หนังสือจากพระเจ้า
“ไม่มีคราวใดที่มีการนำคำพยากรณ์ออกมาตามน้ำใจของมนุษย์ แต่มนุษย์ได้กล่าวมาจากพระเจ้า ตามที่เขาได้รับการทรงนำโดยพระวิญญาณบริสุทธิ์.”—2 เปโตร 1:21, ล.ม.
1, 2. (ก) เหตุใดบางคนสงสัยว่าคัมภีร์ไบเบิลเหมาะสำหรับการดำเนินชีวิตสมัยใหม่หรือไม่? (ข) เราอาจใช้ข้อพิสูจน์สามแนวทางอะไรบ้างเพื่อแสดงว่าคัมภีร์ไบเบิลมาจากพระเจ้า?
คัมภีร์ไบเบิลเหมาะกับผู้คนที่มีชีวิตอยู่ในเวลานี้ซึ่งจวนจะถึงศตวรรษที่ 21 อยู่แล้วไหม? บางคนคิดว่าไม่. นายแพทย์อิไล เอส. เชเซน เขียนชี้แจงเหตุผลที่เขาคิดว่าคัมภีร์ไบเบิลล้าสมัยดังนี้: “คงไม่มีใครสนับสนุนให้ใช้ [ตำรา] วิชาเคมีฉบับปี 1924 ในชั้นเรียนวิชาเคมีสมัยใหม่ เพราะหลังจากนั้น เราได้เรียนรู้อีกมากทีเดียวในวิชาเคมี.” ฟังเผิน ๆ เหตุผลข้อนี้ดูเหมือนว่าฟังขึ้น. ที่จริง มนุษย์ได้เรียนรู้มากมายเกี่ยวกับวิทยาศาสตร์, สุขภาพจิต, และพฤติกรรมของมนุษย์นับตั้งแต่สมัยพระคัมภีร์. ดังนั้น บางคนจึงสงสัยว่า ‘เป็นไปได้อย่างไรที่หนังสือโบราณเช่นนั้นจะปราศจากข้อผิดพลาดในทางวิทยาศาสตร์? เป็นไปได้อย่างไรที่หนังสือนี้มีคำแนะนำที่ใช้ได้จริงสำหรับการดำเนินชีวิตสมัยใหม่?’
2 คัมภีร์ไบเบิลเองให้คำตอบ. 2 เปโตร 1:21 บอกเราว่าผู้พยากรณ์ในคัมภีร์ไบเบิล “กล่าวคำซึ่งมาจากพระเจ้าตามที่พระวิญญาณบริสุทธิ์ได้ทรงดลใจให้กล่าวนั้น.” โดยวิธีนี้ คัมภีร์ไบเบิลบ่งบอกตัวเองว่าเป็นหนังสือที่มาจากพระเจ้า. กระนั้น เราสามารถช่วยให้ผู้อื่นเชื่อมั่นว่าเป็นอย่างนั้นจริงได้โดยวิธีใด? ให้เราพิจารณาข้อพิสูจน์สามประการที่ว่าคัมภีร์ไบเบิลเป็นพระคำของพระเจ้า: (1) มีความถูกต้องแม่นยำทางวิทยาศาสตร์ (2) มีหลักการที่ใช้ได้อยู่เสมอซึ่งใช้ได้ผลกับการดำเนินชีวิตสมัยใหม่ และ (3) มีคำพยากรณ์ที่เฉพาะเจาะจงซึ่งสำเร็จเป็นจริงแล้ว ดังที่ข้อเท็จจริงทางประวัติศาสตร์พิสูจน์ให้เห็น.
หนังสือที่ลงรอยกับวิทยาศาสตร์
3. เหตุใดการค้นพบทางวิทยาศาสตร์ไม่ได้เป็นภัยคุกคามต่อคัมภีร์ไบเบิล?
3 คัมภีร์ไบเบิลไม่ใช่ตำราวิทยาศาสตร์. อย่างไรก็ดี คัมภีร์ไบเบิลเป็นหนังสือแห่งความจริง และความจริงสามารถทนทานการทดสอบของกาลเวลา. (โยฮัน 17:17) การค้นพบทางวิทยาศาสตร์ไม่ได้เป็นภัยคุกคามต่อคัมภีร์ไบเบิล. เมื่อคัมภีร์ไบเบิลกล่าวถึงเรื่องที่เกี่ยวกับวิทยาศาสตร์ พระคัมภีร์ปราศจากแนวคิดตามทฤษฎีโบราณ “ทางวิทยาศาสตร์” อย่างสิ้นเชิง ซึ่งแนวคิดเหล่านั้นถูกพิสูจน์แล้วว่าเป็นเพียงนิยายปรัมปรา. ที่จริง พระคัมภีร์มีถ้อยคำซึ่งไม่เพียงถูกต้องตามหลักวิทยาศาสตร์ แต่ยังขัดแย้งอย่างเห็นได้ชัดกับความเชื่อถืออันเป็นที่ยอมรับกันในสมัยนั้น. ตัวอย่างเช่น ขอพิจารณาความลงรอยกันระหว่างคัมภีร์ไบเบิลกับวิทยาศาสตร์การแพทย์.
