ตอนที่ 3
แหล่งแห่งสติปัญญาล้ำเลิศอันหาที่เปรียบไม่ได้
1, 2. ทำไมเราควรตรวจสอบคัมภีร์ไบเบิล?
คัมภีร์ไบเบิลเป็นบันทึกเกี่ยวกับสติปัญญาอันสูงส่งนั้นไหม? คัมภีร์ไบเบิลจะให้คำตอบอันแท้จริงต่อปัญหาสำคัญอันเกี่ยวกับจุดมุ่งหมายของชีวิตแก่เราได้ไหม?
2 คัมภีร์ไบเบิลมีค่าคู่ควรแก่การที่เราจะตรวจสอบอย่างแน่นอน. เหตุผลประการหนึ่งคือว่า คัมภีร์ไบเบิลเป็นหนังสือพิเศษสุดเท่าที่เคยรวบรวมขึ้นมา ต่างกันมากจากหนังสืออื่น ๆ. ขอให้พิจารณาข้อเท็จจริงต่อไปนี้.
หนังสือเก่าแก่ที่สุด มีการจำหน่ายกว้างขวางที่สุด
3, 4. คัมภีร์ไบเบิลเก่าแก่แค่ไหน?
3 คัมภีร์ไบเบิลเป็นหนังสือเก่าแก่ที่สุดเท่าที่มีการเขียนขึ้น บางส่วนของคัมภีร์ไบเบิลมีการเรียบเรียงขึ้นประมาณ 3,500 ปีมาแล้ว. คัมภีร์ไบเบิลเก่าแก่กว่าหนังสืออื่นที่มีการถือกันว่าศักดิ์สิทธิ์ถึงหลายศตวรรษทีเดียว. พระธรรมเล่มแรกของ 66 เล่มที่มีอยู่ในคัมภีร์ไบเบิลนั้นถูกจารึกเมื่อประมาณหนึ่งพันปีก่อนพระพุทธและขงจื๊อและราวสองพันปีก่อนมะหะหมัด.
4 บันทึกทางประวัติศาสตร์ในคัมภีร์ไบเบิลย้อนหลังไปถึงตอนเริ่มต้นของครอบครัวมนุษย์และชี้แจงว่าเรามาอยู่บนแผ่นดินโลกนี้อย่างไร. คัมภีร์ไบเบิลนำเราไปถึงกระทั่งสมัยก่อนที่มนุษย์ถูกสร้างขึ้นด้วยซ้ำ โดยให้เรารู้ข้อเท็จจริงเกี่ยวกับการเตรียมแผ่นดินโลก.
5. สำเนาต้นฉบับคัมภีร์ไบเบิลมีอยู่มากเท่าไร เมื่อเทียบกับข้อเขียนโบราณอื่น ๆ?
5 หนังสืออื่นทั้งทางศาสนาและที่ไม่ใช่ทางศาสนาด้วย มีสำเนาต้นฉบับเก่าแก่เหลืออยู่ไม่กี่เล่ม. แต่สำเนาที่เขียนด้วยมือของคัมภีร์ไบเบิลหรือบางส่วนประมาณ 13,000 ฉบับยังคงอยู่ทั้งในภาษาฮีบรูและภาษากรีก ซึ่งบางฉบับอยู่ในสมัยใกล้เคียงกับสมัยที่มีการจารึกต้นฉบับมาก. สำเนาเหล่านั้นหลงเหลืออยู่แม้เคยมีการพยายามมุ่งโจมตีเท่าที่จะคิดออกได้เพื่อทำลายคัมภีร์ไบเบิล.
6. มีการจำหน่ายคัมภีร์ไบเบิลออกไปกว้างขวางเพียงใด?
6 อีกประการหนึ่ง คัมภีร์ไบเบิลเป็นหนังสือที่มีการจำหน่ายกว้างขวางที่สุดในประวัติศาสตร์. มีการจำหน่ายจ่ายแจกคัมภีร์ไบเบิลหรือบางส่วนของคัมภีร์ไบเบิลไปแล้วประมาณสามพันล้านเล่มในราว ๆ สองพันภาษา. กล่าวกันว่า 98 เปอร์เซ็นต์ของครอบครัวมนุษย์จะหาอ่านคัมภีร์ไบเบิลได้ในภาษาของเขาเอง. ไม่มีหนังสืออื่นใดมีการพิมพ์จำหน่ายมากพอจะเทียบเคียงเลย.
7. จะกล่าวถึงความถูกต้องแม่นยำของคัมภีร์ไบเบิลได้อย่างไร?
7 นอกจากนี้ ไม่มีหนังสือเก่าแก่อื่นใดจะเทียบกับคัมภีร์ไบเบิลได้ในเรื่องความถูกต้องแม่นยำ. พวกนักวิทยาศาสตร์, นักประวัติศาสตร์, นักโบราณคดี, นักภูมิศาสตร์, ผู้เชี่ยวชาญด้านภาษา, และอื่น ๆ ต่างก็ยืนยันความจริงของบันทึกเรื่องราวในคัมภีร์ไบเบิลเสมอมา.
ความถูกต้องแม่นยำทางวิทยาศาสตร์
8. คัมภีร์ไบเบิลถูกต้องแม่นยำเพียงไรในเรื่องทางวิทยาศาสตร์?
