ปฐมกาล
1 ในตอนเริ่มต้น พระเจ้าสร้างฟ้าและโลก+
2 โลกว่างเปล่าไม่มีอะไรเลย มีแต่ความมืดอยู่เหนือน้ำ+ซึ่งมีอยู่ทั่วทั้งโลก และพลังที่พระเจ้าใช้ในการทำงาน*+ก็เคลื่อนไปมาอยู่เหนือน้ำนั้น+
3 พระเจ้าพูดว่า “ให้ความสว่างเกิดขึ้น” ความสว่างก็เกิดขึ้น+ 4 พระเจ้าเห็นว่าความสว่างนั้นดี และกำหนดให้ความสว่างกับความมืดแยกออกจากกัน 5 พระเจ้าเรียกความสว่างว่าวัน และเรียกความมืดว่าคืน+ มีเวลาเย็นและเวลาเช้าเป็นวันที่ 1
6 พระเจ้าพูดว่า “ให้น้ำแยกออกจากกัน+เพื่อให้มีชั้นบรรยากาศระหว่างน้ำสองส่วนนั้น”*+ 7 แล้วพระเจ้าก็ทำให้มีชั้นบรรยากาศ โดยแยกน้ำส่วนหนึ่งให้อยู่ใต้ชั้นบรรยากาศและน้ำอีกส่วนหนึ่งให้อยู่เหนือชั้นบรรยากาศ+ ก็เป็นไปตามนั้น 8 พระเจ้าเรียกชั้นบรรยากาศนั้นว่าท้องฟ้า มีเวลาเย็นและเวลาเช้าเป็นวันที่ 2
9 พระเจ้าพูดว่า “ให้น้ำที่อยู่บนโลกมารวมอยู่ที่เดียวกัน และให้ที่แห้งปรากฏขึ้นมา”+ ก็เป็นไปตามนั้น 10 พระเจ้าเรียกที่แห้งว่าแผ่นดิน+ และเรียกที่ซึ่งน้ำอยู่รวมกันว่าทะเล*+ แล้วพระเจ้าเห็นว่าดี+ 11 แล้วพระเจ้าพูดว่า “ให้มีพืชตระกูลหญ้า พืชที่มีเมล็ด และต้นไม้ที่ให้ผลที่มีเมล็ดตามชนิดของมันขึ้นบนแผ่นดิน” ก็เป็นไปตามนั้น 12 แผ่นดินจึงมีพืชตระกูลหญ้า พืชที่มีเมล็ด+ และต้นไม้ที่ให้ผลที่มีเมล็ดตามชนิดของมัน แล้วพระเจ้าเห็นว่าดี 13 มีเวลาเย็นและเวลาเช้าเป็นวันที่ 3
14 พระเจ้าพูดว่า “ให้มีดวงสว่าง+ในท้องฟ้าเพื่อแยกกลางวันกับกลางคืน+ ดวงสว่างทั้งหมดนั้นจะเป็นเครื่องหมายบ่งบอกฤดู วัน และปี+ 15 ดวงสว่างทั้งหมดนั้นจะอยู่ในท้องฟ้าเพื่อให้แสงสว่างกับโลก” ก็เป็นไปตามนั้น 16 พระเจ้าทำให้มีดวงสว่างขนาดใหญ่สองดวง ให้ดวงที่ใหญ่กว่าส่องแสงตอนกลางวัน+และดวงที่เล็กกว่าส่องแสงตอนกลางคืน และพระเจ้าให้มีดวงดาวต่าง ๆ ด้วย+ 17 พระเจ้าให้ดวงสว่างเหล่านั้นอยู่ในท้องฟ้าเพื่อให้แสงสว่างแก่โลก 18 เพื่อส่องแสงตอนกลางวันและกลางคืน เพื่อแยกความสว่างและความมืดออกจากกัน+ แล้วพระเจ้าเห็นว่าดี 19 มีเวลาเย็นและเวลาเช้าเป็นวันที่ 4
20 พระเจ้าพูดว่า “ให้มีสัตว์มากมายที่มีชีวิตอยู่ในน้ำและสัตว์ที่บินในท้องฟ้าเหนือแผ่นดิน”+ 21 พระเจ้าสร้างสัตว์ทะเลขนาดใหญ่และสัตว์ทุกอย่างที่แหวกว่ายไปมาในน้ำตามชนิดของมัน และสัตว์ทุกอย่างที่มีปีกบินได้ตามชนิดของมัน แล้วพระเจ้าเห็นว่าดี 22 พระเจ้าอวยพรพวกมันว่า “ให้เกิดลูกหลานมากมายและเพิ่มจำนวนให้เต็มท้องทะเล+ และให้สัตว์ที่บินได้เพิ่มจำนวนบนโลก” 23 มีเวลาเย็นและเวลาเช้าเป็นวันที่ 5
24 พระเจ้าพูดว่า “ให้มีสัตว์ต่าง ๆ บนแผ่นดินตามชนิดของมันคือ สัตว์ที่เชื่อง สัตว์เลื้อยคลาน* และสัตว์ป่าตามชนิดของมัน”+ ก็เป็นไปตามนั้น 25 พระเจ้าทำให้มีสัตว์ป่าบนแผ่นดินตามชนิดของมัน สัตว์ที่เชื่องตามชนิดของมัน และสัตว์เลื้อยคลานทุกชนิดที่อยู่บนพื้นดินตามชนิดของมัน แล้วพระเจ้าเห็นว่าดี
26 พระเจ้าพูดว่า “ให้เรา+สร้างมนุษย์ตามแบบเรา+และมีลักษณะคล้ายเรา+ และให้ปลาในทะเล สัตว์ที่บินในท้องฟ้า สัตว์ที่เชื่อง สัตว์เลื้อยคลานทุกชนิดที่อยู่บนแผ่นดิน และโลกทั้งโลกอยู่ใต้อำนาจพวกเขา”+ 27 พระเจ้าจึงสร้างมนุษย์ตามแบบพระองค์ ดังนั้น มนุษย์จึงถูกสร้างตามแบบพระเจ้า ถูกสร้างเป็นผู้ชายและผู้หญิง+ 28 แล้วพระเจ้าอวยพรพวกเขาว่า “ให้เกิดลูกหลานมากมายและเพิ่มจำนวนให้เต็มโลก+ ให้มีอำนาจเหนือแผ่นดิน+และมีอำนาจเหนือ+ปลาในทะเล สัตว์ที่บินในท้องฟ้า และสัตว์ทุกชนิดที่อยู่บนแผ่นดิน”
29 พระเจ้าพูดว่า “เราให้พืชทุกอย่างที่มีเมล็ดซึ่งมีอยู่ทั่วพื้นแผ่นดินและต้นไม้ทุกอย่างซึ่งออกผลที่มีเมล็ดแก่พวกเจ้า ทั้งหมดนี้จะเป็นอาหารสำหรับพวกเจ้า+ 30 เราให้พืชสีเขียวทุกอย่างเป็นอาหารสำหรับสัตว์ป่าบนแผ่นดิน สำหรับสัตว์ที่บินในท้องฟ้า และสำหรับสัตว์ทั้งหมดที่มีชีวิตอยู่บนแผ่นดิน”+ ก็เป็นไปตามนั้น
31 แล้วพระเจ้าก็มองดูทุกสิ่งที่พระองค์สร้างขึ้นและเห็นว่าดียอดเยี่ยม+ มีเวลาเย็นและเวลาเช้าเป็นวันที่ 6
2 ดังนั้น ฟ้าและโลกรวมทั้งสิ่งต่าง ๆ บนฟ้าและโลกก็ถูกสร้างจนเสร็จสมบูรณ์+ 2 พอถึงวันที่ 7 งานที่พระเจ้าทำก็เสร็จเรียบร้อยแล้ว และในวันที่ 7 พระเจ้าจึงเริ่มหยุดพักจากงานทั้งหมดนั้น+ 3 พระเจ้าอวยพรวันที่ 7 และให้เป็นวันบริสุทธิ์* เพราะในวันที่ 7 พระองค์เริ่มหยุดพักหลังจากได้สร้างสิ่งต่าง ๆ ตามที่พระองค์ต้องการแล้ว
4 นี่เป็นเรื่องราวในตอนที่ฟ้าและโลกถูกสร้างขึ้น คือในวัน*ที่พระยะโฮวา*พระเจ้าสร้างโลกและฟ้า+
5 มีช่วงหนึ่งที่ยังไม่มีต้นไม้ในทุ่งและไม่มีพืชพรรณงอกขึ้นบนแผ่นดิน เพราะพระยะโฮวาพระเจ้ายังไม่ให้มีฝนตกบนแผ่นดินและยังไม่มีมนุษย์ทำการเพาะปลูก 6 แต่พระองค์ทำให้มีไอน้ำขึ้นมาจากแผ่นดินจนพื้นดินเปียกไปทั่ว
7 ต่อมาพระยะโฮวาพระเจ้าสร้างมนุษย์จากดิน+ เป่าลมหายใจที่ทำให้มีชีวิตเข้าทางจมูก+ มนุษย์จึงมีชีวิต+ 8 พระยะโฮวาพระเจ้าเตรียมสวนแห่งหนึ่งไว้ที่เอเดน+ทางฝั่งทิศตะวันออก แล้วให้มนุษย์ที่พระองค์สร้างขึ้นอยู่ที่นั่น+ 9 พระยะโฮวาพระเจ้าให้ต้นไม้ทุกชนิดที่สวยงามและน่ากินงอกขึ้นจากดิน รวมทั้งต้นไม้ที่ให้ชีวิต+ที่อยู่กลางสวนกับต้นไม้ที่ให้รู้ดีรู้ชั่ว+
10 มีแม่น้ำสายหนึ่งไหลออกมาจากเอเดน แม่น้ำทำให้สวนนั้นชุ่มชื่น แล้วแม่น้ำก็แยกเป็น 4 สาย 11 แม่น้ำสายที่ 1 ชื่อปิโชนไหลรอบแผ่นดินฮาวิลาห์ที่มีทองคำ 12 แผ่นดินนี้มีทองคำเนื้อดีและยังมียางไม้หอมและหินโอนิกซ์ด้วย 13 แม่น้ำสายที่ 2 ชื่อกีโฮนไหลรอบแผ่นดินคูช* 14 แม่น้ำสายที่ 3 ชื่อฮิดเดเคล*+ไหลไปทางทิศตะวันออกของอัสซีเรีย+ แม่น้ำสายที่ 4 ชื่อยูเฟรติส+
15 พระยะโฮวาพระเจ้าให้มนุษย์คนนั้นอยู่ในสวนเอเดน ให้เขาเพาะปลูกและดูแลสวน+ 16 พระยะโฮวาพระเจ้าสั่งเขาว่า “เจ้ากินผลจากต้นไม้ทุกต้นในสวนนี้ได้จนพอใจ+ 17 แต่ห้ามกินผลจากต้นไม้ที่ให้รู้ดีรู้ชั่ว ถ้าเจ้ากินผลจากต้นนั้นในวันไหน เจ้าจะต้องตายในวันนั้น”+
18 ต่อมาพระยะโฮวาพระเจ้าพูดว่า “ถ้าจะให้มนุษย์คนนั้นอยู่คนเดียวต่อไปก็ไม่เหมาะ เราจะให้เขามีผู้ช่วยคนหนึ่งมาเป็นคู่ที่เหมาะกับเขา มาเติมเต็มชีวิตให้เขา”+ 19 พระยะโฮวาพระเจ้าพาสัตว์ที่พระองค์ได้สร้างขึ้นจากดินนั้นมาหามนุษย์ ทั้งสัตว์ป่าและสัตว์ที่บินในท้องฟ้า เพื่อให้เขาดูว่าจะเรียกสัตว์แต่ละชนิดอย่างไร และไม่ว่าเขาจะเรียกมันอย่างไรมันก็จะมีชื่ออย่างนั้น+ 20 มนุษย์นั้นจึงตั้งชื่อสัตว์ทั้งหมดที่เชื่องและสัตว์ที่บินในท้องฟ้ารวมทั้งสัตว์ป่าทั้งหมด แต่เขาก็ยังไม่มีผู้ช่วยที่มาเป็นคู่ที่เหมาะกับเขา 21 พระยะโฮวาพระเจ้าจึงทำให้มนุษย์นั้นหลับสนิท ตอนที่เขาหลับอยู่ พระองค์เอาซี่โครงของเขามาซี่หนึ่งแล้วทำให้เนื้อตรงนั้นติดกันเหมือนเดิม 22 แล้วพระยะโฮวาพระเจ้าใช้ซี่โครงที่เอามาจากมนุษย์นั้นสร้างเป็นผู้หญิงแล้วพามาหาเขา+
23 มนุษย์นั้นจึงพูดว่า
“กระดูกของเธอมาจากกระดูกของผม
เนื้อของเธอก็มาจากเนื้อของผม
ผมจะเรียกเธอว่าผู้หญิง
เพราะเธอมาจากผู้ชาย”+
24 ดังนั้น ผู้ชายจะจากพ่อแม่ไปผูกพันใกล้ชิดกับภรรยา แล้วทั้งสองจะเป็นหนึ่งเดียว*+ 25 เขากับภรรยาเปลือยกายอยู่+แต่ก็ไม่รู้สึกอาย
