คุณเอื้อมแขนออกไปไหม?
1. การสำเร็จตามเป้าหมายอะไรเป็นสิ่งสำคัญประการแรกในท่ามกลางพวกพยานพระยะโฮวา?
“ถ้าชายคนใดเอื้อมแขนออกไปเพื่อจะได้ตำแหน่งผู้ดูแล เขาก็ปรารถนาการงานที่ดี.”—1 ติโมเธียว 3:1, ล.ม.
พยานพระยะโฮวามีเป้าหมายที่ถูกต้องซึ่งมีการชี้นำและดำเนินไปในแนวทางอันชอบธรรม. ทั้งนี้ไม่ใช่เรื่องแปลก เพราะพระเจ้าของเขาทรงมีเป้าหมายอันสูงส่งอีกทั้งสัมฤทธิ์ผลตามจุดมุ่งหมายของพระองค์เสมอ. (ยะซายา 55:8-11) ผู้รับใช้ของพระยะโฮวาไม่ควรเป็นเหมือนผู้คนที่ขาดเป้าหมายที่ดีและปล่อยชีวิตให้ผ่านไปอย่างไม่นำพา ไม่ค่อยจะทำประโยชน์แก่ใคร ๆ นอกจากตัวเอง. สิ่งสำคัญประการแรกสำหรับเหล่าพยานของพระเจ้าก็คือการทำให้สำเร็จลุล่วงตามเป้าหมายอันสูงส่งเกี่ยวด้วยการประกาศข่าวราชอาณาจักร และการแบ่งความรู้ซึ่งให้ชีวิตโดยอาศัยพระคำของพระเจ้านั้นแก่คนอื่น.—บทเพลงสรรเสริญ 119:105; มาระโก 13:10; โยฮัน 17:3.
2. เปาโลได้กล่าวอย่างไรที่ 1 ติโมเธียว 3:1 เกี่ยวด้วยเป้าหมายสำหรับชายคริสเตียน?
2 ในองค์การของพระยะโฮวา มีเป้าหมายสูงส่งอย่างอื่นเหมือนกัน. อัครสาวกเปาโลได้อ้างถึงหนึ่งเป้าหมายจากหลายอย่างเมื่อท่านเขียนว่า “คำแถลงนี้เป็นคำสัตย์จริง. ถ้าชายคนใดเอื้อมแขนออกไปเพื่อจะได้ตำแหน่งผู้ดูแล เขาก็ปรารถนาการงานที่ดี.” ผู้ชายประเภทนี้ต้องการจะทำบางสิ่งที่เป็นประโยชน์แก่ผู้อื่น. เขาปรารถนา “การงาน ที่ดี” ไม่ใช่ชีวิตแห่งความสบายและเกียรติยศ. คัมภีร์ฉบับแปลเล่มหนึ่งว่าดังนี้: “เป็นความจริงที่จะพูดว่าชายใดที่ปรารถนาจะเป็นผู้นำก็มีความทะเยอทะยานที่น่ายกย่อง.”—1 ติโมเธียว 3:1, ฟิลลิปส์.
อันตรายสำหรับผู้ปกครอง
3, 4. ทำไมชายที่เอื้อมแขนออกไปเพื่อจะเป็นผู้ดูแลจึงควรระวังรักษาหัวใจของตน?
3 ชายผู้ซึ่งปรารถนาจะเป็นคริสเตียนผู้ดูแล “มีความทะเยอทะยานที่น่ายกย่อง” โดยวิธีใด? ความทะเยอทะยานเป็นความปรารถนาอันแรงกล้าเพื่อจะบรรลุเป้าหมายเฉพาะอย่าง. จริงอยู่ ความทะเยอทะยานย่อมเป็นได้ในทางดีและทางเลว. แต่ถ้าผู้นั้นมีความถ่อมใจเอื้อมแขนออกไปเพื่อจะได้ตำแหน่งผู้ดูแลเพราะตนตั้งใจจะรับใช้ผู้อื่น งานรับใช้ของเขาจะทำด้วยเจตนาอันซื่อตรงและยังผลเป็นความสุขความเจริญฝ่ายวิญญาณ. แต่เขาจำต้องระวังรักษาหัวใจของตน.—สุภาษิต 4:23.
