-
ถูกพิจารณาคดีแล้วถูกส่งตัวไปหาปีลาตพระเยซู—ทางนั้น ความจริง ชีวิต
-
-
บท 127
ถูกพิจารณาคดีแล้วถูกส่งตัวไปหาปีลาต
มัทธิว 27:1-11 มาระโก 15:1 ลูกา 22:66-23:3 ยอห์น 18:28-35
การพิจารณาคดีในตอนเช้า
ยูดาสอิสคาริโอทพยายามผูกคอตาย
พระเยซูถูกส่งไปหาปีลาตเพื่อรับโทษประหาร
ตอนที่เปโตรปฏิเสธพระเยซูเป็นครั้งที่ 3 ก็เป็นช่วงเวลาใกล้เช้าแล้ว การพิจารณาคดีอย่างผิดกฎหมายในคืนนั้นจบลง และสมาชิกศาลแซนเฮดรินก็แยกย้ายกันไป ตอนเช้าตรู่วันศุกร์ พวกเขาเปิดศาลอีกครั้ง คงเพราะอยากสร้างภาพการพิจารณาคดีที่ถูกกฎหมาย พวกเขาเอาตัวพระเยซูมาอยู่ต่อหน้าศาล
ศาลสั่งพระเยซูอีกครั้งว่า “บอกมาซิว่าคุณเป็นพระคริสต์ใช่ไหม” พระเยซูจึงพูดว่า “ถึงผมบอกไป พวกคุณก็ไม่เชื่ออยู่ดี และถ้าผมถามพวกคุณบ้าง พวกคุณก็คงไม่ตอบเหมือนกัน” แต่พระเยซูพูดอย่างกล้าหาญว่าท่านเป็นคนที่ดาเนียล 7:13 บอกไว้ล่วงหน้า ท่านพูดว่า “จากนี้ไป ‘ลูกมนุษย์’ จะนั่งข้างขวาของพระเจ้าผู้มีฤทธิ์อำนาจ”—ลูกา 22:67-69; มัทธิว 26:63
พวกเขาถามอีกครั้งว่า “ถ้าอย่างนั้น คุณเป็นลูกของพระเจ้าใช่ไหม?” พระเยซูบอกว่า “ผมเป็นอย่างที่คุณพูด” นี่ดูเหมือนว่าเพียงพอแล้วสำหรับการประหารพระเยซูด้วยข้อหาหมิ่นประมาทพระเจ้า พวกเขาถามกันว่า “พวกเรายังจะต้องหาหลักฐานอะไรอีก” (ลูกา 22:70, 71; มาระโก 14:64) พวกเขาจึงจับพระเยซูมัดแล้วพาไปหาผู้ว่าราชการชาวโรมันที่ชื่อปอนทิอัสปีลาต
ยูดาสอิสคาริโอทคงเห็นว่าพระเยซูถูกส่งตัวไปหาปีลาต เมื่อยูดาสรู้ว่าพระเยซูจะต้องตาย เขาก็เสียใจและรู้สึกผิด แต่แทนที่จะกลับใจจริง ๆ และหันมาหาพระเจ้า เขากลับไปหาพวกปุโรหิตใหญ่ เอาเหรียญเงิน 30 เหรียญไปคืนและบอกว่า “ผมทำผิดไปแล้วที่มอบคนไม่มีความผิดให้พวกคุณ” พวกปุโรหิตใหญ่ตอบอย่างเย็นชาว่า “นั่นมันเรื่องของคุณ ไม่เกี่ยวกับพวกเรา”—มัทธิว 27:4
ยูดาสโยนเหรียญเงิน 30 เหรียญทิ้งไว้ในวิหารและทำผิดซ้ำอีกโดยพยายามฆ่าตัวตาย ยูดาสจะผูกคอตาย แต่กิ่งไม้ที่เขาผูกเชือกไว้หัก เขาจึงตกลงมาร่างแหลกคาที่—กิจการ 1:17, 18
พระเยซูถูกพาไปหาปอนทิอัสปีลาตตั้งแต่เช้าตรู่ แต่คนยิวที่พาท่านมาไม่ยอมเข้าไปข้างใน เพราะคิดว่าการติดต่อเกี่ยวข้องกับคนต่างชาติจะทำให้ไม่สะอาด และพวกเขาจะไม่สามารถกินอาหารมื้อพิเศษในวันที่ 15 เดือนนิสาน วันแรกของเทศกาลขนมปังไม่ใส่เชื้อซึ่งถือเป็นส่วนหนึ่งของช่วงปัสกา
ปีลาตออกมาและถามคนยิวว่า “พวกคุณฟ้องผู้ชายคนนี้ด้วยข้อหาอะไร?” พวกเขาตอบว่า “ถ้าคนนี้ไม่ได้ทำอะไรผิด พวกเราคงไม่ส่งตัวมาให้ท่านหรอก” ปีลาตอาจรู้สึกว่าถูกกดดัน เขาจึงพูดว่า “เอาตัวเขาไปพิพากษากันเองตามกฎหมายของพวกคุณเถอะ” แล้วพวกยิวก็แสดงว่าพวกเขาอยากให้พระเยซูตาย โดยพูดว่า “พวกเราไม่มีอำนาจจะประหารใคร”—ยอห์น 18:29-31
ที่จริง ถ้าพวกเขาฆ่าพระเยซูระหว่างเทศกาลปัสกาก็คงทำให้ประชาชนลุกขึ้นมาต่อต้าน แต่ถ้าพวกเขาสามารถทำให้ผู้มีอำนาจที่เป็นคนโรมันสั่งประหารพระเยซูด้วยข้อหาต่อต้านรัฐบาลโรมัน ประชาชนก็คงจะว่าอะไรพวกเขาไม่ได้
พวกผู้นำศาสนาไม่ได้บอกปีลาตว่าพระเยซูสมควรตายด้วยข้อหาหมิ่นประมาทพระเจ้า แต่กุข้อหาอื่นขึ้นมา พวกเขาบอกว่า “พวกเราจับได้ว่าคนนี้ [1] บ่อนทำลายชาติ [2] ยุยงประชาชนไม่ให้เสียภาษีให้ซีซาร์ และ [3] บอกว่าตัวเขาเป็นพระคริสต์ กษัตริย์องค์หนึ่ง”—ลูกา 23:2
ในฐานะตัวแทนจากกรุงโรม ปีลาตน่าจะเป็นห่วงเรื่องที่พระเยซูอ้างตัวเป็นกษัตริย์ เขาจึงกลับเข้าไปในบ้านแล้วถามพระเยซูว่า “คุณเป็นกษัตริย์ของชาวยิวหรือ?” พูดอีกอย่างก็คือ ‘คุณได้ทำผิดกฎหมายของจักรวรรดิโรมันและต่อต้านซีซาร์ โดยประกาศว่าตัวเองเป็นกษัตริย์อย่างนั้นหรือ?’ พระเยซูคงอยากรู้ว่าปีลาตรู้อะไรเกี่ยวกับท่านบ้าง จึงพูดว่า “ที่ถามอย่างนี้ คุณคิดเองหรือว่ามีคนบอกคุณ?”—ยอห์น 18:33, 34
ปีลาตไม่ค่อยรู้เรื่องเกี่ยวกับพระเยซู และเขาอยากจะรู้มากขึ้น เขาเลยพูดกับท่านว่า “ผมไม่ใช่คนยิวซะหน่อย คนชาติเดียวกับคุณและพวกปุโรหิตใหญ่ส่งตัวคุณมาให้ผม คุณไปทำอะไรมา?”—ยอห์น 18:35
พระเยซูไม่ได้พยายามเบี่ยงเบนประเด็นสำคัญเรื่องที่ว่าท่านเป็นกษัตริย์หรือไม่ แต่คำตอบของท่านทำให้ปีลาตประหลาดใจมาก
