ไม่ใช่พวกคนเร่ขายพระคำของพระเจ้า
“เราเคยขายบริการรับใช้ของเราเพื่อแลกกับเงิน.” นั่นเป็นคำพูดของอดีต “นักเทศน์ผู้อธิษฐานทางโทรศัพท์” ที่ถูกสัมภาษณ์ในรายงานสำรวจเกี่ยวกับผู้เผยแพร่กิตติคุณทางโทรทัศน์อเมริกันเมื่อปลายปี 1991.
รายการนี้รวมจุดอยู่ที่บริการเกี่ยวกับการเผยแพร่กิตติคุณทางโทรทัศน์สามรายการในสหรัฐ. รายการนั้นเปิดเผยว่าประชาชนถูกรีดไถเป็นเงินหลายร้อยล้านบาททุก ๆ ปีจากแค่สามรายการนี้เท่านั้น. “บริการรับใช้” หนึ่งได้รับการพรรณนาว่าเป็นโรงงานระดับพัฒนาการทางเทคนิคที่เป็นผลสืบเนื่องจากวิธีการสมัยใหม่ เพื่อจะได้เงินบริจาค.” ทั้งหมดล้วนเกี่ยวข้องกับการฉ้อโกงหลายอย่าง. เรื่องนี้ทำให้คุณตกตะลึงไหม?
ศาสนาอยู่ภายใต้การพินิจพิเคราะห์
ไม่เฉพาะการเผยแพร่กิตติคุณทางโทรทัศน์เท่านั้น แต่ทว่าศาสนาดั้งเดิม ที่เดินสายกลางด้วยซ้ำที่ได้รับการพิจารณาตรวจสอบจากรัฐบาล จากองค์กรต่าง ๆ ของเอกชนที่ต่อต้านกิจปฏิบัติที่ผิดกฎหมาย และจากประชาชนโดยทั่วไป. ในบางกรณีการที่คริสต์จักรเป็นเจ้าของใบหุ้นที่เก็บไว้ เตรียมเงินทุนทางด้านศาสนาเพื่อผลประโยชน์ทางการเมือง และการดำเนินชีวิตแบบหรูหราฟุ่มเฟือยของนักเทศน์ซึ่งได้เงินเดือนสูงนั้นได้ก่อปัญหาในเรื่องความถูกต้องเหมาะสมขึ้นมา.
พวกหัวหน้าศาสนาบางคนมีคุณสมบัติที่จำเป็นตามคำพรรณนาที่โดดเด่นเกี่ยวกับงานรับใช้ฝ่ายคริสเตียนซึ่งอัครสาวกเปาโลให้ไว้เกือบ 2,000 ปีมาแล้วไหม? ท่านเขียนว่า “เราไม่เหมือนคนโดยมากที่เอาพระคำของพระเจ้าไปขายกิน แต่ว่าเราประกาศด้วยอาศัยพระคริสต์อย่างคนสัตย์ซื่อ อย่างคนที่มาจากพระเจ้า และอย่างคนที่อยู่จำเพาะพระพักตรพระเจ้า.” (2 โกรินโธ 2:17) ใครเหมาะกับคำพรรณนานั้นในทุกวันนี้?
เพื่อช่วยคุณประเมินเรื่องราว ขอให้เราพิจารณาอย่างใกล้ชิดกว่าในเรื่องวิธีที่มีการจัดเตรียมเงินทุนให้กับงานรับใช้ฝ่ายคริสเตียนของเปาโลและเพื่อนร่วมงานของท่าน. วิธีนั้นต่างจากคนอื่น ๆ ในสมัยของท่านอย่างไร?