4 คนทะเยอทะยานบางคนแสวงหาเกียรติยศ. บางคนต้องการมีอำนาจเหนือเพื่อมนุษย์ด้วยกัน. ความโลภอยากได้ชื่อเสียงหรืออำนาจเปรียบเสมือนรากผุซึ่งอาจทำให้ต้นไม้ที่ดูแข็งแรงล้มทลายได้. คริสเตียนก็เช่นกันอาจตกอยู่ในอำนาจของความทะเยอทะยานในทางผิดได้. (สุภาษิต 16:18) อัครสาวกโยฮันกล่าวว่า “ข้าพเจ้าได้เขียนบางสิ่งถึงประชาคม แต่ดิโอเตรเฟสซึ่งชอบเป็นเอกท่ามกลางพวกเขา [“ต้องการเป็นหัวหน้านำทุกสิ่งทุกอย่าง” ฉบับแปลฟิลลิปส์] ไม่รับเอาสิ่งจากพวกเราด้วยความนับถือเลย. นี้จึงเป็นเหตุที่ว่า หากข้าพเจ้ามา ข้าพเจ้าจะเตือนให้ระลึกถึงการของเขาซึ่งเขากระทำอยู่ต่อ ๆ ไป โดยพูดมากไร้สาระถึงพวกเราด้วยคำที่ชั่วช้า. และยังไม่สะใจด้วยสิ่งเหล่านี้ ตัวเขาเองไม่รับพวกพี่น้องไว้ด้วยความนับถือ และส่วนคนเหล่านั้นที่อยากจะรับพวกเขาไว้ เขาก็ยังพยายามกีดกันและขับไล่ออกจากประชาคม.” (3 โยฮัน 9, 10, ล.ม.) ความทะเยอทะยานของดิโอเตรเฟสไม่ใช่ลักษณะคริสเตียน. ความเย่อหยิ่งและความมักใหญ่ใฝ่สูงเพื่อจะได้อำนาจเหนือคนอื่นเช่นนั้นไม่ควรมีอยู่ในท่ามกลางสาวกแท้ของพระเยซู.—สุภาษิต 21:4.
5. พวกผู้ดูแลควรเอาใจใส่หน้าที่การงานของตนด้วยท่าทีเช่นไร?
5 คริสเตียนผู้ดูแลซึ่งเอาใจใส่งานในหน้าที่ด้วยเจตนาอันถูกต้องจะไม่แสวงความมักใหญ่อย่างเห็นแก่ตัว. เขาจะถือว่าการงานที่ดีของคริสเตียนผู้ดูแลเป็นสิทธิพิเศษซึ่งพระเจ้าทรงมอบแก่เขาและจะเลี้ยงฝูงแกะของพระเจ้า “มิใช่เพราะถูกบังคับ แต่ด้วยความเต็มใจ ไม่ใช่เพราะรักผลกำไรโดยมิชอบ แต่ด้วยใจจดจ่อ มิใช่เหมือนเจ้านายกดขี่คนเหล่านั้นซึ่งเป็นมรดกของพระเจ้า แต่เป็นแบบอย่างแก่ฝูงแกะนั้น.” (1 เปโตร 5:2, 3, ล.ม.) แน่นอน ผู้ดูแลทั้งหลายควรระมัดระวังที่จะไม่อวดดีและที่จะไม่พยายามใช้อำนาจในทางที่ผิด.
6. ทำไมผู้ปกครองต้องไม่เป็นนายบังคับพลไพร่ของพระเจ้า?
6 ผู้ปกครองไม่ควรเป็นนายกดขี่คริสเตียนคนอื่น ๆ เพราะเขาก็เป็นเพื่อนร่วมงานด้วยกัน ไม่ใช่ ‘นายบังคับความเชื่อของเขา.’ (2 โกรินโธ 1:24) เมื่ออัครสาวกบางคนต้องการทำตัวเด่น พระเยซูตรัสว่า “ท่านทั้งหลายรู้อยู่ว่าผู้ครอบครองของชาวต่างประเทศย่อมกดขี่บังคับบัญชาเขา และผู้ใหญ่ทั้งหลายก็เอาอำนาจเข้าข่ม แต่ในพวกท่านหาเป็นอย่างนั้นไม่ แต่ถ้าผู้ใดใคร่จะได้เป็นใหญ่ก็ให้ผู้นั้นเป็นผู้ปรนนิบัติท่านทั้งหลาย. ถ้าผู้ใดใคร่จะได้เป็นเอกเป็นต้นก็ให้ผู้นั้นเป็นทาสของพวกท่าน. แม้ว่าบุตรมนุษย์ก็ดีมิได้มาเพื่อให้เขาปรนนิบัติ แต่ท่านมาเพื่อจะปรนนิบัติเขา และประทานชีวิตของท่านให้เป็นค่าไถ่คนเป็นอันมาก.” (มัดธาย 20:20-28) ผู้ปกครองหาใช่หัวหน้าผู้บำรุงเลี้ยงไม่ แต่เขาเป็นแค่รองผู้บำรุงเลี้ยง. ถ้าผู้ปกครองเป็นนายกดขี่ฝูงแกะ เขาก็แสดงน้ำใจอวดดีออกมา. โดยเฉพาะอย่างยิ่งมีผลเสียหายถ้าเขาชักนำคนอื่นให้ช่วยเขาบรรลุเป้าหมายของความมักใหญ่ใฝ่สูงของเขา. สุภาษิตกล่าวดังนี้: “ทุกคนที่มีใจหยิ่งจองหองเป็นที่สะอิดสะเอียนแด่พระยะโฮวา. จับมือสัญญาได้ทีเดียวว่า เขาจะพ้นโทษก็หามิได้.”—สุภาษิต 16:5.
