-
เหตุผลที่คริสเตียนแท้ไม่ใช้ไม้กางเขนในการนมัสการคัมภีร์ไบเบิลสอนอะไรจริงๆ?
-
-
ยุคคริสเตียนและวัฒนธรรมที่ไม่ใช่คริสเตียน.” แหล่งอ้างอิงอื่น ๆ ได้เชื่อมโยงไม้กางเขนเข้ากับการนมัสการธรรมชาติและพิธีร่วมเพศของพวกนอกรีต.
ถ้าเช่นนั้น ทำไมมีการส่งเสริมเครื่องหมายนอกรีตนี้. ดูเหมือนว่า เพื่อทำให้พวกนอกรีตยอมรับ “ศาสนาคริสเตียน” ได้ง่ายขึ้น. อย่างไรก็ตาม คัมภีร์ไบเบิลได้ตำหนิอย่างชัดเจนว่าการแสดงความเลื่อมใสศรัทธาต่อเครื่องหมายใด ๆ ก็ตามของพวกนอกรีตนั้นเป็นสิ่งผิด. (2 โครินท์ 6:14-18) พระคัมภีร์ยังห้ามการไหว้รูปเคารพทุกชนิดด้วย. (เอ็กโซโด 20:4, 5; 1 โครินท์ 10:14) ฉะนั้น ด้วยเหตุผลที่ดีคริสเตียนแท้จึงไม่ใช้ไม้กางเขนในการนมัสการ.a
-
-
อาหารมื้อเย็นขององค์พระผู้เป็นเจ้า—การฉลองซึ่งถวายเกียรติแด่พระเจ้าคัมภีร์ไบเบิลสอนอะไรจริงๆ?
-
-
ภาคผนวก
อาหารมื้อเย็นขององค์พระผู้เป็นเจ้า—การฉลองซึ่งถวายเกียรติแด่พระเจ้า
คริสเตียนได้รับคำสั่งให้จัดการประชุมอนุสรณ์เพื่อระลึกถึงการวายพระชนม์ของพระคริสต์. การประชุมนี้ยังถูกเรียกว่า การฉลอง “อาหารมื้อเย็นขององค์พระผู้เป็นเจ้า.” (1 โครินท์ 11:20) อะไรที่นับว่าสำคัญอย่างยิ่งเกี่ยวกับการฉลองนี้? ควรจัดการฉลองนี้เมื่อไรและโดยวิธีใด?
พระเยซูคริสต์ได้ทรงตั้งการฉลองนี้ขึ้นในคืนที่มีการฉลองปัศคาของชาวยิวในปี ส.ศ. 33. ปัศคาเป็นการฉลองที่จัดขึ้นเพียงปีละครั้ง ในวันที่ 14 เดือนไนซานของยิว. เพื่อจะคำนวณได้ว่าเป็นวันไหน ดูเหมือนชาวยิวคอยวันวสันตวิษุวัต ซึ่งเป็นวันที่กลางวันและกลางคืนยาวเท่ากัน คือยาวประมาณ 12 ชั่วโมง. ดวงจันทร์ข้างขึ้นที่สังเกตได้เป็นครั้งแรกซึ่งอยู่ใกล้วันวสันตวิษุวัตที่สุดนั้นเป็นเครื่องบ่งชี้ว่าเดือนไนซานเริ่มขึ้นแล้ว. ปัศคามีขึ้นใน 14 วันต่อมา หลังจากดวงอาทิตย์ตก.
พระเยซูทรงฉลองปัศคากับเหล่าอัครสาวก หลังจากที่พระองค์สั่งให้ยูดาอิสการิโอตออกไปแล้ว พระองค์ได้ตั้งการฉลองอาหารมื้อเย็นขององค์พระผู้เป็นเจ้า. อาหารมื้อนี้ถูกตั้งขึ้นแทนปัศคาของชาวยิว เพราะฉะนั้นจึงควรจัดขึ้นเพียงปีละครั้งเท่านั้น.
กิตติคุณของมัดธายรายงานว่า “พระเยซูทรงหยิบขนมปังมาแผ่นหนึ่งแล้วทูลขอพรและทรงหักส่งให้เหล่าสาวกแล้วตรัสว่า ‘รับไปกินเถิด. นี่หมายถึงกายของเรา.’ แล้วพระองค์ทรงหยิบถ้วยขึ้นมาทูลขอบพระคุณและส่งให้พวกเขาแล้วตรัสว่า ‘เจ้าทุกคนจงดื่มจากถ้วยนี้เถิด เพราะนี่หมายถึงโลหิตของเราซึ่งเป็น “โลหิตแห่งสัญญา” ซึ่งจะต้องไหลออกเพื่อปลดเปลื้องบาปของคนเป็นอันมาก.’ ”—มัดธาย 26:26-28.
บางคนเชื่อว่า พระเยซูทรงเปลี่ยนขนมปังเป็นเนื้อของพระองค์จริง ๆ และเปลี่ยนเหล้าองุ่นเป็นโลหิตของพระองค์. แต่ร่างกายที่เป็นเนื้อหนังของพระเยซูยังอยู่ครบตอนพระองค์ส่งขนมปังนี้ให้เหล่าอัครสาวก. อัครสาวกรับประทานเนื้อของพระเยซูจริง ๆ และดื่มโลหิตของพระองค์จริง ๆ ไหม? ไม่ เพราะนั่นคงจะเป็นการกินเนื้อมนุษย์และเป็นการละเมิดกฎหมายของพระเจ้า. (เยเนซิศ 9:3, 4; เลวีติโก 17:10) ตามที่บอกไว้ในลูกา 22:20 พระเยซูตรัสว่า “ถ้วยนี้หมายถึงสัญญาใหม่ที่อาศัยโลหิตของเราซึ่งจะต้องไหลออกเพื่อเจ้าทั้งหลาย.” จอกนี้กลายเป็น “สัญญาใหม่” จริง ๆ ไหม? นั่นคงจะเป็นไปไม่ได้ เนื่องจากสัญญาไมตรีเป็นข้อตกลง ไม่ใช่สิ่งที่จับต้องได้.
