความเชื่อ.a ถ้าจะพูดให้ถูกแล้ว เราอธิษฐานขอการค้ำจุนด้วยความรักจากพระยะโฮวาระหว่างการทดลองที่เกิดขึ้นเนื่องจากความเจ็บป่วย.
พระคัมภีร์แสดงให้เห็นสิ่งที่ชนผู้มีความเชื่ออาจอธิษฐานเผื่อได้ในเรื่องความเจ็บป่วยเมื่อบอกว่า “เมื่อเป็นไข้นอนอยู่บนเตียง พระยะโฮวาจะทรงอุปถัมภ์เขาไว้ เมื่อเขาป่วยอยู่นั้นพระองค์จะทรงจัดเตียงนอนของเขา.” (บทเพลงสรรเสริญ 41:3) การคิดรำพึงถึงพระวจนะของพระเจ้าจะช่วยคนเหล่านั้นที่ทนทุกข์กับความเจ็บป่วยทางด้านความรู้สึกได้. ผู้ประพันธ์บทเพลงสรรเสริญเขียนว่า “โอ้พระยะโฮวา พระกรุณาคุณของพระองค์ก็ทรงประคองข้าพเจ้าไว้. ครั้นข้าพเจ้ามีความสาละวนในใจเป็นอันมาก ความประเล้าประโลมของพระองค์ก็จะทรงกระทำให้จิตวิญญาณของข้าพเจ้าชื่นบาน.”—บทเพลงสรรเสริญ 94:18, 19; ดู 63:6-8 ด้วย.
นอกจากนี้ เราต้องแสดงสามัญสำนึกที่ดีในเรื่องเกี่ยวกับสุขภาพ และพระคัมภีร์แนะนำเราในเรื่องนี้. การดำเนินชีวิตตามหลักการในพระคัมภีร์นับว่าดียิ่งกว่าการมีส่วนในการใช้ยาเสพย์ติด, การสูบบุหรี่, การดื่มจัด, หรือการกินมากเกินไป และครั้นแล้ว เมื่อโรคภัยเป็นผลติดตามมาก็หันไปหาการรักษาโรคโดยความเชื่ออย่างจนตรอก. การอธิษฐานขอการอัศจรรย์เมื่อคนเราเกิดเจ็บป่วยขึ้นมาไม่อาจเอามาใช้แทนการปฏิบัติที่ฉลาดเพื่อรอดจากโรคภัยที่เลี่ยงได้ เช่น โดยการรับประทานอาหารบำรุงร่างกายถ้าหาได้ หรือการแสวงหาความช่วยเหลือจากแพทย์ที่มีคุณสมบัติพร้อมในกรณีที่เป็นไปได้.
พระวจนะของพระเจ้าสนับสนุนเราให้ปลูกฝังเจตคติที่ดีซึ่งอาจเป็นประโยชน์ต่อสุขภาพทางกายของเราด้วย. พระธรรมสุภาษิตแนะนำว่า “ใจที่สงบเป็นความจำเริญชีวิตฝ่ายกาย แต่ความอิจฉาริษยาคือความเปื่อยเน่าของกระดูก.” “ใจที่ร่าเริงเป็นเหมือนโอสถวิเศษ; แต่จิตชอกช้ำเป็นที่ให้กระดูกเหี่ยวแห้งไป.” (สุภาษิต 14:30; 17:22) การอธิษฐานขอพระวิญญาณบริสุทธิ์เพื่อจะพัฒนาความสงบและความยินดีขึ้นในตัวเราอาจมีแต่ก่อผลที่เป็นประโยชน์ต่อสุขภาพทางกายของเรา.—ฟิลิปปอย 4:6 ,7.
จะว่าอย่างไรเกี่ยวกับการรักษาโรคโดยความเชื่อ?
แน่ละ ถึงแม้ว่าคนเราดำเนินชีวิตอย่างที่เป็นประโยชน์ต่อสุขภาพเท่าที่สภาพการณ์ของเขาอำนวยให้ก็ตาม ความเจ็บป่วยก็ยังอาจเกิดขึ้นได้. ถ้าเช่นนั้นจะว่าอย่างไร? มีอันตรายใด ๆ ไหมในการไปหาผู้รักษาโรคโดยความเชื่อด้วยความหวังว่าจะได้รับการรักษาให้หาย? ใช่แล้ว มีอันตราย. หาได้ยากที่ผู้รักษาโรคโดยความเชื่อสมัยปัจจุบันจะดำเนินการโดยไม่คิดมูลค่า. และการใช้จ่ายเงินไปกับผู้รักษาโรคโดยความเชื่อในเมื่ออาจใช้เงินนั้นในการช่วยเหลือทางด้านการแพทย์ อาจลงเอยด้วยการสูญเสียมาก ๆ ก็ได้. นอกจากนี้ ทำไมจึงให้เงินแก่ปัจเจกบุคคลที่ฉวยโอกาสเอาจากความงมงายของผู้คน?