7, 8. (ก) ทำไมจึงจำเป็นสำหรับคริสเตียนผู้ปกครองพึงเป็นคนมีใจถ่อม? (ข) จงให้ตัวอย่างผู้ปกครองที่ใจถ่อม.
7 เพราะฉะนั้นคริสเตียนผู้ปกครองจึงควร ‘ถ่อมตัวลงใต้พระหัตถ์อันทรงฤทธิ์ของพระเจ้า.’ ความโอหังย่อมปิดกั้นแนวทางซึ่งเป็นคุณประโยชน์ฝ่ายวิญญาณ เฉพาะคนใจถ่อมเท่านั้นเป็นผู้ที่มีสภาพหัวใจและจิตใจที่ถูกต้องที่จะกระทำตามพระทัยประสงค์ของพระเจ้า. “พระเจ้าทรงต่อต้านผู้ที่หยิ่งยโส แต่ทรงประทานพระกรุณาคุณอันไม่พึงได้รับแก่ผู้ที่ถ่อมใจ.” (1 เปโตร 5:5, 6, ล.ม.) ใช่แล้ว พระยะโฮวาทรงอวยพรคนใจถ่อม. ผู้มีคุณวุฒิสมควรได้รับการแต่งตั้งเป็นคริสเตียนผู้ปกครองก็มาจากบุคคลประเภทนี้.
8 ประวัติแห่งพยานพระยะโฮวาสมัยปัจจุบันเต็มไปด้วยเรื่องราวการรับใช้โดยปัจเจกชนผู้เลื่อมใสซึ่งกระทำงานด้วยความถ่อม. อาทิเช่น ดับเบิลยู. เจ. ทอร์นซึ่งเป็นคนอ่อนสุภาพ เขาเคยเป็นผู้ดูแลเดินทางและทำงานรับใช้นานหลายปีที่สำนักเบเธล. คริสเตียนผู้หนึ่งพูดถึงเขาดังนี้: “ผมจะไม่มีวันลืมคำพูดของบราเดอร์ทอร์นเลย ซึ่งคำพูดนั้นช่วยผมตลอดมาจนถึงเวลานี้. เขาบอกว่า ‘ยามใดที่ข้าพเจ้าเริ่มคิดถึงตัวเองมาก ๆ ข้าพเจ้าจะหลบมุมทำนองหยุดตรึกตรองแล้วบอกตัวเองว่า “คุณเป็นแค่เศษธุลี. คุณมีอะไรหรือที่จะทะนงตน?”’” ช่างเป็นคุณลักษณะที่น่าชมเชยอะไรเช่นนั้นสำหรับผู้ปกครองและคนอื่นจะแสดงออกมา! จงจำไว้ว่า “บำเหน็จแห่งการถ่อมใจลงและความยำเกรงพระยะโฮวาก็เป็นทางนำมาถึงทรัพย์สมบัติและเกียรติศักดิ์และชีวิต.”—สุภาษิต 22:4.
ความปรารถนาที่พระเจ้าทรงประทานเพื่อรับใช้
9. เหตุใดจึงกล่าวได้ว่าความปรารถนาที่จะรับใช้ฐานะผู้ดูแลเป็นความปรารถนาที่พระเจ้าทรงประทานให้?
9 การจะรับใช้ในฐานะผู้ผู้ดูแลเป็นความปรารถนาที่ได้รับมาจากพระเจ้าไหม? ใช่ เพราะพระวิญญาณของพระยะโฮวาทำให้มีแรงกระตุ้น มีความกล้าและกำลังที่จะถวายการรับใช้อันศักดิ์สิทธิ์แด่พระองค์. ตัวอย่างเช่น เกิดอะไรขึ้นในคราวที่สาวกผู้ถูกข่มเหงของพระเยซูได้อธิษฐานขอให้เขามีความกล้าที่จะประกาศ? “ที่ซึ่งเขาประชุมอยู่นั้นได้หวั่นไหว และชนทั้งหลายประกอบด้วยพระวิญญาณบริสุทธิ์ได้กล่าวคำของพระเจ้าด้วยใจกล้าหาญ.” (กิจการ 4:27-31) เนื่องจากพระวิญญาณบริสุทธิ์บังเกิดผลเช่นนั้น พระวิญญาณนั้นย่อมกระตุ้นคนเราให้เอื้อมแขนออกไปได้เหมือนกัน.
