-
สอนเรื่องความถ่อมตัวในปัสกาครั้งสุดท้ายพระเยซู—ทางนั้น ความจริง ชีวิต
-
-
บท 116
สอนเรื่องความถ่อมตัวในปัสกาครั้งสุดท้าย
มัทธิว 26:20 มาระโก 14:17 ลูกา 22:14-18 ยอห์น 13:1-17
พระเยซูฉลองปัสกาครั้งสุดท้ายกับอัครสาวก
พระเยซูล้างเท้าให้อัครสาวก
เปโตรกับยอห์นทำตามที่พระเยซูสั่งและไปเยรูซาเล็มเพื่อเตรียมการฉลองปัสกา ส่วนพระเยซูกับอัครสาวกอีก 10 คนก็ตามไปตอนบ่ายแก่ ๆ ระหว่างที่พวกเขาเดินลงจากภูเขามะกอก ดวงอาทิตย์ก็คล้อยต่ำลงเรื่อย ๆ นี่เป็นวิวตอนกลางวันที่พระเยซูจะได้เห็นเป็นครั้งสุดท้าย
ไม่นานพระเยซูกับอัครสาวกก็มาถึงเยรูซาเล็มและเข้าไปในบ้านที่จะฉลองปัสกา พวกเขาขึ้นไปห้องใหญ่ที่อยู่ชั้นบน มีการเตรียมทุกอย่างไว้พร้อมสำหรับมื้ออาหารส่วนตัวของพวกเขา พระเยซูรอคอยเวลานี้มานานแล้ว ท่านพูดว่า “ผมอยากจะกินอาหารปัสกาครั้งนี้กับพวกคุณมาก ก่อนที่ผมจะต้องทนทุกข์ทรมาน”—ลูกา 22:15
หลายปีก่อน มีการเริ่มธรรมเนียมส่งผ่านถ้วยเหล้าองุ่นในการฉลองปัสกา ตอนนี้ พระเยซูจึงรับถ้วยมา อธิษฐานขอบคุณพระเจ้า และพูดว่า “ดื่มสิ แล้วส่งต่อ ๆ กันไปให้ทุกคนดื่ม ผมจะบอกคุณว่า ตั้งแต่นี้ไปผมจะไม่ดื่มเหล้าองุ่นอีกเลยจนกว่ารัฐบาลของพระเจ้าจะมาปกครอง” (ลูกา 22:17, 18) นี่แสดงว่าเวลาที่ท่านจะถูกประหารใกล้เข้ามาแล้ว
ระหว่างที่พวกเขากำลังกินอาหารปัสกา พระเยซูก็ลุกจากโต๊ะอาหาร ถอดเสื้อคลุมวางไว้ หยิบผ้าเช็ดตัวมาคาดเอว และเอาน้ำใส่อ่างที่อยู่ใกล้ ๆ ตามปกติเจ้าของบ้านจะคอยดูแลให้แขกได้ล้างเท้า โดยอาจให้คนรับใช้ล้าง (ลูกา 7:44) คราวนี้เจ้าของบ้านไม่ได้อยู่ด้วย พระเยซูจึงทำงานนี้เอง จริง ๆ แล้วอัครสาวกน่าจะเป็นคนทำ แต่ดูเหมือนว่าพวกเขายังแข่งขันกันอยู่ จึงไม่มีใครยอมทำ ตอนนี้พวกเขารู้สึกอายที่พระเยซูมาล้างเท้าให้
เมื่อถึงตาเปโตร เขาทักท้วงว่า “ท่านจะมาล้างเท้าให้ผมไม่ได้หรอกครับ” พระเยซูบอกเขาว่า “ถ้าไม่ให้ผมล้างให้ คุณก็มีส่วนร่วมกับผมไม่ได้” เปโตรจึงพูดว่า “นายครับ ถ้าอย่างนั้นอย่าล้างแค่เท้าเลย ล้างมือกับหัวให้ผมด้วย” เปโตรคงแปลกใจมากเมื่อพระเยซูพูดว่า “คนที่อาบน้ำแล้วก็สะอาดทั้งตัว ล้างแค่เท้าก็พอ พวกคุณสะอาด แต่ไม่ใช่ทุกคน”—ยอห์น 13:8-10
พระเยซูล้างเท้าของอัครสาวกทุกคน รวมทั้งยูดาสอิสคาริโอทด้วย หลังจากใส่เสื้อคลุมและกลับไปนั่งเอนตัวที่โต๊ะอาหาร พระเยซูก็ถามว่า “เข้าใจไหมว่า ทำไมผมทำอย่างนี้ให้พวกคุณ? พวกคุณเรียกผมว่า ‘อาจารย์’ และ ‘นาย’ และที่พวกคุณเรียกแบบนั้นก็ถูกแล้ว เพราะผมเป็นอย่างนั้นจริง ๆ ดังนั้น ถ้าผมที่เป็นนายและอาจารย์ยังล้างเท้าให้พวกคุณ พวกคุณก็ควรจะล้างเท้าให้กันและกันด้วย ผมทำเป็นตัวอย่างให้ดูแล้ว พวกคุณก็ควรทำตาม ผมจะบอกให้รู้ว่า ทาสไม่ใหญ่กว่านาย และคนที่ถูกใช้ไปก็ไม่ใหญ่กว่าคนที่ใช้เขา ถ้าพวกคุณรู้เรื่องนี้แล้วทำตาม พวกคุณจะมีความสุข”—ยอห์น 13:12-17
เป็นวิธีสอนเรื่องความถ่อมตัวที่ยอดเยี่ยมจริง ๆ! สาวกของพระเยซูไม่ควรแข่งกันเป็นที่หนึ่ง ไม่ควรคิดว่าตัวเองสำคัญ และไม่ควรให้คนอื่นมารับใช้ แต่พวกเขาควรทำตามตัวอย่างของพระเยซู ไม่ใช่เรื่องการล้างเท้า แต่เป็นการเต็มใจรับใช้คนอื่นอย่างถ่อมตัวและไม่ลำเอียง
-
-
อาหารมื้อเย็นของพระคริสต์พระเยซู—ทางนั้น ความจริง ชีวิต
-
-
บท 117
อาหารมื้อเย็นของพระคริสต์
มัทธิว 26:21-29 มาระโก 14:18-25 ลูกา 22:19-23 ยอห์น 13:18-30
พระเยซูบอกให้รู้ว่ายูดาสเป็นคนทรยศ
พระเยซูตั้งการฉลองอาหารมื้อเย็น
พระเยซูเพิ่งสอนบทเรียนเรื่องความถ่อมตัวโดยล้างเท้าให้อัครสาวก เมื่อพวกเขากินอาหารฉลองปัสกากันเสร็จ พระเยซูยกคำพูดของดาวิดขึ้นมาที่ว่า “คนที่เคยดีกับผม คนที่ผมไว้ใจ และคนที่กินอาหารของผมได้ตั้งตัวเป็นศัตรูกับผม” แล้วท่านก็พูดว่า “คนหนึ่งในพวกคุณจะทรยศผม”—สดุดี 41:9; ยอห์น 13:18, 21
อัครสาวกมองหน้ากันแล้วถามพระเยซูว่า “คงไม่ใช่ผมนะ อาจารย์?” แม้แต่ยูดาสก็ถาม! เปโตรบอกให้ยอห์นถามพระเยซู เพราะเขานั่งติดกับท่าน ยอห์นจึงเอียงตัวไปใกล้พระเยซูและถามว่า “ท่านหมายถึงใครครับ?”—มัทธิว 26:22; ยอห์น 13:25
พระเยซูตอบว่า “คนนั้นคือคนที่ผมจะเอาขนมปังจิ้มในชามและยื่นให้เขา” ท่านเอาขนมปังจิ้มในชามและยื่นให้ยูดาสพร้อมกับพูดว่า “‘ลูกมนุษย์’ จะต้องตายอย่างที่พระคัมภีร์บอกไว้ แต่คนที่ทรยศ ‘ลูกมนุษย์’ จะต้องพินาศ ถ้าคนนั้นไม่ได้เกิดมาเลยก็ดีกว่า” (ยอห์น 13:26; มัทธิว 26:24) ตอนนั้นยูดาสตัดสินใจทำตามความคิดที่ชั่วร้ายของซาตาน เขาจึงเป็น ‘คนที่จะต้องพินาศ’—ยอห์น 6:64, 70; 12:4; 17:12
พระเยซูบอกยูดาสว่า “คุณจะทำอะไรก็รีบทำเถอะ” อัครสาวกคนอื่นคิดว่าท่านพูดแบบนั้นเพื่อบอกให้ยูดาส “‘ไปซื้อของที่ต้องใช้ในเทศกาล’ . . . หรือไม่ก็บอกเขาให้ไปแจกทานให้คนจน” เพราะเขาเป็นคนถือกล่องเก็บเงิน (ยอห์น 13:27-30) แต่ยูดาสออกไปเพื่อทรยศพระเยซู
หลังจากนั้น พระเยซูตั้งมื้ออาหารแบบใหม่ขึ้น ท่านหยิบขนมปังแผ่นหนึ่ง อธิษฐานขอบคุณพระเจ้า หักส่งให้อัครสาวกแล้วพูดว่า “รับไปกินสิ นี่หมายถึงร่างกายของผมที่จะต้องสละเพื่อพวกคุณทุกคน ให้ทำอย่างนี้ต่อ ๆ ไปเพื่อระลึกถึงผม” (ลูกา 22:19) อัครสาวกส่งขนมปังต่อกันไปเรื่อย ๆ แล้วทุกคนก็กินขนมปังนั้น
ตอนนี้พระเยซูหยิบถ้วยเหล้าองุ่น อธิษฐานขอบคุณพระเจ้า และส่งต่อให้อัครสาวกทุกคนดื่มจากถ้วยนั้น ท่านบอกพวกเขาว่า “ถ้วยนี้หมายถึงสัญญาใหม่ที่จะเริ่มมีผลเมื่อผมสละเลือดของผมเพื่อพวกคุณ”—ลูกา 22:20
พระเยซูตั้งการฉลองเพื่อระลึกถึงการเสียชีวิตของท่าน ซึ่งสาวกต้องทำแบบเดียวกันนี้ทุกปี ในวันที่ 14 เดือนนิสาน นี่เป็นโอกาสที่พวกเขาจะคิดทบทวนถึงสิ่งที่พระเยซูและพ่อของท่านได้ทำ เพื่อช่วยคนที่มีความเชื่อให้พ้นจากบาปและความตาย การฉลองนี้สำคัญยิ่งกว่าเทศกาลปัสกาของชาวยิว เพราะทำให้คนที่มีความเชื่อได้อิสระที่แท้จริง
พระเยซูบอกว่าท่านจะต้อง ‘สละเลือดเพื่อให้คนจำนวนมากได้รับการอภัยบาป’ นั่นรวมไปถึงอัครสาวกและสาวกคนอื่น ๆ ที่ซื่อสัตย์เหมือนพวกเขา คนเหล่านี้จะได้ปกครองร่วมกับพระเยซูในรัฐบาลของพระเจ้า—มัทธิว 26:28, 29
-
-
เถียงกันว่าใครเป็นใหญ่ที่สุดพระเยซู—ทางนั้น ความจริง ชีวิต
-
-
บท 118
เถียงกันว่าใครเป็นใหญ่ที่สุด
มัทธิว 26:31-35 มาระโก 14:27-31 ลูกา 22:24-38 ยอห์น 13:31-38
พระเยซูเตือนสาวกที่อยากเป็นใหญ่
พระเยซูบอกว่าเปโตรจะปฏิเสธท่าน
ความรักเป็นสิ่งที่ระบุตัวสาวกแท้
เย็นวันสุดท้ายที่พระเยซูอยู่กับอัครสาวก ท่านสอนบทเรียนที่ดีเรื่องความถ่อมตัวโดยล้างเท้าให้พวกเขา ทำไมเรื่องนี้จึงเหมาะ? เพราะอัครสาวกมีข้ออ่อนแอบางอย่าง พวกเขาทุ่มเทตัวรับใช้พระเจ้า แต่ก็ยังอยากจะเป็นใหญ่กว่าคนอื่น (มาระโก 9:33, 34; 10:35-37) แล้วพวกเขาก็เถียงกันอีกครั้ง
อัครสาวก ‘เถียงกันว่า ในพวกเขาใครเป็นใหญ่ที่สุด’ (ลูกา 22:24) พระเยซูคงเสียใจมากที่พวกเขาเถียงกันเรื่องนี้อีกแล้ว! ท่านทำอย่างไร?
