-
จงเอาใจใส่การอ่านการรับประโยชน์จากโรงเรียนการรับใช้ตามระบอบของพระเจ้า
-
-
จงเอาใจใส่การอ่าน
สัตว์ไม่สามารถทำสิ่งที่คุณกำลังทำในขณะนี้ได้. ผู้คน 1 ในทุก ๆ 6 คนไม่ได้เรียนรู้วิธีการอ่าน—บ่อยครั้งเนื่องจากไม่มีโอกาสเข้าโรงเรียน—และผู้ที่เคยเรียนรู้การอ่านมาแล้ว หลายคนกลับไม่ได้อ่านเป็นประจำ. กระนั้น การที่คุณสามารถอ่านได้เปิดโอกาสให้คุณท่องเที่ยวไปในดินแดนต่าง ๆ, พบปะกับผู้คนซึ่งชีวิตของเขาอาจให้คุณค่าบางอย่างแก่ชีวิตคุณ, และได้รับความรู้ที่ใช้การได้ซึ่งจะช่วยคุณรับมือกับความกังวลในชีวิต.
สิ่งที่คุณอ่านกับบุตรของคุณอาจช่วยปรับแต่งบุคลิกภาพของเขา
คนหนุ่มสาวจะได้รับประโยชน์มากแค่ไหนจากการเล่าเรียนนั้นย่อมขึ้นอยู่กับความสามารถในการอ่าน. เมื่อเขาหางานทำ ความสามารถในการอ่านของเขาอาจส่งผลต่อชนิดงานที่เขาจะได้รับและจำนวนชั่วโมงที่เขาต้องทำงานเพื่อมีรายได้พอเลี้ยงชีพ. แม่บ้านซึ่งอ่านได้ดีสามารถเอาใจใส่ครอบครัวของตนได้ดีกว่าในด้านโภชนาการที่เหมาะสม, ถูกสุขอนามัย, และป้องกันความเจ็บไข้ได้ป่วยของสมาชิกในครอบครัว. มารดาซึ่งเป็นนักอ่านที่ดีอาจส่งผลในแง่บวกได้มากต่อการพัฒนาด้านสติปัญญาของลูกด้วย.
แน่นอน ประโยชน์สูงสุดที่ได้จากการอ่านคือทำให้คุณสามารถ “พบความรู้ของพระเจ้า.” (สุภา. 2:5) รูปแบบต่าง ๆ ที่เรารับใช้พระเจ้าเกี่ยวข้องกับความสามารถในการอ่าน. มีการอ่านพระคัมภีร์และสรรพหนังสือที่อาศัยคัมภีร์ไบเบิลเป็นหลัก ณ การประชุมประชาคม. วิธีที่คุณอ่านส่งผลกระทบอย่างยิ่งต่อประสิทธิภาพของคุณในงานประกาศสั่งสอน. และการเตรียมตัวเพื่อเข้าร่วมกิจกรรมเหล่านี้เกี่ยวข้องกับการอ่าน. ด้วยเหตุนั้น การเติบโตฝ่ายวิญญาณของคุณส่วนใหญ่แล้วจึงขึ้นอยู่กับนิสัยการอ่านของคุณ.
จงใช้โอกาสให้เป็นประโยชน์
นิสัยการอ่านของคุณ ส่งผลกระทบต่อการเติบโตฝ่ายวิญญาณของคุณ
บางคนที่เรียนรู้วิถีทางของพระเจ้ามีการศึกษาจำกัด. พวกเขาอาจจำต้องได้รับการสอนให้อ่านออกเพื่อทำความก้าวหน้าฝ่ายวิญญาณมากขึ้น. หรือพวกเขาอาจจำต้องได้รับความช่วยเหลือเป็นส่วนตัวเพื่อปรับปรุงทักษะการอ่านของตน. ในท้องถิ่นใดที่มีความจำเป็น ประชาคมจะพยายามจัดให้มีชั้นเรียนเพื่อสอนการอ่านและการเขียน. หลายพันคนได้รับประโยชน์มากจากการจัดเตรียมนี้. เนื่องจากเห็นความสำคัญของการอ่านได้ดี บางประชาคมจึงจัดให้มีชั้นเรียนเพื่อปรับปรุงการอ่านในเวลาเดียวกันกับโรงเรียนการรับใช้ตามระบอบของพระเจ้า. แม้แต่ในที่ที่ไม่มีชั้นเรียนแบบนั้น คนเราก็อาจทำความก้าวหน้าได้เป็นอย่างดีโดยใช้เวลาบางช่วงในแต่ละวันเพื่ออ่านออกเสียงและโดยเข้าร่วมพร้อมกับมีส่วนร่วมเป็นประจำในโรงเรียนการรับใช้ตามระบอบของพระเจ้า.
น่าเศร้า หนังสือการ์ตูนและโทรทัศน์รวมทั้งสิ่งอื่น ๆ เป็นเหตุให้หลายคนละเลยการอ่าน. การชมโทรทัศน์และการไม่ค่อยได้อ่านอาจเป็นอุปสรรคต่อการพัฒนาทักษะการอ่านของคนเรา, ความสามารถในการคิดและการหาเหตุผลที่ชัดเจนรวมทั้งการพูดที่ดี.
“ทาสสัตย์ซื่อและสุขุม” จัดเตรียมให้มีสรรพหนังสือต่าง ๆ เพื่อช่วยเราให้เข้าใจคัมภีร์ไบเบิล. สรรพหนังสือเหล่านี้ให้ข้อมูลมากมายที่เกี่ยวข้องกับเรื่องต่าง ๆ ทางฝ่ายวิญญาณที่สำคัญ. (มัด. 24:45, ล.ม.; 1 โก. 2:12, 13) นอกจากนั้น หนังสือเหล่านี้ยังช่วยเราให้ทันกับการเปลี่ยนแปลงที่สำคัญ ๆ ในโลก, และความหมายของเหตุการณ์เหล่านั้น, ช่วยเราให้รู้จักกับโลกของธรรมชาติดียิ่งขึ้น, และสอนเราถึงวิธีรับมือกับปัญหาที่เกิดขึ้นกับเรา. เหนืออื่นใด หนังสือเหล่านี้มุ่งความสนใจไปยังวิธีรับใช้พระเจ้าอย่างที่พระองค์ทรงยอมรับและเป็นที่พอพระทัยพระองค์. การอ่านสรรพหนังสือที่เป็นประโยชน์เช่นนั้นจะช่วยคุณให้พัฒนาขึ้นเป็นบุคคลฝ่ายวิญญาณ.
แน่นอน ความสามารถในการอ่านได้ดีไม่มีคุณความดีอะไรในตัวมันเอง. จำต้องใช้ทักษะนี้ในวิธีที่เหมาะสม. เช่นเดียวกับการรับประทานอาหาร เราต้องเลือกสิ่งที่จะอ่าน. ทำไมจะไปรับประทานอาหารที่ไม่ได้บำรุงร่างกายอย่างแท้จริงหรือถึงกับเป็นพิษต่อคุณเสียด้วยซ้ำ? ในทำนองเดียวกัน ทำไมจึงจะไปอ่านเนื้อหาบางอย่าง ซึ่งแม้จะโดยบังเอิญก็อาจทำให้จิตใจและหัวใจเสื่อมลงได้? เราควรให้หลักการในคัมภีร์ไบเบิลเป็นมาตรฐานวัดสิ่งที่เราเลือกอ่าน. ก่อนที่คุณตัดสินใจว่าจะอ่านสิ่งใด ขอให้นึกถึงข้อคัมภีร์บางข้ออย่างเช่น ท่านผู้ประกาศ 12:12, 13; เอเฟโซ 4:22-24; 5:3, 4; ฟิลิปปอย 4:8; โกโลซาย 2:8; 1 โยฮัน 2:15-17; และ 2 โยฮัน 10.
จงอ่านด้วยแรงกระตุ้นที่ถูกต้อง
ความสำคัญของแรงกระตุ้นที่ถูกต้องในการอ่านเห็นได้ชัดเมื่อพิจารณาบันทึกในพระธรรมกิตติคุณ. ยกตัวอย่าง ในกิตติคุณของมัดธาย เราพบพระเยซูทรงถามผู้นำศาสนาที่รอบรู้ด้วยคำถามเช่น “พวกท่านไม่ได้อ่านหรือ?” และ “ท่านทั้งหลายยังไม่ได้อ่านหรือ?” ก่อนที่พระองค์จะให้คำตอบตามหลักพระคัมภีร์สำหรับคำถามที่มีเล่ห์เหลี่ยมของพวกเขา. (มัด. 12:3, 5; 19:4; 21:16, 42; 22:31) บทเรียนหนึ่งที่เราเรียนได้จากเรื่องนี้คือหากแรงกระตุ้นในการอ่านของเราไม่ถูกต้อง เราอาจถูกชักนำให้ได้ข้อสรุปที่ไม่ถูกต้องหรืออาจพลาดจุดสำคัญไปโดยสิ้นเชิง. พวกฟาริซายอ่านพระคัมภีร์เนื่องจากพวกเขาคิดว่าโดยการทำเช่นนี้ พวกเขาจะได้รับชีวิตนิรันดร์. ดังที่พระเยซูทรงชี้ให้เห็น บำเหน็จรางวัลนั้นไม่มีให้สำหรับพวกที่ไม่รักพระเจ้าและไม่ยอมรับแนวทางแห่งความรอดที่พระองค์ทรงจัดเตรียมไว้. (โย. 5:39-43) แรงกระตุ้นในการอ่านของพวกฟาริซายเป็นแบบเห็นแก่ตัว ดังนั้น การลงความเห็นหลายประการของพวกเขาจึงผิดพลาดไป.
