“แสวงหาสันติสุขและติดตามสันติสุขนั้น”
“ขอให้พระยะโฮวาเป็นที่สรรเสริญอย่างยิ่ง ผู้ทรงปีติยินดีในความสงบสุขแห่งผู้รับใช้ของพระองค์.”—บทเพลงสรรเสริญ 35:27, ล.ม.
1. ทุกวันนี้เรามีสันติสุขอะไร?
น่าชื่นชมเสียนี่กระไรเมื่ออยู่ด้วยความสงบสุขในโลกซึ่งแตกแยกกันเช่นนี้! ช่างน่ายินดีเพียงไรที่จะนมัสการพระยะโฮวา “พระเจ้าแห่งสันติสุข” และร่วมรับพระพรนานาประการอันเนื่องมาจาก “คำสัญญาเป็นมิตรไมตรี” ของพระองค์! เป็นความสดชื่นเพียงไรในท่ามกลางความกดดันต่าง ๆ ของชีวิตที่ได้มารู้จัก “สันติสุขแห่งพระเจ้าที่เหนือกว่าความคิดทุกอย่าง” และประสบ ‘สันติสุขซึ่งผูกมัดไพร่พลของพระเจ้า’ ให้เป็นอันหนึ่งอันเดียวกัน ไม่ว่าเชื้อชาติ ภาษา เผ่าพันธุ์ หรือพื้นเพทางสังคมของเขาจะเป็นเช่นไรก็ตาม!—1 เธซะโลนิเก 5:23; ยะเอศเคล 37:26; ฟิลิปปอย 4:7; เอเฟโซ 4:3.
2, 3. (ก) ขณะที่ไพร่พลของพระเจ้าโดยส่วนรวมจะคงอยู่ต่อไป แต่อาจเกิดอะไรขึ้นแก่คริสเตียนเป็นรายบุคคล? (ข) พระคัมภีร์กระตุ้นเตือนพวกเราให้ทำอะไร?
2 พวกเราฐานะพยานพระยะโฮวา เราถือว่าสันติสุขนี้มีค่าสูง. แต่เราจะถือเป็นเรื่องเล่น ๆ ไม่ได้. สันติสุขมิใช่ว่าคงทนอยู่ได้ด้วยตัวมันเองเพียงแต่เราเข้าร่วมสมาคมกับประชาคมคริสเตียน หรือบังเอิญเป็นส่วนของครอบครัวคริสเตียน. ขณะที่ชนที่เหลือผู้ถูกเจิมและสหายของเขา “แกะอีกฝูงหนึ่ง” จะทนทานฐานะเป็นฝูงเดียวจนถึงที่สุด ทว่าแต่ละคนเป็นรายตัวอาจสูญเสียสันติสุขแล้วออกห่างไปก็ได้.—โยฮัน 10:16; มัดธาย 24:13; โรม 11:22; 1 โกรินโธ 10:12.
3 อัครสาวกเปาโลกล่าวเตือนคริสเตียนผู้ถูกเจิมในสมัยของท่านดังนี้: “พี่น้องทั้งหลาย จงระวังให้ดี ด้วยเกรงว่าจะมีผู้ใดผู้หนึ่งในพวกท่านเกิดมีใจชั่วซึ่งขาดความเชื่อ โดยเอาตัวออกห่างจากพระเจ้าผู้ทรงพระชนม์อยู่.” (เฮ็บราย 3:12, ล.ม.) คำเตือนนี้ใช้เป็นประโยชน์แก่ชนฝูงใหญ่เช่นเดียวกัน. ดังนั้น พระคัมภีร์กระตุ้นคริสเตียนให้ “แสวงหาสันติสุข และติดตามสันติสุขนั้น เพราะพระเนตรของพระยะโฮวาเพ่งเล็งคนชอบธรรม และพระกรรณของพระองค์สดับฟังคำอ้อนวอนของเขาทั้งหลาย แต่พระพักตร์ของพระยะโฮวาทรงต่อต้านคนเหล่านั้นที่กระทำการชั่ว.”—1 เปโตร 3:10-12, ล.ม.; บทเพลงสรรเสริญ 34:14, 15.
“ปักใจอยู่กับเนื้อหนัง”
4. อะไรอาจทำลายสันติสุขที่เรามีกับพระเจ้าได้?
