แหล่งอ้างอิงสำหรับชีวิตและงานรับใช้—คู่มือประชุม
© 2023 Watch Tower Bible and Tract Society of Pennsylvania
วันที่ 11-17 กันยายน
ความรู้ที่มีค่าจากคัมภีร์ไบเบิล | เอสเธอร์ 3-5
“ช่วยคนอื่นให้ทำสุดความสามารถ”
it-2-E น. 431 ว. 7
โมร์เดคัย
ไม่ยอมหมอบลงกราบฮามาน กษัตริย์อาหะสุเอรัสแต่งตั้งฮามานชาวอากักเป็นนายกรัฐมนตรี และข้าราชสำนักทุกคนที่อยู่ตรงประตูวังจะต้องหมอบลงกราบฮามานตามที่กษัตริย์สั่งไว้ แต่โมร์เดคัยไม่ยอมทำและบอกเหตุผลว่าเขาเป็นชาวยิว (อสธ 3:1-4) ที่โมร์เดคัยอ้างเหตุผลแบบนี้พิสูจน์ว่าเรื่องนี้เกี่ยวข้องกับความสัมพันธ์ของเขากับพระยะโฮวาพระเจ้า เนื่องจากชาวยิวเป็นชาติที่อุทิศตัวให้พระเจ้า เขารู้ว่าการหมอบลงกราบฮามาน มันไม่ใช่แค่ก้มหน้าลงกับพื้นเพื่อทำความเคารพคนที่มีตำแหน่งสูงเหมือนที่ชาวอิสราเอลเคยทำในอดีต (2ซม 14:4; 18:28; 1พก 1:16) ในกรณีนี้โมร์เดคัยทำถูกแล้วที่ไม่ก้มกราบฮามาน เพราะดูเหมือนว่าฮามานเป็นชาวอามาเลขและพระยะโฮวาเคยประกาศว่าชาวอามาเลขเป็นศัตรูของพระองค์ “ไปตลอดทุกยุคทุกสมัย” (อพย 17:16) ที่โมร์เดคัยทำแบบนี้ไม่เกี่ยวข้องกับการเมืองแต่เป็นการแสดงความภักดีต่อพระเจ้า
it-2-E น. 431 ว. 9
โมร์เดคัย
ถูกใช้เพื่อช่วยชาวอิสราเอลให้รอด ถึงแม้กษัตริย์จะมีคำสั่งออกมาให้กวาดล้างชาวยิวทุกคนในจักรวรรดิ แต่โมร์เดคัยแสดงความเชื่อมั่นว่าที่เอสเธอร์ได้เป็นราชินีก็เพื่อจะช่วยชาวยิวให้รอด เขาบอกเอสเธอร์ว่าเธอมีความรับผิดชอบที่สำคัญมากและให้เธอไปขอความเมตตาและความช่วยเหลือจากกษัตริย์ ถึงแม้การทำอย่างนั้นจะเสี่ยงมากแต่เอสเธอร์ก็ทำตามที่โมร์เดคัยบอก—อสธ 4:7–5:2
วันที่ 25 กันยายน–1 ตุลาคม
ความรู้ที่มีค่าจากคัมภีร์ไบเบิล | เอสเธอร์ 9-10
“เขาใช้อำนาจอย่างไม่เห็นแก่ตัว”
it-2-E น. 432 ว. 2
โมร์เดคัย
