คุณกำลังช่วยลูกของคุณให้เลือกอยู่ฝ่ายพระยะโฮวาไหม?
“ผมรู้สึกว่าการศึกษาคัมภีร์ไบเบิลเป็นเรื่องน่าเบื่อน่ารำคาญจริง ๆ. ผมตัดสินใจอย่างเงียบ ๆ ในหัวใจว่า ผมจะไม่เป็นพยานพระยะโฮวาเมื่อผมโตขึ้น” ชายหนุ่มคนหนึ่งได้กล่าวเช่นนั้น. ถึงแม้เป็นที่หวังกันว่า เด็กส่วนใหญ่ในครอบครัวคริสเตียนจะเลือกยืนหยัดอยู่ฝ่ายพระยะโฮวาในที่สุดก็ตาม เยาวชนเช่นเดียวกับเขาอาจประสบช่วงที่ลำบากในการเลือกพระยะโฮวาเป็นพระเจ้าของเขา.
บางครั้งบิดามารดารู้สึกไม่แน่ใจในเรื่องวิธีชี้นำลูก ๆ ของตนอย่างมีประสิทธิภาพ. พวกเขาประสบกับการวิเคราะห์เจตนารมณ์และค่านิยมของตนอย่างมากมาย เหมือนบิดาที่กังวลผู้ซึ่งเคยพูดครั้งหนึ่งว่า “พูดตรง ๆ มีบางครั้งที่ผมมองดูหน้าของลูก ๆ ที่หลับอยู่ น้ำตาแห่งความผิดหวังยังเปียกชุ่มแก้มของเขาอยู่ และสงสัยว่า ผมน่าจะลดหย่อนผ่อนผันมากขึ้นอีกหรือไม่.” ลูกชายสองคนของเขาเติบโตขึ้นและเลือกที่จะรับใช้พระยะโฮวา.
กระนั้น ยังมีหนุ่มสาวผู้ซึ่งละทิ้งพระยะโฮวาและออกจากกลุ่มคริสเตียนไปหาโลกของซาตาน. ดังนั้น บิดามารดาประสบผลสำเร็จโดยวิธีใดในการช่วยลูก ๆ ของเขาให้เลือกอยู่ฝ่ายพระยะโฮวา? เพื่อตอบคำถามนั้น ก่อนอื่นให้เราค้นหาสาเหตุที่หนุ่มสาวบางคนละทิ้งพระยะโฮวาในเมื่อบิดามารดาของเขาต้องการเหลือเกินให้เขายืนหยัดอยู่กับพระองค์ต่อไป.
สาเหตุที่หนุ่มสาวบางคนละทิ้งพระยะโฮวา
มูลเหตุธรรมดามากอย่างหนึ่งคือการที่หนุ่มสาวบางคนไม่เคยได้มารู้จักพระยะโฮวาหรือวิถีทางของพระองค์อย่างแท้จริง. ถึงแม้เข้าร่วมการประชุมคริสเตียนตั้งแต่เป็นทารกก็ตาม เขาเพียงแต่ทำพอเป็นพิธี และไม่มีการแสวงหาพระยะโฮวาจริง ๆ. (ยะซายา 55:6; กิจการ 17:27) เด็กชายที่กล่าวถึงข้างต้นรู้สึกเบื่อหน่ายในการประชุมคริสเตียนเพราะเขาไม่เข้าใจเรื่องที่ผู้บรรยายกล่าวจากเวที.
เมล็ดแห่งความจริงได้ถูกเพาะในเด็กบางคน ทว่าเขาได้ปล่อยให้หัวใจถูกโน้มน้าวไปโดยรูปแบบชีวิตที่เห็นได้ชัดว่าปล่อยตามใจและฝักใฝ่วัตถุของโลกซาตาน. บางคนไม่สามารถจัดการกับความปรารถนาแรงกล้ายิ่งที่จะคบหาสมาคมกับคนรุ่นเดียวกันและเป็นเหมือนเขา.—1 โครนิกา 28:9; ลูกา 8:12-14; 1 โกรินโธ 15:33.