พระเยซูไม่ได้ต่อว่าอัครสาวกที่คิดและทำไม่ดี แต่ท่านสอนอย่างใจเย็นว่า “กษัตริย์ในโลกนี้ชอบทำตัวเป็นนายเหนือประชาชน และคนที่มีอำนาจเหนือคนอื่นก็อยากให้คนมองเขาว่าเป็นผู้ทำประโยชน์เพื่อสังคม พวกคุณต้องไม่เป็นอย่างนั้น . . . ใครเป็นใหญ่กว่ากัน คนที่นั่งเอนตัวที่โต๊ะหรือคนรับใช้?” แล้วพระเยซูเตือนพวกเขาให้นึกถึงตัวอย่างของท่านโดยบอกว่า “ผมทำตัวเป็นคนรับใช้พวกคุณ”—ลูกา 22:25-27
ทั้ง ๆ ที่มีข้ออ่อนแอ แต่อัครสาวกก็อยู่กับพระเยซูไม่ว่าจะมีปัญหามากขนาดไหน ท่านจึงพูดว่า “ผมทำสัญญากับพวกคุณว่าจะให้พวกคุณปกครองในรัฐบาล เหมือนที่พระเจ้าผู้เป็นพ่อของผมได้ทำสัญญากับผม” (ลูกา 22:29) อัครสาวกเป็นผู้ติดตามที่ซื่อสัตย์ของพระเยซู และท่านทำสัญญาเพื่อรับรองว่าพวกเขาจะได้ร่วมปกครองกับท่านในรัฐบาลของพระเจ้า
ถึงแม้อัครสาวกมีความหวังที่ยอดเยี่ยมนี้ แต่พวกเขาก็ยังไม่สมบูรณ์ พระเยซูบอกว่า “ซาตานอยากได้พวกคุณทั้งหมด และจะร่อนพวกคุณเหมือนร่อนข้าวสาลี” สิ่งที่ถูกร่อนจะกระจัดกระจายและไม่เกาะกันเป็นกลุ่มก้อนอีกต่อไป (ลูกา 22:31) ท่านเตือนพวกเขาด้วยว่า “คืนนี้ พวกคุณจะทิ้งผมไปหมดเพราะเรื่องที่จะเกิดขึ้นกับผม ตามที่พระคัมภีร์บอกไว้ว่า ‘เราจะฆ่าคนเลี้ยงแกะ และแกะในฝูงจะกระเจิดกระเจิงไป’”—มัทธิว 26:31; เศคาริยาห์ 13:7
แต่เปโตรพูดขึ้นมาอย่างมั่นใจว่า “ถึงทุกคนจะทิ้งท่านไปหมดเพราะเรื่องที่จะเกิดขึ้นกับท่าน แต่ผมจะไม่มีวันทิ้งท่านเลย” (มัทธิว 26:33) พระเยซูบอกเปโตรว่าก่อนไก่ขัน 2 ครั้งในคืนนั้น เขาจะปฏิเสธท่าน แต่ท่านก็เสริมว่า “ผมอธิษฐานอ้อนวอนเพื่อความเชื่อของคุณจะไม่หมดไป และเมื่อคุณกลับมาแล้ว ก็ให้ช่วยพี่น้องของคุณให้มีความเชื่อเข้มแข็ง” (ลูกา 22:32) เปโตรรับรองอย่างกล้าหาญว่า “ต่อให้ผมต้องตายพร้อมกับท่าน ผมจะไม่ปฏิเสธท่านเด็ดขาด” (มัทธิว 26:35) อัครสาวกคนอื่น ๆ ก็พูดเป็นเสียงเดียวกัน
พระเยซูบอกอัครสาวกว่า “ลูก ๆ ที่รัก ผมจะอยู่กับพวกคุณได้อีกไม่นาน พวกคุณจะตามหาผม และอย่างที่ผมเคยบอกพวกยิวว่า ‘ที่ที่ผมจะไปนั้น พวกคุณจะไปไม่ได้’ ตอนนี้ผมก็จะบอกพวกคุณอย่างนั้นด้วย ผมให้กฎหมายใหม่กับพวกคุณ คือ ให้พวกคุณรักกัน ผมรักพวกคุณอย่างไร ก็ให้พวกคุณรักกันอย่างนั้นด้วย ทุกคนจะรู้ว่าพวกคุณเป็นสาวกของผม เมื่อพวกคุณรักกัน”—ยอห์น 13:33-35
เมื่อได้ยินว่าพระเยซูจะอยู่กับพวกเขาได้อีกไม่นาน เปโตรก็ถามว่า “ท่านจะไปไหนหรือครับ?” พระเยซูตอบว่า “ที่ที่ผมจะไปนั้น ตอนนี้คุณยังตามไปไม่ได้ แต่คุณจะตามผมไปทีหลัง” เปโตรรู้สึกงง ๆ จึงถามอีกว่า “นายครับ ทำไมผมถึงตามไปตอนนี้ไม่ได้ล่ะ? ผมพร้อมจะสละชีวิตเพื่อท่าน”—ยอห์น 13:36, 37
แล้วพระเยซูก็พูดถึงตอนที่ส่งอัครสาวกออกไปประกาศทั่วกาลิลีโดยที่ไม่ต้องเอาเงินหรือย่ามใส่อาหารไปด้วย (มัทธิว 10:5, 9, 10) ท่านถามว่า “ตอนนั้นพวกคุณขาดอะไรไหม?” พวกเขาตอบว่า “ไม่เลยครับ” แต่ตอนนี้ท่านพูดว่า “ใครมีถุงเงินก็ให้เอาไปด้วย ใครมีย่ามใส่อาหารก็ให้เอาไป และใครไม่มีดาบก็ให้เอาเสื้อคลุมไปขายแล้วไปซื้อดาบ ผมจะบอกคุณว่าสิ่งที่เขียนไว้ในพระคัมภีร์จะต้องเกิดขึ้นกับผมที่ว่า ‘เขาถูกนับอยู่ในพวกคนชั่ว’ เรื่องนี้จะต้องเกิดขึ้นกับผมแน่นอน”—ลูกา 22:35-37
พระเยซูกำลังพูดถึงเวลาที่ท่านจะถูกตรึงบนเสาทรมานพร้อมกับคนชั่ว ต่อจากนั้นสาวกของท่านจะต้องเจอการข่มเหงอย่างรุนแรง พวกเขารู้สึกว่าตัวเองพร้อมแล้ว จึงพากันพูดว่า “นี่ไงอาจารย์ เรามีดาบอยู่ 2 เล่ม” พระเยซูบอกว่า “แค่นั้นก็พอแล้ว” (ลูกา 22:38) พระเยซูจะใช้ดาบ 2 เล่มนั้นเป็นตัวอย่างในการสอนบทเรียนสำคัญให้พวกเขา
-
-
พระเยซู—ทางนั้น ความจริง ชีวิตพระเยซู—ทางนั้น ความจริง ชีวิต
-
-
บท 119
พระเยซู—ทางนั้น ความจริง ชีวิต
พระเยซูไปเตรียมที่ให้สาวก
พระเยซูสัญญาว่าจะส่งผู้ช่วยมาให้สาวก
พ่อของพระเยซูยิ่งใหญ่กว่าท่าน
หลังจากกินอาหารฉลองปัสกา พระเยซูยังอยู่กับอัครสาวกในห้องชั้นบน ท่านกระตุ้นพวกเขาว่า “อย่าทุกข์ใจไปเลย ขอให้แสดงความเชื่อในพระเจ้า และแสดงความเชื่อในตัวผมด้วย”—ยอห์น 13:36; 14:1
พระเยซูบอกอัครสาวกที่ซื่อสัตย์ว่าไม่ต้องกังวลกับการจากไปของท่าน โดยพูดว่า “บ้านของพ่อผมมีที่มากมายให้พวกคุณอยู่ได้ . . . เมื่อผมไปเตรียมที่ให้แล้ว ผมจะกลับมารับพวกคุณไปอยู่กับผม เพื่อว่าผมอยู่ที่ไหน พวกคุณก็จะอยู่ที่นั่นด้วย” แต่อัครสาวกไม่เข้าใจว่าท่านกำลังพูดถึงการไปสวรรค์ โธมัสจึงถามว่า “นายครับ พวกเรายังไม่รู้เลยว่าท่านกำลังจะไปไหน แล้วพวกเราจะรู้จักทางนั้นได้ยังไง?”—ยอห์น 14:2-5
พระเยซูตอบว่า “ผมเป็นทางนั้น เป็นความจริง และเป็นชีวิต” คนซื่อสัตย์จะได้อยู่ในบ้านของพ่อพระเยซูก็ต่อเมื่อเขายอมรับพระเยซู ยอมรับสิ่งที่ท่านสอน และเลียนแบบท่าน พระเยซูบอกว่า “ไม่มีใครจะมาถึงพระเจ้าผู้เป็นพ่อได้นอกจากมาทางผม”—ยอห์น 14:6
