การเดินทางในป่าเกิดผล
(จากหนังสือประจำปี 2010 หน้า 225 วรรค 1 ถึงหน้า 226 วรรค 2)
ถึงแม้ว่ามีการประกาศในเมืองหลวงและเมืองใหญ่ ๆ ในประเทศเบลิซอย่างถี่ถ้วน แต่ในเขตชนบทก็ไม่ค่อยได้ประกาศกัน. มิชชันนารีรุ่นแรกได้เคยไปเมืองทางใต้โดยทางเรือ แต่ต่อมามีการสร้างถนนระหว่างเขตสทานน์กรีกและโทลีโดเข้ากับเขตอื่น ๆ. จากนั้น ต้นปี 1971 สาขาได้จัดให้มีการประกาศเรื่องราชอาณาจักร แก่ชาวโมแพนและเคคชิมายาที่อยู่ห่างไกลในป่าดิบชื้นของเบลิซปีละครั้งซึ่งเรียกว่าการเดินป่า.
พี่น้องต้องเช่ารถและใช้เรือแคนู เพื่อจะไปให้ถึงหมู่บ้านและเมืองต่าง ๆ จากแดนกรีกาถึงพันทากอร์ดาและไปทางใต้จนถึงบาร์แรนโค ซึ่งอยู่ใกล้ ๆ ชายแดนที่ติดกับกัวเตมาลา. บางครั้งพวกเขาเดินทางโดยรถตู้และมีพี่น้องสองถึงสี่คนขี่มอเตอร์ไซค์ไปด้วย. ขณะที่พี่น้องส่วนใหญ่ประกาศในหมู่บ้าน พี่น้องที่ขี่มอเตอร์ไซค์ก็ไปประกาศตามเรือกสวนไร่นาที่ไกลออกไป แต่ละคืนพวกเขาจะหยุดพักตามหมู่บ้านต่าง ๆ.
ในเขตพันทากอร์ดา พี่น้องแบกสัมภาระจากหมู่บ้านหนึ่งไปยังอีกหมู่บ้านหนึ่ง. บ่อยครั้ง พวกเขาต้องไปขอพบออล์คาล์ดี (ผู้ใหญ่บ้าน) ในคาบิลโด ซึ่งเป็นศาลาที่ประชุมสำหรับผู้เฒ่าผู้แก่ของหมู่บ้านก่อนแล้วจึงไปประกาศกับลูกบ้าน.
ไรเนอร์ ทอมป์สันซึ่งเป็นมิชชันนารีเล่าว่า “ครั้งหนึ่งพี่น้องไปถึงหมู่บ้านหนึ่งขณะที่พวกผู้เฒ่าผู้แก่กำลังประชุมกันเรื่องขั้นตอนการเก็บข้าวโพด. เมื่อพวกเขาประชุมกันเสร็จ พวกเขาขอให้พี่น้องเราร้องเพลงราชอาณาจักรให้ฟัง. ตอนนั้นพี่น้องทั้งเหนื่อยและหิวอีกทั้งไม่มีหนังสือเพลง. แต่พวกเขาก็พยายามเต็มที่ที่จะร้อง ทำให้พวกนั้นพอใจอย่างมาก.” เวลาต่อมาได้มีการตั้งประชาคมที่หมู่บ้านแมงโกครีก และก็ที่ซาน แอนโตนิโอ ซึ่งเป็นหมู่บ้านที่ใหญ่ที่สุดของชาวมายา.
ซานติอาโก โซซาเล่าว่า “เพื่อให้ได้ตามที่เราวางแผนไว้ บางครั้งเราต้องเดินทางจากหมู่บ้านหนึ่งไปอีกหมู่บ้านหนึ่งในตอนกลางคืน. เราต้องเดินแถวเรียงหนึ่งกลางถนน เพราะสองข้างทางอาจจะมีงูซุกซ่อนอยู่ในพุ่มไม้. เรายังต้องรู้วิธีที่จะหาน้ำดื่มจากไม้เลื้อยที่ขึ้นตามป่าเมื่อน้ำของเราหมด.”
บางครั้งพวกเขาออกไปประกาศเป็นคู่หรือสองคู่ตามที่ต่าง ๆ ของหมู่บ้าน. ในตอนเย็นพวกเขาทุกคนจะมาพบกันอีกครั้งหนึ่ง จะมีสองคนอยู่ที่บ้านเพื่อทำอาหาร. ซานติอาโกเล่าติดตลกว่า “พวกเราเกือบตายเพราะบางคนทำอาหารไม่เป็นเลย. ผมจำได้ว่าเมื่อเห็นอาหารมื้อหนึ่งและถามว่า ‘นี่อะไรเนี่ย?’ คนทำอาหารตอบว่า ‘ผมก็ไม่รู้ แต่มันเป็นอาหาร.’ ถ้าคนทำอาหารเองยังเรียกไม่ถูกว่ามันคืออะไร พวกเราเลยคิดว่าเราน่าจะให้หมาหิวโซข้างถนนลองกินก่อน. ปรากฏว่าแม้แต่หมาหิวโซก็ยังไม่กินเลย!”
