ถ้าพระยะโฮวาไม่ทรงสร้างตึกขึ้น, ช่างก่อก็จะเสียแรงเปล่า ๆ ในการก่อสร้างนั้น
(จากหนังสือประจำปี 2013 หน้า 149 วรรค 1 ถึง หน้า 151 วรรค 1)
ในปี 1990 พี่น้องได้ย้ายสำนักงานสาขาจากถนนที่ 39 มาอยู่ที่บ้านสองชั้นบนที่ดิน 2.5 ไร่ที่ถนนอินยา ซึ่งอยู่ทางตอนเหนือของกรุงย่างกุ้ง ในย่านที่คนรวยอาศัยอยู่. อย่างไรก็ตาม ตึกใหม่แห่งนี้มีพื้นที่จำกัดอย่างยิ่ง. วิฟ มอริตซ์ ซึ่งเป็นผู้ดูแลโซนที่มาเยี่ยมประเทศเมียนมาร์ในตอนนั้นเล่าว่า “สมาชิกครอบครัวเบเธล 25 คนทำงานกันลำบากมาก. ครัวไม่มีเตาใหญ่ และพี่น้องหญิงคนหนึ่งต้องใช้เตาไฟฟ้าทำอาหาร. ห้องซักรีดไม่มีเครื่องซักผ้า พี่น้องหญิงคนหนึ่งจึงต้องซักผ้าในแอ่งบนพื้น. พี่น้องอยากซื้อเตาและเครื่องซักผ้า แต่ไม่สามารถนำเข้าของเหล่านี้ได้.”
เห็นได้ชัดว่าพี่น้องจำเป็นต้องมีสำนักงานสาขาที่ใหญ่ขึ้น. ด้วยเหตุนั้น คณะกรรมการปกครองจึงอนุมัติให้ทุบทำลายตึกสองชั้นหลังนั้นแล้วสร้างอาคารสี่ชั้นขึ้นมาแทน เป็นทั้งที่พักอาศัยและสำนักงาน. อย่างไรก็ตาม เพื่อพี่น้องจะสามารถลงมือสร้างตามแผนดังกล่าวได้ พวกเขาต้องเอาชนะอุปสรรคใหญ่หลายอย่างให้ได้ก่อน. ประการแรก โครงการนี้ต้องได้รับการอนุมัติจากหน่วยงานของรัฐบาลเป็นขั้น ๆ ถึงหกขั้น. ประการที่สอง ผู้รับเหมาก่อสร้างในท้องถิ่นทำงานนี้ไม่ได้ เนื่องจากไม่คุ้นเคยกับวิธีการก่อสร้างที่ใช้โครงสร้างเหล็ก. ประการที่สาม อาสาสมัครที่เป็นพยานฯ จากต่างแดนเข้าประเทศไม่ได้. และประการสุดท้าย ไม่สามารถหาซื้อวัสดุก่อสร้างได้ในประเทศและไม่สามารถนำเข้าจากต่างประเทศได้. เห็นได้ชัดว่าอนาคตของโครงการก่อสร้างนี้ดูมืดมนเต็มที. แต่เช่นเดียวกับทุกครั้ง พี่น้องไว้วางใจพระยะโฮวา. ถ้าพระยะโฮวาทรงประสงค์ พวกเขามั่นใจว่าจะสามารถสร้างสำนักงานสาขาใหม่ได้!—เพลง. 127:1
“ไม่ใช่ด้วยกำลังแลฤทธิ์,แต่โดยพระวิญญาณของเรา”
คยอว์ วิน ซึ่งทำงานในแผนกกฎหมายของสำนักงานสาขาเล่าว่า “การยื่นเรื่องขอก่อสร้างตึกดำเนินไปเรื่อย ๆ ตามขั้นตอนผ่านการพิจารณาของนักกฎหมายของรัฐบาลห้าคนจากทั้งหมดหกคน รวมถึงการพิจารณาของกระทรวงศาสนา. แต่แล้วคณะกรรมการพัฒนากรุงย่างกุ้งก็ยืนยันว่าตึกสี่ชั้นเป็นอาคารที่สูงเกินไปและปฏิเสธคำขอก่อสร้างของเรา. เมื่อเรายื่นเรื่องใหม่ ก็ถูกปฏิเสธอีก. คณะกรรมการสาขาสนับสนุนผมให้พยายามต่อไป. ผมจึงอธิษฐานขอพระยะโฮวาอย่างแรงกล้าแล้วยื่นขออนุญาตเป็นครั้งที่สาม. คำขอของเราได้รับการอนุมัติ!
“ถัดจากนั้น เราติดต่อกับเจ้าหน้าที่กองตรวจคนเข้าเมือง. เจ้าหน้าที่บอกเราว่าคนต่างชาติได้รับอนุญาตให้อยู่ในประเทศได้แค่เจ็ดวันเท่านั้นโดยใช้วีซ่านักท่องเที่ยว. แต่เมื่อเราอธิบายว่าอาสาสมัครชาวต่างชาติที่เป็นช่างฝีมือจะช่วยฝึกสอนเทคนิคการก่อสร้างที่ทันสมัยแก่คนในท้องถิ่น พวกเขาก็ออกวีซ่าให้อาสาสมัครของเราอยู่ในประเทศได้หกเดือน!
“หลังจากนั้น เมื่อไปติดต่อกับกระทรวงพาณิชย์เราถึงได้รู้ว่ามีการสั่งระงับการนำเข้าของจากต่างประเทศทุกชนิด. แต่เมื่อเราให้ข้อมูลเกี่ยวกับโครงการก่อสร้างของเรา เจ้าหน้าที่ก็ออกใบอนุญาตให้นำเข้าวัสดุก่อสร้างที่มีมูลค่ามากกว่าหนึ่งล้านดอลลาร์สหรัฐ. แล้วเรื่องภาษีนำเข้าล่ะ? เมื่อเราติดต่อกับกระทรวงการคลัง เราก็ได้รับอนุญาตให้นำเข้าวัสดุก่อสร้างได้โดยไม่ต้องจ่ายภาษีเลย! จากเหตุการณ์เหล่านี้และเหตุการณ์อื่น ๆ เราพบว่าคำตรัสของพระเจ้าเป็นความจริง ที่ว่า “ยะโฮวาแห่งพลโยธาทั้งหลายตรัสว่า, ‘ไม่ใช่ด้วยกำลังแลฤทธิ์, แต่โดยพระวิญญาณของเรา.’”—ซคา. 4:6