ผู้ประกาศที่เดินทางในศตวรรษแรก
ในฐานะผู้ประกาศที่ท่องเที่ยวไปตามที่ต่าง ๆ เปาโลมิใช่คนเดียวเท่านั้น. ในสมัยนั้น หลายคนเดินทางไปเพื่อส่งเสริมทัศนะของเขาในเรื่องศาสนาและปรัชญา. ลูกาผู้เขียนพระคัมภีร์พูดถึง “ชาติยูดายบางคนซึ่งเที่ยวไปเป็นหมอผี.” (กิจการ 19:13) เมื่อพระเยซูได้ประณามพวกฟาริซาย พระองค์ตรัสเสริมว่า “พวกเจ้าเที่ยวไปตามทางทะเลและทางบกทั่วไปเพื่อจะได้แม้แต่คนเดียวเข้าจารีต.” (มัดธาย 23:15) พระเยซูเองเป็นผู้ประกาศที่เดินทาง. พระองค์ทรงฝึกอบรมพวกอัครสาวกและเหล่าสาวกของพระองค์ให้เลียนแบบพระองค์โดยการประกาศไม่เฉพาะแต่ในมณฑลยูดายและมณฑลซะมาเรียเท่านั้น แต่ “จนถึงที่สุดปลายแผ่นดินโลก.”—กิจการ 1:8.
ระหว่างการเดินทางของพวกเขา เหล่าสาวกของพระเยซูได้พบผู้ประกาศที่ไม่ใช่ชาวยิว. ในกรุงเอเธนส์ เปาโลได้ปะทะกับนักปราชญ์ของพวกเอปีกูเรียวและซะโตอิก. (กิจการ 17:18) ตลอดทั่วจักรวรรดิโรมัน บุคคลในสำนักปราชญ์ซินิกดำเนินการพูดโน้มน้าวโดยคำปราศรัยแบบคุยโวโอ้อวด. พวกสานุศิษย์ของไอซิสและเซราพิสแผ่ขยายอิทธิพลของเขาเหนือพวกผู้หญิงและทาสพร้อมกับคำสัญญาเรื่องความเสมอภาคเท่ากับเสรีชนทางด้านศาสนาและด้านสังคม. ลัทธิบูชาการแพร่พันธุ์ของตะวันออกได้จัดให้มีจุดเริ่มต้นสำหรับศาสนาที่ลึกลับมากมายของโลกกรีก-โรมัน. คำสัญญาเรื่องการล้างบาปและความปรารถนาจะมีส่วนในความลึกลับของพระเจ้าได้ดึงดูดใจพวกสาวกมายังพระเจ้าจอมปลอมเช่นดีมีเทอร์, ดิโอไนซัส, และซิเบลี.
มีการรับมือกับค่าใช้จ่ายโดยวิธีใด?
อย่างไรก็ดี การเดินทางมีราคาแพง. นอกจากค่าระวาง ค่าธรรมเนียมในการผ่านและการใช้จ่ายในการเดินเรือแล้ว ผู้ที่ท่องไปตามที่ต่าง ๆ จำเป็นต้องมีอาหาร, ที่พัก, ฟืน, เครื่องนุ่งห่ม, และการเอาใจใส่ทางด้านสุขภาพ. พวกผู้ประกาศ, ผู้สอน, นักปราชญ์, และพวกผู้วิเศษได้สนองความต้องการเหล่านี้ในวิธีหลักห้าประการ. พวกเขา (1) สอนโดยรับค่าจ้าง (2) เริ่มต้นทำงานรับจ้างโดยทำงานอย่างทาสและทำการค้าขาย (3) ยอมรับน้ำใจต้อนรับแขกและการบริจาคโดยสมัครใจ (4) อาศัยอยู่กับผู้อุปการะที่ร่ำรวย บ่อยครั้งในฐานะครู และ (5) ขอทาน. เพื่อเตรียมตัวเขาไว้สำหรับการถูกปฏิเสธ ดิออเจ็นนีส สานุศิษย์สำนักปราชญ์ซินิกผู้มีชื่อเสียงโด่งดังที่เที่ยวไปขอทานถึงกับได้ขอเงินสงเคราะห์จากรูปปั้นที่ไร้ชีวิตด้วยซ้ำ.