ความรักที่เรามีต่อพระยะโฮวาเป็นแรงกระตุ้นที่ใสสะอาดที่สุดในการอ่านพระคำของพระองค์. ความรักเช่นนั้นกระตุ้นเราให้เรียนรู้พระทัยประสงค์ของพระเจ้า เพราะความรัก “ยินดีกับความจริง.” (1 โก. 13:6, ล.ม.) แม้ในอดีตเราอาจเป็นคนไม่ชอบอ่าน แต่ความรักต่อพระยะโฮวาด้วย “สุดความคิด” ของเราจะกระตุ้นเราให้พยายามอย่างแข็งขันเพื่อรับความรู้ของพระเจ้า. (มัด. 22:37) ความรักปลุกเร้าให้เกิดความสนใจ และความสนใจกระตุ้นให้เกิดการเรียนรู้.
จงคำนึงถึงอัตราความเร็ว
การอ่านสัมพันธ์กันอย่างใกล้ชิดกับการรู้จักคำที่อ่าน. ขณะที่อ่านอยู่นี้ คุณรู้จักคำต่าง ๆ และจำความหมายของคำเหล่านั้นได้. คุณอาจเพิ่มความเร็วในการอ่านได้หากพยายามรู้จักคำต่าง ๆ ให้มากขึ้น. แทนที่จะดูทีละคำ จงพยายามมองเป็นกลุ่มคำในเวลาเดียวกัน. ขณะที่คุณพัฒนาความสามารถนี้ คุณจะพบว่าคุณเข้าใจสิ่งที่อ่านชัดเจนยิ่งขึ้น.
การอ่านด้วยกันทำให้สมาชิกในครอบครัวใกล้ชิดกันมากขึ้น
อย่างไรก็ตาม เมื่ออ่านเรื่องที่ลึกซึ้งกว่า การใช้วิธีที่ต่างออกไปอาจทำให้คุณได้รับประโยชน์มากขึ้นจากความพยายามของคุณ. พระยะโฮวาทรงให้คำแนะนำยะโฮซูอะเกี่ยวกับการอ่านพระคัมภีร์ดังนี้: “หนังสือกฎหมายนี้ไม่ควรให้ขาดจากปากของเจ้า และเจ้าต้องอ่านออกเสียงแผ่วเบา ทั้งกลางวันกลางคืน.” (ยโฮ. 1:8, ล.ม.) บ่อยครั้งคนเราพูดด้วยเสียงแผ่วเบาเมื่อกำลังคิดรำพึง. ด้วยเหตุนั้น คำในภาษาฮีบรูที่ได้รับการแปลว่า “อ่านออกเสียงแผ่วเบา” ยังได้รับการแปลด้วยว่า “คิดรำพึง.” (เพลง. 63:6; 77:12; 143:5) เมื่อคิดรำพึง คนเราคิดอย่างลึกซึ้ง ไม่รีบร้อน. การอ่านด้วยการไตร่ตรองทำให้พระคำของพระเจ้ากระทบจิตใจและหัวใจมากขึ้น. คัมภีร์ไบเบิลบรรจุคำพยากรณ์, คำแนะนำ, สุภาษิต, บทกวี, คำประกาศการพิพากษาของพระเจ้า, รายละเอียดเกี่ยวกับพระประสงค์ของพระยะโฮวา, และตัวอย่างชีวิตจริงมากมาย—ทั้งหมดนี้มีค่าต่อผู้ที่ต้องการดำเนินในวิถีทางของพระยะโฮวา. ช่างเป็นประโยชน์สักเพียงไรที่จะอ่านพระคัมภีร์ในแบบที่ทำให้เรื่องนั้นประทับลงในจิตใจและหัวใจของคุณอย่างลึกซึ้ง!
จงเรียนรู้ที่จะจดจ่อ
จงเอาใจใส่ต่อ ๆ ไปในการอ่านต่อหน้าผู้ฟัง
ขณะที่อ่าน ขอให้นึกภาพตัวคุณเองอยู่ในแต่ละฉากเหตุการณ์ที่มีการพรรณนา. จงพยายามเห็นบุคคลต่าง ๆ ในมโนภาพของคุณและร่วมความรู้สึกกับสิ่งที่พวกเขาประสบในชีวิต. เรื่องนี้ทำได้ค่อนข้างง่ายเมื่ออ่านบันทึกอย่างเช่นเรื่องที่เกี่ยวกับดาวิดและฆาละยัธซึ่งบันทึกในพระธรรม 1 ซามูเอลบท 17. แม้แต่รายละเอียดต่าง ๆ ในพระธรรมเอ็กโซโดและเลวีติโกที่เกี่ยวกับการก่อสร้างพลับพลาหรือการก่อตั้งคณะปุโรหิตก็จะเป็นที่น่าสนใจและดูเหมือนมีชีวิตขึ้นมาเมื่อคุณมโนภาพถึงขนาดและวัสดุในการก่อสร้างหรือจินตนาการถึงกลิ่นของเครื่องหอม, ธัญชาติ, และสัตว์ที่ถูกนำถวายเป็นเครื่องบูชาเผา. ลองนึกภาพงานรับใช้ของปุโรหิตดูสิว่าคงจะน่าเกรงขามสักเพียงไร! (ลูกา 1:8-10) การที่คุณให้ความรู้สึกและอารมณ์เข้ามาเกี่ยวข้องด้วยแบบนี้จะช่วยคุณให้จับใจความสำคัญของสิ่งที่คุณกำลังอ่านและจะช่วยให้จำได้.
แต่หากไม่ระวังขณะที่อ่าน ใจของคุณอาจล่องลอยไป. ตาของคุณอาจมองที่หนังสือ แต่ความคิดของคุณอาจอยู่ที่อื่น. ดนตรีกำลังบรรเลงอยู่ไหม? โทรทัศน์เปิดอยู่หรือเปล่า? สมาชิกในครอบครัวพูดคุยกันไหม? หากเป็นได้ ดีที่สุดที่จะอ่านในที่เงียบ ๆ. อย่างไรก็ตาม ความวอกแวกอาจเกิดจากภายใน. บางทีคุณอาจยุ่งมาทั้งวัน. ช่างง่ายสักเพียงไรที่ใจคุณจะคิดถึงกิจกรรมในวันนั้นขึ้นมาอีก! แน่นอน เป็นสิ่งที่ดีที่จะทบทวนเหตุการณ์ของวันนั้น—แต่ไม่ควรทำเมื่อคุณกำลังอ่าน. บางทีคุณอาจเริ่มด้วยการรวบรวมความคิดให้จดจ่อหรือคุณอาจถึงกับอธิษฐานก่อนที่จะเริ่มอ่าน. แต่ขณะที่อ่าน จิตใจของคุณก็เริ่มลอยไปอีก. จงพยายามอีก. จงมีวินัยกับตัวเองเพื่อรักษาจิตใจให้จดจ่ออยู่กับเนื้อหาที่กำลังอ่าน. ทีละเล็กละน้อย คุณจะเห็นว่าคุณได้ปรับปรุงให้ดีขึ้นเรื่อย ๆ.
คุณทำอย่างไรเมื่ออ่านพบคำที่ไม่เข้าใจ? บางคำที่ไม่คุ้นเคยอาจมีการนิยามหรืออธิบายในข้อความนั้น. หรือคุณอาจสังเกตเห็นความหมายของคำนั้นได้จากบริบท. หากยังไม่เข้าใจ จงใช้เวลาเพื่อหาดูคำนั้นในพจนานุกรมหากคุณมี หรือหมายคำนั้นไว้เพื่อถามคนอื่นในภายหลัง. การทำเช่นนี้จะทำให้คุณรู้จักคำศัพท์กว้างขึ้นและช่วยคุณเข้าใจสิ่งที่อ่าน.
การอ่านต่อหน้าผู้ฟัง
จงเรียนรู้ที่จะเป็นผู้อ่านต่อหน้าผู้ฟังอย่างมีความหมาย
เมื่ออัครสาวกเปาโลบอกติโมเธียวให้เอาใจใส่การอ่านต่อ ๆ ไป ท่านเปาโลอ้างถึงการอ่านเพื่อประโยชน์ของคนอื่น ๆ โดยเฉพาะ. (1 ติโม. 4:13, ล.ม.) การอ่านต่อหน้าผู้ฟังอย่างมีประสิทธิภาพไม่ใช่แค่อ่านให้เสียงดังฟังชัดเท่านั้น. ผู้อ่านจำต้องเข้าใจความหมายของคำที่อ่านและเข้าใจแนวคิดที่ถ้อยคำเหล่านั้นสื่อออกมา. เฉพาะเมื่อเขาเข้าใจดังกล่าวแล้วเท่านั้น เขาจึงจะสามารถถ่ายทอดความคิดและอารมณ์ได้อย่างถูกต้อง. แน่นอน เพื่อจะทำเช่นนี้ได้ต้องเตรียมตัวและฝึกซ้อมอย่างดี. ดังนั้น ท่านเปาโลกระตุ้นเตือนว่า “จงเอาใจใส่ต่อ ๆ ไป ในการอ่านต่อหน้าผู้ฟัง.” ในโรงเรียนการรับใช้ตามระบอบของพระเจ้า คุณจะได้รับการฝึกอบรมที่มีค่าในทักษะนี้.