ฟีลิปซึ่งตั้งใจฟังอยู่จึงพูดว่า “นายครับ ขอแค่ได้เห็นพระเจ้าผู้เป็นพ่อ พวกเราก็พอใจแล้ว” ดูเหมือนว่าฟีลิปอยากเห็นพระเจ้า เหมือนกับที่โมเสส เอลียาห์ และอิสยาห์เคยเห็นในนิมิต แต่ที่จริงอัครสาวกได้เห็นสิ่งที่ดีกว่านิมิตซะอีก พระเยซูเน้นเรื่องนี้โดยพูดว่า “ฟีลิป ผมอยู่กับพวกคุณมาตั้งนาน คุณยังไม่รู้จักผมอีกหรือ? คนที่ได้เห็นผมก็ได้เห็นพระเจ้าผู้เป็นพ่อด้วย” พระเยซูเลียนแบบคุณลักษณะของพ่ออย่างสมบูรณ์แบบ ดังนั้น สาวกที่ได้ใช้เวลากับท่านและสังเกตสิ่งที่ท่านทำก็เหมือนได้เห็นพระเจ้า แน่นอนว่าพ่อของพระเยซูยิ่งใหญ่กว่าท่าน เพราะพระเยซูพูดว่า “สิ่งที่ผมบอกพวกคุณ ผมไม่ได้คิดขึ้นมาเอง” (ยอห์น 14:8-10) อัครสาวกรู้ดีว่าพระเยซูไม่เคยถือว่าสิ่งที่ท่านสอนมาจากตัวเอง แต่ท่านให้เกียรติทั้งหมดกับพ่อของท่าน
อัครสาวกเคยเห็นพระเยซูทำการอัศจรรย์ต่าง ๆ และประกาศข่าวดีเรื่องรัฐบาลของพระเจ้า ตอนนี้ท่านพูดว่า “คนที่แสดงความเชื่อในตัวผมจะทำงานที่ผมทำด้วย และเขาจะทำงานใหญ่กว่าที่ผมทำอีก” (ยอห์น 14:12) พระเยซูไม่ได้บอกว่าสาวกจะทำการอัศจรรย์ใหญ่กว่าที่ท่านเคยทำ แต่พวกเขาจะประกาศข่าวดีเป็นระยะเวลายาวนานกว่า ในขอบเขตที่กว้างกว่า และไปถึงผู้คนมากกว่า
สาวกจะไม่ถูกทอดทิ้งเมื่อพระเยซูจากไป เพราะท่านสัญญาว่า “ถ้าพวกคุณขออะไรในนามของผม ผมจะทำให้” และ “ผมจะขอพระเจ้าผู้เป็นพ่อให้ส่งผู้ช่วยอีกผู้หนึ่งให้มาอยู่กับพวกคุณตลอดไป คือพลังของพระเจ้าที่ทำให้เห็นความจริง” (ยอห์น 14:14, 16, 17) พระเยซูรับรองว่าพวกเขาจะได้พลังบริสุทธิ์ของพระเจ้าซึ่งเป็นเหมือนผู้ช่วย และเรื่องนี้เกิดขึ้นจริงในวันเพ็นเทคอสต์
พระเยซูพูดว่า “อีกหน่อย โลกจะไม่ได้เห็นผม แต่พวกคุณจะได้เห็นผม เพราะผมมีชีวิตอยู่และพวกคุณก็จะมีชีวิตด้วย” (ยอห์น 14:19) เมื่อฟื้นขึ้นจากตาย พระเยซูจะกลับมาหาสาวกในร่างกายของมนุษย์ และเมื่อถึงเวลา ท่านก็จะปลุกสาวกให้ฟื้นขึ้นจากตาย และให้พวกเขามีร่างกายสำหรับสวรรค์เพื่อจะไปอยู่กับท่าน
แล้วพระเยซูก็พูดถึงหลักความจริงที่ว่า “ทุกคนที่รู้ว่าผมสั่งอะไรและทำตามก็รักผม พ่อผมจะรักทุกคนที่รักผม ผมเองก็จะรักเขาด้วยและจะให้เขาได้รู้จักผมจริง ๆ” แล้วยูดาสที่มีอีกชื่อว่าธัดเดอัสก็ถามพระเยซูว่า “นายครับ ท่านตั้งใจให้พวกเราได้รู้จักท่าน แต่ทำไมไม่ให้โลกรู้จักล่ะครับ?” ท่านตอบว่า “ถ้าใครรักผม เขาจะทำตามคำสอนของผม และพ่อของผมจะรักเขา . . . ส่วนคนที่ไม่รักผมก็ไม่ทำตามคำสอนของผม” (ยอห์น 14:21-24) คนทั่วไปไม่เหมือนกับสาวก เพราะพวกเขาไม่เข้าใจว่าพระเยซูเป็นทางนั้น เป็นความจริง และเป็นชีวิต
ถ้าพระเยซูจากไปแล้ว สาวกจะจำสิ่งต่าง ๆ ที่ท่านสอนได้อย่างไร? พระเยซูอธิบายว่า “เมื่อพระเจ้าผู้เป็นพ่อส่งผู้ช่วยมาในนามของผม คือพลังบริสุทธิ์ของพระองค์ ผู้ช่วยนั้นจะสอนพวกคุณทุกอย่างและจะช่วยให้จำทุกเรื่องที่ผมเคยสอนได้” สาวกคงรู้สึกอุ่นใจเมื่อได้ยินคำพูดนี้ เพราะพวกเขาเข้าใจดีว่าพลังบริสุทธิ์ของพระเจ้ามีอำนาจมาก พระเยซูพูดเสริมว่า “ผมให้พวกคุณมีความสงบสุข และพวกคุณจะมีความสงบสุขแบบนี้ต่อไป . . . พวกคุณไม่ต้องทุกข์ใจและไม่ต้องกลัว” (ยอห์น 14:26, 27) พวกสาวกไม่ต้องกังวลเลย เพราะพ่อของพระเยซูจะชี้นำและปกป้องพวกเขา
อีกไม่นาน สาวกจะได้เห็นว่าพระเจ้าเป็นผู้ให้การปกป้องจริง ๆ พระเยซูบอกว่า “ผู้ปกครองโลกจะมาแล้ว แต่ผู้นั้นไม่มีอำนาจเหนือผม” (ยอห์น 14:30) ซาตานเข้าครอบงำจิตใจของยูดาสให้เขาทำตามความคิดที่ชั่วร้ายของมัน แต่พระเยซูไม่มีบาป ซาตานจึงไม่สามารถดลใจท่านให้ต่อต้านพระเจ้า และถึงมันจะทำลายพระเยซูได้ แต่ก็แค่ชั่วคราวเท่านั้น เพราะท่านบอกว่า “ผมกำลังทำทุกอย่างตามที่พระเจ้าผู้เป็นพ่อสั่งไว้” พระเยซูมั่นใจเต็มที่ว่าพ่อของท่านจะปลุกท่านให้ฟื้นขึ้นจากตาย—ยอห์น 14:31
-
-
เป็นกิ่งที่เกิดผลและเป็นเพื่อนของพระเยซูพระเยซู—ทางนั้น ความจริง ชีวิต
-
-
บท 120
เป็นกิ่งที่เกิดผลและเป็นเพื่อนของพระเยซู
ต้นองุ่นแท้และกิ่งที่ออกผล
เป็นที่รักของพระเยซูเสมอ
ตอนนี้ดึกมาก คงจะเลยเที่ยงคืนไปแล้ว พระเยซูยังคงให้กำลังใจอัครสาวก และเล่าตัวอย่างเปรียบเทียบอีกเรื่องหนึ่งที่ว่า
“ผมเป็นต้นองุ่นแท้ และพระเจ้าผู้เป็นพ่อของผมเป็นผู้ดูแลสวนองุ่น” (ยอห์น 15:1) หลายร้อยปีก่อนหน้านี้มีการเปรียบชาติอิสราเอลเป็นต้นองุ่นของพระยะโฮวา (เยเรมีย์ 2:21; โฮเชยา 10:1, 2) แต่พระยะโฮวากำลังจะเลิกสนใจชาตินี้ (มัทธิว 23:37, 38) ดังนั้น พระเยซูกำลังพูดถึงแนวคิดใหม่ โดยเปรียบตัวท่านเองเป็นต้นองุ่นที่พ่อของท่านปลูกไว้ตั้งแต่ปี ค.ศ. 29 ตอนนั้นพระเจ้าแต่งตั้งท่านด้วยพลังบริสุทธิ์ของพระองค์ แต่ต้นองุ่นหมายถึงอย่างอื่นด้วย พระเยซูบอกว่า
“ทุกกิ่งที่แตกออกจากผม ถ้าไม่ออกผล [พ่อของผม] จะตัดทิ้งไป ส่วนกิ่งที่ออกผล พระองค์จะตัดแต่งกิ่งนั้นให้สะอาดเพื่อให้ออกผลมากขึ้นอีก . . . กิ่งจะออกผลไม่ได้ถ้าไม่ติดอยู่กับต้น พวกคุณก็จะเกิดผลไม่ได้เหมือนกันถ้าไม่ติดสนิทกับผม ผมเป็นต้นองุ่น พวกคุณเป็นกิ่ง”—ยอห์น 15:2-5
พระเยซูสัญญากับสาวกที่ซื่อสัตย์ว่า เมื่อท่านจากไป ท่านจะส่งผู้ช่วยหรือพลังบริสุทธิ์ของพระเจ้ามาให้พวกเขา หลังจากนั้น 51 วัน อัครสาวกและคนอื่น ๆ ก็ได้รับพลังบริสุทธิ์ของพระเจ้า พวกเขาจึงกลายเป็นกิ่งของต้นองุ่น และ “กิ่ง” จะต้องติดอยู่กับต้นองุ่นซึ่งก็คือพระเยซู เพราะอะไร?