8 ยกตัวอย่าง ถึงแม้คัมภีร์ไบเบิลไม่ได้ถูกเขียนขึ้นเพื่อเป็นตำราวิทยาศาสตร์ คัมภีร์ไบเบิลก็สอดคล้องกับวิทยาศาสตร์แท้เมื่อกล่าวถึงเรื่องราวทางวิทยาศาสตร์. แต่หนังสือโบราณอื่น ๆ ซึ่งได้รับการถือว่าเป็นหนังสือศักดิ์สิทธิ์นั้นมีเรื่องเทพนิยายวิทยาศาสตร์, เรื่องผิด ๆ, และการโกหกหลอกลวงโดยตรง. ขอให้สังเกตเพียงสี่ประการของตัวอย่างมากมายในเรื่องความถูกต้องแม่นยำทางวิทยาศาสตร์ของคัมภีร์ไบเบิล:
9, 10. แทนการสะท้อนถึงแง่คิดที่ไม่เป็นตามวิทยาศาสตร์ในสมัยที่มีการจารึกนั้น คัมภีร์ไบเบิลกล่าวอย่างไรถึงสิ่งที่หนุนโลกอยู่?
9 วิธีที่โลกถูกแขวนไว้ในที่ว่างเปล่า. ในสมัยโบราณคราวที่มีการจารึกคัมภีร์ไบเบิล มีการครุ่นคิดกันมากมายในเรื่องที่ว่าโลกถูกแขวนไว้อย่างไรในที่ว่างเปล่า. บางคนเชื่อว่าช้างสี่ตัวยืนบนหลังเต่าทะเลมหึมาหนุนโลกไว้. อริสโตเติล นักปรัชญาและนักวิทยาศาสตร์ชาวกรีกแห่งศตวรรษที่สี่ก่อนสากลศักราชสอนว่าโลกไม่มีวันลอยได้ในที่ว่างเปล่า. ตรงกันข้าม เขาสอนว่าเทห์ฟากฟ้าถูกติดไว้กับพื้นผิวของทรงกลมที่แข็งและโปร่งใส พร้อมด้วยแต่ละทรงกลมอยู่ภายในอีกทรงกลมหนึ่ง คาดกันว่าโลกอยู่บนทรงกลมในสุด ส่วนดวงดาวต่าง ๆ นั้นอยู่บนทรงกลมนอกสุด.
10 แต่แทนที่จะสะท้อนแง่คิดอันเหลวไหลและไม่เป็นไปตามหลักวิทยาศาสตร์ที่มีอยู่ในสมัยซึ่งมีการจารึกนั้น คัมภีร์ไบเบิลกล่าว (ประมาณในปี 1473 ก่อน ส.ศ.) ง่าย ๆ ว่า “[พระเจ้า] ทรงแขวนแผ่นดินโลกไว้บนความว่างเปล่า.” (โยบ 26:7, ล.ม.) ในภาษาฮีบรูดั้งเดิม คำที่ถูกแปลเป็น “ความว่างเปล่า” ในที่นี้หมายถึง “ไม่มีอะไรเลย” และนี่เป็นเพียงครั้งเดียวเท่านั้นที่คำนี้ปรากฏในคัมภีร์ไบเบิล. การที่คัมภีร์ไบเบิลให้ภาพของโลกที่ล้อมรอบด้วยที่เวิ้งว้างว่างเปล่านั้นเป็นที่ยอมรับโดยเหล่านักวิชาการว่าเป็นการเห็นล่วงหน้าที่น่าทึ่งสำหรับสมัยที่มีการจารึกคัมภีร์ไบเบิล. พจนานุกรมทางเทววิทยาแห่งพระคัมภีร์เดิม (ภาษาอังกฤษ) กล่าวว่า “โยบ 26:7 ให้ภาพโลกที่รู้จักกันในสมัยนั้นอย่างน่าตื่นตะลึงว่าแขวนลอยอยู่ในที่ว่าง ด้วยเหตุนั้น จึงเป็นการรู้ล่วงหน้าถึงการค้นพบทางวิทยาศาสตร์ในอนาคต.”
11, 12. เมื่อไรที่มนุษย์มาเข้าใจความจริงของโยบ 26:7?
11 ถ้อยคำอันถูกต้องของคัมภีร์ไบเบิลเร็วกว่าอริสโตเติลกว่า 1,100 ปี. กระนั้น แง่คิดของอริสโตเติลยังคงมีการสอนว่าเป็นข้อเท็จจริงเป็นเวลาประมาณ 2,000 ปีหลังจากเขาสิ้นชีวิต! ในที่สุด ในปีสากลศักราช 1687 เซอร์ไอแซ็ก นิวตัน ได้ตีพิมพ์การค้นพบของเขาที่ว่าโลกถูกแขวนอยู่ในที่ว่างให้สัมพันธ์กับวัตถุอื่น ๆ ในท้องฟ้าโดยมีแรงดึงดูดต่อกันและกัน นั่นคือความถ่วง. แต่นั่นเป็นเวลาเกือบ 3,200 ปีหลังจากที่คัมภีร์ไบเบิลได้แถลงไว้อย่างเรียบง่ายและงดงามว่าโลกแขวนไว้ “บนความว่างเปล่า.”
12 ใช่แล้ว เกือบ 3,500 ปีมาแล้ว คัมภีร์ไบเบิลอธิบายอย่างถูกต้องว่าโลกไม่มีอะไรที่เห็นได้หนุนอยู่เลย เป็นข้อเท็จจริงที่สอดคล้องกับกฎแห่งความถ่วงและการเคลื่อนที่ซึ่งเข้าใจกันเมื่อไม่นานมานี้. นักวิชาการคนหนึ่งกล่าวว่า “พวกที่ไม่ยอมรับว่าพระคัมภีร์ศักดิ์สิทธิ์เป็นมาโดยการดลบันดาลนั้นคงลำบากที่จะตอบคำถามที่ว่าโยบรู้ความจริงข้อนี้ได้อย่างไร.”
