-
ใช้ต้นมะเดื่อสอนบทเรียนเรื่องความเชื่อพระเยซู—ทางนั้น ความจริง ชีวิต
-
-
บท 105
ใช้ต้นมะเดื่อสอนบทเรียนเรื่องความเชื่อ
มัทธิว 21:19-27 มาระโก 11:19-33 ลูกา 20:1-8
เรียนเรื่องความเชื่อจากต้นมะเดื่อที่เหี่ยวแห้ง
ผู้นำชาวยิวสงสัยเรื่องอำนาจของพระเยซู
พระเยซูออกจากกรุงเยรูซาเล็มบ่ายวันจันทร์ แล้วกลับไปหมู่บ้านเบธานีที่อยู่บนเนินเขาทางตะวันออกของภูเขามะกอก ท่านคงค้างคืนที่บ้านของลาซารัส
เช้าวันที่ 11 เดือนนิสาน พระเยซูกับสาวกกลับไปเยรูซาเล็มอีกครั้ง ท่านจะไปที่วิหารเป็นครั้งสุดท้าย และนี่ก็เป็นวันสุดท้ายของงานรับใช้ของพระเยซู หลังจากนี้ท่านจะฉลองปัสกา, ตั้งการฉลองเพื่อระลึกถึงการเสียชีวิตของท่าน, ถูกพิจารณาคดี, และถูกตัดสินประหาร
ระหว่างเดินข้ามภูเขามะกอกจากหมู่บ้านเบธานีไปกรุงเยรูซาเล็ม เปโตรเห็นต้นมะเดื่อที่พระเยซูสาปไว้เช้าวันก่อน เขาจึงร้องด้วยความตกใจว่า “ดูสิอาจารย์ ต้นมะเดื่อที่ท่านสาปไว้มันแห้งตายแล้ว”—มาระโก 11:21
ทำไมพระเยซูจึงสาปต้นมะเดื่อนั้นให้เหี่ยวแห้งตาย? ท่านบอกเหตุผลว่า “ถ้าคุณมีความเชื่อและไม่สงสัยเลย คุณก็จะทำอย่างนี้ได้เหมือนกัน และจะทำได้มากกว่านี้อีก แม้แต่สั่งภูเขาลูกนี้ว่า ‘ลอยไปตกในทะเลซะ’ มันก็จะเป็นไปตามนั้น ถ้าคุณมีความเชื่อ ไม่ว่าคุณจะอธิษฐานขออะไรก็จะได้รับ” (มัทธิว 21:21, 22) ท่านย้ำจุดสำคัญที่เคยสอนว่าความเชื่อมีพลังมากจนอาจย้ายภูเขาได้—มัทธิว 17:20
ดังนั้น พระเยซูทำให้ต้นมะเดื่อแห้งตายเพื่อสอนว่าความเชื่อในพระเจ้าเป็นเรื่องสำคัญมาก ท่านบอกว่า “ถ้าคุณอธิษฐานขออะไร ก็ให้เชื่อเถอะว่าจะได้รับแน่ แล้วคุณจะได้รับจริง ๆ” (มาระโก 11:24) นี่เป็นบทเรียนที่สำคัญมากสำหรับสาวก และเหมาะกับอัครสาวกเป็นพิเศษเพราะอีกไม่นานพวกเขาจะเจอการทดสอบที่ยากลำบาก แต่ต้นมะเดื่อที่เหี่ยวแห้งเกี่ยวข้องกับความเชื่อในอีกความหมายหนึ่งด้วย
ชาติอิสราเอลเป็นเหมือนต้นมะเดื่อนี้ที่ดูเผิน ๆ ก็เหมือนดี คนในชาตินี้อยู่ภายใต้สัญญาที่ทำไว้กับพระยะโฮวา และเมื่อดูภายนอกก็เหมือนว่าพวกเขาทำตามข้อกฎหมายนั้น แต่ที่จริงแล้วคนส่วนใหญ่ขาดความเชื่อและไม่เกิดผลที่ดี พวกเขาถึงกับปฏิเสธลูกของพระเจ้า! ดังนั้น พระเยซูสาปต้นมะเดื่อที่ไม่เกิดผลให้เหี่ยวแห้งตาย ก็เพื่อให้เห็นภาพว่าจุดจบของชาติที่ไม่เกิดผลและขาดความเชื่อจะเป็นอย่างไร
พอพระเยซูกับสาวกมาถึงเยรูซาเล็ม ท่านก็ไปสอนในที่ประชุมของชาวยิวเหมือนเคย พวกปุโรหิตใหญ่และพวกผู้นำชาวยิวคงคิดถึงเรื่องที่พระเยซูไล่พวกคนรับแลกเงินออกไป พวกเขาเลยถามท่านว่า “คุณมีสิทธิ์อะไรมาทำอย่างนี้? ใครให้อำนาจคุณ?”—มาระโก 11:28
พระเยซูพูดกลับไปว่า “ผมจะถามคุณข้อหนึ่ง ตอบผมมาก่อน แล้วผมถึงจะบอกคุณว่า ผมมีสิทธิ์อะไรที่ทำอย่างนี้ ช่วยตอบหน่อยสิว่า ที่ยอห์นให้บัพติศมานั้น ใครให้อำนาจเขา พระเจ้าหรือมนุษย์?” ตอนนี้พวกที่มาท้าทายกลับเป็นฝ่ายต้องคิดหนักซะเอง พวกปุโรหิตใหญ่และพวกผู้นำชาวยิวไม่รู้จะตอบอย่างไร จึงปรึกษากันว่า “ถ้าเราตอบว่า ‘พระเจ้า’ เขาก็จะถามว่า ‘ถ้าอย่างนั้น ทำไมถึงไม่เชื่อยอห์น?’ แต่ใครจะไปกล้าตอบว่า ‘มนุษย์’ ล่ะ” พวกเขาพูดกันอย่างนั้นเพราะกลัวประชาชนจะโกรธแค้น “เพราะประชาชนถือว่ายอห์นเป็นผู้พยากรณ์จริง ๆ”—มาระโก 11:29-32
พวกผู้ต่อต้านหาคำตอบที่เหมาะ ๆ ไม่ได้ พวกเขาจึงพูดว่า “ไม่รู้สิ” พระเยซูเลยพูดว่า “ถ้าอย่างนั้น ผมก็จะไม่บอกพวกคุณเหมือนกันว่า ผมมีสิทธิ์อะไรที่ทำอย่างนี้”—มาระโก 11:33
-
-
ตัวอย่างเปรียบเทียบสองเรื่องเกี่ยวกับสวนองุ่นพระเยซู—ทางนั้น ความจริง ชีวิต
-
-
บท 106
ตัวอย่างเปรียบเทียบสองเรื่องเกี่ยวกับสวนองุ่น
มัทธิว 21:28-46 มาระโก 12:1-12 ลูกา 20:9-19
ตัวอย่างเปรียบเทียบเรื่องลูก 2 คน
ตัวอย่างเปรียบเทียบเรื่องคนเช่าสวนที่ชั่ว
ตอนที่อยู่ในวิหาร พวกปุโรหิตใหญ่และพวกผู้นำชาวยิวสงสัยเรื่องอำนาจของพระเยซู แต่คำตอบของท่านทำให้พวกเขาพูดอะไรไม่ออก แล้วพระเยซูก็เล่าตัวอย่างเปรียบเทียบที่ทำให้เห็นว่าพวกเขาเป็นคนแบบไหน
พระเยซูบอกว่า “สมมุติว่า ผู้ชายคนหนึ่งมีลูก 2 คน เขาบอกลูกคนหนึ่งว่า ‘ลูกพ่อ วันนี้ไปทำงานในสวนองุ่นนะ’ ลูกตอบว่า ‘ไม่ไป’ แต่ตอนหลังเขาเปลี่ยนใจและไปทำงาน ผู้ชายคนนั้นบอกให้ลูกอีกคนหนึ่งไปทำงานในสวนเหมือนกัน ลูกคนนี้ตอบว่า ‘ครับพ่อ ผมจะไป’ แต่กลับไม่ไป ลูกสองคนนี้ คนไหนทำตามที่พ่อต้องการ?” (มัทธิว 21:28-31) คำตอบก็คือลูกคนแรก เพราะแม้เขาปฏิเสธแต่ในที่สุดก็ทำตามที่พ่อต้องการ
พระเยซูจึงบอกพวกผู้ต่อต้านว่า “คนเก็บภาษีและโสเภณีจะได้เข้ารัฐบาลของพระเจ้าก่อนพวกคุณอีก” ตอนแรก คนเก็บภาษีและโสเภณีไม่ยอมรับใช้พระเจ้า พวกเขาเป็นเหมือนลูกคนแรกที่กลับใจและมารับใช้พระองค์ แต่พวกผู้นำศาสนาเป็นเหมือนลูกคนที่สอง ซึ่งอ้างว่ารับใช้พระเจ้าแต่กลับไม่ทำตามที่พูด พระเยซูบอกว่า “ยอห์น [ผู้ให้บัพติศมา] มาชี้ทางที่ถูก พวกคุณก็ไม่เชื่อเขา แต่คนเก็บภาษีและโสเภณีเชื่อเขา ถึงแม้คุณได้เห็นอย่างนั้นแล้ว คุณก็ยังไม่ยอมกลับตัวกลับใจมาเชื่อยอห์นอีก”—มัทธิว 21:31, 32
พระเยซูเล่าตัวอย่างเปรียบเทียบอีกเรื่องหนึ่งที่ชี้ให้เห็นว่านอกจากผู้นำศาสนาจะไม่สนใจรับใช้พระเจ้าแล้ว พวกเขายังชั่วร้ายมากด้วย ท่านบอกว่า “มีผู้ชายคนหนึ่งปลูกองุ่นและทำรั้วล้อมรอบสวน เขาขุดบ่อย่ำองุ่นในสวนนั้น แถมยังสร้างหอคอยไว้ด้วย เสร็จแล้วเขาก็ให้คนมาเช่าสวนองุ่น จากนั้นเขาก็เดินทางไปต่างประเทศ เมื่อถึงฤดูเก็บผล เจ้าของสวนก็ส่งทาสคนหนึ่งไปหาคนเช่าสวนเพื่อจะรับส่วนแบ่งผลองุ่นจากพวกเขา แต่พวกคนเช่าสวนจับทาสคนนั้นไว้ ทุบตีเขา แล้วไล่กลับไปมือเปล่า เจ้าของสวนจึงส่งทาสอีกคนหนึ่งไปหาคนเช่า แต่พวกนั้นรุมตีหัวทาสและแกล้งเขาจนอับอาย แล้วเจ้าของสวนก็ส่งทาสไปอีกคนหนึ่ง พวกคนเช่าก็ฆ่าทาสคนนั้น เจ้าของสวนก็ยังส่งคนไปอีกเรื่อย ๆ บางคนก็ถูกทุบตี บางคนก็ถูกฆ่าตาย”—มาระโก 12:1-5