10. (ก) อะไรคือเหตุผลข้อหนึ่งที่ชายคริสเตียนอาจไม่เอื้อมแขนออกไป? (ข) ถ้าพระเจ้าทรงเปิดโอกาสให้เราได้รับสิทธิพิเศษในงานรับใช้ เราย่อมแน่ใจได้ในสิ่งใด?
10 ทำไมคริสเตียนอาวุโสไม่เอื้อมแขนออกไป? เขาอาจเป็นมนุษย์ฝ่ายวิญญาณแต่คิดว่าเขาไม่มีความสามารถพอ. (1 โกรินโธ 2:14, 15) จริงอยู่ เราควรพิจารณาตัวเองด้วยความถ่อมใจ ตระหนักถึงข้อจำกัดของตัวเอง. (มีคา 6:8) แทนที่จะอวดดีคิดว่าตัวเรามีคุณวุฒิเหมาะที่สุดสำหรับความรับผิดชอบบางอย่าง คงจะดีหากจดจำไว้ว่า “ปัญญาอยู่กับคนใจถ่อม.” (สุภาษิต 11:2) แต่เราควรสำนึกข้อเท็จจริงที่ว่าถ้าพระเจ้าทรงโปรดให้เรามีสิทธิพิเศษในการรับใช้แล้ว พระองค์ก็ย่อมจะประทานกำลังเพื่อให้เราทำงานจนลุล่วงด้วย. ดังที่เปาโลบอกว่า “ข้าพเจ้าทำทุกสิ่งได้โดยพระเยซูคริสต์ผู้ทรงชูกำลังข้าพเจ้า.”—ฟิลิปปอย 4:13.
11. คริสเตียนผู้ซึ่งไม่เอื้อมแขนออกไปเพราะคิดว่าตนไม่มีสติปัญญามากพอจะให้คำแนะนำอาจทำประการได้?
11 คริสเตียนอาจจะไม่เอื้อมแขนเพราะเขารู้สึกว่าตนไม่มีสติปัญญามากพอถึงขนาดให้คำแนะนำ. เอาละ บางทีเขาอาจจะได้ปัญญาโดยที่เขาขยันขันแข็งยิ่งขึ้นในการศึกษาพระวจนะของพระเจ้า และแน่นอนเขาควรอธิษฐานขอสติปัญญา. ยาโกโบเขียนไว้อย่างนี้ “ถ้าผู้ใดในพวกท่านขาดสติปัญญา ก็ให้ผู้นั้นทูลขอพระเจ้าต่อ ๆ ไป เพราะพระองค์ทรงประทานแก่ทุกคนด้วยพระทัยเอื้ออารี และโดยมิได้ทรงติว่า แล้วจะทรงประทานแก่ผู้นั้น. แต่ให้ผู้นั้นทูลขอต่อ ๆ ไปด้วยความเชื่อ อย่าสงสัยเลย เพราะว่าผู้ที่สงสัยเป็นเหมือนคลื่นในทะเลที่ถูกซัดไปซัดมา. ที่จริง อย่าให้คนนั้นคิดว่าจะได้รับสิ่งใดจากพระยะโฮวาเลย เขาเป็นคนสองจิตสองใจ ไม่มั่นคงในทุกวิถีทางของตน.” (ยาโกโบ 1:5-8, ล.ม.) ด้วยการตอบคำอธิษฐานของซะโลโม พระเจ้าได้ทรงโปรดให้ท่าน “มีใจประกอบด้วยสติปัญญา” ซึ่งทำให้สามารถหยั่งรู้เข้าใจซึ่งการดีและชั่วเมื่อทำการพิพากษา. (1 กษัตริย์ 3:9-14) กรณีของซะโลโมเป็นกรณีพิเศษ แต่ด้วยการขยันหมั่นศึกษาและการช่วยเหลือของพระเจ้า ผู้ชายซึ่งถูกมอบหมายหน้าที่รับผิดชอบของประชาคมก็จะสามารถแนะนำคนอื่นได้อย่างถูกต้องเป็นธรรม. “พระยะโฮวาพระราชทานปัญญา ความรู้และความเข้าใจออกมาจากพระโอษฐ์ของพระองค์.”—สุภาษิต 2:6.
12. ถ้าชายใดไม่เอื้อมแขนออกไปเพราะความกังวลใจ อะไรจะช่วยเขาได้?