13. ผู้คนถือว่าแผ่นดินโลกมีสัณฐานเช่นไรเมื่อหลายศตวรรษมาแล้ว แต่อะไรที่เปลี่ยนความคิดของเขา?
13 สัณฐานของโลก. สารานุกรมอเมริกานา บอกว่า “ความคิดแรก ๆ ที่คนเราเคยมีเกี่ยวกับโลกนั้นคือ โลกเป็นแผ่นแบนแข็งแกร่งอยู่ที่ศูนย์กลางเอกภพ. . . . แนวความคิดที่ว่าโลกมีสัณฐานกลมนั้นไม่เป็นที่ยอมรับกันอย่างกว้างขวางจนกระทั่งศตวรรษที่ 14 ถึง 16.” พวกนักเดินเรือบางคนกลัวกระทั่งว่าเขาอาจแล่นเรือตกขอบโลกที่แบนนี้ลงไป. แต่แล้วการนำเอาเข็มทิศและวิธีการที่ก้าวหน้าอื่น ๆ มาใช้จึงทำให้การเดินเรือในทะเลไปได้ไกลกว่าเดิม. สารานุกรมอีกเล่มหนึ่งอธิบายว่า “การเดินเรือเพื่อค้นหาดินแดนใหม่แสดงให้เห็นว่าโลกกลม ไม่ใช่แบนอย่างที่ผู้คนส่วนมากเคยเชื่อกัน.”
14. คัมภีร์ไบเบิลพรรณนาถึงสัณฐานของโลกอย่างไร และเมื่อไร?
14 กระนั้น นานก่อนการเดินเรือดังกล่าว ประมาณ 2,700 ปีมาแล้ว คัมภีร์ไบเบิลแถลงว่า “มีผู้หนึ่งซึ่งประทับเหนือวงกลมแห่งแผ่นดินโลก.” (ยะซายา 40:22, ล.ม.) คำภาษาฮีบรูที่ถูกแปลว่า “วงกลม” ในข้อนี้อาจแปลว่า “รูปทรงกลม” ได้ด้วย ดังที่หนังสืออ้างอิงหลายเล่มอธิบาย. ฉะนั้น คัมภีร์ไบเบิลฉบับแปลอื่น ๆ จึงบอกว่า “ลูกโลก” (ดูเอย์เวอร์ชัน) และ “โลกกลม.”—มอฟฟัตต์.
15. ทำไมคัมภีร์ไบเบิลไม่ถูกชักนำด้วยแง่คิดเกี่ยวกับโลกที่ไม่เป็นไปตามวิทยาศาสตร์?
15 เพราะฉะนั้น คัมภีร์ไบเบิลไม่ได้ถูกชักจูงด้วยแง่คิดที่ไม่เป็นไปตามวิทยาศาสตร์ซึ่งแพร่หลายในสมัยนั้นในเรื่องสิ่งที่หนุนโลกและสัณฐานของโลก. เหตุผลง่าย ๆ คือ: ผู้ประพันธ์คัมภีร์ไบเบิลก็คือผู้สร้างสรรค์เอกภพนั่นเอง. พระองค์ทรงสร้างแผ่นดินโลก ดังนั้น พระองค์จึงทรงทราบว่าโลกแขวนอยู่กับอะไรและโลกมีสัณฐานอย่างไร. ฉะนั้น เมื่อพระองค์ทรงดลบันดาลคัมภีร์ไบเบิล พระองค์ทรงดูแลไม่ให้มีการปนแง่คิดที่ไม่เป็นไปตามวิทยาศาสตร์เข้าไปด้วย ไม่ว่าแง่คิดเหล่านั้นมีคนอื่น ๆ เชื่อกันมากมายแค่ไหนก็ตามในสมัยนั้น.
16. ส่วนประกอบของสิ่งมีชีวิตลงรอยอย่างไรกับคำกล่าวในคัมภีร์ไบเบิล?
16 ส่วนประกอบของสิ่งมีชีวิต. พระธรรมเยเนซิศ 2:7 แถลงว่า “พระยะโฮวาได้ทรงสร้างมนุษย์ด้วยผงคลีดิน.” สารานุกรมเวิลด์บุก กล่าวว่า “องค์ประกอบสำคัญทางเคมีซึ่งประกอบกันขึ้นเป็นสิ่งมีชีวิตก็มีอยู่ในสิ่งไม่มีชีวิตเหมือนกัน.” ดังนั้น สารเคมีทุกอย่างที่ประกอบขึ้นเป็นร่างของสิ่งมีชีวิต รวมถึงมนุษย์ด้วย จะพบในแผ่นดินโลกด้วยเช่นกัน. เรื่องนี้ประสานกับคำแถลงในคัมภีร์ไบเบิลซึ่งระบุวัสดุที่พระเจ้าทรงใช้ในการสร้างมนุษย์และสิ่งมีชีวิตอื่น ๆ.
17. อะไรคือความจริงในเรื่องวิธีที่สิ่งมีชีวิตเกิดขึ้นมา?