ผู้ฟังเข้าใจเรื่องที่พระเยซูเล่าไหม? พวกเขาคงจำคำตำหนิของอิสยาห์ต่อชาติอิสราเอลได้ที่ว่า “สวนองุ่นของพระยะโฮวาผู้เป็นจอมทัพนั้นคือชาวอิสราเอล ชาวยูดาห์เคยเป็นสวนที่พระองค์ชื่นชอบ พระองค์เฝ้าคอยให้พวกเขาตัดสินเรื่องต่าง ๆ อย่างยุติธรรม แต่ดูสิ พวกเขากลับไม่ได้ยึดมั่นกับกฎหมาย” (อิสยาห์ 5:7) ตัวอย่างเปรียบเทียบของพระเยซูก็คล้ายกัน เจ้าของสวนคือพระยะโฮวา สวนองุ่นคือชาติอิสราเอล และรั้วก็คือกฎหมายของพระเจ้าที่ป้องกันพวกเขาไว้ แล้วพระยะโฮวาก็ส่งผู้พยากรณ์มาเพื่อสอนและช่วยคนของพระองค์ให้เกิดผลที่ดี
แต่ “คนเช่าสวน” กลับทำร้ายและฆ่า “ทาส” ที่เจ้าของสวนส่งมา พระเยซูอธิบายว่า “เจ้าของสวนมีลูกชายที่เขารักมากอยู่คนหนึ่ง ในที่สุด เขาก็ส่งลูกคนนี้ไปหาคนเช่าเพราะเขาคิดในใจว่า ‘พวกนั้นคงต้องนับถือลูกของเรา’ แต่คนเช่าสวนกลับพูดกันว่า ‘นี่ไง คนที่จะรับมรดก จับมันไปฆ่าเลย สวนนี้จะได้ตกเป็นของเรา’ พวกนั้นจึงจับตัวลูกชายเจ้าของสวนไปฆ่า แล้วโยนออกไปนอกสวนองุ่น”—มาระโก 12:6-8
พอถึงตอนนี้พระเยซูถามว่า “พวกคุณคิดว่า เจ้าของสวนจะทำยังไง?” (มาระโก 12:9) พวกผู้นำศาสนาตอบว่า “เจ้าของสวนจะกำจัดคนเลวพวกนั้นให้สิ้นซาก แล้วให้คนอื่นมาเช่าสวนองุ่นแทน ซึ่งเป็นคนที่จะยอมแบ่งผลองุ่นให้เขาเมื่อถึงฤดูเก็บองุ่น”—มัทธิว 21:41
พวกเขาประกาศคำพิพากษาต่อตัวเองโดยไม่รู้ตัว เพราะพวกเขาเป็นเหมือน “คนเช่าสวน” ใน “สวนองุ่น” ของพระยะโฮวาซึ่งก็คือชาติอิสราเอล พระยะโฮวาเป็น “เจ้าของสวน” ที่มีสิทธิ์ได้รับ “ผลองุ่น” จากคนเช่าสวน ผลนั้นรวมถึงความเชื่อในลูกของพระองค์ที่เป็นเมสสิยาห์ด้วย พระเยซูมองตรงไปที่พวกผู้นำศาสนาและพูดว่า “คุณไม่เคยอ่านพระคัมภีร์ข้อนี้หรือที่ว่า ‘หินที่ช่างก่อสร้างทิ้งไปแล้ว กลายมาเป็นหินหัวมุมหลัก หินก้อนนี้มาจากพระยะโฮวาและน่ามหัศจรรย์ในสายตาพวกเรา’” (มาระโก 12:10, 11) แล้วท่านก็พูดตรง ๆ ว่า “เพราะอย่างนี้ ผมจะบอกให้รู้ว่า พวกคุณจะหมดโอกาสเข้ารัฐบาลของพระเจ้า แล้วอีกชนชาติหนึ่งจะได้รับโอกาสนั้นแทนเพราะพวกเขาเกิดผลอย่างที่พระเจ้าต้องการ”—มัทธิว 21:43
พวกครูสอนศาสนาและพวกปุโรหิตใหญ่รู้ว่าพระเยซู “กำลังพูดถึงพวกเขา” (ลูกา 20:19) พวกเขาอยากฆ่าพระเยซูซึ่งเป็นผู้มีสิทธิ์ตามกฎหมายที่จะได้ “รับมรดก” แต่ประชาชนคิดว่าพระเยซูเป็นผู้พยากรณ์ พวกเขาจึงยังไม่กล้าลงมือ
-
-
“มีหลายคนได้รับเชิญ แต่มีน้อยคนได้รับเลือก”พระเยซู—ทางนั้น ความจริง ชีวิต
-
-
บท 107
“มีหลายคนได้รับเชิญ แต่มีน้อยคนได้รับเลือก”
ตัวอย่างเปรียบเทียบเรื่องงานแต่งงาน
พระเยซูอยู่ในช่วงสุดท้ายของงานรับใช้ ท่านใช้ตัวอย่างเปรียบเทียบหลายเรื่องเพื่อเปิดโปงพวกครูสอนศาสนาและพวกปุโรหิตใหญ่ พวกเขาจึงอยากจะฆ่าท่าน (ลูกา 20:19) แต่พระเยซูก็ยังคงเปิดโปงพวกเขาต่อไปโดยเล่าตัวอย่างอีกเรื่องที่ว่า
“รัฐบาลสวรรค์อาจเปรียบได้กับกษัตริย์องค์หนึ่งที่จัดงานแต่งงานให้ลูกชาย กษัตริย์ใช้ทาสออกไปเรียกคนที่เชิญไว้ให้มาร่วมงาน แต่พวกเขาไม่ยอมมา” (มัทธิว 22:2, 3) พระเยซูเริ่มโดยพูดถึง “รัฐบาลสวรรค์” ดังนั้น ตามหลักเหตุผลแล้ว “กษัตริย์” ก็หมายถึงพระยะโฮวาพระเจ้า แล้วลูกของกษัตริย์กับคนที่ได้รับเชิญคือใคร? ลูกของกษัตริย์ก็ต้องเป็นลูกของพระยะโฮวา คือพระเยซู คนที่ได้รับเชิญคือคนที่จะร่วมปกครองกับลูกของกษัตริย์ในรัฐบาลสวรรค์
ใครเป็นคนกลุ่มแรกที่ได้รับเชิญ? คนที่พระเยซูและสาวกประกาศข่าวเรื่องรัฐบาลของพระเจ้าให้ฟัง ซึ่งก็คือคนยิวนั่นเอง (มัทธิว 10:6, 7; 15:24) ชาตินี้ยอมรับสัญญาเกี่ยวกับกฎหมายในปี 1513 ก่อน ค.ศ. ดังนั้น พวกเขาคือกลุ่มแรกที่มีโอกาสเป็นส่วนหนึ่งของ “รัฐบาลที่มีปุโรหิตปกครอง” (อพยพ 19:5-8) แต่พวกเขาได้รับเชิญมา “งานแต่งงาน” เมื่อไร? ในปี ค.ศ. 29 ตอนที่พระเยซูเริ่มประกาศเรื่องรัฐบาลของพระเจ้า
คนอิสราเอลส่วนใหญ่ทำอย่างไรเมื่อได้รับเชิญ? พระเยซูบอกว่า “พวกเขาไม่ยอมมา” พวกผู้นำศาสนาและคนส่วนใหญ่ไม่ยอมรับว่าพระเยซูเป็นเมสสิยาห์และกษัตริย์ที่พระเจ้าแต่งตั้ง
แต่คนยิวจะได้โอกาสอีกครั้ง เพราะพระเยซูบอกว่า “กษัตริย์จึงใช้ทาสคนอื่น ๆ ไปอีก และสั่งว่า ‘ไปบอกคนที่ได้รับเชิญว่า “งานเลี้ยงก็เตรียมไว้แล้ว มีทั้งเนื้อวัวตัวผู้และเนื้อสัตว์อย่างดี ทุกอย่างพร้อมแล้ว เชิญมาได้เลย”’ แต่พวกเขาไม่สนใจ บางคนออกไปทำงานในสวน บางคนก็ไปค้าขาย ส่วนคนอื่น ๆ จับตัวทาสของกษัตริย์ไว้ ทุบตีทำร้าย แล้วฆ่าพวกเขา” (มัทธิว 22:4-6) นี่ตรงกับสิ่งที่เกิดขึ้นเมื่อมีการก่อตั้งประชาคมคริสเตียน ตอนนั้น คนยิวยังมีโอกาสเข้ามาเป็นส่วนหนึ่งในรัฐบาลสวรรค์ แต่หลายคนก็ไม่ตอบรับอยู่ดี และถึงกับทำร้าย “ทาสของกษัตริย์” ด้วยซ้ำ—กิจการ 4:13-18; 7:54, 58
ผลเป็นอย่างไร? พระเยซูบอกว่า “กษัตริย์โมโหมาก เลยส่งกองทัพไปกวาดล้างพวกคนที่ฆ่าทาสของเขาแล้วเผาเมืองของพวกนั้นเสีย” (มัทธิว 22:7) เรื่องนี้เกิดขึ้นในปี ค.ศ. 70 ตอนที่คนโรมันทำลาย “เมืองของพวกนั้น” ซึ่งก็คือกรุงเยรูซาเล็ม
พอพวกเขาปฏิเสธ กษัตริย์ก็ไม่เชิญใครอีกเลยไหม? ไม่ใช่อย่างนั้น พระเยซูเล่าว่า “แล้วกษัตริย์บอกทาสของเขาว่า ‘งานเลี้ยงก็พร้อมแล้ว แต่คนที่เชิญไว้ไม่เหมาะสมกับงานนี้ ดังนั้น ให้ไปตามถนนใหญ่ ถ้าเจอใครก็เชิญมาให้หมด’ พวกทาสก็ออกไปตามถนน เชิญทุกคนที่เจอ ทั้งคนดีและคนชั่ว จนแขกมากันเต็มห้องจัดเลี้ยง”—มัทธิว 22:8-10
