การสื่อความในโลกรอบตัวเรา
“ถ้าไม่มีการสื่อความ แต่ละชีวิตจะเป็นเพียงเกาะที่อยู่โดดเดี่ยวจากเกาะอื่น ๆ ทั้งหมด.”—ภาษาสัตว์ (ภาษาอังกฤษ).
ในผืนป่า, ทุ่งสะวันนา, หรือแม้แต่ในสวนหลังบ้านคุณ สัตว์จำนวนไม่น้อยอาจกำลังง่วนอยู่กับการสื่อความกัน. หนังสือชื่อภาษาสัตว์ กล่าวว่า “สัตว์ใช้ประสาทสัมผัสทุกอย่าง เช่น แสดงท่าทางด้วยอวัยวะและส่วนต่าง ๆ ของร่างกาย; รับส่งสัญญาณกลิ่นที่อ่อนละมุน หรือไม่อ่อนละมุนในกรณีของตัวสกั๊งค์; ร้องเสียงแหลม, เสียงดังสนั่น, และร้องเพลง; รับและส่งสัญญาณไฟฟ้า; กะพริบแสง; เปลี่ยนสีผิวหนัง; ‘เต้นรำ;’ กระทั่งเคาะและกระทืบเท้าขณะที่เดินบนพื้นดิน.” แต่สัญญาณทั้งหมดนี้หมายถึงอะไร?
นักวิทยาศาสตร์ค้นพบความหมายของสัญญาณที่สัตว์ส่งออกไปโดยการเฝ้าสังเกตอย่างถี่ถ้วน. ตัวอย่างเช่น พวกเขาสังเกตว่า เมื่อไก่แจ้เห็นสัตว์ล่าเหยื่อบนพื้นดินเช่นตัววีเซิล ไก่แจ้จะทำเสียงแหลมดังกุ๊ก, กุ๊ก, กุ๊ก เพื่อเตือนไก่ตัวอื่น. แต่ถ้ามันเห็นเหยี่ยว ไก่แจ้จะกรีดเสียงร้องครั้งเดียวยาว ๆ. การร้องแต่ละแบบทำให้เกิดปฏิกิริยาตามแต่อันตรายที่มาใกล้ นี่บ่งชี้ว่าไก่สื่อความอย่างมีความหมาย. มีการสังเกตว่า นกชนิดอื่น ๆ ก็มีการส่งสัญญาณแบบต่าง ๆ เช่นกัน.
หนังสือเสียงเพลง, เสียงขู่, และพิธีการ (ภาษาอังกฤษ) กล่าวว่า “วิธีหลักอย่างหนึ่งที่จะศึกษาเรื่องการสื่อความของสัตว์คือ การบันทึกสัญญาณที่น่าสนใจแล้วเปิดสัญญาณนั้นและคอยสังเกตว่ามันมีปฏิกิริยาตอบสนองอย่างที่คาดไว้หรือไม่.” การทดสอบกับไก่แจ้ได้ผลอย่างเดียวกับที่สังเกตเห็นในธรรมชาติ. วิธีนี้ใช้ได้ผลแม้แต่กับแมงมุม. เพื่อจะตัดสินได้ว่าอะไรดึงดูดแมงมุมสุนัขป่าตัวเมียให้สนใจแมงมุมตัวผู้ที่มาเกี้ยวพาราสี ซึ่งพยายามทำให้ตัวเมียประทับใจโดยการโบกขาคู่หน้าที่เต็มไปด้วยขนให้แมงมุมตัวเมียดู นักวิจัยทำการทดลองโดยบันทึกภาพแมงมุมสุนัขป่าตัวผู้ด้วยกล้องวิดีโอแล้วใช้คอมพิวเตอร์ลบขนที่ขาของมันออกหมด. เมื่อเขาเปิดวิดีโอให้แมงมุมตัวเมียดู มันก็เลิกสนใจทันที. นักวิจัยเรียนรู้อะไรจากเรื่องนี้? เห็นได้ชัดว่า แมงมุมสุนัขป่าตัวเมียสนใจเฉพาะแมงมุมตัวผู้ที่โบกขาซึ่งเต็มไปด้วยขน เท่านั้น!