จงหาเวลาอ่าน
“แผนการของคนขยันก่อผลประโยชน์แน่นอน แต่ทุกคนที่ใจร้อนก็มุ่งสู่ความขัดสนแน่นอน.” (สุภา. 21:5, ล.ม.) นั่นเป็นความจริงสักเพียงไรเกี่ยวกับความปรารถนาของเราที่จะอ่าน! เพื่อรับ “ผลประโยชน์” เราจำต้องวางแผนอย่างดีเพื่อกิจกรรมอื่น ๆ จะไม่เบียดการอ่านของเราออกไป.
คุณอ่านเมื่อไร? คุณได้รับประโยชน์จากการอ่านในตอนเช้าตรู่ไหม? หรือว่าคุณตื่นตัวมากกว่าในเวลาอื่นของวัน? หากสามารถจัดเวลาเพียง 15 หรือ 20 นาทีในแต่ละวันเพื่ออ่านบ้าง คุณจะแปลกใจในปริมาณที่ได้อ่านไป. ปัจจัยสำคัญคือความสม่ำเสมอ.
เหตุใดพระยะโฮวาจึงทรงเลือกให้มีการเขียนพระประสงค์อันยิ่งใหญ่ของพระองค์ลงในหนังสือ? ก็เพื่อว่าผู้คนจะสามารถตรวจดูพระคำของพระองค์ที่มีการบันทึกไว้. การทำเช่นนั้นช่วยให้พวกเขาสามารถพิจารณาราชกิจอันมหัศจรรย์ของพระยะโฮวา, บอกเล่าเรื่องนั้นให้ลูกหลานของตน, และจดจำกิจการของพระเจ้าได้. (เพลง. 78:5-7) วิธีที่ดีที่สุดที่เราแสดงความหยั่งรู้ค่าต่อพระทัยกว้างของพระยะโฮวาในเรื่องนี้ก็โดยวิธีที่เราเอาใจใส่การอ่านพระคำของพระองค์ที่ให้ชีวิต.
-
-
การศึกษาให้ผลตอบแทนการรับประโยชน์จากโรงเรียนการรับใช้ตามระบอบของพระเจ้า
-
-
การศึกษาให้ผลตอบแทน
คุณเคยมองดูผู้คนเลือกผลไม้ไหม? ผู้คนส่วนใหญ่จะสังเกตสีและขนาดเพื่อดูว่าผลนั้นสุกแล้วหรือยัง. บางคนใช้วิธีดมกลิ่น. บางคนจับดูและถึงกับบีบด้วยซ้ำ. ยังมีบางคนที่ชั่งน้ำหนักผลไม้ด้วยมือแต่ละข้างเพื่อดูว่าผลไหนมีน้ำมากกว่ากัน. คนเหล่านี้กำลังคิดอะไร? พวกเขากำลังวิเคราะห์รายละเอียด, ประเมินความแตกต่าง, นึกถึงการเลือกครั้งก่อน ๆ, และเปรียบเทียบสิ่งที่เขาเห็นตอนนี้กับสิ่งที่เขารู้มาแล้ว. เนื่องจากพวกเขาเลือกอย่างรอบคอบ จึงได้ผลไม้ที่อร่อยเป็นสิ่งตอบแทน.
แน่นอน ผลตอบแทนที่ได้จากการศึกษาพระคำของพระเจ้ามีมากกว่านั้นมากนัก. เมื่อการศึกษานั้นอยู่ในลำดับสำคัญในชีวิตของเรา ความเชื่อของเราจะเข้มแข็งยิ่งขึ้น, ความรักของเราจะลึกซึ้งยิ่งขึ้น, งานรับใช้ของเราจะบังเกิดผลมากขึ้น, และการตัดสินใจของเราจะให้หลักฐานชัดเจนยิ่งขึ้นว่าเรามีความสังเกตเข้าใจและมีสติปัญญาที่มาจากพระเจ้า. พระธรรมสุภาษิต 3:15 กล่าวถึงผลตอบแทนนั้นดังนี้: “ไม่มีสิ่งใด ๆ ซึ่งเจ้าพึงปรารถนาเอามาเทียมกับพระปัญญาได้.” คุณกำลังประสบผลตอบแทนดังกล่าวไหม? วิธีที่คุณศึกษาอาจเป็นปัจจัยหนึ่ง.—โกโล. 1:9, 10.
ใช้เวลาคิดรำพึง
การศึกษาคืออะไร? การศึกษาไม่ใช่แค่การอ่านผ่าน ๆ. การศึกษาเกี่ยวข้องกับการใช้ความสามารถด้านความคิดในการพิจารณาเรื่องหนึ่ง ๆ อย่างถี่ถ้วนหรืออย่างกว้างขวาง. การศึกษาครอบคลุมไปถึงการวิเคราะห์สิ่งที่อ่าน, เปรียบเทียบเรื่องนั้นกับสิ่งที่รู้มาแล้ว, และสังเกตการอ้างเหตุผลที่เกี่ยวกับเรื่องนั้น. เมื่อกำลังศึกษา จงใคร่ครวญให้ลึกซึ้งถึงแนวคิดใด ๆ ที่อาจเป็นเรื่องใหม่สำหรับคุณ. จงพิจารณาด้วยว่าคุณจะนำคำแนะนำในพระคัมภีร์ไปใช้เป็นส่วนตัวอย่างเต็มที่ยิ่งขึ้นได้อย่างไร. นอกจากนั้น ฐานะพยานของพระยะโฮวา คุณควรคิดถึงโอกาสต่าง ๆ ที่จะใช้ความรู้นั้นเพื่อช่วยเหลือคนอื่น ๆ ด้วย. ปรากฏชัดว่า การศึกษาหมายรวมถึงการคิดรำพึง.
การมีความคิดจิตใจที่ถูกต้อง
เพื่อจะได้รับประโยชน์เต็มที่ จากการศึกษาส่วนตัว จงเตรียมหัวใจของคุณ
เมื่อเตรียมตัวศึกษา คุณเตรียมเครื่องใช้ต่าง ๆ ไว้พร้อม เช่น คัมภีร์ไบเบิล, สิ่งพิมพ์ใด ๆ ที่คุณคิดจะใช้, ดินสอหรือปากกา, และอาจรวมไปถึงสมุดบันทึก. แต่คุณเตรียมหัวใจของคุณด้วยไหม? คัมภีร์ไบเบิลบอกเราว่าท่านเอษรา “ได้สำรวมตั้งใจ [“เตรียมหัวใจ,” ล.ม.] แสวงหาในบทพระบัญญัติของพระยะโฮวาเพื่อจะได้ประพฤติตาม, และเพื่อจะได้เอาบทพระบัญญัติและข้อตัดสินทั้งปวงนั้นสอนให้พวกยิศราเอลแจ่มแจ้งขึ้น.” (เอษรา 7:10) การเตรียมหัวใจนั้นเกี่ยวข้องกับอะไร?
การอธิษฐานทำให้เราเริ่มศึกษาพระคำของพระเจ้าด้วยทัศนะที่ถูกต้อง. เราต้องการให้หัวใจ ส่วนที่อยู่ลึกสุดของเราเปิดรับคำสอนที่พระยะโฮวาทรงสอนเรา. ก่อนเริ่มศึกษาแต่ละครั้ง จงทูลต่อพระยะโฮวาเพื่อขอความช่วยเหลือจากพระวิญญาณของพระองค์. (ลูกา 11:13) จงขอพระองค์ช่วยคุณให้เข้าใจความหมายของเรื่องที่จะศึกษา, เข้าใจว่าเรื่องนั้นเกี่ยวข้องกับพระประสงค์ของพระองค์อย่างไร, เข้าใจว่าเรื่องนั้นสามารถช่วยคุณแยกแยะระหว่างสิ่งดีและชั่วได้อย่างไร, เข้าใจวิธีที่คุณจะนำหลักการของพระองค์ไปใช้ในชีวิตของคุณ, และเข้าใจว่าเรื่องนั้นส่งผลกระทบต่อสัมพันธภาพของคุณกับพระองค์อย่างไร. (สุภา. 9:10) ขณะที่คุณศึกษา ‘จงทูลขอสติปัญญาจากพระเจ้าต่อ ๆ ไป.’ (ยโก. 1:5, ล.ม.) จงประเมินตัวเองอย่างซื่อสัตย์โดยคำนึงถึงสิ่งที่คุณได้เรียนรู้ ขณะที่คุณแสวงหาความช่วยเหลือจากพระยะโฮวาเพื่อขจัดความคิดที่ไม่ถูกต้องหรือความปรารถนาที่เป็นอันตราย. จง “ขอบพระเดชพระคุณของพระยะโฮวา” เสมอสำหรับสิ่งต่าง ๆ ที่พระองค์ทรงเปิดเผย. (เพลง. 147:7) การเริ่มการศึกษาด้วยการอธิษฐานนี้ทำให้ใกล้ชิดกับพระยะโฮวา เนื่องจากการทำเช่นนั้นจะช่วยเราให้ตอบรับเมื่อพระองค์ตรัสกับเราผ่านทางพระคำของพระองค์.—เพลง. 145:18.
