ชีวิตยืนยาวขึ้นและรู้สึกดีขึ้น
ลองนึกภาพว่าชีวิตมนุษย์เปรียบเสมือนการวิ่งข้ามรั้วเส้นทางยาวไกล—การแข่งขันที่ให้นักวิ่งวิ่งข้ามเครื่องกีดขวาง. นักวิ่งทุกคนออกวิ่งพร้อมกัน; แต่ขณะที่พวกเขากระโดดข้ามและบางครั้งบางคราวเตะเครื่องกีดขวาง นักวิ่งเหล่านั้นก็จะวิ่งช้าลง และทยอยออกจากการแข่งขัน.
ทำนองเดียวกัน ชีวิตมนุษย์มีจุดเริ่มวิ่งและมีเครื่องกีดขวางสูงตลอดเส้นทาง. ตลอดชีวิตของเขา มนุษย์เผชิญเครื่องกีดขวางอันแล้วอันเล่า. การกระโดดแต่ละครั้งทำให้เขาอ่อนแรงลง และในที่สุดเขาก็หยุดวิ่ง. ยิ่งเครื่องกีดขวางสูงขึ้น เขาก็ยิ่งถอนตัวจากการแข่งขันเร็วขึ้น ซึ่งก็คือ ตาย. หากคนเราอาศัยอยู่ในประเทศที่พัฒนาแล้ว จุดหยุดวิ่งจะเกิดขึ้นเมื่ออายุราว ๆ 75 ปี. ระยะเวลาดังกล่าวนี้เรียกกันว่าอายุขัยโดยเฉลี่ย ของมนุษย์—เปรียบได้กับระยะทางที่นักวิ่งส่วนใหญ่วิ่งได้จริง.a (เทียบกับบทเพลงสรรเสริญ 90:10.) แต่ก็มีบางคนที่วิ่งได้ไกลกว่า และมีไม่กี่คนไปถึงระดับที่คิดกันว่าเป็นระดับสูงสุด ของอายุขัยมนุษย์ ซึ่งอยู่ราว ๆ 115 ถึง 120 ปี—เป็นเหตุการณ์ที่นาน ๆ ครั้งจะตกเป็นพาดหัวข่าวทั่วโลก.
การระบุเครื่องกีดขวาง
ปัจจุบันนี้ผู้คนสามารถอยู่ในการวิ่งได้ยาวนานเกือบสองเท่าเมื่อเทียบกับที่เขาทำได้ในช่วงต้น ๆ ของศตวรรษนี้. เพราะเหตุใด? โดยพื้นฐานแล้ว เพราะมนุษย์สามารถลดระดับเครื่องกีดขวางให้ต่ำลง. แต่เครื่องกีดขวางดังกล่าวคืออะไร? และจะทำให้มันลดระดับลงมากกว่านี้ได้ไหม?
ผู้เชี่ยวชาญด้านสาธารณสุขคนหนึ่งขององค์การอนามัยโลก (WHO) ชี้แจงว่า เครื่องกีดขวางหรือปัจจัยหลักบางอย่างที่มีผลกระทบต่อช่วงชีวิตตามที่คาดหวังได้ของมนุษย์ คือ นิสัย, สิ่งแวดล้อม, และการดูแลทางการแพทย์.b ฉะนั้น ยิ่งคุณมีนิสัยดีขึ้น, ยิ่งคุณมีสิ่งแวดล้อมที่เอื้อประโยชน์ต่อสุขภาพมากขึ้น, และยิ่งคุณได้รับการดูแลทางการแพทย์ดีขึ้น เครื่องกีดขวางดังกล่าวก็ยิ่งต่ำลง และชีวิตของคุณก็จะยืนยาวขึ้น. ถึงแม้สภาพการณ์ของคนเราจะแตกต่างกันมาก แต่แทบทุกคน—ตั้งแต่ผู้จัดการธนาคารในนครซิดนีย์จนถึงคนขายของตามถนนในเมืองเซาเปาลู—อาจทำอะไรบางอย่างได้เพื่อลดระดับเครื่องกีดขวางในชีวิตของตน. ทำอย่างไร?
นิสัยต่าง ๆ ที่มีผลกระทบต่อความยืนยาวของชีวิตคุณ
วารสารเดอะ นิว อิงแลนด์ เจอร์นัล ออฟ เมดิซิน รายงานว่า “คนที่มีนิสัยดีกว่าทางด้านสุขภาพ ไม่เพียงทำให้เขาอยู่ได้นานกว่าเท่านั้น แต่การไร้สมรรถภาพในบุคคลเหล่านี้ยังเลื่อนเวลาออกไปและไปรวบยอดเอาไม่กี่ปีตอนบั้นปลายชีวิต. ที่จริง อาจลดเครื่องกีดขวางแรกให้ต่ำลงได้ด้วยการเปลี่ยนนิสัยในเรื่อง การกิน, การดื่ม, การนอนหลับ, การสูบบุหรี่, และการออกกำลังกาย เป็นต้น. ขอพิจารณานิสัยการออกกำลังกายเป็นตัวอย่าง.