4, 5. (ก) แพทย์สมัยโบราณไม่เข้าใจอะไรเกี่ยวกับโรค? (ข) เพราะเหตุใดจึงกล่าวได้อย่างมั่นใจว่าโมเซคุ้นเคยกับวิธีรักษาของพวกหมอชาวอียิปต์?
4 แพทย์สมัยโบราณไม่เข้าใจเต็มที่ว่าโรคแพร่อย่างไร อีกทั้งไม่ตระหนักถึงความสำคัญของสุขอนามัยในการป้องกันโรคภัยไข้เจ็บ. การเยียวยารักษาทางการแพทย์สมัยโบราณนั้นดูป่าเถื่อนเมื่อเทียบกับมาตรฐานสมัยใหม่. ตำราแพทย์เก่าที่สุดฉบับหนึ่งเท่าที่พอจะหาได้คือเอเบอส์ พาไพรัส ซึ่งเป็นตำราที่รวบรวมความรู้ทางการแพทย์ของชาวอียิปต์ซึ่งมีอายุตั้งแต่ประมาณปี 1550 ก่อนสากลศักราช. ในม้วนหนังสือนี้มีวิธีรักษา 700 วิธีสำหรับรักษาโรคภัยไข้เจ็บหลายหลากชนิด “มีตั้งแต่จระเข้กัดไปจนถึงอาการเจ็บเล็บเท้า.” วิธีรักษาส่วนใหญ่นั้นไม่เพียงแต่ไม่ได้ผล แต่บางวิธีเป็นอันตรายอย่างยิ่ง. สำหรับบาดแผล วิธีรักษาตำรับหนึ่งแนะให้ใช้ส่วนผสมที่ทำจากอุจจาระคนผสมกับสารอื่น ๆ.”
5 ตำราแพทย์ของชาวอียิปต์นี้เขียนขึ้นราว ๆ สมัยเดียวกับที่มีการเขียนพระธรรมเล่มแรก ๆ ของคัมภีร์ไบเบิล ซึ่งรวมถึงพระบัญญัติของโมเซด้วย. โมเซซึ่งเกิดในปี 1593 ก.ส.ศ. เติบโตขึ้นในอียิปต์. (เอ็กโซโด 2:1-10) โดยได้รับการเลี้ยงดูในราชวงศ์ของฟาโรห์ โมเซได้รับ “การสอนในวิชาการทุกอย่างของชาวอียิปต์.” (กิจการ 7:22, ฉบับแปลใหม่) ท่านรู้จักคุ้นเคยกับ “พวกหมอ” ของอียิปต์. (เยเนซิศ 50:1-3) การปฏิบัติทางการแพทย์ที่ไร้ผลหรือเป็นอันตรายของหมอเหล่านั้นมีอิทธิพลต่อข้อเขียนของท่านไหม?
6. กฎข้อบังคับด้านสุขอนามัยข้อใดในพระบัญญัติของโมเซที่นับว่ามีเหตุผลตามหลักวิทยาศาสตร์การแพทย์สมัยใหม่?
6 ตรงกันข้าม พระบัญญัติของโมเซมีกฎข้อบังคับด้านสุขอนามัยซึ่งนับว่ามีเหตุผลตามหลักวิทยาศาสตร์การแพทย์สมัยใหม่. ตัวอย่างเช่น กฎเกี่ยวกับการตั้งค่ายทหารเรียกร้องให้ฝังอุจจาระนอกค่าย. (พระบัญญัติ 23:13) กฎข้อนี้เป็นมาตรการป้องกันที่ล้ำหน้าอย่างยิ่งทีเดียว. กฎนี้ช่วยรักษาแหล่งน้ำไม่ให้ปนเปื้อนและเป็นการป้องกันการติดเชื้อโรคบิดมีตัวซึ่งแมลงวันเป็นพาหะและโรคท้องร่วงชนิดอื่น ๆ ที่ยังคงคร่าชีวิตคนเป็นล้าน ๆ ทุกปี ซึ่งส่วนใหญ่อยู่ในประเทศกำลังพัฒนา.
7. กฎข้อบังคับด้านสุขอนามัยข้อใดในพระบัญญัติของโมเซที่ช่วยป้องกันการระบาดของเชื้อโรค?
7 พระบัญญัติของโมเซยังมีกฎข้อบังคับอื่น ๆ ด้านสุขอนามัยซึ่งช่วยป้องกันการระบาดของโรคติดเชื้อ. บุคคลที่เป็นหรือสงสัยว่าเป็นโรคติดต่อจะถูกกักบริเวณ. (เลวีติโก 13:1-5) เสื้อผ้าหรือภาชนะที่ถูกต้องสัตว์ซึ่งตายเอง (บางทีเนื่องจากเป็นโรค) จะต้องซักหรือล้างก่อนนำมาใช้อีกหรือไม่ก็ทำลายเสีย. (เลวีติโก 11:27, 28, 32, 33) ใครก็ตามที่แตะต้องศพจะถือว่าเป็นมลทินและต้องผ่านขั้นตอนการชำระล้างซึ่งรวมถึงการซักเสื้อผ้าและการอาบน้ำ. ระหว่างช่วงเจ็ดวันแห่งการเป็นมลทิน เขาต้องหลีกเลี่ยงการแตะต้องคนอื่น ๆ.—อาฤธโม 19:1-13.
