พวกนักปฏิรูปมีทางแก้ไหม?
การทำธุรกิจแบบฉ้อโกง, การบังคับใช้กฎหมายอย่างลำเอียง, ความไม่ยุติธรรมในสังคม, การรักษาพยาบาลที่ด้อยคุณภาพ, การศึกษาที่ไม่ได้มาตรฐาน, การปล้นในนามของศาสนา, และการหาประโยชน์จากสิ่งแวดล้อม สิ่งเหล่านี้ล้วนทำให้พวกเราส่วนใหญ่ถอนใจด้วยความผิดหวัง. สิ่งเหล่านี้ยังผลักดันให้พวกนักปฏิรูปลงมือทำอะไรบางอย่างด้วย.
นักปฏิรูปมีอยู่แทบทุกสังคม ที่ซึ่งพวกเขากระตุ้นให้มีการเปลี่ยนแปลงอย่างเป็นระบบและเป็นไปตามรัฐธรรมนูญ. โดยทั่วไปแล้ว พวกเขาไม่ใช่พวกที่พยายามล้มล้างรัฐบาลหรือเป็นนักปฏิวัติ เนื่องจากนักปฏิรูปส่วนใหญ่ไม่ทำสิ่งใดที่เป็นการฝ่าฝืนกฎหมายและละเว้นจากการใช้ความรุนแรง. นักปฏิรูปบางคนมีตำแหน่งที่ทรงอิทธิพลในสังคมและริเริ่มให้มีการเปลี่ยนแปลง. ส่วนบางคนก็วิ่งเต้นและกระตุ้นผู้มีอำนาจให้ทำอะไรบางอย่าง.
นักปฏิรูปพยายามกระตุ้นสังคมให้คิดใหม่เกี่ยวกับวิธีจัดการกับเรื่องบางเรื่อง. พวกเขาไม่เพียงแค่ประท้วง แต่พวกเขามีแนวคิดว่าควรจะปรับปรุงสิ่งต่าง ๆ อย่างไร. เพื่อจะเรียกร้องความสนใจมายังเรื่องที่พวกเขาห่วงใย นักปฏิรูปอาจวิงวอนต่อสาธารณชน, เดินขบวนประท้วงตามถนน, หรือพยายามเผยแพร่ทางสื่อมวลชน. หนึ่งในบรรดาสิ่งที่เลวร้ายที่สุดเท่าที่จะเกิดขึ้นกับนักปฏิรูปได้ก็คือ การที่สังคมไม่ให้ความสนใจพวกเขา.
นักปฏิรูปในประวัติศาสตร์
มีการปฏิรูปหลายครั้งในประวัติศาสตร์. คัมภีร์ไบเบิลบอกเราว่า ประมาณ 2,000 ปีมาแล้ว นักพูดคนหนึ่งชมเชยเฟลิกซ์ ผู้ว่าราชการแคว้นยูเดียซึ่งอยู่ภายใต้โรม ดังนี้: “ท่านให้มีการปรับปรุงอันเป็นคุณประโยชน์แก่ชาตินี้.” (กิจการ 24:2, ฉบับแปลใหม่) ประมาณ 500 ปีก่อนสมัยของเฟลิกซ์ ผู้บัญญัติกฎหมายชาวกรีกชื่อโซลอนผลักดันให้มีการปฏิรูปเพื่อปรับปรุงสภาพของคนจน. สารานุกรมบริแทนนิกา อธิบายว่า โซลอน “ได้ยุติสภาพอันเลวร้ายที่สุดของความยากจน” ในกรุงเอเธนส์โบราณ.
ประวัติของศาสนาก็เต็มไปด้วยนักปฏิรูป. ตัวอย่างเช่น มาร์ติน ลูเทอร์ ได้พยายามปฏิรูปคริสตจักรโรมันคาทอลิก และเนื่องจากความคิดริเริ่มของเขานั่นเองที่ช่วยปูทางให้มีการก่อตั้งนิกายโปรเตสแตนต์.
