บท 7
ผู้ตายจำเป็นต้องได้รับความช่วยเหลือจากท่านไหม?
ภาษิตเก่าแก่ของจีนบอกว่า: “การปรนนิบัติรับใช้คนเหล่านั้นที่ตายไปเวลานี้ประหนึ่งว่าเขามีชีวิตอยู่นั้น ย่อมเป็นการทำให้การแสดงความกตัญญูกตเวทีต่อบิดามารดาบรรลุผลสำเร็จอย่างเลิศลอย.” หากผู้ที่ตายไปนั้นมีชีวิตอยู่อย่างแท้จริงในอีกดินแดนหนึ่ง และสามารถได้รับประโยชน์จากการปรนนิบัติรับใช้ของคนเหล่านั้นที่ยังอยู่ทางแผ่นดินโลกนี้เช่นนั้นแล้ว ก็ย่อมเป็นสิ่งสมควรอันเนื่องมาแต่ความรัก ที่จะพึงแสดงให้เห็นถึงความห่วงใยที่มีต่อเขา.
แน่ทีเดียว หลายคนเพียงแต่ปฏิบัติตามประเพณีที่สืบกันต่อมาเท่านั้น แม้ว่าเป็นผู้ที่ไม่เชื่อถืออย่างแน่นอนจริง ๆ ในเรื่องการดำรงชีวิตอยู่ต่อ ๆ ไปหลังจากที่ตายไปแล้วก็ตาม. ส่วนคนอื่น ๆ นั้นแน่ใจว่าผู้ที่สูญเสียชีวิตไปแล้วย่อมจำเป็นต้องได้รับความช่วยเหลือจากตนทีเดียว.
ประชาชนหลาย ๆ ล้านคนตลอดทั่วทวีปอาเซียส่วนมากที่สุด และตามส่วนต่าง ๆ ของทวีปอาฟริกาเชื่อกันว่าเขาจำต้องแสดงความเคารพต่อบรรพบุรุษผู้ที่ถึงแก่กรรมไปแล้วนั้นตลอดชีวิตของตน. เขาจะเผาธูปเทียน เครื่องหอม สวดมนต์อธิษฐาน เอาดอกไม้และแม้แต่อาหารไปตั้งถวายไว้ตรงหน้าแผ่นหินหรือแผ่นไม้จารึกชื่อญาติพี่น้องซึ่งเป็นบรรพบุรุษที่สูญสิ้นชีวิตไปแล้วนั้น. มีการคิดเห็นกันว่าการเคารพนับถืออย่างสูงเช่นนั้นจะช่วยทำให้ผู้ที่เสียชีวิตไปแล้วได้รับความพอใจจากความเป็นอยู่อันสนุกเพลิดเพลินในชีวิตถัดไปนั้น และป้องกันเขาไว้จากการกลับกลายไปเป็นวิญญาณที่รู้สึกคุมแค้นตั้งตัวเป็นศัตรู.
โดยเฉพาะอย่างยิ่งในเรื่องเกี่ยวกับการไว้ทุกข์และการปลงศพนั้น ผู้ที่ยังมีชีวิตอยู่ก็ย่อมใช้ความมานะพยายามอย่างที่ต้องเสียค่าใช้จ่ายแพ ๆ ในการที่จะช่วยเหลือผู้ซึ่งสิ้นชีวิตไป. ขอได้พิจารณาดูวิธีปฏิบัติตามจารีตประเพณีซึ่งมีการปฏิบัติกันในประเทศย่านตะวันออกเกี่ยวกับการสิ้นชีพของที่ปรึกษาคนสำคัญคนหนึ่งของรัฐบาลดังต่อไปนี้:
คณะพระสงฆ์ดำเนินพิธีต่าง ๆ ทางศาสนา. มีการจุดประทัดเพื่อขับไล่พวกวิญญาณชั่วทั้งหลายให้ไปเสียให้พ้น. มีการเอากระดาษที่ทำจากฟางข้าวซึ่งมีคำสวดมนต์อธิษฐานนั้นมาเผา โดยเชื่อว่า การกระทำเช่นนี้จะทำให้วิญญาณของผู้ที่สิ้นชีวิตไปนั้นได้รับประโยชน์. มีการเอาอาหารเครื่องดื่มและยาสูบยาเส้นมาวางไว้ใกล้ ๆ ศพเพื่อวิญญาณจะได้รับความสดชื่นร่าเริงเมื่อไร ๆ ก็ได้ตามความสมัครใจ.