นิสัยการออกกำลังกาย. การออกกำลังกายพอประมาณมีส่วนช่วยได้มาก. (ดูกรอบ “ออกกำลังกายแบบไหนและมากเท่าไร?”) การวิจัยต่าง ๆ แสดงให้เห็นว่า การออกกำลังกายแบบง่าย ๆ ในบ้านและรอบ ๆ บ้านช่วยผู้สูงอายุ รวมทั้งผู้อยู่ใน ‘วัยหง่อม’ ให้กลับแข็งแรงและมีกำลังวังชาอีก. ยกตัวอย่าง ผู้สูงอายุกลุ่มหนึ่งซึ่งมีอายุระหว่าง 72 ถึง 98 ปี พบว่าพวกเขาสามารถเดินเร็วขึ้นและขึ้นบันไดง่ายขึ้นหลังจากออกกำลังกายด้วยการยกน้ำหนักแค่สิบสัปดาห์. และไม่น่าแปลกใจ! การทดสอบภายหลังโปรแกรมออกกำลังกายแสดงให้เห็นว่า กล้ามเนื้อของพวกเขาแกร่งขึ้นกว่าสองเท่า. อีกกลุ่มหนึ่ง ประกอบด้วยผู้หญิงที่มีอายุสูงถึง 70 ปี ซึ่งส่วนใหญ่ทำงานนั่งโต๊ะ ออกกำลังกายสัปดาห์ละสองครั้ง. พอหนึ่งปีผ่านไป พวกเธอมีกล้ามเนื้อแน่นขึ้น อีกทั้งมีเรี่ยวแรงขึ้น, มีการทรงตัวดีขึ้น, และความหนาแน่นของกระดูกก็เพิ่มขึ้นด้วย. มีเรียม เนลสัน นักสรีรวิทยา ซึ่งเป็นผู้ทำการวิจัยกล่าวว่า “เมื่อเราเริ่มลงมือ เรากลัวว่าจะทำให้เส้นเอ็นฉีก, เอ็นยึดขาด, กล้ามเนื้อฉีก. แต่ที่ไหนได้ พวกเขากลับแข็งแรงขึ้นและสุขภาพดีขึ้น.”
เพื่อเป็นการสรุปผลการศึกษาวิจัยทางวิทยาศาสตร์หลายต่อหลายรายเกี่ยวด้วยการแก่ลงและการออกกำลังกาย ตำราเล่มหนึ่งกล่าวดังนี้: “การออกกำลังกายชะลอกระบวนการแก่ลง, ทำให้ชีวิตยืนยาวขึ้น, และลดช่วงเวลาที่ต้องพึ่งพาคนอื่นซึ่งส่วนใหญ่มักจะเกิดขึ้นก่อนตาย.”
นิสัยการออกกำลังทางจิตใจ. ภาษิตที่ว่า “ยิ่งใช้ยิ่งแข็งแรง” ดูเหมือนไม่เพียงใช้กับกล้ามเนื้อเท่านั้นแต่ยังใช้กับความคิดจิตใจได้ด้วย. ถึงแม้การแก่ลงจะมาพร้อมกับการขี้หลงขี้ลืมบ้าง แต่การศึกษาวิจัยที่ทำโดยสถาบันชราภาพแห่งชาติของสหรัฐแสดงให้เห็นว่า สมองของผู้สูงอายุยังคงยืดหยุ่นพอที่จะรับมือกับผลกระทบของการแก่ลง. ฉะนั้น ดร. อันโตนิโอ อาร์. ดามาซิโอ ศาสตราจารย์ทางประสาทวิทยาจึงลงความเห็นว่า “ผู้สูงอายุสามารถมีชีวิตที่เปี่ยมด้วยความหมายและมีความคิดที่แจ่มใสต่อไปได้.” อะไรทำให้สมองของคนสูงอายุยังคงยืดหยุ่นต่อไป?
สมองประกอบด้วยเซลล์สมองหรือนิวรอน 100,000 ล้านเซลล์ และมีจุดเชื่อมต่อระหว่างเซลล์นับล้านล้านจุด. จุดเชื่อมต่อเหล่านี้ทำหน้าที่เสมือนคู่สายโทรศัพท์ที่ทำให้นิวรอนต่าง ๆ “สนทนา” กันได้เพื่อสร้างความจำ รวมทั้งสิ่งอื่น ๆ ด้วย. เมื่อสมองมีอายุมากขึ้น นิวรอนก็ตาย. (ดูกรอบ “เซลล์สมองจากมุมมองใหม่.”) แต่สมองของผู้สูงอายุสามารถทดแทนนิวรอนที่เสียไปได้. เมื่อไรก็ตามที่นิวรอนหนึ่งตาย นิวรอนที่อยู่ใกล้ ๆ จะสนองตอบโดยสร้างจุดเชื่อมต่อใหม่กับนิวรอนอื่น ๆ และรับเอาภารกิจของนิวรอนที่ตายมาทำต่อไป. พูดง่าย ๆ ก็คือ สมองโยกย้ายหน้าที่รับผิดชอบจากส่วนหนึ่งไปให้อีกส่วนหนึ่งทำนั่นเอง. ด้วยเหตุนี้ ผู้สูงอายุหลายคนจึงทำงานที่ใช้ความคิดได้สำเร็จเช่นเดียวกับคนที่อ่อนวัยกว่า แต่อาจจะทำโดยใช้สมองคนละส่วนกัน. ในบางด้าน สมองของผู้สูงอายุทำงานคล้ายคลึงอยู่บ้างกับนักเล่นเทนนิสที่มีอายุ ซึ่งทดแทนความว่องไวที่ลดลงด้วยทักษะที่ผู้เล่นซึ่งอายุน้อยกว่าอาจจะไม่มี. กระนั้น แม้จะใช้เทคนิคที่แตกต่างจากนักเล่นรุ่นน้อง แต่ผู้เล่นที่อายุมากกว่าก็ยังทำแต้มได้.
