การเชื่อฟังด้วยความเลื่อมใสในพระเจ้าในครอบครัวที่แบ่งแยกทางศาสนา
“มันเจ็บยิ่งกว่าการถูกทุบตีใด ๆ ทางกาย. . . . ดิฉันรู้สึกราวกับว่า ดิฉันฟกช้ำดำเขียวทั่วร่างกาย และกระนั้นก็ไม่มีใครเห็นได้.” “บางครั้งดิฉันรู้สึกหมดอาลัยตายอยากในชีวิต . . . หรืออยากหนีออกจากบ้านไปและไม่กลับมาอีก.” “บางครั้งยากที่จะคิดในทางที่ถูกที่ควร.”
คำพูดที่เต็มไปด้วยความสะเทือนใจเหล่านี้เผยความรู้สึกต่าง ๆ ของความสิ้นหวัง และความอ้างว้าง. ถ้อยคำเหล่านี้มาจากผู้ที่ตกเป็นเหยื่อของการประทุษร้ายทางวาจา เช่น ข้อกล่าวหาต่าง ๆ, การข่มขู่, คำด่าทอเพื่อให้อับอาย, การไม่พูดคุยกัน—และแม้กระทั่งการประทุษร้ายทางร่างกายจากคู่สมรสและสมาชิกครอบครัว. เหตุใดผู้คนเหล่านี้ได้รับการปฏิบัติเลวร้ายถึงขนาดนั้น? เพียงเนื่องมาจากความเชื่อที่ต่างกันทางศาสนาเท่านั้น. ภายใต้สภาพการณ์เหล่านี้ การอยู่ในครอบครัวที่แบ่งแยกทางศาสนาทำให้การนมัสการพระยะโฮวาเป็นการท้าทายจริง ๆ. กระนั้น คริสเตียนหลายคนที่ตกเป็นเหยื่อดังกล่าวแสดงการเชื่อฟังด้วยความเลื่อมใสในพระเจ้าอย่างบรรลุผลสำเร็จ.
น่ายินดีที่ความทุกข์ทรมานและความบีบคั้นดังกล่าวไม่ได้เกิดขึ้นกับทุกครอบครัวที่แบ่งแยกทางศาสนา. ถึงกระนั้น ก็ได้เกิดขึ้น. ครอบครัวของคุณเป็นอย่างที่มีการพรรณนาในที่นี้ไหม? ถ้าเป็นเช่นนั้น คุณอาจพบว่ายากที่จะคงไว้ซึ่งความนับถือต่อคู่สมรสหรือบิดามารดาของคุณ. ถ้าคุณเป็นภรรยาที่อยู่ในสถานการณ์นั้นหรือเป็นลูกในสภาพแวดล้อมดังกล่าว คุณจะประสบผลสำเร็จในการแสดงการเชื่อฟังด้วยความเลื่อมใสในพระเจ้าในครอบครัวที่แบ่งแยกทางศาสนาได้อย่างไร? คนอื่น ๆ อาจให้การสนับสนุนอย่างไร? และพระเจ้าล่ะทรงมองดูเรื่องนี้อย่างไร?
ทำไมจึงยากที่จะเชื่อฟัง?
โลกที่สนใจแต่ตนเองและอกตัญญูผนวกกับแนวโน้มที่ไม่สมบูรณ์ของคุณเองทำให้การเชื่อฟังด้วยความเลื่อมใสในพระเจ้าเป็นเรื่องที่ต้องต่อสู้อยู่ตลอดเวลา. ซาตานรู้เรื่องนี้ และจุดประสงค์ของมันก็คือทำลายความตั้งใจของคุณที่จะเป็นคริสเตียน. มันมักจะใช้สมาชิกในครอบครัวที่แทบจะไม่มีหรือไม่มีความหยั่งรู้ค่าและความนับถือต่อมาตรฐานต่าง ๆ ของพระเจ้าเลย. ค่านิยมทางศาสนาและศีลธรรมของคุณที่สูงขึ้นมักจะแตกต่างทีเดียวจากคนในครอบครัวของคุณที่ไม่มีความเชื่อ. ทั้งนี้หมายถึงทัศนะที่ขัดแย้งกันในด้านความประพฤติและกิจกรรม. (1 เปโตร 4:4) ความกดดันที่จะเบนคุณจากมาตรฐานฝ่ายคริสเตียนอาจรุนแรง เนื่องจากคุณได้เชื่อฟังคำสั่งที่ว่า “จงเลิกเข้าส่วนกับพวกเขาในการงานที่ไร้ผลซึ่งเป็นของความมืด.” (เอเฟโซ 5:11, ล.ม.) ในสายตาของพวกเขา ไม่ว่าคุณจะทำอะไรก็ไม่ดีไปหมด. ทั้งหมดนี้ก็เนื่องมาจากศาสนาของคุณ. มารดาคนหนึ่ง เมื่อต้องดูแลลูกที่เจ็บป่วย ได้ขอความช่วยเหลือจากสามีของเธอและได้คำตอบที่เหน็บแนมว่า “คุณมีเวลาให้กับศาสนาของคุณ คุณไม่น่าจะต้องขอความช่วยเหลือ.” คำพูดดังกล่าวทำให้การเชื่อฟังเป็นเรื่องที่ท้าทายมากขึ้น.