8, 9. เหตุใดจึงกล่าวได้ว่ากฎหมายในเรื่องสุขอนามัยในพระบัญญัติของโมเซล้ำสมัย?
8 กฎข้อบังคับด้านสุขอนามัยนี้เผยให้เห็นถึงสติปัญญาซึ่งล้ำสมัยมาก. วิทยาศาสตร์การแพทย์สมัยใหม่ได้เรียนรู้มากมายเกี่ยวกับการระบาดของโรคและการป้องกัน. ตัวอย่างเช่น ความก้าวหน้าทางการแพทย์ในศตวรรษที่ 19 ทำให้มีการนำเอาการฆ่าเชื้อเข้ามาใช้ กล่าวคือการรักษาความสะอาดเพื่อลดการติดเชื้อ. ผลคือ การติดเชื้อและการตายก่อนวัยอันควรลดลงอย่างมาก. ในปี 1900 เฉลี่ยอายุที่คาดหวังได้เมื่อแรกเกิดสำหรับหลายประเทศในยุโรปและในสหรัฐต่ำกว่า 50 ปี. นับแต่นั้นมา มีการเพิ่มขึ้นอย่างน่าทึ่งของเฉลี่ยอายุที่คาดหวังได้ซึ่งไม่ได้เป็นเพราะความก้าวหน้าทางการแพทย์ในการควบคุมโรคเท่านั้น แต่เพราะสุขอนามัยและสภาพความเป็นอยู่ที่ดีขึ้นด้วย.
9 กระนั้น หลายพันปีก่อนวิทยาศาสตร์การแพทย์เรียนรู้ในเรื่องวิธีที่โรคแพร่ระบาด คัมภีร์ไบเบิลได้กำหนดมาตรการป้องกันที่สมเหตุผลเอาไว้แล้วเพื่อป้องกันโรค. จึงไม่น่าแปลกใจที่โมเซสามารถกล่าวถึงชาวยิศราเอลโดยทั่วไปในสมัยของท่านว่ามีชีวิตยืนถึง 70 หรือ 80 ปี. (บทเพลงสรรเสริญ 90:10) โมเซทราบได้อย่างไรในเรื่องกฎเกณฑ์ด้านสุขอนามัยเช่นนั้น? คัมภีร์ไบเบิลเองชี้แจงว่า กฎหมายนั้น “ถูกส่งผ่านทางเหล่าทูตสวรรค์.” (ฆะลาเตีย 3:19, ล.ม.) ใช่แล้ว คัมภีร์ไบเบิลไม่ใช่หนังสือที่มาจากสติปัญญามนุษย์; หนังสือนี้มาจากพระเจ้า.
หนังสือที่ใช้ได้จริงสำหรับการดำเนินชีวิตสมัยใหม่
10. ถึงแม้คัมภีร์ไบเบิลเขียนเสร็จเกือบ 2,000 ปีมาแล้ว เป็นจริงเช่นไรเกี่ยวกับคำแนะนำที่อยู่ในนั้น?
10 หนังสือที่ให้คำแนะนำต่าง ๆ มีแนวโน้มว่าจะล้าสมัย และไม่ช้าก็ต้องปรับปรุงหรือเปลี่ยนใหม่. แต่คัมภีร์ไบเบิลไม่เหมือนหนังสืออื่นใดอย่างแท้จริง. บทเพลงสรรเสริญ 93:5 (ล.ม.) กล่าวว่า “ข้อเตือนใจของพระองค์ปรากฏว่าน่าไว้วางใจอย่างยิ่ง.” ถึงแม้คัมภีร์ไบเบิลเขียนเสร็จเกือบ 2,000 ปีมาแล้ว แต่ถ้อยคำในคัมภีร์ไบเบิลก็ยังคงนำมาใช้ได้. และถ้อยคำเหล่านั้นใช้ได้ผลเท่ากัน ไม่ว่าเราจะมีผิวสีอะไรหรืออยู่ในประเทศไหน. ขอพิจารณาบางตัวอย่างในคัมภีร์ไบเบิลเกี่ยวกับคำแนะนำที่ “น่าไว้วางใจอย่างยิ่ง” ซึ่งใช้ได้ทุกยุคทุกสมัย.
11. หลายทศวรรษมาแล้ว บิดามารดาถูกชักจูงให้เชื่อเช่นไรเกี่ยวกับการอบรมบุตร?