ในปี ค.ศ. 36 อัครสาวกเปโตรช่วยคนต่างชาติให้มาเป็นคริสเตียน นายร้อยในกองทัพโรมันชื่อโคร์เนลิอัสและครอบครัวได้รับพลังบริสุทธิ์ของพระเจ้า และมีโอกาสได้เป็นส่วนหนึ่งของรัฐบาลสวรรค์ที่พระเยซูพูดถึง—กิจการ 10:1, 34-48
แต่พระเยซูบอกว่าไม่ใช่ทุกคนที่มางานจะเป็นที่ยอมรับของ “กษัตริย์” ท่านพูดว่า “เมื่อกษัตริย์เข้ามาดูแขกในงาน ก็เห็นคนหนึ่งสวมชุดที่ไม่เหมาะกับงาน กษัตริย์จึงถามเขาว่า ‘นี่คุณ เข้ามาได้ยังไง ชุดสำหรับงานแต่งงานก็ไม่มี?’ คนนั้นก็พูดไม่ออก กษัตริย์จึงบอกพวกคนรับใช้ว่า ‘จับคนนี้มัดมือมัดเท้า แล้วโยนออกไปที่มืดข้างนอก ที่นั่นเขาจะร้องห่มร้องไห้ด้วยความทุกข์ใจ’ ดังนั้น มีหลายคนได้รับเชิญ แต่มีน้อยคนได้รับเลือก”—มัทธิว 22:11-14
พวกผู้นำศาสนาอาจไม่เข้าใจความหมายของสิ่งที่พระเยซูพูด แต่พวกเขาก็ยิ่งไม่พอใจและมุ่งมั่นหาทางจะกำจัดท่าน เพราะท่านทำให้พวกเขาอับอายมาก
-
-
พระเยซูไม่หลงกลพวกเขาพระเยซู—ทางนั้น ความจริง ชีวิต
-
-
บท 108
พระเยซูไม่หลงกลพวกเขา
มัทธิว 22:15-40 มาระโก 12:13-34 ลูกา 20:20-40
“อะไรที่เป็นของซีซาร์ก็ให้กับซีซาร์”
คำถามเรื่องการฟื้นขึ้นจากตาย
กฎ 2 ข้อที่สำคัญที่สุด
พวกผู้นำศาสนาโกรธแค้นพระเยซู เพราะท่านเปิดโปงความชั่วร้ายของพวกเขา พวกฟาริสีหาทางให้พระเยซูพูดบางอย่างที่จะทำให้ท่านถูกจับส่งไปให้ผู้ว่าราชการโรมัน และพวกเขาติดสินบนสาวกบางคนเพื่อจะให้ท่านติดกับ—ลูกา 6:7
พวกฟาริสีพูดกับพระเยซูว่า “อาจารย์ครับ พวกเรารู้ว่าคำพูดและคำสอนของท่านถูกต้องเสมอและท่านไม่ลำเอียง ท่านสอนคำสอนของพระเจ้าอย่างตรงไปตรงมา ขอถามหน่อยว่า ถูกต้องไหมที่เราจะเสียภาษีให้ซีซาร์?” (ลูกา 20:21, 22) พระเยซูไม่หลงไปกับคำยกยอปอปั้น เพราะรู้ว่านั่นเป็นเล่ห์เหลี่ยมของพวกเขา ถ้าท่านตอบว่า ‘ไม่ ไม่ควรเสียภาษี’ ท่านก็จะถูกกล่าวหาว่ากบฏต่อรัฐบาลโรมัน แต่ถ้าท่านบอกว่า ‘ใช่ ควรเสียภาษี’ ประชาชนที่ไม่อยากอยู่ใต้อำนาจพวกโรมันก็อาจเข้าใจผิดและต่อต้านท่าน ถ้าอย่างนั้น พระเยซูตอบว่าอะไร?
ท่านตอบว่า “พวกหน้าไหว้หลังหลอก พวกคุณหาเรื่องจับผิดผมทำไม? เอาเหรียญที่ใช้เสียภาษีมาให้ผมสิ” พวกเขาจึงยื่นเหรียญเดนาริอันให้ท่าน แล้วพระเยซูก็ถามว่า “นี่รูปใคร และชื่อของใครอยู่บนเหรียญนี้?” พวกเขาตอบว่า “ซีซาร์” แล้วพระเยซูก็ให้คำแนะนำที่ดีมากโดยบอกว่า “ถ้าอย่างนั้น อะไรที่เป็นของซีซาร์ก็ให้กับซีซาร์ และอะไรที่เป็นของพระเจ้าก็ให้กับพระเจ้า”—มัทธิว 22:18-21
คำตอบของพระเยซูทำให้พวกเขาอึ้งไป เมื่อไม่สามารถหลอกให้พระเยซูหลงกล พวกฟาริสีก็กลับไป แต่เกมนี้ยังไม่จบ ตอนนี้ถึงตาของพวกสะดูสีแล้ว
พวกสะดูสีไม่เชื่อเรื่องการฟื้นขึ้นจากตาย พวกเขาจึงพูดถึงเรื่องนี้และเรื่องการแต่งงานกับภรรยาของพี่ชาย พวกเขาถามพระเยซูว่า “อาจารย์ครับ โมเสสบอกว่า ‘ถ้าผู้ชายคนไหนตายไปและยังไม่มีลูก พี่ชายหรือน้องชายของเขาต้องแต่งงานกับภรรยาของผู้ตาย และมีลูกให้กับผู้ตายนั้น’ แล้วถ้าครอบครัวหนึ่งมีลูกชาย 7 คน คนโตแต่งงานกับผู้หญิงคนหนึ่งแล้วก็ตายไปตอนที่ยังไม่มีลูก คนที่สองเลยรับผู้หญิงคนนั้นมาเป็นภรรยา แล้วก็เกิดเหตุการณ์แบบเดียวกันกับน้องคนนี้และคนถัด ๆ ไปจนถึงคนที่เจ็ด ในที่สุด ผู้หญิงคนนั้นก็ตายด้วย แล้วอย่างนี้ ตอนที่ทุกคนฟื้นขึ้นจากตาย ผู้หญิงคนนั้นจะเป็นภรรยาของใครล่ะ เพราะทั้ง 7 คนเคยเป็นสามีของเธอ?”—มัทธิว 22:24-28
พระเยซูตอบโดยยกข้อเขียนของโมเสสซึ่งพวกสะดูสียอมรับ ท่านบอกว่า “พวกคุณคิดผิดแล้ว คุณไม่เข้าใจพระคัมภีร์และไม่รู้ว่าพลังของพระเจ้าทำอะไรได้บ้าง เมื่อถึงเวลาที่คนตายฟื้นขึ้นมา พวกเขาจะไม่แต่งงาน แต่จะเป็นเหมือนทูตสวรรค์ ในเรื่องที่คนตายจะฟื้นขึ้นมานั้น คุณไม่ได้อ่านเรื่องพุ่มหนามในหนังสือของโมเสสหรือ ที่พระเจ้าบอกโมเสสว่า ‘เราเป็นพระเจ้าของอับราฮัม พระเจ้าของอิสอัค และพระเจ้าของยาโคบ’? พระองค์ไม่ได้เป็นพระเจ้าของคนตาย แต่เป็นพระเจ้าของคนเป็น พวกคุณนี่เข้าใจผิดจริง ๆ” (มาระโก 12:24-27; อพยพ 3:1-6) พระเยซูตอบได้ดีจนประชาชนรู้สึกทึ่ง
พระเยซูทำให้ทั้งพวกฟาริสีและพวกสะดูสีพูดอะไรไม่ออก ตอนนี้พวกเขาเลยรวมหัวกันมาทดสอบพระเยซู ครูสอนศาสนาคนหนึ่งถามว่า “อาจารย์ กฎหมายของโมเสสข้อไหนสำคัญที่สุด?”—มัทธิว 22:36
พระเยซูตอบว่า “ข้อที่สำคัญที่สุดคือ ‘ชาวอิสราเอล ฟังให้ดี พระยะโฮวาเป็นพระเจ้าของเรา และพระยะโฮวามีเพียงองค์เดียวเท่านั้น คุณต้องรักพระยะโฮวาพระเจ้าของคุณสุดหัวใจ สุดชีวิต สุดความคิด และสุดกำลัง’ ข้อที่สองคือ ‘ให้รักคนอื่นเหมือนรักตัวเอง’ ไม่มีกฎหมายข้อไหนสำคัญกว่าสองข้อนี้อีกแล้ว”—มาระโก 12:29-31
เมื่อได้ยินอย่างนั้น ครูสอนศาสนาจึงพูดว่า “อาจารย์ครับ ท่านพูดได้ดีและถูกต้องที่ว่า ‘พระเจ้ามีเพียงองค์เดียวเท่านั้น และไม่มีพระเจ้าอื่นนอกจากพระองค์’ การรักพระเจ้าอย่างสุดหัวใจ สุดความคิด และสุดกำลัง และรักคนอื่นเหมือนรักตัวเอง มีค่ายิ่งกว่าเครื่องบูชาเผาและเครื่องบูชาอื่นทั้งหมด” พระเยซูเห็นว่าเขาตอบได้ดีมาก จึงพูดกับเขาว่า “คุณไม่ไกลจากรัฐบาลของพระเจ้าแล้ว”—มาระโก 12:32-34
พระเยซูสอนในวิหารตลอด 3 วัน (วันที่ 9, 10, และ 11 เดือนนิสาน) มีบางคนชอบฟังท่านสอน อย่างเช่นครูสอนศาสนาคนนั้นที่เพิ่งคุยกับท่าน แต่พวกผู้นำศาสนา ‘ไม่กล้าถามอะไรท่านอีก’
-
-
ตำหนิพวกผู้ต่อต้านพระเยซู—ทางนั้น ความจริง ชีวิต
-
-
บท 109
ตำหนิพวกผู้ต่อต้าน
มัทธิว 22:41-23:24 มาระโก 12:35-40 ลูกา 20:41-47
พระคริสต์เป็นลูกหลานของใคร?