การตอบรับเช่นนั้นทำให้ไพร่พลของพระยะโฮวาต่างจากนักศึกษาคนอื่น ๆ. ท่ามกลางผู้ไม่เลื่อมใสพระเจ้า เป็นเรื่องที่นิยมกันที่จะสงสัยและท้าทายเรื่องที่มีการเขียนไว้. แต่นั่นไม่ใช่ทัศนะของเรา. เราไว้วางใจพระยะโฮวา. (สุภา. 3:5-7) หากเราไม่เข้าใจบางเรื่อง เราไม่ทึกทักสรุปเอาเองว่าเรื่องนั้นไม่จริง. ขณะค้นคว้าและขุดค้นเพื่อหาคำตอบ เราคอยท่าพระยะโฮวา. (มีคา 7:7) เช่นเดียวกับท่านเอษรา เรามีเป้าหมายจะประพฤติตามและสอนสิ่งที่เราเรียนรู้. ด้วยแนวโน้มของหัวใจเช่นนี้ เราจึงอยู่ในเส้นทางที่จะเก็บเกี่ยวผลตอบแทนอันอุดมจากการศึกษาของเรา.
วิธีศึกษา
แทนที่จะเริ่มโดยตรงกับวรรค 1 และดำเนินต่อไปจนจบ จงใช้เวลาเพื่อดูเนื้อหาทั้งเรื่องหรือทั้งบทอย่างคร่าว ๆ ก่อน. จงเริ่มโดยวิเคราะห์ชื่อเรื่อง. ชื่อเรื่องจะเป็นอรรถบทของเรื่องที่คุณจะศึกษา. จากนั้น จงสังเกตให้ดีว่าหัวเรื่องย่อยสัมพันธ์กับชื่อเรื่องอย่างไร. จงพิจารณารูปภาพ, แผนภูมิ, หรือกรอบช่วยสอนใด ๆ ที่อยู่ในเรื่องนั้น. ลองถามตัวเองดังนี้: ‘โดยการดูคร่าว ๆ นี้ ฉันคาดหมายจะได้เรียนรู้อะไร? บทความนั้นจะมีค่าต่อฉันในทางใด?’ การตั้งคำถามเหล่านี้จะทำให้คุณรู้ว่าทิศทางการศึกษาจะไปในแนวใด.
จงคุ้นเคยกับเครื่องมือค้นคว้าที่มีในภาษาของคุณ
บัดนี้ให้เข้าสู่การศึกษาในรายละเอียด. บทความศึกษาในวารสารหอสังเกตการณ์ และหนังสือบางเล่มมีคำถามด้วย. ขณะอ่านแต่ละวรรค จะเป็นประโยชน์ถ้าคุณหมายคำตอบไว้. แม้ว่าไม่มีคำถามสำหรับการศึกษา คุณก็อาจจะหมายจุดสำคัญที่อยากจดจำไว้. หากมีแนวคิดใหม่สำหรับคุณ จงใช้เวลามากขึ้นสักเล็กน้อยตรงจุดนั้นเพื่อจะเข้าใจเรื่องนั้นเป็นอย่างดี. จงสังเกตตัวอย่างหรือแนวการหาเหตุผลที่จะเป็นประโยชน์ต่อคุณในงานรับใช้หรือที่อาจนำไปใช้ในคำบรรยายที่ได้รับมอบหมายครั้งถัดไป. จงนึกถึงบางคนโดยเฉพาะที่จะได้รับการเสริมความเชื่อให้เข้มแข็งขึ้นถ้าได้แบ่งปันสิ่งที่คุณกำลังศึกษาให้กับเขา. จงหมายจุดต่าง ๆ ที่คุณต้องการนำไปใช้ และทบทวนจุดเหล่านั้นเมื่อศึกษาเสร็จ.
ขณะที่คุณศึกษาเรื่องหนึ่ง จงเปิดดูข้อคัมภีร์ที่อ้างถึง. วิเคราะห์ว่าข้อคัมภีร์แต่ละข้อเกี่ยวข้องกับจุดสำคัญในวรรคนั้นอย่างไร.
คุณอาจพบจุดที่ไม่เข้าใจเต็มที่หรือจุดที่ต้องการค้นคว้าให้ละเอียดยิ่งขึ้น. แทนที่จะให้เรื่องนั้นมาเบนความสนใจของคุณ จงจดบันทึกจุดเหล่านั้นเพื่อจะพิจารณาเพิ่มเติมในภายหลัง. บ่อยครั้ง คุณจะเข้าใจจุดเหล่านั้นชัดเจนเมื่ออ่านส่วนที่เหลือของเนื้อเรื่อง. หากไม่เป็นเช่นนั้น คุณอาจทำการค้นคว้าเพิ่มเติม. ควรจดเรื่องใดไว้เพื่อค้นคว้าเพิ่มเติม? บางทีมีข้อคัมภีร์ที่ยกขึ้นมากล่าวซึ่งคุณเข้าใจไม่ชัดเจน. หรือคุณยังไม่เข้าใจว่าจะนำข้อคัมภีร์นั้นมาใช้อย่างไรกับเรื่องที่กำลังพิจารณา. บางทีคุณรู้สึกว่าคุณเข้าใจแนวคิดบางอย่างในเรื่องนั้น แต่ยังไม่เข้าใจดีพอจะอธิบายกับคนอื่น. แทนที่จะเพียงแต่ปล่อยให้มันผ่านไป อาจจะสุขุมกว่าที่จะค้นคว้าจุดเหล่านั้นหลังจากศึกษาเรื่องนั้นจบ.
จงเปิดดูข้อคัมภีร์
เมื่ออัครสาวกเปาโลเขียนจดหมายที่มีรายละเอียดมากมายถึงคริสเตียนชาวฮีบรู ท่านหยุดตรงครึ่งทางเพื่อกล่าวว่า “นี่เป็นจุดสำคัญ.” (เฮ็บ. 8:1, ล.ม.) คุณเตือนตัวเองแบบนี้เป็นครั้งคราวไหม? ขอพิจารณาเหตุผลที่ท่านเปาโลทำเช่นนั้น. ในบทก่อนหน้านี้ของจดหมายที่ท่านเขียนโดยได้รับการดลใจ ท่านแสดงให้เห็นแล้วว่าพระคริสต์ฐานะมหาปุโรหิตใหญ่ของพระเจ้าได้เข้าสู่สวรรค์แล้ว. (เฮ็บ. 4:14–5:10; 6:20) กระนั้น โดยการแยกให้เห็นเด่นชัดและเน้นจุดสำคัญนั้นในตอนต้นของเฮ็บรายบท 8 ท่านเปาโลเตรียมจิตใจของผู้อ่านให้คิดอย่างจริงจังว่าเรื่องนั้นเกี่ยวข้องกับชีวิตของเขาอย่างไร. ท่านชี้ให้เห็นว่าพระคริสต์ทรงปรากฏเบื้องหน้าพระเจ้าเพื่อพวกเขาและทรงเปิดทางเพื่อตัวพวกเขาเองจะได้เข้าใน “ที่บริสุทธิ์” ในสวรรค์. (เฮ็บ. 9:24; 10:19-22) การยืนยันความหวังของพวกเขาคงจะช่วยกระตุ้นเขาให้นำคำแนะนำที่มีต่อไปอีกในจดหมายนี้ไปใช้ซึ่งเป็นเรื่องที่เกี่ยวข้องกับความเชื่อ, ความอดทน, และความประพฤติแบบคริสเตียน. คล้ายคลึงกัน เมื่อเราศึกษา การมุ่งความสนใจที่จุดสำคัญของเรื่องจะช่วยเราเข้าใจการขยายอรรถบทและจะประทับเหตุผลอันหนักแน่นสำหรับการปฏิบัติสอดคล้องกับเรื่องนั้นลงในจิตใจของเรา.
การศึกษาส่วนตัวกระตุ้นคุณให้ลงมือปฏิบัติไหม? นี่เป็นคำถามสำคัญ. เมื่อคุณเรียนเรื่องอะไรก็ตาม จงถามตัวเองดังนี้: ‘เรื่องนี้ควรส่งผลกระทบต่อทัศนะและเป้าหมายในชีวิตของฉันอย่างไร? ฉันสามารถนำความรู้นี้ไปใช้ในการแก้ปัญหา, ทำการตัดสินใจ, หรือเพื่อบรรลุเป้าหมายได้อย่างไร? ฉันสามารถนำเรื่องนี้ไปใช้กับครอบครัว, ในงานประกาศ, ในประชาคมได้อย่างไร?’ จงพิจารณาคำถามเหล่านี้ด้วยใจจริง, ไตร่ตรองถึงสภาพการณ์จริงที่คุณสามารถนำความรู้นี้ไปใช้ได้.
หลังจากศึกษาจบบทหรือจบเรื่องหนึ่ง จงใช้เวลาเพื่อทบทวนสั้น ๆ. ดูว่าคุณจำจุดสำคัญและเหตุผลที่สนับสนุนได้ไหม. ขั้นตอนนี้จะช่วยคุณจดจำข้อมูลนี้ไว้เพื่อใช้ในวันข้างหน้า.