12 ความกังวลใจอาจทำให้ชายคนหนึ่งไม่เต็มใจเอื้อมแขนออกไปก็ได้. เขาอาจคิดว่าตัวเองคงไม่สามารถเป็นผู้ปกครองแบกหน้าที่รับผิดชอบอันหนักนี้ได้. แม้แต่อัครสาวกเปาโลก็ยอมรับดังนี้: “ยังมีการอื่นที่บีบข้าพเจ้าอยู่ทุก ๆ วัน คือความปรารถปรารมภ์ถึงคริสต์จักรทั้งปวง.” (2 โกรินโธ 11:28) แต่อัครสาวกทราบจะทำประการใดเมื่อมีความวิตกกังวล เพราะท่านได้เขียนอย่างนี้ “อย่ากระวนกระวายด้วยสิ่งใดเลย แต่จงเสนอความปรารถนาของท่านทุกอย่างต่อพระเจ้าโดยการอธิษฐานกับการขอบพระคุณ และสันติสุขแห่งพระเจ้าซึ่งเหลือที่จะเข้าใจได้จะคุ้มครองใจและความคิดของท่านทั้งหลายไว้ในพระเยซูคริสต์.” (ฟิลิปปอย 4:6, 7) ใช่แล้ว การอธิษฐานและการวางใจในพระเจ้าสามารถระงับความกังวลได้.
13. หากชายคนใดรู้สึกอึดอัดใจในการเอื้อมแขนออกไปเช่นนั้น เขาอาจจะอธิษฐานอย่างไร?
13 ถ้ายังมีความกังวลใจอยู่บ้าง ผู้ชายซึ่งรู้สึกอึดอัดกับการเอื้อมแขนออกไปอาจจะอธิษฐานอย่างที่ดาวิดเคยทำดังนี้: “ข้าแต่พระเจ้า ขอโปรดพินิจพิเคราะห์ดูข้าพเจ้า และทรงทราบหัวใจของข้าพเจ้า. ขอโปรดตรวจสอบข้าพเจ้า และทรงทราบความคิดที่ปั่นป่วนของข้าพเจ้า และทอดพระเนตรดูว่ามีวิถีที่ก่อความปวดร้าวใด ๆ ในตัวข้าพเจ้าหรือไม่ และโปรดนำข้าพเจ้าไปในหนทางที่ดำเนินสืบไปโดยไม่มีเวลากำหนด.” (บทเพลงสรรเสริญ 139:23, 24, ล.ม.) สาเหตุใด ๆ ก็ดีที่ก่อความคิด “ปั่นป่วน” หรือ “กังวลใจ” พระเจ้าสามารถช่วยเราให้รับมือได้เพื่อเราจะก้าวหน้าฝ่ายวิญญาณ. ดังมีกล่าวเป็นอย่างดีในเพลงสรรเสริญอีกบทหนึ่งดังนี้: “เมื่อข้าพเจ้าพูดว่า ‘เท้าของข้าพเจ้าพลาดพลั้งไป’ โอ้พระยะโฮวา พระกรุณาคุณของพระองค์ทรงประคองข้าพเจ้าไว้. ครั้นข้าพเจ้ามีความสาละวนในใจเป็นอันมาก ความประเล้าประโลมของพระองค์ก็จะทรงกระทำให้จิตวิญญาณของข้าพเจ้าชื่นบาน.”—บทเพลงสรรเสริญ 94:18, 19.
ยินดีรับใช้ตามที่พระยะโฮวาทรงประสงค์
14. เหตุใดชายที่ไม่เอื้อมแขนออกไปควรอธิษฐานขอพระวิญญาณบริสุทธิ์ของพระเจ้า?
14 ถ้าชายคริสเตียนไม่ได้เอื้อมแขนออกไปเนื่องด้วยความกังวล รู้สึกว่าตนไม่มีความสามารถพอ หรือขาดแรงกระตุ้น ฉะนั้น จึงเหมาะอย่างยิ่งที่จะอธิษฐานขอพระวิญญาณของพระเจ้า. พระเยซูได้ตรัสดังนี้: “เหตุฉะนั้น ถ้าท่านเองผู้เป็นคนบาปยังรู้จักให้ของดีแก่บุตรของตน ยิ่งกว่านั้นสักเท่าใด พระบิดาผู้อยู่ในสวรรค์จะประทานพระวิญญาณบริสุทธิ์แก่คนทั้งปวงที่ขอจากพระองค์!” (ลูกา 11:13) เนื่องจากสันติสุขและการรู้จักบังคับตนอยู่ในจำพวกผลแห่งพระวิญญาณ พระวิญญาณย่อมจะช่วยเรารับมือกับความกังวลหรือความรู้สึกว่าตนไม่มีความสามารถพอ.—ฆะลาเตีย 5:22, 23.