เปิดโปงผู้ต่อต้านที่หน้าไหว้หลังหลอก
พวกผู้ต่อต้านไม่สามารถทำลายชื่อเสียงหรือหลอกให้พระเยซูหลงกล พวกเขาจับท่านส่งพวกโรมันไม่ได้ (ลูกา 20:20) ตอนนี้เป็นวันที่ 11 เดือนนิสานและพระเยซูยังอยู่ที่วิหาร ท่านพลิกสถานการณ์และเปิดโปงตัวตนที่แท้จริงของพวกเขา โดยเริ่มถามก่อนว่า “พวกคุณคิดยังไงเรื่องพระคริสต์? ท่านเป็นลูกหลานของใคร?” (มัทธิว 22:42) พวกเขาตอบว่าพระคริสต์หรือเมสสิยาห์เป็นลูกหลานของดาวิด เพราะใคร ๆ ก็รู้เรื่องนี้—มัทธิว 9:27; 12:23; ยอห์น 7:42
พระเยซูถามอีกว่า “แล้วทำไมดาวิดได้รับการดลใจจากพระเจ้าให้เรียกพระคริสต์ว่า ‘ผู้เป็นนาย’ ตอนที่ดาวิดบอกว่า ‘พระยะโฮวาพูดกับผู้เป็นนายของผมว่า “นั่งข้างขวาของเราไปก่อน จนกว่าเราจะทำให้พวกศัตรูของเจ้าอยู่ใต้เท้าเจ้า”’? ถ้าดาวิดเรียกพระคริสต์ว่า ‘ผู้เป็นนาย’ แล้วพระคริสต์จะเป็นลูกหลานของดาวิดได้ยังไง?”—มัทธิว 22:43-45
พวกฟาริสีไม่พูดอะไรเลย เพราะพวกเขาหวังว่าคนที่เป็นลูกหลานของดาวิดจะมาช่วยปลดปล่อยพวกเขาจากการอยู่ใต้อำนาจพวกโรมัน แต่พระเยซูยกคำพูดของดาวิดในสดุดี 110:1, 2 เพื่อบอกว่าเมสสิยาห์ต้องไม่ใช่ผู้ปกครองที่เป็นมนุษย์ธรรมดา เมสสิยาห์คือผู้เป็นนายของดาวิด ท่านจะได้นั่งข้างขวาของพระเจ้า และจะมีอำนาจในการปกครอง คำพูดของพระเยซูทำให้พวกผู้ต่อต้านได้แต่ยืนเงียบ
สาวกและคนอื่น ๆ ก็ฟังอยู่ด้วย พระเยซูเตือนพวกเขาเรื่องครูสอนศาสนาและพวกฟาริสีที่ “ตั้งตัวเองให้อยู่ในตำแหน่งของโมเสส” เพื่อสอนกฎหมายของพระเจ้า และท่านสั่งผู้ฟัง “ให้ทำตามทุกสิ่งที่พวกเขาสอน แต่อย่าเลียนแบบการกระทำของเขา เพราะพวกเขาสอนอย่างแต่ทำอีกอย่าง”—มัทธิว 23:2, 3
แล้วพระเยซูก็ยกตัวอย่างว่าพวกเขาหน้าไหว้หลังหลอกขนาดไหน โดยพูดว่า “พวกเขาทำกล่องเครื่องรางใส่ข้อคัมภีร์ของเขาให้ใหญ่ขึ้น” คนยิวบางคนผูกกล่องเล็ก ๆ ไว้ที่หน้าผากหรือที่แขน ในกล่องนั้นจะมีข้อความสั้น ๆ จากกฎหมายของพระเจ้า พวกฟาริสีทำกล่องให้ใหญ่กว่าคนอื่น เพื่อให้เห็นว่าพวกเขาทำตามกฎหมายอย่างจริงจัง นอกจากนั้น พวกเขาก็ “ทำชายครุยเสื้อให้ยาว ๆ” คนอิสราเอลต้องทำชายครุยเสื้อ แต่พวกฟาริสีทำชายครุยเสื้อให้ยาวกว่าใคร ๆ (กันดารวิถี 15:38-40) ทั้งหมดนี้ก็เพื่อจะ “อวดคนอื่น”—มัทธิว 23:5
แม้แต่สาวกของพระเยซูก็อาจอยากได้ตำแหน่งที่มีหน้ามีตา ท่านจึงเตือนว่า “อย่าให้ใครเรียกว่า ‘อาจารย์’ เพราะคุณมีอาจารย์เพียงคนเดียว และพวกคุณทุกคนเป็นพี่น้องกัน และอย่าเรียกใครบนโลกนี้ว่า ‘พ่อ’ เพราะคุณมีพ่อเพียงผู้เดียวและพระองค์อยู่ในสวรรค์ และอย่าให้ใครเรียกคุณว่า ‘ผู้นำ’ เพราะคุณมีผู้นำเพียงผู้เดียวนั่นคือพระคริสต์ ส่วนคนที่เป็นใหญ่ที่สุดในพวกคุณต้องเป็นผู้รับใช้คนอื่น คนที่ยกตัวเองขึ้นจะถูกกดให้ต่ำลง และคนที่ถ่อมตัวลงจะได้รับการยกย่องให้สูงขึ้น”—มัทธิว 23:8-12
ต่อจากนั้น พระเยซูพูดถึงสิ่งที่จะเกิดขึ้นกับผู้ต่อต้านว่า “พวกครูสอนศาสนาและฟาริสี พวกคนหลอกลวง พวกคุณต้องรับโทษหนักแน่ ๆ เพราะคุณปิดทางไม่ให้คนอื่นได้เข้ารัฐบาลสวรรค์ ตัวคุณเองไม่ยอมเข้าไป แต่พอคนอื่นอยากจะเข้า คุณก็ยังกีดกันเขาอีก”—มัทธิว 23:13
พระเยซูตำหนิพวกฟาริสีเพราะพวกเขาไม่นับถือสิ่งที่พระยะโฮวาบอกว่าสำคัญ เรื่องนี้เห็นได้จากกฎไร้เหตุผลที่พวกเขาตั้งขึ้น เช่น พวกเขาบอกว่า “ถ้าใครสาบานโดยอ้างวิหาร เขาไม่ต้องทำตามก็ได้ แต่ถ้าใครสาบานโดยอ้างทองคำในวิหาร เขาจะต้องทำตาม” นี่แสดงว่าพวกเขาตาบอดด้านศีลธรรม เพราะพวกเขาเน้นทองคำในวิหาร แทนที่จะเน้นหลักความจริงที่ว่า วิหารเป็นสถานนมัสการที่ช่วยให้ใกล้ชิดพระเจ้า และพวกเขา “มองข้ามเรื่องที่สำคัญกว่าในกฎหมายของโมเสส นั่นคือ ความยุติธรรม ความเมตตา และความซื่อสัตย์”—มัทธิว 23:16, 23; ลูกา 11:42
พระเยซูพูดกับพวกฟาริสีว่า “พวกคนนำทางที่ตาบอด พวกคุณกรองตัวริ้นออกแต่กลับกลืนอูฐลงไปทั้งตัว” (มัทธิว 23:24) พวกเขากรองตัวริ้นออกจากเหล้าองุ่นเพราะกฎหมายของพระเจ้าถือว่าแมลงนั้นไม่สะอาด แต่พวกเขากลับไม่สนใจเรื่องที่สำคัญกว่า นั่นเท่ากับว่าพวกเขากลืนตัวอูฐลงไป ซึ่งเป็นสัตว์ไม่สะอาดเหมือนกัน แถมตัวใหญ่กว่าริ้นหลายเท่า—เลวีนิติ 11:4, 21-24
-
-
วันสุดท้ายในวิหารพระเยซู—ทางนั้น ความจริง ชีวิต
-
-
บท 110
วันสุดท้ายในวิหาร
มัทธิว 23:25-24:2 มาระโก 12:41-13:2 ลูกา 21:1-6
พระเยซูตำหนิพวกผู้นำศาสนาอีก
วิหารจะถูกทำลาย
แม่ม่ายยากจนหยอดเงิน 2 เหรียญ
วันสุดท้ายที่อยู่ในวิหาร พระเยซูเปิดโปงพวกครูสอนศาสนากับพวกฟาริสี และเรียกพวกเขาว่าเป็นคนหน้าไหว้หลังหลอก ท่านพูดเปรียบเทียบว่า “คุณเป็นเหมือนถ้วยชามที่ล้างแค่ข้างนอก แต่ข้างในพวกคุณมีแต่ความโลภและการสนองความอยากของตัวเองจนไม่ลืมหูลืมตา พวกฟาริสีตาบอด ล้างถ้วยชามด้านในก่อนสิ แล้วด้านนอกถึงจะสะอาดได้” (มัทธิว 23:25, 26) พวกฟาริสีจู้จี้จุกจิกเรื่องความสะอาดด้านพิธีกรรมและรูปกายภายนอก แต่พวกเขาไม่สนใจตัวตนที่แท้จริงข้างในและไม่ได้ทำจิตใจให้บริสุทธิ์
อีกอย่างหนึ่งที่แสดงว่าพวกเขาหน้าไหว้หลังหลอกก็คือ การสร้างและตกแต่งอุโมงค์ฝังศพของพวกผู้พยากรณ์ พระเยซูบอกว่า พวกเขา “เป็นลูกของคนที่ฆ่าผู้พยากรณ์” (มัทธิว 23:31) เรื่องนี้เห็นได้ชัดเพราะพวกเขาพยายามฆ่าพระเยซูด้วย—ยอห์น 5:18; 7:1, 25
ถ้าผู้นำศาสนาพวกนี้ไม่กลับใจ พวกเขาจะต้องเจอกับอะไร? พระเยซูบอกว่า “พวกชาติงูร้าย พวกคุณจะพ้นโทษในเกเฮนนาได้ยังไง?” (มัทธิว 23:33) เกเฮนนาเป็นที่เผาขยะในหุบเขาฮินโนมที่อยู่ใกล้ ๆ เยรูซาเล็ม นั่นช่วยให้เห็นภาพของการถูกทำลายตลอดกาลสำหรับพวกครูสอนศาสนาและพวกฟาริสีที่ชั่วร้าย
สาวกซึ่งจะเป็นตัวแทนของพระเยซูในฐานะ “ผู้พยากรณ์ คนมีปัญญา และครู” ต้องเจอกับอะไรบ้าง? พระเยซูพูดกับพวกผู้นำศาสนาว่า “คุณก็จะจับ [สาวกของผม] ไปฆ่าบ้าง ประหารบนเสาบ้าง เฆี่ยนในที่ประชุมบ้าง และไล่ล่าพวกเขาตามเมืองต่าง ๆ ดังนั้น พวกคุณจะต้องรับผิดชอบการตายของคนของพระเจ้าทุกคนที่ถูกฆ่าในโลก นับตั้งแต่อาเบลมาจนถึงเศคาริยาห์ . . . ที่พวกคุณฆ่าตาย” ท่านเตือนว่า “โทษทั้งหมดนั้นจะตกอยู่กับคนสมัยนี้แน่นอน” (มัทธิว 23:34-36) เรื่องนี้เกิดขึ้นจริงในปี ค.ศ. 70 เมื่อกองทัพโรมันทำลายเยรูซาเล็มและคนยิวหลายแสนคนเสียชีวิต
เมื่อนึกถึงเหตุการณ์น่าสลดที่จะเกิดขึ้น พระเยซูก็ไม่สบายใจ ท่านพูดเศร้า ๆ ว่า “ชาวเยรูซาเล็ม ชาวเยรูซาเล็มทั้งหลาย ทำไมพวกคุณต้องฆ่าพวกผู้พยากรณ์และเอาหินขว้างคนที่พระเจ้าส่งมาด้วย? หลายครั้งแล้วที่ผมอยากจะปกป้องดูแลพวกคุณไว้ เหมือนแม่ไก่ต้อนลูก ๆ ของมันมาไว้ใต้ปีก แต่พวกคุณไม่ยอม เพราะอย่างนี้ วิหารหลังนี้จะถูกทิ้งร้างไว้กับพวกคุณ”—มัทธิว 23:37, 38
พระเยซูพูดอีกว่า “คุณจะไม่ได้เห็นผมอีกจนกว่าคุณจะพูดว่า ‘ขอให้ท่านผู้มาในนามพระยะโฮวาได้รับพร’” (มัทธิว 23:39) พระเยซูยกคำพยากรณ์จากสดุดี 118:26 ที่ว่า “ขอให้ผู้ที่มาในนามของพระยะโฮวาได้รับพร พวกเราขออวยพรพวกคุณจากวิหารของพระยะโฮวา” นี่หมายความว่าเมื่อวิหารหลังนี้ถูกทำลาย จะไม่มีใครมาที่วิหารในนามของพระเจ้าอีกต่อไป
แล้วพระเยซูก็ไปที่ส่วนของวิหารซึ่งมีตู้ใส่เงินบริจาควางอยู่ พระเยซูเห็นคนยิวหลายคนกำลังหยอดเงินลงในช่องเล็ก ๆ คนรวย “หยอดเงินมากมายลงไป” หลังจากนั้น ท่านเห็นแม่ม่ายยากจนคนหนึ่งหยอด “เงินเหรียญเล็ก ๆ 2 เหรียญที่มีค่าน้อยมาก” (มาระโก 12:41, 42) พระเยซูรู้ว่าพระเจ้ามีความสุขมากที่เห็นเธอทำอย่างนั้น
ท่านจึงเรียกสาวกมาและพูดว่า “แม่ม่ายยากจนคนนี้หยอดเงินลงไปในตู้บริจาคมากกว่าทุกคน” พระเยซูหมายความว่าอย่างไร? ท่านอธิบายว่า “คนอื่นเอาเงินเหลือใช้มาบริจาค แต่แม่ม่ายคนนี้ ถึงจะยากจนมาก ก็ยังอุตส่าห์บริจาคเงินทั้งหมดที่เธอมีสำหรับเลี้ยงชีวิต” (มาระโก 12:43, 44) การกระทำและความคิดของแม่ม่ายคนนี้แตกต่างจากพวกผู้นำศาสนาราวฟ้ากับดิน!