-
-
ทั้งปีลาตและเฮโรดเห็นว่าพระเยซูไม่มีความผิดพระเยซู—ทางนั้น ความจริง ชีวิต
-
-
บท 128
ทั้งปีลาตและเฮโรดเห็นว่าพระเยซูไม่มีความผิด
มัทธิว 27:12-14, 18, 19 มาระโก 15:2-5 ลูกา 23:4-16 ยอห์น 18:36-38
ปีลาตและเฮโรดสอบสวนพระเยซู
พระเยซูไม่ได้พยายามปิดบังปีลาตว่าท่านเป็นกษัตริย์ และยังบอกด้วยว่ารัฐบาลของท่านไม่ได้เป็นภัยคุกคามต่อรัฐบาลโรมัน พระเยซูพูดว่า “รัฐบาลของผมไม่ได้เป็นส่วนหนึ่งของโลกนี้ ถ้ารัฐบาลของผมเป็นส่วนหนึ่งของโลกนี้ คนของผมก็คงต่อสู้ไม่ให้พวกยิวจับผมได้ แต่จริง ๆ แล้ว รัฐบาลของผมไม่ได้รับอำนาจจากโลกนี้” (ยอห์น 18:36) พระเยซูจะปกครองในรัฐบาลหนึ่งซึ่งไม่ได้เป็นส่วนหนึ่งของโลกนี้
แต่ปีลาตถามท่านอีกว่า “ถ้าอย่างนั้น คุณเป็นกษัตริย์หรือเปล่า?” พระเยซูยืนยันว่าปีลาตเข้าใจถูกแล้ว โดยพูดว่า “ผมเป็นกษัตริย์อย่างที่คุณว่า และเหตุผลที่ผมเกิดมาและเข้ามาในโลกก็เพื่อเป็นพยานยืนยันความจริง ทุกคนที่รักความจริงจะฟังผม”—ยอห์น 18:37
พระเยซูเคยบอกโธมัสว่า “ผมเป็นทางนั้น เป็นความจริง และเป็นชีวิต” ตอนนี้ท่านบอกปีลาตว่าพระเจ้าส่งท่านมาบนโลกเพื่อเป็นพยานยืนยัน “ความจริง” โดยเฉพาะอย่างยิ่งความจริงเรื่องรัฐบาลของพระเจ้า พระเยซูตั้งใจจะทำหน้าที่ให้ดีที่สุด แม้จะต้องตายก็ตาม ปีลาตถามพระเยซูว่า “แล้วความจริงคืออะไรล่ะ?” แต่เขาไม่ได้รอคำตอบ เพราะเขาคิดว่าได้ข้อมูลมากพอแล้วสำหรับการตัดสินพระเยซู—ยอห์น 14:6; 18:38
ปีลาตกลับออกไปหาฝูงชนที่รออยู่ ดูเหมือนว่าพระเยซูก็ยืนอยู่ข้าง ๆ เขา ตอนที่ปีลาตบอกพวกปุโรหิตใหญ่และคนที่มากับพวกเขาว่า “ผมไม่เห็นว่าคนนี้มีความผิดอะไร” ฝูงชนโมโหมากและพูดว่า “เขาสอนและปลุกปั่นประชาชนไปทั่วแคว้นยูเดีย ตั้งแต่แคว้นกาลิลีมาจนถึงที่นี่”—ลูกา 23:4, 5
ปีลาตแปลกใจที่เห็นพวกยิวบ้าคลั่งขึ้นมาอย่างไม่มีเหตุผล ระหว่างที่พวกปุโรหิตใหญ่กับพวกผู้นำชุมชนพากันตะโกน ปีลาตก็ถามพระเยซูว่า “คุณไม่ได้ยินหรือที่พวกเขากล่าวหาคุณตั้งหลายเรื่อง?” (มัทธิว 27:13) พระเยซูไม่พูดอะไร ปีลาตไม่อยากเชื่อว่าพระเยซูยังคงสงบเยือกเย็นได้ ทั้ง ๆ ที่มีการต่อต้านรุนแรงขนาดนี้
ปีลาตไม่อยากตัดสินเรื่องพระเยซู พอได้ยินพวกยิวบอกว่าพระเยซูสอน “ตั้งแต่แคว้นกาลิลี” ปีลาตจึงไปสืบจนรู้ว่าท่านเป็นชาวกาลิลีจริง ๆ นี่ทำให้เขาคิดออกว่าจะปัดความรับผิดชอบได้อย่างไร ตอนนั้นเฮโรดอันทีพาส (ลูกชายของเฮโรดมหาราช) ซึ่งเป็นผู้ปกครองแคว้นกาลิลีมาฉลองเทศกาลปัสกาที่กรุงเยรูซาเล็มพอดี ปีลาตจึงส่งพระเยซูไปหาเขา เฮโรดคนนี้แหละที่สั่งตัดหัวยอห์นผู้ให้บัพติศมา และเมื่อได้ยินว่าพระเยซูทำการอัศจรรย์ เฮโรดก็กังวลเพราะคิดว่าพระเยซูคือยอห์นผู้ให้บัพติศมาที่ฟื้นขึ้นจากตาย—ลูกา 9:7-9
เฮโรดดีใจเมื่อรู้ว่าจะได้เจอพระเยซู ไม่ใช่เพราะอยากช่วยท่าน เขาไม่สนใจด้วยซ้ำว่าข้อกล่าวหามีเหตุผลเพียงพอหรือไม่ เฮโรดแค่อยากรู้อยากเห็น เขา “อยากให้ท่านทำการอัศจรรย์ให้ดูบ้าง” (ลูกา 23:8) แต่พระเยซูไม่ได้สนองความอยากรู้อยากเห็นของเขา เมื่อเฮโรดถามพระเยซู ท่านไม่พูดอะไรสักคำ เฮโรดกับทหารของเขารู้สึกโมโหและพากัน “ดูถูก” พระเยซู (ลูกา 23:11) พวกเขาเอาเสื้อผ้าอย่างดีมาให้ท่านใส่และเยาะเย้ยท่าน แล้วเฮโรดก็ส่งตัวพระเยซูกลับไปหาปีลาต ตอนนี้ เฮโรดกับปีลาตร่วมมือกัน ทั้ง ๆ ที่เคยเป็นศัตรูกันมาก่อน
เมื่อพระเยซูถูกส่งตัวกลับมา ปีลาตก็เรียกพวกปุโรหิตใหญ่ พวกผู้นำชาวยิว และประชาชนมารวมกันอีก เขาพูดว่า “ผมสอบสวนเขาต่อหน้าพวกคุณแล้ว ก็ไม่เห็นมีหลักฐานอะไรที่แสดงว่าเขามีความผิดตามที่พวกคุณกล่าวหา เฮโรดเองก็คิดอย่างนั้นด้วยเลยส่งตัวเขากลับมาให้ผม ที่จริง คนนี้ไม่ได้ทำอะไรที่ควรได้รับโทษถึงตาย ผมจะลงโทษเขาแล้วปล่อยตัวไป”—ลูกา 23:14-16
ปีลาตอยากปล่อยพระเยซูมาก เขารู้ว่าพวกปุโรหิตใหญ่จับพระเยซูมาเพราะอิจฉาท่าน ตอนที่ปีลาตนั่งอยู่บนบัลลังก์พิพากษาและหาทางปล่อยพระเยซู ภรรยาก็ใช้ให้คนมาย้ำกับเขาว่า “ผู้ชายคนนี้เป็นผู้บริสุทธิ์ ฉันฝันเรื่องเขา มันน่ากลัวมาก อย่าไปทำอะไรเขาเลย”—มัทธิว 27:19
ปีลาตควรปล่อยผู้บริสุทธิ์คนนี้ แต่เขาจะทำได้อย่างไร?