ส่งสัญญาณด้วยกลิ่น
สัตว์หลายชนิดส่งสัญญาณถึงกันโดยหลั่งสารเคมีที่มีกลิ่นแรง เรียกว่าเฟโรโมน ซึ่งปกติจะออกมาจากต่อมพิเศษ หรือไม่ก็อยู่ในปัสสาวะหรืออุจจาระของมัน. เช่นเดียวกับที่รั้วและป้ายชื่อหรือหมายเลขบ่งชี้ว่าที่ดินผืนนั้นเป็นของใคร สารเฟโรโมนก็บ่งชี้หรือเป็นเครื่องหมายแสดงอาณาเขตของสัตว์ตัวนั้น ๆ รวมถึงสุนัขและแมวด้วย. แม้ว่ามองไม่เห็น แต่การทำเครื่องหมายแสดงอาณาเขตแบบที่ได้ผลที่สุดนี้ก็ทำให้สัตว์ชนิดเดียวกันสามารถรักษาระยะห่างจากกันได้อย่างเหมาะสม.
แต่เฟโรโมนไม่ได้มีไว้เพื่อใช้เป็นเครื่องหมายแสดงอาณาเขตเท่านั้น. สารนี้เป็นเหมือนป้ายประกาศทางเคมีซึ่งสัตว์ตัวอื่น “อ่าน” ด้วยความสนใจยิ่ง. หนังสือสัตว์สื่อความอย่างไร (ภาษาอังกฤษ) กล่าวว่า เครื่องหมายที่ทิ้งไว้ “อาจมีข้อมูลเพิ่มเติมเกี่ยวกับสัตว์เจ้าถิ่น เช่น อายุ, เพศ, พละกำลังและความสามารถอื่น ๆ, [รวมทั้ง] บอกด้วยว่าเวลานี้สัตว์ตัวนั้นอยู่ในช่วงไหนของวงจรแพร่พันธุ์ . . . กลิ่นที่สัตว์นั้นทิ้งไว้เป็นเสมือนหนังสือเดินทางซึ่งระบุว่ามันเป็นสัตว์อะไร.” เป็นที่เข้าใจว่า สัตว์บางตัวถือว่าการทำเครื่องหมายแสดงอาณาเขตเป็นเรื่องสำคัญมาก ซึ่งเป็นข้อเท็จจริงที่พนักงานสวนสัตว์รู้ดี. หลังจากล้างกรงหรือบริเวณที่ขังสัตว์แล้ว พนักงานสวนสัตว์สังเกตว่าสัตว์หลายตัวจะรีบทำเครื่องหมายแสดงอาณาเขตของมันอีกทันที. ที่จริง หนังสือซึ่งอ้างถึงข้างต้นกล่าวว่า “การที่ไม่มีกลิ่นของตัวเองทำให้สัตว์เครียดมากและอาจกระตุ้นให้เกิดพฤติกรรมที่ผิดปกติและอาจถึงกับเป็นหมันด้วยซ้ำ.”