วันที่ 11 เดือนนิสานยังไม่จบลง แต่ตอนที่พระเยซูออกจากวิหารเป็นครั้งสุดท้าย สาวกคนหนึ่งก็พูดขึ้นมาว่า “ดูนี่สิอาจารย์ อาคารและก้อนหินพวกนี้สวยจริง ๆ เลย” (มาระโก 13:1) วิหารหลังนี้ดูคงทนถาวรเพราะหินบางก้อนมีขนาดใหญ่ แต่สาวกคงแปลกใจไม่น้อยเมื่อพระเยซูพูดว่า “อาคารใหญ่โตโอ่อ่าที่พวกคุณเห็นอยู่นี้จะถูกทำลายจนสิ้นซาก ไม่เหลือหินซ้อนทับกันแม้แต่ก้อนเดียว”—มาระโก 13:2
หลังจากนั้น พระเยซูกับอัครสาวกก็ข้ามหุบเขาขิดโรนและขึ้นไปบนภูเขามะกอก มีอัครสาวก 4 คนไปกับท่าน คือ เปโตร อันดรูว์ ยากอบ และยอห์น พระเยซูสามารถมองเห็นวิหารที่สวยงามได้จากภูเขานั้น
-
-
สัญญาณของสมัยสุดท้ายพระเยซู—ทางนั้น ความจริง ชีวิต
-
-
บท 111
สัญญาณของสมัยสุดท้าย
มัทธิว 24:3-51 มาระโก 13:3-37 ลูกา 21:7-38
อัครสาวก 4 คนถามเรื่องสัญญาณของสมัยสุดท้าย
สัญญาณที่เกิดขึ้นในศตวรรษแรกและต่อจากนั้น
พวกเราต้องตื่นตัวเสมอ
วันอังคารที่ 11 เดือนนิสานกำลังจะจบลง และงานรับใช้ที่พระเยซูทำอย่างขันแข็งบนโลกนี้ก็ใกล้จะสิ้นสุดลงเหมือนกัน ตอนกลางวันท่านไปสอนในวิหาร แล้วกลางคืนก็ออกมาพักนอกเมือง ผู้คนสนใจพระเยซูมากและ “มาหาท่านที่วิหารแต่เช้าเพื่อฟังท่านสอน” (ลูกา 21:37, 38) เหตุการณ์ทั้งหมดนั้นผ่านไปแล้ว ตอนนี้พระเยซูอยู่บนภูเขามะกอกกับอัครสาวก 4 คน คือ เปโตร อันดรูว์ ยากอบ และยอห์น
อัครสาวก 4 คนนี้มาคุยกับพระเยซูเป็นการส่วนตัว พวกเขากังวลเพราะท่านบอกว่า วิหารจะถูกทำลายจนสิ้นซากไม่เหลือหินซ้อนทับกันแม้แต่ก้อนเดียว แต่พวกเขามีเรื่องอื่นที่อยากถามด้วย พระเยซูเคยเตือนพวกเขาให้ “เตรียมพร้อม . . . เพราะ ‘ลูกมนุษย์’ จะมาในเวลาที่ [พวกเขา] คิดไม่ถึง” (ลูกา 12:40) และพระเยซูก็เคยพูดเกี่ยวกับ “ตอนที่ ‘ลูกมนุษย์’ มาพิพากษา” (ลูกา 17:30) อัครสาวกอยากรู้ว่าคำพูดเหล่านี้เกี่ยวข้องกับเรื่องที่วิหารจะถูกทำลายหรือเปล่า พวกเขาจึงพูดว่า “ช่วยบอกหน่อยได้ไหมครับว่า เรื่องนี้จะเกิดขึ้นเมื่อไหร่ และจะมีอะไรเป็นสัญญาณบอกให้รู้ว่าท่านประทับอยู่และบอกให้รู้ว่าเราอยู่ในสมัยสุดท้ายของโลกนี้?”—มัทธิว 24:3
พวกเขาคงเดาว่าอีกไม่นานวิหารที่เห็นอยู่นี้จะถูกทำลาย พวกเขาถามเกี่ยวกับการประทับของ “ลูกมนุษย์” เพราะคงยังไม่ลืมตัวอย่างเรื่อง “คนที่มีเชื้อเจ้าคนหนึ่ง” ซึ่ง “เดินทางไปแดนไกลเพื่อจะรับตำแหน่งกษัตริย์ แล้วจะกลับมา” (ลูกา 19:11, 12) นอกจากนั้น พวกเขาสงสัยว่าจะมีอะไรเกิดขึ้นบ้างใน “สมัยสุดท้ายของโลกนี้”
พระเยซูตอบพวกเขาอย่างละเอียด ท่านพูดเกี่ยวกับสัญญาณที่ทำให้รู้ว่าระบบของชาวยิวและวิหารใกล้จะถึงจุดจบ แต่พระเยซูพูดถึงสัญญาณอื่น ๆ ด้วย ซึ่งจะช่วยให้คริสเตียนรู้ว่าพวกเขามีชีวิตอยู่ในช่วงเวลาของ “การประทับ” และระบบโลกทั้งหมดใกล้จะถึงจุดจบ
เมื่อเวลาผ่านไป อัครสาวกก็เริ่มเห็นสัญญาณหลายอย่างตามที่พระเยซูบอกไว้ล่วงหน้า ดังนั้น 37 ปีต่อมา คือปี ค.ศ. 70 คริสเตียนที่เฝ้าระวังก็เตรียมตัวพร้อมเมื่อระบบของชาวยิวและวิหารถูกทำลาย แต่ไม่ใช่ว่าสัญญาณทุกอย่างเกิดขึ้นภายในปี ค.ศ. 70 ถ้าอย่างนั้น มีอะไรอีกที่เป็นสัญญาณว่าพระเยซูประทับเป็นกษัตริย์? พระเยซูให้คำตอบกับอัครสาวก
ท่านบอกล่วงหน้าว่าจะมี “การสู้รบและข่าวสงครามในที่ต่าง ๆ” และจะมี “การสู้รบกันระหว่างประเทศต่อประเทศและอาณาจักรต่ออาณาจักร” (มัทธิว 24:6, 7) “จะเกิดแผ่นดินไหวใหญ่ในที่ต่าง ๆ จะเกิดการขาดแคลนอาหารและโรคระบาดหลายแห่ง” (ลูกา 21:11) สาวก “จะถูกจับและถูกข่มเหง” (ลูกา 21:12) จะมีผู้พยากรณ์เท็จที่หลอกให้คนไปผิดทาง ความชั่วจะเพิ่มขึ้น และความรักของคนส่วนใหญ่จะลดน้อยลง พระเยซูยังบอกอีกว่า “จะมีการประกาศข่าวดีเรื่องรัฐบาลของพระเจ้าไปทั่วโลก เพื่อให้คนทุกชาติมีโอกาสได้ยิน แล้วจุดจบก็จะมาถึง”—มัทธิว 24:14
ถึงแม้ว่าสัญญาณบางอย่างเกิดขึ้นในช่วงก่อนและระหว่างที่พวกโรมันทำลายกรุงเยรูซาเล็ม แต่พระเยซูอาจหมายถึงช่วงเวลาอื่นด้วย คุณเห็นหลักฐานไหมว่า สิ่งที่พระเยซูพูดไว้ในคำพยากรณ์สำคัญนั้นกำลังเกิดขึ้นจริงในสมัยของเรา?