ภายหลังจากนั้นก็เอาศพบรรจุไว้ในโลงซึ่งเก็บไว้ที่ห้อง ๆ หนึ่ง ภายในบ้านศพเป็นเวลาสี่สิบเก้าวัน. บุตรชายหัวปีแสดงอาการเศร้าโศกเสียใจ ณ ที่นั่นเป็นเวลาหกวัน. ในวันที่เจ็ดเขาจึงกลับไปนอนที่บ้าน อาบน้ำและผลัดเปลี่ยนเสื้อผ้า. ครั้นแล้วก็แสดงอาการเศร้าโศกเสียใจอย่างเดิมอีกจนครบเวลาหกวันแล้วหยุดพักผ่อนเสียวันหนึ่ง และคงปฏิบัติเช่นนี้ซ้ำอีกจนครบรอบเวลากำหนดสี่สิบเก้าวัน. ในระหว่างระยะเวลานั้น เกือบจะไม่มีการหยุดชะงักเสียเลย คือมีการจุดประทัด มีการส่งเสียงสะท้านสะเทือนด้วยเสียงขลุ่ย เสียงกลอง และเสียงกระทบของฉาบและฉิ่งอยู่ตลอดเวลาหามรุ่งหามค่ำทีเดียว.
วันที่สี่สิบเก้ามีขบวนแห่ศพแบบที่เร้าให้เกิดความรู้สึก. มีการบรรเลงเพลงด้วยแตรวง. ตามเส้นทางตั้งแต่เริ่มออกจนถึงปลายทางมีการจุดประทัดซึ่งเอาผูกไว้บนเสาโทรศัพท์ เสาโคม และต้นไม้. มีการจัดวางอาหาร เครื่องดื่มและยาสูบไว้บนโต๊ะบูชา และข้างในศาลเจ้าเล็ก ๆ ที่ตั้งขึ้นไว้เป็นระยะ ๆ ตลอดเส้นทางนั้น มีการเผากระดาษเงินกระดาษทองซึ่งบรรจุด้วยคำสวดอ้อนวอน มีทั้งธูปด้วยเช่นกัน. มีรถแห่ที่สวยงามน่าดูทำด้วยกระดาษเงินกระดาษทอง และไม้ไผ่ซึ่งทำให้ขบวนแห่ศพมีสีสรรน่าตื่นเต้น. บรรดาญาติมิตรของผู้ตายเป็นจำนวนมากที่เดินตามขบวนแห่นั้น ต่างก็ถือโคมไฟจุดมุ่งหมายของการถือโคมไฟเช่นนั้นก็เพื่อส่องทางให้แก่วิญญาณของผู้ตาย. ณ หลุมฝังศพมีการเผากงเต็กที่ทำขึ้นไว้อย่างสวยงาม มีรูปลักษณะเป็นคฤหาสน์อันดูสง่าผ่าเผยบ้าง และมีเครื่องบินบ้าง เรือกำปั่นบ้าง กองทัพบกบ้าง มีทั้งพวกคนใช้ และอะไรต่ออะไรอื่น ๆ อีก.
ในกรณีของบุคคลผู้ซึ่งไม่ค่อยจะมีฐานะและความสำคัญเท่าใดนักย่อมจะเจริญรอยตามกิจปฏิบัติที่คล้ายคลึงกัน หากแต่เป็นไปอย่างขนาดที่เล็กกว่ามาก. อาทิเช่น มีการเผาเครื่องใช้ที่ทำด้วยกระดาษทองซึ่งไม่ละเอียดประณีตเท่าไร และมีจำนวนน้อยกว่า.