ผู้สูงอายุอาจทำอะไรได้บ้างเพื่อรักษาการทำแต้มต่อไป? หลังจากศึกษาวิจัยผู้คนมากกว่า 1,000 คน ซึ่งมีอายุระหว่าง 70 ถึง 80 ปี แพทย์หญิง แมรีลิน อัลเบิร์ต นักวิจัยด้านเวชศาสตร์วัยชราพบว่า การออกกำลังทางจิตใจเป็นหนึ่งในปัจจัยต่าง ๆ ที่บ่งบอกว่าผู้สูงอายุคนใดยังรักษาความสามารถทางเชาวน์ปัญญาไว้ได้. (ดูกรอบ “ให้ความคิดยืดหยุ่นอยู่เสมอ.”) การออกกำลังทางจิตใจทำให้ ‘คู่สายโทรศัพท์’ ของสมองมีชีวิต. ในอีกด้านหนึ่ง พวกผู้เชี่ยวชาญกล่าวว่า ความเสื่อมของสมองเริ่ม “เมื่อผู้คนหยุดทำงาน ปลงใจจะเอาแต่นั่ง ๆ นอน ๆ และพูดว่า พวกเขาไม่ต้องรับรู้ความเป็นไปของโลกภายนอกอีก.”—จากหนังสืออินไซด์ เดอะ เบรน.
ดังนั้น ข่าวดีคือ “ปัจจัยที่เราควบคุมได้หรือที่เราปรับปรุงได้น่าจะเสริมวิสัยสามารถของเราให้มีวัยชราที่ประสบผลสำเร็จ” ตามคำอธิบายของ ดร. แจ็ก โรว์ นักเวชศาสตร์วัยชรา. ยิ่งกว่านั้น ไม่เคยมีคำว่าสายเกินไปที่จะเริ่มสร้างนิสัยที่ดี. นักวิจัยคนหนึ่งบอกว่า “แม้คุณเคยมีนิสัยทางสุขภาพที่ไม่ถูกต้องมาครึ่งค่อนชีวิต แต่คุณมาเปลี่ยนในช่วงหลัง ๆ คุณก็ยังจะเก็บเกี่ยวอย่างน้อยก็บำเหน็จบางประการจากรูปแบบชีวิตที่ส่งเสริมสุขภาพ.”
สิ่งแวดล้อมก่อความแตกต่าง
หากเด็กหญิงคนหนึ่งซึ่งเกิดในลอนดอนขณะนี้ ย้อนกลับไปอยู่ในลอนดอนยุคกลาง ช่วงชีวิตตามที่คาดหวังได้ของเธอจะน้อยกว่าในขณะนี้ครึ่งหนึ่ง. ความแตกต่างนี้คงไม่ได้เกิดจากการเปลี่ยนแปลงทางกายภาพในทันใดของเด็กคนดังกล่าว แต่เกิดจากการเปลี่ยนระดับความสูงโดยฉับพลันของเครื่องกีดขวางอีกสองชนิด นั่นคือ สิ่งแวดล้อมและการดูแลทางการแพทย์. ก่อนอื่น ขอพิจารณาเรื่องสิ่งแวดล้อม.
สิ่งแวดล้อมทางกายภาพ. ในอดีต สิ่งแวดล้อมทางกายภาพของมนุษย์ อย่างเช่นบ้าน เป็นเครื่องกีดขวางทางสุขภาพที่สูงมาก. แต่ในช่วงไม่กี่สิบปีมานี้ อันตรายที่เกิดจากสิ่งแวดล้อมทางกายภาพได้ลดลง. ระบบสุขาภิบาลที่ดีขึ้น, น้ำที่สะอาดขึ้น, และแมลงร้ายในบ้านที่ลดน้อยลง ทำให้สิ่งแวดล้อมของมนุษย์ดีขึ้น ซึ่งเอื้อประโยชน์ต่อสุขภาพและยืดชีวิตออกไป. ผลก็คือ ปัจจุบันนี้ในหลายส่วนของโลกมนุษย์สามารถอยู่ได้นานขึ้น.c แต่การลดระดับเครื่องกีดขวางนี้เกี่ยวข้องมากกว่าการเดินท่อประปาในบ้าน. จำต้องมีการคงไว้ซึ่งสภาพแวดล้อมที่ดีทางสังคมและทางศาสนาด้วย.
