ผู้คนนับถือพวกเราเพราะเราเป็นกลางและประพฤติตัวดี
ใช้บัตรติดหน้าอกการประชุมใหญ่เป็น “บัตรผ่านแดน”
(จากหนังสือประจำปี 2014 หน้า 120)
“ในปี ค.ศ. 1987 (พ.ศ. 2530) มีการประชุมภาคที่กูเกดู ประเทศกินีในหัวเรื่อง ‘จงวางใจในพระยะโฮวา’ มีคนเข้าร่วมประชุมมากกว่า 1,000 คน และหลายคนไป-กลับเพราะพวกเขามาจากประเทศเซียร์ราลีโอนและไลบีเรียที่อยู่ใกล้ ๆ แต่พวกเขาไม่มีบัตรผ่านแดน ดังนั้น ผู้ปกครองบางคนไปขอตกลงกับเจ้าหน้าที่ตรวจคนเข้าเมืองให้พี่น้องผ่านเข้ามาประชุมได้ ในที่สุด เจ้าหน้าที่บอกว่า แค่เอาบัตรติดหน้าอกการประชุมภาคมาอย่างเดียวก็พอ! เมื่อตำรวจตรวจคนเข้าเมืองเห็นบัตรติดหน้าอกสีส้ม พวกเขาก็โบกให้พี่น้องผ่านเข้าไปทันที”—เอเวอเรตต์ เบอร์รี
(หน้า 149)
วันต่อ ๆ มา หัวหน้าพวกกบฏและลูกน้อง 4 คนมายึดบ้านผม พวกเขาย้ายเข้ามาอยู่กับเรา เราก็ยังจัดการประชุมตามปกติและอ่านข้อคัมภีร์ประจำวันด้วยกัน ทหารบางคนบอกว่า “พวกคุณอ่านข้อคัมภีร์ประจำวัน งั้นก็เป็นพยานพระยะโฮวาใช่ไหมเนี่ย?” พวกเขาไม่ได้อยากเรียนคัมภีร์ไบเบิลแต่พวกเขานับถือพวกเรา
ต่อมาวันหนึ่ง มีหัวหน้าใหญ่ของพวกนี้มาตรวจกองกำลังที่มายึดบ้านเรา เขาทำความเคารพและเช็กแฮนด์พี่น้องเบอะ-เบอะโวแล้วเขาก็หันไปสั่งกับทหารทุกคนว่า “ผู้ชายคนนี้เป็นเจ้านายของผม และของพวกคุณด้วย ถ้าเส้นผมของเขาหลุดแม้แต่เส้นเดียว พวกคุณมีปัญหากับผมแน่ เข้าใจไหม?” พวกเขาตอบว่า “ครับ ผม!” หัวหน้าใหญ่คนนั้นก็ให้จดหมายจากหน่วยอาร์ ยู เอฟ (RUF คือ กองกำลังกบฏติดอาวุธต่อต้านรัฐบาล) กับเรา ในจดหมายบอกว่าห้ามใครทำร้ายพวกเราเพราะเราเป็นประชาชนที่อยู่อย่างสันติ
หลายเดือนต่อมา มีกองกำลังกบฏกลุ่มใหม่เกิดขึ้น แล้วก็เริ่มต่อสู้กัน เราก็เลยหนีไปประเทศเพื่อนบ้านคือไลบีเรีย พอไปถึง กลุ่มกบฏอีกกลุ่มก็ขู่จะทำร้ายเรา พวกเราบอกว่า “เราเป็นพยานพระยะโฮวา” ทหารของพวกนั้นก็เลยถามเราว่า “งั้นโยฮัน 3:16 ว่ายังไง?” พอเราบอกข้อนั้น เขาก็ปล่อยเราไป
ต่อมา เราก็เจอกลุ่มกบฏอีกกลุ่ม หัวหน้าของเขาสั่งผมกับพี่น้องเบอะ-เบอะโวให้ไปกับเขา เรากลัวตายสุด ๆ เขาบอกเราว่าก่อนสงคราม เขาเคยศึกษาคัมภีร์ไบเบิล เขาให้ตังค์เราและยังเอาจดหมายเราไปส่งให้พี่น้องที่อยู่ประชาคมใกล้ ๆ ด้วย หลังจากนั้นไม่นาน พี่น้อง 2 คนก็มาช่วยเรา เอาสิ่งจำเป็นมาให้ แล้วก็พาเราหนีไปอยู่ในที่ปลอดภัย
“พวกคุณอ่านข้อคัมภีร์ประจำวัน งั้นก็เป็นพยานพระยะโฮวาใช่ไหมเนี่ย?”