แล้วก็มีบางครั้งที่คุณอาจไม่เห็นพ้องกับเรื่องที่ไม่ได้ละเมิดโดยตรงต่อพระคัมภีร์. กระนั้น คุณตระหนักว่า คุณเป็นส่วนหนึ่งของครอบครัวและในขอบเขตนั้นมีภาระหน้าที่บางอย่าง. คอนนีพูดว่า “ดิฉันสะเทือนใจมากเมื่อคิดถึงวิธีที่คุณพ่อปฏิบัติกับเราเพราะดิฉันทราบว่าท่านรู้สึกว้าเหว่. ดิฉันต้องเตือนตัวเองบ่อย ๆ ไม่ให้ขุ่นเคืองต่อการต่อต้านของคุณพ่อ. ดิฉันจำต้องบอกตัวเองว่า มีเหตุผลแน่นหนาที่ท่านต่อต้านหรือปฏิเสธการยืนหยัดของพวกเรา. ซาตานเป็นผู้ครอบครองของระบบนี้.” ซูซาน ซึ่งสมรสกับผู้ที่ไม่มีความเชื่อ เปิดเผยว่า “ในช่วงแรก ๆ ดิฉันเคยคิดว่าดิฉันอยากแยกทางกับสามี แต่ตอนนี้ไม่คิดอีกแล้ว. ดิฉันรู้ว่า ซาตานกำลังใช้เขาทดลองดิฉันอยู่.”
ความพยายามของซาตานที่จะทำให้คุณรู้สึกไร้ค่าอาจดูเหมือนแทบจะไม่มีวันเลิกรา. วันเวลาอาจผ่านไปโดยไม่มีการสื่อความกับคู่สมรสของคุณ. ชีวิตอาจอ้างว้างอย่างยิ่ง. สิ่งนี้อาจกัดกร่อนความเชื่อมั่นและการนับถือตัวเองและทดสอบคุณเรื่องการเชื่อฟังด้วยความเลื่อมใสในพระเจ้า. อนึ่ง เด็ก ๆ ก็รู้สึกหมดกำลังทั้งทางร่างกายและจิตใจเช่นเดียวกันด้วย. ในกรณีหนึ่ง แม้ว่าบิดามารดาของพวกเขาคัดค้าน ผู้รับใช้วัยเยาว์ของพระเจ้าสามคนเข้าร่วมการประชุมคริสเตียนอย่างซื่อสัตย์. หนึ่งในสามคนนั้น ซึ่งขณะนี้เป็นผู้เผยแพร่เต็มเวลา ยอมรับว่า “เราหมดความรู้สึกและหมดเรี่ยวแรง เรานอนไม่หลับ พวกเราเศร้าใจมาก.”
พระเจ้าคาดหมายอะไรจากคุณ?