ขอบเขตของการปฏิรูป
นักปฏิรูปอาจพยายามจะเปลี่ยนแปลงเรื่องทั่ว ๆ ไปและเรื่องธรรมดาสามัญด้วย. นักปฏิรูปบางคนส่งเสริมรูปแบบชีวิตที่ต่างไปอย่างสิ้นเชิง. กรณีหนึ่งคือขบวนการเลเบินส์เรฟอร์ม (การปฏิรูปวิถีชีวิต) ในเยอรมนีช่วงต้นศตวรรษที่ 20. เนื่องจากสังคมเปลี่ยนไปเป็นแบบอุตสาหกรรมมากขึ้นเรื่อย ๆ หลายคนจึงรู้สึกว่าชีวิตกลายเป็นสิ่งที่ไร้ความรู้สึกและผู้คนก็ไร้ความสำคัญ. นักปฏิรูปสนับสนุนวิถีชีวิตแบบย้อนคืนสู่ธรรมชาติ. พวกเขาส่งเสริมให้มีความแข็งแกร่งของร่างกาย, กิจกรรมกลางแจ้ง, ยาจากธรรมชาติ, และการกินอาหารมังสวิรัติ.
ส่วนนักปฏิรูปบางคนเปิดโปงความไม่ยุติธรรมและกดดันรัฐบาลให้แก้ไขเรื่องนั้น. ตั้งแต่ต้นทศวรรษ 1970 เป็นต้นมา นักเคลื่อนไหวเพื่อสิ่งแวดล้อมหลายกลุ่มได้ประท้วงต่อต้านการใช้สิ่งแวดล้อมอย่างผิด ๆ รวมถึงการทำให้เกิดความเสื่อมโทรม. ตั้งแต่นั้นมา บางกลุ่มได้เติบโตขึ้นเป็นองค์กรระดับโลก. นักเคลื่อนไหวเหล่านี้ไม่เพียงแต่เดินขบวนและประท้วงสิ่งที่เป็นอันตรายต่อสิ่งแวดล้อมเท่านั้น. พวกเขายังเสนอแนะวิธีแก้ไขสภาพการณ์นั้นด้วย. พวกเขาช่วยให้มีการแก้ไขกฎหมายหลายเรื่อง เช่น การทิ้งของเสียที่เป็นพิษลงในทะเลและการล่าปลาวาฬ รวมทั้งเรื่องอื่น ๆ.
ในทศวรรษ 1960 การประชุมสังคายนาวาติกันครั้งที่สองทำให้เกิดการปฏิรูปคริสตจักรโรมันคาทอลิก. นอกจากนั้น ในทศวรรษ 1990 ยังมีหลายคนจากชนชั้นฆราวาสของคริสตจักรคาทอลิกที่พยายามจะเป็นนักปฏิรูป. เพื่อเป็นตัวอย่าง พวกเขาแนะให้มีการเปลี่ยนแปลงเรื่องการครองตัวอยู่เป็นโสดของบาทหลวง. นักปฏิรูปภายในคริสตจักรแห่งอังกฤษผลักดันให้มีการเปลี่ยนแปลงเพื่อยอมให้มีการแต่งตั้งผู้หญิงเป็นบาทหลวง.
ไม่เป็นที่นิยมชมชอบของทุกคน
การปฏิรูปบางอย่างก็ทำประโยชน์มากมายมหาศาล. อย่างเช่น ในคัมภีร์ไบเบิลเราพบตัวอย่างมากมายของบรรดาผู้นำประเทศและคนอื่น ๆ ที่ส่งเสริมให้มีการปฏิรูปที่ดี. การปฏิรูปเหล่านั้นทำให้เกิดการฟื้นฟูทางฝ่ายวิญญาณและทางสังคม และทำให้ได้รับความโปรดปรานจากพระเจ้า. (2 กษัตริย์ 22:3-20; 2 โครนิกา 33:14-17; นะเฮมยาบท 8 และ 9) ในยุคหลัง ๆ นี้ การเน้นมากขึ้นในเรื่องเสรีภาพขั้นพื้นฐาน, สิทธิของพลเมือง, และสิทธิมนุษยชนทำให้มีการปกป้องและคุ้มครองชนกลุ่มน้อยที่ไม่ได้รับสิทธิพิเศษต่าง ๆ รวมทั้งผู้ที่ถูกกดขี่.