เปาโลทราบเรื่องผู้ประกาศบางคนซึ่งอ้างว่าเป็นผู้รับใช้คริสเตียน แต่ว่าได้ผูกมิตรกับคนร่ำรวยและเก็บเงินจากคนจน. ท่านได้ตำหนิประชาคมในเมืองโกรินโธ โดยกล่าวว่า “ถ้าผู้ใดมากินเลือดกินเนื้อของท่าน ถ้าผู้ใดมาจับตัวท่านไปหลอกใช้ . . . ท่านทั้งหลายก็ยอมทนเอา.” (2 โกรินโธ 11:20) พระเยซูคริสต์ไม่เคยฉกฉวยสิ่งใด ๆ และทั้งเปาโลกับเพื่อนร่วมงานของท่านก็ไม่เคยทำด้วย. แต่ผู้เผยแพร่กิตติคุณที่ละโมบของเมืองโกรินโธนั้นเป็น “อัครสาวกเท็จ เป็นคนงานไม่สัตย์ซื่อ” และเป็นผู้รับใช้ของซาตาน.—2 โกรินโธ 11:13-15.
คำสั่งของพระเยซูที่ให้แก่พวกสาวกของพระองค์นั้นไม่อนุญาตการสอนเพื่อได้ค่าจ้าง. พระองค์ทรงแนะนำว่า “ท่านทั้งหลายได้รับเปล่า ๆ จงให้เปล่า ๆ.” (มัดธาย 10:8) ถึงแม้การขอทานเป็นเรื่องธรรมดาก็ตาม การขอทานก็ได้รับการดูถูกในสมัยนั้น. ในอุทาหรณ์เรื่องหนึ่งของพระเยซู พระองค์พรรณนาถึงคนต้นเรือนคนหนึ่งที่พูดว่า “จะขอทานก็อายเขา.” (ลูกา 16:3) เนื่องจากเหตุนี้ เราไม่เคยพบในพระคัมภีร์ว่าพวกสาวกผู้ซื่อสัตย์ของพระเยซูเที่ยวขอเงินหรือสิ่งของ. พวกเขาดำรงชีวิตโดยอาศัยหลักการที่ว่า “ถ้าผู้หนึ่งผู้ใดไม่คิดจะทำการ ก็อย่าให้เขากิน.”—2 เธซะโลนิเก 3:10.
พระเยซูทรงสนับสนุนเหล่าสาวกของพระองค์ให้เอาใจใส่ต่อความจำเป็นของพวกเขาในสองวิธี. ประการแรก พวกเขาอาจ “เลี้ยงชีพด้วยกิตติคุณ” ได้ ดังที่เปาโลกล่าวเช่นนั้น. โดยวิธีใด? โดยยอมรับน้ำใจต้อนรับแขกที่มีการเสนอให้ด้วยความเต็มใจ. (1 โกรินโธ 9:14; ลูกา 10:7) ประการที่สอง พวกเขาอาจหาเลี้ยงตัวเองทางด้านวัตถุ.—ลูกา 22:36.
หลักการที่เปาโลนำมาใช้
เปาโลนำหลักการที่กล่าวมาแล้วข้างต้นนั้นมาใช้อย่างไร? เอาละ เกี่ยวกับการเดินทางเป็นมิชชันนารีครั้งที่สองของอัครสาวกนั้น ลูกาเขียนว่า “เมื่อออกจากเมืองโตรอาแล้วจึงลงเรือตรงไปยังเกาะซาโมธราเก และรุ่งขึ้นก็ถึงเมืองเนอาโปลี เมื่อออกจากที่นั่นแล้วก็ได้ไปยังเมืองฟิลิปปอยซึ่งเป็นเมืองเอกในเมืองมากะโดเนีย และเป็นที่ที่ชาวโรมมาตั้งและปกครองอยู่. เราจึงพักอยู่ในเมืองนั้นหลายวัน.” ตลอดการเดินทาง อาหารและที่พักซึ่งเกี่ยวข้องด้วยนั้นได้รับการเอาใจใส่โดยพวกเขาเอง.—กิจการ 16:11, 12.