อย่างไรก็ดี ตลอดทั่วโลกเด็กหลายคนในครอบครัวคริสเตียนได้ตัดสินใจเลือกที่จะอยู่ฝ่ายพระยะโฮวา. จะเรียนอะไรบางอย่างได้ไหมจากขั้นตอนต่าง ๆ ที่ได้ผลที่บิดามารดาของเขาได้ใช้?
เริ่มต้นแต่เนิ่น ๆ
กุญแจสำคัญในการช่วยลูก ๆ ของคุณให้เลือกอยู่ฝ่ายพระยะโฮวาคือการเริ่มต้นแต่เนิ่น ๆ. ในกรณีส่วนใหญ่ ความประทับใจที่ได้รับและบทเรียนที่ได้เรียนรู้ขณะเมื่อหัวใจโน้มน้าวได้ง่ายและตอบรับนั้นจะยืนยงตลอดชีวิต. (สุภาษิต 22:6) ดังนั้น จงเริ่มต้นแต่เนิ่น ๆ ที่จะบอกลูก ๆ ของคุณถึงคุณความดีของพระยะโฮวา, ความรักและความน่าเกรงขามของพระองค์ พยายามเสริมสร้างความรักต่อพระยะโฮวาและความหยั่งรู้ค่าต่อสิ่งที่พระองค์ได้ทรงกระทำเพื่อเขานั้นไว้ในหัวใจของเขา. เพื่อบรรลุผลสำเร็จในเรื่องนี้ บิดามารดาหลายคนได้ใช้บทความมากมายเรื่องการทรงสร้างของพระยะโฮวาซึ่งปรากฏในสรรพหนังสือของสมาคมว็อชเทาเวอร์นั้นอย่างประสบผลสำเร็จ.
การเชื่อฟังและความนับถือต่อพระยะโฮวาและต่อการนมัสการพระองค์อยู่ในบรรดาคุณลักษณะอื่น ๆ ที่ต้องพร่ำสอนแต่เนิ่น ๆ ในชีวิต. เป็นสิ่งที่ทำให้อบอุ่นใจเมื่อเห็นเด็ก ๆ ก่อนวัยเรียน ณ การประชุมคริสเตียนพยายามจดบันทึกง่าย ๆ และค้นดูข้อคัมภีร์ในคัมภีร์ไบเบิลของเขาเอง หรือไปห้องน้ำกับบิดามารดาเพื่อล้างหน้าด้วยน้ำเย็นเมื่อเขารู้สึกง่วงนอน. สิ่งเหล่านี้เป็นเรื่องง่าย ๆ แต่เป็นเรื่องสำคัญเพียงไรในการทำให้ตราตรึงในจิตใจของเด็กว่าควรแสดงความนับถือและการเชื่อฟังต่อพระยะโฮวา!
การสั่งสอนคัมภีร์ไบเบิลเป็นส่วนตัวอย่างจริงจังควรเริ่มแต่เนิ่น ๆ ด้วย. เมื่อลูกชายของเขาอายุสองขวบ สามีภรรยาคู่หนึ่งเริ่มต้นอ่านหนังสือการรับฟังครูผู้ยิ่งใหญ่ aกับลูก ๆ. ต่อมา เมื่อเด็ก ๆ เริ่มเข้าโรงเรียน พวกเขาจะตื่นแต่เช้าตรู่และศึกษากับมารดาทุกเช้าในหนังสือของฉันเกี่ยวด้วยเรื่องราวในพระคัมภีร์ไบเบิ้ล และหนังสือท่านจะมีชีวิตอยู่ได้ตลอดไปในอุทยานบนแผ่นดินโลก.b หลังจากนั้นจะตามด้วยการพิจารณาข้อคัมภีร์ประจำวันที่บิดานำก่อนรับประทานอาหารเช้า. ความพยายามของบิดามารดาได้รับบำเหน็จอย่างอุดมเมื่อไม่นานมานี้ลูกชายของเขาตัดสินใจเลือกที่จะรับใช้พระยะโฮวา แสดงสัญลักษณ์การอุทิศตัวของเขาโดยการรับบัพติสมาเมื่ออายุ 10 และ 11 ขวบ.