อย่างไรก็ตาม เมื่อการปฏิรูปเริ่มดำเนินไป บ่อยครั้งทำให้เกิดผลที่คาดไม่ถึง. จอห์น ดับเบิลยู. การ์ดเนอร์ เจ้าหน้าที่รัฐบาลคนหนึ่งแห่งศตวรรษที่ 20 กล่าวว่า “นับว่าเป็นเรื่องแปลกอย่างหนึ่งของประวัติศาสตร์ที่ว่า นักปฏิรูปคาดถึงผลการปฏิรูปของตนผิดบ่อยเหลือเกิน.” ขอพิจารณาบางตัวอย่าง.
เริ่มตั้งแต่ต้นทศวรรษ 1980 ประชาคมยุโรปได้เริ่มทำการปฏิรูปการเกษตรซึ่งมีเป้าหมายเพื่อจะพัฒนาทุ่งหญ้าและพื้นที่โล่งซึ่งไม่ได้ทำการเพาะปลูก. นโยบายด้านการเกษตรแผนใหม่ทำให้พื้นที่ซึ่งเหมาะแก่การเพาะปลูกมากกว่า 3,000 ตารางกิโลเมตรในเยอรมนีและอิตาลีกลายเป็นทุ่งหญ้า. แม้ว่าจะมีเจตนาดี แต่ก็มีความเสี่ยงบางอย่างที่คาดไม่ถึง. โครงการสิ่งแวดล้อมของสหประชาชาติกล่าวว่า “แม้ว่ามีการตอบรับอย่างดีในตอนแรกโดยถือว่าเป็นโอกาสที่จะเพิ่มคุณค่าทางระบบนิเวศในพื้นที่นั้น แต่มาตรการเรื่อง ‘การกันพื้นที่ไว้’ อาจมีผลเสียด้วย คือทำให้ผู้คนละทิ้งระบบการเกษตรแบบดั้งเดิมและรับเอาวิธีทำไม้หรือการปลูกป่าที่ไม่เหมาะสม.”
กองทุนนานาชาติเพื่อการพัฒนาการเกษตรกล่าวถึงความพยายามที่จะช่วยเหลือคนจนว่า “ความพยายามทุกอย่างที่จะช่วยเหลือคนจนโดยการปฏิรูปของสถาบันต่าง ๆ ประสบปัญหาที่หนักมาก. สถาบันต่าง ๆ มักถูกตั้งขึ้นและดำเนินการเพื่อผลประโยชน์ของเหล่าผู้มีอิทธิพล. . . . ‘คนใหญ่คนโต’ มักจะบริหารสถาบันในท้องถิ่นเพื่อผลประโยชน์ของตนเอง.”
อีกตัวอย่างหนึ่งคือขบวนการเรียกร้องสิทธิสตรี ซึ่งได้เปลี่ยนชีวิตของผู้หญิงในโลกตะวันตก โดยทำให้พวกเธอได้รับสิทธิต่าง ๆ เช่น สิทธิในการลงคะแนนเสียงและการมีโอกาสมากขึ้นที่จะได้รับการศึกษาในระดับอุดมศึกษา รวมถึงโอกาสในการประกอบอาชีพ. ทว่าแม้แต่บางคนที่สนับสนุนการปลดแอกสตรีก็ยังยอมรับว่าการเรียกร้องสิทธิสตรีได้ช่วยแก้ไขปัญหาบางอย่าง ขณะเดียวกันก็ทำให้ปัญหาบางอย่างหนักขึ้น. นักเขียนชื่อ ซูซาน แวน สกอโยก ถามว่า “จริง ๆ แล้วเราได้ช่วยปรับปรุงชีวิตของผู้หญิงให้ดีขึ้นไหม หรือว่าเมื่อคาดหมายให้ผู้หญิงเท่าเทียมกับผู้ชายในที่ทำงานโดยไม่มีการช่วยเหลือทดแทนในชีวิตส่วนตัว เรากลับทำให้ผู้หญิงตกนรกทั้งเป็น?”