ในที่สุด ผู้หญิงชื่อลุเดียได้ยอมรับ “ถ้อยคำซึ่งเปาโลได้กล่าวนั้น. เมื่อหญิงคนนั้นกับทั้งครอบครัวของเขาได้รับบัพติสมาแล้วจึงเชิญเราว่า ‘ถ้าท่านเห็นว่าข้าพเจ้าเป็นคนสัตย์ซื่อต่อพระเจ้า เชิญเข้ามาพักอาศัยในตึกของข้าพเจ้าเถิด.’ และเขาได้วิงวอนจนเราขัดไม่ได้.” (กิจการ 16:13-15) บางทีอย่างน้อยที่สุดก็ส่วนหนึ่งเนื่องจากน้ำใจต้อนรับแขกของลุเดีย เปาโลจึงเขียนถึงเพื่อนร่วมความเชื่อในเมืองฟิลิปปอยได้ว่า “ข้าพเจ้าได้ระลึกถึงท่านเมื่อใด ก็ได้ขอบพระคุณพระเจ้าเมื่อนั้นทุกครั้ง และทุกเวลาที่ข้าพเจ้าอธิษฐานเพื่อท่านทั้งหลาย ข้าพเจ้าได้ทูลขอด้วยใจยินดี เพราะเหตุที่ท่านทั้งหลายได้เข้ารับส่วนใน [การบริจาคที่ท่านได้ทำเพื่อ, ล.ม.] กิตติคุณด้วยกันตั้งแต่วันแรกนั้นมาจนถึงเวลาบัดนี้.”—ฟิลิปปอย 1:3-5.
ลูกาอ้างถึงหลายกรณีเกี่ยวกับบุคคลที่ยินดีต้อนรับผู้ทำงานคริสเตียนที่เดินทางเหล่านี้. (กิจการ 16:33, 34; 17:7; 21:7, 8, 16; 28:2, 7, 10, 14) ในจดหมายของท่านที่ได้รับการดลบันดาล เปาโลได้ยอมรับและแสดงความขอบคุณต่อน้ำใจต้อนรับแขกและของกำนัลที่ท่านได้รับ. (โรม 16:23: 2 โกรินโธ 11:9; ฆะลาเตีย 4:13, 14; ฟิลิปปอย 4:15-18) กระนั้น ทั้งท่านและเพื่อนร่วมงานของท่านต่างก็ไม่ได้แย้มเป็นนัยว่าพวกเขาควรได้รับของกำนัลหรือการสนับสนุนทางด้านการเงิน. พยานพระยะโฮวากล่าวได้ว่าเจตคติอันดีเช่นนี้ยังคงปรากฏอยู่ท่ามกลางผู้ดูแลเดินทางของพวกเขา.
ไม่ได้พึ่งอาศัยน้ำใจต้อนรับแขก
เปาโลไม่ได้พึ่งอาศัยน้ำใจต้อนรับแขก. ท่านได้เรียนรู้อาชีพที่ต้องทำงานหนักและใช้เวลานาน แต่ทว่าได้รับค่าจ้างต่ำ. เมื่ออัครสาวกมาถึงเมืองโกรินโธฐานะมิชชันนารีนั้น “ท่านได้พบคนชาติยูดายคนหนึ่งที่นั่นชื่ออะกุลา . . . กับภรรยาชื่อปริศกิลา . . . . เปาโลจึงไปหาคนทั้งสองนั้น และได้อาศัยทำการอยู่กับเขา เพราะว่าเป็นช่างทำกระโจมผ้าใบด้วยกันทั้งสองฝ่าย.”—กิจการ 18:1-3.