4 อะไรล่ะอาจจะขัดขวางเราในการติดตามสันติสุข? เปาโลได้อ้างสิ่งหนึ่งเมื่อท่านบอกว่า “ด้วยว่าซึ่งปักใจอยู่กับเนื้อหนังก็คือความตาย และซึ่งปักใจอยู่กับพระวิญญาณก็คือชีวิตและสันติสุข เหตุว่าซึ่งปักใจอยู่กับเนื้อหนังก็เป็นศัตรูต่อพระเจ้า.” (โรม 8:6, 7, ฉบับแปลใหม่) การใช้คำ “เนื้อหนัง” เปาโลหมายถึงสภาพเสื่อมของเราเนื่องจากเราเป็นมนุษย์ไม่สมบูรณ์พร้อมกับแนวโน้มในทางบาปซึ่งตกทอดมาถึงเรา. การยอมแพ้ต่อความโน้มเอียงแห่งเนื้อหนังที่เสื่อมเสียย่อมทำลายสันติสุขของเราได้. ถ้าคริสเตียนคนใดกระทำผิดศีลธรรมทางเพศ หรือโกหก ขโมย ใช้สิ่งเสพย์ติด หรือด้วยวิธีอื่น ๆ บางอย่างอันเป็นการฝ่าฝืนกฎหมายของพระเจ้าโดยไม่สำนึกผิดกลับใจ เขาทำลายสันติสุขที่เขาเคยมีกับพระยะโฮวา. (สุภาษิต 15:8, 29; 1 โกรินโธ 6:9, 10; วิวรณ์ 21:8) ยิ่งกว่านั้น ถ้าเขายอมให้ทรัพย์สินเงินทองมีความสำคัญยิ่งกว่าสิ่งฝ่ายวิญญาณ สันติสุขที่เขามีกับพระเจ้ากำลังตกอยู่ในอันตรายร้ายแรง.—มัดธาย 6:24; 1 โยฮัน 2:15-17.
5. มีอะไรรวมอยู่ด้วยในการมุ่งติดตามสันติสุข?
5 ในทางกลับกัน เปาโลบอกดังนี้: “และซึ่งปักใจอยู่กับพระวิญญาณคือชีวิตและสันติสุข.” สันติสุขเป็นหนึ่งในบรรดาผลแห่งพระวิญญาณ และถ้าเราฝึกหัวใจของเราหยั่งรู้ค่าสิ่งฝ่ายวิญญาณ อธิษฐานขอพระวิญญาณของพระเจ้าช่วยเหลือเราในเรื่องนี้ แล้วเราจะหลีกเลี่ยงการ “ปักใจอยู่กับเนื้อหนัง.” (ฆะลาเตีย 5:22-24) ที่ 1 เปโตร 3:10-12 ได้เชื่อมสันติสุขเข้ากับความชอบธรรม. (โรม 5:1) เปโตรกล่าวว่าการติดตามสันติสุขรวมถึง ‘การหันหนีจากสิ่งที่ชั่ว และกระทำสิ่งที่ดี.’ พระวิญญาณของพระเจ้าจะช่วยเราให้ “ติดตามความชอบธรรม” และจึงช่วยเรารักษาสันติสุขระหว่างเรากับพระเจ้าไว้.—1 ติโมเธียว 6:11, 12.
6. เกี่ยวกับสันติสุขแห่งประชาคม หน้าที่รับผิดชอบประการหนึ่งของพวกผู้ปกครองได้แก่อะไร?
6 การติดตามสันติสุขนั้นเป็นเรื่องสำคัญอย่างยิ่งแก่พวกผู้ปกครองในประชาคม. ยกตัวอย่าง ถ้าคนใดคนหนึ่งพยายามจะนำกิจปฏิบัติอันเป็นภัยเข้ามาในประชาคม พวกผู้ปกครองมีความรับผิดชอบที่จะปกป้องประชาคมด้วยการว่ากล่าวสั่งสอนผู้กระทำผิด. ถ้าผู้นั้นรับการตีสอน เขาย่อมได้สันติสุขคืน. (เฮ็บราย 12:11) หาไม่แล้ว เขาอาจต้องถูกขับออกไปเพื่อว่าสัมพันธภาพอันสงบสุขระหว่างประชาคมกับพระยะโฮวาจะได้รับการรักษาไว้.—1 โกรินโธ 5:1-5.
สันติสุขกับพี่น้องของเรา
7. เปาโลได้เตือนชาวโกรินโธเรื่องผลอะไรของ ‘การปักใจอยู่กับเนื้อหนัง’?