การเชื่อฟังพระเจ้าต้องอยู่ในอันดับแรกเสมอ และการเชื่อฟังที่มีขอบเขตต่อสามีในฐานะประมุขต้องเป็นตามที่พระเจ้าชี้นำเสมอ. (กิจการ 5:29) การทำเช่นนี้อาจจะยาก แต่ก็เป็นไปได้. จงหมายพึ่งพระเจ้าเพื่อได้ความช่วยเหลือเสมอ. พระองค์ต้องการให้คุณ “นมัสการด้วยวิญญาณและความจริง” และเชื่อฟังและยอมอยู่ใต้การชี้นำของพระองค์. (โยฮัน 4:24, ล.ม.) ความรู้จากพระคำของพระเจ้า เมื่อเข้าไปในหัวใจที่ถูกต้อง ย่อมกระตุ้นให้เชื่อฟังด้วยความเต็มใจ. แม้ว่าสภาพการณ์ส่วนตัวของคุณอาจเปลี่ยนไป แต่พระยะโฮวาและพระคำของพระองค์ไม่เปลี่ยนแปลง. (มาลาคี 3:6; ยาโกโบ 1:17) พระยะโฮวาได้มอบหมายตำแหน่งประมุขให้กับสามี. เรื่องนี้ยังคงเป็นจริงไม่ว่าเขายอมรับตำแหน่งประมุขของพระคริสต์หรือไม่. (1 โกรินโธ 11:3) แม้ว่าเรื่องนี้อาจยากที่จะยอมรับและทนเอาเมื่อคุณเผชิญการร้ายและการเหยียดหยามอยู่ตลอดเวลา สาวกยาโกโบกล่าวว่า “สติปัญญาจากเบื้องบนนั้น . . . พร้อมที่จะเชื่อฟัง.” (ยาโกโบ 3:17, ล.ม.) เพื่อสำนึกถึงตำแหน่งประมุขนี้อย่างชัดแจ้งและยอมรับตำแหน่งนี้จำต้องมีพระวิญญาณของพระเจ้า โดยเฉพาะผลแห่งพระวิญญาณอันได้แก่ความรัก.—ฆะลาเตีย 5:22, 23.
เมื่อคุณรักใครสักคน ก็เป็นเรื่องง่ายกว่าที่จะแสดงการเชื่อฟังด้วยความเลื่อมใสในพระเจ้าต่อผู้ที่พระเจ้าให้อำนาจ. เอเฟโซ 5:33 (ล.ม.) แนะนำดังนี้: “จงให้พวกท่านทุกคนรักภรรยาของตนเหมือนรักตัวเอง; อีกฝ่ายหนึ่งภรรยาควรแสดงความนับถืออย่างสุดซึ้งต่อสามีของตน.”
จงพิจารณาพระเยซู. พระองค์ได้รับการประทุษร้ายทั้งทางร่างกายและวาจา กระนั้น พระองค์ไม่เคยกล่าวคำหยาบช้าต่อใคร. พระองค์รักษาประวัติที่ปราศจากคำตำหนิ. (1 เปโตร 2:22, 23) เพื่อพระเยซูจะทนการสบประมาทอย่างแรงเช่นนั้นได้ พระองค์จำต้องมีความกล้าหาญอย่างมากและมีความรักอันมั่นคงต่อพระยะโฮวา พระบิดาของพระองค์. แต่ความรัก “อดทนทุกสิ่ง.”—1 โกรินโธ 13:4-8.
เปาโลได้เตือนสติติโมเธียวเพื่อนร่วมงานของท่าน และท่านเตือนสติเราในทุกวันนี้ว่า “พระเจ้าไม่ได้ประทานน้ำใจขลาดกลัว แต่น้ำใจที่มีพลัง น้ำใจแห่งความรักและแห่งสุขภาพจิตดีแก่เรา.” (2 ติโมเธียว 1:7, ล.ม.) ความรักอันสุดซึ้งที่มีต่อพระยะโฮวาและพระเยซูคริสต์จะกระตุ้นคุณให้เชื่อฟังด้วยความเลื่อมใสในพระเจ้าเมื่อสถานการณ์ดูเหมือนยากที่จะอดทน. การมีสุขภาพจิตดีจะช่วยคุณให้รักษาทัศนะที่สมดุลและรวมความสนใจอยู่ที่สัมพันธภาพของคุณกับพระยะโฮวาและพระเยซูคริสต์เสมอ.—เทียบกับฟิลิปปอย 3:8-11.