3 ในสัตว์ป่าทั้งหมดที่พระยะโฮวาพระเจ้าสร้างนั้น งู+เป็นสัตว์ที่เจ้าเล่ห์ที่สุด* มันพูดกับผู้หญิงว่า “พระเจ้าไม่ให้พวกคุณกินผลไม้ทุกต้นในสวนนี้จริง ๆ หรือ?”+ 2 ผู้หญิงตอบงูว่า “ผลไม้ในสวนนี้พวกเรากินได้+ 3 แต่พระเจ้าพูดถึงผลของต้นที่อยู่กลางสวน+ว่า ‘ห้ามกินผลจากต้นนั้น อย่าแม้แต่จะไปแตะต้อง ไม่อย่างนั้น พวกเจ้าจะต้องตาย’” 4 งูจึงพูดกับผู้หญิงว่า “พวกคุณจะไม่ตายหรอก+ 5 จริง ๆ แล้วพระเจ้าก็รู้ว่า ในวันที่พวกคุณกินผลของต้นนั้น พวกคุณจะตาสว่างและจะเป็นเหมือนพระเจ้า รู้*ว่าอะไรดีอะไรชั่ว”+
6 ผู้หญิงนั้นเห็นว่าผลของต้นไม้นั้นน่ากิน น่าดู และสวยสะดุดตาจริง ๆ เธอจึงเก็บมากิน+ ต่อมาเมื่ออยู่กับสามี เธอก็เอาผลจากต้นนั้นให้สามีกินด้วย เขาก็กิน+ 7 แล้วทั้งสองก็ตาสว่างและรู้ว่าตัวเองเปลือยอยู่ จึงเอาใบมะเดื่อมากลัดเข้าด้วยกันเป็นผืนแล้วปิดรอบสะโพก+
8 ต่อมา พวกเขาได้ยินเสียงพระยะโฮวาขณะที่พระองค์เดินอยู่ในสวนช่วงที่ลมพัดเย็นสบาย ผู้ชายคนนั้นกับภรรยาจึงไปซ่อนตัวอยู่ท่ามกลางต้นไม้ในสวนเพื่อไม่ให้พระยะโฮวาพระเจ้าเห็น 9 พระยะโฮวาพระเจ้าเรียกหาผู้ชายคนนั้นหลายครั้งว่า “เจ้าอยู่ไหน?” 10 ในที่สุดเขาก็พูดว่า “ผมได้ยินเสียงพระองค์ในสวนแล้ว แต่ผมกลัวเพราะว่าเปลือยอยู่ ผมเลยหนีไปซ่อนตัว” 11 พระองค์จึงพูดว่า “ใครบอกเจ้าล่ะว่าเจ้าเปลือยอยู่?+ นี่เจ้าแอบกินผลไม้ที่เราห้ามไม่ให้กินไปแล้วใช่ไหม?”+ 12 ผู้ชายนั้นพูดว่า “ผู้หญิงที่พระองค์ยกให้ผมนั่นแหละเอาผลของต้นนั้นให้ผม ผมถึงได้กิน” 13 พระยะโฮวาพระเจ้าพูดกับผู้หญิงว่า “ทำไมเจ้าทำอย่างนั้น?” ผู้หญิงนั้นตอบว่า “งูหลอกดิฉัน ดิฉันถึงได้กิน”+
14 พระยะโฮวาพระเจ้าพูดกับงู+ว่า “เพราะเจ้าทำอย่างนี้ เจ้าเลยต้องถูกสาปแช่ง ในพวกสัตว์ที่เชื่องและสัตว์ป่าทั้งหมดนั้น เจ้าเป็นสัตว์ที่ถูกสาปแช่ง เจ้าจะต้องเลื้อยและกินดินไปจนตาย 15 เราจะให้เจ้ากับผู้หญิงเป็นศัตรูกัน และให้ลูกหลานของเจ้า+กับลูกหลานของเธอ+เป็นศัตรูกัน เขาจะบดขยี้*หัวเจ้าและเจ้าจะทำให้ส้นเท้าเขาฟกช้ำ”*+
16 พระองค์พูดกับผู้หญิงว่า “เราจะให้เจ้ามีความลำบากมากขึ้นเมื่อเจ้าท้อง เจ้าจะคลอดลูกด้วยความเจ็บปวด เจ้าจะต้องคอยพึ่งสามี และเขาจะใช้อำนาจกับเจ้า”
17 พระองค์ก็พูดกับอาดัม*ว่า “เพราะเจ้าฟังภรรยาและกินผลไม้จากต้นที่เราสั่ง+ว่า ‘ห้ามกิน’ เจ้าจึงทำให้แผ่นดินถูกสาปแช่ง+ เจ้าจะหากินบนแผ่นดินด้วยความยากลำบากไปตลอดชีวิต+ 18 จะมีต้นหนามและวัชพืชงอกขึ้นมา และเจ้าจะกินพืชที่งอกขึ้นบนแผ่นดิน 19 เจ้าจะหากินจนเหงื่อไหลโซมจนกว่าจะกลับเป็นดิน เพราะเจ้าถูกสร้างจากดิน+ เจ้าเกิดจากดิน เจ้าจะต้องกลับเป็นดินอีก”+
20 อาดัมตั้งชื่อให้ภรรยาว่าเอวา* เพราะเธอจะเป็นแม่ของมนุษย์ทุกคน*+ 21 พระยะโฮวาพระเจ้าทำเสื้อยาวจากหนังสัตว์ให้อาดัมกับภรรยาเอาไว้ใส่+ 22 แล้วพระยะโฮวาพระเจ้าพูดว่า “ตอนนี้มนุษย์รู้ว่าอะไรดีอะไรชั่วเหมือนเรา*แล้ว+ ดังนั้น เราต้องทำอะไรสักอย่างเพื่อไม่ให้เขายื่นมือไปเด็ดผลไม้จากต้นไม้ที่ให้ชีวิต+มากิน แล้วมีชีวิตตลอดไป” 23 พระยะโฮวาพระเจ้าจึงไล่เขาออกจากสวนเอเดน+ให้ไปเพาะปลูกบนดินที่ใช้สร้างเขาขึ้นมา+ 24 เมื่อพระองค์ไล่มนุษย์ออกไปแล้ว พระองค์ให้มีเครูบ*+อยู่ทางด้านตะวันออกของสวนเอเดน และมีดาบที่มีไฟลุกและหมุนอยู่ที่นั่นด้วย เพื่อกั้นทางไปถึงต้นไม้ที่ให้ชีวิต
4 อาดัมมีเพศสัมพันธ์กับเอวาภรรยาของเขา เธอตั้งท้อง+ ต่อมาเมื่อเธอคลอดคาอิน+แล้ว เธอบอกว่า “พระยะโฮวาช่วยฉันให้มีลูกชายคนหนึ่ง” 2 หลังจากนั้น เธอก็ตั้งท้องอีกและคลอดอาเบล+น้องชายของคาอิน
พอโตขึ้นอาเบลเป็นคนเลี้ยงแกะ ส่วนคาอินเป็นคนทำไร่ไถนา 3 อยู่มาวันหนึ่ง คาอินเอาพืชผลจากไร่นามาถวายพระยะโฮวา 4 อาเบลก็นำลูกแกะตัวแรกบางตัวที่คลอดออกมาจากฝูงของตัวเอง+มาถวายพร้อมกับส่วนที่เป็นมันของแกะพวกนั้นด้วย พระยะโฮวาพอใจอาเบลกับของถวายของเขา+ 5 แต่พระองค์ไม่พอใจคาอินกับของถวายของเขาเลย คาอินก็โกรธมากหน้าตาบึ้งตึง 6 พระยะโฮวาจึงพูดกับคาอินว่า “ทำไมเจ้าโกรธและหน้าตาบึ้งตึงอย่างนี้? 7 ถ้าเจ้าเปลี่ยนใจมาทำดี เราจะพอใจเจ้า แต่ถ้าเจ้าไม่เปลี่ยน บาปก็จะซุ่มคอยตะครุบเจ้าอยู่ที่ประตู เจ้าน่าจะเอาชนะมันไม่ใช่หรือ?”
8 ตอนหลัง คาอินพูดกับอาเบลน้องชายว่า “ไปที่ทุ่งกันเถอะ” พออยู่ในทุ่งด้วยกัน คาอินก็ทำร้ายและฆ่าอาเบลน้องของตัวเอง+ 9 ต่อมาพระยะโฮวาถามคาอินว่า “อาเบลน้องเจ้าอยู่ไหน?” เขาตอบว่า “ผมไม่รู้ ผมเป็นคนดูแลน้องหรือ?” 10 พระองค์จึงพูดว่า “เจ้าทำอะไรลงไป? ฟังสิ! เลือดของน้องเจ้าที่ไหลลงไปในดินกำลังร้องขอความยุติธรรมจากเรา+ 11 เจ้าจะถูกแช่งและถูกไล่ออกไปจากแผ่นดินเพราะเจ้าฆ่าน้องของตัวเอง ทำให้เลือดของน้องไหลลงไปในดิน+ 12 แผ่นดินที่เจ้าเพาะปลูกจะไม่ค่อยเกิดผล เจ้าจะเป็นคนร่อนเร่และต้องคอยหลบหนีอยู่ในโลก” 13 คาอินบอกพระยะโฮวาว่า “ความผิดที่ผมทำนั้นมีโทษหนักเกินกว่าจะทนได้ 14 วันนี้พระองค์ไล่ผมออกจากแผ่นดินนี้ให้พ้นหน้าพระองค์ ผมต้องร่อนเร่และคอยหลบหนีอยู่ในโลก ถ้ามีใครพบผม เขาจะฆ่าผมแน่ ๆ” 15 พระยะโฮวาจึงบอกเขาว่า “ถ้าอย่างนั้น คนที่ฆ่าคาอินจะต้องรับโทษหนักเป็น 7 เท่า”
แล้วพระยะโฮวาก็ทำเครื่องหมาย*ให้คาอิน เพื่อคนที่พบเขาจะได้ไม่ฆ่าเขา 16 คาอินจึงหนีหน้าพระยะโฮวาไปอาศัยในแผ่นดินโนด*ซึ่งอยู่ทางทิศตะวันออกของเอเดน+
17 ต่อมา คาอินมีเพศสัมพันธ์กับภรรยา+ เธอก็ตั้งท้องและคลอดเอโนค ภายหลัง คาอินสร้างเมืองหนึ่งขึ้นและตั้งชื่อเมืองนั้นว่าเอโนคตามชื่อลูกชาย 18 เอโนคมีลูกชายชื่ออิราด อิราดมีลูกชายชื่อเมหุยาเอล เมหุยาเอลมีลูกชายชื่อเมธูชาเอล เมธูชาเอลมีลูกชายชื่อลาเมค
19 ลาเมคมีภรรยา 2 คน คนแรกชื่ออาดาห์ คนที่สองชื่อศิลลาห์ 20 อาดาห์มีลูกชายชื่อยาบาล ยาบาลเป็นคนแรกที่อาศัยอยู่ในเต็นท์และเลี้ยงสัตว์ 21 ยาบาลมีน้องชายชื่อยูบาล ยูบาลเป็นคนแรกที่ดีดพิณและเป่าปี่ 22 ส่วนศิลลาห์มีลูกชายชื่อทูบัลคาอินซึ่งเป็นช่างทำเครื่องมือทุกชนิดจากทองแดงและเหล็ก และมีลูกสาวชื่อนาอามาห์ 23 ลาเมคพูดเป็นบทกวีกับอาดาห์และศิลลาห์ภรรยาของตัวเองว่า
“ภรรยาทั้งสองของลาเมคฟังให้ดี
ตั้งใจฟังที่ฉันพูด
ฉันได้ฆ่าชายคนหนึ่งที่ทำร้ายฉัน
คือคนหนุ่มที่ทุบตีฉัน
24 ถ้าคนที่ฆ่าคาอินต้องรับโทษหนักเป็น 7 เท่า+
คนที่ฆ่าลาเมคก็ต้องรับโทษเป็น 77 เท่า”
25 อาดัมมีเพศสัมพันธ์กับภรรยาอีก เธอก็คลอดลูกชายและตั้งชื่อว่าเสท*+ เพราะเป็นอย่างที่เธอพูดว่า “พระเจ้าให้ฉันมีลูกอีกคนหนึ่งแทนอาเบล เพราะคาอินได้ฆ่าเขา”+ 26 เสทก็มีลูกชายคนหนึ่ง เขาตั้งชื่อลูกว่าเอโนช+ ผู้คนเริ่มใช้ชื่อพระยะโฮวาผิด ๆ ตั้งแต่นั้นมา
5 นี่เป็นบันทึกประวัติของอาดัม ในวันที่พระเจ้าสร้างอาดัมนั้นพระองค์สร้างเขาให้มีลักษณะคล้ายกับพระองค์+ 2 พระเจ้าสร้างมนุษย์เป็นผู้ชายและผู้หญิง+ และในวันที่สร้างพวกเขาขึ้นมา+นั้นพระองค์อวยพรพวกเขาและเรียกพวกเขาว่า “มนุษย์”*
3 อาดัมอายุได้ 130 ปีแล้วจึงมีลูกชายรูปร่างลักษณะคล้ายกับตัวเอง เขาตั้งชื่อลูกคนนี้ว่าเสท+ 4 เมื่ออาดัมมีเสทแล้วก็มีชีวิตอยู่อีก 800 ปี และมีลูกชายลูกสาวอีกหลายคน 5 อาดัมตายตอนอายุ 930 ปี+
6 เสทอายุได้ 105 ปีแล้วจึงมีลูกชายชื่อเอโนช+ 7 เมื่อเสทมีเอโนชแล้วก็มีชีวิตอยู่อีก 807 ปี และมีลูกชายลูกสาวอีกหลายคน 8 เสทตายตอนอายุ 912 ปี