พระเยซูพูดถึงเหตุการณ์อย่างหนึ่งที่เป็นสัญญาณของการประทับ คือ การปรากฏของ “สิ่งน่ารังเกียจที่ทำให้เกิดความรกร้างว่างเปล่า” (มัทธิว 24:15) ในปี ค.ศ. 66 สิ่งน่ารังเกียจนี้มาในรูปแบบของ “กองทัพ” พร้อมกับธงของโรมัน พวกโรมันล้อมกรุงเยรูซาเล็มและทำลายกำแพงบางส่วน (ลูกา 21:20) นี่เท่ากับว่า “สิ่งน่ารังเกียจ” มาอยู่ในที่ที่คนยิวถือว่า “บริสุทธิ์”
พระเยซูพยากรณ์ต่อไปว่า “จะมีความทุกข์ยากลำบากครั้งใหญ่อย่างที่ไม่เคยเกิดขึ้นนับตั้งแต่มีโลกมาจนถึงเดี๋ยวนี้ และจะไม่เกิดขึ้นอีกในอนาคต” ในปี ค.ศ. 70 มีความทุกข์ยากลำบากครั้งใหญ่เกิดขึ้น กองทัพโรมันทำลายเยรูซาเล็มซึ่งเป็น “เมืองบริสุทธิ์” ของคนยิวและทำลายวิหาร นอกจากนั้น คนยิวหลายแสนคนถูกฆ่าตาย (มัทธิว 4:5; 24:21) นั่นเป็นความเสียหายครั้งใหญ่ที่สุดที่เคยเกิดกับเยรูซาเล็มและคนยิวในสมัยนั้น ระบบการนมัสการที่พวกเขายึดถือมาหลายร้อยปีต้องจบลง คงเป็นเรื่องน่ากลัวมากที่จะได้เห็นสิ่งต่าง ๆ ในคำพยากรณ์เกิดขึ้นจริงในขอบเขตที่ใหญ่กว่านี้
ความมั่นใจระหว่างช่วงเวลาที่สำคัญ
พระเยซูยังคุยกับอัครสาวกต่อไปเกี่ยวกับสัญญาณการประทับของท่านในฐานะกษัตริย์และสัญญาณของสมัยสุดท้าย ท่านเตือนพวกเขาไม่ให้ติดตาม “พระคริสต์ปลอมและผู้พยากรณ์เท็จ” เพราะคนเหล่านั้นจะพยายาม “หลอกแม้แต่คนที่พระเจ้าเลือกไว้แล้ว” (มัทธิว 24:24) แต่คนที่พระเจ้าเลือกไว้จะไม่หลงกล พวกเขารู้ดีว่าการประทับของพระเยซูเป็นสิ่งที่มองไม่เห็น ดังนั้น คนที่พวกเขามองเห็นได้จึงต้องเป็นพระคริสต์ปลอม
พระเยซูบอกว่าความทุกข์ยากลำบากที่เกิดขึ้นในสมัยสุดท้ายจะหนักกว่าปี ค.ศ. 70 ท่านพูดว่า “ดวงอาทิตย์จะมืดไป ดวงจันทร์จะไม่ส่องแสง ดวงดาวจะตกจากฟ้า และสิ่งที่มีอำนาจในฟ้าสวรรค์จะสั่นสะเทือน” (มัทธิว 24:29) อัครสาวกคงรู้สึกขนลุกเมื่อได้ยินอย่างนั้น เพราะถึงแม้ไม่รู้ว่าจะเกิดอะไรขึ้น แต่พวกเขารู้ว่ามันจะต้องเป็นเรื่องที่น่าตกตะลึงอย่างแน่นอน
มนุษย์จะได้รับผลกระทบอย่างไร? พระเยซูบอกว่า “ผู้คนจะกลัวจนสลบไปเพราะเห็นสิ่งที่กำลังเกิดขึ้นบนโลก และสิ่งที่มีอำนาจในฟ้าสวรรค์จะสั่นสะเทือน” (ลูกา 21:26) ท่านกำลังพูดถึงช่วงเวลาที่เลวร้ายที่สุดในประวัติศาสตร์ของมนุษย์
แต่พระเยซูรับรองกับอัครสาวกว่า ไม่ใช่ทุกคนจะร้องไห้คร่ำครวญตอนที่ “‘ลูกมนุษย์’ มาบนเมฆในท้องฟ้าด้วยอำนาจและรัศมีแรงกล้า” (มัทธิว 24:30) เพราะท่านเคยบอกว่าพระเจ้าจะทำบางอย่างเพื่อช่วย “คนที่พระองค์เลือกไว้” (มัทธิว 24:22) ถ้าอย่างนั้น เมื่อเหตุการณ์ที่น่ากลัวเกิดขึ้น สาวกควรจะทำอย่างไร? พระเยซูให้กำลังใจพวกเขาโดยบอกว่า “เมื่อเหตุการณ์ทั้งหมดนี้เริ่มเกิดขึ้น ให้พวกคุณยืดตัวตรงและเชิดหน้าขึ้นเพราะพระเจ้าจะมาช่วยพวกคุณให้รอดแล้ว”—ลูกา 21:28
แต่สาวกของพระเยซูที่มีชีวิตอยู่ในช่วงเวลาที่ท่านพยากรณ์ไว้ จะรู้ได้อย่างไรว่าจุดจบมาใกล้แล้ว? พระเยซูเล่าตัวอย่างเปรียบเทียบเรื่องต้นมะเดื่อ ท่านบอกว่า “เมื่อมันแตกกิ่งอ่อนและผลิใบ คุณก็รู้ว่าใกล้จะถึงฤดูร้อนแล้ว คล้ายกัน เมื่อคุณเห็นเหตุการณ์ทั้งหมดนี้ คุณก็จะรู้ว่าท่านมาใกล้แล้ว ที่จริงท่านอยู่ตรงประตูแล้ว ผมจะบอกให้รู้ว่า คนรุ่นนี้จะไม่ตายไปก่อนที่เหตุการณ์ทั้งหมดนี้จะเกิดขึ้น”—มัทธิว 24:32-34
ดังนั้น เมื่อสาวกเห็นสัญญาณต่าง ๆ เกิดขึ้นตามที่พระเยซูบอกล่วงหน้า พวกเขาก็จะรู้ว่าจุดจบมาใกล้แล้ว พระเยซูเตือนสาวกที่จะมีชีวิตอยู่ในช่วงเวลาสำคัญนั้นว่า
“วันเวลานั้นไม่มีใครรู้ แม้แต่ทูตสวรรค์หรือผมเองที่เป็นลูกของพระเจ้าก็ไม่รู้ มีแต่พระเจ้าผู้เป็นพ่อเท่านั้นที่รู้ สมัยของโนอาห์เป็นอย่างไร การประทับของ ‘ลูกมนุษย์’ ก็จะเป็นอย่างนั้น เพราะในช่วงก่อนน้ำท่วม ผู้คนกินดื่ม แต่งงานเป็นสามีภรรยากัน จนถึงวันที่โนอาห์เข้าไปในเรือ พวกนั้นไม่สนใจจนน้ำมาท่วมและกวาดพวกเขาไปจนหมด การประทับของ ‘ลูกมนุษย์’ ก็จะเป็นอย่างนั้นแหละ” (มัทธิว 24:36-39) พระเยซูเตือนผู้ฟังให้นึกถึงน้ำท่วมในสมัยโนอาห์ซึ่งส่งผลกระทบไปทั่วโลก
อัครสาวกที่ฟังพระเยซูอยู่บนภูเขามะกอกเข้าใจดีว่าพวกเขาต้องตื่นตัวอยู่เสมอ พระเยซูบอกพวกเขาว่า “ระวังตัวให้ดี อย่าหมกมุ่นกับการกิน การดื่มจัด หรือมัวแต่กังวลกับชีวิต แล้ววันนั้นจะมาอย่างกะทันหันโดยที่คุณไม่ทันรู้ตัว เหมือนกับดัก เพราะทุกคนทั่วโลกจะต้องเจอกับวันนั้น ดังนั้น ให้คุณตื่นตัวเสมอและอธิษฐานอ้อนวอนบ่อย ๆ เพื่อคุณจะรอดจากเหตุการณ์ทั้งหมดที่จะเกิดขึ้นและยืนอยู่ต่อหน้า ‘ลูกมนุษย์’ ได้”—ลูกา 21:34-36
พระเยซูชี้ให้เห็นอีกครั้งว่าสิ่งที่ท่านพยากรณ์ไว้ ไม่ใช่เหตุการณ์ที่จะเกิดขึ้นในอีกไม่กี่สิบปี และเหตุการณ์นั้นจะส่งผลกระทบกว้างไกล ไม่ได้กระทบแค่กรุงเยรูซาเล็มหรือคนยิว แต่ “ทุกคนทั่วโลกจะต้องเจอกับวันนั้น”
พระเยซูบอกว่าสาวกต้องตื่นตัว เฝ้าระวัง และเตรียมตัวให้พร้อม ท่านเน้นจุดสำคัญนี้โดยเล่าตัวอย่างเปรียบเทียบที่ว่า “อย่าลืมว่า ถ้าเจ้าของบ้านรู้ว่าขโมยจะขึ้นบ้านเวลาไหน เขาจะไม่หลับไม่นอนและไม่ปล่อยให้ขโมยงัดเข้ามาในบ้านแน่ ๆ คุณเองก็ต้องเตรียมพร้อมอย่างนั้นด้วย เพราะ ‘ลูกมนุษย์’ จะมาในเวลาที่คุณคาดไม่ถึง”—มัทธิว 24:43, 44
สาวกไม่ต้องกลัว เพราะพระเยซูรับรองว่าเมื่อทุกอย่างเกิดขึ้นตามที่ท่านพยากรณ์ จะมี “ทาส” ที่ตื่นตัวและขยันขันแข็งคอยดูแลพวกเขา พระเยซูช่วยให้สาวกนึกภาพได้ง่ายเมื่อพูดว่า “จริง ๆ แล้ว ใครเป็นทาสที่ซื่อสัตย์และสุขุมที่นายตั้งไว้ให้ดูแลพวกคนรับใช้ และแจกจ่ายอาหารแก่พวกเขาตามเวลาที่เหมาะสม? เมื่อนายมาและเห็นทาสกำลังทำงานนั้นอย่างดี ทาสคนนั้นจะมีความสุข ผมจะบอกให้รู้ว่า นายจะตั้งเขาให้ดูแลทรัพย์สมบัติทั้งหมดของนาย” แต่ถ้า “ทาส” มีความคิดชั่วร้ายและทำไม่ดีกับคนอื่น นายก็จะ “ลงโทษเขาอย่างหนักที่สุด”—มัทธิว 24:45-51; เทียบกับลูกา 12:45, 46