คู่สมรสที่ประสบความสำเร็จในการสำแดงการเชื่อฟังด้วยความเลื่อมใสในพระเจ้า
บางครั้งคุณต้องคอยเป็นเวลานานเพื่อเห็นวิธีที่พระยะโฮวาจะใฝ่พระทัยปัญหาของคุณ. กระนั้น พระหัตถ์ของพระองค์ไม่เคยสั้น. ผู้หนึ่งซึ่งประสบความสำเร็จในการแสดงการเชื่อฟังด้วยความเลื่อมใสในพระเจ้าแนะนำว่า “จงทำสิ่งต่าง ๆ ที่พระยะโฮวาทรงให้สิทธิ์และสิทธิพิเศษแก่คุณที่จะทำเสมอ คือที่จะนมัสการพระองค์ ณ การประชุมต่าง ๆ และการประชุมใหญ่, ศึกษา, ออกไปประกาศ, และอธิษฐาน.” ความพยายามของคุณต่างหากที่พระยะโฮวาอวยพระพร ไม่ใช่เพียงแต่การสัมฤทธิผลของคุณเท่านั้น. ที่ 2 โกรินโธ 4:17 อัครสาวกเปาโลกล่าวว่า ‘การทุกข์ยากนั้นรับอยู่แต่ประเดี๋ยวเดียว แต่กระทำให้เรามีสง่าราศีใหญ่ยิ่งนิรันดร์.’ จงใคร่ครวญคำกล่าวนี้. นั่นจะเป็นปัจจัยที่ทำให้คุณยืนหยัดมั่นคง. ภรรยาคนหนึ่งแสดงความคิดเห็นว่า “ชีวิตครอบครัวของดิฉันไม่ดีขึ้น และบางครั้งดิฉันสงสัยว่าพระยะโฮวาพอพระทัยดิฉันหรือไม่. แต่สิ่งหนึ่งที่ดิฉันถือว่าเป็นพระพรของพระองค์ก็คือข้อเท็จจริงที่ว่า ดิฉันพ้นจากสภาพการณ์ยุ่งยากลำบากเหล่านี้ในสภาพจิตใจที่ดีกว่าสามีของดิฉัน. การที่รู้ว่าการกระทำต่าง ๆ ของเราทำให้พระยะโฮวาพอพระทัยทำให้ความยุ่งยากทั้งหมดนั้นคุ้มค่า.”
พระยะโฮวาทรงสัญญาว่า พระองค์จะไม่ให้คุณประสบกับสภาพการณ์ต่าง ๆ เกินที่คุณจะทนได้. จงวางใจพระองค์. พระองค์ทรงรู้ดีกว่าคุณ และพระองค์ทรงรู้จักคุณดีกว่าที่คุณรู้จักตัวเอง. (โรม 8:35-39; 11:33; 1 โกรินโธ 10:13) การอธิษฐานถึงพระยะโฮวาในสภาพการณ์ต่าง ๆ ที่ยากลำบากนั้นช่วย. อธิษฐานขอพระวิญญาณของพระองค์ชี้นำคุณ โดยเฉพาะเมื่อคุณไม่รู้ว่าจะไปทางไหนหรือจัดการกับสภาพการณ์อย่างไร. (สุภาษิต 3:5; 1 เปโตร 3:12) จงวิงวอนพระองค์เสมอเพื่อขอความอดทน, การรู้จักบังคับตน, และความถ่อมใจที่จะเชื่อฟังผู้มีอำนาจในชีวิตของคุณ. ผู้ประพันธ์เพลงสรรเสริญกล่าวว่า “พระยะโฮวาเป็นศิลา, เป็นป้อม, และผู้ช่วยข้าพเจ้าให้รอด.” (บทเพลงสรรเสริญ 18:2) พึงจำไว้ว่านี้เป็นความช่วยเหลือที่เสริมกำลังให้กับคนเหล่านั้นที่อยู่ในครอบครัวที่แบ่งแยกทางศาสนา.
ยิ่งกว่าอะไรทั้งหมด จงใช้ความพยายามทุกวิถีทางเพื่อให้ชีวิตสมรสของคุณมีความสุข. ใช่แล้ว พระเยซูทรงเห็นล่วงหน้าว่าข่าวดีจะก่อให้เกิดการแตกแยก. ถึงกระนั้น พึงอธิษฐานขออย่าให้การแตกแยกใด ๆ เกิดจากเจตคติและความประพฤติของคุณ. (มัดธาย 10:35, 36) เมื่อคำนึงถึงเป้าหมายนี้ การร่วมมือกันทำให้ปัญหาต่าง ๆ ในชีวิตสมรสลดน้อยลง. แม้แต่เมื่อคุณแสดงท่าทีที่ถูกต้องนี้เพียงฝ่ายเดียว ก็ยังช่วยได้มากเพื่อป้องกันไม่ให้เกิดปัญหาถึงขั้นที่มีการขัดแย้งกันจนเกินไปและการทะเลาะวิวาท. ความอดทนและความรักเป็นสิ่งสำคัญมาก. จง “สุภาพ” และ “เหนี่ยวรั้งตัวไว้ภายใต้สภาพการณ์ที่ไม่ดี.”—2 ติโมเธียว 2:24, ล.ม.