ชายหนุ่มที่ดีคนหนึ่งผู้ซึ่งรับใช้ ณ สำนักงานสาขาของสมาคมว็อชเทาเวอร์ในญี่ปุ่นจำได้ว่าเมื่อเขายังเล็ก ๆ มารดาได้ช่วยเขาให้พัฒนาสัมพันธภาพกับพระยะโฮวาโดยการนั่งอยู่ข้าง ๆ เขาตอนกลางคืน ช่วยเขาอธิษฐาน. เขาไม่เคยลืมบทเรียนที่ได้รับการสอนที่ว่า ไม่ว่าเขาไปที่ไหนหรือทำอะไร พระยะโฮวาทรงอยู่ใกล้ชิดเสมอและพร้อมที่จะช่วยเหลือ.
บิดามารดาที่ประสบผลสำเร็จเรียนรู้ที่จะตระหนักถึงแนวโน้มในทางไม่ดีซึ่งเนื่องมาจากความไม่สมบูรณ์ที่สืบทอดมาของเด็ก ๆ และบิดามารดาเริ่มต้นแต่เนิ่น ๆ ที่จะช่วยลูก ๆ ของเขาให้แก้ไขสิ่งเหล่านี้. (สุภาษิต 22:15) ความโน้มเอียงไปในทางเห็นแก่ตัว, ความดื้อรั้น, ความหยิ่ง, การวิจารณ์คนอื่นมากเกินไปนั้นต้องลงมือจัดการแต่เนิ่น ๆ. หากไม่ทำเช่นนั้น สาเหตุดังกล่าวจะเติบโตขึ้นเป็นการกบฏต่อพระเจ้าและแนวทางของพระองค์ในภายหลัง. ตัวอย่างเช่น บิดามารดาที่มีเจตนาดีแต่ตามใจมากเกินไปมักปล่อยให้ลูก ๆ พัฒนาเจตคติที่เอาแต่ใจตัวเอง. เด็กเหล่านี้พบว่าเป็นเรื่องยากที่จะนับถือบิดามารดาของตนหรือพระยะโฮวา กลายเป็นเหมือน ‘คนเนรคุณ’ ที่มีกล่าวถึงในคัมภีร์ไบเบิล. (สุภาษิต 29:21, ล.ม.) ในอีกด้านหนึ่ง เด็ก ๆ ที่ได้รับมอบหมายให้ทำงานบ้านและเป็นผู้ที่ถูกสอนให้ตื่นตัวต่อความต้องการของคนอื่นมีแนวโน้มที่จะสำนึกถึงบุญคุณมากกว่าต่อทั้งบิดามารดาของเขาและต่อพระยะโฮวา.
สิ่งสำคัญอีกประการหนึ่งคือเริ่มต้นแต่เนิ่น ๆ ที่จะตั้งเป้าหมายต่าง ๆ ตามระบอบของพระเจ้าที่เด็กสามารถบรรลุได้อย่างมีเหตุผล. หากไม่ได้ทำเช่นนี้แต่เนิ่น ๆ และอย่างต่อเนื่องแล้ว คนอื่น ๆ ก็อาจทำให้จิตใจและหัวใจของเขาเต็มด้วยเป้าหมายที่ต่างออกไป. การอ่านคัมภีร์ไบเบิลตลอดทั้งเล่ม, การศึกษาหนังสือของสมาคมว็อชเทาเวอร์เล่มหนึ่งเป็นส่วนตัว, การเข้าร่วมในโรงเรียนการรับใช้ตามระบอบของพระเจ้า, การเป็นผู้ประกาศข่าวดี, และการรับบัพติสมาควรรวมอยู่ในเป้าหมายเหล่านั้น.