สิ่งที่จะศึกษา
ฐานะไพร่พลของพระยะโฮวา เรามีหลายเรื่องที่จะศึกษา. แต่เราควรเริ่มกับอะไรดี? แต่ละวัน เราควรศึกษาข้อคัมภีร์และคำอธิบายจากหนังสือการพิจารณาพระคัมภีร์ทุกวัน. แต่ละสัปดาห์ เราเข้าร่วมการประชุมต่าง ๆ ในประชาคม และการศึกษาเพื่อเตรียมตัวสำหรับการประชุมเหล่านั้นจะช่วยเราได้รับประโยชน์มากขึ้น. นอกจากนั้นแล้ว บางคนใช้เวลาอย่างสุขุมในการศึกษาสรรพหนังสือของคริสเตียนบางเล่มที่พิมพ์ออกมาก่อนที่เขาจะเรียนรู้ความจริง. บางคนเลือกบางส่วนจากการอ่านคัมภีร์ไบเบิลประจำสัปดาห์และศึกษาส่วนนั้นให้ลึกซึ้งยิ่งขึ้น.
จะว่าอย่างไรหากสภาพการณ์ของคุณไม่เอื้ออำนวยให้คุณศึกษาข้อมูลทั้งหมดที่จะพิจารณาแต่ละสัปดาห์ ณ การประชุมประชาคมได้อย่างถี่ถ้วน? จงหลีกเลี่ยงหลุมพรางของการเตรียมแบบลวก ๆ หรือซ้ำร้ายกว่านั้น ไม่ศึกษาอะไรเลยเนื่องจากคุณไม่สามารถศึกษาได้ทั้งหมด. แทนที่จะเป็นเช่นนั้น จงกำหนดปริมาณที่คุณสามารถศึกษาได้, และศึกษาส่วนนั้นเป็นอย่างดี. ทำอย่างนั้นทุกสัปดาห์. เมื่อเวลาผ่านไป จึงค่อยพยายามรวมการศึกษาสำหรับการประชุมรายการอื่น ๆ เข้าไว้ด้วย.
‘จงเสริมสร้างครัวเรือนของคุณ’
พระยะโฮวาทรงทราบดีว่าหัวหน้าครอบครัวต้องทำงานหนักเพื่อจัดเตรียมสิ่งต่าง ๆ เพื่อคนที่เขารัก. สุภาษิต 24:27 (ล.ม.) กล่าวว่า “จงเตรียมการงานของเจ้าที่นอกบ้าน และทำการงานให้พร้อมสำหรับตนในทุ่งนา.” กระนั้น ไม่อาจมองข้ามความจำเป็นฝ่ายวิญญาณของครอบครัวคุณได้. ดังนั้น ข้อนี้จึงกล่าวต่อไปว่า “หลังจากนั้นเจ้าต้องเสริมสร้างครัวเรือนของเจ้าเช่นกัน.” หัวหน้าครอบครัวทำเช่นนี้ได้อย่างไร? สุภาษิต 24:3 (ล.ม.) กล่าวดังนี้: “โดยการสังเกตเข้าใจ [ครัวเรือน] จะปรากฏว่าตั้งมั่นคง.”
การสังเกตเข้าใจอาจเป็นประโยชน์ต่อครอบครัวของคุณได้อย่างไร? การสังเกตเข้าใจคือความสามารถทางความคิดที่จะมองลึกลงไปกว่าที่เห็น. เป็นเรื่องเหมาะที่จะกล่าวว่าการศึกษาที่ได้ผลในครอบครัวเริ่มต้นกับการศึกษาครอบครัวคุณให้ดีเสียก่อน. สมาชิกในครอบครัวของคุณก้าวหน้าทางฝ่ายวิญญาณอย่างไร? จงตั้งใจฟังขณะสนทนากับพวกเขา. มีน้ำใจขี้บ่นหรือขุ่นเคืองไหม? การแสวงหาวัตถุเงินทองเป็นเรื่องใหญ่ไหม? เมื่อคุณอยู่ในงานประกาศกับบุตร เขารู้สึกสะดวกใจไหมที่จะแสดงตนว่าเป็นพยานพระยะโฮวาต่อหน้าเพื่อน ๆ? พวกเขาเพลิดเพลินกับกำหนดการอ่านและการศึกษาคัมภีร์ไบเบิลประจำครอบครัวไหม? พวกเขาทำให้แนวทางของพระยะโฮวาเป็นวิถีชีวิตของพวกเขาไหม? การสังเกตอย่างรอบคอบจะเผยให้เห็นว่าคุณฐานะหัวหน้าครอบครัวต้องทำอะไรบ้างเพื่อสร้างและพัฒนาคุณภาพฝ่ายวิญญาณให้แก่สมาชิกแต่ละคนในครอบครัว.
จงตรวจดูบทความในวารสารหอสังเกตการณ์ และตื่นเถิด! ที่เกี่ยวข้องกับความจำเป็นเฉพาะอย่าง. จากนั้นบอกครอบครัวล่วงหน้าเกี่ยวกับเรื่องที่จะศึกษาเพื่อพวกเขาสามารถคิดถึงเรื่องนั้นได้. จงรักษาบรรยากาศแห่งความรักในระหว่างการศึกษา. โดยไม่ดุด่าหรือทำให้สมาชิกครอบครัวคนใดอึดอัด จงเน้นคุณค่าของเรื่องที่กำลังพิจารณา, นำเรื่องนั้นมาใช้กับความจำเป็นของครอบครัวโดยเฉพาะ. ให้สมาชิกแต่ละคนมีส่วนร่วมเสมอ. จงช่วยแต่ละคนให้เห็นวิธีที่พระคำของพระยะโฮวา “ดีรอบคอบ” ในการจัดเตรียมสิ่งจำเป็นในชีวิต.—เพลง. 19:7.
การเก็บเกี่ยวผลตอบแทน
คนช่างสังเกตที่ขาดความเข้าใจทางฝ่ายวิญญาณอาจศึกษาเรื่องเอกภพ, เหตุการณ์ต่าง ๆ ในโลก, และแม้แต่เรื่องตัวเขาเอง กระนั้น พวกเขาไม่เข้าใจความหมายอันแท้จริงของสิ่งที่เขาเห็น. อีกด้านหนึ่ง ด้วยการช่วยเหลือจากพระวิญญาณของพระเจ้า ผู้ที่ศึกษาพระคำของพระเจ้าเป็นประจำสังเกตเข้าใจในสิ่งเหล่านั้นที่เป็นฝีพระหัตถ์ของพระเจ้า, ความสำเร็จเป็นจริงตามคำพยากรณ์ในคัมภีร์ไบเบิล, และการเปิดเผยพระประสงค์ของพระเจ้าที่จะอวยพรมนุษย์ที่เชื่อฟัง.—มโก. 13:4-29; โรม 1:20; วิ. 12:12.
นั่นเป็นสิ่งยอดเยี่ยม แต่ไม่ควรเป็นเหตุให้เราถือดี. แทนที่จะเป็นเช่นนั้น การพิจารณาพระคำของพระเจ้าทุกวันช่วยเราให้รักษาความถ่อมใจ. (บัญ. 17:18-20) การทำเช่นนี้ยังช่วยป้องกันเราจาก “อุบายของความบาป” เนื่องจากเมื่อพระคำของพระเจ้ามีพลังในหัวใจของเรา เสียงเรียกร้องให้ทำบาปมักจะไม่ชนะความตั้งใจของเราที่จะต้านทานมัน. (เฮ็บ. 2:1; 3:13; โกโล. 3:5-10) ดังนั้น เราจะ “ดำเนินคู่ควรกับพระยะโฮวา เพื่อทำให้พระองค์พอพระทัยอย่างเต็มเปี่ยม ขณะที่เราทั้งหลายเกิดผลต่อไปในการงานที่ดีทุกอย่าง.” (โกโล. 1:10, ล.ม.) นั่นเป็นเป้าหมายของเราในการศึกษาพระคำของพระเจ้า และการสำเร็จผลในการทำดังกล่าวเป็นผลตอบแทนอันยิ่งใหญ่ที่สุด.
-
-
วิธีค้นคว้าการรับประโยชน์จากโรงเรียนการรับใช้ตามระบอบของพระเจ้า
-
-
วิธีค้นคว้า
กษัตริย์ซะโลโม “ได้ไตร่ตรองและทำการค้นคว้าอย่างละเอียดถี่ถ้วน เพื่อท่านจะได้เรียบเรียงสุภาษิตมากมายให้เข้าเป็นระเบียบ.” เหตุใดท่านจึงทำเช่นนั้น? ก็เนื่องจากท่านสนใจในการเขียน “ถ้อยคำอันถูกต้องแห่งความจริง.” (ผู้ป. 12:9, 10, ล.ม.) ท่านลูกา “สืบเสาะทุกเรื่องตั้งแต่ต้นด้วยความถูกต้องแม่นยำ” ก็เพื่อจะบรรยายชีวิตของพระคริสต์ตามลำดับเหตุการณ์. (ลูกา 1:3, ล.ม.) ผู้รับใช้พระเจ้าทั้งสองคนนี้ได้ทำการค้นคว้า.
การค้นคว้าคืออะไร? การค้นคว้าคือการค้นหาข้อมูลเรื่องใดเรื่องหนึ่งโดยเฉพาะอย่างละเอียดถี่ถ้วน. การค้นคว้ายังรวมไปถึงการอ่านและต้องใช้หลักในการศึกษา. การค้นคว้าอาจเกี่ยวข้องกับการสัมภาษณ์ผู้คนด้วย.