บางคนอาจโต้แย้งว่า ‘แน่ล่ะ การรักษาโรคโดยความเชื่อคงต้องมีคุณประโยชน์บ้างถึงแม้ส่วนเฉลี่ยเล็กน้อยของคนเหล่านั้นที่ไปหา “ผู้รักษา” เหล่านั้นหายโรค.’ แต่ก็เป็นเรื่องที่โต้แย้งได้ว่า ผู้รักษาโรคโดยความเชื่อนั้นรักษาคนใดให้หายจริง ๆ ในแบบถาวรหรือไม่. สารานุกรมบริแทนนิกา ได้ยอมรับว่า “เมื่อเทียบเคียงกันแล้วไม่ค่อยมีการวิจัยตามระเบียบเกี่ยวกับปัจจัยหลายอย่างที่ไม่เป็นที่รู้จักในการรักษาโรคโดยความเชื่อ.”
ถึงแม้ว่าจำนวนเล็กน้อยที่ดูเหมือนว่าหายโรคก็ตาม นี้มิใช่เป็นหลักฐานของการที่พระวิญญาณบริสุทธิ์ดำเนินอยู่. ในคำเทศน์บนภูเขา พระเยซูตรัสว่า “จะมีคนเป็นอันมากร้องแก่เราว่า ‘พระองค์เจ้าข้า พระองค์เจ้าข้า ข้าพเจ้าได้สั่งสอนในพระนามของพระองค์ และได้ขับผีออกด้วยพระนามของพระองค์ และได้กระทำการอัศจรรย์มากด้วยออกพระนามของพระองค์มิใช่หรือ?’ ขณะนั้นเราจะกล่าวแก่เขาว่า เราไม่รู้จักเจ้าเลย! เจ้าทั้งหลายผู้ประพฤติล่วงพระบัญญัติ จงถอยไปจากเรา.” (มัดธาย 7:22, 23) พระเยซูตรัสด้วยว่าบางคนถึงแม้ไม่เป็นที่พอพระทัยพระเจ้า ก็จะดึงดูดความสนใจมาสู่ตัวเองโดยหมายสำคัญต่าง ๆ: “ด้วยว่าจะมีพระคริสต์และผู้ทำนายเทียมเท็จหลายคนเกิดขึ้น เขาจะทำหมายสำคัญอันใหญ่และการอัศจรรย์ล่อลวงให้หลง ถ้าเป็นได้ถึงแม้ผู้ที่ถูกเลือกสรรแล้วก็จะให้หลงไปด้วย.” (มัดธาย 24:24) แน่นอน ผู้รักษาโรคโดยความเชื่อสมัยปัจจุบันอาจรวมอยู่ในเหล่าผู้คนซึ่งคำพยากรณ์นี้เล็งถึง ด้วยการแสดงแบบที่น่าตื่นเต้นเร้าใจของพวกเขา, การเรียกร้องเอาเงินอยู่เสมอ, และการรักษาโรคอย่างอัศจรรย์ตามที่ได้อ้างนั้น.
คนเช่นนั้นมิได้ติดตามรอยพระบาทของพระเยซู. ถ้าเช่นนั้น พวกเขาติดตามผู้ใด? อัครสาวกเปาโลให้ข้อบ่งชี้แก่เราเมื่อท่านกล่าวว่า “ถึงซาตานเองก็ยังปลอมตัวเป็นทูตแห่งความสว่างได้. เหตุฉะนั้นไม่เป็นการสำคัญอะไรซึ่งผู้รับใช้ของซาตานนั้นจะปลอมตัวเป็นคนรับใช้ของความชอบธรรม. ที่สุดปลายของคนเหล่านั้นจะเป็นไปตามกิจการของเขา.” (2 โกรินโธ 11:14, 15) ถ้าหากผู้รักษาโรคโดยความเชื่อไม่ได้ทำการรักษาตามที่เขาอ้างนั้น ดังนั้นแล้วเขาก็เป็นผู้หลอกลวง ติดตามวิถีทางของซาตาน “ผู้ลวงมนุษย์โลกทั้งปวง.” (วิวรณ์ 12:9) แต่จะว่าอย่างไร ถ้าหากเขาทำการรักษาโรคหายในกรณีส่วนน้อย? “การอัศจรรย์” ของเขาคงต้องเป็นผลจากอำนาจของซาตานและพวกผีปีศาจของมันมิใช่หรือ? ใช่แล้ว คงต้องเป็นเช่นนั้น!