พระเยซูอธิบายว่า “ถ้าใครติดสนิทกับผมและผมติดสนิทกับเขา คนนั้นจะเกิดผลมาก แต่ถ้าพวกคุณแยกตัวจากผม พวกคุณจะทำอะไรไม่สำเร็จเลย” ผู้ติดตามที่ซื่อสัตย์ซึ่งเป็น “กิ่ง” จะเกิดผลโดยเลียนแบบคุณลักษณะของพระเยซู ประกาศเรื่องรัฐบาลของพระเจ้าอย่างกระตือรือร้น และสอนคนให้เป็นสาวก พระเยซูอธิบายว่าคนที่ไม่ได้ติดสนิทกับท่านและไม่เกิดผล “จะถูกทิ้ง” แต่ในทางตรงกันข้าม ท่านพูดว่า “ถ้าพวกคุณติดสนิทกับผมและยึดมั่นในคำสอนของผมอยู่เสมอ ไม่ว่าพวกคุณขออะไร ก็จะเป็นไปตามนั้น”—ยอห์น 15:5-7
หลังจากนั้น พระเยซูกลับมาพูดถึงเรื่องที่พูดไป 2 ครั้งแล้ว คือ การทำตามคำสั่งของท่าน (ยอห์น 14:15, 21) พระเยซูบอกวิธีสำคัญที่สาวกจะพิสูจน์ได้ว่าพวกเขาทำอย่างนั้นจริง ๆ โดยพูดว่า “ถ้าพวกคุณทำตามที่ผมสั่ง พวกคุณจะเป็นที่รักของผมเสมอ เหมือนกับที่ผมทำตามคำสั่งของพระเจ้าผู้เป็นพ่อและเป็นที่รักของพระองค์เสมอ” แต่การทำตามคำสั่งไม่ได้หมายถึงแค่รักพระยะโฮวาและพระเยซู ท่านบอกด้วยว่า “นี่เป็นคำสั่งของผม คือ ให้พวกคุณรักกันเหมือนที่ผมรักพวกคุณ ไม่มีความรักที่ยิ่งใหญ่กว่านี้ คือที่คนหนึ่งยอมสละชีวิตเพื่อเพื่อนของเขา ถ้าพวกคุณทำตามที่ผมสั่ง พวกคุณก็เป็นเพื่อนของผม”—ยอห์น 15:10-14
อีกไม่นาน พระเยซูจะแสดงความรักโดยสละชีวิตเพื่อคนที่แสดงความเชื่อในตัวท่าน เมื่อเห็นตัวอย่างของท่าน สาวกก็ควรเสียสละตัวเองเพื่อกันและกันด้วย ความรักแบบนี้จะระบุตัวพวกเขา เหมือนที่พระเยซูเคยบอกไว้ว่า “ทุกคนจะรู้ว่าพวกคุณเป็นสาวกของผม เมื่อพวกคุณรักกัน”—ยอห์น 13:35
สาวกคงดีใจที่พระเยซูเรียกพวกเขาว่า “เพื่อน” ท่านบอกว่า “ผมเรียกพวกคุณว่าเพื่อน เพราะผมบอกพวกคุณให้รู้ทุกอย่างที่ผมได้ยินจากพ่อของผม” นับว่าเป็นเกียรติจริง ๆ ที่ได้เป็นเพื่อนสนิทกับพระเยซูและได้รู้ว่าพระเจ้าบอกอะไรท่านบ้าง แต่เพื่อจะรักษาสายสัมพันธ์นี้ไว้ สาวกต้อง “เกิดผลต่อ ๆ ไป” ถ้าทำอย่างนั้น พระเยซูรับรองว่า “ไม่ว่าพวกคุณจะขออะไรในนามของผม พระเจ้าผู้เป็นพ่อจะให้สิ่งนั้นกับคุณ”—ยอห์น 15:15, 16
ถ้า “กิ่ง” หรือสาวกรักกัน พวกเขาจะสามารถอดทนกับปัญหาที่ต้องเจอ พระเยซูเตือนว่าโลกจะเกลียดชังพวกเขา แต่ก็ให้กำลังใจว่า “ถ้าโลกนี้เกลียดพวกคุณ ก็ให้จำไว้ว่าโลกเกลียดผมก่อน ถ้าพวกคุณเป็นคนของโลกนี้ โลกก็จะรักคุณ แต่ตอนนี้พวกคุณไม่ได้เป็นคนของโลกนี้แล้ว . . . โลกนี้จึงเกลียดคุณ”—ยอห์น 15:18, 19
พระเยซูอธิบายเพิ่มเติมถึงเหตุผลที่สาวกจะถูกเกลียด โดยบอกว่า “พวกเขาจะทำไม่ดีกับพวกคุณต่าง ๆ นานาเพราะพวกคุณเป็นสาวกของผม และเพราะพวกเขาไม่รู้จักผู้นั้นที่ใช้ผมมา” ไม่ว่าพระเยซูทำการอัศจรรย์มากแค่ไหน คนที่เกลียดท่านก็ยังไม่ยอมรับ พวกเขาจึงต้องรับโทษ พระเยซูพูดว่า “ถ้าผมไม่ได้ทำการอัศจรรย์แบบที่ไม่เคยมีใครทำมาก่อนให้พวกเขาเห็น พวกเขาก็คงไม่ต้องรับโทษเพราะบาป แต่ตอนนี้ ทั้ง ๆ ที่พวกเขาเห็น [การอัศจรรย์] แล้ว พวกเขาก็ยังเกลียดผมและพ่อของผมด้วย” ที่จริง เรื่องนี้เกิดขึ้นตามที่คำพยากรณ์บอกไว้—ยอห์น 15:21, 24, 25; สดุดี 35:19; 69:4
พระเยซูสัญญาอีกครั้งว่าจะส่งผู้ช่วยหรือพลังบริสุทธิ์ของพระเจ้ามาให้สาวก ทุกคนจะได้รับพลังนี้ซึ่งจะช่วยให้พวกเขาเกิดผลและให้ “เป็นพยานยืนยัน”—ยอห์น 15:27
-
-
“ขอให้กล้าหาญไว้ ผมชนะโลกแล้ว”พระเยซู—ทางนั้น ความจริง ชีวิต
-
-
บท 121
“ขอให้กล้าหาญไว้ ผมชนะโลกแล้ว”
อัครสาวกจะไม่ได้เห็นพระเยซูอีก
ความทุกข์ของอัครสาวกจะเปลี่ยนเป็นความสุข
พระเยซูกับอัครสาวกยังนั่งคุยกันอยู่ในห้องชั้นบนที่ใช้ฉลองปัสกา พระเยซูแนะนำพวกเขาหลายเรื่อง และท่านก็พูดว่า “ผมบอกเรื่องทั้งหมดนี้เพื่อพวกคุณจะไม่ท้อถอย” ทำไมพระเยซูถึงพูดอย่างนั้น? ท่านอธิบายว่า “พวกคุณจะถูกไล่ออกจากที่ประชุมของชาวยิว ที่จริง อีกไม่นานทุกคนที่ฆ่าพวกคุณจะคิดว่านั่นเป็นการรับใช้พระเจ้า”—ยอห์น 16:1, 2
สาวกคงตกใจที่ได้ยินอย่างนั้น ถึงแม้พระเยซูเคยพูดว่าโลกจะเกลียดชังพวกเขา แต่ท่านก็ไม่ได้พูดตรง ๆ ว่าพวกเขาจะถูกฆ่า เพราะอะไร? พระเยซูอธิบายว่า “ผมไม่ได้บอกเรื่องทั้งหมดนี้กับพวกคุณแต่แรก ก็เพราะที่ผ่านมาผมยังอยู่กับพวกคุณ” (ยอห์น 16:4) แต่อีกไม่นานพระเยซูจะต้องตาย ท่านจึงเตือนสาวกเพื่อช่วยพวกเขาไม่ให้ท้อถอย
พระเยซูพูดต่ออีกว่า “ผมจะไปหาพระองค์ที่ใช้ผมมา แต่ไม่เห็นมีพวกคุณสักคนถามว่า ‘อาจารย์จะไปไหน?’” ทั้ง ๆ ที่ก่อนหน้านี้ในเย็นวันเดียวกัน พวกเขาอยากรู้ว่าท่านจะไปไหน (ยอห์น 13:36; 14:5; 16:5) พอได้ยินว่าตัวเองจะถูกข่มเหง พวกเขาก็เศร้าจนไม่อยากรับรู้อะไรอีก ที่จริงพวกเขาน่าจะถามพระเยซูเรื่องที่ท่านจะเป็นกษัตริย์และถามว่าสาวกแท้จะได้ประโยชน์อะไรบ้าง พระเยซูพูดว่า “เรื่องที่ผมบอกทำให้พวกคุณทุกข์ใจ”—ยอห์น 16:6
แล้วพระเยซูอธิบายว่า “ที่ผมจะไปนั้นก็เพื่อประโยชน์ของพวกคุณ เพราะถ้าผมไม่ไป ผู้ช่วยจะไม่มาหาพวกคุณ แต่ถ้าผมไป ผมก็จะส่งผู้ช่วยมาหาพวกคุณ” (ยอห์น 16:7) พระเยซูจะส่งผู้ช่วยหรือพลังบริสุทธิ์ของพระเจ้ามาให้สาวกที่อยู่ทั่วโลก แต่เพื่อจะทำอย่างนั้นได้ ท่านต้องตายและกลับขึ้นไปบนสวรรค์ก่อน
พลังบริสุทธิ์ของพระเจ้า “จะทำให้โลกรู้ความจริงเกี่ยวกับบาป เกี่ยวกับความถูกต้องชอบธรรม และเกี่ยวกับการตัดสินลงโทษจากพระเจ้า” (ยอห์น 16:8) คนในโลกที่ไม่แสดงความเชื่อในลูกของพระเจ้าจะต้องถูกเปิดโปง เมื่อพระเยซูกลับไปสวรรค์ ท่านจะพิสูจน์ว่าท่านทำสิ่งที่ถูกต้องเสมอ และแสดงให้เห็นเหตุผลที่ซาตาน “ผู้ปกครองโลกนี้” สมควรถูกทำลาย—ยอห์น 16:11
พระเยซูพูดอีกว่า “ผมยังมีอีกหลายเรื่องที่จะบอกพวกคุณ แต่ถ้าจะบอกทั้งหมดตอนนี้ พวกคุณยังเข้าใจไม่ได้” เมื่อท่านให้พลังบริสุทธิ์ของพระเจ้า พลังนั้นจะช่วยให้สาวกเข้าใจ “ความจริงทั้งหมด” และพวกเขาจะรู้ว่าควรทำอะไร—ยอห์น 16:12, 13