อัครสาวกเปาโลยอมเป็น “ทุกอย่างกับคนทุกชนิด.” (1 โกรินโธ 9:22, ล.ม.) ในทำนองคล้ายคลึงกัน ขณะที่ไม่อะลุ้มอล่วยต่อหน้าที่ของคริสเตียน บางครั้งคุณอาจต้องปรับปรุงตารางเวลาของคุณเพื่อให้เวลามากขึ้นกับคู่สมรสและครอบครัวของคุณ. จงให้เวลามากเท่าที่จะมากได้กับคนที่คุณได้เลือกที่จะร่วมชีวิตด้วย. จงแสดงการเห็นอกเห็นใจแบบคริสเตียน. นี่แหละเป็นการแสดงการเชื่อฟังด้วยความเลื่อมใสในพระเจ้า.
ภรรยาที่ยำเกรงพระเจ้าและอ่อนน้อมซึ่งเป็นคนยืดหยุ่นและเห็นอกเห็นใจพบว่า ง่ายกว่าที่จะแสดงการเชื่อฟังด้วยความเลื่อมใสในพระเจ้า. (เอเฟโซ 5:22, 23) คำพูดที่กรุณา “ปรุงด้วยเกลือให้มีรส” ช่วยลดโอกาสที่จะเกิดการปะทะกัน.—โกโลซาย 4:6; สุภาษิต 15:1.
สติปัญญาจากพระเจ้ากระตุ้นเตือนคุณให้รีบจัดการกับข้อขัดแย้งและคืนดีกันด้วยคำพูดดี ๆ ที่เสริมสร้าง แทนที่จะเข้านอนขณะที่ “ยังโกรธอยู่.” (เอเฟโซ 4:26, 29, 31) การทำเช่นนี้ต้องมีความถ่อมใจ. จงหมายพึ่งพระยะโฮวาอย่างเต็มที่เพื่อได้กำลัง. ภรรยาคริสเตียนคนหนึ่งยอมรับด้วยความถ่อมใจว่า “หลังจากอธิษฐานด้วยใจแรงกล้า ดิฉันได้ประสบว่า พระวิญญาณของพระยะโฮวาเสริมกำลังดิฉันให้มีท่าทีที่เปี่ยมด้วยความรักมากขึ้นต่อคู่สมรสของดิฉัน.” พระคำของพระเจ้าแนะนำว่า “อย่าทำชั่วตอบแทนชั่วแก่ผู้หนึ่งผู้ใดเลย. . . . จงระงับความชั่วด้วยความดี.” (โรม 12:17-21) นี่เป็นคำแนะนำที่สุขุมและเป็นแนวทางแห่งการเชื่อฟังด้วยความเลื่อมใสในพระเจ้า.
บุตรที่แสดงการเชื่อฟังด้วยความเลื่อมใสในพระเจ้า
คำแนะนำของพระยะโฮวาที่ให้ไว้กับพวกคุณที่เป็นลูก ๆ ในครอบครัวที่แบ่งแยกทางศาสนาคือ: “จงนบนอบเชื่อฟังบิดามารดาของตนในทุกสิ่ง, เพราะการนี้เป็นที่ชอบพระทัยองค์พระผู้เป็นเจ้า.” (โกโลซาย 3:20) จงสังเกตว่ามีการกล่าวถึงพระเยซูคริสต์องค์พระผู้เป็นเจ้าในเรื่องนี้. ดังนั้น การเชื่อฟังบิดามารดาจึงมีขอบเขตจำกัด. คำแนะนำในกิจการ 5:29 ที่ว่าให้ “เชื่อฟังพระเจ้ายิ่งกว่าเชื่อฟังมนุษย์” ในความหมายหนึ่งก็ใช้กับหนุ่มสาวคริสเตียนด้วย. มีบางโอกาสที่คุณจะต้องตัดสินใจว่าจะทำอะไรโดยอาศัยสิ่งที่คุณรู้ว่าถูกต้องตามหลักพระคัมภีร์. ทั้งนี้อาจยังผลให้มีการลงโทษบางรูปแบบเพราะปฏิเสธที่จะเข้าร่วมในการนมัสการเท็จ. ขณะที่เรื่องนี้เป็นสภาพการณ์ที่อาจเกิดขึ้นที่ไม่น่ายินดี คุณก็อาจพบการปลอบประโลมและถึงกับสามารถปีติยินดีด้วยซ้ำในข้อเท็จจริงที่ว่า คุณกำลังทนทุกข์เนื่องจากทำสิ่งที่ถูกต้องในสายพระเนตรของพระเจ้า.—1 เปโตร 2:19, 20.