มีสถานการณ์ใดบ้างที่ต้องทำการค้นคว้า? ต่อไปนี้เป็นบางตัวอย่าง. ขณะที่คุณศึกษาส่วนตัวหรืออ่านคัมภีร์ไบเบิลอาจมีคำถามที่คุณถือว่าสำคัญผุดขึ้นมา. บางคนที่คุณให้คำพยานอาจตั้งคำถามซึ่งคุณอยากจะมีข้อมูลที่แน่ชัดเพื่อเป็นคำตอบ. คุณอาจได้รับมอบหมายให้บรรยาย.
ขอพิจารณาการมอบหมายให้บรรยาย. อาจดูเหมือนว่าเนื้อหาที่คุณได้รับมอบหมายให้พูดนั้นเป็นเรื่องทั่ว ๆ ไป. คุณจะประยุกต์เรื่องนั้นให้เข้ากับผู้ฟังได้อย่างไร? โดยการค้นคว้า คุณจะทำให้เรื่องนั้นมีคุณค่ามากขึ้น. เมื่อสนับสนุนเรื่องที่บรรยายโดยยกสถิติสักหนึ่งหรือสองอย่างหรือยกตัวอย่างที่เหมาะกับเรื่องและที่จับความสนใจของผู้ฟัง จุดที่ดูเหมือนเป็นเรื่องพื้น ๆ ก็จะกลายเป็นเรื่องที่ให้ความรู้ หรือถึงกับก่อให้เกิดแรงกระตุ้นด้วยซ้ำ. มีการจัดเตรียมเนื้อหาในสรรพหนังสือที่คุณกำลังใช้เพื่อผู้อ่านตลอดทั่วโลก ดังนั้นคุณจำต้องขยาย, ใช้ตัวอย่าง, และประยุกต์จุดต่าง ๆ ให้เหมาะกับประชาคมหรือบุคคลหนึ่ง ๆ. คุณควรทำอย่างไร?
ก่อนที่คุณจะเริ่มค้นคว้าหาข้อมูล จงคำนึงถึงผู้ฟังของคุณ. พวกเขารู้อะไรมาแล้ว? พวกเขาจำต้องรู้อะไร? จากนั้นกำหนดเป้าหมายของคุณ. เป้าหมายของคุณคือการอธิบาย ไหม? เป็นการยกเหตุผลเพื่อให้เชื่อ ไหม? เพื่อพิสูจน์หักล้าง ไหม? หรือเพื่อกระตุ้น ไหม? การอธิบาย เรียกร้องการให้ข้อมูลเพิ่มเติมเพื่อทำให้เรื่องหนึ่งชัดเจน. ถึงแม้ข้อเท็จจริงพื้นฐานอาจเป็นที่เข้าใจอยู่แล้ว กระนั้น คุณอาจจำต้องขยายว่าจะทำสิ่งที่กล่าวไปนั้นเมื่อไร หรือโดยวิธีใด. การยกเหตุผลเพื่อให้เชื่อ เรียกร้องการให้เหตุผลที่ว่า ทำไม เรื่องจึงเป็นเช่นนั้น รวมไปถึงการให้พยานหลักฐานด้วย. การพิสูจน์หักล้าง เรียกร้องให้รู้ความคิดเห็นในเรื่องหนึ่ง ๆ ของทั้งสองฝ่ายโดยละเอียดพร้อมทั้งวิเคราะห์พยานหลักฐานที่ยกขึ้นมาอ้างอย่างรอบคอบ. แน่นอน เป้าหมายของเราไม่ใช่เพียงแต่หาข้อโต้แย้งที่หนักแน่น แต่เราหาวิธีนำเสนอข้อเท็จจริงด้วยท่าทีที่กรุณา. การกระตุ้น เกี่ยวข้องกับการเข้าถึงหัวใจ. นั่นหมายถึงการสนับสนุนผู้ฟังและหนุนใจพวกเขาให้ปฏิบัติตามที่ได้พิจารณา. การยกตัวอย่างชีวิตจริงของผู้ที่ลงมือปฏิบัติเช่นนั้นถึงแม้เขาเผชิญความยากลำบากก็ตาม อาจช่วยให้เข้าถึงหัวใจได้.
บัดนี้คุณพร้อมจะเริ่มแล้วไหม? ยัง. ขอพิจารณาดูว่าคุณจำต้องมีข้อมูลมากน้อยสักแค่ไหน. เวลาอาจเป็นปัจจัยสำคัญ. หากคุณจะนำเสนอข้อมูลต่อคนอื่น ๆ คุณจะมีเวลาเท่าไร? ห้านาทีไหม? หรือสี่สิบห้านาที? มีเวลากำหนดแน่นอนไหม เช่น ณ การประชุมประชาคม หรือยืดหยุ่นได้ไหม เช่น ในการศึกษาหรือการเยี่ยมบำรุงเลี้ยง?
ท้ายที่สุด คุณมีเครื่องมือค้นคว้าอะไรบ้าง? นอกจากสิ่งที่คุณมีอยู่แล้วที่บ้าน ยังมีเครื่องมือในห้องสมุดของหอประชุมราชอาณาจักรอีกไหม? พี่น้องที่รับใช้พระยะโฮวามาหลายปีจะเต็มใจให้คุณใช้เครื่องมือค้นคว้าของเขาไหม? มีห้องสมุดสาธารณะในเขตที่คุณอยู่ไหมซึ่งมีหนังสืออ้างอิงที่คุณอาจใช้ได้หากจำเป็น?
การใช้เครื่องมือค้นคว้าที่สำคัญที่สุด—คัมภีร์ไบเบิล
หากแผนการค้นคว้าของคุณเกี่ยวข้องกับการเข้าใจความหมายของข้อคัมภีร์ข้อหนึ่ง ก็จงเริ่มกับคัมภีร์ไบเบิล.
ตรวจดูบริบท. จงถามตัวเองดังนี้: ‘ข้อคัมภีร์นี้เขียนถึงใคร? ข้อต่าง ๆ ที่อยู่ข้างเคียงชี้ถึงอะไรที่เกี่ยวข้องกับสภาพการณ์ซึ่งนำไปสู่เรื่องนั้นหรือชี้ถึงอะไรเกี่ยวกับทัศนะของผู้คนที่เกี่ยวข้อง? บ่อยครั้งรายละเอียดเช่นนั้นช่วยเราเข้าใจข้อคัมภีร์นั้น และยังอาจเพิ่มชีวิตชีวาให้กับการบรรยายของคุณด้วยเมื่อคุณใช้ข้อนั้น ๆ.
ยกตัวอย่าง บ่อยครั้งมีการอ้างเฮ็บราย 4:12 เพื่อแสดงถึงพลังแห่งพระคำของพระเจ้าที่จะเข้าถึงหัวใจและมีผลกระทบต่อชีวิต. บริบทของข้อคัมภีร์นั้นช่วยเราให้เข้าใจลึกซึ้งยิ่งขึ้นว่าเป็นเช่นนั้นได้อย่างไร. บริบทนั้นกล่าวถึงประสบการณ์ของชาติอิสราเอลระหว่าง 40 ปีที่อยู่ในถิ่นทุรกันดารก่อนเข้าแผ่นดินที่พระยะโฮวาทรงสัญญากับอับราฮาม. (เฮ็บ. 3:7–4:13) “พระคำของพระเจ้า” ไม่ตาย คือคำสัญญาของพระองค์ที่จะนำพวกเขาเข้าสู่ที่สงบสุขตามคำสัญญาที่ให้กับอับราฮาม ซึ่งกำลังดำเนินไปสู่ความสำเร็จเป็นจริง. ชาวอิสราเอลมีเหตุผลทุกประการที่จะแสดงความเชื่อในคำสัญญานั้น. อย่างไรก็ตาม ขณะที่พระยะโฮวาทรงนำพวกเขาออกจากอียิปต์ไปยังภูเขาไซนายและต่อไปยังแผ่นดินแห่งคำสัญญา พวกเขาแสดงถึงการขาดความเชื่อซ้ำแล้วซ้ำอีก. ดังนั้น ท่าทีของพวกเขาต่อวิธีดำเนินงานของพระเจ้าเพื่อให้สำเร็จตามคำสัญญาของพระองค์ จึงเผยให้เห็นสิ่งที่อยู่ในหัวใจของพวกเขา. คล้ายกับในสมัยของเรา คำสัญญาในพระคำของพระเจ้าเผยให้เห็นสิ่งที่อยู่ในหัวใจของผู้คน.