17 “ตามชนิดของมัน.” คัมภีร์ไบเบิลแถลงว่าพระเจ้าทรงสร้างมนุษย์คู่แรก และว่าจากพวกเขา มนุษย์คนอื่น ๆ จึงได้สืบเชื้อสายต่อมา. (เยเนซิศ 1:26-28; 3:20) คัมภีร์ไบเบิลกล่าวว่าสิ่งมีชีวิตอื่น ๆ เช่น ปลา, นก, และสัตว์เลี้ยงลูกด้วยนม ก็เป็นเช่นเดียวกัน คือเกิดมา “ตามชนิดของมัน.” (เยเนซิศ 1:11, 12, 21, 24, 25)นี่ก็คือสิ่งที่พวกนักวิทยาศาสตร์ได้พบในสิ่งทรงสร้างในธรรมชาติ คือว่าสิ่งมีชีวิตทุกชนิดเกิดจากพ่อแม่ชนิดเดียวกัน. ไม่มีข้อยกเว้น. เกี่ยวกับเรื่องนี้ นักฟิสิกส์ชื่อเรย์โมกล่าวว่า “ชีวิตสร้างชีวิต สิ่งนี้เกิดขึ้นทุกเวลาในทุกเซลล์. แต่สิ่งไม่มีชีวิตสร้างชีวิตอย่างไร? นี่คือปัญหาใหญ่ที่สุดข้อหนึ่งที่หาคำตอบไม่ได้ในชีววิทยา และจนบัดนี้ นักชีววิทยาก็ให้ได้แค่การเดาส่งเดชเท่านั้น. ด้วยวิธีการบางอย่าง สิ่งไม่มีชีวิตได้จัดการเพื่อทำให้ตนเองเป็นระเบียบด้วยวิธีของสิ่งมีชีวิต. . . . แต่ในที่สุด ผู้ประพันธ์เยเนซิศอาจได้กล่าวไว้อย่างถูกต้องก็ได้.”
ความถูกต้องแม่นยำทางประวัติศาสตร์
18. นักกฎหมายคนหนึ่งกล่าวอย่างไรเกี่ยวกับความถูกต้องแม่นยำทางประวัติศาสตร์ของคัมภีร์ไบเบิล?
18 คัมภีร์ไบเบิลมีประวัติศาสตร์โบราณที่ถูกต้องแม่นยำที่สุดในบรรดาหนังสือที่มีอยู่. หนังสือนักกฎหมายตรวจสอบคัมภีร์ไบเบิล (ภาษาอังกฤษ) ทำให้ความถูกต้องแม่นยำทางประวัติศาสตร์ของคัมภีร์ไบเบิลเด่นชัดดังนี้: “ขณะที่เรื่องนวนิยาย, ตำนาน, และคำพยานที่ไม่จริงนั้นระมัดระวังในการจัดเหตุการณ์ที่เกี่ยวข้องนั้นอยู่ในสถานที่บางแห่งอันห่างไกลและเวลาที่ไม่แน่ชัด ดังนั้น จึงเป็นการละเมิดกฎข้อแรกที่พวกเราซึ่งเป็นนักกฎหมายเรียนรู้มาในการแก้คดีความอย่างถูกต้อง ที่ว่า ‘คำแถลงต้องบอกเวลาและสถานที่’ ข้อความบรรยายในคัมภีร์ไบเบิลบอกเราถึงวันเวลาและสถานที่ของเรื่องราวที่เกี่ยวข้องด้วยความแม่นยำที่สุด.”
19. แหล่งหนึ่งให้ความเห็นอย่างไรเกี่ยวกับรายละเอียดทางประวัติศาสตร์ในคัมภีร์ไบเบิล?
19 พจนานุกรมใหม่เกี่ยวกับไบเบิล ให้ความเห็นว่า “[ผู้เขียนพระธรรมกิจการ] จัดเนื้อความของเขาไว้ในโครงเรื่องของประวัติศาสตร์ในสมัยเดียวกัน บันทึกของเขาเต็มไปด้วยข้อความอ้างอิงถึงเจ้าครองนคร, ผู้สำเร็จราชการมณฑล, กษัตริย์ประเทศราช, และสิ่งต่าง ๆ ในทำนองนี้ และครั้งแล้วครั้งเล่าข้ออ้างอิงเหล่านี้ก็ปรากฏว่าถูกต้องสำหรับสถานที่และสมัยที่เกี่ยวข้อง.”
20, 21. ผู้คงแก่เรียนด้านคัมภีร์ไบเบิลคนหนึ่งกล่าวอย่างไรเกี่ยวกับประวัติศาสตร์ในคัมภีร์ไบเบิล?
20 เอส. ออสติน อัลลิโบน กล่าวไว้ในเดอะ ยูเนียน ไบเบิล คอมแพนยัน ว่า “เซอร์ไอแซ็ก นิวตัน . . . ก็มีชื่อเสียงเด่นในฐานะนักวิจารณ์ข้อเขียนสมัยโบราณด้วยเช่นกัน และได้ตรวจสอบพระคัมภีร์บริสุทธิ์ด้วยความระมัดระวังอย่างยิ่ง. เขามีความเห็นอย่างไรในจุดนี้? เขาบอกว่า ‘ข้าพเจ้าพบลักษณะต่าง ๆ ที่ทำให้แน่ใจเกี่ยวกับความน่าเชื่อถือในพระคัมภีร์ใหม่มากกว่าในประวัติศาสตร์ทางโลกไม่ว่าเล่มใดก็ตาม.’ ดร. จอห์นสัน กล่าวว่าเรามีหลักฐานว่าพระเยซูคริสต์สิ้นพระชนม์ ณ โฆละโฆธาใกล้กรุงยะรูซาเลมดังที่มีกล่าวไว้ในกิตติคุณ มากกว่าหลักฐานที่ว่าจูเลียสซีซาร์ตายในรัฐสภาเสียอีก. อันที่จริง เรามีหลักฐานมากกว่าอย่างเทียบไม่ได้.”