11 หลายทศวรรษมาแล้วที่บิดามารดาจำนวนมาก ซึ่งถูกกระตุ้นด้วย “แนวคิดใหม่” เรื่องการอบรมบุตร คิดกันว่า “การห้ามปรามเป็นเรื่องต้องห้าม.” พวกเขากลัวว่าการวางข้อจำกัดกับบุตรอาจทำให้เกิดความบอบช้ำทางใจและความข้องขัดใจ. พวกที่ปรึกษาด้านการเลี้ยงดูบุตรซึ่งมีเจตนาดียืนยันว่า บิดามารดาไม่ควรทำอะไรมากไปกว่าการกล่าวแก้ไขบุตรของตนอย่างนุ่มนวลที่สุด. หนังสือพิมพ์เดอะ นิวยอร์ก ไทมส์ รายงานว่า มาบัดนี้ผู้เชี่ยวชาญเหล่านั้นหลายคนกำลัง “กระตุ้นเตือนบิดามารดาให้เข้มงวดเพิ่มขึ้นบ้าง และใช้วินัยกับบุตรอีกครั้งหนึ่ง.”
12. คำนามภาษากรีกที่ได้รับการแปลว่า “ตีสอน” มีความหมายอย่างไร และเหตุใดบุตรจำต้องได้รับการตีสอนเช่นนั้น?
12 อย่างไรก็ดี คัมภีร์ไบเบิลได้ให้คำแนะนำที่เจาะจงและสมดุลตลอดมาเกี่ยวกับการเลี้ยงดูบุตร. คัมภีร์ไบเบิลบอกดังนี้: “ท่านทั้งหลายผู้เป็นบิดา อย่ายั่วบุตรของท่านให้ขัดเคืองใจ แต่จงอบรมเขาด้วยการตีสอนและการปรับความคิดจิตใจตามหลักการของพระยะโฮวา.” (เอเฟโซ 6:4, ล.ม.) คำนามภาษากรีกที่ได้รับการแปลว่า “การตีสอน” หมายถึง “การเลี้ยงดู, การฝึก, การสั่งสอน.” คัมภีร์ไบเบิลกล่าวว่า การตีสอนหรือการสั่งสอนเช่นนั้นเป็นหลักฐานแสดงความรักของบิดามารดา. (สุภาษิต 13:24) เด็ก ๆ จะวัฒนาขึ้นถ้ามีแนวชี้แนะทางศีลธรรมอันแจ่มชัดซึ่งช่วยเขาพัฒนาความรู้สึกผิดชอบชั่วดี. การตีสอนอย่างเหมาะสมช่วยพวกเขาให้รู้สึกมั่นคง; บอกพวกเขาให้ทราบว่าบิดามารดาห่วงใยพวกเขา และในเรื่องที่ว่าพวกเขากำลังจะเติบโตขึ้นเป็นบุคคลชนิดใด.—เทียบกับสุภาษิต 4:10-13.
13. (ก) ในเรื่องการตีสอน คัมภีร์ไบเบิลให้คำเตือนอะไรแก่บิดามารดา? (ข) คัมภีร์ไบเบิลสนับสนุนการตีสอนแบบใด?
13 แต่คัมภีร์ไบเบิลเตือนบิดามารดาในเรื่องการตีสอน. บิดามารดาไม่ควรใช้อำนาจอย่างผิด ๆ. (สุภาษิต 22:15) เด็กไม่ควรตกเป็นเหยื่อของการทำโทษอย่างทารุณโหดร้าย. ไม่มีที่สำหรับความรุนแรงทางกายในครอบครัวซึ่งดำเนินชีวิตตามหลักการของคัมภีร์ไบเบิล. (บทเพลงสรรเสริญ 11:5) ความรุนแรงทางอารมณ์ก็เช่นกัน ไม่ว่าจะเป็นคำพูดที่เกรี้ยวกราด, การกล่าวติเตียนอยู่ตลอด, และการพูดกระทบกระเทียบให้เจ็บแสบ ซึ่งทั้งหมดนี้อาจทำให้เด็กเจ็บช้ำน้ำใจ. (เทียบกับสุภาษิต 12:18.) คัมภีร์ไบเบิลเตือนบิดามารดาอย่างสุขุมดังนี้: “อย่ายั่วบุตรของตนให้ขัดเคืองใจ, เกรงว่าเขาจะท้อใจ [หรือ “ท่านจะทำให้เขาหมดกำลังใจ,” ฟิลลิปส์].” (โกโลซาย 3:21) คัมภีร์ไบเบิลแนะนำให้ใช้มาตรการในเชิงป้องกัน. พระบัญญัติ 11:19 กระตุ้นเตือนบิดามารดาให้ใช้ช่วงเวลาที่รู้สึกผ่อนคลายให้เป็นประโยชน์ในการปลูกฝังค่านิยมด้านศีลธรรมและค่านิยมฝ่ายวิญญาณไว้ในบุตรของตน. คำแนะนำในเรื่องการเลี้ยงดูบุตรที่ชัดเจนและมีเหตุผลเช่นนั้นเหมาะสำหรับทุกวันนี้เช่นเดียวกับในสมัยพระคัมภีร์.
14, 15. (ก) ในทางใดที่คัมภีร์ไบเบิลจัดให้มีไม่เพียงแค่คำแนะนำที่สุขุม? (ข) คำสอนอะไรของคัมภีร์ไบเบิลสามารถช่วยชายหญิงต่างเชื้อชาติและสัญชาติให้ถือว่าทุกคนเท่าเทียมกัน?