ทากาฟูมิจำได้ว่า มารดาทำให้เขาติดนิสัยในการอ่านหอสังเกตการณ์ และตื่นเถิด! โดยการตั้งคำถามง่าย ๆ ขึ้นมาแล้วทิ้งคำถามนั้นไว้บนโต๊ะในห้องครัวเพื่อให้เขาค้นดูเมื่อกลับจากโรงเรียนมาถึงบ้าน. ยูริจำได้ว่าการพักอยู่กับไพโอเนียร์c สองสามวันเพื่อรับใช้ในเขตที่มีความต้องการผู้เผยแพร่คริสเตียนมาก, การออกไปกับพวกเขาในงานรับใช้, การดูพวกเขาปรุงอาหารที่มีคุณค่า, และสังเกตความยินดีและความมีใจแรงกล้าของเขานั้นมีผลกระทบอย่างมากมายต่อความปรารถนาของเธอที่จะรับใช้พระยะโฮวาในวิธีเดียวกัน. หนุ่มสาวหลายคนเล่าว่า บิดามารดาพาพวกเขาไปสำนักเบเธลอันเป็นชื่อเรียกสำนักงานใหญ่และสาขาของสมาคมว็อชเทาเวอร์นั้นเสมอ เป็นที่ซึ่งพวกเขาสามารถสังเกตเห็นชายหนุ่มและหญิงสาวคนอื่น ๆ รับใช้พระยะโฮวาอย่างมีความสุข. คนเหล่านั้นหลายคนที่ได้ไปเยี่ยมขณะเป็นเด็ก ๆ ปัจจุบันรับใช้ในสำนักเบเธลตลอดทั่วโลก.
จงให้เวลาของคุณแก่ลูก ๆ
เป็นไปได้ที่ปริมาณและคุณภาพของเวลาที่คุณใช้กับลูก ๆ ของคุณมีผลกระทบโดยตรงต่อการที่เขาเลือกจะรับใช้พระยะโฮวาหรือไม่. พวกเขามองออกอย่างรวดเร็วว่าคุณใช้เวลาและการเตรียมตัวมากน้อยเท่าไรในการศึกษาคัมภีร์ไบเบิลที่คุณนำกับพวกเขานั้น. หากคุณจำไม่ได้ว่าหยุดตรงไหนในการศึกษาคราวที่แล้วหรือคุณยกเลิกการศึกษาด้วยเหตุผลที่ไม่สำคัญแล้ว คุณกำลังบ่งบอกว่าการศึกษาไม่ใช่เรื่องสำคัญจริง ๆ. อย่างไรก็ดี เมื่อเขาเห็นว่าบิดามารดาเสียสละเพื่อการศึกษานั้น เตรียมตัวอย่างดีและนำการศึกษาเป็นประจำไม่ว่าอาจเกิดอะไรขึ้นก็ตาม จะเป็นการบ่งบอกที่ต่างกันทีเดียว. มารดาบางคนแต่งตัวในการศึกษากับลูก ๆ อย่างเดียวกับที่ไปการประชุมหรือนำการศึกษาคัมภีร์ไบเบิลกับเพื่อนบ้าน ถึงแม้เรื่องนี้ไม่ใช่ข้อเรียกร้องก็ตาม. ทำให้เกิดความประทับใจว่า การนมัสการพระยะโฮวาเป็นเรื่องสำคัญ.