แต่พระเยซูไม่ได้หมายความว่าสาวกกลุ่มหนึ่งจะกลายเป็นทาสชั่ว ถ้าอย่างนั้น ท่านกำลังสอนอะไร? พระเยซูอยากให้พวกเขาตื่นตัวและขยันขันแข็งเสมอ เรารู้เรื่องนี้ได้จากอีกตัวอย่างหนึ่งที่ท่านเล่า
-
-
สอนให้เฝ้าระวังพระเยซู—ทางนั้น ความจริง ชีวิต
-
-
บท 112
สอนให้เฝ้าระวัง
ตัวอย่างเปรียบเทียบเรื่องหญิงสาวบริสุทธิ์ 10 คน
พระเยซูตอบคำถามอัครสาวกเกี่ยวกับสัญญาณการประทับของท่านและสัญญาณของสมัยสุดท้าย แล้วท่านก็เตือนพวกเขาโดยใช้ตัวอย่างเปรียบเทียบเรื่องหนึ่ง ซึ่งคนที่มีชีวิตอยู่ในช่วงเวลาการประทับของพระเยซูจะเข้าใจความหมายของเรื่องนี้
ท่านเล่าว่า “รัฐบาลสวรรค์เปรียบได้กับหญิงสาวบริสุทธิ์ 10 คนที่ถือตะเกียงออกไปรับเจ้าบ่าว ในจำนวนนั้น มีหญิงสาว 5 คนเป็นคนโง่และอีก 5 คนเป็นคนฉลาด”—มัทธิว 25:1, 2
พระเยซูไม่ได้หมายความว่าสาวกครึ่งหนึ่งเป็นคนโง่และอีกครึ่งหนึ่งเป็นคนฉลาด ท่านหมายความว่าคนที่จะเป็นส่วนหนึ่งของรัฐบาลสวรรค์สามารถเลือกได้ว่าจะเป็นคนที่เฝ้าระวังหรือคนที่เขวไปกับสิ่งอื่น แต่พระเยซูมั่นใจว่า ทุกคนจะสามารถรักษาความซื่อสัตย์และได้รับพรจากพ่อของท่าน
ในตัวอย่างเปรียบเทียบ หญิงสาวบริสุทธิ์ 10 คนไปรอต้อนรับเจ้าบ่าวและรอเข้างานแต่งงาน เมื่อเจ้าบ่าวมาถึง พวกเธอจะจุดตะเกียงเพื่อเป็นเกียรติกับเจ้าบ่าวตอนที่เขาพาเจ้าสาวมาที่เรือนหอ แต่มีบางอย่างเกิดขึ้น
พระเยซูอธิบายว่า “พวกหญิงสาวที่โง่ถือตะเกียงออกไปแต่ไม่เอาน้ำมันสำรองไปด้วย ส่วนพวกหญิงสาวที่ฉลาดเอาน้ำมันสำรองไปพร้อมกับตะเกียง เมื่อเจ้าบ่าวมาช้า พวกเธอทั้ง 10 คนก็ง่วงแล้วเผลอหลับไป” (มัทธิว 25:3-5) เจ้าบ่าวไม่ได้มาตามเวลาที่พวกเธอคิดและดูเหมือนว่ามาช้ามากจนพวกเธอหลับไป อัครสาวกคงจำได้ว่าพระเยซูเคยเล่าเรื่อง “คนที่มีเชื้อเจ้า” ซึ่งเดินทางไปแดนไกล “เพื่อจะรับตำแหน่งกษัตริย์ แล้วจะ กลับมา”—ลูกา 19:11-15
ในตัวอย่างนี้ พระเยซูบอกว่าเมื่อเจ้าบ่าวมาถึง “ตอนกลางดึก มีเสียงคนตะโกนว่า ‘เจ้าบ่าวมาแล้ว รีบมาต้อนรับเร็ว!’” (มัทธิว 25:6) หญิงสาวบริสุทธิ์เหล่านั้นเตรียมตัวและเฝ้าระวังอยู่ไหม?
ท่านบอกว่า “หญิงสาวบริสุทธิ์ทุกคนก็ลุกขึ้นเพื่อเตรียมตะเกียงให้พร้อม หญิงสาวที่โง่พูดกับหญิงสาวที่ฉลาดว่า ‘แบ่งน้ำมันให้พวกเราหน่อยสิ เพราะตะเกียงของพวกเราจวนจะดับอยู่แล้ว’ พวกที่ฉลาดตอบว่า ‘พวกเรามีน้ำมันไม่พอสำหรับทุกคนหรอก ไปหาซื้อจากคนขายน้ำมันเถอะ’”—มัทธิว 25:7-9
หญิงสาวโง่ 5 คนไม่ได้เฝ้าระวังและไม่ได้เตรียมพร้อมเมื่อเจ้าบ่าวมาถึง พวกเธอมีน้ำมันตะเกียงไม่พอจึงต้องไปหาซื้อเพิ่ม พระเยซูบอกว่า “แต่ตอนที่หญิงสาวที่โง่ไปซื้อน้ำมันอยู่ เจ้าบ่าวก็มาถึง หญิงสาวที่เตรียมพร้อมก็ได้เข้าไปในงานแต่งงานกับเจ้าบ่าว แล้วประตูก็ปิด พอหญิงสาวที่โง่ 5 คนนั้นกลับมาก็ร้องเรียกว่า ‘ท่านคะ ท่านคะ เปิดประตูให้พวกเราหน่อยค่ะ’ เจ้าบ่าวตอบว่า ‘ผมจะบอกให้รู้ว่า ผมไม่รู้จักพวกคุณเลย’” (มัทธิว 25:10-12) เป็นเรื่องน่าเศร้าจริง ๆ สำหรับคนที่ไม่เฝ้าระวังและไม่เตรียมตัวให้พร้อม!
อัครสาวกเข้าใจว่าเจ้าบ่าวหมายถึงพระเยซู เพราะก่อนหน้านี้ท่านก็เคยเปรียบตัวเองเป็นเจ้าบ่าว (ลูกา 5:34, 35) แต่หญิงสาวที่ฉลาดคือใคร? เมื่อพูดถึง “แกะฝูงเล็ก” ที่จะได้เป็นส่วนหนึ่งในรัฐบาลสวรรค์ พระเยซูใช้คำว่า “ให้คุณแต่งตัวและเตรียมพร้อมไว้ จุดตะเกียงให้ส่องสว่างอยู่เสมอ” (ลูกา 12:32, 35) ดังนั้น เมื่อได้ฟังตัวอย่างเรื่องหญิงสาวบริสุทธิ์ อัครสาวกก็เข้าใจได้ว่าพระเยซูหมายถึงสาวกที่ซื่อสัตย์ รวมทั้งพวกเขาด้วย แต่พระเยซูกำลังจะสอนเรื่องอะไร?
พระเยซูไม่ปล่อยให้สาวกสงสัย ท่านสรุปว่า “ให้เฝ้าระวังอยู่เสมอ เพราะคุณไม่รู้ว่าวันเวลานั้นจะมาถึงเมื่อไหร่”—มัทธิว 25:13
พระเยซูให้คำเตือนนี้กับผู้ติดตามที่ซื่อสัตย์ซึ่งจะมีชีวิตอยู่ในช่วงการประทับ พระเยซูจะกลับมาแน่นอนและพวกเขาต้องเป็นเหมือนหญิงสาวฉลาดที่ “เฝ้าระวังอยู่เสมอ” พวกเขาควรตื่นตัวและเตรียมพร้อมเพื่อจะไม่ไขว้เขวไปจากความหวังและไม่พลาดรางวัล
-
-
สอนให้ขยันพระเยซู—ทางนั้น ความจริง ชีวิต
-
-
บท 113
สอนให้ขยัน
ตัวอย่างเปรียบเทียบเรื่องเงินตะลันต์
ระหว่างที่อยู่บนภูเขามะกอกกับอัครสาวก 4 คน พระเยซูเล่าตัวอย่างอีกเรื่องหนึ่ง ไม่กี่วันก่อนหน้านี้ ตอนที่ยังอยู่ในเยรีโค พระเยซูเล่าตัวอย่างเรื่องเงินมินาเพื่อสอนว่ารัฐบาลของพระเจ้าจะไม่ก่อตั้งเร็ว ๆ นี้ เรื่องนี้ก็มีรายละเอียดคล้ายกัน และยังเป็นคำตอบสำหรับเรื่องการประทับของท่านและสมัยสุดท้ายด้วย พระเยซูเน้นว่าสาวกต้องทำงานที่ท่านมอบหมายอย่างขยันขันแข็ง
พระเยซูเล่าว่า “รัฐบาลสวรรค์ยังเปรียบเหมือนผู้ชายคนหนึ่งที่กำลังจะเดินทางไปต่างประเทศ ก่อนจะไป เขาเรียกทาสของเขามาหาแล้วฝากทรัพย์สินให้พวกเขาดูแล” (มัทธิว 25:14) พระเยซูเคยเปรียบตัวเองเป็นคนที่เดินทางไปแดนไกลเพื่อ “รับตำแหน่งกษัตริย์” อัครสาวกจึงเข้าใจได้ว่า “ผู้ชาย” ในตัวอย่างนี้ก็หมายถึงพระเยซู—ลูกา 19:12
ก่อนจะเดินทาง เขาฝากทรัพย์สินให้ทาสดูแล ตลอด 3 ปีครึ่งที่พระเยซูทำงานรับใช้ ท่านประกาศข่าวดีเรื่องรัฐบาลของพระเจ้าและสอนสาวกให้ทำเหมือนกัน ตอนนี้พระเยซูจะไม่อยู่กับพวกเขาแล้ว แต่ท่านมั่นใจว่าพวกเขาจะทำงานนี้ต่อไป—มัทธิว 10:7; ลูกา 10:1, 8, 9; เทียบกับยอห์น 4:38; 14:12
ในตัวอย่าง ผู้ชายคนนี้แบ่งทรัพย์สินอย่างไร? พระเยซูบอกว่า “เขาให้เงินกับทาสคนหนึ่ง 5 ตะลันต์ อีกคนหนึ่ง 2 ตะลันต์ และคนสุดท้าย 1 ตะลันต์ เขาแบ่งให้ตามความสามารถของทาสแต่ละคน แล้วเขาก็ออกเดินทาง” (มัทธิว 25:15) ทาสจะเอาทรัพย์สินที่นายฝากไว้ไปทำอะไร? พวกเขาจะขยันทำงานเพื่อผลประโยชน์ของนายไหม? พระเยซูบอกอัครสาวกว่า
“ทาสที่ได้รับ 5 ตะลันต์เอาเงินนั้นไปค้าขายทันทีแล้วได้กำไร 5 ตะลันต์ ทาสที่ได้รับ 2 ตะลันต์ก็เอาเงินไปค้าขายเหมือนกันและได้กำไร 2 ตะลันต์ แต่ทาสที่ได้รับตะลันต์เดียวกลับเอาเงินของนายไปฝังดินไว้” (มัทธิว 25:16-18) เกิดอะไรขึ้นตอนที่นายของพวกเขากลับมา?