เฟโรโมนชนิดต่าง ๆ มีบทบาทสำคัญในอาณาจักรแมลงด้วย. ตัวอย่างเช่น เฟโรโมนเตือนภัยจะกระตุ้นให้บุกและโจมตี. เฟโรโมนรวมฝูงทำหน้าที่เชิญชวนสัตว์ตัวอื่นให้ไปยังแหล่งอาหารหรือสถานที่ทำรังที่เหมาะสม. เฟโรโมนชนิดนี้ยังรวมถึงเฟโรโมนเพศ ซึ่งสัตว์บางชนิดจะรับรู้ได้ไวมาก. ผีเสื้อไหมตัวผู้มีหนวดที่อ่อนนุ่มสองเส้นที่ดูเหมือนใบเฟิร์นเล็ก ๆ. หนวดนี้ไวถึงขนาดที่สามารถตรวจจับเฟโรโมนเพศเมียได้แม้จะมีเพียงโมเลกุลเดียวเท่านั้น! เฟโรโมนประมาณ 200 โมเลกุลจะทำให้ตัวผู้เริ่มเสาะหาตัวเมีย. กระนั้น การสื่อความด้วยเคมีไม่ได้จำกัดอยู่แค่อาณาจักรสัตว์เท่านั้น.
พืช “พูดได้”
คุณรู้ไหมว่าพืชสื่อความกับพืชด้วยกันและแม้แต่กับสัตว์บางชนิดด้วย? วารสารดิสคัฟเวอร์ รายงานว่า นักวิจัยในประเทศเนเธอร์แลนด์สังเกตว่า เมื่อต้นถั่วลิมาถูกไรแมงมุมจู่โจม มันจะปล่อยสารเคมีร้องขอความช่วยเหลือ ซึ่งเป็นการดึงดูดไรชนิดอื่น ๆ ที่กินไรแมงมุมเป็นอาหาร. ในทำนองเดียวกัน เมื่อต้นข้าวโพด, ต้นยาสูบ, และต้นฝ้ายถูกหนอนผีเสื้อโจมตี มันจะปล่อยสารเคมีไปในอากาศเพื่อดึงดูดตัวต่อซึ่งเป็นศัตรูที่ร้ายกาจของหนอนผีเสื้อ. นักวิจัยคนหนึ่งกล่าวว่า “พืชไม่เพียงแต่บอกว่า ‘ฉันถูกทำร้าย’ แต่พืชยังระบุตัวผู้ที่ทำร้ายมันด้วย. นี่เป็นระบบที่ซับซ้อนและน่าพิศวงมาก.”
การสื่อความระหว่างพืชกับพืชก็น่าทึ่งพอ ๆ กัน. ตามที่กล่าวในวารสารดิสคัฟเวอร์ นักวิจัย “สังเกตเห็นต้นวิลโลว์, พอปลาร์, ออลเดอร์, และเบิร์ชฟังข่าวสารจากต้นไม้ชนิดเดียวกัน และต้นอ่อนข้าวบาร์เลย์ฟังเสียงของต้นอ่อนข้าวบาร์เลย์ต้นอื่น ๆ. ในแต่ละกรณี พืชที่ได้รับความเสียหาย ไม่ว่าจะถูกหนอนผีเสื้อกิน, ติดเชื้อราหรือเป็นโรคราน้ำค้าง, [หรือ] มีไรแมงมุมมาเกาะอยู่เต็มไปหมด . . . จะปล่อยสารเคมีที่ดูเหมือนทำให้พืชที่อยู่ใกล้ ๆ ซึ่งยังไม่ได้รับความเสียหายเริ่มสร้างระบบป้องกันตัวเองขึ้นทันที.” แม้แต่พืชที่ไม่ได้อยู่ในวงศ์เดียวกันก็ตอบสนองต่อสารเตือนภัยนี้.
เมื่อถูกโจมตีหรือได้รับสัญญาณเตือนจากต้นอื่น พืชจะมีวิธีป้องกันตัวเอง. วิธีเหล่านี้รวมถึงการใช้พิษที่ทำให้แมลงตายหรือใช้สารประกอบที่ขัดขวางหรือยับยั้งความสามารถในการย่อยอาหารของผู้บุกรุก. การวิจัยในอนาคตเกี่ยวกับแง่มุมที่น่าสนใจยิ่งนี้อาจนำไปสู่การค้นพบที่น่าทึ่งมากยิ่งขึ้น ซึ่งบางอย่างอาจเป็นประโยชน์ต่อเกษตรกรรมด้วย.