การเดินป่า—การประกาศในป่าดิบชื้น
(จากหนังสือประจำปี 2010 หน้า 227 ถึงหน้า 228)
มาร์ทา ไซมอนส์เล่าว่า “เดือนมีนาคม 1991 พี่น้องชายหญิง 23 คนจากทั่วประเทศมาพบกันที่พันทากอร์ดาเพื่อลุยป่าประกาศสิบวันในป่าดิบชื้น. ในสัมภาระของเรานอกจากเสื้อผ้า ผ้าห่ม และเปลญวนแล้ว ก็มีสรรพหนังสือในภาษาอังกฤษ สเปน และเคคชิ. เรานำเอาอาหารและมี ขนม 200 ห่อไปด้วย.”
เช้าวันรุ่งขึ้นเราได้ออกเดินทางด้วยเรือแคนู ที่ขุดจากต้นนุ่นขนาดใหญ่ไปในทะเลที่มีคลื่นลม. ที่หมู่บ้านครีก ซาร์โค เราเอาสัมภาระออกแล้วตั้งแคมป์. ขณะที่พี่น้องชายแขวนเปลญวน พี่น้องหญิงเตรียมอาหารอย่างหนึ่งที่เราชื่นชอบ คือ สตูหางหมู ที่ทำจากมันสำปะหลัง มันเทศ กล้วยดิบ มะพร้าว ไข่ต้ม และที่ขาดไม่ได้ก็คือหางหมู. ชาวบ้านเคคชิได้ยินว่าพวกเรามา และในไม่ช้าพวกเขาก็หลั่งไหลกันมาทักทายเราไม่ขาดสาย. โดยวิธีนี้เราสามารถให้คำพยานแก่ทั้งหมู่บ้านภายในสองชั่วโมง. ในคืนนั้น พี่น้องชายนอนในเปลญวนที่ผูกอยู่ใต้สถานีตำรวจซึ่งเป็นบ้านยกพื้น ส่วนพี่น้องหญิงนอนในศาลาที่ประชุม ซึ่งเป็นที่ประชุมสำหรับพวกผู้เฒ่าผู้แก่ของหมู่บ้าน.
“วันต่อมาเราแบกสัมภาระลงเรืออีกครั้งแล้วไปตามลำน้ำ ซึ่งบางแห่งปกคลุมไปด้วยต้นโกงกางที่ทำให้มืดและน่ากลัว. หลังจากเดินทางราวครึ่งชั่วโมง เราได้ขึ้นฝั่งและเดินอีกชั่วโมงครึ่งผ่านป่าไปยังหมู่บ้านซันเดย์วูด. ผู้คนที่นั่นตัวเล็ก ผิวคล้ำผมดำตรง. พวกเขาส่วนใหญ่ไม่สวมรองเท้า และผู้หญิงใส่กระโปรงพื้นเมืองและใส่เครื่องประดับลูกปัด. พวกเขาอยู่ในบ้านหลังคามุงจาก พื้นเป็นดิน ไม่ได้แบ่งเป็นห้อง ๆ ไม่มีเฟอร์นิเจอร์นอกจากเปลญวน. มุมหนึ่งของบ้านก็เป็นที่ทำอาหารร่วมกัน.
“ผู้คนเป็นมิตรมาก และเราพบคนสนใจมากทีเดียว. พวกเขาประทับใจเป็นพิเศษที่เห็นว่าเรามีหนังสือในภาษาเคคชิและให้พวกเขาดูข้อพระคัมภีร์ในภาษาของเขาเอง.
“เช้าวันรุ่งขึ้นเราถูกไก่ตัวผู้ นกในป่า และเสียงโหยหวนของพวกชะนีปลุกให้ตื่นขึ้น. หลังอาหารเช้าที่อิ่มหมีพลีมัน เราได้กลับเยี่ยมเยียนทุกคนที่แสดงความสนใจในวันก่อน. เราได้เริ่มศึกษาพระคัมภีร์หลายรายและสนับสนุนพวกเขาทุกคนให้ศึกษาด้วยตัวเองจนกระทั่งเรากลับมาศึกษากับพวกเขาอีกในปีถัดไป. วันต่อมาก็ทำตามแบบเดิมขณะที่เราเดินทางลึกเข้าไปในป่าดิบชื้นเพื่อไปถึงหมู่บ้านที่อยู่ห่างไกล.
“หลังจากสิบวันของการเดินทางในป่าอย่างมีความสุข พวกเราคิดย้อนถึงการเดินทางที่ไกล หมู่บ้านหลายแห่ง และผู้คนมากมายที่เราได้พบ. เราได้อธิษฐานถึงพระยะโฮวาให้ดูแลปกป้องเมล็ดแห่งความจริงที่พวกเราได้หว่านไว้จนกว่าเราจะกลับมาในปีหน้า. ทั้ง ๆ ที่เท้าของเราระบม ร่างกายของเราเหนื่อยล้า แต่เราก็รู้สึกขอบพระคุณพระยะโฮวาอย่างเหลือล้นที่ได้ไปในการเดินป่าปีนี้.”