14 คัมภีร์ไบเบิลจัดให้มีไม่เพียงแค่คำแนะนำที่สุขุม. เนื้อความในพระคัมภีร์ยังเข้าถึงหัวใจด้วย. เฮ็บราย 4:12 กล่าวว่า “พระคำของพระเจ้าประกอบด้วยชีวิต, และด้วยฤทธิ์เดช, และคมกว่าดาบสองคม, และแทงทะลุกะทั่งจิตต์และวิญญาณ, ทั้งข้อกะดูกและไขในกะดูก, และอาจวินิจฉัยความคิดและความมุ่งหมายในใจ.” ขอให้พิจารณาตัวอย่างหนึ่งเกี่ยวกับพลังที่กระตุ้นใจของคัมภีร์ไบเบิล.
15 ผู้คนทุกวันนี้ถูกแบ่งแยกด้วยสิ่งกีดขวางทางเชื้อชาติ, สัญชาติ, และชาติพันธุ์. กำแพงกีดขวางที่มนุษย์สร้างขึ้นมานี้มีส่วนทำให้เกิดการสังหารมนุษย์ที่ไร้ความผิดอย่างมากมายในสงครามตลอดทั่วโลก. ในทางตรงกันข้าม คัมภีร์ไบเบิลมีคำสอนที่ช่วยชายหญิงต่างเชื้อชาติและสัญชาติให้ถือว่าทุกคนเท่าเทียมกัน. ตัวอย่างเช่น กิจการ 17:26 (ล.ม.) กล่าวว่าพระเจ้า “ได้ทรงสร้างมนุษย์ทุกชาติจากคน ๆ เดียว.” ข้อนี้แสดงว่า แท้จริงแล้วมีเพียงเผ่าพันธุ์เดียวเท่านั้น คือเผ่าพันธุ์มนุษย์! คัมภีร์ไบเบิลยังสนับสนุนเราอีกด้วยให้ “เป็นผู้เลียนแบบพระเจ้า” ผู้ซึ่งพระคัมภีร์กล่าวถึงว่า “[พระองค์] ไม่ทรงเลือกหน้าผู้ใด แต่ชาวชนในประเทศใด ๆ ที่เกรงกลัวพระองค์และประพฤติในทางชอบธรรมก็เป็นที่ชอบพระทัยพระองค์.” (เอเฟโซ 5:1, ล.ม.; กิจการ 10:34, 35) สำหรับผู้ที่พยายามดำเนินชีวิตตามคำสอนในคัมภีร์ไบเบิลอย่างแท้จริง ความรู้นี้ส่งผลให้มีเอกภาพ. ความรู้นี้ส่งผลถึงระดับลึกที่สุด คือในหัวใจมนุษย์ ทำลายสิ่งกีดขวางที่มนุษย์สร้างขึ้นซึ่งทำให้ผู้คนแบ่งแยก. คัมภีร์ไบเบิลใช้ได้ผลจริง ๆ ไหมในโลกทุกวันนี้?
16. จงเล่าประสบการณ์ซึ่งแสดงว่า พยานพระยะโฮวามีภราดรภาพนานาชาติอย่างแท้จริง.
16 แน่นอนที่สุด! พยานพระยะโฮวามีชื่อเสียงในเรื่องภราดรภาพนานาชาติท่ามกลางพวกเขา ซึ่งทำให้ผู้คนที่มีภูมิหลังต่างกัน ซึ่งตามปกติไม่ยอมเป็นมิตรกัน ร่วมเป็นน้ำหนึ่งใจเดียวกัน. ตัวอย่างเช่น ในช่วงที่เกิดการต่อสู้กันระหว่างเผ่าพันธุ์ในรวันดา พยานพระยะโฮวาแต่ละเผ่าต่างก็ปกป้องพี่น้องคริสเตียนชายหญิงของพวกเขาไว้จากอีกเผ่าหนึ่ง แม้ว่าการทำเช่นนั้นเป็นการเสี่ยงชีวิตตัวเอง. ในรายหนึ่ง พยานฯ ชาวฮูตูคนหนึ่งได้ให้ที่ซ่อนในบ้านของเขาแก่ชาวทุตซีครอบครัวหนึ่งที่มีสมาชิกหกคนซึ่งอยู่ประชาคมเดียวกัน. น่าเศร้า ในที่สุดชาวทุตซีครอบครัวนี้ถูกค้นพบและถูกฆ่า. ถึงตอนนี้ ผู้สังหารเหล่านั้นโกรธแค้นพี่น้องชาวฮูตูคนนี้กับครอบครัวอย่างมาก และพวกเขาต้องหนีไปที่ประเทศแทนซาเนีย. มีรายงานกรณีคล้าย ๆ กันนี้หลายราย. พยานพระยะโฮวาอยู่พร้อมจะยอมรับว่า เอกภาพเช่นนั้นเป็นไปได้เพราะหัวใจของพวกเขาได้รับพลังกระตุ้นอย่างลึกซึ้งจากข่าวสารในคัมภีร์ไบเบิล. การที่คัมภีร์ไบเบิลสามารถทำให้ผู้คนในโลกนี้ที่เต็มด้วยความเกลียดชังเป็นน้ำหนึ่งใจเดียวกันได้ ย่อมเป็นข้อพิสูจน์ที่มีพลังว่าหนังสือนี้มาจากพระเจ้า.