การปฏิรูปที่ไร้น้ำยา
นักปฏิรูปบางคนถูกกล่าวหาว่าพยายามผลักดันให้มีการปฏิรูปเพียงเพราะอยากจะเปลี่ยนสิ่งต่าง ๆ. เมื่อพรรณนาถึงสิ่งที่เขาเรียกว่าการปฏิรูปที่ไร้น้ำยา เฟรเดอริก เฮสส์ ซึ่งได้ศึกษาการปฏิรูปในโรงเรียน ให้ข้อสังเกตว่า “ปัญหาเรื่องผลที่น่าหดหู่ของการปฏิรูปในขอบข่ายที่ใหญ่โตอยู่ที่ลักษณะการดำเนินงานของการปฏิรูปนั้นเอง. แทนที่จะแก้ปัญหา การปฏิรูปเหล่านี้ได้กลายเป็นสิ่งที่ทำให้เขวซึ่งดูดีแต่จริง ๆ แล้วยิ่งเพิ่มความรุนแรงให้กับ” ปัญหาที่มันควรจะจัดการ. เขากล่าวต่อว่า “เนื่องจากรัฐบาลแต่ละชุดมักริเริ่มการปฏิรูปใหม่ ๆ กระบวนการทั้งหมดจึงเริ่มต้นใหม่ทุก ๆ สองสามปี.”
นอกจากนี้ การปฏิรูปอาจกลายเป็นเครื่องมือเพื่อส่งเสริมวัตถุประสงค์ที่ต่างออกไป ซึ่งบางครั้งทำให้เกิดความเสียหาย. ขบวนการเลเบินส์เรฟอร์ม ในเยอรมนีมีส่วนทำให้เกิดทฤษฎีการปรับปรุงพันธุ์มนุษย์โดยการคัดเลือกพ่อและแม่ซึ่งจะให้กำเนิดลูกหลานที่แข็งแรงกว่า. อย่างไรก็ตาม ผู้ที่มีทัศนะแบบสุดโต่งได้ใช้ความรู้นี้ในทางที่ผิดเพื่อสนับสนุนลัทธิสังคมนิยมแห่งชาติในการต่อสู้เพื่อคตินิยมของตนในการสร้างเผ่าพันธุ์ชั้นเลิศ.
บางครั้ง แม้แต่ผู้ที่สนับสนุนการปฏิรูปอย่างกระตือรือร้นก็ยังผิดหวังกับผลที่เกิดขึ้น. นายโคฟี อันนัน เลขาธิการใหญ่องค์การสหประชาชาติ กล่าวด้วยความผิดหวังว่า “ผมคิดว่าสิ่งที่น่าข้องขัดใจที่สุดคือที่เราทุกคนรู้ว่ามีอะไรไม่ถูกต้องและรู้ว่าจำเป็นต้องทำอะไร แต่เรามักไม่ได้ทำสิ่งนั้น. บางครั้งสำนักงานเลขาธิการซึ่งนำโดยเลขาธิการใหญ่ได้รับคำสั่งให้ทำอะไรบางอย่างในเรื่องใดเรื่องหนึ่ง แต่กลับไม่ได้รับทรัพยากรที่จำเป็นเพื่อจะทำตามการตัดสินใจนั้น. บางครั้ง เมื่อสิ่งที่ไม่น่าเชื่อเกิดขึ้นและเราต้องการปลุกจิตสำนึกของโลก ก็กลับไม่มีใครต้องการทำสิ่งใดเนื่องจากเคยมีประสบการณ์ที่ไม่ดีในอดีต.”
นักปฏิรูปไม่อาจหวังว่าจะได้รับความนิยมจากประชาชน เพราะเมื่อพวกเขาพยายามดึงความสนใจมาสู่วัตถุประสงค์ของเขา พวกเขาก็ทำให้ชีวิตผู้อื่นยุ่งยาก. เยอร์เกน รอยเลเก ศาสตราจารย์ด้านประวัติศาสตร์สมัยใหม่และผู้เชี่ยวชาญด้านนักปฏิรูป กล่าวไว้ดังที่ยกมาในหนังสือพิมพ์ดี ไซท์ ดังนี้: “ตั้งแต่ไหนแต่ไร นักปฏิรูปเป็นเหมือนหนามที่คอยทิ่มตำ.” ยิ่งกว่านั้น แม้ว่านักปฏิรูปส่วนใหญ่ไม่ทำสิ่งใดที่เป็นการฝ่าฝืนกฎหมายและละเว้นการใช้ความรุนแรง แต่บางคนก็ขาดความอดทนเมื่อเกิดความก้าวหน้าช้า. เมื่ออยู่ในสถานการณ์เช่นนั้น ขบวนการปฏิรูปอาจทำให้เกิดพวกหัวรุนแรงที่ละเมิดกฎหมาย.