9 เอโนชอายุได้ 90 ปีแล้วจึงมีลูกชายชื่อเคนัน 10 เมื่อเอโนชมีเคนันแล้วก็มีชีวิตอยู่อีก 815 ปี และมีลูกชายลูกสาวอีกหลายคน 11 เอโนชตายตอนอายุ 905 ปี
12 เคนันอายุได้ 70 ปีแล้วจึงมีลูกชายชื่อมาหะลาเลล+ 13 เมื่อเคนันมีมาหะลาเลลแล้วก็มีชีวิตอยู่อีก 840 ปี และมีลูกชายลูกสาวอีกหลายคน 14 เคนันตายตอนอายุ 910 ปี
15 มาหะลาเลลอายุได้ 65 ปีแล้วจึงมีลูกชายชื่อยาเรด+ 16 เมื่อมาหะลาเลลมียาเรดแล้วก็มีชีวิตอยู่อีก 830 ปี และมีลูกชายลูกสาวอีกหลายคน 17 มาหะลาเลลตายตอนอายุ 895 ปี
18 ยาเรดอายุได้ 162 ปีแล้วจึงมีลูกชายชื่อเอโนค+ 19 เมื่อยาเรดมีเอโนคแล้วก็มีชีวิตอยู่อีก 800 ปี และมีลูกชายลูกสาวอีกหลายคน 20 ยาเรดตายตอนอายุ 962 ปี
21 เอโนคอายุได้ 65 ปีแล้วจึงมีลูกชายชื่อเมธูเสลาห์+ 22 เมื่อเอโนคมีเมธูเสลาห์แล้วก็ใช้ชีวิตอย่างที่พระเจ้าเที่ยงแท้พอใจ*ต่อไปอีก 300 ปี และมีลูกชายลูกสาวอีกหลายคน 23 เอโนคอายุได้ 365 ปี 24 เอโนคใช้ชีวิตอย่างที่พระเจ้าเที่ยงแท้พอใจ*อยู่เสมอ+ แล้วก็ไม่มีใครเห็นเขาอีกเลย เพราะพระเจ้ารับเขาไป+
25 เมธูเสลาห์อายุได้ 187 ปีแล้วจึงมีลูกชายชื่อลาเมค+ 26 เมื่อเมธูเสลาห์มีลาเมคแล้วก็มีชีวิตอยู่อีก 782 ปี และมีลูกชายลูกสาวอีกหลายคน 27 เมธูเสลาห์ตายตอนอายุ 969 ปี
28 ลาเมคอายุได้ 182 ปีแล้วจึงมีลูกชายคนหนึ่ง 29 เขาตั้งชื่อลูกว่าโนอาห์*+ เขาบอกว่า “ลูกคนนี้จะช่วยลดงานหนัก และช่วยให้ความเหนื่อยยากซึ่งเกิดจากแผ่นดินที่ถูกพระยะโฮวาสาปแช่งนั้นลดลง”+ 30 เมื่อลาเมคมีโนอาห์แล้วก็มีชีวิตอยู่อีก 595 ปี และมีลูกชายลูกสาวอีกหลายคน 31 ลาเมคตายตอนอายุ 777 ปี
32 โนอาห์อายุได้ 500 ปีแล้วจึงมีลูกชายชื่อเชม+ ฮาม+ และยาเฟท+
6 ต่อมา เมื่อมนุษย์บนโลกเริ่มมีมากขึ้นและมีลูกสาวหลายคน 2 ลูก ๆ*ของพระเจ้าเที่ยงแท้+สังเกตเห็นว่าลูกสาวของมนุษย์สวย จึงเลือกเอามาเป็นภรรยาตามใจชอบ 3 พระยะโฮวาจึงพูดว่า “เราจะไม่ทนกับมนุษย์เรื่อยไปอย่างนี้+เพราะเขาเป็นมนุษย์ที่มีบาป* ดังนั้น เขาจะมีเวลาอีก 120 ปี”+
4 ตอนนั้นมีพวกคนร่างยักษ์*อยู่บนโลกแล้ว และต่อมาก็ยังมีอีก เพราะลูก ๆ ของพระเจ้าเที่ยงแท้ยังคงมีเพศสัมพันธ์กับลูกสาวของมนุษย์และมีลูก ลูกของพวกเขาเป็นคนร่างยักษ์ มีกำลังมากและมีชื่อเสียงในโลกสมัยโบราณ
5 พระยะโฮวาเห็นว่าความชั่วของมนุษย์มีมากมายบนโลกและใจเขามักคิดแต่เรื่องชั่ว ๆ เสมอ+ 6 มนุษย์ที่พระยะโฮวาสร้างไว้บนโลกทำให้พระองค์เสียใจ และเจ็บปวดใจ+ 7 พระยะโฮวาจึงพูดว่า “เราจะกวาดล้างมนุษย์ที่เราได้สร้างให้หมดไปจากโลกเพราะพวกเขาทำให้เราเสียใจ เราจะกวาดล้างทั้งมนุษย์ สัตว์ที่เชื่อง สัตว์เลื้อยคลาน และสัตว์ที่บินในท้องฟ้า” 8 แต่พระยะโฮวาชื่นชอบโนอาห์
9 นี่เป็นบันทึกเหตุการณ์ในชีวิตโนอาห์
โนอาห์เป็นคนดี*+ เขาไม่เหมือนกับคนในสมัยนั้นเพราะเขาเป็นคนดีพร้อมไม่มีที่ติ โนอาห์ใช้ชีวิตอย่างที่พระเจ้าเที่ยงแท้พอใจ*+ 10 โนอาห์มีลูกชาย 3 คนชื่อเชม ฮาม และยาเฟท+ 11 พระเจ้าเที่ยงแท้เห็นว่าโลกมีแต่ความเสื่อมทรามและความรุนแรง 12 เมื่อพระองค์มองลงมาที่โลก พระองค์เห็นแต่ความเสื่อมทราม และมนุษย์ก็ทำแต่ความชั่ว+
13 แล้วพระเจ้าพูดกับโนอาห์ว่า “เราตัดสินใจแล้วว่าจะทำลายสิ่งมีชีวิตทั้งหมด เพราะโลกนี้มีแต่ความรุนแรงที่เกิดจากน้ำมือมนุษย์ เราจะทำลายพวกเขาและชำระล้างโลก+ 14 ให้เจ้าต่อเรือ*ด้วยไม้เนื้อดี*+ ในเรือนั้นให้แบ่งเป็นห้อง ๆ และใช้น้ำมันดิน+ทาทั้งด้านในและด้านนอก 15 ให้ต่อเรือตามแบบนี้คือ ยาว 300 ศอก กว้าง 50 ศอก และสูง 30 ศอก* 16 และถัดจากหลังคาลงมา ให้ทำช่องรับแสง*สูง 1 ศอก*และทำประตูที่ด้านข้างลำเรือ+ เรือนั้นให้มีชั้นล่าง ชั้นที่สอง และชั้นที่สาม
17 “เราจะทำให้น้ำท่วมโลก+เพื่อทำลายสิ่งมีชีวิตทั้งหมดที่อยู่ในโลก ทุกสิ่งบนแผ่นดินจะตายหมด+ 18 เราสัญญาว่าจะช่วยชีวิตเจ้า ให้เจ้าเข้าไปในเรือพร้อมกับภรรยา ลูกชาย และลูกสะใภ้+ 19 และนำสัตว์ทุกชนิดเข้าไปในเรือ+ชนิดละคู่ ตัวผู้ 1 ตัวและตัวเมีย 1 ตัว+ เพื่อให้พวกมันรอดตายพร้อมกับเจ้า 20 คือสัตว์ที่บินได้ชนิดละคู่ สัตว์ที่เชื่องชนิดละคู่ และสัตว์เลื้อยคลานทั้งหมดที่อยู่บนพื้นดินชนิดละคู่ สัตว์ทั้งหมดนี้จะมาหาเจ้าเพื่อให้เจ้าช่วยชีวิตพวกมัน+ 21 ให้เจ้ารวบรวมอาหารทุกอย่างเก็บไว้+สำหรับเจ้าและสัตว์ทั้งหมดนั้น”
22 โนอาห์ทำตามที่พระเจ้าสั่ง เขาทำตามทุกอย่าง+
7 แล้วพระยะโฮวาพูดกับโนอาห์ว่า “ให้เจ้ากับทุกคนในครอบครัวเข้าไปในเรือ เพราะในพวกคนของยุคนี้ เราเห็นว่ามีแต่เจ้าที่เป็นคนดี+ 2 เอาสัตว์ที่สะอาดทุกชนิดทั้งตัวผู้และตัวเมียไปด้วยชนิดละ 7 ตัว*+ และเอาสัตว์ที่ไม่สะอาดทุกชนิดทั้งตัวผู้และตัวเมียไปด้วยชนิดละคู่ 3 และเอาสัตว์ที่บินในท้องฟ้าไปด้วยทั้งตัวผู้และตัวเมียชนิดละ 7 ตัว*เพื่อให้พวกมันรอดชีวิตและขยายเผ่าพันธุ์เพิ่มจำนวนขึ้นทั่วโลก+ 4 เพราะอีก 7 วันเราจะทำให้ฝนตก+บนโลก 40 วัน 40 คืน+ เราจะกวาดล้างสิ่งมีชีวิตทั้งหมดที่เราได้สร้างไว้ให้หมดไปจากแผ่นดิน”+ 5 โนอาห์จึงทำทุกอย่างตามที่พระยะโฮวาสั่ง
6 ตอนที่เกิดน้ำท่วมโลกนั้นโนอาห์อายุ 600 ปี+ 7 โนอาห์กับภรรยา ลูกชาย และลูกสะใภ้เข้าไปในเรือก่อนที่น้ำจะท่วม+ 8 สัตว์ที่สะอาดทุกชนิด สัตว์ที่ไม่สะอาดทุกชนิด สัตว์ที่บินได้ทุกชนิด และสัตว์ทุกชนิดที่อยู่บนพื้นดิน+ 9 ทั้งตัวผู้และตัวเมียก็เข้าไปอยู่ในเรือกับโนอาห์ทีละคู่ ตามที่พระเจ้าสั่งโนอาห์ไว้ 10 อีก 7 วันต่อมาก็เกิดน้ำท่วม
11 ในวันที่ 17 เดือน 2 ของปีที่โนอาห์อายุครบ 600 ปี น้ำทั้งหมดที่อยู่บนฟ้าและประตูน้ำทั้งหมดบนฟ้าก็เปิดออก+ 12 ฝนตกหนักบนโลกถึง 40 วัน 40 คืน 13 ในวันนั้นเอง โนอาห์กับลูกชายคือ เชม ฮาม และยาเฟท+ รวมทั้งภรรยาโนอาห์กับลูกสะใภ้ทั้งสามได้เข้าไปในเรือ+ 14 พวกเขาเข้าไปพร้อมกับสัตว์ป่าทุกชนิด สัตว์ที่เชื่องทุกชนิด สัตว์เลื้อยคลาน*ทุกชนิดที่อยู่บนแผ่นดิน สัตว์ที่บินได้ทุกชนิด นกทุกชนิด สัตว์ที่มีปีกทุกชนิด 15 สัตว์ที่มีชีวิตทุกชนิดเข้าไปอยู่ในเรือกับโนอาห์ทีละคู่ ๆ 16 สัตว์ทุกชนิดทั้งตัวผู้และตัวเมียเข้าไปอยู่ในเรือตามที่พระเจ้าสั่งโนอาห์ แล้วพระยะโฮวาก็ปิดประตูเรือ
17 ฝนตกตลอด 40 วันจนน้ำท่วมสูงขึ้น ๆ และหนุนเรือให้ลอยขึ้นจากแผ่นดิน 18 น้ำท่วมแผ่นดินสูงขึ้นเรื่อย ๆ และเรือก็ลอยอยู่บนผิวน้ำ 19 น้ำท่วมแผ่นดินสูงมากถึงขนาดที่ท่วมภูเขาสูงทุกลูกบนโลกจนมิด+ 20 น้ำท่วมสูงกว่าภูเขาทั้งหมดนั้นขึ้นไปอีก 15 ศอก*
21 สิ่งมีชีวิตทั้งหมดที่อยู่บนแผ่นดินจึงตายหมด+ ทั้งสัตว์ที่บินได้ สัตว์ที่เชื่อง สัตว์ป่า สัตว์เล็ก ๆ ที่อยู่เป็นฝูง และมนุษย์ทั้งหมด+ 22 ทุกสิ่งที่มีชีวิตและหายใจได้บนบกก็ตายหมด+ 23 พระองค์กวาดล้างสิ่งมีชีวิตทุกชนิดที่อยู่บนแผ่นดิน ทั้งคนและสัตว์ สัตว์เลื้อยคลาน และสัตว์ที่บินในท้องฟ้า สิ่งมีชีวิตทั้งหมดนั้นถูกกวาดล้างไปจนหมดจากโลก+ เหลือแต่โนอาห์กับครอบครัวและสัตว์ที่อยู่กับเขาในเรือเท่านั้นที่รอดชีวิต+ 24 น้ำท่วมโลกอยู่ถึง 150 วัน+
8 พระเจ้าไม่ลืมโนอาห์กับสัตว์ป่าและสัตว์ที่เชื่องซึ่งอยู่ในเรือ+ พระองค์จึงให้มีลมพัดบนโลก และน้ำก็เริ่มลดลง 2 น้ำทั้งหมดที่อยู่บนฟ้าและประตูน้ำทั้งหมดบนฟ้าก็ปิด ฝนก็หยุดตก+ 3 น้ำที่ท่วมแผ่นดินลดลงเรื่อย ๆ เมื่อผ่านไป 150 วันน้ำก็ลดลงมากแล้ว 4 วันที่ 17 เดือน 7 เรือค้างอยู่บนเทือกเขาอารารัต 5 น้ำลดลงเรื่อย ๆ จนถึงเดือน 10 และพอถึงวันที่ 1 เดือน 10 ก็เริ่มเห็นยอดเขาต่าง ๆ+