การเชื่อถือในเรื่องสถานชำระบาปของผู้ตายเป็นรากฐานของการเผาเครื่องใช้ต่าง ๆ ที่ทำด้วยกระดาษเช่นนั้น. หลังจากการสูญเสียชีวิตของคนเรานั้น มีการเชื่อว่า วิญญาณจะท่องเที่ยววกเวียนอยู่ในสถานที่ชำระบาปเป็นเวลาสองปี แต่ว่าจำเป็นต้องได้รับความช่วยเหลือ เพื่อที่จะเข้าไปสู่สวรรค์ได้. เครื่องสังเวยที่ทำด้วยกระดาษเป็นรูปลักษณะเครื่องใช้ต่าง ๆ นั้นได้รับการออกแบบ เพื่อแสดงให้เห็นว่าผู้ที่ตายไปนั้นดำรงชีวิตอยู่อย่างดี และมีทุกสิ่งทุกอย่างที่จะใช้การได้เมื่อจำเป็นในโลกข้างหน้า. เมื่อเป็นเช่นนั้น คนจีนเป็นจำนวนมากเชื่อว่าวิญญาณของเขาควรจะได้รับการปลดปล่อยให้พ้นจากสถานที่ชำระบาปได้เร็วขึ้น.
ท่านรู้สึกอย่างไรบ้างต่อพิธีการต่าง ๆ ที่ละเอียดประณีต และมีราคาสูงเช่นนั้น? ท่านจะมีส่วนในกิจปฏิบัติต่าง ๆ ทำนองเดียวกันนั้นไหม? หากเป็นเช่นนั้นแล้ว ทำไมเล่า?
ถ้าท่านเชื่อว่าผู้ตายจำเป็นต้องได้รับความช่วยเหลือจากท่าน ท่านมีพยานหลักฐานที่แน่นอนอะไรว่าภายหลังเมื่อร่างกายตายไปแล้วยังมีบางสิ่งบางอย่างที่คงรู้สึกสำนึกตัวอยู่? อะไรทำให้ท่านแน่ใจว่าวิธีทางที่นำมาใช้ในการช่วยเหลือผู้ตายนั้นได้ผลอย่างแท้จริง? ยกตัวอย่างเช่น คนเราจะสามารถพิสูจน์ได้อย่างไรว่าโคมไฟนั้นส่องหนทางให้แก่วิญญาณอย่างแท้จริง ประทัดจะไล่พวกวิญญาณชั่วไปให้พ้น และเครื่องใช้ต่าง ๆ ที่ทำด้วยกระดาษเงินกระดาษทองที่เอามาเผานั้นสามารถช่วยให้วิญญาณของผู้ตายเข้าไปสู่แดนบรมสุขได้? มีรากฐานอะไรในการอ้างว่าอะไรต่ออะไรเช่นนั้นเป็นวิถีทางที่ได้ผลในการช่วยเหลือวิญญาณแห่งผู้ตาย.
ขณะที่พิธีรีตองต่าง ๆ ทางศาสนา ในการช่วยเหลือผู้ตายอาจะจะแตกต่างกันจริง ๆ ภายในบริเวณของท่าน ใคร ๆ จะสามารถพิสูจน์จนเป็นที่พอใจของท่านได้ไหมว่าสิ่งที่ได้มีการปฏิบัติกันนั้นนำมาซึ่งผลดีจริง ๆ?
นอกจากนี้ นับว่าเป็นการเหมาะสมที่จะพิจารณาว่ามีความถูกต้องสมควรและความยุติธรรมมากน้อยเท่าไร ในเรื่องความพยายามช่วยเหลือผู้ตาย. ตามธรรมดาแล้วคนที่มีทรัพย์สมบัติอย่างมหาศาลย่อมสามารถซื้อประทัด ซื้อกระดาษเงินกระดาษทอง หรือสิ่งอื่น ๆ อีกที่สมมุติกันขึ้นในการช่วยเหลือ ผู้ตายนั้นได้อย่างมากมาย. ดังนั้นแล้วก็จะว่าอย่างไรเกี่ยวกับคนที่ยากจน? ถึงแม้ว่าเขาอาจจะเคยได้ดำเนินชีวิตอย่างดีมาแล้ว อย่างที่เป็นประโยชน์ใช้การได้ หากไม่มีใครกระทำอะไร ๆ ให้หลังจากที่เขาตายไปนั้น เขาจะอยู่ในฐานะที่เสียเปรียบจริง ๆ. อีกประการหนึ่งด้วย คนยากจนผู้ที่ซื้อสิ่งของต่าง ๆ เพื่อช่วยเหลือผู้ตายนั้น ย่อมต้องตรากตรำทำงานด้วยมีภาระหนักในทางการเงินอย่างมากมาย ในขณะเดียวกันคนที่ร่ำรวยย่อมจะได้รับการกระทบกระเทือนเพียงเล็กน้อยเท่านั้นเอง.