ตรวจดูข้ออ้างอิง. คัมภีร์ไบเบิลบางฉบับมีข้ออ้างอิง. ในฉบับของคุณมีไหม? ถ้ามี ข้ออ้างอิงเหล่านี้อาจเป็นประโยชน์. ขอสังเกตตัวอย่างหนึ่งจากพระคัมภีร์บริสุทธิ์ฉบับแปลโลกใหม่ (ภาษาอังกฤษ). 1 เปโตร 3:6 ชี้ว่านางซาราเป็นตัวอย่างซึ่งภรรยาคริสเตียนสมควรเลียนแบบ. ข้ออ้างอิงหนึ่งอ้างถึงเยเนซิศ 18:12 ซึ่งให้ข้อมูลเพิ่มขึ้นโดยเผยว่านางซาราพูดถึงอับราฮาม “ในใจ” ว่าเป็นนาย. ดังนั้น เธอยอมอยู่ใต้อำนาจสามีจากใจจริง. นอกจากให้ความเข้าใจแจ่มแจ้งขึ้นเช่นนั้นแล้ว ข้ออ้างอิงอาจช่วยคุณเชื่อมโยงไปยังข้อคัมภีร์ต่าง ๆ ที่แสดงให้เห็นความสำเร็จเป็นจริงของคำพยากรณ์ในคัมภีร์ไบเบิลหรือแบบแผนของสัญญาไมตรีตามพระบัญญัติ. อย่างไรก็ตาม จำไว้ว่าข้ออ้างอิงบางข้อไม่มีจุดประสงค์เพื่อให้คำอธิบายเช่นนั้น. ข้ออ้างอิงอาจเพียงแต่อ้างถึงความคิดที่คล้ายคลึงกันหรืออ้างถึงข้อมูลด้านชีวประวัติหรือภูมิศาสตร์.
ค้นหาโดยใช้ศัพท์สัมพันธ์ของคัมภีร์ไบเบิล. ศัพท์สัมพันธ์ของคัมภีร์ไบเบิลคือดัชนีคำต่าง ๆ ที่อยู่ในคัมภีร์ไบเบิลเรียงตามลำดับอักษร. เครื่องมือชิ้นนี้อาจช่วยคุณค้นหาข้อคัมภีร์ต่าง ๆ ที่เกี่ยวข้องกับเรื่องที่คุณทำการค้นคว้า. เมื่อคุณเปิดดูข้อคัมภีร์เหล่านั้น คุณก็จะเรียนรู้รายละเอียดอื่น ๆ ที่เป็นประโยชน์. คุณจะเห็นหลักฐานว่ามี “แบบแผน” แห่งความจริงอยู่ในพระคำของพระเจ้า. (2 ติโม. 1:13, ล.ม.) พระคัมภีร์ฉบับแปลโลกใหม่ มีรายการคำหลัก ๆ อยู่ใน “ดัชนีคำในคัมภีร์ไบเบิล.” ศัพท์สัมพันธ์ฉบับสมบูรณ์ จะมีรายละเอียดมากกว่า. ในภาษาไทย คุณอาจพบว่าศัพท์สัมพันธ์ของคัมภีร์ไบเบิล เช่น หนังสือศัพท์สัมพันธ์พระคริสตธรรมคัมภีร์ฉบับ 1971 เป็นประโยชน์ในการค้นคว้าของคุณ.
การเรียนรู้ที่จะใช้เครื่องมือค้นคว้าอื่น ๆ
กรอบในหน้า 33 บอกรายชื่อเครื่องมือค้นคว้าอื่น ๆ อีกหลายอย่างที่ “ทาสสัตย์ซื่อและสุขุม” ได้จัดเตรียมไว้. (มัด. 24:45-47, ล.ม.) ส่วนใหญ่ที่อ้างถึงจะมีสารบัญ และหลายเล่มมีดัชนีด้านหลังซึ่งออกแบบเพื่อช่วยคุณหาข้อมูลที่เฉพาะเจาะจง. วารสารหอสังเกตการณ์ และตื่นเถิด! ฉบับสุดท้ายของแต่ละปีมีสารบัญหัวเรื่องบทความต่าง ๆ ที่ได้ตีพิมพ์ในวารสารทั้งสองของปีนั้น.
การคุ้นเคยกับชนิดข้อมูลที่อยู่ในสรรพหนังสือต่าง ๆ ที่ใช้เป็นคู่มือในการศึกษาคัมภีร์ไบเบิลอาจช่วยให้การค้นคว้าทำได้เร็วขึ้น. ยกตัวอย่าง ถ้าคุณต้องการรู้เกี่ยวกับคำพยากรณ์, คำสอน, ความประพฤติแบบคริสเตียน, หรือการนำหลักการในคัมภีร์ไบเบิลไปใช้. วารสารหอสังเกตการณ์ มักจะมีเรื่องที่คุณค้นหา. วารสารตื่นเถิด! รายงานเหตุการณ์, ปัญหาต่าง ๆ ในปัจจุบัน, และว่าด้วยเรื่องทางศาสนา, วิทยาศาสตร์, และผู้คนในหลายดินแดน. คำอธิบายเรื่องราวแต่ละเรื่องในพระธรรมกิตติคุณเรียงตามลำดับเหตุการณ์พบได้ในหนังสือบุรุษผู้ใหญ่ยิ่งเท่าที่โลกเคยเห็น. การพิจารณาพระธรรมทั้งเล่มของคัมภีร์ไบเบิลทีละข้อพบได้ในสรรพหนังสืออย่างเช่น พระธรรมวิวรณ์—ใกล้จะถึงจุดสุดยอด!, หนังสือจงเอาใจใส่คำพยากรณ์ของดานิเอล!, และชุดหนังสือสองเล่มคำพยากรณ์ของยะซายา—ความสว่างสำหรับมวลมนุษยชาติ. (ภาษาอังกฤษ) ในหนังสือการหาเหตุผลจากพระคัมภีร์ (ภาษาอังกฤษ) คุณจะพบคำตอบที่พึงพอใจสำหรับคำถามหลายร้อยข้อที่เกี่ยวกับคัมภีร์ไบเบิลซึ่งผู้คนมักจะถามเมื่อเราไปประกาศ. เพื่อความเข้าใจที่ชัดเจนขึ้นเกี่ยวกับศาสนาอื่น ๆ, คำสอนของพวกเขา, และภูมิหลังทางประวัติศาสตร์ โปรดดูหนังสือมนุษย์แสวงหาพระเจ้า (ภาษาอังกฤษ). รายละเอียดเกี่ยวกับประวัติของพยานพระยะโฮวาในสมัยปัจจุบันมีอยู่ในจุลสารพยานพระยะโฮวา—กระทำตามพระประสงค์ของพระเจ้าอย่างพร้อมเพรียงทั่วโลก. สำหรับรายละเอียดเกี่ยวกับงานประกาศข่าวดีตลอดทั่วโลกที่ได้ทำไป ตรวจดูได้ในวารสารหอสังเกตการณ์ ฉบับวันที่ 1 มกราคมของปีล่าสุด. หนังสือการหยั่งเห็นเข้าใจพระคัมภีร์ (ภาษาอังกฤษ) คือสารานุกรมคัมภีร์ไบเบิลและแผนที่. หากคุณต้องการรายละเอียดเกี่ยวกับผู้คน, สถานที่, วัตถุสิ่งของ, ภาษา, หรือเหตุการณ์ทางประวัติศาสตร์ที่เกี่ยวข้องกับคัมภีร์ไบเบิล หนังสือเล่มนี้เป็นแหล่งข้อมูลที่ดีเยี่ยม.
“ดัชนีสรรพหนังสือของว็อชเทาเวอร์.” มีการจัดพิมพ์ดัชนี นี้มากกว่า 20 ภาษาซึ่งจะให้ข้อมูลจากสรรพหนังสือของเราที่มีหลากหลาย. หนังสือเล่มนี้แบ่งออกเป็นสองส่วนคือดัชนีหัวเรื่องและดัชนีข้อคัมภีร์. เมื่อใช้ดัชนีหัวเรื่อง จงหาคำหนึ่งที่แสดงถึงหัวเรื่องที่คุณต้องการค้นคว้า. เมื่อใช้ดัชนีข้อคัมภีร์ จงค้นดูรายการข้อคัมภีร์ที่คุณต้องการเข้าใจให้ดียิ่งขึ้น. หากมีบางเรื่องตีพิมพ์ในภาษาของคุณเกี่ยวกับหัวเรื่องหรือข้อคัมภีร์นั้นในช่วงของปีที่ดัชนี ครอบคลุมถึง คุณก็จะพบรายการอ้างอิงต่าง ๆ เพื่อค้นหาข้อมูลได้. ด้านหน้าของดัชนี ให้ความหมายสำหรับตัวย่อของสรรพหนังสือที่มีการอ้างถึง. (ตัวอย่างเช่น คุณจะเรียนรู้ว่า w99 3/1 15 หมายถึงหอสังเกตการณ์ ฉบับวันที่ 1 มีนาคม 1999 หน้า 15.) หัวเรื่องหลัก เช่น “ประสบการณ์ในการประกาศ” และ “เรื่องราวชีวิตจริงของพยานพระยะโฮวา” อาจเป็นประโยชน์ในการเตรียมคำบรรยายที่กระตุ้นใจต่อประชาคม.
เนื่องจากการค้นคว้าอาจดึงดูดความสนใจอย่างมาก ดังนั้น จงระวังที่จะไม่เขวออกนอกทาง. จงจดจ่ออยู่ที่เป้าหมายของคุณที่จะหาข้อมูลที่จำเป็นสำหรับเรื่องนั้น ๆ. หากดัชนี อ้างถึงแหล่งข้อมูลบางแหล่ง จงเปิดไปยังหน้าที่อ้างถึง จากนั้นใช้หัวข้อย่อยและประโยคแรกของวรรคเพื่อนำไปสู่ข้อมูลที่คุณต้องการ. หากคุณกำลังค้นหาความหมายของคัมภีร์ไบเบิลข้อหนึ่งโดยเฉพาะ ทีแรกจงหาข้อพระคัมภีร์ข้อนั้นในหน้าที่อ้างถึง. จากนั้นพิจารณาดูเนื้อความที่อยู่รอบ ๆ.