ต่อจากนั้น พระเยซูพูดว่า “อีกหน่อยพวกคุณจะไม่เห็นผม แล้วอีกหน่อยพวกคุณจะได้เห็นผม” สาวกรู้สึกงงและถามกันว่าท่านหมายความว่าอย่างไร พระเยซูรู้ว่าพวกเขาอยากถามเรื่องนี้ ท่านจึงบอกว่า “พวกคุณจะร้องไห้คร่ำครวญ แต่โลกจะดีใจ พวกคุณจะมีความทุกข์ แต่ความทุกข์นั้นจะเปลี่ยนเป็นความสุข” (ยอห์น 16:16, 20) เมื่อพระเยซูถูกฆ่าในบ่ายวันต่อมา พวกผู้นำศาสนาดีใจ ส่วนสาวกของท่านโศกเศร้ามาก แต่แล้วความทุกข์ของพวกเขาก็เปลี่ยนเป็นความสุขเมื่อพระเยซูฟื้นขึ้นจากตาย! และพวกเขาก็มีความสุขมากขึ้นไปอีกเมื่อได้รับพลังบริสุทธิ์ของพระเจ้า
พระเยซูเปรียบสถานการณ์ที่สาวกจะต้องเจอเหมือนกับผู้หญิงที่เจ็บท้องคลอด โดยบอกว่า “ผู้หญิงมีความทุกข์เมื่อถึงเวลาคลอด แต่พอคลอดลูกแล้ว เธอก็ลืมความทุกข์ทรมานไปหมด เพราะมีความสุขที่ได้เห็นคน ๆ หนึ่งเกิดมาในโลก” แล้วท่านก็ให้กำลังใจสาวกว่า “เหมือนกับพวกคุณที่ตอนนี้มีความทุกข์ แต่เราจะได้เจอกันอีก แล้วพวกคุณจะมีความสุข จะไม่มีใครมาแย่งความสุขนั้นไปจากพวกคุณได้”—ยอห์น 16:21, 22
สาวกไม่เคยอธิษฐานถึงพระเจ้าในนามของพระเยซูมาก่อน แต่ตอนนี้ท่านบอกพวกเขาว่า “พวกคุณจะขอจากพระเจ้าผู้เป็นพ่อในนามของผม” ทำไมพวกเขาต้องทำอย่างนั้น? ไม่ใช่เพราะพระเจ้าไม่อยากฟังพวกเขา แต่พระเยซูอธิบายว่า “พระเจ้าผู้เป็นพ่อรักพวกคุณ เพราะพวกคุณรักผมและเชื่อว่าผมเป็นตัวแทนของพระองค์”—ยอห์น 16:26, 27
คำพูดที่ให้กำลังใจของพระเยซูคงทำให้สาวกมั่นใจจนพวกเขาพูดได้ว่า ‘พวกเราเชื่อว่าท่านมาจากพระเจ้า’ อีกไม่นานความมั่นใจนั้นจะถูกทดสอบ พระเยซูบอกพวกเขาว่าจะเกิดอะไรขึ้น ท่านพูดว่า “คอยดูนะ ใกล้จะถึงเวลาแล้ว ที่จริง ถึงเวลาแล้วด้วยซ้ำที่พวกคุณจะกระจัดกระจายกลับไปบ้านของตัวเอง และจะทิ้งผมไว้คนเดียว” แต่ท่านก็รับรองว่า “ผมบอกเรื่องทั้งหมดนี้เพื่อพวกคุณจะมีความสงบสุขเพราะผม ในโลกนี้พวกคุณจะมีความยากลำบาก แต่ขอให้กล้าหาญไว้ ผมชนะโลกแล้ว” (ยอห์น 16:30-33) พระเยซูไม่ทิ้งสาวก ถึงแม้ซาตานพยายามทำลายความซื่อสัตย์ของพวกเขา แต่ท่านก็มั่นใจว่าพวกเขาจะทำตามสิ่งที่พระเจ้าต้องการต่อ ๆ ไปและชนะโลกได้เหมือนกับท่าน
-
-
คำอธิษฐานของพระเยซูในห้องชั้นบนพระเยซู—ทางนั้น ความจริง ชีวิต
-
-
บท 122
คำอธิษฐานของพระเยซูในห้องชั้นบน
สิ่งที่จะได้รับจากการรู้จักพระเจ้าและลูกของพระองค์
พระยะโฮวา พระเยซู และสาวกเป็นหนึ่งเดียวกัน
พระเยซูรักอัครสาวกมาก ท่านจึงเตรียมพวกเขาให้พร้อมเมื่อท่านจะต้องจากไป พระเยซูเงยหน้ามองฟ้าและอธิษฐานถึงพ่อของท่านว่า “ขอแต่งตั้งผมที่เป็นลูกของพระองค์ให้มีเกียรติ เพื่อผมจะได้ยกย่องพระองค์ พระองค์ให้ลูกของพระองค์มีอำนาจเหนือมนุษย์ทุกคนแล้ว เพื่อผมจะให้ชีวิตตลอดไปกับทุกคนที่พระองค์ยกให้ผม”—ยอห์น 17:1, 2
พระเยซูถือว่าการให้เกียรติพระเจ้าเป็นสิ่งสำคัญที่สุด ท่านจึงพูดถึงเป็นเรื่องแรก แต่สาวกก็คงได้กำลังใจด้วยเมื่อท่านพูดถึงเรื่องชีวิตตลอดไป! พระเยซูได้รับ “อำนาจเหนือมนุษย์ทุกคน” ท่านจึงสามารถช่วยมนุษย์ให้มีโอกาสรับประโยชน์จากเครื่องบูชาไถ่ แต่ไม่ใช่ทุกคนจะได้พรนี้ เพราะอะไร? เพราะพระเยซูจะให้ประโยชน์ของค่าไถ่กับคนที่ทำตามคำสอนของท่านเท่านั้น ท่านบอกว่า “พวกเขาจะได้ชีวิตตลอดไป ถ้าพวกเขามารู้จักพระองค์ที่เป็นพระเจ้าเที่ยงแท้องค์เดียว และรู้จักคนที่พระองค์ใช้มา คือเยซูคริสต์”—ยอห์น 17:3
คนที่จะได้ชีวิตตลอดไปต้องรู้จักพระเจ้าผู้เป็นพ่อและรู้จักลูกของพระองค์อย่างดี ต้องมีสายสัมพันธ์ที่ใกล้ชิดและมีความคิดเหมือนพระเจ้าและลูกของพระองค์ นอกจากนั้น เขาต้องพยายามเลียนแบบคุณลักษณะของพระเจ้าและของพระเยซูเมื่อปฏิบัติต่อคนอื่น เขาต้องถือว่าการให้เกียรติพระเจ้าสำคัญกว่าการได้รับชีวิตตลอดไป แล้วพระเยซูก็กลับมาพูดถึงการให้เกียรติพระเจ้าโดยบอกว่า
“ผมได้ยกย่องพระองค์บนโลกนี้แล้ว และทำงานที่พระองค์มอบหมายให้ทำจนสำเร็จ พ่อครับ ตอนนี้ ขอให้ผมได้รับเกียรติที่จะอยู่เคียงข้างพระองค์ คือเกียรติที่ผมเคยมีตอนที่อยู่เคียงข้างพระองค์ก่อนจะมีโลกนี้” (ยอห์น 17:4, 5) พระเยซูขอให้พระเจ้าปลุกท่านให้ฟื้นขึ้นจากตายเพื่อให้ท่านได้รับเกียรติในสวรรค์อีกครั้ง
แต่พระเยซูก็พูดถึงงานรับใช้ของท่านบนโลกด้วย ท่านอธิษฐานว่า “คนที่พระองค์แยกออกจากโลกนี้และยกให้ผม ผมช่วยพวกเขาให้รู้จักชื่อของพระองค์แล้ว พวกเขาเป็นคนของพระองค์ พระองค์ยกพวกเขาให้ผม และพวกเขาทำตามคำสอนของพระองค์” (ยอห์น 17:6) พระเยซูไม่เพียงใช้ชื่อของพระเจ้า “ยะโฮวา” ในงานรับใช้ แต่ท่านช่วยอัครสาวกให้รู้ว่าพระเจ้าที่มีชื่อนี้มีคุณลักษณะอย่างไร และยังช่วยพวกเขาให้เข้าใจวิธีที่พระองค์ปฏิบัติต่อมนุษย์ด้วย
อัครสาวกได้รู้จักพระยะโฮวา ได้เรียนเกี่ยวกับบทบาทของพระเยซู และได้รับการสอนจากท่าน พระเยซูพูดกับพ่อด้วยความถ่อมตัวว่า “ผมบอกทุกอย่างตามที่พระองค์สอนไว้ และพวกเขารับคำสอนนั้นแล้ว พวกเขามั่นใจว่าผมเป็นตัวแทนของพระองค์ และเชื่อว่าพระองค์ใช้ผมมา”—ยอห์น 17:8
แล้วพระเยซูก็พูดถึงความแตกต่างระหว่างสาวกของท่านกับคนทั่วไปในโลก ท่านบอกว่า “ผมขอเพื่อพวกเขา ผมไม่ได้ขอเพื่อโลกนี้ แต่ขอเพื่อคนที่พระองค์ยกให้ผม เพราะพวกเขาเป็นคนของพระองค์ . . . พ่อผู้บริสุทธิ์ ขอดูแลพวกเขาเพื่อเห็นแก่ชื่อของพระองค์ที่ให้ผมไว้ ให้พวกเขาเป็นหนึ่งเดียวกัน เหมือนที่ผมกับพระองค์เป็นหนึ่งเดียวกัน . . . ผมปกป้องพวกเขาไว้ไม่ให้พินาศสักคนเดียว นอกจากคนนั้นที่จะต้องพินาศ” ซึ่งหมายถึง ยูดาสอิสคาริโอทที่ทรยศพระเยซู—ยอห์น 17:9-12
พระเยซูอธิษฐานต่อไปว่า “โลกนี้เกลียดพวกเขา . . . ผมไม่ได้ขอพระองค์ให้เอาพวกเขาออกไปจากโลก แต่ขอให้ปกป้องพวกเขาจากตัวชั่วร้าย พวกเขาไม่ได้เป็นคนของโลก เหมือนที่ผมไม่ได้เป็นคนของโลก” (ยอห์น 17:14-16) อัครสาวกและสาวกอยู่ในโลกที่ซาตานปกครอง แต่พวกเขาต้องแยกตัวจากผู้คนและความชั่วในโลก พวกเขาจะทำได้อย่างไร?