สมัยแห่งการรักษาอันแท้จริง
การรักษาโรคอย่างอัศจรรย์ของพระเยซูนั้นดำเนินไปโดยความช่วยเหลือจากพระวิญญาณบริสุทธิ์ของพระเจ้า. การเหล่านั้นแสดงให้เห็นถึงพระประสงค์ของพระเจ้าที่จะแก้ปัญหาสุขภาพของมนุษย์ในเวลากำหนดของพระองค์. พระยะโฮวาทรงสัญญา “[การ] รักษาพวกนานาประเทศให้หาย.” (วิวรณ์ 22:2) และพระองค์จะไม่เพียงแต่รักษาโรคภัยไข้เจ็บเท่านั้น แต่จะทรงกำจัดความตายด้วย. โยฮันอธิบายว่าพระเยซูเสด็จมา “เพื่อทุกคนที่แสดงความเชื่อในพระบุตรนั้นจะไม่พินาศ แต่มีชีวิตนิรันดร์.” (โยฮัน 3:16, ล.ม.) ช่างจะเป็นการเยียวยารักษาอันดีเยี่ยมอะไรเช่นนี้! พระเยซูจะทรงทำการรักษาโรคอีกครั้งหนึ่งเหมือนที่เคยทำดังที่บันทึกอยู่ในพระคัมภีร์ แต่ทว่าในขอบเขตที่ใหญ่โตกว่ามากนัก. พระองค์จะทรงปลุกคนตายให้เป็นขึ้นด้วยซ้ำ! (โยฮัน 5:28, 29) เหตุการณ์นี้จะเกิดขึ้นเมื่อไร?
ในโลกใหม่ของพระเจ้า ซึ่งตามหลักฐานทั้งมวลนั้นใกล้เข้ามาแล้ว. โลกใหม่นั้นซึ่งจะถูกนำเข้ามาภายหลังความชั่วของระบบนี้ถูกกำจัดออกไปตลอดกาลแล้วนั้น จะเป็นพระพรอันแท้จริงสำหรับมนุษยชาติที่มีหัวใจชอบธรรม. นั่นจะเป็นโลกที่ปราศจากความทุกข์ทรมาน. “[พระเจ้า] จะทรงเช็ดน้ำตาทุก ๆ หยดจากตาของเขา ความตายจะไม่มีต่อไป การคร่ำครวญและร้องไห้และการเจ็บปวดอย่างหนึ่งอย่างใดจะไม่มีอีกเลย. เพราะเหตุการณ์ที่ได้มีอยู่แต่ดั้งเดิมนั้นได้ล่วงพ้นไปแล้ว.” (วิวรณ์ 21:4) ช่างต่างกันเสียนี่กระไรกับสิ่งที่เราแลเห็นอยู่รอบ ๆ ตัวเราในทุกวันนี้!
เพราะฉะนั้น ในกรณีที่มีความเจ็บป่วย จงอธิษฐานถึงพระเจ้าเพื่อการค้ำจุน. และไม่ว่าจะเจ็บป่วยหรือมีสุขภาพดีก็ตาม จงเรียนรู้วิธีที่ชีวิตถาวรซึ่งปราศจากความเจ็บป่วยนั้นเป็นไปได้จริง ๆ. จงเสริมสร้างความเชื่อของคุณขึ้นในคำสัญญาของพระเจ้าที่ไว้ใจได้นี้โดยการศึกษาข้ออ้างอิงหลายประการถึงเรื่องนั้นในพระคัมภีร์. จงเรียนรู้ว่าพระประสงค์ของพระเจ้าในเรื่องนี้กำลังใกล้ความสำเร็จเป็นจริงแล้วอย่างไรตามตารางเวลาของพระองค์เอง. อย่าได้สงสัย เพราะพระวจนะของพระเจ้ารับรองกับเราว่า “พระองค์จะทรงทำลายความตายให้สาบสูญ และพระยะโฮวาจะทรงเช็ดน้ำตาจากหน้าของคนทั่วไป.”—ยะซายา 25:8.
-