“ห้องสมุดว็อชเทาเวอร์” ในแผ่นซีดี. หากคุณมีคอมพิวเตอร์ คุณอาจได้รับประโยชน์จากการใช้ห้องสมุดว็อชเทาเวอร์ ในแผ่นซีดี (ภาษาอังกฤษ) ซึ่งบรรจุสรรพหนังสือมากมายหลายอย่างของเรา. โปรแกรมค้นหาที่ใช้ง่ายสามารถช่วยคุณหาคำคำหนึ่ง, คำที่ผสมกัน, หรือข้อคัมภีร์ที่มีการอ้างถึงในหนังสือเล่มใด ๆ ก็ตามที่อยู่ในห้องสมุดว็อชเทาเวอร์. ถึงแม้เครื่องมือค้นคว้านี้ไม่มีในภาษาของคุณ คุณก็อาจได้ประโยชน์จากเครื่องมือนี้ในภาษาที่ใช้กันแพร่หลายที่คุณอ่านได้.
หนังสืออื่น ๆ ในห้องสมุดตามระบอบของพระเจ้า
ในจดหมายฉบับที่สองที่ท่านเปาโลเขียนถึงติโมเธียวโดยได้รับการดลใจ ท่านขอให้ชายหนุ่มคนนี้นำ “หนังสือ, และเฉพาะอย่างยิ่งหนังสือที่เขียนที่แผ่นหนัง” มาให้ท่านที่กรุงโรม. (2 ติโม. 4:13) ท่านเปาโลเห็นคุณค่าของงานเขียนบางอย่างและเก็บรักษาไว้. คุณก็อาจทำเช่นเดียวกันได้. คุณเก็บวารสารหอสังเกตการณ์, ตื่นเถิด!, และพระราชกิจของเรา หลังจากที่พิจารณาในการประชุมประชาคมแล้วไหม? ถ้าคุณเก็บไว้ คุณก็พร้อมจะใช้สิ่งเหล่านี้เป็นเครื่องมือค้นคว้ารวมเข้าด้วยกันกับสรรพหนังสืออื่น ๆ ของคริสเตียนที่คุณมีอยู่แล้ว. ประชาคมส่วนใหญ่ดูแลรักษาสรรพหนังสือของคริสเตียนของเราในห้องสมุดที่หอประชุมราชอาณาจักร. หนังสือในห้องสมุดนี้เป็นประโยชน์ต่อทั้งประชาคมเพื่อใช้ระหว่างอยู่ที่หอประชุม.
จงรักษาแฟ้มส่วนตัว
จงตื่นตัวเสมอต่อเรื่องต่าง ๆ ที่น่าสนใจซึ่งคุณอาจนำไปใช้ได้เมื่อคุณบรรยายและสอน. หากคุณพบข่าว, สถิติ, หรือตัวอย่างในหนังสือพิมพ์หรือนิตยสารซึ่งคุณอาจนำไปใช้ในงานรับใช้ได้ จงตัดหรือทำสำเนาข้อมูลนั้นเก็บไว้. จงเก็บวันที่, ชื่อนิตยสาร, และบางทีชื่อผู้เขียนหรือผู้พิมพ์ไว้ด้วย. ณ การประชุมประชาคม จงจดวิธีชักเหตุผลและอุทาหรณ์ที่อาจช่วยคุณอธิบายความจริงแก่คนอื่น ๆ. คุณเคยคิดตัวอย่างดี ๆ ได้แต่ไม่มีโอกาสใช้ในตอนนี้ไหม? จงจดไว้และเก็บในแฟ้ม. หลังจากคุณเข้าร่วมในโรงเรียนการรับใช้ตามระบอบของพระเจ้ามาแล้วระยะหนึ่ง คุณคงได้เตรียมบทพูดหลายเรื่องแล้ว. แทนที่จะทิ้งบันทึกคำบรรยาย จงเก็บไว้. การค้นคว้าที่คุณได้ทำไปอาจเป็นประโยชน์อีกในภายหลัง.
จงสนทนากับผู้คน
ผู้คนเป็นแหล่งข้อมูลที่มีคุณค่า. เมื่อท่านลูกาเรียบเรียงบันทึกกิตติคุณของท่าน เห็นได้ชัดว่าท่านรวบรวมข้อมูลมากมายจากการสัมภาษณ์พยานที่เห็นเหตุการณ์. (ลูกา 1:1-4) บางทีเพื่อนคริสเตียนอาจให้ความสว่างในเรื่องที่คุณกำลังค้นคว้าอยู่. ตามบันทึกที่กล่าวในเอเฟโซ 4:8, 11-16 (ล.ม.) พระคริสต์ทรงใช้ “ของประทานในลักษณะมนุษย์” เพื่อช่วยเราให้ก้าวหน้าใน “ความรู้อันถ่องแท้เกี่ยวกับพระบุตรของพระเจ้า.” การสัมภาษณ์คนที่มีประสบการณ์ในการรับใช้พระเจ้าอาจให้แนวความคิดที่เป็นประโยชน์. นอกจากนั้น การสนทนากับผู้คนอาจเผยให้เห็นสิ่งที่เขาคิดอีกด้วย และสิ่งนี้อาจช่วยคุณเตรียมเนื้อหาที่ใช้ได้ผลจริง ๆ.
จงประเมินผล
หลังจากเก็บเกี่ยวข้าวแล้ว จำต้องคัดเมล็ดข้าวออกจากฟาง. จำต้องทำอย่างเดียวกันนั้นกับผลที่ได้จากการค้นคว้าของคุณ. ก่อนที่จะนำข้อมูลนั้นไปใช้ได้ คุณจำต้องแยกสิ่งที่มีค่าออกจากสิ่งที่เกินความจำเป็น.
หากคุณจะใช้ข้อมูลนั้นในการบรรยาย จงถามตัวเองดังนี้: ‘จุดที่ฉันตั้งใจจะใช้นั้นส่งเสริมหัวเรื่องที่ฉันจะนำเสนอจริง ๆ ไหม? หรือว่า ถึงแม้เป็นข้อมูลที่น่าสนใจก็ตาม แต่ข้อมูลนั้นมีแนวโน้มจะหันเหความสนใจจากเรื่องที่ฉันควรจะพูดไหม?’ หากคุณคิดจะใช้เหตุการณ์หรือเรื่องราวในปัจจุบันด้านวิทยาศาสตร์หรือการแพทย์ที่มีการเปลี่ยนอยู่เสมอ จงทำให้แน่ใจว่าข้อมูลนั้นทันสมัย. จงตระหนักด้วยว่าบางจุดในสรรพหนังสือเล่มเก่า ๆ ของเราอาจมีการปรับข้อมูล ดังนั้น จงคิดถึงหนังสือที่พิมพ์ล่าสุดในเรื่องนั้น.
ถ้าคุณเลือกจะรวบรวมข้อมูลจากแหล่งทางโลก จงระวังเรื่องนี้เป็นพิเศษ. อย่าลืมว่าพระคำของพระเจ้าเป็นความจริง. (โยฮัน 17:17) พระเยซูอยู่ในตำแหน่งที่สำคัญในความสำเร็จของพระประสงค์ของพระเจ้า. ดังนั้น โกโลซาย 2:3 กล่าวดังนี้: “คลังสติปัญญาและความรู้ทุกอย่างทรงปิดซ่อนไว้ในพระองค์นั้น.” จงประเมินผลที่ได้จากการค้นคว้าของคุณจากแง่นี้. เกี่ยวกับการค้นคว้าข้อมูลทางโลก จงถามตัวเองว่า ‘ข้อมูลนี้เกินจริง, เป็นการเดาสุม, หรือมองแค่ผิวเผินไหม? ข้อมูลนั้นเขียนขึ้นด้วยแรงกระตุ้นที่เห็นแก่ตัวหรือทางการค้าไหม? แหล่งอื่น ๆ ที่เชื่อถือได้ยอมรับข้อมูลนั้นไหม? เหนือสิ่งอื่นใด ข้อมูลนั้นสอดคล้องกับความจริงในคัมภีร์ไบเบิลไหม?’
สุภาษิต 2:1-5 สนับสนุนเราให้หาความรู้, ความเข้าใจ, และความสังเกตเข้าใจต่อ ๆ ไป “เหมือนหาเงิน, และ . . . ทรัพย์ที่ซ่อนอยู่.” นั่นชี้เป็นนัยถึงทั้งการใช้ความพยายามอย่างเต็มที่และผลตอบแทนที่อุดม. การค้นคว้าต้องใช้ความพยายาม แต่การทำเช่นนั้นจะช่วยคุณพบความคิดของพระเจ้าในเรื่องต่าง ๆ, ช่วยแก้ความคิดที่ผิด ๆ, และทำให้คุณยึดความจริงไว้มั่น. การค้นคว้ายังจะทำให้การพูดของคุณมีเนื้อหาสาระและมีชีวิตชีวามากขึ้นซึ่งทำให้เกิดความพอใจยินดีทั้งในการถ่ายทอดและในการรับฟัง.
-