(จากหนังสือประจำปี 2010 หน้า 232 ถึงหน้า 233)
ในปี 1995 แฟรงก์และอลีซ คาร์โดซาได้รับมอบหมายให้เป็นไพโอเนียร์พิเศษชั่วคราวระหว่างเดือนเมษายนและพฤษภาคม เพื่อช่วยแจกจ่ายข่าวราชอาณาจักรหมายเลข 34 ที่มีชื่อว่า “ทำไมชีวิตจึงเต็มไปด้วยปัญหา?” ในเขตโทลีโด. แฟรงก์เล่าว่า “ตอนที่ผมไปร่วมประกาศในป่าประจำปี ผมคิดว่าถ้าจะมีใครบางคนย้ายมาอยู่ในเขตนี้ ชาวมายาน่าจะเรียนรู้ข่าวดีได้มากขึ้น. สาขาแนะนำให้ผมมาเช่าบ้านอยู่ที่นี่ แล้วไปชวนหลาย ๆ คนมาศึกษาด้วยกัน จัดการบรรยายพิเศษที่ซาน แอนโตนิโอ และแจกจ่ายข่าวราชอาณาจักรที่นั่น และที่หมู่บ้านอื่น ๆ อีกแปดแห่ง.
แฟรงก์และอลีซ คาร์โดซาจัดกลุ่มการศึกษาในแต่ละสัปดาห์ในห้องเช่าเล็ก ๆ ของเขา และภายในไม่กี่สัปดาห์ก็มีสามถึงสี่ครอบครัวได้เข้ามาร่วมประชุมด้วย. ผู้สนใจเหล่านี้ได้นั่งรถปิคอัพเก่า ๆ ไปกับแฟรงก์และอลีซเป็นเวลาหนึ่งชั่วโมงบนทางเกวียนที่ขรุขระไปยังพันทากอร์ดาเพื่อร่วมประชุมโรงเรียนการรับใช้ตามระบอบของพระเจ้าและการประชุมการรับใช้ด้วย. เดือนแรกนั้น แฟรงก์บรรยายพิเศษที่ซาน แอนโตนิโอ. เฮซุส อิชช์ ได้มาประชุมเป็นครั้งแรกและเขาสนใจมาก. เขาเป็นสมาชิกของคริสตจักรนาซารีน เขาประทับใจมากเมื่อได้ฟังว่าคำสอนเรื่องไฟนรกมีต้นตอมาจากศาสนานอกรีต และคำว่านรกตามความหมายในคัมภีร์ไบเบิลก็คือหลุมฝังศพโดยทั่วไป. หลังการประชุม เขาเรียกแฟรงก์ไปถามคำถามมากมายในเรื่องนั้น. ผลก็คือเขาเริ่มการศึกษาคัมภีร์ไบเบิลและรับบัพติสมาในปีต่อมา.
เมื่องานที่ได้รับมอบหมายให้เป็นไพโอเนียร์พิเศษสองเดือนผ่านไปแล้ว แฟรงก์กับอลีซก็ต้องทำการตัดสินใจที่สำคัญ. แฟรงก์เล่าว่า “เรามีการศึกษามากจนเรานำการศึกษาไม่ไหว. เรารักและผูกพันกับพวกเขามากเสียจนเราไม่อาจทิ้งพวกเขาไปยังบ้านที่สุขสบายของเราที่เลดีวิลล์. ถ้าเราคิดจะอยู่ที่ซาน แอนโตนิโอต่อไป เราจะเช่าห้องชั้นบนที่น่าอยู่กว่าห้องเดิมได้. ผมจะติดตั้งอ่างล้างจานเล็ก ๆ รางน้ำฝน แล้วต่อไปก็จะติดตั้งส้วมชักโครกและเดินสายไฟ. เราได้อธิษฐานเรื่องนี้กับพระยะโฮวาและเชื่อมั่นว่าพระองค์จะอวยพรให้มีการตั้งประชาคมในเขตนี้. หลังจากที่คิดใคร่ครวญและอธิษฐานถึงพระยะโฮวาแล้ว เราได้เขียนจดหมายบอกสาขาว่า เรายินดีอยู่ที่ซาน แอนโตนิโอต่อไปในฐานะไพโอเนียร์ประจำ.”
เห็นได้ชัดว่าพระยะโฮวาทรงเห็นชอบกับการตัดสินใจของแฟรงก์กับอลีซ. เพียงแค่หกเดือน ในเดือนพฤศจิกายนพวกเขาได้จัดการประชุมสาธารณะขึ้นในบ้านเช่าของเขา. แล้วเดือนเมษายนในปีต่อมา พวกเขาเริ่มจัดการประชุมโรงเรียนการรับใช้ตามระบอบของพระเจ้าและการประชุมการรับใช้ที่ซาน แอนโตนิโอ. เป็นเรื่องที่น่ายินดีมากที่กลุ่มเล็ก ๆ นี้ไม่ต้องเดินทางไปกลับเป็นระยะทางราว ๆ 60 กิโลเมตรทุกสัปดาห์เพื่อไปประชุมที่พันทากอร์ดา.