7 ‘การปักใจอยู่กับเนื้อหนัง’ สามารถทำลายไม่เฉพาะสันติสุขที่เรามีกับพระเจ้า แต่ทำลายได้กระทั่งสัมพันธภาพที่ดีกับคริสเตียนคนอื่น ๆ เช่นกัน. เปาโลเขียนถึงชาวโกรินโธดังนี้: “ด้วยว่าท่านทั้งหลายยังอยู่ฝ่ายเนื้อหนัง. เพราะว่าเมื่อยังอิจฉากัน ขัดเคืองใจกัน ท่านไม่ได้อยู่ฝ่ายเนื้อหนังหรือ และไม่ได้ประพฤติตามมนุษย์ธรรมดาดอกหรือ?” (1 โกรินโธ 3:3) ความอิจฉาและการวิวาทเป็นสิ่งตรงกันข้ามกับสันติสุข.
8. (ก) อาจเกิดอะไรขึ้นกับผู้ซึ่งก่อความอิจฉาริษยาและการไม่ปรองดองกันภายในประชาคม? (ข) สันติสุขของเรากับพระเจ้าขึ้นอยู่กับอะไร?
8 การก่อกวนสันติสุขแห่งประชาคมด้วยการอิจฉาริษยาและการขัดเคืองกันเช่นนั้นเป็นเรื่องร้ายแรง. เมื่อพูดถึงคุณลักษณะที่เกี่ยวข้องกับสันติสุขอันเป็นผลแห่งพระวิญญาณนั้น อัครสาวกโยฮันเตือนสติดังนี้: “ถ้าผู้ใดว่า ‘ข้าพเจ้ารักพระเจ้า’ และใจยังเกลียดชังพี่น้องของตัว ผู้นั้นเป็นคนพูดมุสา. เพราะว่าผู้ที่ไม่รักพี่น้องของตนที่แลเห็นแล้ว จะรักพระเจ้าที่ยังไม่ได้แลเห็นอย่างไรได้.” (1 โยฮัน 4:20) ในทำนองเดียวกัน ถ้าคนใดก่อเหตุให้เกิดความอิจฉาหรือความขัดเคืองขึ้นท่ามกลางพี่น้อง คน ๆ นั้นจะมีสันติสุขกับพระเจ้าได้จริงไหม? ไม่ได้แน่! เราได้รับการสนับสนุนว่า “จงโสมนัสยินดี รับการปรับเข้าที่ รับการปลอบประโลม คิดลงรอยกัน และดำรงชีวิตอย่างสันติต่อ ๆ ไป และพระเจ้าแห่งความรักและสันติสุขจะสถิตอยู่กับท่านทั้งหลาย.” (2 โกรินโธ 13:11, ล.ม.) ถูกแล้ว ถ้า เราดำเนินชีวิตร่วมกันอย่างสันติอยู่เรื่อยไปแล้ว พระเจ้าแห่งความรักและสันติสุขจะสถิตอยู่กับพวกเรา.
9. เราทราบอย่างไรว่าบางครั้งในหมู่คริสเตียนด้วยกันอาจเกิดความเข้าใจผิดและไม่ลงรอยกัน?
9 ทั้งนี้ไม่หมายความว่าจะไม่เกิดความเข้าใจผิดเลยระหว่างคริสเตียนด้วยกัน. ในช่วงหลังวันเพ็นเตคอสเต เกิดความไม่ลงรอยกันขึ้นเกี่ยวกับการแจกจ่ายอาหารประจำวันในประชาคมคริสเตียนที่เพิ่งตั้งขึ้นใหม่. (กิจการ 6:1) อีกครั้งหนึ่งความไม่ลงรอยกันระหว่างเปาโลกับบาระนาบา ถึงกับ “เกิดการเถียงกันมาก.” (กิจการ 15:39) เปาโลต้องให้คำแนะนำแก่นางยุโอเดียและนางซุนตุเค ซึ่งไม่ต้องสงสัยว่าต่างคนเป็นพี่น้องที่ดีและกระตือรือร้น เพื่อ “ให้มีใจปรองดองกันในองค์พระผู้เป็นเจ้า.” (ฟิลิปปอย 4:2) ไม่แปลกที่พระเยซูให้คำแนะนำอย่างละเอียดลออว่าด้วยวิธีแก้ไขการก่อกวนสันติสุขระหว่างคริสเตียน ทั้งทรงชี้แนะให้เห็นความรีบด่วนที่ต้องจัดการกับปัญหาเช่นนั้นทันที! (มัดธาย 5:23-25; 18:15-17) พระองค์คงจะไม่ให้คำแนะนำนั้นหากพระองค์ไม่ได้คาดหมายว่าจะเกิดความยุ่งยากขึ้นท่ามกลางบรรดาสาวกของพระองค์.