6 ผ่านไปอีก 40 วัน โนอาห์เปิดหน้าต่าง+ ที่ทำไว้บนเรือ 7 แล้วปล่อยอีกาออกไปตัวหนึ่ง มันบินไปมาอยู่นอกเรือและบินกลับมาเกาะที่เรืออีก มันบินไปบินมาจนน้ำที่ท่วมแผ่นดินลดลงจนแห้ง
8 ต่อมาเขาปล่อยนกเขาออกไปตัวหนึ่งเพื่อดูว่าน้ำลดถึงพื้นดินหรือยัง 9 นกเขาตัวนั้นไม่พบที่จะเกาะเพราะน้ำยังท่วมอยู่ทั่วโลก+ มันจึงกลับมาที่เรือ โนอาห์ก็ยื่นมือออกไปรับมันเข้ามาในเรือ 10 เขารออีก 7 วันจึงปล่อยนกเขาออกไปจากเรืออีกครั้งหนึ่ง 11 เย็นวันนั้นเมื่อนกเขากลับมา โนอาห์เห็นมันคาบใบมะกอกเขียวสดมาด้วยจึงรู้ว่าน้ำลดถึงพื้นดินแล้ว+ 12 เขาก็รออีก 7 วันแล้วจึงปล่อยนกเขาออกไปอีกครั้ง แต่คราวนี้มันไม่กลับมาหาเขาอีกเลย
13 ในวันที่ 1 เดือน 1 ของปีที่โนอาห์อายุได้ 601 ปี+ น้ำก็แห้ง โนอาห์เปิดช่องบนหลังคาเรือออกและเห็นว่าพื้นดินเริ่มแห้ง 14 พอถึงวันที่ 27 เดือน 2 แผ่นดินก็แห้งแล้ว
15 พระเจ้าจึงบอกกับโนอาห์ว่า 16 “ตอนนี้ เจ้ากับภรรยารวมทั้งลูกชายกับลูกสะใภ้ออกจากเรือได้แล้ว+ 17 เอาสัตว์ทุกชนิดที่อยู่กับเจ้าออกไปให้หมดทุกตัว+ ทั้งสัตว์ที่บินได้ สัตว์บก และสัตว์เลื้อยคลานทุกชนิดที่อยู่บนแผ่นดิน พวกมันจะได้กระจายไปอยู่ทั่วแผ่นดิน เกิดลูกหลานมากมายและเพิ่มจำนวนขึ้นบนโลก”+
18 โนอาห์กับภรรยา ลูกชาย+ และลูกสะใภ้จึงออกจากเรือ 19 สัตว์ป่า สัตว์เลื้อยคลาน สัตว์ที่บินได้ และสัตว์บก ก็ออกจากเรือทีละชนิด+ 20 แล้วโนอาห์ได้สร้างแท่นบูชา+สำหรับพระยะโฮวา และเลือกสัตว์ที่สะอาดบางตัวกับนกที่สะอาด+บางตัวมาถวายเป็นเครื่องบูชาเผาบนแท่นนั้น+ 21 พระยะโฮวาได้กลิ่นหอมที่ทำให้พระองค์พอใจ พระยะโฮวาจึงคิดว่า “เราจะไม่สาปแช่งแผ่นดิน+เพราะมนุษย์อีกแล้ว มนุษย์มักคิดแต่เรื่องชั่วตั้งแต่เป็นเด็ก+ และเราจะไม่ทำลายสิ่งมีชีวิตอย่างที่เราได้ทำไปนั้นอีกเลย+ 22 ตั้งแต่นี้ไป โลกจะมีฤดูหว่านกับฤดูเก็บเกี่ยว ฤดูร้อนกับฤดูหนาว ความเย็นกับความร้อน และกลางวันกับกลางคืนตลอดไป”+
9 พระเจ้าอวยพรโนอาห์กับลูกชายว่า “ให้เกิดลูกหลานมากมายและเพิ่มจำนวนให้เต็มโลก+ 2 สัตว์ป่าบนแผ่นดิน สัตว์ที่บินในท้องฟ้า สัตว์อื่นที่อยู่บนพื้นดิน และปลาในทะเลจะยังกลัวพวกเจ้าอยู่ พวกเจ้าจะมีอำนาจเหนือสัตว์ทั้งหมด+ 3 สัตว์ที่มีชีวิตทั้งหมดจะเป็นอาหารของพวกเจ้า+ เรายกสัตว์ทั้งหมดนั้นให้พวกเจ้าเหมือนที่เราได้ยกพืชสีเขียวทั้งหมดให้พวกเจ้าแล้ว+ 4 แต่เนื้อที่ยังมีเลือดอยู่นั้นพวกเจ้าอย่ากิน+ เพราะเลือดหมายถึงชีวิต+ 5 นอกจากนั้น ถ้ามีอะไรทำให้เจ้าหลั่งเลือดซึ่งหมายถึงทำให้เจ้าเสียชีวิต เราจะให้มีการชดใช้ ถ้าเป็นสัตว์ สัตว์นั้นจะต้องตาย ถ้าเป็นคน คนนั้นก็จะต้องชดใช้ด้วยชีวิต เพราะพวกเจ้าเป็นพี่น้องกัน+ 6 คนไหนฆ่าคน* เขาก็จะถูกคนอื่นฆ่า+ เพราะพระเจ้าสร้างมนุษย์ตามแบบพระองค์+ 7 ให้พวกเจ้าเกิดลูกหลานมากมายและเพิ่มจำนวน ให้มีจำนวนเพิ่มมากขึ้นและกระจายไปอยู่ทั่วโลก”+
8 พระเจ้าพูดกับโนอาห์และลูกชายของเขาต่อไปว่า 9 “เราจะทำสัญญากับพวกเจ้า+และลูกหลานของพวกเจ้า 10 และกับสัตว์ทั้งหมดที่อยู่กับพวกเจ้า ทั้งนก สัตว์ที่เชื่อง และสัตว์อื่น ๆ ทุกชนิดบนแผ่นดินที่อยู่กับพวกเจ้า คือสัตว์ทั้งหมดที่ออกมาจากเรือและพวกที่เป็นลูกหลานของมันทั้งหมดที่อยู่บนโลก+ 11 เราทำสัญญากับพวกเจ้าว่า เราจะไม่ใช้น้ำมาท่วมทำลายมนุษย์และสัตว์ทั้งหมดอีก เราจะไม่ทำลายโลกด้วยน้ำท่วมอีกแล้ว”+
12 พระเจ้าพูดอีกว่า “นี่เป็นเครื่องหมายที่ทำให้ระลึกถึงสัญญาที่เราทำกับพวกเจ้าและสัตว์ทั้งหมดที่อยู่กับพวกเจ้า สัญญานี้จะคงอยู่ไปตลอดทุกยุคทุกสมัย 13 เราให้มีรุ้งที่เมฆ รุ้งนี้จะเป็นเครื่องหมายที่ทำให้ระลึกถึงสัญญาระหว่างเรากับโลก 14 เมื่อไหร่ก็ตามที่เราให้เมฆลอยอยู่เหนือแผ่นดิน และมีรุ้งเกิดขึ้นที่เมฆ 15 เราก็จะระลึกถึงสัญญาที่เราทำกับพวกเจ้าและสัตว์ทุกชนิด จะไม่มีน้ำท่วมทำลายล้างมนุษย์และสัตว์ต่าง ๆ แบบนี้อีกเลย+ 16 จะมีรุ้งเกิดขึ้นที่เมฆ และเมื่อเราเห็น เราก็จะระลึกถึงสัญญาที่จะคงอยู่ตลอดไประหว่างเรากับมนุษย์และสัตว์ทุกชนิดที่อยู่บนโลก”
17 พระเจ้าพูดกับโนอาห์อีกครั้งว่า “นี่เป็นเครื่องหมายที่ทำให้ระลึกถึงสัญญาที่เราทำขึ้นระหว่างเรากับมนุษย์และสัตว์ทั้งหมดที่อยู่บนโลก”+
18 ลูกชายโนอาห์ที่ออกมาจากเรือคือ เชม ฮาม และยาเฟท+ ต่อมา ฮามมีลูกชายชื่อคานาอัน+ 19 สามคนนี้เป็นลูกชายโนอาห์ พวกเขาเป็นบรรพบุรุษของผู้คนที่กระจายกันอยู่ทั่วโลก+
20 แล้วโนอาห์ก็เริ่มทำไร่ไถนาและทำสวนองุ่น 21 วันหนึ่งเขาดื่มเหล้าองุ่นแล้วก็เมาและนอนเปลือยอยู่ในเต็นท์ 22 ฮามซึ่งเป็นพ่อของคานาอันเข้ามาเห็นพ่อเปลือยอยู่จึงออกไปบอกพี่ชายทั้งสองคนที่อยู่ข้างนอก 23 เชมกับยาเฟทจึงถือผ้าคลุมผืนหนึ่งพาดบ่า แล้วเดินถอยหลังเข้าไปคลุมตัวพ่อที่เปลือยอยู่โดยไม่หันไปมอง จึงไม่เห็นพ่อที่เปลือยอยู่
24 พอโนอาห์สร่างเมาก็ตื่นขึ้นและเมื่อรู้ว่าลูกคนสุดท้องทำอะไรกับเขา 25 เขาจึงพูดว่า
“คานาอันจะถูกแช่ง+
เขาจะเป็นทาสชั้นต่ำสุดของพี่น้องของเขา”+
26 โนอาห์พูดต่อไปว่า
“ขอให้พระยะโฮวาพระเจ้าของเชมได้รับการสรรเสริญ
และให้คานาอันเป็นทาสเขา+
27 ขอพระเจ้าให้ยาเฟทมีแผ่นดินกว้างใหญ่
และให้เขาอาศัยอยู่ในเต็นท์ของเชม
ให้คานาอันเป็นทาสเขาด้วย”
28 หลังน้ำท่วมโลก โนอาห์มีชีวิตอยู่อีก 350 ปี+ 29 โนอาห์ตายตอนอายุ 950 ปี
10 นี่เป็นบันทึกประวัติของลูกชายโนอาห์คือ เชม+ ฮาม และยาเฟท
พวกเขามีลูกหลังน้ำท่วมโลก 2 ลูกชายยาเฟทชื่อโกเมอร์+ มาโกก+ มาดัย ยาวาน ทูบัล+ เมเชค+ และทิราส+
3 ลูกชายโกเมอร์ชื่ออัชเคนัส+ รีฟาท และโทการ์มาห์+
4 ลูกชายยาวานชื่อเอลีชาห์+ ทาร์ชิช+ คิททิม+ และโดดานิม
5 ชาวเกาะต่าง ๆ ซึ่งเป็นเชื้อสายของ 4 คนนี้ต่างก็แยกย้ายไปอยู่ในดินแดนต่าง ๆ ตามภาษา ตระกูล และเชื้อชาติของตัวเอง
6 ลูกชายฮามชื่อคูช มิสราอิม+ พูต+ และคานาอัน+
7 ลูกชายคูชชื่อเสบา+ ฮาวิลาห์ สับทาห์ ราอามาห์+ และสับเทคา
ลูกชายราอามาห์ชื่อเชบาและเดดาน
8 คูชมีลูกชายชื่อนิมโรด นิมโรดเป็นคนแรกในโลกที่มีอำนาจมาก 9 เขาเป็นพราน*ผู้มีอำนาจที่ต่อต้านพระยะโฮวา บางครั้งจึงมีการพูดเปรียบเทียบคนบางคนว่า “คนนี้เป็นเหมือนนิมโรด พรานผู้มีอำนาจที่ต่อต้านพระยะโฮวา” 10 ในตอนแรก ๆ อาณาจักรของนิมโรดในแผ่นดินชินาร์+ประกอบด้วยเมืองบาเบล*+ เอเรก+ อัคคัด และคาลเนห์ 11 จากแผ่นดินนั้น นิมโรดเข้าไปในแผ่นดินอัสซีเรีย+และสร้างเมืองนีนะเวห์+ เรโหโบทอีร์ คาลาห์ 12 และสร้างเมืองเรเสนไว้ระหว่างเมืองนีนะเวห์กับเมืองคาลาห์ เมืองนี้เป็นเมืองใหญ่*
13 มิสราอิมมีลูกชายชื่อลูดิม+ อานามิม เลหะบิม นัฟทูฮิม+ 14 ปัทรุสิม+ คัสลูฮิม (เขาเป็นต้นตระกูลของชาวฟีลิสเตีย)+ และคัฟโทริม+
15 คานาอันมีลูกชื่อไซดอน+เป็นลูกชายคนโต แล้วก็มีเฮท+ 16 และยังเป็นบรรพบุรุษของชาวเยบุส+ ชาวอาโมไรต์+ ชาวเกอร์กาชี 17 ชาวฮีไวต์+ ชาวอาร์คี ชาวสินี 18 ชาวอาร์วัด+ ชาวเศเมอร์ และชาวฮามัท+ ต่อมาภายหลัง ตระกูลต่าง ๆ ของชาวคานาอันก็กระจายไปอยู่ในที่ต่าง ๆ 19 เขตแดนของชาวคานาอันจึงครอบคลุมตั้งแต่เมืองไซดอนไปถึงเกราร์+ซึ่งอยู่ใกล้เมืองกาซา+ และครอบคลุมไปจนถึงเมืองโสโดม โกโมราห์+ อัดมาห์ และเศโบยิม+ซึ่งอยู่ใกล้เมืองลาชา 20 คนทั้งหมดนี้เป็นลูกหลานของฮามที่อยู่กันตามตระกูล ภาษา ดินแดน และเชื้อชาติของพวกเขา