สิ่งแวดล้อมทางสังคม. สิ่งแวดล้อมทางสังคมของคุณประกอบด้วยผู้คน กล่าวคือ คนที่คุณอยู่ด้วย, ทำงานด้วย, กินด้วย, เล่นด้วย, และร่วมนมัสการด้วย. สิ่งแวดล้อมทางกายภาพของคุณจะดีขึ้นเมื่อคุณมีน้ำสะอาดใช้; ทำนองเดียวกัน สิ่งแวดล้อมทางสังคมของคุณก็จะดีขึ้นเมื่อคุณมีเพื่อนที่มีคุณค่า นี่เป็นเพียงปัจจัยสำคัญอย่างหนึ่งเท่านั้น. การที่คุณสามารถแบ่งปันความยินดีและระบายความเศร้าเสียใจ อีกทั้งความใฝ่ฝันและความข้องขัดใจให้คนอื่นรับรู้ จะลดระดับความสูงของเครื่องกีดขวางทางสิ่งแวดล้อม และช่วยให้คุณมีชีวิตยืนยาวขึ้น.
แต่ในทางกลับกันก็เป็นความจริงด้วย. การขาดความสัมพันธ์ฉันเพื่อนอาจก่อความว้าเหว่ และความไร้ค่าทางสังคม. คุณมักจะเหี่ยวเฉาถ้าคุณอยู่โดยไม่ได้รับการใส่ใจจากผู้คนรอบข้าง. สตรีผู้หนึ่งซึ่งอาศัยอยู่ในบ้านพักคนชราเขียนถึงคนรู้จักดังนี้: “ฉันอายุ 82 ปี และฉันอยู่ที่นี่ ที่บ้านนี้ มานานถึง 16 ปี. พวกเขาปฏิบัติกับฉันอย่างดี แต่บางครั้งก็ยากที่จะรับมือกับความว้าเหว่.” น่าเศร้า สภาพของสตรีผู้นี้เป็นเรื่องปกติสำหรับผู้สูงอายุหลายคน โดยเฉพาะในโลกตะวันตก. พวกเขามักจะอาศัยอยู่ในสภาพแวดล้อมทางสังคมที่ยอมรับพวกเขาแต่แทบจะไม่หยั่งรู้ค่า. ผลก็คือ “ความว้าเหว่เป็นหนึ่งในปัญหาใหญ่ ๆ ที่คุกคามสวัสดิภาพของผู้สูงอายุเสมอมาในประเทศที่พัฒนาแล้ว” ตามคำกล่าวของ เจมส์ กายีคา จากสถาบันชราภาพนานาชาติ.
จริงอยู่ คุณอาจไม่สามารถขจัดสภาพการณ์บางอย่างที่ทำให้คุณรู้สึกว้าเหว่ได้—เช่น การเกษียณอายุที่เลี่ยงไม่ได้, การเคลื่อนไหวไม่คล่อง, การสูญเสียเพื่อนที่คบหามาเป็นเวลานาน, หรือการเสียชีวิตของคู่สมรส—แต่คุณยังคงนำขั้นตอนบางอย่างไปใช้ได้เพื่อลดเครื่องกีดขวางนี้ลงสู่ระดับที่พอจะรับมือได้. ประการแรก โปรดจำไว้ว่าความรู้สึกว้าเหว่ไม่ได้เกิดจากความแก่ชรา; หนุ่มสาวบางคนก็รู้สึกว้าเหว่เช่นกัน. ความแก่ชราไม่ใช่สาเหตุของปัญหา—ความไร้ค่าทางสังคมคือสาเหตุ. คุณอาจทำอะไรได้บ้างเพื่อต่อสู้กับการตกเข้าสู่ความไร้ค่าทางสังคม?
หญิงม่ายสูงอายุคนหนึ่งแนะนำว่า “ทำให้คนที่อยู่กับคุณมีความสุข. แทบไม่มีใครชอบคบหากับคนขี้บ่น. คุณจำเป็นต้องออกความพยายามที่จะเป็นคนร่าเริงเบิกบาน. จริงอยู่ การทำเช่นนี้ต้องออกแรง แต่แรงที่คุณทุ่มเทไปจะได้รับผลตอบแทน. ความกรุณาย่อมก่อให้เกิดความกรุณา.” เธอเสริมว่า “เพื่อให้แน่ใจว่าฉันมีหัวข้อที่จะสนทนากับผู้คนที่พบปะไม่ว่าหนุ่มหรือแก่ ฉันจึงพยายามตามให้ทันกับเหตุการณ์ปัจจุบัน โดยอ่านนิตยสารต่าง ๆ ที่ให้ความรู้และติดตามข่าวอยู่เสมอ.”
ต่อไปนี้เป็นข้อเสนอแนะอื่น ๆ บางประการ: เรียนรู้ที่จะให้ความสนใจในสิ่งที่คนอื่นชอบ. ถามโน่นถามนี่. จงเอื้อเฟื้อเผื่อแผ่ให้มากเท่าที่จะทำได้. ถ้าคุณไม่มีสิ่งฝ่ายวัตถุ คุณก็อาจให้ตัวเองแทน; การให้ก่อเกิดความสุข. เขียนจดหมาย. หางานอดิเรกทำ. ตอบรับเมื่อมีคนชวนให้ไปเยี่ยม หรือเมื่อเขาชวนไปเที่ยวนอกบ้านก็ไปด้วยกันกับเขา. ทำให้บ้านของคุณเป็นที่เบิกบานยินดีและดึงดูดใจผู้มาเยี่ยมเสมอ. ยื่นมือให้ความช่วยเหลือผู้ที่มีความจำเป็น.