10. บางครั้งจะมีสภาพการณ์เช่นไรเกิดขึ้นในประชาคม และเรื่องนี้ทำให้ทุกคนที่เกี่ยวข้องต้องรับผิดชอบในสิ่งใด?
10 เช่นนั้นแล้ว ทุกวันนี้ดูจะเป็นไปได้ที่บางคนรู้สึกขัดเคืองใจเนื่องจากการใช้คำพูดอย่างไม่ผ่อนสั้นผ่อนยาว หรือรู้สึกว่าเพื่อนคริสเตียนไม่แสดงความนับถือต่อเขาเท่าที่ควร. บุคลิกของคนหนึ่งอาจทำให้อีกคนหนึ่งรู้สึกรำคาญมาก. บุคลิกภาพของผู้คนอาจกระทบกระทั่งกัน. บางคนอาจไม่ยอมเห็นดีกับการตัดสินใจของคณะผู้ปกครอง. ส่วนในคณะผู้ปกครองนั้นก็อาจมีบางคนคิดว่าข้อคิดเห็นของตัวเองดีกว่าคนอื่น และพยายามชักนำผู้ปกครองคนอื่นให้คล้อยตาม. ถึงแม้ข้อเท็จจริงที่ว่าสิ่งดังกล่าวเคยเกิดขึ้น เราก็ยังคงต้องแสวงหาสันติสุขและติดตามสันติสุขนั้น. สิ่งท้าทายคือการจัดการกับปัญหาเหล่านี้ตามแนวทางของคริสเตียนเพื่อผดุงไว้ซึ่ง “สันติสุขผูกมัดความเป็นน้ำหนึ่งใจเดียวกัน.”—เอเฟโซ 4:3.
11. พระยะโฮวาทรงจัดเตรียมอะไรไว้เพื่อช่วยเราให้มุ่งติดตามสันติสุขระหว่างกันและกัน?
11 มีคำกล่าวในคัมภีร์ไบเบิลว่า “ขอให้พระยะโฮวาเป็นที่สรรเสริญอย่างยิ่ง ผู้ทรงปีติยินดีในความสงบสุขแห่งผู้รับใช้ของพระองค์.” (บทเพลงสรรเสริญ 35:27, ล.ม.) จริงทีเดียว พระยะโฮวาทรงประสงค์ให้เราอยู่อย่างสันติ. ดังนั้น พระองค์ได้ทรงจัดเตรียมการที่เห็นเด่นชัดไว้สองทางเพื่อสนับสนุนการผดุงไว้ซึ่งสันติสุขท่ามกลางพวกเราและสันติสุขกับพระองค์. ทางหนึ่งคือพระวิญญาณบริสุทธิ์ ซึ่งสันติสุขก็เป็นผลของพระวิญญาณ ควบกับคุณลักษณะอื่นอันก่อสันติสุขที่เกี่ยวข้องกันเช่น การอดทนนาน ความกรุณา ความอ่อนสุภาพ และการรู้จักบังคับตน. (ฆะลาเตีย 5:22, 23) อีกทางหนึ่งคือสติปัญญาที่มาจากพระเจ้า ซึ่งเราอ่านดังนี้: “สติปัญญาจากเบื้องบนนั้นประการแรก บริสุทธิ์ แล้วก่อให้เกิดสันติสุข มีเหตุผล พร้อมที่จะเชื่อฟัง เต็มไปด้วยความเมตตาและผลอันดี.”—ยาโกโบ 3:17, 18, ล.ม.
12. เราควรทำประการใดถ้าสันติสุขกับพวกพี่น้องของเราถูกรบกวน?
12 เหตุฉะนั้น ยามใดที่สันติสุขระหว่างตัวเรากับพี่น้องถูกรบกวน เราควรอธิษฐานขอสติปัญญาจากเบื้องบนชี้นำเราว่าควรปฏิบัติอย่างไร และเราควรทูลขอพระวิญญาณบริสุทธิ์ชูกำลังเพื่อเราจะทำสิ่งที่ถูกต้อง. (ลูกา 11:13; ยาโกโบ 1:5; 1 โยฮัน 3:22) สอดคล้องกับคำอธิษฐานของเรา เราพึงไตร่ตรองหาแหล่งสติปัญญาที่มาจากพระเจ้าสำหรับการนำทาง ซึ่งก็ได้แก่พระคัมภีร์ รวมทั้งการตรวจสอบหาคำแนะนำจากหนังสือทางด้านคัมภีร์ไบเบิลถึงวิธีที่จะใช้ข้อคัมภีร์ให้เป็นประโยชน์. (2 ติโมเธียว 3:16) นอกจากนั้น เราย่อมปรารถนาจะขอรับคำแนะนำจากผู้ปกครองในประชาคม. ขั้นสุดท้ายคือต้องปฏิบัติตามการชี้นำที่เราได้รับ. ยะซายา 54:13 บอกดังนี้: “และบรรดาลูกหลานของเจ้าจะเป็นสาวกของพระยะโฮวา และบรรดาบุตรของเจ้าจะมีความสุขสำราญ.” ทั้งนี้หมายความว่าสันติสุขของเราขึ้นอยู่กับการปฏิบัติตามความรู้ซึ่งพระยะโฮวาทรงสอนเรานั่นเอง.