-
-
ปีลาตพูดกับพวกยิวว่า “ดูผู้ชายคนนี้สิ”พระเยซู—ทางนั้น ความจริง ชีวิต
-
-
บท 129
ปีลาตพูดกับพวกยิวว่า “ดูผู้ชายคนนี้สิ”
มัทธิว 27:15-17, 20-30 มาระโก 15:6-19 ลูกา 23:18-25 ยอห์น 18:39-19:5
ปีลาตหาทางปล่อยตัวพระเยซู
คนยิวขอให้ปล่อยบารับบัส
พระเยซูถูกเยาะเย้ยและถูกทำร้าย
ฝูงชนอยากให้พระเยซูถูกประหาร แต่ปีลาตบอกพวกเขาว่า “ผม . . . ไม่เห็นมีหลักฐานอะไรที่แสดงว่าเขามีความผิดตามที่พวกคุณกล่าวหา เฮโรดเองก็คิดอย่างนั้นด้วย” (ลูกา 23:14, 15) แล้วปีลาตก็ใช้อีกวิธีหนึ่งเพื่อหาทางปล่อยตัวพระเยซู เขาบอกประชาชนว่า “พวกคุณมีธรรมเนียมให้ผมปล่อยนักโทษคนหนึ่งให้คุณในช่วงเทศกาลปัสกา อยากให้ปล่อยตัวกษัตริย์ของชาวยิวไหม?”—ยอห์น 18:39
ปีลาตรู้ว่ามีนักโทษอีกคนหนึ่งชื่อบารับบัส เขาเป็นโจร เป็นกบฏต่อต้านรัฐบาล และเป็นฆาตกร ปีลาตจึงถามว่า “อยากให้ผมปล่อยคนไหน บารับบัสหรือเยซูที่เรียกกันว่าพระคริสต์?” ประชาชนที่ถูกพวกปุโรหิตใหญ่ปลุกระดมพากันบอกปีลาตให้ปล่อยบารับบัส ไม่ใช่พระเยซู ปีลาตถามอีกครั้งว่า “สองคนนี้ พวกคุณอยากให้ผมปล่อยคนไหน?” ฝูงชนก็ตะโกนว่า “บารับบัส”!—มัทธิว 27:17, 21
ปีลาตถามด้วยความเศร้าใจว่า “ถ้าอย่างนั้น จะให้ทำอะไรกับเยซูที่เรียกกันว่าพระคริสต์?” ประชาชนก็ตะโกนเสียงดังว่า “ตรึงเขาบนเสา!” (มัทธิว 27:22) พวกเขาพูดอย่างไม่ละอายให้ประหารคนที่ไม่มีความผิด ปีลาตพูดด้วยความผิดหวังว่า “ทำไมล่ะ? เขาทำผิดอะไร? ผมไม่เห็นว่าเขาทำอะไรที่สมควรตาย ผมจะลงโทษเขาแล้วปล่อยตัวไป”—ลูกา 23:22
ทั้ง ๆ ที่ปีลาตพยายามทำหลายอย่าง แต่ฝูงชนที่โกรธแค้นก็ตะโกนเป็นเสียงเดียวกันว่า “ตรึงเขาบนเสา!” (มัทธิว 27:23) พวกผู้นำศาสนาทำให้ฝูงชนกลายเป็นคนรุนแรงและกระหายเลือด! แถมยังไม่ใช่เลือดของคนชั่วหรือฆาตกร แต่เป็นเลือดของผู้บริสุทธิ์ที่เมื่อ 5 วันก่อนเพิ่งได้รับการต้อนรับอย่างดีฐานะกษัตริย์ ถ้าสาวกของพระเยซูอยู่ที่นั่น พวกเขาก็คงยืนอยู่เงียบ ๆ และพยายามไม่ให้ตกเป็นเป้าสายตา
เมื่อเห็นว่าวิธีต่าง ๆ ไม่ได้ผล และฝูงชนยิ่งบ้าคลั่งขึ้นเรื่อย ๆ ปีลาตจึงเอาน้ำมาล้างมือต่อหน้าพวกเขา แล้วพูดว่า “ผมไม่เกี่ยวข้องกับการตายของคนนี้แล้ว พวกคุณต้องรับผิดชอบกันเอง” ถึงจะได้ยินอย่างนั้นประชาชนก็ไม่เปลี่ยนใจและยังพูดว่า “พวกเรากับลูก ๆ จะรับผิดชอบการตายของเขาเอง”—มัทธิว 27:24, 25
ผู้ว่าราชการคนนี้อยากเอาใจประชาชนมากกว่าจะทำสิ่งที่ถูกต้อง ดังนั้น ปีลาตทำตามคำสั่งของพวกเขา เขาปล่อยบารับบัสแล้วสั่งให้จับพระเยซูไปถอดเสื้อผ้าแล้วเฆี่ยนตี
หลังจากพระเยซูถูกเฆี่ยนอย่างทารุณ ทหารก็พาท่านเข้าไปในบ้านของผู้ว่าราชการและพากันเยาะเย้ยท่าน พวกเขาสานมงกุฎหนามแล้วกดลงไปบนหัวของพระเยซู เอาไม้อ้อใส่ในมือขวาของท่าน เอาเสื้อคลุมสีแดงเข้มแบบที่คนในราชวงศ์ใช้กันมาใส่ให้ พวกเขาล้อเลียนท่านว่า “ขอคำนับกษัตริย์ของชาวยิว” (มัทธิว 27:28, 29) แล้วพวกเขาก็ถุยน้ำลายใส่พระเยซู ตบหน้าท่านและเอาไม้อ้อตีหัว ทำให้ “มงกุฎ” หนามทิ่มลึกลงไปในหนังศีรษะของท่าน
ถึงจะเจอเหตุการณ์ที่เลวร้ายมาก พระเยซูก็ยังมีศักดิ์ศรีและยังเข้มแข็ง ปีลาตจึงหาทางปล่อยท่านอีกครั้งโดยพูดว่า “ดูนี่ ผมพาเขาออกมาให้ดู พวกคุณจะได้รู้ว่าผมไม่เห็นว่าเขามีความผิดอะไร” ปีลาตคงคิดว่าเมื่อฝูงชนได้เห็นสภาพของพระเยซูที่สะบักสะบอม เขียวช้ำและเลือดออก พวกเขาก็จะเลิกรา พอพระเยซูมายืนอยู่ต่อหน้าฝูงชนที่เลือดเย็น ปีลาตก็พูดว่า “ดูผู้ชายคนนี้สิ”—ยอห์น 19:4, 5