21 แหล่งข้อมูลนี้บอกเพิ่มอีกว่า “ลองถามใครสักคนที่อ้างว่าสงสัยความจริงแห่งประวัติศาสตร์ในกิตติคุณว่าเขามีเหตุผลอะไรที่เชื่อว่าซีซาร์ตายในรัฐสภา หรือเชื่อว่าจักรพรรดิชาร์เลเมนถูกสันตะปาปาเลโอที่ 3 สถาปนาเป็นจักรพรรดิในปี 800? . . . คุณทราบอย่างไรว่าคนอย่างชาร์ลที่ 1 [แห่งอังกฤษ] เคยมีชีวิต และถูกตัดศีรษะ และโอลิเวอร์ ครอมเวลล์กลายเป็นผู้ปกครองแทนเขา? . . . เซอร์ไอแซ็ก นิวตันมีชื่อเสียงด้วยการที่ได้ค้นพบกฎแห่งความถ่วง . . . เราเชื่อข้อยืนยันที่เพิ่งกล่าวไปเกี่ยวกับคนเหล่านั้น และนั่นเป็นเพราะเรามีหลักฐานทางประวัติศาสตร์เกี่ยวกับความจริงของเขา. . . . หากในเมื่อมีการเสนอข้อพิสูจน์อย่างนี้แล้ว ยังมีใครไม่ยอมเชื่อ เราก็ปล่อยเขาให้ดันทุรังอย่างโง่เง่าหรือโฉดเฉาจนไม่มีทางแก้ไขไปเถิด.”
22. ทำไมบางคนไม่ยอมรับความน่าเชื่อถือของคัมภีร์ไบเบิล?
22 แล้วแหล่งข้อมูลนี้สรุปว่า “ถ้าเช่นนั้น เราจะกล่าวเช่นไรกับคนที่ยังแสดงตัวเป็นคนไม่ยอมรับรู้ ถึงแม้จะมีการเสนอหลักฐานมากมายในขณะนี้เกี่ยวกับความน่าเชื่อถือของพระคัมภีร์บริสุทธิ์? . . . เราคงมีเหตุผลแน่นอนที่จะลงความเห็นว่านั่นเป็นเพราะหัวใจไม่ใช่หัวคิดซึ่งผิดไป—คือว่าเขาไม่ต้องการจะเชื่อในสิ่งที่ทำให้เขาต้องลดความเย่อหยิ่งและจะบังคับเขาให้ดำเนินชีวิตในแบบที่ต่างออกไป.”
ความสอดคล้องกันภายในและความตรงไปตรงมา
23, 24. เหตุใดความสอดคล้องกันในคัมภีร์ไบเบิลเป็นเรื่องผิดปกติ?
23 ลองนึกดูว่าหนังสือเล่มหนึ่งเริ่มมีการเขียนขึ้นในช่วงที่จักรภพโรมันเรืองอำนาจ ต่อเนื่องมาจนถึงยุคกลาง และเสร็จสิ้นในศตวรรษที่ 20 นี้ โดยมีผู้เขียนหลายคนที่แตกต่างกันช่วยกันเขียน. คุณจะคาดหมายผลอย่างไรถ้าผู้เขียนมีอาชีพหลายหลากต่าง ๆ กัน เช่น ทหาร, กษัตริย์, ปุโรหิต, ชาวประมง, คนเลี้ยงสัตว์, และแพทย์? คุณจะคาดหมายให้หนังสือนั้นมีความสอดคล้องและสัมพันธ์กันไหม? คุณอาจบอกว่า ‘ไม่น่าเป็นไปได้!’ แต่คัมภีร์ไบเบิลถูกจารึกขึ้นภายใต้สภาพการณ์เหล่านั้นแหละ. กระนั้น คัมภีร์ไบเบิลมีความสอดคล้องกันโดยตลอด ไม่ใช่เพียงในแนวความคิดทั้งสิ้นเท่านั้น แต่ในรายละเอียดเล็ก ๆ น้อย ๆ ด้วย.
24 คัมภีร์ไบเบิลเป็นการรวบรวมหนังสือ 66 เล่มเข้าด้วยกันซึ่งได้รับการจารึกในช่วงเวลากว่า 1,600 ปี โดยผู้จารึกประมาณ 40 คนที่แตกต่างกัน โดยเริ่มจารึกในปี 1513 ก่อน สากลศักราช และเสร็จในปี 98 สากลศักราช. เหล่าผู้จารึกมาจากพื้นเพที่แตกต่างกันและมีหลายคนที่ไม่มีการติดต่อกับคนอื่น ๆ เลย. กระนั้น หนังสืออันเป็นผลงานที่เกิดขึ้นนี้ต่างก็ติดตามสาระสำคัญที่สัมพันธ์กันโดยตลอด ราวกับเป็นผลผลิตของบุคคลเดียว. และตรงข้ามกับที่บางคนเชื่อ คัมภีร์ไบเบิลไม่ใช่ผลงานของอารยธรรมตะวันตก แต่ได้รับการจารึกโดยคนตะวันออก.
25. ความซื่อตรงและความตรงไปตรงมาของคัมภีร์ไบเบิลสนับสนุนข้ออ้างอะไรของผู้จารึกคัมภีร์ไบเบิล?