“ความสุขย่อมมีแก่ผู้สร้างสันติ”
13, 14. (ก) ที่พระเยซูได้ตรัสว่า “ผู้สร้างสันติ” นั้นหมายถึงอะไร? (ข) เราจะกลายเป็นผู้สร้างสันติได้โดยวิธีใด?
13 พระเยซูได้ตรัสในคำเทศน์บนภูเขาดังนี้: “ความสุขย่อมมีแก่ผู้สร้างสันติ เนื่องจากเขาจะได้เชื่อว่า ‘บุตรของพระเจ้า.’” (มัดธาย 5:9, ล.ม.) “ผู้สร้างสันติ” ณ ที่นี้ไม่หมายถึงผู้ซึ่งโดยปกติแล้วรักความสงบ. คำเดิมในภาษากรีกหมายถึง “ผู้สร้างสันติ” จริง ๆ. ผู้สร้างสันติเป็นคนช่ำชองที่จะแก้ไขสถานการณ์ให้คืนสู่ความสงบ. แต่ที่สำคัญกว่านั้น ผู้สร้างสันติพยายามหลีกเลี่ยงการก่อกวนทำลายสันติสุขตั้งแต่แรก. สันติสุขควบคุมหัวใจของเขา.’ (โกโลซาย 3:15) ถ้าผู้รับใช้ของพระเจ้ามุ่งมั่นตั้งใจจะเป็นผู้สร้างสันติแล้ว จะไม่มีปัญหามากเท่าไร.
14 การเป็นผู้สร้างสันตินั้นรวมเอาการรับรู้ข้ออ่อนแอของตัวเอง. ยกตัวอย่างเช่น คริสเตียนอาจเป็นคนใจร้อนหรือมีความรู้สึกไวและโกรธง่าย. เมื่อตกอยู่ภายใต้การกดดัน อารมณ์ของเขาอาจทำให้เขาลืมหลักการของพระคัมภีร์ได้. ข้อนี้ย่อมคาดหมายได้ในตัวมนุษย์ที่ไม่สมบูรณ์พร้อม. (โรม 7:21-23) กระนั้นก็ดี การเป็นปฏิปักษ์ การวิวาทต่อสู้ และการเป็นคนโมโหร้ายรวมอยู่ในกิจการของเนื้อหนัง. (ฆะลาเตีย 5:19-21) ถ้าเรารู้ตัวว่าเรามีแนวโน้มอย่างนั้น—หรือถ้าบางคนยกเอาจุดอ่อนเหล่านี้มาบอกเรา—เราควรอธิษฐานด้วยความกระตือรือร้นและอย่างต่อเนื่องขอพระวิญญาณของพระยะโฮวาช่วยทำให้เราเป็นคนควบคุมตัวเองได้และเปลี่ยนเป็นคนสุภาพอ่อนโยน. ที่จริง ทุกคนควรตั้งใจปลูกฝังคุณลักษณะดังกล่าวให้เป็นส่วนประกอบของบุคลิกลักษณะใหม่ของตนเอง.—เอเฟโซ 4:23, 24; โกโลซาย 3:10, 15.
15. สติปัญญาจากเบื้องบนต่างกันอย่างไรกับการดันทุรังอย่างไร้เหตุผล?