ดังนั้น ทั้งขนมปังและเหล้าองุ่นจึงเป็นเพียงเครื่องหมาย. ขนมปังเป็นเครื่องหมายแสดงถึงพระกายที่สมบูรณ์พร้อมของพระคริสต์. พระเยซูทรงใช้ขนมปังที่เหลือจากการรับประทานปัศคา. ขนมปังนี้ทำขึ้นโดยไม่ใส่เชื้อหรือยีสต์เลย. (เอ็กโซโด 12:8) คัมภีร์ไบเบิลใช้เชื้อเป็นสัญลักษณ์ของบาปหรือความเสื่อมเสีย. ฉะนั้น ขนมปังจึงหมายถึงพระกายที่สมบูรณ์ซึ่งพระเยซูได้ทรงสละเพื่อเป็นเครื่องบูชา. พระกายของพระองค์ปราศจากบาป.—มัดธาย 16:11, 12; 1 โครินท์ 5:6, 7; 1 เปโตร 2:22; 1 โยฮัน 2:1, 2.
เหล้าองุ่นสีแดงหมายถึงพระโลหิตของพระเยซู. พระโลหิตนั้นทำให้สัญญาไมตรีใหม่มีผลบังคับตามกฎหมาย. พระเยซูตรัสว่าพระโลหิตของพระองค์หลั่งออก “เพื่อปลดเปลื้องบาป.” โดยวิธีนี้มนุษย์จึงกลายเป็นคนสะอาดปราศจากบาปในสายพระเนตรของพระเจ้าและสามารถเข้าร่วมในสัญญาไมตรีใหม่กับพระยะโฮวา. (ฮีบรู 9:14; 10:16, 17) สัญญาไมตรีหรือข้อตกลงนี้ ทำให้คริสเตียนผู้ซื่อสัตย์ 144,000 คนมีโอกาสได้ไปสวรรค์. พวกเขาจะทำหน้าที่เป็นกษัตริย์และปุโรหิตในสวรรค์เพื่ออวยพรแก่มนุษย์ทั้งสิ้น.—เยเนซิศ 22:18; ยิระมะยา 31:31-33; 1 เปโตร 2:9; วิวรณ์ 5:9, 10; 14:1-3.
ใครควรรับประทานเครื่องหมายที่เป็นอนุสรณ์นี้? ตามเหตุผลแล้ว เฉพาะแต่คนเหล่านั้นที่ร่วมอยู่ในสัญญาไมตรีใหม่ คือคนเหล่านั้นที่มีความหวังจะไปสวรรค์ ควรจะรับประทานขนมปังและเหล้าองุ่น. พระวิญญาณบริสุทธิ์ของพระเจ้าทำให้คนเหล่านั้นมั่นใจว่าพวกเขาถูกเลือกให้เป็นกษัตริย์ในสวรรค์. (โรม 8:16) พวกเขายังอยู่ในคำสัญญาไมตรีเรื่องราชอาณาจักรกับพระเยซูด้วย.—ลูกา 22:29.
จะว่าอย่างไรกับคนเหล่านั้นที่มีความหวังว่าจะมีชีวิตอยู่ตลอดไปในอุทยานบนแผ่นดินโลก? พวกเขาเชื่อฟังคำสั่งของพระเยซูและเข้าร่วมการฉลองอาหารมื้อเย็นขององค์พระผู้เป็นเจ้า แต่พวกเขามาร่วมในฐานะผู้สังเกตการณ์ที่แสดงความนับถือ ไม่ใช่มาเพื่อรับประทานอาหารนั้น. ปีละครั้ง ทุกวันที่ 14 เดือนไนซานหลังจากดวงอาทิตย์ตก พยานพระยะโฮวาจะจัดการฉลองอาหารมื้อเย็นขององค์พระผู้เป็นเจ้า. ถึงแม้มีเพียงไม่กี่พันคนตลอดทั่วโลกที่แสดงตัวว่ามีความหวังจะไปสวรรค์ แต่การฉลองนี้นับว่าสำคัญยิ่งสำหรับคริสเตียนทุกคน. นี่เป็นโอกาสที่ทุกคนสามารถไตร่ตรองถึงความรักอันยอดเยี่ยมของพระยะโฮวาพระเจ้าและพระเยซูคริสต์.—โยฮัน 3:16.
-
-
มนุษย์มีสิ่งที่มองไม่เห็นและเป็นอมตะอยู่ในตัวจริง ๆ ไหม?คัมภีร์ไบเบิลสอนอะไรจริงๆ?
-
-
ภาคผนวก
มนุษย์มีสิ่งที่มองไม่เห็นและเป็นอมตะอยู่ในตัวจริง ๆ ไหม?
หลายคนเชื่อว่ามีสิ่งที่มองไม่เห็นและเป็นอมตะอยู่ในตัวเรา. พวกเขาคิดว่า สิ่งที่มองไม่เห็นซึ่งอยู่ในตัวมนุษย์นี้จะออกจากร่างกายตอนที่คนเราตายและสิ่งนี้จะยังมีชีวิตอยู่ต่อไป. เนื่องจากความเชื่อเช่นนี้แพร่ไปทั่ว หลายคนจึงแปลกใจ
-