เนื่องจากความคิดของคุณได้รับการชี้นำโดยหลักการต่าง ๆ ในคัมภีร์ไบเบิล คุณอาจไม่เห็นด้วยกับบิดามารดาของคุณในบางประเด็น. เรื่องนี้ไม่ได้ทำให้ท่านเป็นศัตรูของคุณ. แม้ว่าท่านไม่ได้เป็นผู้รับใช้ที่อุทิศตัวแล้วของพระยะโฮวา ท่านก็ยังสมควรได้รับความนับถือที่เหมาะสม. (เอเฟโซ 6:2) ซะโลโมกล่าวว่า “เจ้าจงฟังคำบิดาผู้บังเกิดเกล้าของเจ้า, และอย่าดูหมิ่นมารดาของเจ้า.” (สุภาษิต 23:22) จงพยายามเข้าใจความปวดร้าวที่ท่านรู้สึกต่อการปฏิบัติตามความเชื่อของคุณที่ดูแปลกสำหรับท่าน. จงสื่อความกับท่าน และ “จงให้ความมีเหตุผลของท่านปรากฏ.” (ฟิลิปปอย 4:5, ล.ม.) จงร่วมความรู้สึกและความห่วงใย. จงยึดมั่นอยู่กับหลักการของพระเจ้า กระนั้น “หากเป็นไปได้ ตราบเท่าที่ขึ้นอยู่กับท่านทั้งหลาย จงรักษาสันติสุขกับคนทั้งปวง.” (โรม 12:18, ล.ม.) ข้อเท็จจริงที่ว่า คุณเชื่อฟังกฎระเบียบของบิดามารดาตอนนี้ก็แสดงให้พระยะโฮวาเห็นว่าคุณปรารถนาจะเชื่อฟังต่อ ๆ ไปในฐานะพลเมืองแห่งราชอาณาจักร.
สิ่งที่คนอื่นทำได้
คริสเตียนที่อยู่ในครอบครัวที่แบ่งแยกทางศาสนาต้องการการสนับสนุนและความเข้าใจจากเพื่อนผู้นมัสการ. เรื่องนี้เห็นได้ชัดจากคำพูดของคนหนึ่งซึ่งพูดว่า “ดิฉันรู้สึกสิ้นหวังและหมดที่พึ่งเลยทีเดียว เนื่องจากไม่มีใครทำอะไรได้ และก็ไม่มีอะไรที่ฉันจะทำได้เพื่อเปลี่ยนแปลงสภาพการณ์. ดิฉันวางใจพระยะโฮวาว่าพระองค์จะทำตามพระทัยประสงค์ของพระองค์ในครอบครัวของเรา ไม่ว่าจะเป็นอะไรก็ตาม.”
การคบหากับพี่น้องชายและหญิงฝ่ายวิญญาณ ณ การประชุมต่าง ๆ ฝ่ายคริสเตียนเป็นการคุ้มภัย. คนเดียวกันนี้ได้พรรณนาชีวิตของเธอว่าเป็น “เหมือนอยู่ในสองโลกที่แตกต่างกัน. โลกหนึ่งที่ดิฉันจำต้องอยู่และอีกโลกหนึ่งที่ดิฉันยินดีที่ได้อยู่.” ภราดรภาพที่เปี่ยมด้วยความรักเป็นสิ่งที่ทำให้เป็นไปได้สำหรับคนที่มีปัญหาเหล่านี้จะอดทนและรับใช้พระเจ้าได้ในทุกสภาพการณ์. จงรวมพวกเขาไว้ในคำอธิษฐานของคุณ. (เอเฟโซ 1:16) จงพูดให้กำลังใจ, ในแง่บวก, และปลอบประโลมพวกเขาเป็นประจำ, ทุกโอกาส. (1 เธซะโลนิเก 5:14) เมื่อทำได้และเป็นการเหมาะสม จงให้พวกเขามีส่วนร่วมในกิจกรรมของคุณตามระบอบของพระเจ้าและทางสังคม.