‘รหัสมอร์ส’ แบบแสง
นักนิเวศวิทยาชื่อ ซูซาน ทวีต เขียนในบทความเกี่ยวกับหิ่งห้อยว่า “ตะเกียงลอยฟ้าขนาดเล็กของมันกะพริบแสงแข่งกับดวงดาว ทำให้ละแวกบ้านแถบชานเมืองธรรมดา ๆ ของดิฉันเหมือนต้องมนต์สะกด.” ทวีตกล่าวว่า แมลงเหล่านี้ที่อยู่ในวงศ์ของแมลงปีกแข็งสื่อความกันโดยใช้แสงซึ่ง “มีตั้งแต่การกะพริบเตือนง่าย ๆ จนถึงการกะพริบแสงโต้ตอบกันอย่างซับซ้อนกับตัวที่อาจจะมาเป็นคู่ของมัน.” แสงของมันมีตั้งแต่สีเขียว, สีเหลือง, จนถึงสีส้ม. เนื่องจากหิ่งห้อยตัวเมียแทบจะไม่บินเลย ตัวที่เราเห็นกะพริบแสงส่วนใหญ่จึงเป็นตัวผู้.—ดูกรอบ “แสงเย็นของหิ่งห้อย.”
หิ่งห้อยแต่ละชนิดในจำนวน 1,900 ชนิดมีการกะพริบแสงที่ไม่ซ้ำแบบกัน. มันอาจกะพริบสามครั้งโดยเว้นระยะครั้งละราว ๆ หนึ่งวินาที หรือส่องแสงเป็นช่วงและเว้นระยะสั้นยาวต่าง ๆ กันไป. เมื่อหาคู่ หิ่งห้อยตัวผู้จะบินวนไปวนมาและกะพริบแสงเป็นรหัสว่ากำลังมองหาตัวเมีย. วารสารออดูบอน กล่าวว่า “ตัวเมียซึ่งเห็นแสงกะพริบเป็นจังหวะจะกะพริบตอบว่า ‘ฉันอยู่นี่’ ด้วยการเว้นระยะที่เหมาะกับชนิดของมัน.” ตัวผู้ตอบรับคำเชื้อเชิญเงียบ ๆ ของตัวเมียและบินไปหา.
เจ้านกขนดกที่เชี่ยวชาญเรื่องเพลง
เดวิด แอตเทนโบโรห์ กล่าวในหนังสือของเขาชื่อชีวิตนก (ภาษาอังกฤษ) ว่า “ในเรื่องความยาวนาน, ความหลากหลายและความซับซ้อน ไม่มีเสียงเพลงของสัตว์ชนิดใดจะเทียบได้กับเสียงเพลงของนก.” เสียงเพลงของนกไม่ได้ออกมาจากลำคอ แต่มาจากอวัยวะที่เรียกว่ากล่องเสียง ซึ่งอยู่ลึกเข้าไปในอกของนกใกล้กับส่วนที่หลอดลมจะแยกไปที่ปอดทั้งสองข้าง.