15 บางครั้งประชาคมหรือคณะผู้ปกครองอาจได้รับความกระทบกระเทือนและหนักใจ เพราะมีบางคนดื้อรั้นยืนกรานจะทำตามใจตัวเองเสมอ. จริงอยู่ เมื่อเรื่องใดเกี่ยวข้องกับกฎหมายของพระเจ้า คริสเตียนควรเป็นคนเด็ดเดี่ยวแน่วแน่ กระทั่งยืนหยัดไม่ผ่อนปรน. และถ้าเรารู้สึกว่าเรามีความคิดดี ๆ อันจะเอื้อประโยชน์แก่ผู้อื่น ก็ไม่ผิดที่เราจะพูดออกมาอย่างเปิดเผยตราบใดที่เราชี้แจงเหตุผลให้เขาทราบ. แต่เราไม่อยากเป็นเหมือนชาวโลก ซึ่ง “ไม่ยอมตกลงกัน.” (2 ติโมเธียว 3:1-4, ล.ม.) สติปัญญาจากเบื้องบนคือสร้างสันติ มีเหตุผล. คนเหล่านั้นซึ่งการกระทำของเขาเป็นแบบดื้อรั้น ไม่ยืดหยุ่น จึงสมควรเอาใจใส่คำแนะนำของเปาโลที่กล่าวต่อชาวฟิลิปปอยคือ ‘ไม่ทำประการใดในทางอวดดีไปเปล่า ๆ.’—ฟิลิปปอย 2:3.
16. คำแนะนำของเปาโลในพระธรรมฟิลิปปอยอาจช่วยเราข่มห้ามความรู้สึกโอหังอวดดีอย่างไร?
16 ในจดหมายฉบับเดียวกัน เปาโลตักเตือนว่าเราควร ‘มีใจถ่อม’ ด้วยน้ำใสใจจริง ‘ถือว่าคนอื่นดีกว่าตัว.’ การนี้ย่อมตรงกันข้ามกับคนมักอวดดี. คริสเตียนอาวุโสย่อมไม่คิดแต่แรกที่จะยัดเยียดความคิดเห็นของตนเอง รักษาหน้า หรือปกป้องตำแหน่งหน้าที่ของตนเอง. การกระทำเช่นนี้คงจะขัดกับคำแนะนำของเปาโลที่ว่า ‘อย่าให้ต่างคนต่างคิดถึงประโยชน์ของตัวเอง แต่คิดถึงผลประโยชน์ส่วนตัวของผู้อื่นด้วย.’—ฟิลิปปอย 2:4; 1 เปโตร 5:2, 3, 6.
ถ้อยคำที่ก่อสันติสุข
17. การใช้ลิ้นในทางผิดเช่นไรอาจเป็นการทำลายสันติสุขของประชาคม?
17 ผู้ที่แสวงหาสันติสุขย่อมระมัดระวังเป็นพิเศษในการใช้ลิ้นของตน. ยาโกโบเตือนอย่างนี้: “ลิ้นก็เหมือนกันเป็นอวัยวะเล็ก ๆ แต่กระนั้นก็คุยโต. ดูซิ! ไฟเพียงน้อยนิดก็พอที่จะทำให้ป่าไม้กว้างใหญ่ไพศาลลุกไหม้!” (ยาโกโบ 3:5, ล.ม.) การนินทาว่าร้าย การตำหนิลับหลัง คำพูดที่ไม่ปรานีและเกรี้ยวกราด การพร่ำบ่นโอดครวญ อีกทั้งคำพูดประจบประแจงอย่างไม่จริงใจเพื่อหวังประโยชน์ส่วนตัว—ที่กล่าวมาทั้งหมดนี้เป็นการงานของเนื้อหนังซึ่งรบกวนความสงบสุขในหมู่ไพร่พลของพระเจ้า.—1 โกรินโธ 10:10; 2 โกรินโธ 12:20; 1 ติโมเธียว 5:13; ยูดา 16.
18. (ก) ในกรณีที่ใช้ลิ้นในทางผิดโดยไม่เจตนา อะไรเป็นแนวทางที่ถูกต้องสำหรับทุกฝ่ายที่เกี่ยวข้อง? (ข) เมื่อความโมโหทำให้คนเราโพล่งคำพูดอันเป็นการทำให้เจ็บใจ คริสเตียนอาวุโสจะแสดงปฏิกิริยาเช่นไร?