เพื่อจะแยกตัวจากผู้คนและมารับใช้พระเจ้า พวกเขาต้องรักษาตัวให้บริสุทธิ์ โดยทำตามความจริงที่อยู่ในพระคัมภีร์ภาคภาษาฮีบรูและความจริงที่พระเยซูสอน พระเยซูอธิษฐานว่า “ถ้อยคำของพระองค์เป็นความจริง ขอให้ความจริงนี้ทำให้พวกเขาบริสุทธิ์” (ยอห์น 17:17) หลังจากนี้ อัครสาวกบางคนจะเขียนหนังสือที่ได้รับการดลใจ ซึ่งเป็นส่วนหนึ่งของ “ความจริง” ที่ช่วยทำให้คนบริสุทธิ์
จะมีคนอื่นด้วยที่ตอบรับ “ความจริง” ดังนั้น พระเยซู “ไม่ได้ขอเพื่อ [อัครสาวก 11 คน] เท่านั้น แต่ขอเพื่อคนที่เชื่อ [ท่าน] เพราะได้ฟังพวกเขาด้วย” พระเยซูอยากให้พวกเขาทำอะไร? ท่านบอกว่า “พวกเขาจะได้เป็นหนึ่งเดียวกัน เหมือนที่พระองค์เป็นหนึ่งเดียวกับผม และผมเป็นหนึ่งเดียวกับพระองค์ พวกเขาจะได้เป็นหนึ่งเดียวกับพวกเราด้วย” (ยอห์น 17:20, 21) พระเยซูกับพ่อของท่านไม่ใช่บุคคลเดียวกัน แต่เป็นหนึ่งเดียวกันในความหมายที่ว่า ท่านกับพ่อคิดเหมือนกันในทุกเรื่อง และพระเยซูก็อธิษฐานขอให้สาวกของท่านเป็นหนึ่งเดียวกันแบบนั้นด้วย
พระเยซูเพิ่งบอกเปโตรและคนอื่น ๆ ว่าท่านจะไปเตรียมที่ให้พวกเขาในสวรรค์ (ยอห์น 14:2, 3) เมื่อนึกถึงเรื่องนั้น พระเยซูจึงอธิษฐานว่า “พ่อครับ ผมขอให้คนที่พระองค์ยกให้ผมได้อยู่ที่เดียวกับผม เพื่อพวกเขาจะได้เห็นเกียรติที่ผมได้รับจากพระองค์ เพราะพระองค์รักผมตั้งแต่ก่อนมีโลกนี้” (ยอห์น 17:24) พระเยซูยืนยันว่านานก่อนที่อาดัมกับเอวาจะมีลูก พระเจ้ารักลูกคนเดียวของพระองค์ ซึ่งก็คือพระเยซูคริสต์
พระเยซูลงท้ายคำอธิษฐานด้วยการพูดย้ำเรื่องชื่อของพระเจ้า และความรักที่พระองค์แสดงต่ออัครสาวกและต่อคนอื่นที่จะตอบรับ “ความจริง” ท่านพูดว่า “ผมทำให้พวกเขารู้จักชื่อของพระองค์แล้ว และจะทำให้พวกเขารู้จักดีขึ้นอีก เพื่อพวกเขาจะมีความรักแบบเดียวกับที่พระองค์รักผม และผมจะเป็นหนึ่งเดียวกับพวกเขา”—ยอห์น 17:26
-
-
อธิษฐานด้วยความทุกข์ใจพระเยซู—ทางนั้น ความจริง ชีวิต
-
-
บท 123
อธิษฐานด้วยความทุกข์ใจ
มัทธิว 26:30, 36-46 มาระโก 14:26, 32-42 ลูกา 22:39-46 ยอห์น 18:1
พระเยซูอธิษฐานในสวนเกทเสมนี
เหงื่อของพระเยซูเป็นเหมือนเลือด
เมื่ออธิษฐานเสร็จ พระเยซูกับอัครสาวก “ร้องเพลงสรรเสริญพระเจ้า แล้วก็ออกไปที่ภูเขามะกอก” (มาระโก 14:26) พวกเขาไปที่สวนเกทเสมนีซึ่งอยู่ทางตะวันออก พระเยซูไปสวนนี้หลายครั้งแล้ว
พอมาถึงสวนสวยงามที่เต็มไปด้วยต้นมะกอก พระเยซูคงให้อัครสาวก 8 คนรออยู่ใกล้ ๆ ทางเข้าสวน เพราะท่านบอกว่า “นั่งรอตรงนี้กันก่อนนะ ผมจะไปอธิษฐานที่โน่น” แล้วพระเยซูก็พาอัครสาวก 3 คนไปกับท่าน คือ เปโตร ยากอบ และยอห์น พวกเขาเดินลึกเข้าไปในสวน พระเยซูรู้สึกเศร้ามาก ท่านบอกสาวกว่า “ผมเป็นทุกข์จนแทบจะขาดใจอยู่แล้ว พวกคุณอยู่ที่นี่ เฝ้าระวังด้วยกันกับผมนะ”—มัทธิว 26:36-38
พระเยซูเดินห่างจากพวกเขาไปหน่อยหนึ่งและ “คุกเข่าลงอธิษฐาน” พระเยซูพูดอะไรกับพระเจ้าในช่วงเวลาที่ตึงเครียดนี้? ท่านอธิษฐานว่า “พ่อครับ พ่อทำได้ทุกอย่าง ขอให้ถ้วยนี้ผ่านพ้นไปจากผมเถอะ แต่อย่าให้เป็นไปตามใจผมเลย ขอให้เป็นไปตามที่พ่อต้องการ” (มาระโก 14:35, 36) พระเยซูหมายความว่าอย่างไร? นี่หมายความว่าท่านจะถอนตัวจากการเป็นค่าไถ่อย่างนั้นไหม? ไม่!
ตั้งแต่อยู่บนสวรรค์ พระเยซูเคยเห็นความทุกข์ทรมานแสนสาหัสของคนที่ถูกพวกโรมันฆ่า ตอนนี้พระเยซูเป็นมนุษย์ที่มีเลือดเนื้อและรู้สึกเจ็บได้ ท่านก็เลยทุกข์ใจเพราะรู้ว่าจะต้องเจอกับความเจ็บปวดแบบเดียวกัน ที่สำคัญกว่านั้นคือ พระเยซูเจ็บปวดใจที่การตายของท่านในฐานะอาชญากรที่น่ารังเกียจจะทำให้ชื่อเสียงของพ่อเสื่อมเสีย อีกไม่กี่ชั่วโมง พระเยซูจะถูกตรึงบนเสาเพราะถูกกล่าวหาอย่างผิด ๆ ว่าหมิ่นประมาทพระเจ้า
หลังจากอธิษฐานอยู่นาน พระเยซูก็เดินกลับมาและเห็นสาวกหลับอยู่ ท่านพูดกับเปโตรว่า “คุณจะเฝ้าระวังด้วยกันกับผมสักชั่วโมงหนึ่งไม่ได้หรือ? คุณต้องเฝ้าระวังอยู่เสมอและอธิษฐานอยู่เรื่อย ๆ เพื่อจะไม่พลาดเมื่อถูกทดสอบ” พระเยซูเข้าใจว่าสาวกก็เครียดเหมือนกันและนี่ก็ดึกมากแล้ว ท่านจึงพูดเสริมว่า “ใจสู้ก็จริง แต่ร่างกายยังอ่อนแอ”—มัทธิว 26:40, 41
เมื่อไปอธิษฐานครั้งที่สอง พระเยซูขอพระเจ้าให้เลื่อน “ถ้วยนี้” ไปจากท่าน พอกลับมา อัครสาวกทั้ง 3 คนก็หลับอยู่ ทั้ง ๆ ที่พวกเขาควรจะอธิษฐานขอไม่ให้พลาดเมื่อถูกทดสอบ เมื่อพระเยซูพูดกับพวกเขา พวกเขาก็ “ไม่รู้ว่าจะแก้ตัวอย่างไรดี” (มาระโก 14:40) แล้วพระเยซูก็ออกไปเป็นครั้งที่สาม ท่านคุกเข่าลงอธิษฐานถึงพระเจ้า
พระเยซูกังวลมากที่การตายของท่านในฐานะคนชั่วจะทำให้ชื่อของพ่อแปดเปื้อน พระยะโฮวาฟังคำอธิษฐานและส่งทูตสวรรค์มาให้กำลังใจลูก แต่พระเยซูก็ยังคง “อธิษฐานอ้อนวอนอย่างหนัก” ท่านเครียดมากเพราะนี่เป็นหน้าที่รับผิดชอบที่สำคัญจริง ๆ ชีวิตตลอดไปของท่านกับของคนที่มีความเชื่อกำลังตกอยู่ในอันตราย ที่จริง ‘เหงื่อของท่านเป็นเหมือนเลือดหยดลงบนพื้น’—ลูกา 22:44
เมื่อพระเยซูกลับมาหาอัครสาวกอีกครั้ง พวกเขาก็ยังหลับอยู่ คราวนี้ท่านพูดว่า “ในเวลาอย่างนี้พวกคุณยังหลับพักผ่อนกันอยู่อีกหรือ ตอนนี้จวนจะถึงเวลาที่ ‘ลูกมนุษย์’ จะถูกมอบไว้ในมือคนบาปแล้ว ลุกขึ้นไปกันเถอะ คนที่ทรยศผมมาแล้ว”—มัทธิว 26:45, 46
-
-
พระเยซูถูกทรยศและถูกจับพระเยซู—ทางนั้น ความจริง ชีวิต
-
-
บท 124
พระเยซูถูกทรยศและถูกจับ
มัทธิว 26:47-56 มาระโก 14:43-52 ลูกา 22:47-53 ยอห์น 18:2-12
ยูดาสทรยศพระเยซูในสวนเกทเสมนี
เปโตรฟันหูของทาสคนหนึ่ง
พระเยซูถูกจับ