พระพรและผลประโยชน์ของการเชื่อฟังด้วยความเลื่อมใสในพระเจ้า
จงคิดรำพึงทุกวันเกี่ยวกับพระพรและผลประโยชน์ต่าง ๆ ของการแสดงการเชื่อฟังด้วยความเลื่อมใสในพระเจ้าในครอบครัวที่แบ่งแยกทางศาสนา. จงออกความพยายามเรื่อยไปที่จะเชื่อฟัง. “ไม่ท้อถอยเลื่อยล้า.” (ฆะลาเตีย 6:9) การอดทนกับสภาพการณ์ที่ไม่ราบรื่นและความอยุติธรรม “เนื่องด้วยสติรู้สึกผิดชอบต่อพระเจ้า . . . เป็นสิ่งที่น่าพอใจ” ในสายพระเนตรของพระเจ้า. (1 เปโตร 2:19, 20, ล.ม.) จงเชื่อฟังตราบใดที่ไม่เป็นการอะลุ้มอล่วยต่อหลักการและกฎหมายอันชอบธรรมของพระยะโฮวา. การทำเช่นนี้แสดงให้เห็นถึงความภักดีที่มีต่อการจัดเตรียมของพระยะโฮวา. ความประพฤติของคุณที่เลื่อมใสในพระเจ้าอาจถึงกับช่วยชีวิตคู่สมรส, ลูก ๆ, หรือบิดามารดาของคุณ.—1 โกรินโธ 7:16; 1 เปโตร 3:1.
ขณะที่คุณรับมือกับข้อเรียกร้องและการคาดหมายของครอบครัวที่แบ่งแยกทางศาสนา พึงจดจำความสำคัญของการรักษาความซื่อสัตย์มั่นคงต่อพระเจ้ายะโฮวาและพระเยซูคริสต์. คุณอาจจำยอมในหลายเรื่อง แต่ที่จะยอมจำนนในเรื่องความซื่อสัตย์มั่นคงก็เท่ากับยอมแพ้ต่อทุกสิ่ง รวมทั้งชีวิตด้วย. อัครสาวกเปาโลกล่าวว่า “พระเจ้า . . . ในคราวที่สุดนี้ได้ตรัสแก่เราทางพระบุตร. พระบุตรนั้นพระองค์ได้ทรงตั้งไว้เป็นผู้รับสิ่งทั้งปวงเป็นมฤดก, และโดยพระบุตรนั้นพระองค์ได้ทรงสร้างโลกทั้งหลาย.” การตระหนักถึง “ความรอดอันใหญ่หลวง” นี้ จะเสริมกำลังคุณให้เชื่อฟัง.—เฮ็บราย 1:1, 2; 2:3.
การเชื่อฟังโดยไม่อะลุ้มอล่วยและความแน่วแน่ต่อหลักศีลธรรมและค่านิยมอันถูกต้องนั้น เป็นการป้องกันที่แข็งแรงสำหรับคุณและคู่สมรสของคุณที่ไม่มีความเชื่อ. ความซื่อสัตย์สร้างสายสัมพันธ์ในครอบครัวให้แน่นแฟ้นขึ้น. สุภาษิต 31:11 พูดถึงภรรยาที่มีความสามารถและภักดีว่า “สตรีนั้นเป็นที่ไว้วางใจของสามี.” ความประพฤติที่สะอาดหมดจดและการแสดงความนับถืออย่างสุดซึ้งของคุณอาจเปิดตาของสามีที่ไม่มีความเชื่อ. ทั้งนี้อาจนำสามีให้ตอบรับความจริงของพระเจ้า.
การเชื่อฟังด้วยความเลื่อมใสในพระเจ้าเป็นสิ่งที่มีค่าและเป็นการช่วยชีวิตอย่างแท้จริง. จงอธิษฐานขอให้มีการเชื่อฟังเช่นนี้ในชีวิตครอบครัวของคุณ. การทำเช่นนี้จะยังผลให้มีความสงบในจิตใจและนำคำสรรเสริญมาสู่พระยะโฮวา.