ท่านรู้สึกอย่างไร ในเรื่องความไม่ยุติธรรมอย่างที่เห็นได้ชัดเช่นนั้น? ท่านจะหันเข้าหาพระเจ้าองค์ใด ๆ ที่พอใจเข้าข้างคนมั่งคั่งร่ำรวยยิ่งกว่าคนจน โดยไม่มีการคำนึงถึงว่าเขาเป็นบุคคลชนิดใดกระนั้นไหม? พระเจ้าแห่งพระคัมภีร์ไบเบิ้ล หาได้เผยให้เห็นความลำเอียงเลือกหน้าเช่นนั้นไม่. พระคัมภีร์บริสุทธิ์น่าเคารพกล่าวถึงพระองค์ดังนี้: “พระเจ้าไม่ทรงเห็นแก่หน้าผู้ใดเลย.”—โรม 2:11
บัดนี้สมมุติว่าบุคคลคนใดสำนึกว่าพิธีรีตองต่าง ๆ ทางศาสนาเพื่อเห็นแก่ผู้ตายนั้นไม่มีประโยชน์ ไม่ประสานกันเสียเลยกับน้ำพระทัยของพระเจ้า ผู้ซึ่งไม่เลือกหน้าผู้ใดนั้น. การที่เขาเข้าส่วนร่วมในพิธีรีตองเหล่านั้น เพียงแต่เพื่อจารีตประเพณีและเพื่อหลีกเลี่ยงการเป็นคนที่แตกต่างไปจากเพื่อนบ้านข้างเคียงของตนเช่นนั้นจะมีเหตุผลไหม? การสนับสนุนเรื่องพิธีรีตองต่าง ๆ ทางศาสนาที่คนเราเห็นว่าไม่เป็นความจริงนั้นจะเป็นไปตามเหตุผลไหม? การที่ดำเนินร่วมกันไปกับอะไรบางอย่างที่เข้าข้างสนับสนุน คนรวยและนำเอาความยากลำบากให้มาตกอยู่กับคนยากจนเป็นการถูกต้องไหม?
ความเชื่อของอาณาจักรคริสเตียนในเรื่องไฟชำระ
ความเชื่อที่ว่าคนตายจำเป็นต้องได้รับความช่วยเหลือให้ออกจากไฟชำระนั้นหาได้ถูกจำกัดไว้แค่ศาสนาซึ่งมิใช่คริสเตียนเท่านั้นไม่. นิว คาธอลิค เอ็นไซคโลพีเดีย แถลงว่า:
“จิตวิญญาณในไฟชำระสามารถได้รับความช่วยเหลือได้ โดยการงานอันประกอบด้วยความเลื่อมใสศรัทธา อาทิเช่น การอธิษฐาน การผ่อนผันโทษ การบริจาคทาน การอดอาหาร และการเสียสละ. . . . ขณะที่คนเราไม่สามารถจะสั่งให้พระเจ้าเอาค่าอันน่าพอใจ แห่งการงานของตนไปใช้ให้เป็นประโยชน์แก่จิตวิญญาณที่น่าสังเวชนั้นได้ เขาอาจจะคาดหมายได้อย่างแน่นอนว่าพระเจ้าจะทรงสดับฟัง คำทูลอ้อนวอนของเขา และช่วยเหลือสมาชิกของคริสต์จักรที่กำลังได้รับความทุกข์ทรมานนั้น.”
คำรับรองที่มีเสนอให้นั้นแน่นอนสักเพียงไรที่ว่าความพยายามเช่นนั้นจะนำมาซึ่งคุณประโยชน์? เอ็นไซคโลพีเดีย นั้นแถลงต่อไปว่า:
“เพราะประโยชน์แห่งการงานอันดีเหล่านี้ขึ้นอยู่กับคำทูลอ้อนวอนของเราต่อพระเจ้า ไม่มีคำรับรองอันไม่ผิดพลาดในการที่คำสวดอ้อนวอนของเราจะช่วยจิตวิญญาณหนึ่ง ๆ ซึ่งอยู่ในไฟชำระ หรือใครคนใดคนหนึ่งในพวกเหล่านั้น ณ ที่นี่และเวลานี้. แต่ความเมตตาและความรักของพระเจ้าต่อบรรดาจิตวิญญาณที่อยู่ในไฟชำระผู้ซึ่งเข้ามาใกล้พระองค์อยู่นั้น ย่อมกระตุ้นพระองค์อย่างแน่ ๆ ในการรีบเร่งปลดปล่อยเขาให้พ้นจากสมัยแห่งการชำระฟอกล้างในเมื่อผู้ซื่อสัตย์สุจริตทางฟื้นแผ่นดินโลกนี้มุ่งเล็งให้คำสวดอ้อนวอนของตนตรงไปยังจุดประสงค์ข้อนี้.”