ตอนนี้เลยเที่ยงคืนไปนานแล้ว พวกปุโรหิตตกลงกันว่าจะจ่ายเงินให้ยูดาส 30 เหรียญถ้าเขาทรยศพระเยซู ยูดาสจึงพาคนกลุ่มใหญ่มาตามหาท่าน คนกลุ่มนี้มีทั้งปุโรหิตใหญ่ ฟาริสี ทหารโรมัน และผู้บังคับบัญชา
ดูเหมือนว่าหลังจากพระเยซูบอกให้ยูดาสออกจากห้องชั้นบน เขาก็ไปหาพวกปุโรหิตใหญ่ทันที (ยอห์น 13:27) พวกปุโรหิตใหญ่เรียกเจ้าหน้าที่กับทหารกลุ่มหนึ่งมาด้วย ยูดาสคงพาพวกเขาไปตามหาพระเยซูที่ห้องชั้นบนมาแล้ว ตอนนี้พวกเขากำลังข้ามหุบเขาขิดโรนและมุ่งหน้าไปที่สวน พวกเขามีอาวุธ ตะเกียง และคบเพลิง พวกเขาจะหาพระเยซูจนกว่าจะเจอ
ยูดาสเดินนำกลุ่มคนขึ้นไปบนภูเขามะกอก เขามั่นใจว่าจะต้องเจอพระเยซูแน่ ๆ เพราะระหว่างเดินทางไปกลับหมู่บ้านเบธานีและกรุงเยรูซาเล็ม พระเยซูกับอัครสาวกมักจะหยุดพักที่สวนเกทเสมนี แต่ตอนนี้มืดมาก คงไม่ง่ายที่จะรู้ว่าใครเป็นใครในเงามืดของต้นมะกอกในสวน แล้วทหารที่ไม่เคยเห็นพระเยซูมาก่อนจะรู้ได้อย่างไรว่าต้องจับคนไหน? ยูดาสจะบอกพวกเขาเอง เขาพูดว่า “ถ้าผมจูบคนไหน ก็ให้จับคนนั้น แล้วคุมตัวไป”—มาระโก 14:44
เมื่อเดินเข้าไปในสวน ยูดาสเห็นพระเยซูกับอัครสาวกเดินตรงมาหาเขา ยูดาสพูดว่า “สวัสดีครับ อาจารย์” แล้วจูบท่านอย่างนุ่มนวล พระเยซูถามว่า “คุณมาทำอะไรที่นี่กันแน่?” (มัทธิว 26:49, 50) แล้วพูดอีกว่า “ยูดาส คุณจะทรยศ ‘ลูกมนุษย์’ ด้วยการจูบหรือ?” (ลูกา 22:48) แต่หลังจากนั้นท่านก็ไม่สนใจยูดาสอีกต่อไป
พระเยซูก้าวออกมาข้างหน้า แสงไฟจากคบเพลิงและตะเกียงส่องให้เห็นท่านได้ชัด พระเยซูถามฝูงชนว่า “มาตามหาใคร?” พวกเขาจึงตอบว่า “เยซูชาวนาซาเร็ธ” พระเยซูพูดอย่างกล้าหาญว่า “ผมเอง” (ยอห์น 18:4, 5) พวกเขาตกใจจนผงะถอยหลังล้มลงกับพื้น
แทนที่จะใช้โอกาสนี้หลบหนีไปในความมืด พระเยซูถามอีกครั้งว่าพวกเขามาตามหาใคร พอพวกเขาตอบว่า “เยซูชาวนาซาเร็ธ” ท่านก็พูดอย่างใจเย็นว่า “ก็บอกแล้วว่าผมนี่แหละ ถ้าพวกคุณมาตามหาผม ก็ปล่อยคนพวกนี้ไปเถอะ” ถึงจะตกอยู่ในอันตราย พระเยซูก็ยังจำได้ว่าท่านเคยพูดว่าจะไม่ยอมให้สาวกพินาศไปแม้แต่คนเดียว (ยอห์น 6:39; 17:12) พระเยซูปกป้องอัครสาวกที่ซื่อสัตย์และไม่มีใครหลงหายไป “นอกจากคนนั้นที่จะต้องพินาศ” ซึ่งก็คือยูดาส (ยอห์น 18:7-9) นี่เป็นเหตุผลที่พระเยซูบอกคนกลุ่มนี้ให้ปล่อยอัครสาวกไป
เมื่อพวกทหารยืนขึ้นและเดินไปหาพระเยซู อัครสาวกรู้ว่าจะเกิดอะไรขึ้นจึงถามพระเยซูว่า “อาจารย์ เอาดาบฟันพวกนี้เลยดีไหม?” (ลูกา 22:49) ก่อนพระเยซูจะตอบ เปโตรก็ชักดาบออกมาฟันมัลคัสซึ่งเป็นทาสของมหาปุโรหิต ทำให้หูข้างขวาของเขาขาด
พระเยซูจึงแตะหูของมัลคัสและรักษาให้หายเป็นปกติ หลังจากนั้น ท่านก็สอนบทเรียนสำคัญโดยพูดกับเปโตรว่า “เก็บดาบใส่ฝักซะ เพราะทุกคนที่ใช้ดาบจะตายด้วยดาบ” พระเยซูเต็มใจจะถูกจับเพื่อให้ ‘สิ่งที่เขียนไว้ในพระคัมภีร์เป็นจริง’ (มัทธิว 26:52, 54) แล้วท่านก็พูดอีกว่า “ถ้วยที่พ่อให้ผมดื่ม ผมจะไม่ดื่มได้หรือ?” (ยอห์น 18:11) พระเยซูยอมทำทุกอย่างที่พระเจ้าต้องการ แม้ว่าจะต้องตาย
พระเยซูถามฝูงชนว่า “ทำไมต้องถือดาบถือกระบองมาจับผมเหมือนจับโจรด้วย? ผมนั่งสอนในวิหารทุกวัน พวกคุณก็ไม่เห็นมาจับ แต่ที่เกิดขึ้นทั้งหมดนี้ก็เพื่อข้อความที่พวกผู้พยากรณ์เขียนไว้จะเป็นจริง”—มัทธิว 26:55, 56
พวกทหาร ผู้บังคับบัญชา และเจ้าหน้าที่ของชาวยิวก็เข้ามาจับตัวพระเยซูมัดไว้ เมื่อเห็นอย่างนั้น พวกอัครสาวกก็หนีไป แต่ “ชายหนุ่มคนหนึ่ง” ซึ่งคงเป็นมาระโก ยังอยู่ปะปนกับฝูงชนเพื่อจะตามพระเยซูไป (มาระโก 14:51) แต่แล้วฝูงชนก็จำเขาได้และพยายามจับเขา เขาจึงสลัดเสื้อคลุมทิ้งแล้ววิ่งหนีไป
-
-
พระเยซูถูกพาไปหาอันนาสแล้วก็เคยาฟาสพระเยซู—ทางนั้น ความจริง ชีวิต
-
-
บท 125
พระเยซูถูกพาไปหาอันนาสแล้วก็เคยาฟาส
มัทธิว 26:57-68 มาระโก 14:53-65 ลูกา 22:54, 63-65 ยอห์น 18:13, 14, 19-24
พระเยซูถูกพาไปหาอันนาสซึ่งเป็นอดีตมหาปุโรหิต
ศาลแซนเฮดรินพิจารณาคดีอย่างผิดกฎหมาย
พระเยซูถูกมัดเหมือนกับอาชญากร แล้วถูกพาไปหาอันนาส เขาเป็นมหาปุโรหิตในวิหารตอนที่พระเยซูเป็นเด็กอายุ 12 ปีที่ทำให้พวกครูสอนศาสนารู้สึกทึ่ง (ลูกา 2:42, 47) ลูกชายบางคนของอันนาสก็เคยรับใช้เป็นมหาปุโรหิต และตอนนี้ลูกเขยของเขาที่ชื่อเคยาฟาสทำหน้าที่นี้อยู่
ตอนที่อันนาสกำลังซักถามพระเยซู เคยาฟาสก็เรียกสมาชิกศาลแซนเฮดรินมารวมกัน ศาลนี้มีสมาชิก 71 คนซึ่งรวมถึงมหาปุโรหิตและอดีตมหาปุโรหิตคนอื่น ๆ ด้วย
อันนาสถามพระเยซู “เกี่ยวกับพวกสาวกและคำสอนของท่าน” พระเยซูตอบแค่ว่า “ผมพูดต่อหน้าทุกคนอย่างเปิดเผย ผมสอนอยู่ในที่ประชุมและในวิหารที่พวกยิวทุกคนมาชุมนุมกัน ผมไม่ได้พูดอะไรในที่ลับเลย มาถามผมทำไม? ไปถามคนที่ได้ยินผมพูดสิ”—ยอห์น 18:19-21
เจ้าหน้าที่ตบหน้าพระเยซูและตะคอกใส่ท่านว่า “ตอบปุโรหิตใหญ่แบบนี้ได้ยังไง?” แต่พระเยซูรู้ว่าตัวเองไม่ได้ทำอะไรผิด ท่านจึงพูดว่า “ถ้าผมพูดอะไรผิด ก็เอาหลักฐานมายืนยันสิ แต่ถ้าผมพูดถูก มาตบผมทำไม?” (ยอห์น 18:22, 23) แล้วอันนาสก็ส่งตัวพระเยซูไปหาเคยาฟาสลูกเขยของเขา
ป่านนี้สมาชิกศาลแซนเฮดรินคงมากันครบแล้ว ทั้งมหาปุโรหิต ผู้นำชุมชน และครูสอนศาสนา ทุกคนมารวมตัวที่บ้านของเคยาฟาส จริง ๆ แล้วเป็นเรื่องผิดกฎหมายที่จะพิจารณาคดีในคืนที่มีการฉลองปัสกา แต่พวกเขาไม่สนใจเพราะอยากจะทำตามแผนชั่ว
นี่คงไม่ใช่การพิจารณาคดีที่ยุติธรรม เพราะหลังจากพระเยซูปลุกลาซารัสให้ฟื้นขึ้นจากตาย ศาลแซนเฮดรินก็ลงความเห็นกันไปแล้วว่าพระเยซูสมควรตาย (ยอห์น 11:47-53) และไม่กี่วันก่อน พวกผู้นำศาสนาก็เพิ่งรวมหัวกันวางแผนจับพระเยซูมาฆ่า (มัทธิว 26:3, 4) นี่เท่ากับว่าพระเยซูถูกตัดสินประหารก่อนจะเริ่มพิจารณาคดีด้วยซ้ำ!