พระเยซูถูกตี ถูกทำร้าย แต่ท่านก็แสดงว่าท่านมีศักดิ์ศรีและมีความสงบเยือกเย็น แม้แต่ปีลาตเองก็คงสังเกตเห็นได้ เพราะคำพูดของเขาสื่อว่าเขาทั้งนับถือและสงสารพระเยซู
-
-
พระเยซูถูกส่งตัวไปประหารพระเยซู—ทางนั้น ความจริง ชีวิต
-
-
บท 130
พระเยซูถูกส่งตัวไปประหาร
มัทธิว 27:31, 32 มาระโก 15:20, 21 ลูกา 23:24-31 ยอห์น 19:6-17
ปีลาตหาทางปล่อยตัวพระเยซู
พระเยซูถูกตัดสินลงโทษและถูกส่งตัวไปประหาร
ทั้ง ๆ ที่พระเยซูถูกเยาะเย้ยและถูกทำร้ายอย่างทารุณ ความพยายามของปีลาตที่จะปล่อยตัวพระเยซูก็ไม่ได้ทำให้พวกปุโรหิตกับพรรคพวกของเขาเปลี่ยนใจเลยแม้แต่น้อย พวกเขาอยากให้พระเยซูตายสถานเดียว พวกเขาตะโกนไม่หยุดว่า “ตรึงเขาบนเสา! ตรึงเขาบนเสา!” ปีลาตตอบว่า “พวกคุณเอาเขาไปตรึงเองสิ ผมไม่เห็นว่าเขามีความผิดอะไร”—ยอห์น 19:6
คนยิวไม่สามารถทำให้ปีลาตเชื่อว่าพระเยซูสมควรตายด้วยข้อหาต่อต้านรัฐบาลโรมัน แต่เรื่องศาสนาล่ะ? พวกเขากลับมาพูดถึงข้อหาหมิ่นประมาทพระเจ้าที่ถูกยกขึ้นมาในการพิจารณาคดีต่อหน้าศาลแซนเฮดริน พวกเขาพูดว่า “พวกเรามีกฎหมาย และตามกฎหมายนั้นเขาสมควรตาย เพราะเขาตั้งตัวเป็นลูกของพระเจ้า” (ยอห์น 19:7) นี่เป็นข้อหาใหม่ที่ปีลาตไม่เคยได้ยินมาก่อน
ปีลาตกลับเข้าไปในบ้านและพยายามหาทางปล่อยตัวผู้ชายคนนี้ที่ต้องทนทุกข์ทรมาน และเป็นคนที่ภรรยาของเขาบอกให้ปล่อยไป (มัทธิว 27:19) ปีลาตคงนึกในใจว่า ‘พวกยิวตั้งข้อกล่าวหาอะไร? นักโทษคนนี้เป็น “ลูกของพระเจ้า” เหรอ?’ ปีลาตรู้ว่าพระเยซูมาจากกาลิลี (ลูกา 23:5-7) แต่เขาก็ยังถามท่านว่า “คุณมาจากไหนกันแน่?” (ยอห์น 19:9) ปีลาตอาจคิดว่าพระเยซูเคยมีชีวิตอยู่มาก่อน หรือไม่ก็มาจากสวรรค์
พระเยซูเองเคยบอกปีลาตว่าท่านเป็นกษัตริย์ แต่รัฐบาลของท่านไม่ได้เป็นส่วนของโลกนี้ ดังนั้น พระเยซูคิดว่าท่านไม่จำเป็นต้องอธิบายอะไรอีก ปีลาตเจ็บใจที่พระเยซูเอาแต่นิ่งเงียบ เขาจึงพูดด้วยความโมโหว่า “ไม่ยอมพูดกับผมหรือ? ไม่รู้หรือว่าผมมีอำนาจจะปล่อยคุณหรือจะประหารคุณก็ได้?”—ยอห์น 19:10
พระเยซูตอบแค่ว่า “คุณจะมีอำนาจเหนือผมไม่ได้หรอกถ้าไม่ได้รับอำนาจจากพระเจ้า เพราะอย่างนี้แหละ คนที่มอบผมไว้ในมือคุณก็มีความผิดมากกว่าคุณ” (ยอห์น 19:11) พระเยซูคงไม่ได้หมายถึงคน ๆ เดียว แต่ท่านหมายความว่า เคยาฟาสกับคนที่สมรู้ร่วมคิดและยูดาสอิสคาริโอทต้องรับผิดชอบหนักกว่าปีลาต
ปีลาตประทับใจในคำพูดและการกระทำของพระเยซู ตอนนี้เขาเริ่มกลัวว่าท่านอาจเป็นคนที่พระเจ้าส่งมาจริง ๆ ปีลาตจึงหาทางปล่อยตัวพระเยซูอีก แต่พวกยิวก็พูดถึงอีกอย่างที่ทำให้ปีลาตกลัวขึ้นมาเหมือนกัน พวกเขาขู่ว่า “ถ้าท่านปล่อยเขา ท่านก็เป็นศัตรูกับซีซาร์ ทุกคนที่ตั้งตัวเป็นกษัตริย์ก็ต่อต้านซีซาร์”—ยอห์น 19:12
ผู้ว่าราชการคนนี้ให้พระเยซูออกมาข้างนอกอีกครั้ง และเมื่อเขานั่งบนบัลลังก์พิพากษา เขาก็พูดกับประชาชนว่า “ดูสิ กษัตริย์ของพวกคุณ” แต่พวกยิวก็ยังไม่เปลี่ยนใจ พวกเขาตะโกนอีกว่า “ฆ่าเขาซะ ฆ่าเขาซะ ตรึงเขาบนเสา!” ปีลาตถามว่า “จะให้ผมประหารกษัตริย์ของพวกคุณหรือ?” จริง ๆ แล้วคนยิวรู้สึกเจ็บแค้นที่ต้องอยู่ใต้อำนาจพวกโรมันมานาน แต่พวกปุโรหิตใหญ่กลับพูดหน้าตาเฉยว่า “พวกเราไม่มีกษัตริย์อื่นนอกจากซีซาร์”—ยอห์น 19:14, 15