สิ่งแวดล้อมทางศาสนา. มีหลักฐานมากขึ้นเรื่อย ๆ ที่ชี้ว่ากิจกรรมทางศาสนาช่วยผู้สูงอายุให้พบ “ความหมายและความสำคัญของชีวิต” และช่วยให้ประสบ “ความสุข,” “ความรู้สึกว่ามีประโยชน์,” “ความอิ่มใจพอใจที่ยิ่งใหญ่กว่า,” และ “ความรู้สึกว่าเป็นส่วนหนึ่งของชุมชนและมีสวัสดิภาพ.” เพราะเหตุใด? หนังสือชีวิตบั้นปลาย—ความเป็นจริงของการแก่ลง (ภาษาอังกฤษ) อธิบายว่า “ความเชื่อทางศาสนาให้ปรัชญาชีวิตแก่ผู้คน รวมทั้งทัศนคติ, ค่านิยม, และความเชื่อ ซึ่งช่วยให้พวกเขาอธิบายและเข้าใจโลกรอบตัวได้.” นอกจากนั้น กิจกรรมทางศาสนายังทำให้ผู้สูงอายุมีโอกาสติดต่อกับคนอื่น ๆ และด้วยเหตุนี้จึง “ลดความเป็นไปได้ที่จะรู้สึกไร้ค่าทางสังคมและว้าเหว่.”
สำหรับลูวิสและเอวีลีน ซึ่งทั้งคู่เป็นหญิงม่ายวัย 80 ปี และเป็นสมาชิกของประชาคมแห่งพยานพระยะโฮวา การศึกษาวิจัยเหล่านี้ก็แค่ยืนยันสิ่งที่เธอทั้งสองรู้มาหลายสิบปีแล้ว. ลูวิสบอกว่า “ที่หอประชุมของเราd ฉันชอบคุยกับคนโน้นคนนี้ ทั้งหนุ่มสาวและคนสูงอายุ. การประชุมเป็นไปในรูปของการศึกษา. เมื่อสนทนาปราศรัยกันหลังเลิกประชุม เรามีเรื่องหัวเราะสนุกสนานด้วย. เป็นช่วงเวลาที่น่าเบิกบานยินดี.” เอวีลีนก็ได้ประโยชน์จากกิจกรรมทางศาสนาของเธอเช่นกัน. เธอบอกว่า “การออกไปพูดคุยเรื่องคัมภีร์ไบเบิลกับผู้คนในละแวกบ้านของฉัน ช่วยไม่ให้ฉันรู้สึกโดดเดี่ยว. แต่ยิ่งกว่านั้น มันทำให้ฉันมีความสุข. การช่วยคนอื่นให้รู้จักความหมายแท้ของชีวิตเป็นงานที่น่าอิ่มใจพอใจ.”
เป็นที่ชัดเจนว่า ลูวิสและเอวีลีนมีจุดมุ่งหมายในชีวิต. ความรู้สึกอันเป็นผลมาจากสวัสดิภาพที่ทั้งคู่ประสบ ช่วยลดระดับเครื่องกีดขวางอันที่สอง นั่นคือ สิ่งแวดล้อม และช่วยให้เธออยู่ในลู่วิ่งแห่งชีวิตต่อไป.—เทียบกับบทเพลงสรรเสริญ 92:13, 14.
สิ่งที่มีอยู่พร้อม—การดูแลทางการแพทย์ซึ่งมีค่าใช้จ่ายต่ำแต่ประสิทธิภาพสูง
ความก้าวหน้าด้านวิทยาศาสตร์การแพทย์ในศตวรรษนี้ช่วยลดระดับเครื่องกีดขวางอันที่สามอย่างน่าทึ่ง นั่นคือ การดูแลทางการแพทย์—แต่ไม่ใช่ทั่วโลก. รายงานสุขภาพทั่วโลกปี 1998 (ภาษาอังกฤษ) ให้ข้อสังเกตว่า “จริง ๆ แล้ว ช่วงชีวิตตามที่คาดหวังได้ ระหว่างปี 1975 ถึง 1995 ได้ลดลง” ในประเทศยากจนหลายประเทศ. ผู้อำนวยการใหญ่องค์การอนามัยโลกให้ความเห็นว่า “3 ใน 4 ของผู้คนในประเทศที่ด้อยพัฒนาที่สุด ปัจจุบันนี้กำลังจะเสียชีวิตก่อนอายุ 50 ปี—ซึ่งเป็นช่วงชีวิตตามที่คาดหวังได้ทั่วโลกเมื่อห้าสิบปีที่แล้ว.”
ถึงกระนั้น จำนวนผู้สูงอายุและคนหนุ่มสาวที่เพิ่มขึ้นเรื่อย ๆ ในประเทศยากจน กำลังทำให้เครื่องกีดขวางนี้ต่ำลงโดยใช้ประโยชน์จากระบบดูแลสุขภาพซึ่งมีอยู่พร้อมและผู้คนสามารถรับมือกับค่าบริการได้. ขอพิจารณาตัวอย่างหนึ่ง นั่นคือ วิธีการใหม่ในการรักษาวัณโรค (ทีบี).