21 เชมก็มีลูกหลายคนเหมือนกัน เขาเป็นบรรพบุรุษของลูกหลานเอเบอร์+ เชมเป็นน้องชายของยาเฟท ยาเฟทเป็นพี่คนโต* 22 ลูกชายเชมชื่อเอลาม+ อัสชูร์+ อาร์ปัคชาด+ ลูด และอารัม+
23 ลูกชายอารัมชื่ออูส ฮูล เกเธอร์ และมัช
24 อาร์ปัคชาดมีลูกชายชื่อเชลาห์+ เชลาห์มีลูกชายชื่อเอเบอร์
25 เอเบอร์มีลูกชาย 2 คน คนหนึ่งชื่อเปเลก*+เพราะโลก*ถูกแบ่งแยกในสมัยของเขา อีกคนหนึ่งชื่อโยกทาน+
26 โยกทานมีลูกชายชื่ออัลโมดัด เชเลฟ ฮาซาร์มาเวท เยราห์+ 27 ฮาโดรัม อุซาล ดิคลาห์ 28 โอบาล อาบีมาเอล เชบา 29 โอฟีร์+ ฮาวิลาห์ และโยบับ ทั้งหมดนี้เป็นลูกชายของโยกทาน
30 พวกเขาอาศัยอยู่ในเขตแดนตั้งแต่เมชาถึงเสฟาร์ ซึ่งเป็นเขตเทือกเขาทางทิศตะวันออก
31 คนทั้งหมดนี้เป็นลูกหลานของเชมที่อยู่กันตามตระกูล ภาษา ดินแดน และเชื้อชาติของพวกเขา+
32 คนทั้งหมดนี้เป็นคนในตระกูลของลูกชายโนอาห์ตามวงศ์ตระกูลและตามเชื้อชาติของพวกเขา ชนชาติต่าง ๆ ที่กระจายไปอยู่ทั่วโลกหลังจากน้ำท่วมโลกนั้นก็สืบเชื้อสายมาจากตระกูลทั้งหมดนี้+
11 ตอนนั้นคนทั่วโลกพูดภาษาเดียวกันหมดและใช้คำศัพท์เหมือนกัน 2 เมื่อมีคนเดินทางไปทางทิศตะวันออกก็พบที่ราบแห่งหนึ่งในแผ่นดินชินาร์+ จึงอาศัยอยู่ที่นั่น 3 พวกเขาพูดกันว่า “มาเถอะ มาทำอิฐ*เผากัน” พวกเขาจึงใช้อิฐแทนหินและใช้ยางมะตอยแทนปูน 4 แล้วพวกเขาก็พูดว่า “มาสร้างเมืองของเรากันเถอะ และสร้างหอให้ยอดสูงเทียมฟ้า เราจะได้สร้างชื่อเสียงไว้และจะได้ไม่กระจัดกระจายไปทั่วโลก”+
5 พระยะโฮวาสังเกตดูมนุษย์และเห็นว่าพวกเขาสร้างเมืองและหอสูงกันอยู่ 6 พระยะโฮวาจึงพูดว่า “ดูคนพวกนี้สิ พวกเขามารวมตัวกันทำงาน แล้วยังพูดภาษาเดียวกัน+ แค่เริ่มต้นยังทำได้ขนาดนี้ แล้วต่อไปถ้าพวกเขาคิดจะทำอะไร ก็คงทำได้ทั้งหมด 7 เรา*+จะลงไปทำให้ภาษาของพวกเขายุ่งเหยิง พวกเขาจะได้พูดกันไม่รู้เรื่อง” 8 พระยะโฮวาจึงทำให้พวกเขากระจัดกระจายไปทั่วโลก+ พวกเขาจึงเลิกสร้างเมืองนั้น 9 เมืองนั้นจึงถูกเรียกว่าบาเบล*+ เพราะที่เมืองนั้น พระยะโฮวาทำให้ภาษาของคนทั้งโลกยุ่งเหยิง และพระยะโฮวาทำให้คนจากเมืองนั้นกระจัดกระจายไปทั่วโลก
10 นี่เป็นบันทึกประวัติของเชม+
สองปีผ่านไปหลังน้ำท่วมโลก เชมอายุได้ 100 ปี จึงมีลูกชายชื่ออาร์ปัคชาด+ 11 เมื่อเชมมีอาร์ปัคชาดแล้วก็มีชีวิตอยู่อีก 500 ปี และมีลูกชายลูกสาวอีกหลายคน+
12 อาร์ปัคชาดอายุได้ 35 ปีแล้วจึงมีลูกชายชื่อเชลาห์+ 13 เมื่ออาร์ปัคชาดมีเชลาห์แล้วก็มีชีวิตอยู่อีก 403 ปี และมีลูกชายลูกสาวอีกหลายคน
14 เชลาห์อายุได้ 30 ปีแล้วจึงมีลูกชายชื่อเอเบอร์+ 15 เมื่อเชลาห์มีเอเบอร์แล้วก็มีชีวิตอยู่อีก 403 ปี และมีลูกชายลูกสาวอีกหลายคน
16 เอเบอร์อายุได้ 34 ปีแล้วจึงมีลูกชายชื่อเปเลก+ 17 เมื่อเอเบอร์มีเปเลกแล้วก็มีชีวิตอยู่อีก 430 ปี และมีลูกชายลูกสาวอีกหลายคน
18 เปเลกอายุได้ 30 ปีแล้วจึงมีลูกชายชื่อเรอู+ 19 เมื่อเปเลกมีเรอูแล้วก็มีชีวิตอยู่อีก 209 ปี และมีลูกชายลูกสาวอีกหลายคน
20 เรอูอายุได้ 32 ปีแล้วจึงมีลูกชายชื่อเสรุก 21 เมื่อเรอูมีเสรุกแล้วก็มีชีวิตอยู่อีก 207 ปี และมีลูกชายลูกสาวอีกหลายคน
22 เสรุกอายุได้ 30 ปีแล้วจึงมีลูกชายชื่อนาโฮร์ 23 เมื่อเสรุกมีนาโฮร์แล้วก็มีชีวิตอยู่อีก 200 ปี และมีลูกชายลูกสาวอีกหลายคน
24 นาโฮร์อายุได้ 29 ปีแล้วจึงมีลูกชายชื่อเทราห์+ 25 เมื่อนาโฮร์มีเทราห์แล้วก็มีชีวิตอยู่อีก 119 ปี และมีลูกชายลูกสาวอีกหลายคน
26 เทราห์อายุได้ 70 ปีแล้วจึงมีลูกชายชื่ออับราม+ นาโฮร์+ และฮาราน
27 นี่เป็นบันทึกประวัติของเทราห์
เทราห์มีลูกชายชื่ออับราม นาโฮร์ และฮาราน แล้วฮารานมีลูกชายชื่อโลท+ 28 ฮารานตายในแผ่นดินที่เขาเกิด คือในเมืองเออร์+ของชาวเคลเดีย+ ขณะที่เทราห์พ่อของเขายังมีชีวิตอยู่ 29 ทั้งอับรามและนาโฮร์มีภรรยา ภรรยาของอับรามชื่อซาราย+ ส่วนภรรยาของนาโฮร์ชื่อมิลคาห์+ซึ่งเป็นลูกสาวของฮาราน ฮารานเป็นพ่อของมิลคาห์กับอิสคาห์ 30 ส่วนซารายเป็นหมัน+ ไม่มีลูก
31 เทราห์พาอับรามลูกของเขากับซารายลูกสะใภ้ และโลทหลานชาย+ซึ่งเป็นลูกชายของฮาราน ออกจากเมืองเออร์ของชาวเคลเดียไปที่แผ่นดินคานาอัน+ เมื่อพวกเขามาถึงเมืองฮาราน+แล้วก็อาศัยอยู่ที่นั่น 32 เทราห์ตายที่เมืองฮารานตอนอายุ 205 ปี
12 แล้วพระยะโฮวาพูดกับอับรามว่า “ให้เจ้าออกจากแผ่นดินที่เจ้าอยู่ ให้ไปจากญาติพี่น้องและครอบครัวของพ่อเจ้า แล้วไปแผ่นดินที่เราจะบอกให้ไป+ 2 เราจะให้เจ้ากลายเป็นชาติใหญ่ เราจะอวยพรเจ้าและทำให้ชื่อของเจ้ายิ่งใหญ่ เจ้าจะทำให้คนอื่น ๆ ได้รับพร+ 3 เราจะอวยพรคนที่อวยพรเจ้า เราจะแช่งคนที่แช่งเจ้า+ ทุกครอบครัวในโลกจะได้รับพรเพราะเจ้า”+
4 อับรามก็ไปตามที่พระยะโฮวาบอกและโลทก็ไปด้วย อับรามอายุ 75 ปีตอนที่ออกจากเมืองฮาราน+ 5 อับรามพาซารายภรรยา+กับโลทหลานชาย+ออกเดินทางไปที่แผ่นดินคานาอันพร้อมกับทรัพย์สมบัติทั้งหมดที่พวกเขาสะสมไว้+ รวมทั้งคนรับใช้ที่มาอยู่ด้วยตอนอยู่ที่เมืองฮาราน เมื่อพวกเขามาถึงแผ่นดินคานาอัน+แล้ว 6 อับรามก็เดินทางต่อไปจนถึงที่ที่เรียกว่าเชเคม+ซึ่งอยู่ใกล้ต้นไม้ใหญ่ที่โมเรห์+ ตอนนั้นมีชาวคานาอันอยู่ในแผ่นดินนี้แล้ว 7 พระยะโฮวามาหาอับรามและบอกว่า “เราจะยกแผ่นดินนี้+ให้ลูกหลานเจ้า”+ อับรามจึงสร้างแท่นบูชาสำหรับพระยะโฮวาขึ้นที่นั่นเพราะพระองค์มาหาเขา 8 ต่อมา เขาย้ายจากเชเคมไปที่เขตเทือกเขาทางทิศตะวันออกของเมืองเบธเอล+แล้วตั้งเต็นท์ที่นั่น เมืองเบธเอลจึงอยู่ทางทิศตะวันตกและเมืองอัย+อยู่ทางทิศตะวันออกของเต็นท์ แล้วเขาก็สร้างแท่นบูชาสำหรับพระยะโฮวา+ที่นั่นและเริ่มสรรเสริญชื่อของพระยะโฮวา+ 9 จากนั้น อับรามก็เดินทางไปที่เนเกบ+โดยย้ายค่ายพักไปเรื่อย ๆ
10 เกิดการขาดแคลนอาหารในแผ่นดินคานาอัน อับรามจึงลงไปอยู่ที่อียิปต์ระยะหนึ่ง*+ เพราะการขาดแคลนอาหารในแผ่นดินนี้หนักมาก+ 11 เมื่อใกล้จะเข้าอียิปต์ เขาพูดกับซารายภรรยาว่า “ฉันรู้ว่าเธอเป็นคนสวยมาก+ 12 ถ้าชาวอียิปต์เห็นเธอ พวกเขาจะบอกว่า ‘นี่เป็นภรรยาของผู้ชายคนนั้น’ แล้วพวกเขาก็จะฆ่าฉันทิ้งแต่ไว้ชีวิตเธอ 13 ดังนั้น ขอให้บอกว่าเธอเป็นน้องสาวฉัน พวกเขาจะได้ทำดีกับฉันเพราะเห็นแก่เธอ และไม่ฆ่าฉันทิ้ง”+
14 พออับรามเข้าไปในอียิปต์ ชาวอียิปต์เห็นว่าซารายสวยมาก 15 พวกขุนนางของฟาโรห์ก็เห็นเธอและพากันบอกฟาโรห์ว่าเธอสวยขนาดไหน เธอจึงถูกพาไปอยู่ในวังของฟาโรห์ 16 ฟาโรห์ชอบซารายมากจึงทำดีกับอับราม ฟาโรห์ให้แกะ วัว ลาตัวผู้และตัวเมีย อูฐ และคนรับใช้ชายหญิงกับอับราม+ 17 พระยะโฮวาทำให้เกิดภัยพิบัติร้ายแรงกับฟาโรห์และราชวงศ์ของเขา สาเหตุเพราะซารายภรรยาของอับราม+ 18 ฟาโรห์จึงเรียกอับรามมาและพูดว่า “ทำไมทำอย่างนี้? ทำไมไม่บอกเราว่าเธอเป็นภรรยาของคุณ? 19 ทำไมมาบอกว่าเธอเป็นน้องสาว?+ เราเกือบจะเอาเธอมาเป็นภรรยาเราแล้ว ภรรยาคุณอยู่นี่ พาเธอไปเถอะ” 20 แล้วฟาโรห์ก็สั่งให้คนของเขาคอยดูแลขณะที่อับรามและภรรยาเดินทางไปพร้อมกับคนรับใช้และข้าวของทั้งหมด+
