ประกาศพระคำในยามยากลำบาก
(จากหนังสือประจำปี 2012 หน้า 72 วรรค 1-2)
ประกาศในคุก. ในอินเดีย พี่น้องหญิงสองคนถูกจับกุมเนื่องจากงานประกาศและถูกตัดสินจำคุกห้าวัน. คนหนึ่งเล่าว่า “เมื่อเราเข้าไปในคุก ตำรวจถามว่าทำไมเราถูกจับ นี่จึงเป็นโอกาสดีที่เราจะประกาศให้พวกเขาฟัง. เนื่องจากเราถูกพาตัวมาที่สถานีตำรวจจากเขตประกาศ เราจึงมีวารสารและแผ่นพับมากมาย. เราประกาศกับทุกคนและแจกจ่ายหนังสือจำนวนมาก. เราต่างหนุนใจกัน อธิษฐานและอ่านหนังสือที่เรามีอยู่.
“ต่อมา เราถูกย้ายไปที่คุกอีกแห่งหนึ่งซึ่งอยู่ในเมือง. พวกนักโทษถามเราทันทีว่า ทำไมถูกจับ. เราจึงมีโอกาสบอกพวกเขาว่าเราประกาศเรื่องอะไรและแสดงตัวว่าเราเป็นพยานพระยะโฮวา. ผู้คุมหญิงบังเอิญได้ยินเราพูดจึงบอกว่า ‘พวกเธอติดคุกก็เพราะเผยแพร่ข้างนอก แล้วตอนนี้ยังจะมาเผยแพร่ในคุกอีก!’ ” ต่อมาพี่น้องหญิงทั้งสองวางแผนจะไปเยี่ยมนักโทษที่แสดงความสนใจในความจริง.
(จากหนังสือประจำปี 2012 หน้า 110)
“เขาเป็นเหมือนตะวันฉายแสง”
วิลเฮล์ม อูรา
เกิด 1901 รับบัพติสมา 1949
ประวัติโดยย่อ ผู้ประกาศที่กระตือรือร้นทั้ง ๆ ที่เป็นโรคกล้ามเนื้อชนิดรุนแรง
วิลเฮล์มเป็นโรคกล้ามเนื้อที่ทำให้ขาเป็นอัมพาตและพูดลำบาก. ถึงกระนั้น ทันทีที่ได้ยินข่าวดีในช่วงราวปี 1935 เขาเริ่มบอกคนอื่นเกี่ยวกับความจริงอันยอดเยี่ยมที่ได้เรียนรู้. เขาใช้รถสามล้อเครื่องเพื่อทำงานประกาศและไปที่ท่าเรือซอร์ตลานในหมู่เกาะเวสทารอลันเป็นประจำเพื่อเปิดหีบเสียงบันทึกคำบรรยายเกี่ยวกับคัมภีร์ไบเบิลและแจกจ่ายสรรพหนังสือ. เนื่องจากวิลเฮล์มทุพพลภาพและอยู่โดดเดี่ยว เขาจึงไม่ได้รับบัพติสมาจนกระทั่งปี 1949. แต่เขาเป็นผู้ประกาศที่มีใจแรงกล้า. หลายคนซึ่งเดินทางตามชายฝั่งทะเลได้เรียนรู้ความจริงจากเขา และบางคนได้เข้ามาเป็นพยานพระยะโฮวา.
เมื่อวิลเฮล์มอายุมากขึ้น เขาไปอยู่ในสถานพยาบาลที่เมืองทรอมเซอ. เขายังคงประกาศต่อไปทางจดหมายโดยความช่วยเหลือของผู้ประกาศคนอื่น ๆ. เนื่องจากเป็นคนใจดีและเป็นมิตร เขาจึงเป็นแหล่งแห่งการหนุนใจสำหรับคนอื่น ๆ รวมทั้งเจ้าหน้าที่ในสถานพยาบาลด้วย. ตอนที่เขาเสียชีวิต ผู้จัดการพูดว่า “เข้าไปในห้องเขาทีไร เรารู้สึกเบิกบานใจทุกที. ความเชื่อของเขาทำให้เขาเป็นเหมือนตะวันฉายแสง.”