หนังสือแห่งคำพยากรณ์แท้
17. คำพยากรณ์ในคัมภีร์ไบเบิลไม่เหมือนการทำนายของมนุษย์อย่างไร?
17 สองเปโตร 1:20 (ล.ม.) กล่าวว่า “ไม่มีคำพยากรณ์ในพระคัมภีร์ที่เกิดจากการแปลความหมายตามอำเภอใจแต่อย่างใด.” ผู้พยากรณ์ในคัมภีร์ไบเบิลไม่ได้วิเคราะห์แนวโน้มของเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นในโลก แล้วคาดคะเนเอาจากข้อเท็จจริงบางอย่างโดยอาศัยความเห็นของตนเองเพื่อตีความเหตุการณ์เหล่านั้น. พวกเขาไม่ได้กล่าวคำพยากรณ์อย่างคลุมเครือซึ่งอาจตีความให้เข้ากับเหตุการณ์ใดก็ได้ในอนาคต. เพื่อเป็นตัวอย่าง ขอให้เราพิจารณาคำพยากรณ์ในคัมภีร์ไบเบิลซึ่งชี้เฉพาะเป็นพิเศษ และพยากรณ์ตรงกันข้ามกับสิ่งที่ผู้คนซึ่งมีชีวิตอยู่ในตอนนั้นอาจคาดหมาย.
18. เหตุใดจึงไม่ต้องสงสัยเลยว่าประชากรของบาบูโลนโบราณรู้สึกมั่นคงปลอดภัย กระนั้น ยะซายาบอกล่วงหน้าเช่นไรเกี่ยวกับบาบูโลน?
18 พอถึงศตวรรษที่เจ็ด ก.ส.ศ. บาบูโลนเป็นนครหลวงที่ดูเหมือนไม่อาจพิชิตได้แห่งจักรวรรดิบาบูโลน. กรุงนี้ตั้งคร่อมแม่น้ำยูเฟรทีส และมีการใช้น้ำในแม่น้ำนี้เพื่อทำคูเมืองที่ทั้งกว้างและลึก รวมทั้งเครือข่ายคลองต่าง ๆ. กรุงนี้ยังมีการป้องกันโดยระบบกำแพงสองชั้นอันใหญ่โต ซึ่งเสริมด้วยบรรดาหอคอยป้องกันเมืองทั้งหลาย. จึงไม่น่าแปลกใจที่ประชากรในกรุงบาบูโลนรู้สึกมั่นคงปลอดภัยอย่างยิ่ง. กระนั้น ในศตวรรษที่แปด ก.ส.ศ. ก่อนที่บาบูโลนขึ้นสู่ความรุ่งเรืองสุดยอดด้วยซ้ำ ผู้พยากรณ์ยะซายาบอกล่วงหน้าว่า “กรุงบาบูโลน . . . จะเป็นเหมือนอย่างเมืองซะโดมและเมืองอะโมราที่พระเจ้าได้ทรงคว่ำทลายเสียนั้น. และเมืองนั้นจะไม่มีใครมาอยู่ต่อไปอีกเลย, และจะไม่มีใครมาตั้งบ้านเรือนอาศัยต่อไปทุกชั่วอายุ, ถึงพวกอาหรับก็จะไม่ตั้งกะโจมอาศัยอยู่ที่นั่น; หรือผู้เลี้ยงแกะจะไม่นำฝูงแกะไปพักนอนอยู่ที่นั่นเลย.” (ยะซายา 13:19, 20) โปรดสังเกตว่า คำพยากรณ์นี้ไม่เพียงแต่บอกล่วงหน้าว่าบาบูโลนจะถูกทำลาย แต่บอกด้วยว่ากรุงนี้จะกลายเป็นที่ซึ่งไม่มีผู้คนอาศัยอย่างถาวรด้วย. ช่างเป็นการพยากรณ์ที่กล้าหาญอะไรเช่นนั้น! เป็นไปได้ไหมว่ายะซายาเขียนคำพยากรณ์ของท่านหลังจากที่ท่านได้เห็นกรุงบาบูโลนรกร้างแล้ว? ประวัติศาสตร์ให้คำตอบว่าเป็นไปไม่ได้!
19. เหตุใดคำพยากรณ์ของยะซายาไม่ได้สำเร็จเป็นจริงอย่างครบถ้วนในวันที่ 5 ตุลาคม 539 ก.ส.ศ.?