15. การอธิษฐานด้วยท่าทีเช่นไรจะช่วยผู้ที่ขาดแรงกระตุ้นที่จะทำตัวให้พร้อมสำหรับสิทธิพิเศษในงานรับใช้?
15 ถ้าขาดแรงกระตุ้นล่ะ? ในฐานะเป็นคริสเตียนที่รับบัพติสมาแล้ว เราจำเป็นต้องอธิษฐานเพื่อพระเจ้าจะทรงให้เราทำสิ่งที่พระองค์ชอบพระทัย. ดาวิดเคยวิงวอนว่า “ข้าแต่พระยะโฮวา ขอทรงโปรดให้ข้าพเจ้ารู้ทางของพระองค์ . . . ขอทรงแนะนำสอนข้าพเจ้าตามความสัตย์จริงของพระองค์.” (บทเพลงสรรเสริญ 25:4, 5) การอธิษฐานทำนองนี้จะช่วยเราหลีกห่างทางชั่ว และเราสามารถอธิษฐานขอได้เช่นกันถ้าเราขาดแรงกระตุ้นจะเอื้อมแขนออกไป. เราอาจทูลขอพระยะโฮวาทรงบันดาลให้เรามีน้ำใจอยากรับเอาสิทธิพิเศษแห่งการรับใช้นั้น. ที่จริง ถ้าเราทูลขอพระวิญญาณของพระเจ้าและยอมติดตามการชี้นำทางของพระวิญญาณ ไม่ต้องสงสัยเราจะอยู่พร้อมเสมอหากมีการมอบหมายสิทธิพิเศษแห่งการรับใช้แก่เรา. ที่จริง ผู้รับใช้ของพระเจ้าคงไม่ต้องการต้านทานพระวิญญาณของพระเจ้าไม่ว่าในทางใด.—เอเฟโซ 4:30.
16. การมีเจตคติเช่นไรที่จะบันดาลให้มีแรงกระตุ้นให้เอื้อมแขนออกไปรับหน้าที่รับผิดชอบในประชาคม?
16 เนื่องจากมี “น้ำใจเยี่ยงพระคริสต์” เราประสบความเบิกบานยินดีเมื่อเรากระทำตามพระประสงค์ของพระเจ้า. (1 โกรินโธ 2:16) พระเยซูทรงมีท่าทีอย่างเดียวกันกับผู้ประพันธ์บทเพลงสรรเสริญซึ่งกล่าวไว้ว่า “ข้าแต่พระเจ้าของข้าพเจ้า ข้าพเจ้ายินดีที่จะประพฤติตามน้ำพระทัยของพระองค์ แท้จริงพระบัญญัติของพระองค์อยู่ในใจของข้าพเจ้า.” (บทเพลงสรรเสริญ 40:8) พระคริสต์ตรัสว่า “ดูเถิด ข้าพเจ้ามาเพื่อจะทำตามพระประสงค์ของพระองค์” และพระประสงค์นั้นหมายรวมถึงการสิ้นพระชนม์บนหลักทรมาน. (เฮ็บราย 10:9, 10) ความปรารถนาจะทำทุกสิ่งเท่าที่เป็นไปได้ในงานรับใช้พระยะโฮวาเช่นนั้น จึงเป็นแรงกระตุ้นอย่างแรงกล้าให้เอื้อมแขนออกไปรับหน้าที่รับผิดชอบในประชาคม.
เตรียมพร้อมสำหรับอนาคต
17. (ก) เหตุใดผู้ชายซึ่งบัดนี้ไม่ได้รับใช้เต็มที่เหมือนเมื่อก่อนจึงไม่ควรท้อใจ? (ข) อะไรคือสิทธิพิเศษอันยิ่งใหญ่?
17 เนื่องจากปัญหาด้านสุขภาพหรือด้วยเหตุผลอื่น บางคนซึ่งครั้งหนึ่งเคยเอาใจใส่ต่อหน้าที่ต่าง ๆ ที่สำคัญในประชาคม ครั้นมาบัดนี้ไม่มีสิทธิพิเศษอย่างนั้น. บุคคลที่ตกอยู่ในภาวะเช่นนี้ไม่ควรรู้สึกท้อแท้. เราตระหนักดีว่า คนซื่อสัตย์จำนวนมากซึ่งไม่สามารถรับใช้เต็มที่อย่างที่ครั้งหนึ่งเขาเคยทำได้ กระนั้นก็ยังยืนหยัดมั่นคงฐานะเป็นผู้รักษาความซื่อสัตย์. (บทเพลงสรรเสริญ 25:21) ที่จริง ผู้ปกครองที่มีใจถ่อมรับใช้มานานก็สามารถทำให้ประสบการณ์ในชีวิตของตนให้เป็นประโยชน์โดยยังคงอยู่ร่วมคณะผู้ปกครอง. แม้ไม่คล่องตัวเนื่องด้วยอายุขัยหรือหย่อนสมรรถนะทางกายก็ตาม เขาไม่จำเป็นต้องถอนตัว. ในเวลาเดียวกัน ขอให้พยานพระยะโฮวาแต่ละคนทะนุถนอมสิทธิพิเศษอันมีค่าล้ำเลิศไว้ กล่าวคือ ‘การกล่าวถึงพระรัศมีแห่งราชอาณาจักรของพระเจ้า’ ในฐานะที่เป็นผู้เชิดชูพระนามบริสุทธิ์ของพระองค์.—บทเพลงสรรเสริญ 145:10-13.