เพลงของนกส่วนหนึ่งตกทอดมาทางพันธุกรรมและอีกส่วนหนึ่งเรียนรู้จากพ่อแม่. ดังนั้น นกถึงกับร้องเป็นสำเนียงของภูมิภาคต่าง ๆ ได้ด้วย. หนังสือชีวิตนก กล่าวว่า “นกเดินดงดำ ซึ่งเป็นลูกหลานของนกที่ถูกนำไปยังออสเตรเลียในช่วงศตวรรษที่สิบเก้าเพื่อทำให้ผู้ตั้งถิ่นฐานชาวยุโรปรู้สึกชื่นชมยินดีที่ได้ฟังเสียงจากบ้านเกิด มาบัดนี้พวกมันร้องเป็นสำเนียงออสเตรเลียได้อย่างชัดเจน.” เสียงเพลงของนกพิณตัวผู้ ซึ่งกล่าวกันว่าซับซ้อนและไพเราะที่สุดในบรรดาเพลงทั้งหมดที่นกต่าง ๆ ร้อง ก็เรียนมาจากนกตัวอื่นเกือบทั้งหมด. ที่จริง นกพิณเป็นนักเลียนเสียงที่มีพรสวรรค์มากถึงขนาดที่มันสามารถเลียนเสียงอื่นได้แทบทุกเสียง รวมทั้งเสียงเครื่องดนตรี, เสียงสุนัขเห่า, เสียงสัญญาณกันขโมย, เสียงขวานฟันต้นไม้, และแม้กระทั่งเสียงกล้องถ่ายรูปที่มีมอเตอร์! แน่นอนว่า การเลียนเสียงนี้ส่วนใหญ่แล้วทำไปเพื่อสร้างความประทับใจแก่นกที่อาจจะมาเป็นคู่ของมัน.
นกหัวขวานซึ่งมักใช้จะงอยปากขุดหาอาหาร เป็นนักเล่นเครื่องดนตรีแบบเคาะแห่งโลกเวหา มันจะส่งสัญญาณให้นกตัวอื่นโดยใช้จะงอยปากโขกท่อนซุงหรือกิ่งไม้กลวงให้เกิดเสียงกังวาน. แอตเทนโบโรห์กล่าวว่า นกบางตัวอาจถึงกับ “ใช้ประโยชน์จากเครื่องดนตรีชนิดใหม่ที่น่าตื่นเต้น . . . นั่นคือหลังคาสังกะสีหรือปล่องควันโลหะ.” นกยังสื่อความกันด้วยการดู ไม่ว่าจะมีการร้องเพลงประกอบหรือไม่. ตัวอย่างเช่น มันอาจส่งสัญญาณให้กันโดยอวดขนที่มีสีสวยงาม.
เมื่อประกาศเขตแดนของมันแล้ว นกกระตั้วปาล์มออสเตรเลียตัวผู้จะทำทุกวิธีไม่ว่าจะเป็นการเคาะ, การร้อง, การเต้นเป็นจังหวะ, และการอวดขน. มันจะหักกิ่งไม้ขนาดเหมาะ ๆ, ใช้เท้าจับกิ่งไม้ไว้, แล้วเคาะกับตอไม้ที่ตายแล้ว. ขณะเดียวกัน มันจะกางปีก, แผ่หงอนออกเป็นรูปพัด, โยกหัวไปมา, และร้องเสียงสูง ซึ่งทั้งหมดนี้เป็นการแสดงที่น่าชมมากทีเดียว!
สัตว์ชนิดอื่น ๆ ก็รู้จักเสียงนกบางชนิด. ลองคิดถึงนกพรานผึ้ง นกขนาดเล็กลักษณะคล้ายนกเดินดงซึ่งส่วนมากพบในแอฟริกา. อย่างที่ชื่อมันบ่งบอก นกพรานผึ้งและเสียงร้องที่โดดเด่นของมันจะนำตัวราเทล ซึ่งเป็นสัตว์คล้ายตัวแบดเจอร์ในวงศ์วีเซิล ไปยังต้นไม้ที่มีรังผึ้งอยู่. เมื่อนกพรานผึ้งอยู่ใกล้หรือเกาะอยู่บนต้นนั้น มันจะส่งเสียงที่ต่างออกไปราวกับจะบอกว่า “น้ำผึ้งอยู่ใกล้ ๆ!” แล้วเจ้าตัวราเทลจะตรงไปที่ต้นนั้น ใช้กรงเล็บฉีกเปลือกไม้ออกและสวาปามน้ำผึ้งอย่างสบายใจ.