ทั่วโลก วัณโรคคร่าชีวิตผู้คนมากกว่าเอดส์, มาลาเรีย, และโรคอื่น ๆ ในเขตร้อนรวมกัน กล่าวคือ 8,000 คนต่อวัน. จากผู้ป่วยวัณโรคทุก ๆ 100 คนมี 95 คนอาศัยอยู่ในประเทศกำลังพัฒนา. ปัจจุบันมีราว ๆ 20 ล้านคนป่วยเป็นวัณโรคระยะแพร่เชื้อ และราว ๆ 30 ล้านคนอาจเสียชีวิตภายในสิบปีข้างหน้าซึ่งมีจำนวนเท่ากับประชากรของโบลิเวีย, กัมพูชา, และมาลาวีรวมกัน.
ไม่แปลกที่องค์การอนามัยโลกแถลงในปี 1997 ด้วยความปลื้มปีติว่าได้พัฒนายุทธวิธีในการรักษาวัณโรคภายในหกเดือนโดยไม่ต้องนอนที่โรงพยาบาลหรือใช้เทคนิคทางการแพทย์ชั้นสูง. สิ่งพิมพ์ขององค์การอนามัยโลกชื่อผู้เฝ้าดูการรักษาวัณโรค (ภาษาอังกฤษ) ให้ข้อสังเกตว่า “เป็นครั้งแรกที่โลกมีเครื่องมือและยุทธวิธีที่ได้รับการพิสูจน์แล้วว่าจะคว่ำทำลายการแพร่ระบาดของวัณโรค ไม่เพียงในประเทศที่มั่งคั่ง แต่ในประเทศที่ยากจนที่สุดในโลกด้วย.” ยุทธวิธีดังกล่าว—ซึ่งบางคนบอกว่าเป็น “ความก้าวหน้าด้านสาธารณสุขที่สำคัญที่สุดในทศวรรษนี้”—เรียกกันว่า ดอตส์.e
แม้ค่าใช้จ่ายของยุทธวิธีนี้จะน้อยกว่ามากเมื่อเทียบกับวิธีรักษาวัณโรคที่ปฏิบัติสืบทอดกันมา แต่ปรากฏว่ากำลังไปได้ดี โดยเฉพาะอย่างยิ่งสำหรับผู้ที่อาศัยอยู่ในประเทศกำลังพัฒนา. ดร. อะราตา โกชี ผู้อำนวยการโครงการวัณโรคทั่วโลกขององค์การอนามัยโลกบอกว่า “ไม่มียุทธวิธีควบคุมอื่นใดที่พิสูจน์ให้เห็นอย่างต่อเนื่องว่ารักษาวัณโรคได้ในอัตราสูงเช่นนี้. ดอตส์รักษาวัณโรคได้ในอัตราสูงถึง 95 เปอร์เซ็นต์ แม้ในประเทศที่ยากจนที่สุด.” พอถึงสิ้นปี 1997 มีการนำยุทธวิธีดอตส์ไปใช้ใน 89 ประเทศ. ปัจจุบันนี้จำนวนดังกล่าวเพิ่มถึง 96 ประเทศ. องค์การอนามัยโลกหวังว่า ยุทธวิธีนี้จะเข้าถึงคนยากจนอีกหลายล้านคนในประเทศที่ด้อยพัฒนาที่สุด ซึ่งจะทำให้พวกเขาสามารถลดระดับเครื่องกีดขวางอย่างที่สามในการวิ่งเกี่ยวด้วยชีวิต.
โดยการเปลี่ยนนิสัย, การยกระดับสิ่งแวดล้อม, และการปรับปรุงด้านการดูแลทางการแพทย์ มนุษย์สามารถเพิ่มระดับเฉลี่ยของอายุขัยและช่วงชีวิตตามที่คาดหวังได้อย่างแท้จริง. คำถามก็คือ จะเป็นไปได้ไหมที่สักวันหนึ่งมนุษย์จะเพิ่มระดับสูงสุด ของอายุขัยได้ด้วย—บางที กระทั่งอยู่ตลอดไปไม่สิ้นสุด?
[เชิงอรรถ]
a ถึงแม้คำ “ช่วงชีวิตตามที่คาดหวังได้” และ “อายุขัยโดยเฉลี่ย” มักจะใช้แทนกันได้ แต่สองคำนี้ต่างกัน. “ช่วงชีวิตตามที่คาดหวังได้” พาดพิงถึงจำนวนปีที่บุคคลหนึ่งสามารถคาดหวัง ได้ว่าจะมีชีวิตอยู่ ส่วน “อายุขัยโดยเฉลี่ย” พาดพิงถึงจำนวนปีโดยเฉลี่ยที่ประชากรในประเทศหนึ่ง ๆ มีชีวิตอยู่จริง. ด้วยเหตุนี้ การกะประมาณช่วงชีวิตตามที่คาดหวังได้จึงอาศัยอายุขัยโดยเฉลี่ย.