ต่อมา ในเมืองเอเฟโซ เปาโลยังคงทำงานหนักอยู่ต่อไป. (เทียบกับกิจการ 20:34; 1 โกรินโธ 4:11, 12.) ท่านอาจเป็นผู้ชำนาญในการทำงานกับ คีลีเคอุม ผ้ากระโจมเนื้อหยาบทำด้วยขนแพะที่มาจากบริเวณบ้านเกิดของท่าน. เราอาจวาดมโนภาพเปาโลนั่งอยู่บนม้านั่ง ก้มตัวอยู่เหนือโต๊ะทำงานของท่าน ตัดและเย็บจนกระทั่งดึก. เนื่องจากร้านที่ทำงานดูเหมือนจะไม่ค่อยมีเสียงอึกทึกซึ่งทำให้ง่ายที่จะพูดคุยระหว่างทำงานอย่างตรากตรำนั้น เปาโลอาจมีโอกาสให้คำพยานแก่เจ้าของร้าน, ลูกจ้าง, พวกทาส, ลูกค้า, และเพื่อน ๆ ของเขา.—เทียบกับ 1 เธซะโลนิเก 2:9.
มิชชันนารีเปาโลปฏิเสธที่จะทำให้งานรับใช้ของท่านเป็นการค้า หรือให้ความประทับใจจะโดยวิธีใดก็ตามว่าท่านใช้พระคำของพระเจ้าเพื่อได้ผลกำไรทางด้านการเงิน. ท่านได้แจ้งแก่ชาวเธซะโลนิเกว่า “ตัวท่านทั้งหลายเองก็รู้อยู่ว่าท่านควรจะเอาอย่างเรา ด้วยเรามิได้ประพฤติเกะกะท่ามกลางท่านทั้งหลายเลย และเรามิได้รับอาหารจากมือผู้ใดเป็นของกำนัล. แต่เราได้ทำการหนักด้วยความพากเพียรทำ ทั้งกลางวันและกลางคืน เพื่อจะไม่เป็นภาระแก่คนหนึ่งคนใดในพวกท่าน. มิใช่เพราะเราไม่มีสิทธิ์ แต่ว่าเพื่อจะได้ทำตัวเป็นแบบอย่างให้แก่ท่านทั้งหลาย เพื่อท่านจะได้เอาอย่างเรา.”—2 เธซะโลนิเก 3:7-9.
ผู้เลียนแบบในศตวรรษที่ยี่สิบ
จนกระทั่งบัดนี้พยานพระยะโฮวาติดตามแบบอย่างที่ดีของเปาโล. ผู้ปกครองและผู้รับใช้ไม่ได้รับเงินเดือนหรือเงินค่าบริการจากประชาคมที่พวกเขารับใช้นั้น. แทนที่จะทำเช่นนั้น พวกเขาหาเลี้ยงครอบครัวของตนเช่นเดียวกับคนอื่นทุกคน พวกเขาส่วนใหญ่ทำงานรับจ้าง. ผู้รับใช้เต็มเวลาที่เป็นไพโอเนียร์หาเลี้ยงตัวเองด้วย หลายคนทำงานเพียงเพื่อให้พอสนองความจำเป็นขั้นพื้นฐาน. ทุก ๆ ปีพยานฯบางคนเดินทางโดยค่าใช้จ่ายของตนเองเพื่อประกาศในเขตอันห่างไกลซึ่งข่าวดีไม่ค่อยจะไปถึง. หากครอบครัวในท้องถิ่นเชิญพวกเขาให้ร่วมรับประทานอาหารหรือให้ที่พัก พวกเขาก็หยั่งรู้ค่าเรื่องนี้ แต่ไม่ได้ใช้น้ำใจต้อนรับแขกดังกล่าวในทางที่ผิด.
การประกาศและการสั่งสอนทั้งสิ้นที่พยานพระยะโฮวากระทำไปนั้นเกิดจากความสมัครใจ และพวกเขาไม่เคยคิดมูลค่าสำหรับงานรับใช้ของเขา. อย่างไรก็ดี มีการยอมรับเงินบริจาคพอสัณฐานประมาณเพื่อส่งเสริมงานประกาศของพวกเขาทั่วโลก แล้วส่งไปยังสมาคมว็อชเทาเวอร์เพื่อจุดประสงค์นั้น. (มัดธาย 24:14) งานรับใช้ของพวกพยานฯไม่ใช่เพื่อผลกำไรในวิธีใดวิธีหนึ่ง. เช่นเดียวกับเปาโล พวกเขาแต่ละคนสามารถพูดได้ด้วยความสัตย์จริงว่า “ข้าพเจ้าได้ประกาศกิตติคุณของพระเจ้าแก่พวกท่านโดยไม่ได้รับค่าจ้าง.” (2 โกรินโธ 11:7) พยานพระยะโฮวาไม่ใช่ “คนเร่ขายพระคำของพระเจ้า.”