คุยกันใต้น้ำ
นับตั้งแต่มีการคิดค้นไฮโดรโฟน ซึ่งเป็นเครื่องฟังเสียงใต้น้ำ นักวิจัยต้องประหลาดใจกับเสียงต่าง ๆ นานาใต้มหาสมุทร. เสียงเหล่านี้มีตั้งแต่เสียงฮัมต่ำ ๆ ไปจนถึงเสียงเหมียว ๆ และกระทั่งเสียงหวีด เสียงเหล่านี้มีมากเสียจนผู้ปฏิบัติการในเรือดำน้ำใช้ประโยชน์จากมันเพื่อพรางเสียงในการขับเคลื่อนเรือของตน. แต่เสียงปลาก็ใช่ว่าจะไร้รูปแบบ. นักชีววิทยาทางทะเล โรเบิร์ต เบอร์เกสส์ กล่าวในหนังสือของเขาชื่อภาษาลับแห่งท้องทะเล (ภาษาอังกฤษ) ว่า “ในขณะที่ปลาชนิดหนึ่งอาจ ‘ทำเสียงฟืดฟาด, เสียงกะต๊าก, หรือเสียงโฮ่ง’ แล้วก็ทำเสียงแบบเดิมซ้ำอีกอย่างชัดเจน ส่วนปลาอีกชนิดหนึ่งอาจ ‘ทำเสียงกริ๊ก ๆ กรอด ๆ’ แล้วก็ทำ ‘เสียงครืดคราด’ เป็นการแถม.”
เมื่อไม่มีสายเสียง ปลาทำเสียงได้อย่างไร? เบอร์เกสส์กล่าวว่า ปลาบางชนิดใช้กล้ามเนื้อที่ “ติดกับผนังของถุงลมซึ่งมีลักษณะคล้ายลูกโป่งเพื่อทำให้ผนังนั้นสั่นจนกระทั่งถุงลมของมัน” ดังเหมือนเสียงกลอง. ส่วนปลาชนิดอื่น ๆ จะขบฟันหรือเปิดปิดฝาเหงือกซึ่งทำให้เกิดเสียงดังผลุ. เสียงทั้งหมดนี้เป็นเพียงแค่ “การคุยกันเล่น ๆ” อย่างนั้นไหม? ดูเหมือนไม่ใช่. เบอร์เกสส์กล่าวว่า เช่นเดียวกับสัตว์บก ปลาทำเสียงเพื่อ “ดึงดูดเพศตรงข้าม, เพื่อหาทิศทาง, เพื่อป้องกันตัวจากศัตรู, รวมทั้งเพื่อสื่อความทั่ว ๆ ไปและเพื่อขู่.”
ปลายังฟังเสียงได้ไวด้วย. ที่จริง ปลาหลายชนิดมีหูชั้นในรวมทั้งมีเซลล์ที่ไวต่อแรงดันซึ่งอยู่ตามข้างลำตัว. เซลล์เหล่านี้สามารถตรวจจับคลื่นแรงดันของเสียงขณะที่มันว่ายในน้ำ.
ผู้สื่อความที่โดดเด่นที่สุดในโลก
โนอัม ชอมสกี ศาสตราจารย์ด้านภาษาศาสตร์เขียนว่า “เมื่อเราศึกษาภาษาของมนุษย์ เราก็กำลังเข้าใกล้สิ่งที่บางคนอาจเรียกว่า ‘ตัวตนที่แท้จริงของมนุษย์’ หรือคุณลักษณะพิเศษของจิตใจ ซึ่งเท่าที่เราทราบก็มีเฉพาะในมนุษย์.” บาร์บารา ลุสท์ ศาสตราจารย์ด้านภาษาศาสตร์และพัฒนาการของมนุษย์ กล่าวว่า “เด็กที่มีอายุเพียง 3 ขวบก็มีความรู้ที่น่าทึ่งอยู่แล้วเกี่ยวกับโครงสร้างของภาษาและประโยคซึ่งซับซ้อนและแม่นยำมาก จนต้องถือว่าเป็นการท้าทายทฤษฎีการเรียนรู้ใด ๆ เท่าที่ทราบกันซึ่งชี้แจงว่าความสามารถนี้เกิดขึ้นได้อย่างไร.”