ด้วยเหตุนี้จึงไม่มีการให้คำรับรองอย่างแท้จริงว่าสิ่งต่าง ๆ ที่กระทำไปเพื่อประโยชน์ของคนเหล่านั้นซึ่งเชื่อกันว่าอยู่ในไฟชำระนั้นได้รับผลสำเร็จบางสิ่งบางอย่างจริง ๆ. และไม่มีหลักเกณฑ์อะไรเลยในการให้คำรับรองเช่นนั้น เพราะพระคัมภีร์ไบเบิ้ลหาได้กระทำเช่นนั้นไม่. แม้แต่คำที่ว่า “ไฟชำระ” ก็หาได้มีบรรจุไว้ในพระคัมภีร์ไม่. นิว คาธอลิค เอ็นไซคโลพีเดีย ยอมรับว่า “ในการวิเคราะห์ขั้นสุดท้าย คำสั่งสอนของฝ่ายคาธอลิคในเรื่องไฟชำระนั้นได้มีการยึดเอาจารีตประเพณีมาเป็นหลัก หาใช่พระคัมภีร์บริสุทธิ์ศักดิ์สิทธิ์ไม่.”—เล่ม 11 หน้า 1034.
มีการยอมรับว่าจารีตประเพณีไม่ใช่จำเป็นจะต้องเป็นสิ่งไม่ดี. แต่ว่าจารีตประเพณีนี้โดยเฉพาะ ไม่เข้าร่องเข้ารอยกับพระวจนะของพระเจ้า. พระคัมภีร์ไม่ได้สอนว่า จิตวิญญาณยังดำรงชีวิตอยู่หลังจากร่างกายตายไปแล้ว. ถ้าเป็นไปเช่นนั้นก็ย่อมเห็นได้ชัดว่า จิตวิญญาณจะต้องผ่านสมัยแห่งการชำระล้างในไฟชำระไม่ได้. เนื่องจากเหตุนี้ คำพูดของพระเยซูที่ตรัสแก่พวกหัวหน้าศาสนาชาติยิวนั้น ก็นับว่าถูกต้อง ในการที่มุ่งเล็งไปยังพวกเหล่านั้นที่สอนเรื่องไฟชำระ: “เจ้าทั้งหลายได้กระทำให้พระคำของพระเจ้าไร้ประโยชน์ด้วยจารีตประเพณีของพวกเจ้า. โอ้คนหน้าซื่อใจคด ยะซายาได้พยากรณ์ถึงพวกเจ้าถูกแล้วว่า ‘คนเช่นนี้นับถือเราด้วยริมฝีปาก แต่ใจของเขาห่างไกลจากเรา. เขานมัสการเราโดยหาประโยชน์มิได้ ด้วยเขาเอาคำสั่งของมนุษย์มาสอนเป็นพระบัญญัติ.’”—มัดธาย 15:6-9.