จะต้องใช้เวลาและความพยายามมากมายเพื่อทำให้การศึกษาคัมภีร์ไบเบิลกับลูก ๆ ของคุณเป็นที่น่าเพลิดเพลิน, เข้าถึงหัวใจของเขา. เด็กเล็ก ๆ โดยเฉพาะรู้สึกประทับใจเมื่อเขาเห็นว่า สิ่งที่เขาเรียนรู้นั้นมีการแสดงออกด้วยการกระทำต่อหน้าพวกเขา. ตัวอย่างเช่น บิดาคนหนึ่งได้ช่วยลูก ๆ ให้เห็นภาพการกลับเป็นขึ้นจากตายโดยการแสดงเรื่องราวในคัมภีร์ไบเบิลเกี่ยวกับการกลับเป็นขึ้นจากตายของลาซะโร. เขาเข้าไปอยู่ในห้องเล็ก ๆ แล้วโผล่ออกมาเหมือนลาซะโรที่กลับเป็นขึ้นจากตาย.—โยฮัน 11:17-44.
ขณะที่เด็ก ๆ เข้าสู่วัยผู้ใหญ่ ก็ยังต้องใช้เวลาและความชำนาญมากขึ้นเพื่อจัดการกับอารมณ์, ความสงสัย, และความกระวนกระวายที่มีอย่างท่วมท้นซึ่งเขาเผชิญนั้น. เวลาที่บิดามารดาผู้เปี่ยมด้วยความรักและการสังเกตเข้าใจกันไว้ในช่วงนี้นับว่าสำคัญอย่างยิ่งเพื่อเด็กจะพัฒนาความไว้วางใจในพระยะโฮวา. บิดาลูกสี่ที่ประสบผลสำเร็จได้เล่าว่า เมื่อลูก ๆ ของเขาเผชิญปัญหาสำคัญ เขาจะค้นคว้าและพิจารณาเรื่องราวที่เกี่ยวข้องด้วยในสรรพหนังสือของสมาคมว็อชเทาเวอร์กับลูก ๆ ทุกวันจนกระทั่งจัดการกับช่วงเวลาคับขันนั้นได้หมดสิ้น.
ไพโอเนียร์ที่มีงานเต็มมือคนหนึ่งซึ่งเป็นมารดาลูกสองได้สังเกตว่า ลูกสาวของเธอถอนตัวและขาดความยินดีในกิจกรรมตามระบอบของพระเจ้า. ดังนั้น มารดาจึงตั้งใจจะอยู่บ้านเมื่อลูกกลับจากโรงเรียนทุกบ่าย ให้ลูกสาวมีส่วนร่วมในการสนทนาขณะที่ดื่มน้ำชากัน. โดยการสนทนากันอย่างสนิทสนมฉันแม่ลูก เด็กสาวได้รับความช่วยเหลือที่เธอต้องการ. เมื่อจบชั้นมัธยมปลายแล้ว เธอเข้าร่วมในการรับใช้ประเภทไพโอเนียร์กับมารดา.—สุภาษิต 20:5.
การคบหาสมาคมและตัวอย่างที่ดี
นอกจากการให้เวลาแก่พวกเขาแล้ว บิดามารดาต้องจัดให้มีการคบหาสมาคมที่มีประโยชน์สำหรับลูก ๆ ของตน. พระธรรมสุภาษิต 13:20 บอกว่า “จงดำเนินกับคนมีปัญญา; แต่การคบค้ากับคนโฉดเขลาจะได้รับความเจ็บแสบ.”