19 ในคืนวันที่ 5 ตุลาคมของปี 539 ก.ส.ศ. กรุงบาบูโลนแตกด้วยน้ำมือของกองทัพแห่งมีเดีย-เปอร์เซียซึ่งนำโดยไซรัสมหาราช. อย่างไรก็ตาม คำพยากรณ์ของยะซายาไม่ได้สำเร็จเป็นจริงอย่างครบถ้วนในตอนนั้น. หลังจากถูกยึดครองโดยไซรัส กรุงบาบูโลนแม้ว่าตกต่ำลงไปแต่ก็ยังมีผู้คนอาศัยอยู่ต่อมาอีกหลายศตวรรษ. ในศตวรรษที่สอง ก.ส.ศ. ซึ่งประมาณช่วงเวลานั้นเองที่มีการคัดลอกม้วนหนังสือของยะซายาที่ค้นพบใกล้ทะเลตาย ชาวปาร์เทียก็ได้ยึดครองบาบูโลนซึ่งตอนนั้นถือว่าเป็นกรุงที่น่าปรารถนาเป็นพิเศษซึ่งชาติต่าง ๆ ที่อยู่ล้อมรอบต่อสู้แย่งชิงกัน. โยเซฟุสนักประวัติศาสตร์ชาวยิวรายงานว่า มีชาวยิว “จำนวนมาก” อาศัยอยู่ที่นั่นในศตวรรษที่หนึ่ง ก.ส.ศ. ตามในหนังสือประวัติศาสตร์สมัยโบราณฉบับเคมบริดจ์ พ่อค้าชาวแพลไมราได้ตั้งอาณานิคมการค้าที่เจริญรุ่งเรืองขึ้นในบาบูโลนในปี 24 ส.ศ. ดังนั้น จนถึงศตวรรษแรกแห่งสากลศักราชแล้ว บาบูโลนก็ยังไม่ร้างเปล่าอย่างสิ้นเชิง; กระนั้น พระธรรมยะซายาเขียนเสร็จก่อนนั้นนานแล้ว.—1 เปโตร 5:13.
20. มีหลักฐานอะไรว่าในที่สุดบาบูโลนก็กลายเป็นเพียง “สิ่งสลักหักพัง”?
20 ยะซายาไม่ได้อยู่จนเห็นบาบูโลนกลายเป็นเมืองร้าง. แต่เป็นจริงดังคำพยากรณ์ ในที่สุดบาบูโลนก็กลายเป็นเพียง “สิ่งสลักหักพัง.” (ยิระมะยา 51:37, ฉบับแปลใหม่) ตามคำกล่าวของเจโรม ผู้คงแก่เรียนด้านภาษาฮีบรู (ซึ่งเกิดในศตวรรษที่สี่ ส.ศ.) พอถึงสมัยของเขา บาบูโลนเป็นทุ่งล่าสัตว์ซึ่งมี “สัตว์ทุกชนิด” เพ่นพ่านไปมา และบาบูโลนก็ยังคงร้างเปล่าจนทุกวันนี้. การบูรณะบาบูโลนให้เป็นสถานที่ท่องเที่ยวอาจดึงดูดใจผู้มาเยือน แต่ “ลูกหลานเหลน” ของบาบูโลนได้สาปสูญไปแล้วตลอดกาล ดังที่ยะซายาพยากรณ์ไว้.—ยะซายา 14:22.
21. เหตุใดผู้พยากรณ์ที่ซื่อสัตย์สามารถบอกล่วงหน้าถึงอนาคตอย่างถูกต้องแม่นยำไม่ผิดพลาด?
21 ผู้พยากรณ์ยะซายาไม่ได้ใช้การคาดคะเนโดยอาศัยข้อเท็จจริงบางอย่าง. อีกทั้งท่านไม่ได้ดัดแปลงประวัติศาสตร์เพื่อทำให้ดูเหมือนเป็นคำพยากรณ์. ยะซายาเป็นผู้พยากรณ์ที่แท้จริง. ผู้กล่าวคำพยากรณ์ในคัมภีร์ไบเบิลที่ซื่อสัตย์คนอื่น ๆ ทั้งหมดก็เช่นเดียวกัน. เหตุใดคนเหล่านี้จึงสามารถทำในสิ่งที่คนอื่นทำไม่ได้ กล่าวคือพยากรณ์ถึงอนาคตอย่างแม่นยำไม่ผิดพลาด? คำตอบนั้นชัดเจนอยู่แล้ว. คำพยากรณ์เหล่านี้มาจากพระยะโฮวา พระเจ้าแห่งคำพยากรณ์ “ผู้บอกเล่าตั้งแต่ต้นว่าจะมีอะไรเกิดขึ้นตอนปลาย.”—ยะซายา 46:10.
22. ทำไมเราควรพยายามอย่างสุดกำลังที่จะกระตุ้นเตือนคนที่มีหัวใจสุจริตให้ตรวจสอบคัมภีร์ไบเบิลด้วยตัวเอง?