ด้วยความขี้ขลาด ปีลาตยอมแพ้พวกยิวที่เรียกร้องไม่หยุดและส่งตัวพระเยซูไปประหาร ทหารถอดเสื้อคลุมสีแดงเข้มออกจากตัวพระเยซูและใส่เสื้อชั้นนอกให้ท่าน เมื่อพระเยซูเดินออกไป ท่านต้องแบกเสาทรมานของตัวเองไปด้วย
ตอนนี้เป็นเวลาใกล้เที่ยงของวันศุกร์ที่ 14 เดือนนิสาน พระเยซูยังไม่ได้นอนเลยตั้งแต่เช้าวันพฤหัส แถมยังต้องทนทุกข์กับความเจ็บปวดแสนสาหัสซ้ำแล้วซ้ำอีก ท่านพยายามแบกเสาทรมานที่หนักอึ้ง แต่ในที่สุดก็หมดแรง ซีโมนชาวไซรีนจากแอฟริกาเดินผ่านมาแถวนั้น พวกทหารจึงบังคับให้เขามาแบกเสาทรมานของพระเยซูไปจนถึงลานประหาร หลายคนตามไปดู บางคนตีอกชกหัวด้วยความโศกเศร้ากับสิ่งที่เกิดขึ้น
พระเยซูพูดกับพวกผู้หญิงที่โศกเศร้าว่า “ผู้หญิงชาวเยรูซาเล็ม อย่าร้องไห้สงสารผมเลย ร้องไห้สงสารตัวเองกับลูก ๆ ดีกว่า วันนั้นจะมาถึงเมื่อผู้คนพูดกันว่า ‘ผู้หญิงที่เป็นหมัน ผู้หญิงที่ไม่ได้คลอดลูก และผู้หญิงที่ไม่มีลูกอ่อนก็มีความสุข’ ตอนนั้นพวกเขาจะพูดกับภูเขาว่า ‘ถล่มลงมาและช่วยปิดพวกเราไว้เถอะ’ และพูดกับเนินเขาว่า ‘บังพวกเราไว้’ ถ้าพวกเขาทำอย่างนี้ตอนที่ต้นไม้ยังเขียวสด จะเกิดอะไรขึ้นตอนที่ต้นไม้เหี่ยวแห้ง?”—ลูกา 23:28-31
พระเยซูกำลังบอกว่าชาติยิวเป็นเหมือนต้นไม้ที่ยังเขียวสด เพราะพระเยซูยังมีชีวิตอยู่และมีคนยิวจำนวนหนึ่งที่เชื่อในท่าน แต่เมื่อพระเยซูกับคนเหล่านั้นตายไป ชาตินี้ก็จะเป็นเหมือนต้นไม้เหี่ยวแห้ง พวกเขาจะไม่มีสายสัมพันธ์อะไรกับพระเจ้าเลย แล้วในที่สุด จะมีเสียงร้องไห้คร่ำครวญอย่างหนักเมื่อพระเจ้าใช้กองทัพโรมันทำลายชาตินี้!
-
-
กษัตริย์ผู้ไม่มีความผิดต้องทนทุกข์บนเสาทรมานพระเยซู—ทางนั้น ความจริง ชีวิต
-
-
บท 131
กษัตริย์ผู้ไม่มีความผิดต้องทนทุกข์บนเสาทรมาน
มัทธิว 27:33-44 มาระโก 15:22-32 ลูกา 23:32-43 ยอห์น 19:17-24
พระเยซูถูกตรึงบนเสาทรมาน
คนที่อ่านป้ายพากันเยาะเย้ยพระเยซู
พระเยซูพูดถึงความหวังเรื่องชีวิตตลอดไปบนโลกที่เป็นอุทยาน
พระเยซูถูกพามาที่ลานประหารไม่ไกลจากตัวเมือง ท่านจะถูกตรึงพร้อมกับโจรอีก 2 คน ที่นี่มีชื่อว่ากลโกธาซึ่งแปลว่ากะโหลก ผู้คนมองเห็นลานประหารนี้ได้แต่ไกล—มาระโก 15:40
พวกเขาถอดเสื้อผ้าของนักโทษประหารทั้ง 3 คน ดูเหมือนว่าพวกผู้หญิงในเยรูซาเล็มเตรียมเหล้าองุ่นผสมมดยอบกับน้ำดีไว้ด้วย พวกโรมันยอมให้นักโทษดื่มส่วนผสมนี้ที่ทำให้ง่วงซึมเพื่อบรรเทาความเจ็บปวด แต่พอพระเยซูชิม ท่านก็ไม่ดื่มเลย เพราะอะไร? เพราะท่านอยากจะมีสติและซื่อสัตย์จนถึงลมหายใจสุดท้าย
พระเยซูต้องนอนเหยียดตัวบนเสาทรมาน (มาระโก 15:25) ท่านเจ็บปวดมากตอนที่ทหารตอกตะปูทะลุเนื้อกับเส้นเอ็นที่มือและเท้า และเมื่อพวกเขายกเสาทรมานขึ้น ความเจ็บปวดก็ยิ่งเพิ่มขึ้นหลายเท่า เพราะน้ำหนักตัวของท่านทำให้แผลที่ถูกตอกตะปูฉีกขาด แต่พระเยซูไม่ได้ตำหนิทหารพวกนั้นเลย ท่านอธิษฐานว่า “พ่อครับ ยกโทษให้พวกเขาด้วย เพราะพวกเขาไม่รู้ว่ากำลังทำอะไรอยู่”—ลูกา 23:34
พวกโรมันมักจะเขียนป้ายไว้เหนือหัวนักโทษประหารเพื่อบอกว่าเขาทำอะไรผิด คราวนี้ปีลาตสั่งให้เขียนว่า “เยซูชาวนาซาเร็ธ กษัตริย์ของชาวยิว” ประชาชนเกือบทุกคนอ่านได้ เพราะป้ายนี้เขียนเป็นภาษาฮีบรู ละติน และกรีก ปีลาตทำอย่างนี้เพื่อแสดงว่าเขาเกลียดคนยิวที่ยืนยันจะให้พระเยซูตาย พวกปุโรหิตใหญ่ไม่พอใจและคัดค้านว่า “อย่าเขียนว่า ‘กษัตริย์ของชาวยิว’ แต่ให้เขียนว่า ‘คนนี้อ้างว่าเป็นกษัตริย์ของชาวยิว’” แต่ปีลาตไม่อยากโดนหลอกใช้อีกครั้ง จึงบอกพวกเขาว่า “ผมจะเขียนอย่างนี้แหละ”—ยอห์น 19:19-22