พระเยซูเล่าว่า “หลังจากเวลาผ่านไปนาน นายก็กลับมาและเรียกพวกทาสมาถามว่าเอาเงินไปทำอะไรกันบ้าง” (มัทธิว 25:19) ทาส 2 คนแรกทำทุกอย่างที่ทำได้ ‘ตามความสามารถของแต่ละคน’ ทั้งคู่ขยันทำงานและช่วยให้ทรัพย์สินของนายเพิ่มพูนขึ้น ทั้งคนที่ได้รับ 5 ตะลันต์และ 2 ตะลันต์ทำกำไรเพิ่มอีกเท่าตัว (ในสมัยนั้น คนงานต้องทำงานประมาณ 19 ปีถึงจะได้รับค่าจ้าง 1 ตะลันต์) แล้วนายก็ชมเขาทั้ง 2 คนว่า “ดีมาก คุณเป็นทาสที่ดีและซื่อสัตย์ คุณดูแลของเล็กน้อยที่ผมฝากไว้อย่างซื่อสัตย์ ผมจะตั้งคุณให้ดูแลของมากขึ้นอีก มาร่วมยินดีด้วยกันกับผมเถอะ”—มัทธิว 25:21
แต่ทาสอีกคนที่ได้รับ 1 ตะลันต์กลับพูดว่า “นายท่าน ผมรู้ว่าท่านเป็นคนชอบเรียกร้องจากคนอื่น ท่านเก็บเกี่ยวสิ่งที่ท่านไม่ได้หว่านและเก็บรวบรวมสิ่งที่ท่านไม่ได้ลงทุนลงแรง ผมก็เลยกลัว และเอาเงินของท่านไปฝังดินไว้ นี่ไงครับเงินของท่าน” (มัทธิว 25:24, 25) เขาไม่ได้เอาเงินไปฝากธนาคารเพื่อจะได้ดอกเบี้ยด้วยซ้ำ นั่นเท่ากับว่าเขาทำให้นายเสียผลประโยชน์
ดังนั้น เหมาะสมแล้วที่นายจะเรียกเขาว่า “ทาสชั่วและขี้เกียจ” นายยึดเงิน 1 ตะลันต์ของเขาไปให้ทาสที่ขยันทำงาน แล้วอธิบายว่า “ทุกคนที่มีอยู่แล้วจะได้รับมากขึ้นและเขาจะมีอย่างเหลือเฟือ แต่คนที่ไม่มี แม้แต่สิ่งที่เขามีอยู่ไม่มากก็จะถูกเอาไป”—มัทธิว 25:26, 29
สาวกของพระเยซูมีหลายเรื่องให้คิด รวมทั้งจุดสำคัญในตัวอย่างนี้ด้วย พวกเขาเข้าใจว่างานที่พระเยซูมอบหมาย ซึ่งก็คืองานสอนคนให้เป็นสาวก เป็นสิ่งที่มีค่ามาก และท่านอยากให้พวกเขาขยันทำงานที่มีเกียรตินี้ พระเยซูไม่ได้คิดว่าทุกคนต้องทำงานเท่ากัน เพราะจากตัวอย่าง แต่ละคนควรทำ “ตามความสามารถ” แต่ถ้าใคร “ขี้เกียจ” และไม่ยอมทำสุดความสามารถเพื่อส่งเสริมผลประโยชน์ของนาย พระเยซูก็จะไม่ยอมรับ
อัครสาวกต้องดีใจมากแน่ ๆ เมื่อพระเยซูรับรองว่า “ทุกคนที่มีอยู่แล้วจะได้รับมากขึ้น”
-
-
พระคริสต์ได้รับอำนาจให้แยกแกะออกจากแพะพระเยซู—ทางนั้น ความจริง ชีวิต
-
-
บท 114
พระคริสต์ได้รับอำนาจให้แยกแกะออกจากแพะ
ตัวอย่างเปรียบเทียบเรื่องแกะกับแพะ
พระเยซูกับอัครสาวก 4 คนยังอยู่บนภูเขามะกอก ท่านเพิ่งเล่าตัวอย่างเรื่องหญิงสาวบริสุทธิ์ 10 คนและเรื่องเงินตะลันต์ เพื่อตอบคำถามเรื่องสัญญาณการประทับและสัญญาณของสมัยสุดท้าย แล้วท่านก็เล่าตัวอย่างสุดท้ายเรื่องแกะกับแพะ
พระเยซูเริ่มพูดถึงฉากเหตุการณ์ที่ว่า “เมื่อ ‘ลูกมนุษย์’ มาในฐานะผู้มีอำนาจพร้อมกับทูตสวรรค์ทั้งหมด ท่านจะนั่งบนบัลลังก์อันยิ่งใหญ่ของท่าน” (มัทธิว 25:31) ตัวหลักในเรื่องนี้ก็คือพระเยซู เพราะท่านเรียกตัวเองบ่อย ๆ ว่า “ลูกมนุษย์”—มัทธิว 8:20; 9:6; 20:18, 28
เรื่องนี้จะเกิดขึ้นเมื่อไร? เมื่อพระเยซู “มาในฐานะผู้มีอำนาจ” พร้อมกับทูตสวรรค์และนั่งลง “บนบัลลังก์อันยิ่งใหญ่” พระเยซูเคยพูดถึงตอนที่ “‘ลูกมนุษย์’ มาบนเมฆในท้องฟ้าด้วยอำนาจและรัศมีแรงกล้า” พร้อมกับทูตสวรรค์ของท่าน เวลานั้นคือเมื่อไร? “ทันทีหลังจากความทุกข์ยากลำบาก” (มัทธิว 24:29-31; มาระโก 13:26, 27; ลูกา 21:27) ดังนั้น ตัวอย่างนี้จะเกิดขึ้นจริงเมื่อพระเยซูมาในฐานะผู้มีอำนาจ ตอนนั้นท่านจะทำอะไร?
พระเยซูอธิบายว่า “เมื่อ ‘ลูกมนุษย์’ มา . . . คนทุกชาติจะถูกรวบรวมมาอยู่ต่อหน้าท่าน และท่านจะแยกผู้คนออกจากกัน เหมือนผู้เลี้ยงแกะแยกแกะออกจากแพะ แล้วท่านจะให้แกะอยู่ข้างขวาของท่าน แต่ให้แพะอยู่ข้างซ้าย”—มัทธิว 25:31-33
พระเยซูพูดถึงแกะที่ถูกแยกมาอยู่ข้างขวา ซึ่งเป็นข้างที่กษัตริย์พอใจ ท่านพูดว่า “แล้วกษัตริย์จะพูดกับคนที่อยู่ข้างขวาว่า ‘มาสิ พวกคุณที่ได้รับพรจากพ่อของผม มารับประโยชน์จากรัฐบาลของพระเจ้าที่เตรียมไว้ให้พวกคุณตั้งแต่เริ่มมีโลกนี้’” (มัทธิว 25:34) แต่ทำไมแกะถึงได้พรจากกษัตริย์?
กษัตริย์อธิบายว่า “เมื่อผมหิว คุณก็ให้ผมกิน เมื่อผมกระหายน้ำ คุณก็ให้ผมดื่ม ตอนที่ผมเป็นแขกแปลกหน้า คุณก็มีน้ำใจต้อนรับผมเข้าบ้าน ผมไม่มีเสื้อผ้าใส่ คุณก็หาเสื้อผ้ามาให้ ตอนผมป่วย คุณก็ดูแล เมื่อผมติดคุก คุณก็มาเยี่ยม” เมื่อแกะหรือ “คนที่เชื่อฟังพระเจ้า” ถามท่านว่าพวกเขาทำความดีอย่างนั้นตอนไหน ท่านตอบว่า “ที่พวกคุณได้ทำอย่างนั้นกับพี่น้องของผมแม้แต่คนที่ดูต่ำต้อยที่สุด ก็เหมือนพวกคุณได้ทำกับผมด้วย” (มัทธิว 25:35, 36, 40, 46) พระเยซูไม่ได้บอกว่าพวกเขาทำความดีเหล่านี้ในสวรรค์ เพราะที่นั่นไม่มีความหิวโหยและความเจ็บป่วย แต่ท่านพูดถึงความดีที่พวกเขาทำเพื่อพี่น้องของท่านที่อยู่บนโลก
แล้วพวกแพะที่ถูกแยกไปอยู่ข้างซ้ายล่ะ? พระเยซูบอกว่า “แล้วกษัตริย์จะพูดกับพวกที่อยู่ข้างซ้ายว่า ‘พวกคนที่ถูกสาปแช่ง ไปให้พ้น เข้าไปในไฟที่ไม่มีวันดับซึ่งเตรียมไว้สำหรับมารและทูตสวรรค์ที่อยู่ฝ่ายมัน เพราะเมื่อผมหิว คุณก็ไม่ให้อะไรผมกิน และเมื่อผมกระหายน้ำ คุณก็ไม่ให้อะไรผมดื่ม เมื่อผมเป็นแขกแปลกหน้า คุณก็ไม่มีน้ำใจต้อนรับ ตอนผมไม่มีเสื้อผ้าใส่ คุณก็ไม่หาเสื้อผ้ามาให้ ตอนที่ผมป่วยและติดคุก คุณก็ไม่ได้ดูแล’” (มัทธิว 25:41-43) นี่เป็นการพิพากษาที่แพะสมควรได้รับ เพราะพวกเขาไม่ได้ทำดีกับพี่น้องของพระคริสต์บนโลกอย่างที่ควรทำ
อัครสาวกได้เรียนว่าการพิพากษาที่จะเกิดขึ้นในอนาคตถือเป็นที่สิ้นสุด คำตัดสินจะไม่เปลี่ยนแปลง พระเยซูบอกสาวกว่า “แล้ว [กษัตริย์] จะ [พูดว่า] ‘ที่พวกคุณไม่ได้ทำอย่างนั้นกับพี่น้องของผมแม้แต่คนที่ดูต่ำต้อยที่สุด ก็เหมือนพวกคุณไม่ได้ทำกับผมด้วย’ และคนพวกนี้จะถูกทำลายตลอดไป แต่คนที่เชื่อฟังพระเจ้าจะได้ชีวิตตลอดไป”—มัทธิว 25:45, 46
อัครสาวกคงต้องเก็บคำตอบของพระเยซูไปคิดทบทวนอย่างดี เพื่อจะรู้ว่าพวกเขาควรคิดและควรทำอะไร
-