b นอกจากปัจจัยที่พอจะแก้ได้เหล่านี้แล้ว ยังมีองค์ประกอบทางพันธุกรรมที่ตกทอดมาทางกรรมพันธุ์อันเป็นปัจจัยที่มนุษย์ไม่อาจแก้ไขได้ ซึ่งประจักษ์ชัดว่ามีผลกระทบต่อสุขภาพและความยาวนานของชีวิตมนุษย์. เรื่องนี้จะพิจารณาในบทความถัดไป.
c เพื่อได้ข้อมูลเพิ่มเติมเกี่ยวด้วยวิธีปรับปรุงสิ่งแวดล้อมในบ้านด้วยมาตรการง่าย ๆ โปรดดูบทความ “การรับมือกับสิ่งท้าทายด้านความสะอาด” และ “สิ่งที่กำหนดสุขภาพของคุณ—สิ่งที่คุณทำได้” ในตื่นเถิด! ฉบับ 8 พฤศจิกายน 1988 และ 8 เมษายน 1995.
d สถานที่ที่พยานพระยะโฮวาจัดการประชุมในแต่ละสัปดาห์เรียกเต็ม ๆ ว่า หอประชุมราชอาณาจักร. การประชุมนี้เปิดให้คนทั่วไปเข้ามาฟังได้ และไม่มีการเรี่ยไร.
e ดอตส์ (DOTS) ย่อมาจาก directly observed treatment, short-course (การรักษาระยะสั้นภายใต้การเฝ้าดูโดยตรง). เพื่อได้ข้อมูลมากขึ้นเกี่ยวกับยุทธวิธีดอตส์ โปรดดูบทความ “วิธีป้องกันแบบใหม่ในการต่อสู้กับวัณโรค” ในตื่นเถิด! ฉบับ 8 มิถุนายน 1999.
[กรอบ/ภาพหน้า 6]
ออกกำลังกายแบบไหนและมากเท่าไร?
สถาบันชราภาพแห่งชาติ (เอ็นไอเอ) บอกว่า “การออกกำลังกายพอประมาณ โดยใช้เวลาสามสิบนาทีในแต่ละวันเป็นเป้าหมายที่ดี.” แต่คุณไม่ต้องออกกำลังกายรวดเดียว 30 นาที. การแบ่งการออกกำลังกายออกเป็นช่วงสั้น ๆ สามช่วง ช่วงละ 10 นาที กล่าวกันว่ามีประโยชน์เท่ากับการออกกำลังกายในแบบเดียวกันรวดเดียว 30 นาที. การออกกำลังกายแบบไหนที่คุณอาจทำได้? จุลสารอย่าเอาแต่นั่ง ๆ นอน ๆ: จงออกกำลังกาย! (ภาษาอังกฤษ) ของเอ็นไอเอ เสนอแนะว่า “การออกกำลังช่วงสั้น ๆ เช่น การเดินขึ้นบันไดแทนที่จะขึ้นลิฟต์ หรือเดินแทนที่จะขับรถ อาจเอามารวมกันเป็นการออกกำลังกายประจำวัน 30 นาทีก็ได้. การคราดใบไม้ใบหญ้า, การวิ่งเล่นกับเด็ก ๆ, การแต่งสวน, และกระทั่งการทำงานบ้าน อาจทำในแบบที่สามารถนับรวมอยู่ในการออกกำลังกายประจำวันของคุณได้.” แน่ละ เป็นการสุขุมที่จะปรึกษาแพทย์ก่อนเริ่มโปรแกรมออกกำลังกาย.
[รูปภาพ]
การออกกำลังกายพอประมาณสามารถช่วยผู้สูงอายุให้กลับแข็งแรงและมีกำลังวังชาอีก
[กรอบ/ภาพหน้า 7]
ให้ความคิดจิตใจยืดหยุ่นอยู่เสมอ
การศึกษาวิจัยทางวิทยาศาสตร์เกี่ยวข้องกับผู้สูงอายุหลายพันคน ได้พบปัจจัยหลายประการที่ช่วยให้ความคิดของผู้สูงอายุยืดหยุ่นอยู่เสมอ. ปัจจัยดังกล่าวรวมถึง “การเข้าร่วมอย่างจริงจังในการอ่าน, การเดินทาง, งานรื่นเริงประจำท้องถิ่น, การศึกษา, การเข้าสโมสร, และสมาคมเชิงวิชาชีพ.” “ทำโน่นทำนี่ ให้มากเท่าที่เป็นไปได้.” “ทำงานต่อไป. อย่าเกษียณอายุตัวเอง.” “ปิดทีวี.” “เรียนอะไรบางอย่าง.” เชื่อกันว่า กิจกรรมเหล่านี้ไม่เพียงชูใจเท่านั้น แต่ยังสร้างจุดเชื่อมต่อใหม่ ๆ ในสมองอีกด้วย.