ขอจงพิจารณาดูเช่นกันถึงวิถีทางในการช่วยเหลือคนเหล่านั้นที่อยู่ในไฟชำระ ตามแสงสว่างเกี่ยวกับสิ่งที่มีสอนในพระคัมภีร์บริสุทธิ์น่าเคารพ. ดังที่มีบันทึกไว้ใน นิว คาธอลิค เอ็นไซคโลพีเดีย การสวดอธิษฐานเป็นงานอย่างหนึ่งแห่งการมีความเลื่อมใสศรัทธาที่สมมุติกันขึ้นว่า สามารถช่วยจิตวิญญาณที่อยู่ในไฟชำระ. เกี่ยวกับการสวดอธิษฐานเช่นนั้น หนังสือเล่มเล็กที่มีชื่อว่า แอซิสท์ ดะ โซลส์ อิน เพอกะโทรี่ (พิมพ์ขึ้นโดยเบนิดิคทินคอนเว่นท์ อ็อฟ เพอร์เพะชั่วล์ อะดอเรชั่น) บอกดังนี้:
“คำสวดอธิษฐานสั้น ๆ แต่ด้วยความศรัทธาอย่างแรงกล้า มักจะเป็นผลดีแก่จิตวิญญาณที่น่าสังเวชมากกว่าการสวดอธิษฐานแบบยืดยาวที่ขาดความเอาใจใส่. คำอธิษฐานสั้น ๆ ที่กล่าวโพล่ง ๆ ออกมานั้นมีมากมายนับไม่ถ้วนที่คริสต์จักรยอมให้มีการผ่อนผันโทษ ซึ่งทั้งหมดนี้นำมาใช้ให้เป็นประโยชน์ได้กับจิตวิญญาณที่น่าสังเวชทั้งหลาย. . . . เป็นการง่ายสักเพียงไรที่เราจะเพิ่มคำอธิษฐาน ซึ่งเป็นเสมือนลูกศรเพลิงเล็ก ๆ นั้นในระหว่างวันหนึ่ง ๆ ขณะที่เราเสร็จจากงานอย่างหนึ่งไปสู่งานอีกอย่างหนึ่ง และแม้แต่ขณะที่มือของเรากำลังเอาธุระกับการงานอาชีพบางอย่าง!. . . . จะมีสักกี่จิตวิญญาณที่เราจะสามารถให้การแบ่งเบาหรือการปลดปล่อยพ้นจากไฟชำระ ถ้าเราเสนอคำอธิษฐานสั้น ๆ ของคริสต์จักรบ่อย ๆ เพื่อการผ่อนผันโทษสำหรับผู้ที่ล่วงลับไปนั้นในระหว่างแต่ละวันซึ่งมีดังต่อไปนี้: ‘โอ้พระผู้เป็นเจ้า ขอโปรดประทานการพักผ่อนตลอดชั่วกาลนานให้แก่เขา และขอทรงโปรดให้มีความสว่างอันถาวรส่องมาเหนือเขา. ขอให้เขาได้พักผ่อนด้วยความสุขสงบ. อาเมน.’ (จะได้รับ [การผ่อนผัน] เป็นเวลา 300 วันแต่ละครั้งไป. ‘คู่มือในเรื่องการผ่อนผัน’ หน้า 582.) ถ้าเรากล่าวซ้ำนามอันศักดิ์สิทธิ์ของ ‘พระเยซู แม่พระมาเรีย โยเซฟ’ ด้วยความศรัทธาอันแรงกล้าแล้ว อาจจะได้รับการผ่อนผันเป็นเวลาถึงเจ็ดปีต่อครั้งหนึ่ง ๆ.”
นั่นดูเหมือนแปลกสำหรับท่านมิใช่หรือว่าการออกชื่อบุคคลสามคนซ้ำ ๆ กันทำให้ได้ผลถึงแปดเท่าของคำสวดอธิษฐานที่ยาวกว่านั้นซึ่งบรรจุด้วยถ้อยคำยี่สิบคำ? การกล่าวคำอธิษฐานซ้ำกันครั้งแล้วครั้งเล่าเช่นนั้น เป็นสิ่งที่พระเจ้าทรงพอพระทัยกระนั้นไหม? เกี่ยวกับเรื่องนี้พระเยซูคริสต์ทรงบอกว่า: “เมื่อท่านอธิษฐาน อย่าพูดอย่างเดียวกันหลายครั้งหลายหนเหมือนคนนานาชาติกระทำกัน เพราะเขาคิดว่าพูดมากหลายคำพระจึงจะทรงโปรดฟัง. ดังนั้น จงอย่าทำเหมือนเขาเลย.”—มัดธาย 6:7, 8.
แทนที่ท่านจะกล่าวถ้อยคำซึ่งท่องจำมานั้นหลายครั้งหลายหน พระคัมภีร์ไบเบิ้ลสนับสนุนให้กล่าวถ้อยคำในการอธิษฐานซึ่งออกมาจากหัวใจ.