ตอนนี้โมร์เดคัยได้เป็นนายกรัฐมนตรีแทนฮามานและได้รับแหวนตราของกษัตริย์เพื่อจะใช้ประทับตราเอกสารสำคัญ เอสเธอร์ให้โมร์เดคัยดูแลทรัพย์สินทั้งหมดของฮามานซึ่งกษัตริย์ยกให้เธอ หลังจากนั้นโมร์เดคัยก็ใช้อำนาจที่ได้รับจากกษัตริย์เพื่อออกคำสั่งให้ชาวยิวมีสิทธิ์ตามกฎหมายที่จะต่อสู้เพื่อปกป้องตัวเอง คำสั่งนี้ทำให้ชาวยิวมีความสุขเพราะรู้ว่ามีทางที่จะรอดชีวิตได้ คนมากมายในจักรวรรดิเปอร์เซียได้ร่วมมือกับชาวยิวเพื่อต่อสู้ศัตรู ดังนั้นพอถึงวันที่ 13 เดือนอาดาร์ซึ่งเป็นวันที่ชาวยิวจะต้องถูกกวาดล้าง พวกเขาก็พร้อมรับมือ พวกเจ้านายและเจ้าหน้าที่ระดับสูงก็มาอยู่ฝ่ายเดียวกับชาวยิวเพราะตอนนี้โมร์เดคัยมีตำแหน่งสูงมาก ในเมืองชูชันการต่อสู้มีไปจนถึงวันที่ 14 เดือนอาดาร์ รวมทั้งหมดทั่วจักรวรรดิเปอร์เซียมีศัตรูของชาวยิวถูกฆ่ามากกว่า 75,000 คน ซึ่งรวมถึงลูกชาย 10 คนของฮามานด้วย (อสธ 8:1–9:18) โมร์เดคัยออกคำสั่งให้ตั้งการฉลองประจำปีที่เรียกว่า “เทศกาลปูริม” ในวันที่ 14 และ 15 เดือนอาดาร์ และเอสเธอร์ก็ออกคำสั่งยืนยันการฉลองนี้ ในเทศกาลนี้ชาวยิวจะจัดงานเลี้ยงอย่างสนุกสนานรื่นเริง ให้ของขวัญกันและให้สิ่งของคนยากจน ชาวยิวสั่งให้ลูกหลานของตัวเองและทุกคนที่มาสมทบกับพวกเขาฉลองเทศกาลนี้ด้วย ชาวยิวทุกคนซึ่งอุทิศตัวให้พระเจ้านับถืออำนาจของโมร์เดคัย เขามีตำแหน่งสูงเป็นอันดับสองในจักรวรรดิ และเขาทำงานต่อไปเพื่อดูแลประชาชนของพระเจ้า—อสธ 9:19-22, 27-32; 10:2, 3
it-2-E น. 716 ว. 5
ปูริม
จุดประสงค์ นักวิจารณ์บางคนบอกว่าเทศกาลปูริมที่ชาวยิวฉลองกันในปัจจุบันเป็นเทศกาลที่ไม่ค่อยมีอะไรเกี่ยวกับศาสนาและมักมีการกินเลี้ยงรื่นเริงมากเกินไป แต่เทศกาลปูริมที่ตั้งขึ้นครั้งแรกไม่ได้เป็นแบบนี้ ทั้งโมร์เดคัยและเอสเธอร์เป็นผู้นมัสการพระยะโฮวาพระเจ้าเที่ยงแท้ และพวกเขาตั้งเทศกาลนี้โดยมีจุดประสงค์เพื่อยกย่องและให้เกียรติพระยะโฮวาซึ่งเป็นผู้ที่ช่วยชาวยิวให้รอดจากการกวาดล้าง ประเด็นที่ทำให้ชาวยิวถูกกวาดล้างก็คือ โมร์เดคัยต้องการนมัสการพระยะโฮวาผู้เดียว เขาไม่หมอบลงกราบฮามานซึ่งดูเหมือนเป็นชาวอามาเลข ชนชาติที่พระเจ้าสาปแช่งและสั่งให้ทำลาย โมร์เดคัยนับถือคำสั่งนี้ของพระเจ้า เขาเลยไม่ทำความเคารพฮามาน (อสธ 3:2, 5; อพย 17:14-16) นอกจากนั้นสิ่งที่โมร์เดคัยพูดกับเอสเธอร์ (อสธ 4:14) แสดงว่าเขาพึ่งอำนาจที่สูงส่งกว่าเพื่อช่วยเหลือชาวยิว และการที่เอสเธอร์อดอาหารก่อนไปเข้าพบกษัตริย์ครั้งแรกและเชิญกษัตริย์มางานเลี้ยง ก็แสดงว่าเธอพึ่งความช่วยเหลือจากพระเจ้า—อสธ 4:16