[รูปภาพ]
การออกกำลังทางจิตใจช่วยรักษาความคิดให้ยืดหยุ่นอยู่เสมอ
[กรอบ/ภาพหน้า 8]
เคล็ดลับเพื่อสุขภาพสำหรับผู้ที่กำลังสูงวัยขึ้น
สถาบันชราภาพแห่งชาติ ซึ่งเป็นหน่วยงานหนึ่งของกระทรวงสาธารณสุขและบริการมนุษยชนของสหรัฐ บอกว่า “โอกาสที่จะคงไว้ซึ่งสุขภาพแข็งแรงและชีวิตยืนยาวสามารถปรับปรุงให้ดีขึ้นได้” โดยติดตามคำแนะนำที่ฉลาดสุขุม ดังต่อไปนี้:
• รับประทานอาหารให้ได้สัดส่วน รวมทั้งผักและผลไม้.
• ถ้าคุณดื่มแอลกอฮอล์ ให้ดื่มพอประมาณ.
• อย่าสูบบุหรี่. ไม่มีคำว่าสายเกินไปที่จะเลิกสูบ.
• ออกกำลังกายเป็นประจำ. ปรึกษาแพทย์ก่อนเริ่มโปรแกรมออกกำลังกาย.
• ติดต่อพูดคุยกับคนในครอบครัวและเพื่อน ๆ อยู่เสมอ.
• คงไว้ซึ่งความขันแข็งโดยการทำงาน, การเล่น, และการปฏิสัมพันธ์กับผู้คนในชุมชน.
• รักษาเจตคติในเชิงบวกต่อชีวิต.
• ทำสิ่งที่ทำให้คุณมีความสุข.
• ตรวจสุขภาพเป็นประจำ.
[กรอบหน้า 9]
เซลล์สมองจากมุมมองใหม่
แพทย์หญิงแมรีลิน อัลเบิร์ต อาจารย์ด้านจิตเวชศาสตร์และประสาทวิทยาบอกว่า “เราเคยคิดว่า ตลอดช่วงชีวิตของคุณ คุณจะสูญเสียเซลล์สมองไปทุกวันและในทุกส่วนของสมอง. นั่นไม่เป็นความจริง—หากคุณแก่ลงอย่างมีสุขภาพดี คุณจะสูญเสียเซลล์ไปบ้างแต่ก็ไม่มากอย่างที่คิด และเฉพาะในบางส่วนเท่านั้น.” อนึ่ง การค้นพบเมื่อไม่นานมานี้ชี้ว่า คำกล่าวที่ว่ามนุษย์ไม่สามารถสร้างเซลล์สมองใหม่ขึ้นมาได้ แม้จะเชื่อกันมานาน ถ้าจะว่าไป ถือเป็นคำกล่าวที่ “พูดคลุมมากเกินไป” ตามรายงานจากไซเยนติฟิก อเมริกัน ฉบับพฤศจิกายน 1998. นักวิทยาศาสตร์ด้านเซลล์ประสาทบอกว่า บัดนี้พวกเขามีหลักฐานมากขึ้นว่า แม้ผู้สูงอายุก็ยัง “สร้างนิวรอนเพิ่มอีกนับร้อยนับพัน.”
[กรอบหน้า 11]
อายุมากขึ้นและฉลาดขึ้นหรือ?
คัมภีร์ไบเบิลถามว่า “สติปัญญามิได้อยู่ท่ามกลางคนมีอายุหรือ และความเข้าใจมิได้อยู่ในอายุยืนยาวหรือ?” (โยบ 12:12, ล.ม.) คำตอบคืออะไร? พวกนักวิจัยได้ทำการศึกษาผู้สูงอายุเพื่อวัดคุณลักษณะต่าง ๆ เช่น “ความหยั่งเห็นเข้าใจ, วิจารณญาณ, ทัศนะ, และความสามารถในการประเมินค่านิยมที่ขัดแย้งกันแล้วคิดวิธีที่ดีเพื่อแก้ปัญหา.” ตามคำกล่าวของวารสารยู.เอส.นิวส์ แอนด์ เวิลด์ รีพอร์ต การศึกษาวิจัยได้แสดงให้เห็นว่า “ผู้สูงอายุมักจะเหนือชั้นกว่าคนหนุ่มสาวในทุกด้านของสติปัญญา ให้คำแนะนำที่ลึกซึ้งและน่าคิดกว่า.” การศึกษาวิจัยยังแสดงให้เห็นด้วยว่า “แม้บ่อยครั้งผู้สูงอายุจะใช้เวลานานกว่าวัยรุ่นในการตัดสินใจ แต่โดยปกติแล้วจะดีกว่า.” ฉะนั้น ดังที่พระธรรมโยบในคัมภีร์ไบเบิลชี้ให้เห็น การมีอายุหมายถึงความฉลาดสุขุมจริง ๆ.
[รูปภาพหน้า 5]
ชีวิตมนุษย์เปรียบเสมือนการวิ่งแข่งที่เต็มไปด้วยเครื่องกีดขวาง
[รูปภาพหน้า 9]
“ทำให้คนที่อยู่กับคุณมีความสุข” หญิงม่ายคนหนึ่งแนะนำ
[รูปภาพหน้า 10]
“การช่วยคนอื่น ๆ ให้รู้จักความหมายแท้ของชีวิตเป็นงานที่น่าอิ่มใจพอใจ.”—เอวีลีน
[รูปภาพหน้า 10]
“ที่หอประชุมของเรา ฉันชอบคุยกับคนโน้นคนนี้ ทั้งหนุ่มสาวและคนสูงอายุ.”—ลูวิส