22 ดังนั้น คัมภีร์ไบเบิลควรค่าแก่การตรวจสอบไหม? เราทราบว่าเป็นอย่างนั้น! แต่หลายคนยังไม่มั่นใจ. พวกเขาแสดงความคิดเห็นบางอย่างเกี่ยวกับคัมภีร์ไบเบิลแม้ว่าเขาไม่เคยอ่าน. ขอให้คิดถึงศาสตราจารย์ที่ได้อ้างถึงในบทความก่อน. เขาตกลงศึกษาคัมภีร์ไบเบิล และหลังจากตรวจสอบคัมภีร์ไบเบิลอย่างถี่ถ้วน เขาก็ลงความเห็นว่าคัมภีร์ไบเบิลเป็นหนังสือที่มาจากพระเจ้า. ในที่สุด เขาได้รับบัพติสมาเป็นพยานพระยะโฮวาคนหนึ่ง และปัจจุบันศาสตราจารย์ผู้นี้รับใช้ในฐานะผู้ปกครอง! ให้เราพยายามอย่างสุดกำลังที่จะกระตุ้นเตือนผู้มีหัวใจสุจริตให้ตรวจสอบคัมภีร์ไบเบิลด้วยตัวเอง แล้วค่อยแสดงความคิดเห็นเกี่ยวกับหนังสือนี้. เรามั่นใจว่า ถ้าพวกเขาตรวจสอบอย่างจริงใจด้วยตัวเอง เขาจะตระหนักว่าหนังสือที่โดดเด่นนี้ คัมภีร์ไบเบิล เป็นหนังสือสำหรับทุกคนจริง ๆ!
คุณอธิบายได้ไหม?
▫ คุณจะใช้พระบัญญัติของโมเซอย่างไรเพื่อแสดงว่าคัมภีร์ไบเบิลไม่ได้มีต้นตอมาจากมนุษย์?
▫ หลักการที่ใช้ได้อยู่เสมออะไรในคัมภีร์ไบเบิลซึ่งใช้ได้จริงสำหรับการดำเนินชีวิตสมัยใหม่?
▫ ทำไมคำพยากรณ์ที่ยะซายา 13:19, 20 ไม่มีทางเขียนหลังจากเกิดเหตุการณ์แล้ว?
▫ เราควรสนับสนุนผู้มีหัวใจสุจริตให้ทำอะไร และเพราะเหตุใด?
[กรอบหน้า 19]
จะว่าอย่างไรเกี่ยวกับเรื่องที่พิสูจน์ไม่ได้?
คัมภีร์ไบเบิลมีข้อความหลายตอนซึ่งไม่มีหลักฐานทางกายภาพจากแหล่งอื่น. ตัวอย่างเช่น เรื่องอาณาจักรที่ไม่ปรากฏแก่ตาซึ่งเป็นที่อยู่ของเหล่ากายวิญญาณที่คัมภีร์ไบเบิลกล่าวถึงนั้นไม่สามารถพิสูจน์—หรือหักล้าง—ตามหลักวิทยาศาสตร์. การกล่าวถึงเรื่องที่พิสูจน์ไม่ได้เช่นนี้จำเป็นต้องหมายความว่าคัมภีร์ไบเบิลขัดกับวิทยาศาสตร์ไหม?
นักธรณีวิทยาคนหนึ่งซึ่งศึกษาหินและพื้นผิวดาวเคราะห์ตลอดจนเทห์วัตถุเผชิญกับคำถามนี้ตอนที่เริ่มศึกษาคัมภีร์ไบเบิลกับพยานพระยะโฮวาเมื่อหลายปีมาแล้ว. เขาเล่าว่า “ผมต้องยอมรับว่า การยอมรับคัมภีร์ไบเบิลนั้นในตอนแรกเป็นเรื่องยากทีเดียวสำหรับผม เพราะผมไม่สามารถพิสูจน์ข้อความบางอย่างในคัมภีร์ไบเบิลตามหลักวิทยาศาสตร์.” ชายที่จริงใจผู้นี้ศึกษาคัมภีร์ไบเบิลต่อไป และในที่สุดก็มั่นใจว่าหลักฐานที่มีอยู่แสดงว่าหนังสือนี้เป็นพระคำของพระเจ้า. เขาอธิบายดังนี้: “ทั้งนี้ทำให้ผมมีความกระหายน้อยลงที่จะพิสูจน์ข้อเท็จจริงแต่ละอย่างของคัมภีร์ไบเบิลโดยอาศัยแหล่งอื่น. คนที่มีแนวคิดแบบวิทยาศาสตร์ต้องเต็มใจที่จะตรวจสอบคัมภีร์ไบเบิลจากแง่มุมด้านวิญญาณ มิฉะนั้นเขาจะไม่มีทางยอมรับความจริงได้เลย. ไม่อาจคาดหมายว่าวิทยาศาสตร์จะให้หลักฐานยืนยันข้อความทุกอย่างในคัมภีร์ไบเบิล. แต่เพียงเพราะข้อความบางอย่างไม่อาจพิสูจน์ได้ หาได้หมายความว่าข้อความนั้นไม่จริง. ที่สำคัญคือ ตรงไหนก็ตามที่สามารถพิสูจน์ได้ คัมภีร์ไบเบิลได้รับการพิสูจน์ยืนยันความถูกต้องแม่นยำ.”
[รูปภาพหน้า 17]
โมเซบันทึกกฎข้อบังคับด้านสุขอนามัยที่ล้ำสมัย