อย่าได้มองข้ามเรื่องการที่เงินมีบทบาทเกี่ยวเนื่องด้วยหลักคำสอนเรื่องไฟชำระ. แน่ทีเดียว อาจมีข้ออ้างเหตุผลว่า ผลประโยชน์ในการได้เงินมาเพื่อคริสต์จักรนั้นหาใช่เหตุผลของการสั่งสอนเช่นนั้นไม่. แต่ว่าทั้งนี้ก็หาได้เปลี่ยนข้อเท็จจริงในการที่องค์การศาสนาซึ่งยึดมั่นอยู่กับหลักคำสอนเรื่องไฟชำระนั้น ยังมีความพอใจในการที่จะได้รับของถวายด้วยวัตถุเงินทองอยู่. ไม่มีผู้ใดเคยถูกคริสต์จักรตำหนิในการพยายามซื้อหนทางของตน หรือของใครคนใดคนหนึ่งออกจากไฟชำระ. ไม่มีผู้ใดเคยได้รับคำแนะนำจากคริสต์จักรว่า การที่เขาจะใช้ทรัพย์สมบัติของตนอันมีอยู่อย่างจำกัดเพื่อสิ่งจำเป็นต่าง ๆ เกี่ยวกับชีวิตนั้นก็จะเป็นวิธีการที่ดีกว่า. เป็นเวลาหลายร้อยปีคนมั่งคั่งร่ำรวยและคนยากจนก็เช่นเดียวกัน คือได้บรรจุหีบใส่เงินขององค์การศาสนาเข้าไว้จนเต็ม ด้วยมีความคาดหวังว่าเวลาที่ตนหรือบรรดาผู้ที่รักทั้งหลายของตนต้องอยู่ในไฟชำระนั้นจะได้ลดน้อยลง. คอร์ลิสส์ ลา มอนท์ นักประพันธ์กล่าวไว้ในหนังสือของเขาที่มีชื่อ ดิ อิลลูชั่น อ็อฟอิมอแทลิ ที่ ดังต่อไปนี้:
“พิธีรีตองต่าง ๆ ทางศาสนาเกี่ยวด้วยผู้ที่ล่วงลับไปแล้วย่อมหมายถึงทรัพย์สมบัติอันเหลือคณนาสำหรับคริสต์จักร. ข้อนี้เป็นความจริงโดยเฉพาะในคริสต์จักรโรมันคาธอลิคและอิสเตอร์น ออร์ธอด๊อกส์ ซึ่งมีการเน้นอย่างมากมายเรื่องมิซซา การสวดมนต์อ้อนวอน และพิธีที่สมควรอื่น ๆ อีกเพื่อประโยชน์ของผู้ตาย ของผู้ที่จวนจะตายและพวกเหล่านั้นทั้งหมดซึ่งถึงอย่างไร ๆ เสียก็รู้สึกเป็นห่วงกังวลเรื่อง ฐานะของตนในอนาคต.
“ตั้งแต่ตอนต้นสมัยกลางนั้นทีเดียว คริสต์จักรคาธอลิคได้เงินเป็นจำนวนมากมายจากพวกที่มั่งคั่งร่ำรวย และพวกคนยากจนด้วยเช่นเดียวกัน โดยการยอมให้มีการผ่อนผันโทษเพียงแต่อย่างเดียว. การผ่อนผันโทษซึ่งประชาชนได้รับนี้เป็นการชดเชยสำหรับการชำระเงิน การบริจาคเป็นการกุศลหรือมิฉะนั้นก็มีของถวายอย่างอื่นอีก โดยมีเงื่อนไขว่าจิตวิญญาณของตนเอง หรือจิตวิญญาณของญาติพี่น้อง หรือมิตรสหายที่ล่วงลับไปนั้นได้รับการปลดปล่อยให้พ้นจากการลงโทษทั้งหมด หรือมิฉะนั้นก็บางส่วนที่มีกำหนดไว้ในไฟชำระ. . . . คริสต์จักรออร์ธอด๊อกส์ในประเทศรัสเซียได้สะสมรวบรวมทรัพย์สมบัติไว้อย่างมากมายมหาศาล โดยมีการสวดอ้อนวอนทำนองเดียวกัน เพื่อประโยชน์ของผู้ตาย. นอกจากรายที่มีเข้ามาอย่างสม่ำเสมอ จากพวกคนงานและชาวชนบทที่เป็นทุกข์กังวลในอันที่จะให้มีการลดหย่อนผ่อนโทษจากพระผู้เป็นเจ้า เหล่าสมาชิกผู้มีบรรดาศักดิ์ และชนชั้นสูงเป็นจำนวนมากต่างก็บริจาคเป็นการถาวรแก่วัดและโบสถ์โดยมีเงื่อนไขที่จะให้มีการสวดอ้อนวอนเป็นประจำไปแต่ละวัน เผื่อจิตวิญญาณของตนเมื่อล่วงลับไป.”