18. (ก) ถ้าผู้ปกครองหรือผู้รับใช้ที่รับการแต่งตั้งถูกถอดถอน อะไรอาจเป็นสิ่งจำเป็น? (ข) ผู้ปกครองคนหนึ่งที่ถูกถอดถอนมีท่าทีอันถูกต้องอย่างไร?
18 ถ้าคุณเคยเป็นผู้ปกครองหรือผู้รับใช้ที่รับการแต่งตั้ง แต่บัดนี้ไม่ได้รับใช้ในหน้าที่นั้น จงแน่ใจว่าพระเจ้ายังคงใฝ่พระทัยในคุณอยู่ และบางทีในอนาคตพระองค์จะโปรดให้คุณมีสิทธิพิเศษอย่างไม่คาดหมาย. (1 เปโตร 5:6, 7) ถ้าคุณจะต้องปรับเปลี่ยนบางอย่าง ก็จงเต็มใจยอมรับความผิดพลาดและพยายามแก้ไขจุดนั้น ๆ ด้วยการช่วยเหลือของพระเจ้า. บางคนซึ่งถูกถอนจากการเป็นผู้ปกครองรับเอาทัศนะซึ่งไม่ใช่ลักษณะคริสเตียน และบางคนเลิกราชกิจหรือละความจริงไปเลย. แต่จะสุขุมเพียงไรถ้าจะปฏิบัติเหมือนคนเหล่านั้น ซึ่งได้แสดงออกซึ่งน้ำใจอันดี! ตัวอย่างเช่น เมื่อผู้ปกครองคนหนึ่งที่ได้รับใช้หลายปีในประเทศแถบอเมริกากลางถูกถอดถอน เขาบอกว่า “ผมเสียใจมากที่เสียสิทธิพิเศษซึ่งผมถือว่ามีค่าสูงตลอดเวลายาวนาน. แต่ผมจะพยายามทำเต็มที่ไม่ว่างงานอะไรก็ตาม แล้วแต่พี่น้องต้องการใช้ให้ผมทำ และผมจะออกความพยายามเพื่อจะได้สิทธิพิเศษในงานรับใช้กลับคืนมาอีก.” ในเวลาต่อมา บราเดอร์คนนี้ก็ได้สิทธิพิเศษรับใช้ฐานะผู้ปกครองอีกครั้งหนึ่ง.
19. มีคำแนะนำที่เหมาะสมเช่นไรสำหรับบราเดอร์ซึ่งถูกถอดถอนจากตำแหน่งผู้ปกครองหรือผู้รับใช้ที่รับการแต่งตั้ง?
19 ถ้าคุณถูกถอดถอนจากฐานะผู้ปกครองหรือผู้รับใช้ที่ถูกแต่งตั้ง จงมีใจถ่อมอยู่เสมอ. อย่ามีท่าทีอันขมขื่นซึ่งจะเป็นเหตุให้คุณขาดคุณสมบัติไม่ได้รับสิทธิพิเศษในวันข้างหน้า. น้ำใจซึ่งแสดงออกอย่างเลื่อมใสในพระเจ้าส่งผลให้ได้ความนับถือ. แทนที่จะรู้สึกท้อแท้ ขอให้คิดรำพึงถึงวิธีที่พระยะโฮวาอวยพระพรงานรับใช้ของคุณหรือครอบครัวของคุณ. จงสร้างเสริมครอบครัวของคุณให้มั่นคงฝ่ายวิญญาณ ไปเยี่ยมคนที่เจ็บป่วยและให้กำลังใจแก่คนอ่อนแอ. ยิ่งกว่าอะไรทั้งสิ้น จงทะนุถนอมสิทธิพิเศษแห่งการสรรเสริญพระเจ้าและประกาศข่าวดีฐานะเป็นพยานคนหนึ่งของพระยะโฮวา.—บทเพลงสรรเสริญ 145:1, 2; ยะซายา 43:10-12.
20. คณะผู้ปกครองจะสามารถให้ความช่วยเหลืออย่างไรแก่ผู้ซึ่งเคยเป็นผู้ดูแลหรือผู้รับใช้ที่รับการแต่งตั้ง?