อย่างไรก็ตาม คัมภีร์ไบเบิลมีคำอธิบายที่สมเหตุผลสำหรับภาษาของมนุษย์ซึ่งเป็นสิ่งมหัศจรรย์. คัมภีร์ไบเบิลให้เกียรติพระยะโฮวาพระเจ้า ผู้สร้างมนุษย์ตาม “ฉายา” ของพระองค์ ว่าเป็นผู้สร้างสิ่งนี้. (เยเนซิศ 1:27) แต่คุณลักษณะแบบพระเจ้าสะท้อนออกมาในทักษะด้านภาษาของเราอย่างไร?
ตัวอย่างเช่น ลองคิดถึงการตั้งชื่อ. แฟรงก์ แดนซ์ ศาสตราจารย์ด้านการสื่อสารทางคำพูด เขียนว่า มนุษย์ “เป็นสิ่งมีชีวิตชนิดเดียวเท่านั้นที่ตั้งชื่อได้.” การตั้งชื่อนี้เป็นคุณลักษณะของพระเจ้าซึ่งเห็นได้จากพระคัมภีร์. ในตอนเริ่มต้นของบันทึกเรื่องการทรงสร้าง คัมภีร์ไบเบิลบอกเราว่าพระเจ้าทรงเรียก “ความสว่างนั้นว่าวัน, และทรงเรียกความมืดนั้นว่าคืน.” (เยเนซิศ 1:5) ตามบันทึกในยะซายา 40:26 ดูเหมือนว่าพระเจ้าทรงตั้งชื่อให้ดาวแต่ละดวง นั่นช่างน่าทึ่งจริง ๆ!
หลังจากพระเจ้าสร้างอาดาม หนึ่งในโครงการแรก ๆ ที่พระองค์สั่งให้อาดามทำคือการตั้งชื่อสัตว์. งานนี้คงต้องท้าทายความสามารถในการสังเกตและความคิดสร้างสรรค์ของอาดามมากทีเดียว! ต่อมา อาดามตั้งชื่อภรรยาของตนว่าฮาวา. ส่วนนางก็เรียกบุตรชายคนแรกของตนว่าคายิน. (เยเนซิศ 2:19, 20; 3:20; 4:1) ตั้งแต่นั้นมา มนุษย์ก็ไม่ลังเลที่จะตั้งชื่อให้ทุกสิ่ง และทั้งหมดนี้ก็เพื่อประโยชน์ในการสื่อความ. ถูกแล้ว ลองคิดดูสิว่าการสื่อความแบบมีเชาวน์ปัญญาจะยุ่งยากสักเพียงไรถ้าไม่มีชื่อ.
นอกจากมีความสามารถและความปรารถนาที่จะตั้งชื่อแล้ว มนุษย์ยังมีทักษะในการสื่อความอีกหลายรูปแบบ ซึ่งอาจไม่ใช่เป็นการใช้คำพูดก็ได้. ที่จริง สิ่งที่เราสามารถสื่อความกันนั้นมีไม่จำกัด ตั้งแต่แนวคิดที่ซับซ้อนไปจนถึงความรู้สึกที่อ่อนละมุนที่สุด. กระนั้น มีการสื่อความรูปแบบหนึ่งโดยเฉพาะที่เหนือกว่าการสื่อความทั้งหมด ดังที่เราจะพิจารณากันต่อไป.