พวกปุโรหิตที่โกรธแค้นพูดถึงคำให้การเท็จของพยานในศาลแซนเฮดรินอีกครั้ง คนที่เดินผ่านไปมาจึงส่ายหัวและพูดกับพระเยซูอย่างไม่นับถือว่า “อ้าวไหนล่ะ คนที่จะทำลายวิหารแล้วสร้างขึ้นใหม่ภายใน 3 วัน ช่วยตัวเองลงมาจากเสาทรมานให้ได้ก่อนเถอะ” และพวกปุโรหิตใหญ่กับครูสอนศาสนาก็พูดกันว่า “ให้พระคริสต์ กษัตริย์ของอิสราเอลลงมาจากเสาทรมานให้เราเห็นเดี๋ยวนี้สิ พวกเราจะได้เชื่อเขา” (มาระโก 15:29-32) แม้แต่โจร 2 คนที่ถูกตรึงอยู่ข้าง ๆ ก็ยังตำหนิพระเยซู ทั้ง ๆ ที่มีท่านคนเดียวเท่านั้นเป็นผู้บริสุทธิ์
ทหารโรมัน 4 คนก็เยาะเย้ยพระเยซูด้วย พวกเขาคงนั่งดื่มเหล้าองุ่นเปรี้ยวกันอยู่ เลยยื่นเหล้านั้นให้พระเยซูทั้ง ๆ ที่ท่านไม่มีทางจะเอื้อมถึง พวกเขาล้อเลียนโดยอ้างถึงป้ายที่ติดอยู่บนเสาว่า “ถ้าแกเป็นกษัตริย์ของยิวจริง ๆ ก็ช่วยตัวเองให้รอดสิ” (ลูกา 23:36, 37) คิดดูสิ คนที่เป็นทางนั้น เป็นความจริง และเป็นชีวิต กำลังถูกทำร้ายและถูกหัวเราะเยาะอย่างไม่สมควร! แต่พระเยซูเต็มใจทนรับทุกอย่าง ท่านไม่ได้ด่าว่าใครเลย ไม่ว่าจะเป็นพวกยิวที่ยืนมอง ทหารโรมันที่ล้อเลียนท่าน หรือนักโทษ 2 คนที่ถูกตรึงอยู่ข้าง ๆ
ทหาร 4 คนเอาเสื้อชั้นนอกของพระเยซูมาแบ่งเป็น 4 ส่วน แล้วก็จับฉลากกัน แต่เสื้อชั้นในของพระเยซูเป็นเสื้ออย่างดี “ไม่มีตะเข็บ เป็นแบบที่ทอเป็นชิ้นเดียวตลอดทั้งตัว” พวกทหารจึงพูดกันว่า “อย่าฉีกเลย มาจับฉลากกันดีกว่าว่าใครจะได้” นี่เกิดขึ้นจริงตามข้อคัมภีร์ที่บอกไว้ว่า “พวกเขาเอาเสื้อผ้าของผมแบ่งกัน และเอาเสื้อผมมาจับฉลากกัน”—ยอห์น 19:23, 24; สดุดี 22:18
ไม่นาน นักโทษคนหนึ่งก็คิดได้ว่าพระเยซูคงเป็นกษัตริย์จริง ๆ เขาจึงด่าเพื่อนอีกคนว่า “แกไม่เกรงกลัวพระเจ้าหรือไง แกก็ถูกลงโทษเหมือนกันนะ พวกเรามันสมควรตายอยู่แล้ว เพราะเราทำผิดจริง แต่คนนี้ไม่ได้ทำอะไรผิดเลย” แล้วเขาก็ขอร้องพระเยซูว่า “ตอนที่ท่านได้เป็นกษัตริย์ อย่าลืมผมนะครับ”—ลูกา 23:40-42
พระเยซูตอบว่า “คุณจะได้อยู่กับผมในอุทยานแน่นอน” แต่ไม่ใช่ในสวรรค์ (ลูกา 23:43) คำสัญญานี้ไม่เหมือนสัญญาที่พระเยซูให้ไว้กับอัครสาวกที่จะได้นั่งบนบัลลังก์และปกครองร่วมกับท่านในรัฐบาลสวรรค์ (มัทธิว 19:28; ลูกา 22:29, 30) นักโทษคนยิวคนนี้คงเคยได้ยินเรื่องโลกที่เป็นอุทยานซึ่งพระยะโฮวาสร้างไว้ตั้งแต่แรกเพื่ออาดัมกับเอวาและลูกหลานของพวกเขา ถึงจะต้องตายแต่เขาก็มีความหวังที่ยอดเยี่ยม
-
-
“คนนี้เป็นลูกของพระเจ้าจริง ๆ ด้วย”พระเยซู—ทางนั้น ความจริง ชีวิต
-
-
บท 132
“คนนี้เป็นลูกของพระเจ้าจริง ๆ ด้วย”
มัทธิว 27:45-56 มาระโก 15:33-41 ลูกา 23:44-49 ยอห์น 19:25-30
พระเยซูตายบนเสาทรมาน
เหตุการณ์ประหลาดเกิดขึ้นตอนที่พระเยซูตาย
ตอนนี้เป็นเวลา “เที่ยงวัน” และท้องฟ้าก็มืด “ทั่วแผ่นดินจนถึงบ่าย 3 โมง” (มาระโก 15:33) ความมืดที่น่ากลัวนี้ไม่ได้เกิดจากสุริยุปราคา เพราะปรากฏการณ์แบบนั้นจะเกิดในช่วงคืนเดือนมืด แต่ตอนนี้เป็นช่วงปัสกาซึ่งดวงจันทร์เต็มดวง นอกจากนั้น สุริยุปราคาเกิดขึ้นแค่ไม่กี่นาที แต่ความมืดนี้กินเวลานานกว่ามาก ดังนั้น พระเจ้าเป็นผู้ที่ทำให้ท้องฟ้ามืดไป!