25 ขณะที่นักเขียนในสมัยโบราณส่วนใหญ่ต่างรายงานเฉพาะความสำเร็จและความดีของตนเองเท่านั้น ผู้จารึกคัมภีร์ไบเบิลยอมรับความผิดพลาดของตนอย่างเปิดเผย เช่นเดียวกับความล้มเหลวของกษัตริย์และผู้นำของเขา. อาฤธโม 20:1-13 และพระบัญญัติ 32:50-52 บันทึกความบกพร่องของโมเซ และท่านเองที่จารึกพระธรรมสองเล่มนี้. โยนา 1:1-3 และ 4:1 บอกถึงความบกพร่องของโยนาซึ่งเขียนเรื่องราวเหล่านั้น. มัดธาย 17:18-20; 18:1-6; 20:20-28; และ 26:56 บันทึกถึงลักษณะที่อ่อนแอต่าง ๆ ที่เหล่าสาวกของพระเยซูแสดงให้เห็น. ด้วยเหตุนั้น ความซื่อสัตย์และความตรงไปตรงมาของผู้จารึกคัมภีร์ไบเบิลจึงให้การสนับสนุนต่อข้ออ้างที่ว่าได้รับการดลใจจากพระเจ้า.
ลักษณะเด่นที่สุดของคัมภีร์ไบเบิล
26, 27. ทำไมคัมภีร์ไบเบิลจึงถูกต้องแม่นยำนักในด้านวิทยาศาสตร์และในเรื่องอื่น ๆ?
26 คัมภีร์ไบเบิลเองเผยให้เห็นถึงสาเหตุที่คัมภีร์ไบเบิลมีความถูกต้องแม่นยำในด้านวิทยาศาสตร์, ประวัติศาสตร์, และในเรื่องอื่น และสาเหตุที่คัมภีร์ไบเบิลมีความสอดคล้องและซื่อตรงอย่างยิ่ง. คัมภีร์ไบเบิลแสดงว่าพระผู้สูงสุด พระเจ้าองค์ทรงฤทธานุภาพทุกประการ พระผู้สร้างซึ่งสร้างสรรค์เอกภพ ทรงเป็นผู้ประพันธ์คัมภีร์ไบเบิล. พระองค์เพียงแต่ใช้ผู้จารึกคัมภีร์ไบเบิลที่เป็นมนุษย์ให้เป็นผู้เขียนของพระองค์ ทรงกระตุ้นเขาด้วยพลังปฏิบัติการของพระองค์ให้เขียนสิ่งที่พระองค์ทรงดลใจให้เขียน.
27 เปาโลกล่าวไว้ในคัมภีร์ไบเบิลว่า “พระคัมภีร์ทุกตอนได้รับการดลบันดาลจากพระเจ้าและเป็นประโยชน์เพื่อการสั่งสอน เพื่อการว่ากล่าว เพื่อจัดการเรื่องราวให้เรียบร้อย เพื่อตีสอนด้วยความชอบธรรม เพื่อคนของพระเจ้าจะเป็นผู้ที่มีคุณสมบัติครบถ้วน เตรียมพร้อมสำหรับการดีทุกอย่าง.” และอัครสาวกเปาโลกล่าวอีกด้วยว่า “เมื่อท่านทั้งหลายได้รับคำของพระเจ้าซึ่งท่านได้ยินจากเรา ท่านไม่ได้รับไว้อย่างเป็นคำของมนุษย์ แต่ได้รับไว้อย่างเป็นคำของพระเจ้า แล้วก็เป็นคำอย่างนั้นจริง ๆ ด้วย.”—2 ติโมเธียว 3:16, 17, (ล.ม.); 1 เธซะโลนิเก 2:13.
28. ถ้าเช่นนั้น คัมภีร์ไบเบิลมาจากไหน?
28 เหตุฉะนั้น คัมภีร์ไบเบิลจึงมาจากความคิดของผู้ประพันธ์ผู้เดียว—คือพระเจ้า. และด้วยพลังอันน่าเกรงขามของพระองค์ จึงเป็นเรื่องง่ายที่พระองค์จะทรงทำให้แน่นอนว่าความซื่อตรงของสิ่งที่มีการจารึกไว้นั้นได้รับการรักษาไว้ต่อมาจนถึงสมัยของเรา. เกี่ยวกับเรื่องนี้ เซอร์เฟรเดอริก เคนยอน นักวิชาการชั้นนำด้านสำเนาต้นฉบับคัมภีร์ไบเบิล กล่าวไว้เมื่อปี 1940 ว่า “สาเหตุสุดท้ายที่ทำให้มีข้อสงสัยว่าพระคัมภีร์ตกทอดมาถึงเราตรงต้นฉบับเดิมนั้น บัดนี้ถูกขจัดออกไปแล้ว.”
29. อาจยกตัวอย่างอธิบายอย่างไรถึงพระปรีชาสามารถของพระเจ้าในการติดต่อสื่อสาร?
29 มนุษย์มีความสามารถส่งสัญญาณวิทยุและโทรทัศน์มายังแผ่นดินโลกได้จากที่ห่างไกลเป็นพัน ๆ กิโลเมตรในอวกาศ กระทั่งจากดวงจันทร์ด้วยซ้ำ. ยานสำรวจอวกาศได้ส่งข้อมูลและภาพจริงจากดาวเคราะห์ที่ห่างออกไปนับล้าน ๆ กิโลเมตรกลับมายังแผ่นดินโลก. เป็นที่แน่นอนว่าพระผู้สร้างของมนุษย์ พระผู้สร้างคลื่นวิทยุ จะทรงทำได้ยิ่งกว่านั้นมากนัก. จริง ๆ แล้ว นั่นเป็นเรื่องง่ายที่พระองค์จะทรงใช้ฤทธานุภาพใหญ่ยิ่งของพระองค์เพื่อส่งถ้อยคำและภาพสู่จิตใจของคนเหล่านั้นที่พระองค์ทรงเลือกให้บันทึกคัมภีร์ไบเบิล.