[กรอบหน้า 27]
วิธีที่บางคนบริจาคเพื่องานประกาศราชอาณาจักร
▫ การบริจาคสำหรับงานทั่วโลก: หลายคนกันเงินไว้หรือจัดงบประมาณจำนวนที่เขาใส่ไว้ในหีบบริจาคที่มีป้ายว่า “เงินบริจาคสำหรับงานของสมาคมตลอดทั่วโลก—มัดธาย 24:14.” แต่ละเดือนประชาคมส่งเงินจำนวนนี้ต่อไปยังสำนักงานใหญ่ในบรุกลิน นิวยอร์ก หรือไม่ก็สำนักงานสาขาใกล้ที่สุด.
▫ ของให้: อาจส่งเงินบริจาคโดยสมัครใจโดยตรงถึงสมาคมว็อชเทาเวอร์ ไบเบิล แอนด์ แทรกต์แห่งเพ็นซิลเวเนีย, 25 โคลัมเบีย ไฮตส์, บรุกลิน นิวยอร์ก 11201 หรือถึงสำนักงานสาขาของสมาคมในประเทศ. อาจบริจาคเพชรพลอยหรือของมีค่าอื่น ๆ ได้ด้วย. ควรส่งจดหมายสั้น ๆ ซึ่งแจ้งว่านั้นเป็นของให้โดยตรงพร้อมกับการบริจาคเหล่านี้.
▫ การบริจาคแบบมีเงื่อนไข: อาจฝากเงินไว้กับสมาคมว็อชเทาเวอร์ จนกระทั่งผู้บริจาคเสียชีวิต โดยมีเงื่อนไขว่าในกรณีที่มีความจำเป็นเฉพาะตัว ก็จะส่งเงินนั้นคืนไปยังผู้บริจาค.
▫ เบี้ยประกัน: อาจระบุชื่อสมาคมว็อชเทาเวอร์เป็นผู้รับประโยชน์จากกรมธรรม์ประกันชีวิต หรือเงินบำเหน็จบำนาญ. ควรแจ้งให้สมาคมทราบการจัดเตรียมใด ๆ ดังกล่าว.
▫ บัญชีออมทรัพย์: บัญชีออมทรัพย์, ใบหลักฐานการฝากเงิน หรือบัญชีฝากเงินบำนาญของปัจเจกบุคคลอาจมอบไว้ในความดูแล ของสมาคมว็อชเทาเวอร์ หรือให้สมาคมเบิกได้เมื่อเจ้าของตาย ตรงตามข้อกำหนดของธนาคารในท้องถิ่น. ควรแจ้งให้สมาคมทราบการจัดเตรียมใด ๆ ดังกล่าว.
▫ หุ้นและพันธบัตร: อาจบริจาคหุ้นและพันธบัตรให้สมาคมว็อชเทาเวอร์ได้ฐานะเป็นของให้โดยตรงหรือภายใต้การจัดเตรียมที่มีการจ่ายเงินปันผลให้ผู้บริจาคต่อไป.
▫ อสังหาริมทรัพย์: อาจบริจาคอสังหาริมทรัพย์ที่ขายได้ให้กับสมาคมว็อชเทาเวอร์ ทั้งโดยการยกให้เลย หรือโดยสงวนทรัพย์สินไว้ตลอดชีวิตสำหรับผู้บริจาค ผู้ซึ่งจะอาศัยอยู่ต่อไปที่นั่นได้ตลอดช่วงชีวิตของเขา. ควรติดต่อกับสมาคมก่อนการทำสัญญาโอนอสังหาริมทรัพย์ใด ๆ ให้กับสมาคม.