วันที่ 9-15 ตุลาคม
ความรู้ที่มีค่าจากคัมภีร์ไบเบิล | โยบ 4-5
“ระวังข้อมูลที่ไม่จริง”
it-1-E น. 713 ว. 11
เอลีฟัส
2. หนึ่งในเพื่อน 3 คนของโยบ ( โยบ 2:11) เขาเป็นชาวเทมานและดูเหมือนเป็นลูกหลานของเอซาว นี่หมายความว่าเขาก็สืบเชื้อสายมาจากอับราฮัมและเป็นญาติห่าง ๆ กับโยบ เขาและชาวเทมานลูกหลานของเขาภูมิใจว่าตัวเองฉลาด (ยรม 49:7) ในบรรดาสามคนที่มา “ปลอบโยน” โยบ เอลีฟัสมีอิทธิพลและมีความสำคัญที่สุด เพราะดูเหมือนเขาจะอายุมากที่สุด ในการตอบโต้กับโยบทั้ง 3 รอบ เอลีฟัสเป็นคนแรกที่พูดเสมอและเขาพูดยาวกว่าคนอื่น ๆ
วันที่ 30 ตุลาคม–5 พฤศจิกายน
ความรู้ที่มีค่าจากคัมภีร์ไบเบิล | โยบ 11-12
“3 วิธีเพื่อจะมีสติปัญญาและได้ประโยชน์จากสติปัญญา”
it-2-E น. 1190 ว. 2
สติปัญญา
สติปัญญาของพระเจ้า พระยะโฮวาพระเจ้าเป็นผู้ที่มีสติปัญญามากที่สุด จึงพูดได้ว่า “พระเจ้าเท่านั้นที่ฉลาดรอบรู้” (รม 16:27; วว 7:12) ความรู้กับข้อเท็จจริงจะต้องไปด้วยกันเสมอ และเนื่องจากพระยะโฮวาเป็นผู้สร้าง พระองค์จึงมีชีวิตอยู่ “ตั้งแต่อดีตจนถึงตลอดกาล” (สด 90:1, 2) พระองค์รู้ทุกอย่างเกี่ยวกับเอกภพทั้งความเป็นมาและองค์ประกอบทั้งหมดของเอกภพ พระองค์เป็นผู้ตั้งกฎในธรรมชาติและวัฏจักรต่าง ๆ ซึ่งมนุษย์ใช้เป็นมาตรฐานในการศึกษาค้นคว้าและคิดค้นสิ่งประดิษฐ์ใหม่ ๆ ถ้าไม่มีกฎที่พระเจ้าตั้งไว้ มนุษย์ก็ทำอะไรไม่ได้เลย (โยบ 38:34-38; สด 104:24; สภษ 3:19; ยรม 10:12, 13) พระเจ้าตั้งมาตรฐานทางศีลธรรมให้มนุษย์ด้วย และมาตรฐานเหล่านี้ก็สำคัญมากเพราะทำให้ชีวิตเรามั่นคง ประสบความสำเร็จ และตัดสินใจได้อย่างถูกต้อง (ฉธบ 32:4-6) ไม่มีอะไรที่พระเจ้าไม่รู้หรือไม่เข้าใจ (อสย 40:13, 14) ถึงแม้พระองค์อาจยอมให้สิ่งที่ขัดกับมาตรฐานที่ถูกต้องชอบธรรมของพระองค์เกิดขึ้นและมีอยู่ต่อไประยะหนึ่ง แต่ในที่สุดพระองค์จะเป็นผู้ควบคุมทุกอย่างและทำให้อนาคตเป็นอย่างที่พระองค์ต้องการ สิ่งที่พระองค์พูดไว้ “จะเกิดขึ้นอย่างนั้น” แน่นอน—อสย 55:8-11; 46:9-11