30. พระเจ้าทรงประสงค์ให้มนุษย์ค้นหาไหมว่าพระองค์ทรงมีพระประสงค์อะไรสำหรับเขา?
30 ยิ่งกว่านั้น มีมากมายหลายสิ่งเกี่ยวกับแผ่นดินโลกนี้และชีวิตบนแผ่นดินโลกซึ่งให้หลักฐานเกี่ยวกับการที่พระเจ้าทรงสนพระทัยในมนุษยชาติ. ฉะนั้น จึงเป็นที่เข้าใจได้ว่าพระองค์ทรงประสงค์จะช่วยมนุษย์ให้ค้นหาว่าพระองค์คือผู้ใดและพระองค์ทรงมีพระประสงค์อะไรสำหรับเขาโดยการแสดงสิ่งเหล่านี้อย่างชัดเจนในหนังสือเล่มหนึ่ง—เอกสารที่คงทนถาวรฉบับหนึ่ง.
31. เพราะเหตุใดข่าวสารที่ได้รับการดลใจซึ่งมีบันทึกไว้จึงเหนือกว่าข้อมูลที่มีการถ่ายทอดสืบต่อมาโดยการบอกเล่ามากนัก?
31 ขอให้พิจารณาอีกสิ่งหนึ่งด้วย คือความเหนือกว่าของหนังสือที่พระเจ้าทรงประพันธ์ เทียบกับความรู้ที่มนุษย์ถ่ายทอดสืบต่อมาโดยการบอกเล่า. ถ้อยคำที่บอกเล่าต่อกันมาคงไม่อาจไว้วางใจได้ เนื่องจากผู้คนคงจะถอดความข่าวสาร และเมื่อเวลาผ่านไป ความหมายของข่าวสารคงถูกบิดเบือน. พวกเขาจะส่งผ่านความรู้โดยคำบอกกล่าวตามแง่คิดของเขาเอง. แต่บันทึกเรื่องราวอันถาวรที่พระเจ้าทรงดลใจนั้นคงไม่มีข้อผิดพลาด. นอกจากนั้น หนังสือเล่มหนึ่งอาจมีการผลิตขึ้นใหม่และแปลได้เพื่อผู้คนที่อ่านภาษาอื่น ๆ จะได้ประโยชน์จากหนังสือนั้นได้. ดังนั้น จึงมีเหตุผลมิใช่หรือที่พระผู้สร้างของเราใช้วิธีการเช่นนั้นเพื่อจัดให้มีความรู้? แท้จริง นั่นเป็นเรื่องที่ยิ่งกว่าชอบด้วยเหตุผลอีก เนื่องจากพระผู้สร้างตรัสว่านั่นคือสิ่งที่พระองค์ทรงกระทำ.
คำพยากรณ์ที่สำเร็จเป็นจริงแล้ว
32-34. คัมภีร์ไบเบิลมีสิ่งใดซึ่งหนังสือเล่มอื่นไม่มี?
32 นอกจากนั้น คัมภีร์ไบเบิลมีเครื่องหมายแห่งการได้รับการดลบันดาลจากพระเจ้าด้วยวิธีที่โดดเด่นหาที่เปรียบไม่ได้: คัมภีร์ไบเบิลเป็นหนังสือแห่งคำพยากรณ์ซึ่งเคยมีและยังคงมีความสำเร็จเป็นจริงที่ไม่ผิดพลาดอยู่เรื่อย ๆ.
33 ตัวอย่างเช่น พินาศกรรมของเมืองตุโรโบราณ, ความล่มจมของกรุงบาบูโลน, การสร้างกรุงยะรูซาเลมขึ้นใหม่, และการขึ้นสู่อำนาจและความล่มจมแห่งกษัตริย์ทั้งหลายของเมโด-เปอร์เซียและกรีซ ก็ได้มีบอกไว้ล่วงหน้าด้วยรายละเอียดมากมายในคัมภีร์ไบเบิล. คำพยากรณ์ต่าง ๆ ถูกต้องแม่นยำจนนักวิจารณ์บางคนพยายามจะบอกว่าคำพยากรณ์เหล่านั้นถูกเขียนขึ้นภายหลังเหตุการณ์เหล่านั้นเกิดขึ้นแล้ว แต่เขาต้องประสบความล้มเหลว.—ยะซายา 13:17-19; 44:27–45:1; ยะเอศเคล 26:3-6; ดานิเอล 8:1-7, 20-22.
34 คำพยากรณ์ที่พระเยซูทรงประทานให้อันเกี่ยวกับความพินาศของกรุงยะรูซาเลมในปีสากลศักราช 70 นั้นได้สำเร็จเป็นจริงอย่างแม่นยำ. (ลูกา 19:41-44; 21:20, 21) และคำพยากรณ์เรื่อง “คราวที่สุด” ที่พระเยซูและเปาโลได้ให้ไว้ก็กำลังสำเร็จเป็นจริงอย่างละเอียดในสมัยของเรานี้.—2 ติโมเธียว 3:1-5, 13; มัดธาย 24; มาระโก 13; ลูกา 21.