นึกดูสิว่าพวกคนที่เยาะเย้ยพระเยซูจะรู้สึกอย่างไรในช่วงที่มีแต่ความมืดทั่วท้องฟ้า ผู้หญิง 4 คนเดินเข้าไปใกล้เสาทรมาน คนกลุ่มนี้คือแม่ของพระเยซู สะโลเม มารีย์มักดาลา และมารีย์ซึ่งเป็นแม่ของอัครสาวกยากอบน้อย
อัครสาวกยอห์นยืนอยู่ข้าง ๆ แม่ของพระเยซูที่กำลังเศร้าเสียใจ พวกเขาอยู่ “ใกล้ ๆ เสาทรมาน” มารีย์มองดูลูกที่เธอคลอดและเลี้ยงมากับมือขณะที่เขาเจ็บปวดทรมานอยู่บนเสา เธอรู้สึกเหมือนถูกแทงด้วย “ดาบยาว” (ยอห์น 19:25; ลูกา 2:35) ทั้ง ๆ ที่เจ็บปวดแสนสาหัส พระเยซูก็ยังเป็นห่วงเธอ ท่านรวบรวมกำลังเพื่อพยักหน้าไปทางยอห์นและพูดกับแม่ว่า “แม่ครับ ตั้งแต่นี้ไปเขาเป็นลูกของแม่นะ” แล้วท่านก็พยักหน้าไปทางมารีย์และพูดกับยอห์นว่า “นี่คือแม่ของคุณ”—ยอห์น 19:26, 27
ยอห์นเป็นอัครสาวกที่พระเยซูรักมาก และท่านฝากให้เขาดูแลแม่ซึ่งตอนนี้เป็นม่าย พระเยซูรู้ว่าลูกชายคนอื่น ๆ ของมารีย์ซึ่งเป็นน้องชายต่างพ่อ ยังไม่เชื่อในตัวท่าน พระเยซูจึงเตรียมการเพื่อให้แม่ได้รับการดูแลทั้งด้านร่างกายและด้านความเชื่อ ท่านเป็นตัวอย่างที่ดีจริง ๆ!
หลังจากท้องฟ้ากลับมาสว่างเหมือนเดิม พระเยซูก็พูดว่า “หิวน้ำ” ซึ่งเป็นไปตามที่พระคัมภีร์บอกไว้ (ยอห์น 19:28; สดุดี 22:15) พระเยซูรู้สึกว่าพ่อไม่ได้ปกป้องท่านแล้ว เพื่อจะให้ความซื่อสัตย์ของท่านถูกทดสอบจนถึงขีดสุด แล้วพระคริสต์พูดประโยคหนึ่งซึ่งคงเป็นภาษาอาราเมอิกที่คนกาลิลีพูดกัน ท่านร้องว่า “เอลี เอลี ลามาสะบักธานี?” หมายความว่า “พระเจ้า พระเจ้าของผม ทำไมทิ้งผมไป?” บางคนแถวนั้นเข้าใจผิดและพูดว่า “ดูสิ เขากำลังเรียกเอลียาห์” คนหนึ่งรีบวิ่งไปเอาฟองน้ำชุบเหล้าองุ่นเปรี้ยวเสียบกับไม้อ้อ แล้วส่งให้พระเยซูดื่ม แต่คนอื่นพูดว่า “คอยดูสิว่าเอลียาห์จะมาช่วยเขาลงจากเสาไหม”—มาระโก 15:34-36
แล้วพระเยซูก็ร้องว่า “สำเร็จแล้ว” (ยอห์น 19:30) ท่านทำทุกอย่างตามที่พระยะโฮวาใช้ให้ท่านทำ ในที่สุด พระเยซูก็พูดว่า “พ่อครับ ผมขอฝากชีวิตไว้ในมือพ่อ” (ลูกา 23:46) พระเยซูฝากชีวิตของท่านไว้ในมือพระยะโฮวาและมั่นใจว่าพระองค์จะปลุกท่านให้ฟื้นจากตาย ท่านไว้วางใจพระองค์และไม่มีอะไรที่ต้องห่วงอีก จากนั้นพระเยซูก็คอพับและสิ้นใจ
ทันใดนั้นก็เกิดแผ่นดินไหวอย่างรุนแรงจนหินก้อนใหญ่ ๆ แตกออกจากกัน อุโมงค์ฝังศพเปิดออกและศพก็โผล่ขึ้นมา คนที่ผ่านไปมาซึ่งเห็นศพก็เข้าไปใน “เมืองบริสุทธิ์” และเล่าถึงสิ่งที่เกิดขึ้น—มัทธิว 12:11; 27:51-53
เมื่อพระเยซูตาย ผ้าม่านยาวและหนักที่กั้นระหว่าง “ห้องบริสุทธิ์” กับ “ห้องบริสุทธิ์ที่สุด” ในวิหารก็ขาดเป็นแนวยาวตั้งแต่บนลงล่าง เหตุการณ์ที่น่าตกตะลึงนี้แสดงให้เห็นว่าพระเจ้าโกรธคนที่ฆ่าลูกของพระองค์ และแสดงว่าทางไปสวรรค์หรือ “ห้องบริสุทธิ์ที่สุด” เปิดออกแล้ว—ฮีบรู 9:2, 3; 10:19, 20
ทุกคนกลัวมาก นายร้อยที่คุมการประหารพูดว่า “คนนี้เป็นลูกของพระเจ้าจริง ๆ ด้วย” (มาระโก 15:39) เขาคงอยู่ในศาลตอนที่พระเยซูถูกพิจารณาคดีต่อหน้าปีลาตเกี่ยวกับเรื่องที่ว่าพระเยซูเป็นลูกของพระเจ้าจริงหรือไม่ ตอนนี้เขาเชื่อแล้วว่าท่านไม่มีความผิดและเป็นลูกของพระเจ้าจริง ๆ
คนอื่นที่ได้เห็นเหตุการณ์ประหลาดเหล่านั้นก็กลับบ้านและ “ตีอกชกหัว” ด้วยความเสียใจและความละอายใจ (ลูกา 23:48) สาวกผู้หญิงหลายคนที่เคยติดตามพระเยซูซึ่งดูเหตุการณ์อยู่ห่าง ๆ ก็สะเทือนใจมากเหมือนกัน
-
-
การฝังศพพระเยซูพระเยซู—ทางนั้น ความจริง ชีวิต
-
-
บท 133
การฝังศพพระเยซู
มัทธิว 27:57-28:2 มาระโก 15:42-16:4 ลูกา 23:50-24:3 ยอห์น 19:31-20:1
เอาศพพระเยซูลงมาจากเสาทรมาน
เตรียมศพเพื่อไปฝัง
อุโมงค์ฝังศพที่ว่างเปล่า