นอกจากจะเปิดการพิจารณาคดีอย่างผิดกฎหมายแล้ว พวกปุโรหิตใหญ่และสมาชิกศาลแซนเฮดรินยังหาพยานเท็จมาใส่ร้ายพระเยซูด้วย แต่ถึงจะหาได้หลายคน คำให้การของพวกเขาก็ไม่ตรงกัน ในที่สุด มี 2 คนที่ออกมาพูดว่า “พวกเราได้ยินเขาพูดว่า ‘ผมจะทำลายวิหารหลังนี้ที่สร้างขึ้นมาด้วยมือมนุษย์ แล้วภายใน 3 วัน ผมจะสร้างอีกหลังหนึ่งที่ไม่ได้ใช้มือมนุษย์สร้าง’” (มาระโก 14:58) แต่คำให้การของ 2 คนนี้ก็ไม่ได้ตรงกันทั้งหมด
เคยาฟาสถามพระเยซูว่า “คุณจะไม่แก้ตัวอะไรเลยหรือ? ที่เขากล่าวหามาทั้งหมดนี้ คุณจะว่ายังไง?” (มาระโก 14:60) พระเยซูนิ่งเงียบและไม่ตอบข้อกล่าวหาของพยานเท็จพวกนี้ มหาปุโรหิตเคยาฟาสจึงเปลี่ยนไปใช้อีกวิธีหนึ่ง
เคยาฟาสรู้ว่าพวกยิวไม่ชอบคนที่อ้างตัวว่าเป็นลูกของพระเจ้า ตอนที่พระเยซูพูดว่าพระเจ้าเป็นพ่อของท่าน คนยิวอยากจะฆ่าท่านเพราะรู้สึกว่าท่าน “ทำตัวเสมอกับพระเจ้า” (ยอห์น 5:17, 18; 10:31-39) เคยาฟาสจึงใช้จุดนี้พูดกับพระเยซูอย่างมีเล่ห์เหลี่ยมว่า “ผมขอสั่งให้คุณสาบานในนามของพระเจ้าผู้มีชีวิตอยู่ตลอดไป บอกมาว่า คุณเป็นพระคริสต์ ลูกของพระเจ้าจริงหรือไม่” (มัทธิว 26:63) แน่นอนว่า พระเยซูเป็นลูกของพระเจ้า (ยอห์น 3:18; 5:25; 11:4) ถ้าท่านไม่พูดตอนนี้ก็เท่ากับท่านปฏิเสธว่าไม่ได้เป็นลูกของพระเจ้าและไม่ได้เป็นพระคริสต์ ท่านจึงพูดว่า “ใช่แล้ว และพวกคุณจะเห็น ‘ลูกมนุษย์’ นั่งข้างขวาของพระองค์ผู้มีฤทธิ์อำนาจและจะเห็นท่านมาบนเมฆในท้องฟ้า”—มาระโก 14:62
แล้วเคยาฟาสก็เล่นละครตบตาโดยฉีกเสื้อชั้นนอกของตัวเองแล้วพูดว่า “เขาหมิ่นประมาทพระเจ้าแล้ว! เรายังต้องมีพยานอีกหรือ? พวกคุณก็ได้ยินแล้วนี่ว่าเขาหมิ่นประมาทพระเจ้า พวกคุณคิดว่าควรทำยังไงกับเขาดี?” ศาลแซนเฮดรินประกาศคำพิพากษาที่ไม่ยุติธรรมว่า “เขาต้องตายสถานเดียว”—มัทธิว 26:65, 66
พวกเขาเยาะเย้ยและชกต่อยพระเยซู บางคนตบหน้าและถุยน้ำลายใส่หน้าท่าน หลังจากนั้น พวกเขาปิดหน้าพระเยซู ตบท่าน แล้วประชดว่า “ทายมาสิว่าใครตบ?” (ลูกา 22:64) ลูกของพระเจ้าถูกทำร้ายในการพิจารณาคดีแบบผิดกฎหมายตอนกลางคืน!
-
-
เปโตรปฏิเสธพระเยซูพระเยซู—ทางนั้น ความจริง ชีวิต
-
-
บท 126
เปโตรปฏิเสธพระเยซู
มัทธิว 26:69-75 มาระโก 14:66-72 ลูกา 22:54-62 ยอห์น 18:15-18, 25-27
เปโตรบอกว่าไม่รู้จักพระเยซู
เมื่อพระเยซูถูกจับในสวนเกทเสมนี อัครสาวกทุกคนก็ทิ้งท่านไว้และหนีไปเพราะความกลัว แต่มี 2 คนเปลี่ยนใจและตามท่านไป คือเปโตร “กับสาวกอีกคนหนึ่ง” ซึ่งน่าจะเป็นยอห์น (ยอห์น 18:15; 19:35; 21:24) พวกเขาคงตามทันตอนที่พระเยซูถูกพาไปหาอันนาส พออันนาสส่งตัวท่านไปให้มหาปุโรหิตเคยาฟาส เปโตรกับยอห์นก็ตามไปห่าง ๆ พวกเขาคงลำบากใจมาก เพราะใจหนึ่งก็กลัวตาย อีกใจก็เป็นห่วงพระเยซู
ยอห์นรู้จักกับมหาปุโรหิต เขาจึงเข้าไปในลานบ้านของเคยาฟาสได้ แต่เปโตรต้องยืนรออยู่ข้างนอกก่อน พอยอห์นกลับมาพูดกับสาวใช้ที่เฝ้าประตู เปโตรถึงได้เข้าไปข้างใน
คืนนี้อากาศหนาว คนในลานบ้านจึงนั่งผิงไฟกัน เปโตรก็นั่งอยู่กับพวกเขา “เพื่อคอยดูว่าจะมีอะไรเกิดขึ้น” เมื่อพระเยซูถูกพิจารณาคดี (มัทธิว 26:58) แสงจากกองไฟทำให้สาวใช้ที่เฝ้าประตูเห็นหน้าเปโตรชัดขึ้น เธอจึงถามว่า “คุณเป็นสาวกของคนนั้นด้วยไม่ใช่หรือ?” (ยอห์น 18:17) มีคนอื่นด้วยที่จำได้ว่าเคยเห็นเปโตรอยู่กับพระเยซู—มัทธิว 26:69, 71-73; มาระโก 14:70
เปโตรเครียดมาก เขาปฏิเสธว่าไม่เคยอยู่กับพระเยซูโดยพูดว่า “ผมไม่รู้จักเขา พูดอะไร ผมไม่เข้าใจ” แล้วเขาก็ออกไปอยู่ตรงโถงทางเข้า เพราะไม่อยากตกเป็นเป้าสายตา (มาระโก 14:67, 68) เปโตรถึงขั้น “บอกว่าถ้าเขาโกหกขอให้พระเจ้าลงโทษ และพูดด้วยว่า ‘สาบานได้ ผมไม่รู้จักคนนั้นจริง ๆ’”—มัทธิว 26:74
ตอนนั้น พระเยซูยังถูกพิจารณาคดีในบ้านของเคยาฟาสตรงส่วนที่อยู่เหนือลานบ้าน เปโตรและคนที่อยู่ข้างล่างก็คงเห็นได้ว่ามีการเรียกพยานคนแล้วคนเล่ามาให้ปากคำ
สำเนียงกาลิลีของเปโตรทำให้คนอื่นจับได้ว่าเขาโกหก นอกจากนั้น ญาติคนหนึ่งของมัลคัสซึ่งเป็นทาสที่เปโตรฟันหูขาดก็พูดว่า “ผมเห็นคุณอยู่กับคนนั้นในสวนด้วยนี่” พอเปโตรปฏิเสธเป็นครั้งที่สาม เขาก็ได้ยินเสียงไก่ขันเหมือนที่พระเยซูบอกไว้—ยอห์น 13:38; 18:26, 27
ตอนนั้น พระเยซูคงยืนอยู่บนระเบียงที่มองเห็นเปโตรได้ สายตาของท่านที่มองมา แทงทะลุไปถึงกลางใจของเปโตร ก่อนหน้านี้ไม่กี่ชั่วโมงพระเยซูเพิ่งบอกเขาว่าเรื่องแบบนี้จะเกิดขึ้น เมื่อเปโตรรู้ตัวว่าทำอะไรลงไป ความรู้สึกผิดคงท่วมท้นจนทนไม่ไหว! เขาออกไปร้องไห้เสียใจอย่างหนัก—ลูกา 22:61, 62
เรื่องนี้เกิดขึ้นได้อย่างไร? เปโตรซึ่งเป็นอัครสาวกที่ภักดีและมีความเชื่อเข้มแข็งปฏิเสธพระเยซูได้อย่างไร? เปโตรรู้อยู่แก่ใจว่าความจริงถูกบิดเบือน พระเยซูถูกจัดฉากให้เป็นอาชญากรที่เลวทราม และเปโตรก็มีโอกาสแก้ต่างให้คนบริสุทธิ์ แต่เขากลับหันหลังให้พระเยซูซึ่ง “มีคำสอนที่ให้ชีวิตตลอดไป”—ยอห์น 6:68
ประสบการณ์อันน่าขมขื่นของเปโตรแสดงว่า แม้แต่คนที่มีความเชื่อเข้มแข็งและมุ่งมั่นก็มีโอกาสพลาด ถ้าเขาไม่ได้เตรียมตัวรับมือกับการล่อใจหรือการทดสอบที่อาจเกิดขึ้น ขอให้ผู้รับใช้ของพระเจ้าทุกคนจำเรื่องของเปโตรไว้เป็นข้อเตือนใจ!
-