บิดามารดาที่ประสบผลสำเร็จหลายคนยอมรับความจริงของสุภาษิตข้อนั้น. บิดาลูกสี่กล่าวว่า “เมื่อผมมองย้อนหลัง ผมคิดว่าเพื่อนกลุ่มใหญ่ของลูกที่อยู่ในความจริงนั่นเองที่ช่วยกระตุ้นเขาให้รับใช้พระยะโฮวา. ผมสนับสนุนพวกเขาให้คบเพื่อนในประชาคมอื่นเช่นเดียวกับในประชาคมของเราเองและให้ทำนุบำรุงมิตรภาพนั้นไว้.” คริสเตียนผู้ปกครองคนหนึ่งซึ่งได้รับใช้ที่สำนักเบเธลหลายปีระลึกถึงอดีตว่า “เมื่อผมเป็นเด็ก เราอยู่ในบ้านเล็ก ๆ แต่ก็ได้เสนอให้เป็นที่พักสำหรับผู้ดูแลหมวดเสมอ. นอกจากนี้ ไพโอเนียร์พิเศษในประชาคมของเรารับประทานอาหารเย็นกับเราเป็นประจำ. พวกเขาอาบน้ำที่บ้านของเราและคบหากับเรา. การได้ฟังประสบการณ์ของพวกเขาและเห็นความยินดีของเขาได้ช่วยผมให้ปลูกฝังความหยั่งรู้ค่าต่องานรับใช้เต็มเวลา.”
การคบหาสมาคมที่ดีช่วยคนเหล่านั้นซึ่งประสบความยากลำบากต่าง ๆ. มารดาคนหนึ่งซึ่งลูกชายของเธอประสบช่วงที่ว้าวุ่นนั้นได้ปรึกษาปัญหานี้กับผู้ดูแลเดินทางคนหนึ่งของพยานพระยะโฮวา. เขาแนะให้พาลูกชายออกไปประกาศตามบ้านด้วย. ผู้ดูแลบอกว่า “ถ้าคุณพาเขาไป สภาพฝ่ายวิญญาณของเขาและปัญหาอื่นทุกอย่างจะดีขึ้น.” เธอรายงานว่า “ในประชาคมของเราได้จัดให้มีการออกประกาศในตอนเย็น และเด็กในวัยเรียนหลายคน, ไพโอเนียร์ประจำหลายคนที่อายุมากกว่า, และอย่างน้อยที่สุดก็ผู้ปกครองหนึ่งคนมีส่วนร่วมในงานนั้น. ตอนแรกต้องใช้ความพยายามเพื่อให้ลูกชายของดิฉันออกไปเป็นประจำ แต่เป็นเช่นนั้นไม่นานเพราะเขากลับบ้านด้วยความร่าเริงมากขึ้นและได้รับการหนุนกำลังใจเสมอจากการคบหาสมาคมที่เป็นประโยชน์. ขณะที่เป็นนักเรียนในชั้นมัธยม เขาได้รับบัพติสมาและรับใช้ฐานะไพโอเนียร์สมทบทุกเดือน และเมื่อเรียนจบ เขาเป็นไพโอเนียร์ประจำ.” การคบหาสมาคมที่ดีควบคู่กับการทำตามพระทัยประสงค์ของพระยะโฮวาได้ก่อให้เกิดผลที่ดี.
อาจไม่มีเยาวชนในท้องถิ่นซึ่งสามารถมีผลกระทบในทางที่เป็นประโยชน์ต่อลูกของคุณก็ได้ แต่ข้อคิดเห็นหลายครั้งจากหนุ่มสาวหลายคนผู้ซึ่งเลือกรับใช้พระยะโฮวานั้นเกี่ยวข้องกับตัวอย่างของบิดามารดาของเขา. หนุ่มสาวหลายคนชมเชยบิดามารดาของตนและต้องการเลียนแบบพวกเขา. ยูริจำได้ถึงน้ำใจต้อนรับแขกของมารดาและวิธีที่เธอเอาใจใส่ดูแลคนอื่น คุยกับพวกเขาทางโทรศัพท์และทำอาหารให้คนป่วย. ทัตซูโอะซึ่งมาจากครอบครัวที่มีลูกชายสี่คน ปัจจุบันทุกคนเติบโตและรับใช้พระยะโฮวาได้กล่าวว่า “คุณแม่ไม่สามารถศึกษากับพวกเราเป็นประจำได้เพราะคุณพ่อไม่มีความเชื่อ และคุณแม่ได้รับการต่อต้านมากมายจากญาติพี่น้อง. แต่การสังเกตเห็นท่านยืนหยัดเพื่อความจริงและความยินดีของท่านในการรับใช้พระยะโฮวานั้นมีผลกระทบต่อผมมาก. ท่านเต็มใจที่จะอยู่จนถึงตีหนึ่งตีสองเพื่อช่วยเราเกี่ยวกับปัญหาของเราด้วย.” ถ้อยคำที่ประกอบด้วยสติปัญญาของบิดามารดามีพลังเมื่อได้รับการสนับสนุนจากการงานที่ซื่อสัตย์. โยอีชีโรกล่าวเกี่ยวกับบิดามารดาของเขาว่า “ผมจำได้ว่า คุณพ่อคุณแม่ไม่เคยแสดงความคิดในแง่ลบเกี่ยวกับคนอื่นในประชาคม ทั้งไม่ยอมให้พวกเราเด็ก ๆ ซุบซิบนินทาเรื่องความผิดพลาดของคนอื่น ๆ.”—ลูกา 6:40-42.