ตอนนี้เป็นช่วงบ่ายแก่ ๆ ของวันศุกร์ที่ 14 เดือนนิสาน และวันที่ 15 เดือนนิสานซึ่งเป็นวันสะบาโตจะเริ่มขึ้นหลังดวงอาทิตย์ตก พระเยซูตายแล้ว แต่นักโทษ 2 คนที่อยู่ข้าง ๆ ท่านยังไม่ตาย กฎหมายของโมเสสบอกว่า “อย่าให้ศพค้างอยู่บนเสาตลอดคืน” แต่ต้องฝัง “ในวันนั้น” เลย—เฉลยธรรมบัญญัติ 21:22, 23
นอกจากนั้น วันศุกร์เป็นวันเตรียม หมายความว่าผู้คนจะเตรียมอาหารและทำงานอื่น ๆ ที่ไม่สามารถรอทำหลังวันสะบาโตได้ เมื่อดวงอาทิตย์ตก วันสะบาโต “พิเศษ” ก็จะเริ่มขึ้น (ยอห์น 19:31) ที่เป็นอย่างนี้ก็เพราะวันที่ 15 เดือนนิสานเป็นวันแรกของเทศกาลขนมปังไม่ใส่เชื้อซึ่งนาน 7 วัน และวันแรกจะเป็นวันสะบาโตเสมอ (เลวีนิติ 23:5, 6) คราวนี้วันแรกมาตรงกับวันสะบาโตประจำสัปดาห์หรือวันที่ 7 ของสัปดาห์พอดี
พวกยิวจึงขอปีลาตทำให้พระเยซูกับโจรอีก 2 คนตายเร็วขึ้นโดยการทุบกระดูกขาของพวกเขา เพราะนั่นจะทำให้พวกเขาใช้ขาช่วยพยุงตัวไม่ได้ แล้วก็จะหายใจไม่ออก ทหารจึงมาทุบกระดูกขาของนักโทษทั้ง 2 คน แต่เมื่อเห็นว่าพระเยซูตายแล้ว พวกเขาจึงไม่ได้ทุบกระดูกขาของท่าน เรื่องนี้เกิดขึ้นจริงตามคำพยากรณ์ในสดุดี 34:20 ที่บอกว่า “พระองค์ป้องกันกระดูกทุกชิ้นของเขา กระดูกของเขาไม่หักเลยแม้แต่ท่อนเดียว”
นายทหารคนหนึ่งอยากแน่ใจว่าพระเยซูตายแล้วจริง ๆ เขาจึงเอาหอกแทงสีข้างของท่าน หอกนั้นทะลุหัวใจ แล้ว “เลือดกับน้ำก็ไหลออกมาทันที” (ยอห์น 19:34) สิ่งนี้เกิดขึ้นตามที่คำพยากรณ์อีกข้อหนึ่งบอกไว้ว่า “พวกเขาจะมองดูคนที่พวกเขาแทง”—เศคาริยาห์ 12:10
โยเซฟซึ่งเป็น “เศรษฐี” จากเมืองอาริมาเธีย และเป็นสมาชิกของศาลแซนเฮดรินที่หลายคนนับถือ ก็อยู่ที่ลานประหารด้วย (มัทธิว 27:57) โยเซฟเป็น “คนดีและเชื่อฟังพระเจ้า” ซึ่ง “รอคอยรัฐบาลของพระเจ้าอยู่” ที่จริง เขาเป็น “สาวกคนหนึ่งของพระเยซูที่ไม่เปิดเผยตัวเพราะกลัวพวกยิว” เขาไม่เห็นด้วยที่ศาลแซนเฮดรินตัดสินลงโทษพระเยซู (ลูกา 23:50; มาระโก 15:43; ยอห์น 19:38) โยเซฟรวบรวมความกล้าและไปขอศพพระเยซู ปีลาตเรียกนายร้อยที่คุมการประหารมา พอเขายืนยันว่าท่านตายแล้ว ปีลาตจึงอนุญาตตามคำขอของโยเซฟ
โยเซฟซื้อผ้าลินินสะอาด ๆ และมีคุณภาพดีมาด้วย เมื่อเอาศพพระเยซูลงมาจากเสาทรมานแล้ว เขาก็ห่อศพท่านด้วยผ้าลินินนั้นเพื่อเตรียมไปฝัง นิโคเดมัส “ที่เคยไปหาพระเยซูตอนกลางคืน” ก็ช่วยเตรียมการเหมือนกัน (ยอห์น 19:39) เขาเอาผงมดยอบผสมกฤษณาราคาแพงหนักประมาณ 30 กิโลกรัมมาด้วย พวกเขาเอาผ้าพันศพพระเยซูพร้อมกับใส่เครื่องหอมพวกนี้ตามธรรมเนียมการฝังศพของชาวยิว
โยเซฟเป็นเจ้าของอุโมงค์ฝังศพที่หนึ่งซึ่งอยู่ไม่ไกล อุโมงค์นี้ถูกขุดเข้าไปในหินใหญ่และยังไม่เคยใช้ฝังศพใครมาก่อน พวกเขาวางศพพระเยซูไว้ข้างในแล้วกลิ้งหินมาปิดทางเข้า ขั้นตอนทั้งหมดนี้ทำอย่างรวดเร็วเพื่อให้เสร็จก่อนที่วันสะบาโตจะเริ่มต้น มารีย์มักดาลากับมารีย์แม่ของยากอบน้อยคงมีส่วนช่วยในการเตรียมศพของพระเยซูด้วย พวกเธอรีบกลับบ้านไป “เตรียมเครื่องหอมกับน้ำมันหอม” เพื่อจะชโลมศพของพระเยซูหลังจากวันสะบาโต—ลูกา 23:56
วันต่อมาเป็นวันสะบาโต พวกปุโรหิตใหญ่และพวกฟาริสีไปหาปีลาตและบอกเขาว่า “พวกเราจำได้ว่า คนหลอกลวงคนนั้นเคยบอกไว้ตอนที่เขายังมีชีวิตอยู่ว่า ‘ผมจะฟื้นขึ้นมาหลังจากตายไปแล้ว 3 วัน’ ดังนั้น ขอท่านช่วยสั่งให้คนไปเฝ้าที่ฝังศพของเขาจนถึงวันที่สาม เพื่อไม่ให้พวกสาวกของเขามาขโมยศพไปแล้วบอกประชาชนว่า ‘เขาถูกปลุกให้ฟื้นขึ้นจากตายแล้ว’ การหลอกลวงครั้งหลังนี้จะยิ่งเลวร้ายกว่าครั้งแรกอีก” ปีลาตตอบว่า “เอาทหารยามไปเฝ้าอุโมงค์ฝังศพให้แน่นหนาเท่าที่จะทำได้”—มัทธิว 27:63-65
เช้าตรู่วันอาทิตย์ มารีย์มักดาลากับมารีย์แม่ของยากอบและผู้หญิงคนอื่น ๆ เตรียมเครื่องหอมไปชโลมศพพระเยซู พวกเธอพูดกันว่า “แล้วใครจะกลิ้งหินออกจากปากอุโมงค์ให้เราล่ะ?” (มาระโก 16:3) แต่แล้วก็มีแผ่นดินไหว ทูตสวรรค์ของพระเจ้าได้กลิ้งหินออกไป ทหารก็ไม่อยู่ และอุโมงค์ฝังศพก็ว่างเปล่า!
-