13 อับรามจึงออกจากอียิปต์ไปที่เนเกบ+พร้อมกับภรรยาและทุกสิ่งที่เขามี โลทก็ไปด้วย 2 อับรามมีฝูงสัตว์กับเงินทองมากมาย+ 3 เขาเดินทางจากเนเกบไปเมืองเบธเอลโดยตั้งค่ายพักเป็นระยะ ๆ จนมาถึงที่ที่เขาเคยตั้งเต็นท์มาแล้วซึ่งอยู่ระหว่างเมืองเบธเอลกับเมืองอัย+ 4 คือที่ที่เขาเคยสร้างแท่นบูชาไว้ก่อนแล้ว อับรามเคยสรรเสริญชื่อของพระยะโฮวาที่นั่น
5 โลทซึ่งเดินทางมากับอับรามก็มีแกะ วัว และเต็นท์ด้วย 6 จึงไม่มีที่พอให้พวกเขาทั้งหมดอยู่ด้วยกัน พวกเขามีทรัพย์สมบัติมากจนอยู่ด้วยกันต่อไปไม่ได้ 7 คนเลี้ยงสัตว์ของอับรามกับคนเลี้ยงสัตว์ของโลทก็เกิดทะเลาะกัน (ตอนนั้น ชาวคานาอันและชาวเปริสซีอาศัยอยู่ในแผ่นดินนั้นด้วย)+ 8 อับรามจึงพูดกับโลท+ว่า “เราสองคนและคนเลี้ยงสัตว์ของเราอย่ามาทะเลาะกันเลย เพราะเราเป็นญาติพี่น้องกัน 9 หลานเลือกเอาเถอะว่าในที่ดินอันกว้างใหญ่นี้อยากจะได้ที่ตรงไหน แล้วก็แยกไปอยู่ที่นั่น ถ้าหลานไปทางซ้าย อาจะไปทางขวา แต่ถ้าหลานไปทางขวา อาก็จะไปทางซ้าย” 10 โลทเงยหน้ามองดูทั่วบริเวณที่ลุ่มแม่น้ำจอร์แดน+ไปจนถึงเมืองโศอาร์+ เห็นว่ามีน้ำท่าอุดมสมบูรณ์เหมือนสวนของพระยะโฮวา+ เหมือนแผ่นดินอียิปต์ (ตอนนั้น พระยะโฮวายังไม่ได้ทำลายเมืองโสโดมและเมืองโกโมราห์) 11 โลทก็เลือกเอาที่ลุ่มแม่น้ำจอร์แดนทั้งหมดและย้ายค่ายพักของตัวเองไปทางทิศตะวันออก อับรามกับโลทจึงแยกกันไป 12 อับรามอาศัยอยู่ในแผ่นดินคานาอัน ส่วนโลทอาศัยอยู่ใกล้เมืองต่าง ๆ ที่อยู่ในบริเวณที่ลุ่มแม่น้ำนั้น+ แล้วสุดท้ายโลทก็มาตั้งเต็นท์อยู่ใกล้เมืองโสโดม 13 พระยะโฮวาเห็นว่าชาวโสโดมเป็นคนชั่วและบาปหนา+
14 เมื่อโลทแยกไปแล้วพระยะโฮวาก็บอกอับรามว่า “จากที่ที่เจ้าอยู่นี้ ขอให้เงยหน้ามองไปทางทิศเหนือ ทิศใต้ ทิศตะวันออก และทิศตะวันตก 15 เพราะเราจะยกแผ่นดินทั้งหมดที่เจ้าเห็นอยู่นี้ให้เป็นของเจ้าและของลูกหลานเจ้าตลอดไป+ 16 เราจะทำให้ลูกหลานของเจ้ามีมากมายเหมือนฝุ่นละออง ถ้าใครนับฝุ่นละอองได้ก็จะนับจำนวนลูกหลานของเจ้าได้+ 17 ให้ออกเดินทางไปทั่วแผ่นดินนี้ทั้งด้านยาวด้านกว้าง เพราะเราจะยกแผ่นดินนี้ให้เจ้า” 18 อับรามจึงออกเดินทางและอาศัยอยู่ในเต็นท์ต่อไป แล้วเขาก็มาอยู่ท่ามกลางต้นไม้ใหญ่ที่มัมเร+ซึ่งอยู่ในเขตเมืองเฮโบรน+ และสร้างแท่นบูชาสำหรับพระยะโฮวาที่นั่น+
14 สมัยที่อัมราเฟลเป็นกษัตริย์ปกครองชินาร์+ อารีโอคเป็นกษัตริย์ปกครองเอลลาสาร์ เคโดร์ลาโอเมอร์+เป็นกษัตริย์ปกครองเอลาม+ และทิดาลเป็นกษัตริย์ปกครองโกยิม 2 กษัตริย์ทั้ง 4 นี้รบกับเบรากษัตริย์ที่ปกครองโสโดม+ บิร์ชากษัตริย์ที่ปกครองโกโมราห์+ ชินาบกษัตริย์ที่ปกครองอัดมาห์ เชเมเบอร์กษัตริย์ที่ปกครองเศโบยิม+ และกษัตริย์ที่ปกครองเบลาซึ่งมีอีกชื่อหนึ่งว่าโศอาร์ 3 พวกเขา*ยกทัพมารวมกันที่หุบเขาสิดดิม+ ซึ่งก็คือทะเลเกลือ*+
4 กษัตริย์ 5 องค์นี้รับใช้กษัตริย์เคโดร์ลาโอเมอร์อยู่ 12 ปี แต่พอถึงปีที่ 13 ก็พากันกบฏ 5 ในปีที่ 14 เคโดร์ลาโอเมอร์กับกษัตริย์ที่อยู่ฝ่ายเขายกทัพมารบ และเอาชนะพวกเรฟาอิมที่อัชเทโรทคาร์นาอิม ชนะพวกศูซิมที่ฮาม ชนะพวกเอมิม+ที่ชาเวห์คีริยาธาอิม 6 ชนะชาวโฮรี+ถึงในถิ่นของพวกนั้นเองคือในแถบเทือกเขาเสอีร์+ และรบชนะเรื่อยไปจนถึงเอลปารานซึ่งอยู่ตรงชายแดนของที่กันดาร 7 แล้วพวกเขาก็วกกลับมาที่เอนมิชปัท ซึ่งก็คือคาเดช+ และตีได้ดินแดนทั้งหมดของชาวอามาเลข+และของชาวอาโมไรต์+ซึ่งอาศัยอยู่ที่ฮาซาโซนทามาร์+
8 ตอนนั้นเองที่กษัตริย์ที่ปกครองโสโดม กษัตริย์ที่ปกครองโกโมราห์ กษัตริย์ที่ปกครองอัดมาห์ กษัตริย์ที่ปกครองเศโบยิม และกษัตริย์ที่ปกครองเบลาซึ่งมีอีกชื่อหนึ่งว่าโศอาร์ พากันจัดขบวนทัพมารบกับกษัตริย์ทั้ง 4 ที่หุบเขาสิดดิม 9 คือรบกับเคโดร์ลาโอเมอร์กษัตริย์ที่ปกครองเอลาม ทิดาลกษัตริย์ที่ปกครองโกยิม อัมราเฟลกษัตริย์ที่ปกครองชินาร์ และอารีโอคกษัตริย์ที่ปกครองเอลลาสาร์+ กษัตริย์ 4 องค์รบกับกษัตริย์ 5 องค์ 10 จากการสู้รบนั้น ทำให้กษัตริย์ที่ปกครองโสโดมกับกษัตริย์ที่ปกครองโกโมราห์ต้องหนีตาย แต่พวกเขาตกลงไปในบ่อยางมะตอยที่มีอยู่ทั่วหุบเขาสิดดิม ส่วนคนของเขาที่เหลือพากันหนีไปที่เขตเทือกเขา 11 กษัตริย์ 4 องค์ที่รบชนะกวาดเอาสิ่งของกับเสบียงทั้งหมดของพวกโสโดมกับโกโมราห์ไป+ 12 และพวกเขายังจับตัวโลทหลานชายของอับรามที่อยู่ในเมืองโสโดม+ไปด้วย รวมทั้งทรัพย์สมบัติของเขา แล้วก็ไปจากที่นั่น
13 หลังจากนั้น ผู้ชายคนหนึ่งซึ่งหนีมาได้ก็มาบอกอับรามชาวฮีบรู ตอนนั้นอับรามอาศัยอยู่*ท่ามกลางต้นไม้ใหญ่ของมัมเรชาวอาโมไรต์+ เขาเป็นพี่น้องกับเอชโคล์และอาเนอร์+ พวกเขากับอับรามทำสัญญาเป็นมิตรกัน 14 อับรามถึงได้รู้ว่าญาติ*+ตัวเองถูกจับไป เขาจึงรวบรวมคนที่เคยฝึกการรบมา 318 คนซึ่งเป็นคนรับใช้ที่เกิดในบ้านเขาแล้วไล่ตามไปจนถึงเมืองดาน+ 15 อับรามกับคนรับใช้ของเขาก็แบ่งกำลังเข้าตีพวกนั้นตอนกลางคืน อับรามเป็นฝ่ายชนะและไล่ตามพวกนั้นไปถึงโฮบาห์ซึ่งอยู่ทางเหนือของดามัสกัส 16 เขาเอาทรัพย์สมบัติทั้งหมดที่ถูกริบไปกลับคืนมาและได้โลทญาติของตัวเองและทรัพย์สมบัติของโลท รวมทั้งพวกผู้หญิงและคนอื่น ๆ กลับคืนมาด้วย
17 เมื่ออับรามรบชนะเคโดร์ลาโอเมอร์กับพวกกษัตริย์ที่อยู่ฝ่ายเขาและกลับมาแล้ว กษัตริย์ที่ปกครองโสโดมก็ออกมาพบอับรามที่หุบเขาชาเวห์ ซึ่งมีอีกชื่อหนึ่งว่าหุบเขากษัตริย์+ 18 เมลคีเซเดค+ซึ่งเป็นกษัตริย์ที่ปกครองเมืองซาเลม+และเป็นปุโรหิตของพระเจ้าองค์สูงสุด+ก็เอาขนมปังกับเหล้าองุ่นมาให้อับราม
19 แล้วอวยพรเขาว่า
“ขอให้อับรามได้รับพรจากพระเจ้าองค์สูงสุด
ผู้สร้างฟ้าและโลก
20 ขอให้พระเจ้าองค์สูงสุดได้รับการสรรเสริญ
พระองค์เป็นผู้ที่มอบศัตรูไว้ ในมือคุณ”
แล้วอับรามก็ถวายส่วน 1 ใน 10 ของทุกสิ่งที่ได้มาให้เมลคีเซเดค+
21 แล้วกษัตริย์ที่ปกครองโสโดมก็พูดกับอับรามว่า “ขอคนของเราคืน ส่วนทรัพย์สมบัตินั้นคุณเอาไปได้เลย” 22 อับรามพูดกับกษัตริย์ที่ปกครองโสโดมว่า “ผมขอยกมือสาบานต่อพระยะโฮวาพระเจ้าองค์สูงสุดผู้สร้างฟ้าและโลกว่า 23 ผมจะไม่เอาอะไรที่เป็นของท่านเลย แม้แต่เส้นด้ายหรือสายรัดรองเท้าสักเส้น เพื่อไม่ให้ท่านพูดได้ว่า ‘เราเป็นคนทำให้อับรามร่ำรวย’ 24 ผมจะไม่เอาอะไรเลย นอกจากของที่คนหนุ่มพวกนี้กินไปแล้ว ส่วนคนที่ไปกับผมคือ อาเนอร์ เอชโคล์ และมัมเร+นั้น ให้พวกเขาเอาส่วนของพวกเขาไปเถอะ”
15 ต่อมา พระยะโฮวาพูดกับอับรามในนิมิตว่า “อย่ากลัวเลย+อับราม เราเป็นผู้คุ้มครองเจ้า*+ เจ้าจะได้รับรางวัลมากมาย”+ 2 อับรามพูดว่า “พระยะโฮวาพระเจ้าผู้ยิ่งใหญ่สูงสุดของผม รางวัลที่พระองค์ให้ผมจะมีประโยชน์อะไร? เพราะผมยังไม่มีลูกสักคน และคนที่จะได้รับมรดกของผมก็คือเอลีเอเซอร์ชาวดามัสกัส”+ 3 อับรามพูดต่ออีกว่า “พระองค์ยังไม่ได้ให้ผมมีลูกสักคน+ คนที่จะมารับมรดกของผมก็เลยเป็นคนรับใช้คนหนึ่งในบ้าน” 4 พระยะโฮวาตอบเขาว่า “คนนั้นจะไม่ได้รับมรดกของเจ้า แต่ลูกชายของเจ้าเอง*ที่จะเป็นคนรับมรดก”+