การปฏิรูปที่แพร่หลายในสมัยหลัง ๆ นี้ทำให้คนทั่วไปพอใจกับชีวิตมากขึ้นไหม? ดูเหมือนไม่ได้เป็นเช่นนั้น. ตัวอย่างเช่น ในเยอรมนี การสำรวจความคิดเห็นหลายครั้งบ่งชี้ว่าในช่วงราว ๆ 35 ปีมานี้ ระดับความพอใจในชีวิตโดยทั่วไปแล้วยังคงเดิม. แล้วจะว่าอย่างไรกับศาสนา? การปฏิรูปศาสนาดึงดูดผู้นมัสการเพิ่มขึ้นไหม? ผู้นมัสการในปัจจุบันพอใจกับศาสนามากขึ้นไหม? ไม่ ดังที่เห็นได้จากข้อเท็จจริงที่ว่าโลกตะวันตกกำลังออกห่างจากศาสนามากขึ้นเรื่อย ๆ และผู้คนก็สนใจศาสนาแบบดั้งเดิมน้อยลงทุกที.
พระเยซูคริสต์ทรงเป็นนักปฏิรูปไหม?
บางคนอาจอ้างว่าพระเยซูคริสต์ก็เป็นนักปฏิรูป. เรื่องนี้จริงไหม? คำถามนี้มีความสำคัญต่อทุกคนที่ต้องการเป็นผู้รับใช้แท้ของพระเจ้า เนื่องจากเรื่องนี้เกี่ยวข้องกับการเป็นผู้ติดตามรอยพระบาทของพระคริสต์อย่างใกล้ชิด.—1 เปโตร 2:21.
ไม่อาจมีข้อสงสัยใด ๆ ว่าพระเยซูทรงมีความสามารถที่จะก่อให้เกิดการปฏิรูป. เนื่องจากเป็นมนุษย์สมบูรณ์ พระองค์อาจเป็นผู้นำร่องวิธีการใหม่ ๆ ด้วยการริเริ่มและทำการเปลี่ยนแปลงอย่างขนานใหญ่ก็ได้. กระนั้น พระคริสต์มิได้ทรงเริ่มการรณรงค์เพื่อขจัดเจ้าหน้าที่ที่ฉ้อโกงหรือนักธุรกิจที่ไม่ซื่อให้หมดไปจากโลก. พระองค์ไม่ได้นำหน้าในการเดินขบวนตามถนนเพื่อต่อต้านความอยุติธรรม แม้ว่าพระองค์เองจะกลายเป็นเหยื่อที่ปราศจากผิดของความอยุติธรรมอย่างร้ายกาจ. บางครั้ง พระเยซู “ไม่มีที่ที่จะวางศีรษะ.” กระนั้น พระองค์ก็ไม่ได้ตั้งกลุ่มกดดันเพื่อนำความสนใจไปสู่ความต้องการของผู้ไร้ที่อยู่. เมื่อบางคนแสดงความเป็นห่วงในเรื่องการเงิน พระองค์ทรงชี้แจงดังนี้: “คนจนจะอยู่กับท่านเป็นนิตย์.” พระเยซูทรงวางตัวเป็นกลางในเรื่องความขัดแย้งต่าง ๆ ในโลก.—มัดธาย 8:20; 20:28; 26:11; ลูกา 12:13, 14; โยฮัน 6:14, 15; 18:36.