หากว่าการถวายวัตถุเงินทองเช่นนั้นเป็นผลดีแก่ผู้ตายจริงแล้ว ทั้งนี้ก็ย่อมหมายความว่าพระเจ้าทรงใฝ่พระทัยในเรื่องเงินทองน่ะซี. แต่พระองค์หาใช่ว่าต้องการเงินทองหรือสมบัติพัสดุของผู้หนึ่งผู้ใดไม่. พระเจ้าทรงแถลงไว้โดยท่านผู้ประพันธ์บทเพลงสรรเสริญดังต่อไปนี้: “เราจะไม่เอาโคผู้ไปจากบ้านของเจ้า หรือแพะตัวผู้จากคอกของเจ้า. เพราะสัตว์ป่าทุกตัวเป็นของเรา คือสัตว์เดรัจฉานบนภูเขาตั้งพันยอด. สัตว์มีปีกทุกตัวที่ภูเขาเรารู้จักดี และบรรดาสัตว์ทั้งหลายที่ทุ่งนาก็อยู่กับเรา. ถ้าเราหิว เราก็จะไม่บอกเจ้า เพราะแผ่นดินที่ผลิตผลอันอุดมสมบูรณ์ และสารพัดสิ่งที่อยู่ในนั้นเป็นของเรา.”—บทเพลงสรรเสริญ 50:9-12.
ตามความจริงแล้ว ความมั่งคั่งด้วยโภคทรัพย์ทั้งหมดของโลกนี้ ไม่สามารถช่วยเหลือคนตายได้. เงินทองและทรัพย์สมบัติพัสดุไม่สามารถแม้แต่จะช่วยชีวิตเขาไว้ให้พ้นจากความตายได้. ดังที่พระคัมภีร์บอกไว้ว่า: “คนที่วางใจในทรัพย์ศฤงคารของตัวและอวดอ้างความมั่งคั่งอันอุดมของตน ไม่มีใครสักคนเดียว ไม่ว่าจะกระทำด้วยวิธีใด ๆ ก็จะไม่สามารถไถ่ชีวิตน้องชายได้ หรือจะเอาค่าไถ่มาถวายพระเจ้าสำหรับเป็นค่าไถ่น้องของตน ก็ไม่ได้ (และค่าไถ่จิตวิญญาณของเขานั้นมีค่ามากซึ่งก็ได้ยุติลงแล้ว จนกระทั่งไม่มีเวลากำหนด) เพื่อเขาจะยังคงมีชีวิตอยู่ตลอดไป และจะไม่ได้เห็นหลุม.”—บทเพลงสรรเสริญ 49:6-9.
ไม่มีข้อสงสัยได้เลยที่ว่าความพยายามในการช่วยเหลือผู้ตายนั้น ไม่มีหลักมาจากพระคัมภีร์. คำสอนที่ว่าคนที่มีชีวิตอยู่จะช่วยเหลือคนที่ตายไปแล้วได้นั้นย่อมมีแต่วางภาระหนักไว้ให้แก่ประชาชนเท่านั้นเอง. อย่างไรก็ดี ความรู้เกี่ยวกับพระวจนะของพระเจ้าย่อมจะทำให้คนเรามีอิสระ พ้นจากความคิดความเข้าผิดเช่นนี้. ทั้งนี้ย่อมจะช่วยให้เรามีเครื่องกระตุ้นที่แท้จริงในการปฏิบัติอย่างดีที่สุดในระหว่างที่สมาชิดแห่งครอบครัวของเรามีชีวิตอยู่ เพื่อทำให้เขารู้สึกว่าเขายังเป็นผู้ที่เราต้องการ เป็นผู้ที่เรารักและมองเห็นคุณค่าอยู่. หลังจากที่เขาตายไปแล้วย่อมจะสายเกินไปที่ใคร ๆ จะทำการชดใช้สำหรับการที่ตนได้ละเลยไม่เอาใจใส่ในการแสดงความกรุณาเมตตา และการเห็นอกเห็นใจ.