พระเจ้าทรงทำให้เติบโต
(หนังสือประจำปี 2011 หน้า 55 วรรค 1-2)
เธอไม่ได้เคาะประตู. มิเรียมซึ่งอยู่ในโบลิเวีย ได้อธิษฐานถึงพระเจ้ามาเป็นอาทิตย์แล้ว. เธออธิษฐานทำนองนี้: “ขอโปรดช่วยข้าพเจ้าให้รู้จักพระองค์ แต่ข้าพเจ้าไม่ต้องการความช่วยเหลือจากพยานพระยะโฮวา. ข้าพเจ้าไม่อยากให้พวกเขามาเคาะประตูบ้าน.”
ต่อมาในสัปดาห์นั้น เสียงโทรศัพท์ดังขึ้น. แคนดีซึ่งเป็นไพโอเนียร์พิเศษได้เสนอที่จะนำวารสารของเราไปให้มิเรียมภายในหนึ่งชั่วโมง. เธอตกลง. ภายในหนึ่งชั่วโมงแคนดีมาที่หน้าบ้านของเธอ. มิเรียมเปิดประตูทันทีแล้วเรียกแคนดีให้เข้ามานั่งข้างใน. จากนั้นมิเรียมก็เดินกลับไปกลับมาแล้วสั่นหัว ดูว้าวุ่นใจจริง ๆ . แคนดีถามเธอว่าเป็นอะไรหรือเปล่า. มิเรียมบอกว่า “ฉันกำลังช็อคอยู่! ฉันได้อธิษฐานมาตลอดอาทิตย์เพื่อขอพระเจ้าชี้แนะและนำทาง แต่ฉันบอกตรง ๆ ในคำอธิษฐานว่าไม่อยากรับความช่วยเหลือจากพยานพระยะโฮวาที่มาเคาะประตูบ้านฉันอยู่เสมอ! แล้วคุณก็โทรมาหาฉันแทนที่จะมาเคาะประตู! ตั้งแต่ที่คุณโทรมาชั่วโมงก่อน ฉันได้อธิษฐานขอพระเจ้าเพื่อคุณจะไม่มาเยี่ยมฉัน. แต่คุณก็ยังมา! ฉันถึงได้ช็อคไง! เห็นได้ชัดว่าพระองค์ต้องการให้พยานพระยะโฮวา ก็พวกคุณนั่นแหละ มาช่วยฉัน.” การศึกษาได้เริ่มขึ้นทันที.
(หน้า 138 วรรค 3-4)
ระหว่างเป็นไพโอเนียร์ในฮูลา ดอนกับเชอร์ลีย์ ฟีลเดอร์เริ่มศึกษาพระคัมภีร์กับอะโลกีและเรนากี พาลา. ดอนเขียนว่า “อะโลกีเป็นขโมยและชอบต่อสู้กับคนอื่น. เขาเป็นโรคในเขตร้อนที่ทำให้ผิวหนังดูน่าเกลียด และแผลเปื่อยได้ทำให้เขาปากแหว่ง. เขากับภรรยาต่างก็เคี้ยวหมาก ฟันจึงดำและซอกฟันก็มักจะมีสีแดงเหมือนเลือด. คงไม่มีใครคาดคิดว่าคนอย่างอะโลกีจะเข้ามาในความจริง. กระนั้น เขากับภรรยาก็สนใจความจริงและเข้าร่วมการประชุมของเรา นั่งเงียบ ๆ อยู่ด้านหลัง.
ดอนเล่าว่า “ระหว่างช่วงหกเดือน เราได้เห็นการเปลี่ยนแปลงอย่างน่าทึ่งในตัวอะโลกี. เขาเลิกขโมย เลิกต่อสู้และไม่โต้เถียง เขากับเรนากีชำระตัวให้สะอาดและเริ่มมีส่วนร่วมในการประชุม. เขายังเริ่มบอกข่าวดีกับคนอื่น. ที่จริง ทั้งสองกับคนอื่น ๆ อีกบางคนเป็นผู้ประกาศรุ่นแรกในเขตฮูลา.”