แน่นอน ใช่ว่าพระคริสต์ทรงไร้ความรู้สึกเมื่อเห็นปัญหาความยากจน, การฉ้อราษฎร์บังหลวง, และความไม่ยุติธรรม. ที่จริง คัมภีร์ไบเบิลแสดงว่าพระองค์ทรงทุกข์ใจอย่างมากเกี่ยวกับสภาพที่น่าสังเวชของมนุษยชาติ. (มาระโก 1:40, 41; 6:33, 34; 8:1, 2; ลูกา 7:13) แต่สิ่งที่พระองค์เสนอให้เป็นทางแก้ที่ไม่มีใดเหมือน. สิ่งที่พระคริสต์ทรงคิดถึงไม่ใช่แค่การปฏิรูปธรรมดา แต่เป็นการเปลี่ยนแปลงอย่างสิ้นเชิงในเรื่องวิธีจัดการกับเรื่องต่าง ๆ ของมนุษย์. การเปลี่ยนแปลงนี้จะเกิดขึ้นโดยราชอาณาจักรฝ่ายสวรรค์ซึ่งจัดตั้งขึ้นโดยพระผู้สร้างมนุษย์ พระยะโฮวาพระเจ้า และบริหารงานโดยพระเยซูคริสต์ฐานะเป็นพระมหากษัตริย์. จะมีการพิจารณาเรื่องนี้ในบทความถัดไป.
[คำโปรยหน้า 6]
“นับว่าเป็นเรื่องแปลกอย่างหนึ่งของประวัติศาสตร์ที่ว่า นักปฏิรูปคาดถึงผลการปฏิรูปของตนผิดบ่อยเหลือเกิน.”—จอห์น ดับเบิลยู. การ์ดเนอร์
[จุดเด่น/ภาพหน้า 7]
“ผมคิดว่าสิ่งที่น่าข้องขัดใจที่สุดคือที่เราทุกคนรู้ว่า มีอะไรไม่ถูกต้องและรู้ว่าจำเป็นต้องทำอะไร แต่เรามักไม่ได้ทำสิ่งนั้น.”—โคฟี อันนัน เลขาธิการใหญ่สหประชาชาติ
[กรอบ/ภาพหน้า 8, 9]
“ผมเสี่ยงชีวิตเพื่อปกป้องสิ่งแวดล้อม”
ฮันส์เป็นนักเดินเรือมานานถึง 48 ปี และเป็นกัปตันเรือมากกว่า 35 ปี. เมื่อจวนจะเลิกอาชีพนี้ เขาได้ทำหน้าที่เป็นกัปตันในเรือที่ถูกใช้โดยองค์กรด้านสิ่งแวดล้อม. เขาเล่าว่า:
“ผมเชื่อมาตลอดว่ามนุษยชาติควรจะให้ความนับถือต่อสิ่งแวดล้อมและปฏิบัติต่อธรรมชาติอย่างที่ให้เกียรติ. ดังนั้น เมื่อผมได้รับข้อเสนอให้เป็นกัปตันเรือของกลุ่มที่รณรงค์เพื่อสิ่งแวดล้อม ผมก็ตอบรับทันที. งานของเราคือทำให้คนทั่วไปรับรู้ถึงการคุกคามสิ่งแวดล้อม. ทันทีที่เราวางแผนการรณรงค์เกี่ยวกับสิ่งที่จะทำในทะเล เราก็เรียกพวกสื่อมวลชนมาเพื่อดึงดูดความสนใจของสาธารณชน. เราได้ออกทะเลและปฏิบัติการเพื่อพยายามหยุดยั้งการทิ้งกากกัมมันตรังสีและสารพิษต่าง ๆ. ในการรณรงค์อีกครั้งหนึ่ง เราพยายามหยุดยั้งการฆ่าแมวน้ำและลูกแมวน้ำ.
“งานนี้ไม่ใช่งานสำหรับคนขี้ขลาด. ผมเสี่ยงชีวิตเพื่อปกป้องสิ่งแวดล้อม. ในการประท้วงครั้งหนึ่ง ผมใส่กุญแจมือตัวเองติดกับสมอเรือลำหนึ่งแต่แล้วก็ถูกดึงลงไปที่ก้นทะเลพร้อมกับสมอนั้น. อีกครั้งหนึ่ง ผมอยู่ในเรือเร็วที่เป็นเรือยางซึ่งแล่นไปข้าง ๆ เรือลำใหญ่. มีใครคนหนึ่งทิ้งถังโลหะหนัก ๆ ลงมาในเรือยางของเรา ซึ่งทำให้เรือของเราตีลังกา. ผมได้รับบาดเจ็บหนักมาก.”