(จากหนังสือประจำปี 2012 หน้า 156 วรรค 1 ถึงหน้า 157 วรรค 1)
ตอบโต้การโจมตีจากสื่อมวลชน
โดยเฉพาะอย่างยิ่งระหว่างปี 1989 ถึง 1992 พยานพระยะโฮวาในนอร์เวย์ตกเป็นเป้าของการใส่ร้ายป้ายสีและการแพร่ข่าวในแง่ลบในหนังสือพิมพ์ วารสาร รวมทั้งวิทยุและทีวี. สาเหตุสำคัญอย่างหนึ่งของการต่อต้านนั้นคือการที่เรายึดมั่นกับคำสั่งในคัมภีร์ไบเบิลเรื่องการปฏิบัติต่อคนที่ถูกตัดสัมพันธ์. (1 โค. 5:9-13; 2 โย. 10) เนื่องจากการแพร่ข่าวในแง่ลบ พยานฯ จึงต้องรับมือกับปฏิกิริยาที่ไม่เป็นมิตรในงานเผยแพร่ ในที่ทำงาน และที่โรงเรียน รวมทั้งจากสมาชิกในครอบครัวด้วย. ถึงแม้สาวกของพระเยซูไม่แปลกใจที่ถูกติเตียน แต่ก็ไม่ง่ายที่จะรับมือกับสภาพการณ์ดังกล่าว.—มัด. 5:11, 12
พี่น้องชายคนหนึ่งอธิบายว่า “นี่เป็นช่วงที่ลำบาก แต่ก็มีข้อดีด้วย. สิ่งที่เกิดขึ้นทำให้ผมได้ทบทวนเหตุผลตามหลักพระคัมภีร์สำหรับความเชื่อของผม. การใคร่ครวญถึงอาหารฝ่ายวิญญาณที่ยอดเยี่ยมซึ่งเราได้รับจากทาสสัตย์ซื่อและสุขุมเป็นการเสริมความเชื่อจริง ๆ. ผลก็คือ ผมคิดว่าเราได้รับการเสริมกำลังเพื่อจะเผชิญการทดสอบความเชื่อ.”
ผู้ดูแลหมวดคนหนึ่งเล่าว่า “เมื่อเห็นความกล้าหาญของพี่น้องชายหญิงในช่วงนั้นผมรู้สึกได้รับกำลังใจมาก. เรารู้สึกว่าเราจะตอบสนองอย่างดีที่สุดได้โดยทุ่มเทตัวเองมากขึ้นในงานรับใช้ รวมทั้งในการประกาศตามถนน. น่ายินดี พยานฯ หลายคนตอบรับเป็นอย่างดี.”
(จากหนังสือประจำปี 2012 หน้า 179 วรรค 3)
โฟคัส ฮาคีซุมวามี เล่าพร้อมยิ้มอย่างร่าเริงว่า “พี่น้องบางคนจากประชาคมในนยาบิซีนดูอยู่ในกลุ่มแรกที่ถูกจับกุม. เนื่องจากพวกเราคาดหมายว่าไม่ช้าก็เร็วเราก็จะถูกจับด้วย พวกเราจึงตระหนักว่าเขตงานของเรากำลังจะเปลี่ยนจากนอกคุกมาเป็นในคุก. ดังนั้น เราจึงตัดสินใจที่จะรณรงค์ประกาศอย่างกว้างขวางในเขตที่อยู่ ‘นอกคุก’ ก่อน. เราไปที่บริเวณตลาดแล้วจำหน่ายวารสารและหนังสือปกแข็งมากมาย. เราอธิษฐานขอพระยะโฮวาช่วยเราให้ทำงานทั่วเขตก่อนถูกจำคุก. พระยะโฮวาทรงช่วยเรา เพราะเราทำงานของเราเสร็จวันที่ 1 ตุลาคม 1985. เจ็ดวันต่อมาเราก็ถูกจำคุก.”