35. เพราะอะไรคำพยากรณ์ในคัมภีร์ไบเบิลจึงมีมาได้เฉพาะแต่จากพระผู้สร้างเท่านั้น?
35 ไม่มีมนุษย์คนใด ไม่ว่าจะชาญฉลาดเพียงใดก็ตาม อาจบอกล่วงหน้าถึงเหตุการณ์อนาคตได้อย่างแม่นยำ. เฉพาะแต่พระผู้สร้างเอกภพผู้ทรงฤทธิ์ทั้งสิ้นและทรงพระปรีชาสามารถทุกประการเท่านั้นที่ทำเช่นนั้นได้ ดังที่เราอ่านที่ 2 เปโตร 1:20, 21, (ล.ม.) ดังนี้: “ไม่มีคำพยากรณ์ในพระคัมภีร์ที่เกิดจากการแปลความหมายตามอำเภอใจแต่อย่างใด. เพราะไม่มีคราวใดที่มีการนำคำพยากรณ์ออกมาตามน้ำใจของมนุษย์ แต่มนุษย์ได้กล่าวมาจากพระเจ้า ตามที่เขาได้รับการทรงนำโดยพระวิญญาณบริสุทธิ์.”
คัมภีร์ไบเบิลให้คำตอบ
36. คัมภีร์ไบเบิลบอกอะไรแก่เรา?
36 เพราะฉะนั้น คัมภีร์ไบเบิลมีหลักฐานแห่งการเป็นพระวจนะที่ได้รับการดลบันดาลจากพระผู้สูงสุดในหลายทาง. เมื่อเป็นเช่นนั้น คัมภีร์ไบเบิลจึงบอกเราถึงเหตุผลที่มนุษย์อยู่บนแผ่นดินโลก, สาเหตุที่มีความทุกข์ยากมากมาย, บอกว่าเราจะมุ่งไปสู่ที่ใด, และวิธีที่สภาพการณ์ต่าง ๆ จะเปลี่ยนไปเพื่อให้ดีขึ้น. คัมภีร์ไบเบิลเผยให้เราทราบว่ามีพระเจ้าองค์สูงสุดผู้ทรงสร้างมนุษย์และแผ่นดินโลกนี้เพื่อพระประสงค์อย่างหนึ่งและพระประสงค์ของพระองค์จะสำเร็จ. (ยะซายา 14:24) นอกจากนั้น คัมภีร์ไบเบิลยังเผยให้เราทราบว่าศาสนาแท้คืออะไรและเราจะพบได้อย่างไร. ด้วยเหตุนั้น คัมภีร์ไบเบิลจึงเป็นเพียงแหล่งเดียวเท่านั้นแห่งสติปัญญาที่สูงกว่าซึ่งสามารถบอกเราถึงความจริงเกี่ยวกับคำถามสำคัญทั้งสิ้นในเรื่องชีวิต.—บทเพลงสรรเสริญ 146:3; สุภาษิต 3:5; ยะซายา 2:2-4.
37. มีอะไรที่ต้องถามเกี่ยวกับคริสต์ศาสนจักร?
37 แม้จะมีข้อพิสูจน์มากมายเกี่ยวกับความน่าเชื่อถือและความจริงแท้ของคัมภีร์ไบเบิลก็ตาม ผู้คนซึ่งบอกว่าเขายอมรับคัมภีร์ไบเบิลทุกคนไหมที่ปฏิบัติตามคำสอนในคัมภีร์ไบเบิล? เพื่อเป็นตัวอย่าง ขอพิจารณานานาชาติที่อ้างว่านับถือศาสนาคริสเตียน กล่าวคือ คริสต์ศาสนจักร. พวกเขามีโอกาสได้มีคัมภีร์ไบเบิลมาหลายศตวรรษแล้ว. แต่ความคิดและการกระทำของพวกเขาสะท้อนถึงพระสติปัญญาอันสูงส่งของพระเจ้าไหม?
[รูปภาพหน้า 11]
เซอร์ไอแซ็ก นิวตันเชื่อว่าโลกถูกตรึงอยู่ในอวกาศให้สัมพันธ์กับเทหวัตถุอื่น ๆ ในท้องฟ้าโดยความถ่วง
ภาพที่คัมภีร์ไบเบิลเสนอเกี่ยวกับโลกที่มีแต่ความว่างเปล่าล้อมรอบนั้นมีการยอมรับโดยพวกผู้เชี่ยวชาญว่าเป็นภาพที่น่าทึ่งมากสำหรับสมัยที่มีการจารึกคัมภีร์ไบเบิล
[รูปภาพหน้า 12]
นักเดินเรือบางคนในยุคต้น ๆ กลัวกระทั่งการแล่นเรือตกขอบโลกที่แบน
[รูปภาพหน้า 13]
หลักฐานที่ว่าพระเยซูทรงมีชีวิตอยู่นั้นมีมากกว่าหลักฐานที่ว่าจูเลียสซีซาร์, จักรพรรดิชาร์เลเมน, โอลิเวอร์ ครอมเวลล์, หรือสันตะปาปาเลโอที่ 3 เคยมีชีวิตอยู่
[รูปภาพหน้า 15]
คำพยากรณ์ที่พระเยซูทรงให้ไว้เกี่ยวกับพินาศกรรมของกรุงยะรูซาเลมในปีสากลศักราช 70 ได้รับการยืนยันโดยซุ้มประตูแห่งไททัสในกรุงโรม