18 จริงอยู่ ยาโกโบบอกว่า “ลิ้นนั้นไม่มีมนุษย์คนใดสามารถทำให้เชื่องได้.” (ยาโกโบ 3:8, ล.ม.) แม้แต่คริสเตียนอาวุโสเองบางครั้งก็พูดสิ่งที่ทำให้เขาเสียใจภายหลัง. พวกเราทุกคนหวังให้คนอื่นอภัยเราที่ได้ทำผิดไปเช่นนั้น เช่นเดียวกับที่เราให้อภัยเขา. (มัดธาย 6:12) บางครั้ง การลุอำนาจโทสะอาจทำให้กล่าวคำพูดที่เจ็บแสบ. ถ้าเช่นนั้น ผู้สร้างสันติจะจำไว้ว่า “คำพูดอ่อนหวานกระทำให้ความโกรธผ่านพ้นไป แต่คำขมเผ็ดร้อนกระทำให้โทโสพลุ่งขึ้น.” (สุภาษิต 15:1) บ่อยครั้ง เขาเพียงแต่ต้องหายใจลึก ๆ และไม่ตอบด้วยคำพูดเผ็ดร้อนรุนแรง. หลังจากอารมณ์สงบลงแล้ว ผู้สร้างสันติซึ่งตีแผ่ใจของตนย่อมไม่ถือสาคำพูดอันเผ็ดร้อนขณะโมโห. และฝ่ายคริสเตียนที่ถ่อมใจ ก็จะรู้ว่าจะขอโทษอย่างไรและความเจ็บช้ำใด ๆ ที่ตนได้ก่อขึ้น เขาจะพยายามไกล่เกลี่ยให้เป็นที่เรียบร้อย. เป็นการแสดงจริยธรรมอันเข็มแข็งให้ประจักษ์เมื่อคนเราสามารถออกปากด้วยใจจริงว่า “ผมขอโทษด้วย.”
19. เราได้เรียนอะไรจากเปาโลและพระเยซูเกี่ยวกับวิธีให้คำแนะนำ?
19 อาจต้องใช้ลิ้นเพื่อให้คำแนะนำคนอื่น. เปาโลพูดตำหนิเปโตรต่อหน้าธารกำนัลเมื่อเปโตรประพฤติตนอย่างไม่บังควรในเมืองอันติโอเกีย. และพระเยซูทรงแนะนำอย่างแรงในข่าวสารที่ส่งไปยังประชาคมทั้งเจ็ด. (ฆะลาเตีย 2:11-14; วิวรณ์บท 2, 3) ถ้าเราทบทวนตัวอย่างเหล่านี้ เราก็ได้เรียนว่าคำแนะนำนั้นไม่ควรให้นุ่มนวลเกินไปกระทั่งหาจุดสำคัญไม่พบ. กระนั้นก็ดี พระเยซูและเปาโลหาใช่บุคคลที่เกรี้ยวกราดหรือดุร้ายไม่. คำแนะนำของบุคคลเหล่านี้ไม่ใช่เพื่อระบายความคับข้องใจของตัวเอง แต่เป็นความพยายามอย่างจริงใจเพื่อช่วยพวกพี่น้อง. ถ้าผู้ให้คำแนะนำมีความรู้สึกว่าเขาไม่อาจควบคุมลิ้นของตนเองได้ เขาก็อาจระงับสติอารมณ์ไว้ก่อนพูด. มิฉะนั้น เขาอาจพูดรุนแรงและเป็นเหตุให้มีความยุ่งยากมากยิ่งเสียกว่าปัญหาที่เขาคิดจะช่วยแก้.—สุภาษิต 12:18.
20. เราน่าจะให้สิ่งใดควบคุมการพูดของเรากับพี่น้องหรือเมื่อพูดถึงพี่น้องชายหญิงของเรา?
20 ดังที่กล่าวมาแล้ว สันติสุขกับความรักเป็นผลของพระวิญญาณซึ่งเกี่ยวพันกันอย่างใกล้ชิด. ถ้าสิ่งที่เรากล่าวแก่พี่น้องของเรา—หรือพูดถึงเขา—สะท้อนเสมอถึงความรักที่เรามีต่อเขานั้นก็จะส่งเสริมสันติสุขของประชาคม. (โยฮัน 15:12, 13) วาจาของเราต้อง “ประกอบด้วยเมตตาคุณ ปรุงด้วยเกลือให้มีรส.” (โกโลซาย 4:6) การพูดของเราควรเสมือนมีรสอร่อย ให้เป็นอย่างที่ก่อให้เกิดความประทับใจ. พระเยซูทรงแนะนำดังนี้: “จงมีเกลืออยู่ในตัว และจงอยู่สงบสุขสามัคคีซึ่งกันและกัน.”—มาระโก 9:50.
“จงกระทำด้วยสุดกำลัง”
21. อะไรปรากฏแจ้งเกี่ยวกับไพร่พลของพระเจ้า ณ การประชุมวาระต่าง ๆ ประจำสัปดาห์ หรือ ณ การประชุมหมวดและการประชุมภาค?