ในที่สุด ฮันส์ก็ตระหนักว่าแม้องค์การนั้นจะมีเจตนาดี แต่เขาก็กำลังเสี่ยงชีวิตโดยมีโอกาสน้อยมากที่จะทำให้เกิดผลกระทบที่ถาวรใด ๆ ต่อสิ่งแวดล้อม. (ท่านผู้ประกาศ 1:9) เมื่อเขาออกจากกลุ่มที่รณรงค์เพื่อสิ่งแวดล้อมได้ไม่นาน เขาศึกษาคัมภีร์ไบเบิลกับพยานพระยะโฮวาและมาเป็นพยานฯ ที่รับบัพติสมาแล้ว. ปัจจุบันเขาเป็นผู้เผยแพร่เต็มเวลา. “คัมภีร์ไบเบิลช่วยผมให้ตระหนักว่าความหวังที่ตรงกับสภาพความเป็นจริงเพียงอย่างเดียวที่จะดูแลสิ่งแวดล้อมได้อย่างดีคือโดยทางราชอาณาจักรมาซีฮาของพระเจ้า.”
[กรอบ/ภาพหน้า 9]
เธอต่อสู้เพื่อการปฏิรูป
ซารา (นามสมมุติ) เกิดในเอเชียช่วงกลางทศวรรษ 1960. เธอยังเป็นวัยรุ่นตอนที่การปฏิวัติในประเทศของเธอทำให้รัฐบาลใหม่ขึ้นมามีอำนาจ ซึ่งสัญญาจะทำการปฏิรูปการเมืองและสังคม. ตอนแรก พลเมืองในประเทศของเธอดีใจที่มีการเปลี่ยนแปลง แต่ภายในปีเดียว รัฐบาลใหม่ก็เริ่มกดขี่ผู้ต่อต้านเหมือนกับที่รัฐบาลเก่าได้ทำ. ผู้คนมากมายรู้สึกผิดหวัง และซาราก็เข้าร่วมในการต่อต้านรัฐบาลใหม่อย่างเป็นระบบ. เธอชี้แจงว่า:
“กลุ่มต่อต้านของเราจัดประชุมกัน แล้วเราก็ประท้วงอย่างเปิดเผย. ดิฉันกำลังติดป้ายประกาศและแจกใบปลิวอยู่บนถนนในเมืองหลวงตอนที่ทหารจับตัวดิฉัน. สุดท้าย พวกเขาปล่อยดิฉัน. คนอื่นในกลุ่มของเราเจอเรื่องที่เลวร้ายกว่าดิฉัน. เพื่อนผู้หญิงของดิฉันสองคนถูกจับและถูกประหาร. ชีวิตของดิฉันอยู่ในอันตราย พ่อจึงเร่งเร้าให้ดิฉันออกจากประเทศ.”
เมื่อถึงยุโรปแล้ว ซาราได้ศึกษาคัมภีร์ไบเบิลและรับบัพติสมาเป็นพยานพระยะโฮวา. ปัจจุบันเธอเป็นผู้เผยแพร่เต็มเวลา. เมื่อมองไปในอดีต ซารากล่าวว่า:
“สิ่งที่ดิฉันปรารถนาคือความยุติธรรมและการแก้ปัญหาในสังคมของเรา. ดิฉันเห็นว่ารัฐบาลใหม่ในประเทศของเราเริ่มต้นด้วยเป้าหมายเดียวกันนี้ แต่กลับทำเลยเถิดจนลืมเป้าหมายดังกล่าวและเริ่มกดขี่ประชาชน. ดิฉันยังตระหนักว่า กลุ่มต่อต้านที่ดิฉันเข้าร่วมไม่ได้มีทางแก้สำหรับปัญหาในประเทศของเราเช่นกัน. (บทเพลงสรรเสริญ 146:3, 4) ตอนนี้ดิฉันตระหนักว่าทางแก้สำหรับปัญหาทุกอย่างของมนุษยชาติคือราชอาณาจักรมาซีฮาของพระเจ้า.”
[ภาพหน้า 7]
กำแพงเบอร์ลินถูกทำลายในปี 1989
[ภาพหน้า 8]
การปฏิรูปศาสนาทำให้มีผู้นมัสการมากขึ้นไหม?
[ที่มาของภาพหน้า 5]
Top right: U.S. Information Agency photo
[ที่มาของภาพหน้า 7]
Kofi Annan: UN/DPI photo by Evan Schneider (Feb97); background: WHO/OXFAM