20 คณะผู้ปกครองควรตระหนักว่าการถอดถอนอาจทำให้เกิดความเครียดแก่ผู้ซึ่งเคยเป็นผู้ดูแลหรือผู้รับใช้ที่ถูกแต่งตั้ง ถึงแม้เขาสละสิทธิพิเศษนั้นด้วยสมัครใจก็ตาม. ถ้าเขาไม่ถูกตัดสัมพันธ์ แต่พวกผู้ปกครองเห็นว่าผู้นั้นรันทดหดหู่ ก็สมควรให้การช่วยเหลือฝ่ายวิญญาณด้วยความรักใคร่. (1 เธซะโลนิเก 5:14) เขาควรช่วยผู้นั้นตระหนักว่าประชาคมยังต้องการเขาอยู่. แม้นเขาจำต้องได้รับคำแนะนำที่จำเป็น อาจจะไม่นานก่อนที่ชายซึ่งมีใจถ่อมและสำนึกบุญคุณจะได้รับสิทธิพิเศษแห่งการรับใช้ในประชาคมที่เพิ่มให้กับเขา.
21. ใครบ้างที่เคยรอรับสิทธิพิเศษแห่งการรับใช้ และมีคำแนะนำเช่นไรแก่คนสมัยนี้ที่คอยเวลาที่จะได้สิทธิพิเศษ?
21 ถ้าคุณเอื้อมแขนออกไป คุณอาจจะต้องรอระยะหนึ่งก่อนรับสิทธิพิเศษขั้นต่อไป. อย่าใจร้อน. โมเซรออยู่นานถึงสี่สิบปีก่อนพระเจ้าทรงใช้ท่านให้ปลดปล่อยชาวยิศราเอลจากฐานะทาสในอียิปต์. (กิจการ 7:23-36) ก่อนการแต่งตั้งเป็นผู้สืบตำแหน่งของโมเซ ยะโฮซูอะก็เคยปฏิบัติงานเป็นผู้ช่วยของท่านอยู่นานทีเดียว. (เอ็กโซโด 33:11; อาฤธโม 27:15-23) ดาวิดได้รออยู่นานก่อนขึ้นครองราชย์ในประเทศยิศราเอล. (2 ซามูเอล 2:7; 5:3) เปโตรและโยฮันมาระโกก็ดูเหมือนว่าได้ผ่านการหลอมหล่อชั่วระยะหนึ่ง. (มัดธาย 26:69-75; โยฮัน 21:15-19; กิจการ 13:13; 15:36-41; โกโลซาย 4:10) ฉะนั้น ถ้าขณะนี้คุณไม่มีหน้าที่ในประชาคม พระยะโฮวาอาจจะปล่อยให้คุณถูกหล่อหลอมโดยให้มีประสบการณ์มากขึ้น. ไม่ว่าในกรณีใด ขณะที่คุณเอื้อมแขนออกไป จงแสวงหาการช่วยเหลือจากพระยะโฮวาและพระองค์อาจจะเพิ่มสิทธิพิเศษแห่งการรับใช้แก่คุณมากยิ่งขึ้น. ในระหว่างเวลานี้ จงขยันหมั่นเพียรเพื่อจะมีคุณสมบัติเหมาะกับหน้าที่รับผิดชอบภายในประชาคม และแสดงออกซึ่งน้ำใจเยี่ยงดาวิด ผู้ซึ่งกล่าวว่า “ปากของข้าพเจ้าจะกล่าวคำสรรเสริญพระยะโฮวา และให้สรรพสัตว์ถวายเกียรติยศแก่พระนามอันบริสุทธิ์ของพระองค์เสมอไปเป็นนิตย์.”—บทเพลงสรรเสริญ 145:21.
คุณจะตอบอย่างไร?
▫ คริสเตียนผู้ปกครองควรระมัดระวังอันตรายอะไร?
▫ อะไรจะช่วยคนเหล่านั้นที่ไม่เอื้อมแขนออกไปเนื่องจากความกังวลหรือคิดว่าตนไม่มีความสามารถพอ?
▫ อะไรจะช่วยกระตุ้นคนเราให้ทำตัวอยู่พร้อมเพื่อหน้าที่รับผิดชอบภายในประชาคม?
▫ ผู้ซึ่งแต่ก่อนเคยเป็นผู้ปกครองหรือผู้รับใช้ที่ถูกแต่งตั้งควรมองอนาคตด้วยท่าทีเช่นไร?
[รูปภาพหน้า 21]
เหมือนพระเยซู คุณเต็มใจจะทำทุกสิ่งที่ทำได้ไหมในงานรับใช้พระยะโฮวา?