5 พระองค์พาเขาออกมาข้างนอกและพูดว่า “ขอให้เงยหน้ามองดูท้องฟ้าและนับดาวสิ ถ้าเจ้านับได้” แล้วพระองค์พูดกับเขาอีกว่า “ลูกหลานของเจ้าก็จะมีมากเหมือนดวงดาวบนท้องฟ้า”+ 6 อับรามเชื่อในพระยะโฮวา+ พระองค์จึงนับว่าเขาเป็นคนที่พระองค์ยอมรับ*+ 7 พระองค์พูดกับเขาอีกว่า “เราคือยะโฮวา ผู้ที่นำเจ้าออกมาจากเมืองเออร์ของชาวเคลเดียเพื่อจะยกแผ่นดินนี้ให้เป็นของเจ้า”+ 8 เขาพูดว่า “พระยะโฮวาพระเจ้าผู้ยิ่งใหญ่สูงสุดของผม ผมจะรู้ได้ยังไงว่าผมจะได้เป็นเจ้าของแผ่นดินนี้?” 9 พระองค์พูดกับเขาว่า “ให้เอาวัวสาวอายุ 3 ปี แพะตัวเมียอายุ 3 ปี แกะตัวผู้อายุ 3 ปี นกเขา และลูกนกพิราบทั้งหมดอย่างละตัวมาให้เรา” 10 เขานำสัตว์พวกนี้มาผ่าเป็นสองซีกยกเว้นนก แล้ววางแต่ละซีกไว้ตรงข้ามกัน 11 พวกนกล่าเหยื่อก็บินลงมาจะจิกกินเนื้อสัตว์ แต่อับรามคอยไล่พวกมันไป
12 เมื่อดวงอาทิตย์ใกล้จะตก อับรามก็หลับสนิท เขาฝันเห็นความมืดทึบที่น่ากลัวแผ่คลุมลงมา 13 แล้วพระเจ้าพูดกับอับรามว่า “รู้ไว้เถอะว่าลูกหลานของเจ้าจะต้องไปเป็นคนต่างชาติ และอาศัยอยู่ในแผ่นดินของคนอื่น พวกเขาจะต้องเป็นทาสของคนที่อยู่ในแผ่นดินนั้น และถูกกดขี่เป็นเวลา 400 ปี+ 14 แต่เราจะลงโทษชาติที่พวกเขาต้องไปเป็นทาสรับใช้นั้น+ แล้วพวกเขาจะได้ออกมาจากแผ่นดินนั้นพร้อมกับทรัพย์สมบัติมากมาย+ 15 ส่วนเจ้าจะตามปู่ย่าตายายของเจ้าไปอย่างสงบเมื่อแก่มากแล้ว และเขาจะฝังศพเจ้าไว้+ 16 แต่ในรุ่นที่สี่ ลูกหลานของเจ้าจะกลับมาที่นี่+ เพราะความผิดของชาวอาโมไรต์ยังไม่ถึงขั้นที่จะต้องถูกลงโทษ”+
17 เมื่อดวงอาทิตย์ตกและมีแต่ความมืด เขาเห็นเตาไฟที่มีควัน แล้วก็เห็นคบไฟเคลื่อนผ่านระหว่างเนื้อสัตว์นั้น 18 ในวันนั้น พระยะโฮวาทำสัญญากับอับราม+โดยพูดว่า “เราจะยกแผ่นดินนี้+ตั้งแต่แม่น้ำอียิปต์ไปจนถึงแม่น้ำยูเฟรติส+ซึ่งเป็นแม่น้ำใหญ่ให้ลูกหลานของเจ้า 19 คือแผ่นดินของชาวเคไนต์+ ชาวเคนัส ชาวคัดโมไนต์ 20 ชาวฮิตไทต์+ ชาวเปริสซี+ ชาวเรฟาอิม+ 21 ชาวอาโมไรต์ ชาวคานาอัน ชาวเกอร์กาชี และชาวเยบุส”+
16 ซารายกับอับรามไม่มีลูกด้วยกัน+ แต่ซารายมีสาวใช้ชาวอียิปต์คนหนึ่งชื่อฮาการ์+ 2 ซารายจึงพูดกับอับรามว่า “พระยะโฮวาไม่ให้ฉันมีลูก ขอคุณนอนกับสาวใช้ของฉันเถอะ เธออาจจะมีลูกให้ฉันก็ได้”+ อับรามทำตามที่ซารายบอก 3 แล้วซารายภรรยาอับรามก็ยกฮาการ์สาวใช้ชาวอียิปต์ให้เป็นภรรยาอับราม ตอนนั้น อับรามอยู่ในแผ่นดินคานาอันได้ 10 ปีแล้ว 4 อับรามมีเพศสัมพันธ์กับฮาการ์ เธอก็ตั้งท้อง เมื่อรู้ว่าตัวเองท้อง เธอก็เริ่มดูถูกนายหญิงของตัวเอง
5 ซารายจึงพูดกับอับรามว่า “คุณต้องรับผิดชอบที่ฮาการ์ทำให้ฉันเจ็บใจ ฉันเป็นคนยกสาวใช้คนนี้ให้คุณ แต่พอเธอรู้ว่าตัวเองท้องก็กลับมาดูถูกฉัน ขอพระยะโฮวาตัดสินว่าใครถูกใครผิด คุณหรือฉัน” 6 อับรามจึงพูดกับซารายว่า “ฮาการ์เป็นสาวใช้ของเธอ เธอจัดการเองเถอะ ทำตามที่เธอเห็นว่าสมควร” ซารายจึงทำให้ฮาการ์อับอายจนหนีไป
7 แล้วทูตสวรรค์ของพระยะโฮวาก็พบฮาการ์ในที่กันดารตรงบ่อน้ำพุบนทางไปเมืองชูร์+ 8 ทูตสวรรค์จึงพูดกับเธอว่า “ฮาการ์ สาวใช้ของซาราย เจ้ามาจากไหนและกำลังจะไปไหน?” ฮาการ์ตอบว่า “ดิฉันกำลังหนีซารายนายหญิงของดิฉันอยู่ค่ะ” 9 ทูตสวรรค์ของพระยะโฮวาจึงบอกว่า “กลับไปหานายหญิงและยอมเชื่อฟังเธอเถอะ” 10 แล้วทูตสวรรค์ของพระยะโฮวาก็บอกฮาการ์ว่า “เราจะให้ลูกหลานของเจ้าเพิ่มจำนวนขึ้นจนนับไม่ถ้วน”+ 11 ทูตสวรรค์ของพระยะโฮวาบอกอีกว่า “ตอนนี้เจ้าตั้งท้องอยู่และจะคลอดลูกชาย ให้ตั้งชื่อลูกว่าอิชมาเอล* เพราะพระยะโฮวาได้ยินเสียงร้องด้วยความทุกข์ของเจ้า 12 ลูกชายของเจ้าจะมีนิสัยเหมือนลาป่า* เขาจะต่อสู้กับทุกคนและทุกคนก็จะต่อสู้กับเขา เขาจะอยู่คนละฝั่งกับพวกพี่น้องของเขา”*
13 ฮาการ์จึงสรรเสริญพระยะโฮวา*และพูดกับพระองค์ว่า “พระองค์เป็นพระเจ้าผู้เห็นทุกสิ่ง”*+ และเธอพูดอีกว่า “ฉันได้เห็นพระองค์ผู้มองเห็นฉันแล้วจริง ๆ หรือนี่?” 14 บ่อน้ำนั้นจึงมีชื่อเรียกกันว่าเบเออร์ลาไฮรอย* (บ่อน้ำนี้อยู่ระหว่างคาเดชกับเบเรด) 15 ต่อมา ฮาการ์คลอดลูกชายให้อับราม เขาตั้งชื่อลูกชายที่มีกับฮาการ์ว่าอิชมาเอล+ 16 ตอนที่ฮาการ์คลอดอิชมาเอลนั้นอับรามอายุ 86 ปี
17 เมื่ออับรามอายุ 99 ปี พระยะโฮวามาหาเขาและพูดว่า “เราเป็นพระเจ้าผู้มีพลังอำนาจสูงสุด ขอให้เจ้าใช้ชีวิตให้ดีตามแนวทางของเราและในแบบที่ไม่มีที่ติ 2 เราจะทำสัญญากับเจ้า+ และเราจะให้เจ้ามีลูกหลานจำนวนมากมายเพิ่มขึ้นเรื่อย ๆ”+
3 อับรามซบหน้าลงกับพื้นและพระเจ้าพูดกับเขาต่อไปว่า 4 “เราสัญญากับเจ้าไว้แล้ว+ เจ้าจะได้เป็นพ่อของคนหลายชนชาติแน่นอน+ 5 เจ้าจะไม่ชื่อว่าอับราม*อีกต่อไป แต่จะชื่อว่าอับราฮัม*เพราะเราจะให้เจ้าเป็นพ่อของคนหลายชนชาติ 6 เราจะให้เจ้ามีลูกหลานมากมาย คนหลายชนชาติและกษัตริย์หลายองค์จะเกิดจากเจ้า+
7 “และเพื่อแสดงว่าเราเป็นพระเจ้าของเจ้าและของลูกหลานเจ้า เราจะทำตามสัญญาของเรา+ คือสัญญาที่จะคงอยู่ตลอดไปที่เราให้ไว้กับเจ้าและลูกหลานของเจ้าทุกรุ่น 8 เราจะยกแผ่นดินที่เจ้าอยู่อย่างคนต่างชาติ+นี้ คือแผ่นดินคานาอันทั้งหมดให้เป็นของเจ้าและลูกหลานของเจ้าตลอดไป และเราจะเป็นพระเจ้าของพวกเขา”+
9 พระเจ้าพูดกับอับราฮัมต่อไปว่า “และเจ้ากับลูกหลานของเจ้าทุกรุ่นจะต้องทำตามสัญญาระหว่างเรากับเจ้า 10 สัญญาระหว่างเรากับพวกเจ้า ที่เจ้ากับลูกหลานจะต้องทำตามคือ พวกเจ้าทุกคนที่เป็นผู้ชายจะต้องเข้าสุหนัต+ 11 พวกเจ้าจะต้องเข้าสุหนัตซึ่งเป็นเครื่องหมายที่ทำให้ระลึกถึงสัญญาระหว่างเรากับพวกเจ้า+ 12 เด็กผู้ชายทุกคนที่เกิดในบ้านของเจ้าจะต้องเข้าสุหนัตในวันที่แปดหลังจากพวกเขาเกิด+ ส่วนเด็กผู้ชายและผู้ชายทุกคนที่ถูกซื้อมาจากคนต่างชาติ ถึงไม่ใช่ลูกหลานของเจ้าก็ต้องเข้าสุหนัตด้วย พวกเจ้าต้องทำอย่างนี้ไปตลอดทุกยุคทุกสมัย 13 ผู้ชายทุกคนที่เกิดในบ้านเจ้าและผู้ชายทุกคนที่เจ้าซื้อมาจะต้องเข้าสุหนัต+ เครื่องหมายนี้ที่อยู่บนตัวของพวกเจ้าจะเป็นหลักฐานว่านี่เป็นสัญญาที่ยั่งยืน 14 ถ้าผู้ชายคนไหนไม่ยอมเข้าสุหนัต เขาจะถูกประหารเพราะเขาไม่ทำตามสัญญานี้”
15 แล้วพระเจ้าพูดกับอับราฮัมว่า “สำหรับซาราย*ภรรยาของเจ้า+ เจ้าจะไม่เรียกเธอว่าซารายอีกต่อไป แต่จะเรียกเธอว่าซาราห์* 16 เราจะอวยพรเธอและจะให้เจ้ามีลูกชายคนหนึ่งกับเธอ+ เราจะอวยพรให้เธอเป็นแม่ของคนหลายชนชาติ และกษัตริย์ของชาติต่าง ๆ จะเกิดจากเธอ” 17 อับราฮัมจึงซบหน้าลงกับพื้นหัวเราะและคิดในใจว่า+ “ชายแก่อายุ 100 ปีจะมีลูกหรือนี่? และซาราห์หญิงแก่อายุ 90 ปีจะคลอดลูกได้หรือ?”+
18 แล้วอับราฮัมก็พูดกับพระเจ้าเที่ยงแท้ว่า “ขอพระองค์อวยพรอิชมาเอลด้วยเถอะครับ”+ 19 พระเจ้าจึงพูดว่า “ซาราห์ภรรยาของเจ้าจะมีลูกชายให้เจ้าคนหนึ่งแน่ และให้ตั้งชื่อเขาว่าอิสอัค*+ เราจะทำสัญญากับเขา เป็นสัญญาที่จะคงอยู่ตลอดไปสำหรับลูกหลานของเขา+ 20 ส่วนอิชมาเอลนั้น เราจะทำตามที่เจ้าขอ เราจะอวยพรเขาให้มีลูกหลานหลายคนและเพิ่มจำนวนขึ้นมากมาย จะมีหัวหน้าตระกูล 12 คนเกิดจากเขา และเราจะให้เขากลายเป็นชาติใหญ่+ 21 แต่เราจะทำสัญญากับอิสอัค+ ซาราห์จะคลอดอิสอัคในช่วงเวลานี้ของปีหน้า”+
22 เมื่อพระเจ้าพูดกับอับราฮัมจบแล้ว พระองค์ก็ไปจากเขา 23 แล้วอับราฮัมก็ให้อิชมาเอลลูกชายของเขากับผู้ชายทุกคนที่เกิดในบ้านเขา และผู้ชายทุกคนที่เขาซื้อมา คือให้ผู้ชายทุกคนในบ้านเข้าสุหนัตในวันนั้นตามที่พระเจ้าบอก+ 24 ตอนที่อับราฮัมเข้าสุหนัตนั้นเขาอายุ 99 ปี+ 25 ส่วนอิชมาเอลลูกชายของเขาอายุ 13 ปีตอนที่เข้าสุหนัต+ 26 ในวันนั้นเอง อับราฮัมกับอิชมาเอลลูกชายของเขาได้เข้าสุหนัต 27 และผู้ชายทุกคนในบ้านเขา ทั้งคนที่เกิดในบ้านและคนที่เขาซื้อมาจากคนต่างชาติก็เข้าสุหนัตพร้อมกับเขา