ความยินดีที่เห็นลูก ๆ เลือกอยู่ฝ่ายพระยะโฮวา
ไม่มีสูตรง่าย ๆ เพื่อช่วยลูก ๆ ของคุณให้เลือกอยู่ฝ่ายพระยะโฮวา. จะมีช่วงที่น่าเป็นห่วงกังวลหลายครั้ง. แต่บิดาที่กังวลซึ่งกล่าวถึงในตอนต้นบอกว่า “ในฐานะบิดามารดาเราพยายามปฏิบัติตามคำแนะนำจากองค์การที่ประจักษ์ได้ของพระยะโฮวาอย่างซื่อสัตย์เสมอ. นี้เป็นการช่วยเหลือมากทีเดียวในการเอาชนะปัญหา.” ความพยายามของพวกเขาบรรลุผลสำเร็จ.
ถูกแล้ว โดยพยายามสุดความสามารถที่จะปฏิบัติตามแนวทางชี้นำของคัมภีร์ไบเบิล สอนลูก ๆ ของคุณถึงเหตุผลอันถูกต้องในการรักพระยะโฮวา สนับสนุนด้วยตัวอย่างที่ซื่อสัตย์ของคุณและความพยายามอย่างจริงใจที่จะช่วยเหลือ คุณอาจพบว่าความพยายามของคุณประสบผลสำเร็จในที่สุดด้วยเช่นกัน. นึกถึงเด็กชายที่กล่าวถึงในตอนต้นซึ่งครั้งหนึ่งเคยตั้งใจว่าจะไม่เป็นพยานพระยะโฮวาคนหนึ่งนั้นได้กล่าวในภายหลัง. หลังจากมารดาได้ช่วยเขาอย่างประสบผลสำเร็จให้ผ่านช่วงหลายปีที่ยุ่งยากนั้นแล้ว เขาบอกว่า “ผมดีใจที่คุณแม่ไม่เลื่อยล้า!”—ฆะลาเตีย 6:9.
[เชิงอรรถ]
a จัดพิมพ์โดยสมาคมว็อชเทาเวอร์ ไบเบิล แอนด์ แทร็กต์ แห่งนิวยอร์ก.
b จัดพิมพ์โดยสมาคมว็อชเทาเวอร์ ไบเบิล แอนด์ แทร็กต์ แห่งนิวยอร์ก.
c ผู้เผยแพร่ศาสนาเต็มเวลาของพยานพระยะโฮวาเรียกว่าไพโอเนียร์. ไพโอเนียร์สมทบใช้เวลาอย่างน้อยที่สุด 60 ชั่วโมงในงานรับใช้ทุกเดือน, ไพโอเนียร์ประจำ 90 ชั่วโมง, และไพโอเนียร์พิเศษ 140 ชั่วโมง.
[รูปภาพหน้า 30]
คุณสามารถมองย้อนหลังดูการอบรมลูกด้วยความทรงจำที่เป็นสุขไหม?