▫ พินัยกรรมและกรรมสิทธิ์ในทรัพย์สิน: อาจยกทรัพย์สินหรือเงินให้แก่สมาคมว็อชเทาเวอร์ไบเบิลแอนด์แทรกต์แห่งเพ็นซิลเวเนียได้โดยทางพินัยกรรมที่ลงนามอย่างถูกต้องตามกฎหมาย หรืออาจระบุชื่อสมาคมเป็นผู้รับประโยชน์จากข้อตกลงเกี่ยวกับกรรมสิทธิ์ในทรัพย์สินได้. ควรส่งสำเนาฉบับหนึ่งของพินัยกรรมหรือข้อตกลงเกี่ยวกับกรรมสิทธิ์ในทรัพย์สินนั้นถึงสมาคม.
สำหรับข้อมูลเพิ่มขึ้นเกี่ยวกับเรื่องดังกล่าว โปรดเขียนถึงสำนักงานเหรัญญิก สมาคมว็อชเทาเวอร์ไบเบิลแอนด์แทรกต์แห่งเพ็นซิลเวเนีย, 25 โคลัมเบีย ไฮตส์ บรุกลิน, นิวยอร์ก 11201 หรือถึงสำนักงานสาขาของสมาคมในประเทศของคุณ.
[กรอบหน้า 29]
เธอต้องการช่วยเหลือ
ทิฟฟานีวัยสิบเอ็ดขวบเป็นนักเรียนหญิงคนหนึ่งในแบ็ตทัน รูจ, หลุยส์เซียนา สหรัฐอเมริกา. ไม่นานมานี้ พยานพระยะโฮวาวัยเยาว์คนนี้ได้ตรียมเรียงความในหัวเรื่อง “การศึกษาในอเมริกา.” ผลก็คือ บิดามารดาที่เป็นพยานฯของเธอได้รับจดหมายฉบับนี้จากครูใหญ่ของโรงเรียน:
“ระหว่างสัปดาห์การศึกษาอเมริกัน มีการอ่านเรียงความที่เด่นเรื่องหนึ่งสำหรับแต่ละชั้นผ่านทางระบบสื่อสารภายใน. ดิฉันมีความพอใจยินดีในการใช้เรียงความของทิฟฟานีเมื่อเช้านี้. เธอเป็นสุภาพสตรีน้อย ๆ ที่ยอดเยี่ยมจริง ๆ. เธอเป็นคนมั่นคง, มีความเชื่อมั่นในตัวเอง, มีพรสวรรค์, และสุภาพอ่อนน้อม. ดิฉันไม่ค่อยจะเห็นนักเรียนชั้นปีที่หกมีคุณสมบัติเหล่านี้มากมายเพียงนั้น. ทิฟฟานีเป็นประโยชน์มากสำหรับโรงเรียนของเรา.”
ทิฟฟานีได้ชนะเป็นที่หนึ่งในการประกวดเรียงความ. หลังจากนั้นเธอเขียนถึงสมาคมว็อชเทาเวอร์ว่า “บางทีหนูอาจชนะการประกวดเพียงแต่เนื่องจากหนังสือคำถามที่หนุ่มสาวถาม—คำตอบที่ใช้การได้ . . . . หนูได้ใช้บทต่าง ๆ เกี่ยวกับการศึกษา . . . . ขอขอบคุณมากจริง ๆ สำหรับการพิมพ์หนังสือที่เป็นประโยชน์และเร้าใจเล่มนี้. สำหรับเรียงความของหนูที่ชนะ หนูได้รับรางวัลเป็นเงินเจ็ดเหรียญ. หนูบริจาคเงิน 7 เหรียญนี้กับอีก 13 เหรียญ รวมทั้งหมดเป็นเงิน 20 เหรียญเพื่องานประกาศทั่วโลก . . . . เมื่อหนูโตขึ้น หนูหวังจะอาสาสมัครสำหรับงานรับใช้ที่เบเธลด้วย.”
[รูปภาพหน้า 26]
บางครั้ง เปาโลหาเลี้ยงชีพของท่านโดยการทำกระโจม