[กรอบ/ภาพหน้า 6]
แสงเย็นของหิ่งห้อย
หลอดไฟฟ้าแบบมีไส้สูญเสียพลังงานไปมากกว่า 90 เปอร์เซ็นต์โดยเปลี่ยนเป็นความร้อน. แสงของหิ่งห้อยซึ่งอาศัยปฏิกิริยาทางเคมีที่ซับซ้อน มีประสิทธิภาพ 90 ถึง 98 เปอร์เซ็นต์ โดยแทบไม่สูญเสียพลังงานไปกับความร้อนเลย. ดังนั้น แสงนี้จึงถูกเรียกได้อย่างถูกต้องว่าแสงเย็น. ปฏิกิริยาทางเคมีที่ก่อให้เกิดแสงนั้นเกิดขึ้นในเซลล์พิเศษที่เรียกว่าโฟโตไซต์ (photocytes). ระบบประสาทจะเปิดปิดเซลล์โฟโตไซต์นี้.
[ที่มาของภาพ]
John M. Burnley/Bruce Coleman Inc.
[กรอบ/ภาพหน้า 8, 9]
เคล็ดลับที่เป็นประโยชน์ต่อการปรับปรุงทักษะในการสื่อความ
1. ตั้งใจฟังเมื่อคนอื่นพูด และอย่าผูกขาดการสนทนาเสียฝ่ายเดียว. ผู้คนจะมองข้ามเรื่องการออกเสียงผิดหรือพูดผิดไวยากรณ์ แต่พวกเขาจะไม่ชอบคนที่อยากพูดแต่ไม่ยอมฟังคนอื่น. คัมภีร์ไบเบิลกล่าวว่า จง “ว่องไวในการฟัง, ช้าในการพูด, ช้าในการโกรธ.”—ยาโกโบ 1:19.
2. คอยสังเกตชีวิตและสิ่งของต่าง ๆ รอบตัวคุณ. อ่านหนังสือหลาย ๆ ประเภทแต่ต้องใช้ดุลพินิจในการเลือก. เมื่อพูดถึงเรื่องที่คุณรู้ จงทำให้การสนทนาของคุณนุ่มนวลด้วยความเจียมตัวและความถ่อม.—บทเพลงสรรเสริญ 5:5; สุภาษิต 11:2.
3. จำคำศัพท์ให้ได้มากขึ้นแต่ควรเป็นคำที่ใช้ได้จริง ไม่ใช่คำที่ฟังดูน่าประทับใจซึ่งเป็นการโอ้อวด. ประชาชนพูดถึงพระเยซูว่า “ไม่เคยมีผู้ใดพูดเหมือนคนนั้น.” (โยฮัน 7:46) กระนั้น แม้คนที่ “มีความรู้น้อย และมิได้เล่าเรียนมาก” ก็เข้าใจถ้อยคำของพระเยซูได้ไม่ยาก.—กิจการ 4:13.
4. พูดให้ชัดถ้อยชัดคำและออกเสียงอย่างถูกต้อง. แต่ต้องระวังที่จะไม่เน้นมากเกินไป. เมื่อเราออกเสียงถูกต้องและไม่พูดรวบคำหรือออกเสียงไม่ครบพยางค์ เราก็ทำให้คำพูดของเรามีเกียรติและเป็นการคำนึงถึงผู้ฟัง.—1 โกรินโธ 14:7-9.
5. ยอมรับว่าทักษะในการสื่อความของคุณเป็นของประทานจากพระเจ้า. สิ่งนี้จะกระตุ้นคุณให้ใช้ทักษะนี้ด้วยความนับถือ.—ยาโกโบ 1:17.
[ภาพหน้า 5]
ผีเสื้อไหมมีหนวดที่ไวมาก
[ที่มาของภาพ]
Courtesy Phil Pellitteri
[ภาพหน้า 6, 7]
นกหัวขวาน
[ภาพหน้า 7]
นกการเวก
[ที่มาของภาพ]
© Michael S. Yamashita/CORBIS
[ภาพหน้า 7]
นกกระตั้วปาล์ม
[ที่มาของภาพ]
Roland Seitre