21 ผู้ประพันธ์บทเพลงสรรเสริญเขียนไว้ว่า “จงดูเถอะ ซึ่งพวกพี่น้องอาศัยอยู่พร้อมเพรียงเป็นน้ำหนึ่งใจเดียวกันก็เป็นการดี และอยู่เย็นเป็นสุขมากเท่าใด!” (บทเพลงสรรเสริญ 133:1) จริงแล้ว เรายินดีที่ได้อยู่กับพวกพี่น้อง โดยเฉพาะอย่างยิ่ง ณ การประชุมวาระต่าง ๆ ประจำสัปดาห์และในระหว่างการประชุมหมวดและการประชุมภาค. ณ โอกาสเช่นนั้นสันติสุขท่ามกลางพวกเราปรากฏชัดกระทั่งต่อสายตาคนภายนอก.
22. (ก) อีกไม่นาน นานาชาติต่างก็คิดว่าตนกำลังได้มาซึ่งสันติภาพอันจอมปลอมอะไร แล้วจะเป็นอย่างไรต่อไป? (ข) คำสัญญาไมตรีของพระเจ้าว่าด้วยสันติภาพจะนำไปสู่สันติภาพแท้แบบใด?
22 อีกไม่นาน นานาชาติจะคิดว่าพวกเขาบรรลุถึงสันติสุขโดยปราศจากพระยะโฮวา. แต่ขณะที่เขาพากันกล่าวว่า “สงบสุขและพ้นภัยแล้ว” ความพินาศฉับพลันจะมาถึงทุกคนซึ่งไม่มีสันติสุขกับพระเจ้า. (1 เธซะโลนิเก 5:3) หลังจากนั้น องค์สันติราชที่มีคุณสมบัติเป็นเลิศจะทรงดำเนินการบำบัดรักษามนุษย์จากผลเสียหายอันร้ายกาจเนื่องด้วยมนุษย์สูญเสียสันติสุขที่เคยมีกับพระเจ้าแต่เดิมที. (ยะซายา 9:6, 7; วิวรณ์ 22:1, 2) ครั้นแล้ว คำสัญญาไมตรีของพระเจ้าว่าด้วยสันติสุขจะยังความสงบสุขร่มเย็นมาให้ทั่วทั้งโลก. แม้แต่สัตว์ป่าก็จะปลอดจากศัตรูที่ตามล่า.—บทเพลงสรรเสริญ 37:10, 11; 72:3-7; ยะซายา 11:1-9; วิวรณ์ 21:3, 4.
23. ถ้าเราซาบซึ้งในความหวังที่จะเห็นโลกใหม่ซึ่งมีสันติสุข เราพึงทำประการใดเวลานี้?
23 ช่างจะเป็นยุคสมัยอันรุ่งโรจน์อะไรเช่นนั้น! คุณตั้งใจคอยหาสมัยนั้นจริง ๆ ไหม? ถ้าเป็นเช่นนั้น “จงอุตส่าห์ที่จะอยู่อย่างสงบสุขกับคนทั้งปวง.” จงแสวงสันติสุขกับพวกพี่น้องเสียแต่บัดนี้ และโดยเฉพาะสันติสุขกับพระยะโฮวา. ใช่แล้ว “เมื่อท่านทั้งหลายกำลังคอยท่าสิ่งเหล่านี้อยู่ ก็จงกระทำด้วยสุดกำลังเพื่อในที่สุด พระองค์จะพบท่านปราศจากด่างพร้อยและมลทินและมีสันติสุข.”—เฮ็บราย 12:14; 2 เปโตร 3:14, ล.ม.
คุณจำได้ไหม?
▫ อะไรอาจทำลายสันติสุขระหว่างเรากับพระยะโฮวาได้?
▫ ความไม่เข้าใจกันแบบไหนภายในประชาคมซึ่งอาจต้องแก้ไข?
▫ พระยะโฮวาทรงจัดเตรียมสิ่งใดไว้เพื่อช่วยเราแสวงหาสันติสุขและติดตามสันติสุขนั้น?
▫ ทัศนะเช่นไรอันเป็นโลกีย์วิสัยสามารถทำลายสันติสุขของประชาคม และเราจะต้านทานทัศนะดังกล่าวอย่างไร?
[รูปภาพหน้า 22]
ความสงบสุขมีบริบูรณ์ท่ามกลางผู้คนที่รับการสั่งสอนจากพระยะโฮวา
[รูปภาพหน้า 24]
ช่างเป็นการดีและน่าชื่นใจเพียงใดเมื่อพี่น้องปฏิบัติงานรับใช้ด้วยความสามัคคี!