18 ภายหลังพระยะโฮวา*+มาหาอับราฮัมท่ามกลางต้นไม้ใหญ่ที่มัมเร+ ตอนนั้นเป็นช่วงที่ร้อนที่สุดของวัน อับราฮัมนั่งอยู่ตรงทางเข้าเต็นท์ 2 เมื่อเขาเงยหน้าขึ้นก็เห็นผู้ชาย 3 คนยืนอยู่ไม่ไกลนัก+ พอเห็น 3 คนนั้นอับราฮัมก็วิ่งไปพบพวกเขาและหมอบลงกับพื้น 3 แล้วพูดว่า “พระยะโฮวา*ครับ ถ้าพระองค์พอใจผม ขออย่าเพิ่งเดินทางผ่านผู้รับใช้ของพระองค์คนนี้ไป 4 ผมจะให้คนเอาน้ำมาสักหน่อยจะได้ล้างเท้าให้พวกท่าน+ แล้วพวกท่านจะได้เอนหลังพักผ่อนอยู่ใต้ต้นไม้ 5 ไหน ๆ ท่านก็มาพบผู้รับใช้ของท่านที่นี่แล้ว ขอผมเอาอาหารมาให้พวกท่าน พอกินอิ่มมีเรี่ยวมีแรงแล้วพวกท่านค่อยไป” พวกเขาจึงพูดว่า “ได้สิ ทำตามนั้นเถอะ”
6 อับราฮัมรีบกลับไปหาซาราห์ที่เต็นท์และบอกว่า “เร็วเข้า! เอาแป้งเนื้อละเอียดถังหนึ่ง*มานวดทำขนมปัง” 7 จากนั้น อับราฮัมวิ่งไปเลือกลูกวัวที่ขุนไว้อย่างดีจากฝูงมาตัวหนึ่ง แล้วให้คนรับใช้รีบเอาไปทำอาหาร 8 แล้วอับราฮัมก็เอาเนย นม และเนื้อลูกวัวที่ปรุงแล้วมาวางไว้ตรงหน้าพวกเขา ส่วนตัวเองก็ยืนอยู่ข้าง ๆ ใต้ต้นไม้ขณะที่พวกเขากินอาหาร+
9 พวกเขาถามอับราฮัมว่า “ซาราห์ภรรยาเจ้าอยู่ไหน?”+ เขาตอบว่า “อยู่ในเต็นท์ครับ” 10 คนหนึ่งในพวกเขาพูดว่า “ในช่วงเวลานี้ของปีหน้าเราจะกลับมาหาเจ้าแน่ และซาราห์ภรรยาของเจ้าจะมีลูกชายคนหนึ่ง”+ ตอนนั้น ซาราห์ฟังอยู่ตรงทางเข้าเต็นท์ข้างหลังคนนั้น 11 ทั้งอับราฮัมกับซาราห์ก็แก่มาก+ และซาราห์ก็เลยวัยที่จะมีลูกแล้ว+ 12 ซาราห์จึงหัวเราะอยู่ในใจและคิดว่า “ฉันกับนายของฉันก็อายุปูนนี้แล้ว ยังจะมีความยินดีอย่างนี้ได้อีกหรือ?”+ 13 พระยะโฮวาจึงถามอับราฮัมว่า “ทำไมซาราห์หัวเราะและพูดว่า ‘ฉันจะมีลูกได้จริง ๆ หรือ? อายุตั้งขนาดนี้แล้ว’ 14 มีอะไรที่เรายะโฮวาทำไม่ได้?+ ในช่วงเวลานี้ของปีหน้าเราจะกลับมาหาเจ้า และซาราห์จะมีลูกชายคนหนึ่ง” 15 ซาราห์กลัวจึงปฏิเสธว่า “ดิฉันไม่ได้หัวเราะนะคะ” แต่พระองค์พูดว่า “อย่าปฏิเสธเลย เจ้าหัวเราะจริง ๆ”
16 ผู้ชายเหล่านั้นก็ลุกและเดินออกไป พวกเขามองไปทางเมืองโสโดม+ อับราฮัมก็เดินไปส่ง 17 พระยะโฮวาพูดว่า “เราจะไม่ให้อับราฮัมรู้ว่าเรากำลังจะทำอะไรอย่างนั้นหรือ?+ 18 อับราฮัมจะกลายเป็นชาติใหญ่ที่มีกำลังมากอย่างแน่นอน และทุกชาติในโลกจะได้รับพรเพราะเขา+ 19 เราได้เลือก*อับราฮัม เพื่อเขาจะได้กำชับลูกหลานรวมทั้งคนในบ้านของเขาให้ใช้ชีวิตตามแนวทางของเรายะโฮวา โดยทำสิ่งที่ถูกต้องและยุติธรรม+ แล้วเรายะโฮวาจะทำตามที่เราสัญญาไว้กับอับราฮัม”
20 แล้วพระยะโฮวาพูดว่า “บาปของเมืองโสโดมและโกโมราห์ร้ายแรงมาก+ เราได้ยินผู้คนร้องบ่นเกี่ยวกับสองเมืองนี้+ 21 เราจะลงไปดูให้รู้ว่า พวกเขาทำชั่วอย่างที่เราได้ยินเสียงร้องบ่นว่านั้นหรือเปล่า”+
22 แล้วผู้ชายเหล่านั้น*ก็แยกไปทางเมืองโสโดม แต่พระยะโฮวา+ยังอยู่กับอับราฮัม 23 อับราฮัมเข้าไปถามว่า “พระองค์จะกวาดล้างคนดีไปพร้อมกับคนชั่วจริง ๆ หรือครับ?+ 24 สมมุติว่ามีคนดีสัก 50 คนในเมืองนั้น พระองค์จะกวาดล้างคนทั้งเมืองหรือ? พระองค์จะไม่ยกโทษให้เพราะเห็นแก่คนดี 50 คนในเมืองนั้นหรือ? 25 พระองค์จะไม่ประหารคนดีให้ตายไปพร้อมกับคนชั่วแน่ ๆ+ พระองค์ไม่มีทางทำอย่างนั้น+ พระองค์ผู้พิพากษาโลกทั้งสิ้นจะทำสิ่งที่ถูกต้องอย่างแน่นอน”+ 26 พระยะโฮวาพูดว่า “ถ้าเราพบคนดีสัก 50 คนในเมืองโสโดม เราจะยกโทษให้คนทั้งเมืองเพราะเห็นแก่ 50 คนนั้น” 27 อับราฮัมพูดอีกว่า “พระยะโฮวาครับ ผมเป็นเพียงฝุ่นและขี้เถ้า ผมรู้ดีว่าไม่มีสิทธิ์จะถาม แต่ผมขออนุญาตถามพระองค์ได้ไหมครับว่า 28 ถ้ามีคนดีไม่ถึง 50 คน ขาดไปสัก 5 คน พระองค์จะทำลายทั้งเมืองเพราะขาดคนดีไป 5 คนไหม?” พระองค์ตอบว่า “เราจะไม่ทำลายเมืองนั้นถ้าเราพบว่ามีคนดีอยู่ที่นั่น 45 คน”+
29 เขาถามพระองค์อีกว่า “ถ้าพระองค์พบ 40 คนที่นั่นล่ะครับ?” พระองค์ตอบว่า “เราจะไม่ทำลายเพราะเห็นแก่ 40 คนนั้น” 30 เขาพูดอีกว่า “พระยะโฮวาครับ อย่าเพิ่งโกรธนะครับ+ ผมขอถามอีกว่า ถ้าพบ 30 คนที่นั่นล่ะครับ?” พระองค์ตอบว่า “เราจะไม่ทำลายเมืองนั้นถ้าเราพบ 30 คนที่นั่น” 31 เขาพูดอีกว่า “พระยะโฮวาครับ ผมรู้ดีว่าไม่มีสิทธิ์จะถาม แต่ผมขออนุญาตถามพระองค์อีกครั้งได้ไหมครับว่า ถ้าพบ 20 คนที่นั่นล่ะครับ?” พระองค์ตอบว่า “เราจะไม่ทำลายเมืองนั้นเพราะเห็นแก่ 20 คนนั้น” 32 เขาพูดอีกครั้งว่า “พระยะโฮวาครับ อย่าเพิ่งโกรธนะครับ ผมขอถามอีกแค่ครั้งเดียวว่า ถ้าพบแค่ 10 คนที่นั่นล่ะครับ?” พระองค์ตอบว่า “เราก็จะไม่ทำลายเมืองนั้นเพราะเห็นแก่ 10 คนนั้น” 33 เมื่อพระยะโฮวาพูดกับอับราฮัมจบแล้วพระองค์ก็ไป+ ส่วนอับราฮัมก็กลับไปที่เต็นท์ของตัวเอง
19 ทูตสวรรค์ 2 องค์นั้นมาถึงเมืองโสโดมตอนเย็น โลทกำลังนั่งอยู่ที่ประตูเมือง พอเห็นทูตสวรรค์ทั้งสอง เขาก็ลุกขึ้นไปหาแล้วหมอบลงกับพื้น+ 2 เขาพูดว่า “ท่านครับ ขอเชิญแวะมาที่บ้านผู้รับใช้ของท่านคนนี้เถอะ ผมจะให้คนล้างเท้าท่านและท่านจะได้ค้างสักคืน แล้วพรุ่งนี้ค่อยออกเดินทางแต่เช้า” ทูตสวรรค์ทั้งสองพูดว่า “ไม่เป็นไร พวกเราว่าจะค้างคืนที่ลานเมือง” 3 แต่โลทรบเร้ามากจนทูตสวรรค์ทั้งสองต้องไปที่บ้านเขา แล้วโลทก็จัดอาหารเลี้ยงพวกเขาโดยทำขนมปังไม่ใส่เชื้อให้พวกเขากิน
4 ทูตสวรรค์ทั้งสองยังไม่ทันเข้านอน ผู้ชายชาวโสโดมทั้งเมืองตั้งแต่เด็กจนถึงคนแก่ก็พากันมาล้อมบ้านโลท 5 พวกเขาตะโกนบอกโลทไม่หยุดว่า “ผู้ชายที่มาบ้านแกคืนนี้อยู่ไหน? พาพวกเขาออกมาซะดี ๆ เราอยากจะนอนกับเขา”+
6 โลทจึงออกมาพบคนพวกนั้นข้างนอกแล้วปิดประตูบ้านไว้ 7 เขาพูดว่า “พี่น้องของผม ขอเถอะนะครับ อย่าทำชั่วเลย 8 ผมมีลูกสาวสองคนยังเป็นสาวบริสุทธิ์ ผมจะพาออกมาให้ พวกคุณอยากจะทำอะไรกับลูกของผมก็ได้ตามใจ แต่อย่าทำอะไรผู้ชายสองคนนี้เลย เพราะพวกเขาเป็นแขกในบ้านที่ผมต้องปกป้องดูแล”+ 9 คนกลุ่มนั้นพูดว่า “ถอยไป!” และยังพูดอีกว่า “แกเป็นคนต่างชาติที่มาอยู่เมืองนี้แล้วยังกล้ามาตัดสินพวกเรารึ? เราจะเล่นงานแกให้หนักกว่าสองคนนั้นอีก” พวกเขาผลักโลทอย่างแรงและพยายามเข้าไปพังประตูบ้าน 10 ผู้ชาย 2 คนนั้น*ก็ยื่นมือออกไปคว้าตัวโลทดึงเข้ามาในบ้านแล้วปิดประตู 11 แล้วพวกเขาก็ทำให้พวกผู้ชายกลุ่มนั้นทั้งเด็กและผู้ใหญ่ที่อยู่หน้าประตูบ้านตาบอด คนกลุ่มนั้นควานหาประตูบ้านจนหมดแรง
12 แล้วผู้ชาย 2 คนนั้นพูดกับโลทว่า “คุณมีญาติคนอื่นอยู่ที่นี่อีกไหม? ให้พาลูกชาย ลูกสาว ลูกเขย กับพวกญาติ ๆ ที่อยู่ในเมืองนี้ออกไปจากที่นี่ให้หมด 13 พวกเรากำลังจะทำลายเมืองนี้แล้ว เพราะเสียงร้องบ่นว่าชาวเมืองนี้ดังไปถึงพระยะโฮวา+ พระยะโฮวาจึงส่งพวกเรามาให้ทำลายเมืองนี้” 14 โลทก็ออกไปบอกคน*ที่จะแต่งงานกับลูกสาวของเขา โลทบอกพวกเขาหลายครั้งว่า “รีบออกไปจากเมืองนี้เร็วเข้า! เพราะพระยะโฮวากำลังจะทำลายเมืองนี้” แต่พวกเขากลับคิดว่าโลทพูดเล่น+
15 พอฟ้าสางทูตสวรรค์ก็เร่งโลทว่า “เร็วเข้า! พาภรรยากับลูกสาวทั้งสองไปได้แล้ว คุณจะได้ไม่ถูกกวาดล้างไปด้วยตอนที่เมืองที่ผิดบาปนี้ถูกทำลาย”+ 16 เมื่อเห็นว่าโลทยังชักช้าอยู่ พระยะโฮวาก็รู้สึกสงสารเขา+ จึงให้ผู้ชาย 2 คนนั้นคว้ามือโลทกับภรรยาและลูกสาวทั้ง 2 คนพาออกไปนอกเมือง+ 17 เมื่อผู้ชาย 2 คนนั้นพาพวกเขาออกมานอกเมืองแล้ว คนหนึ่งก็บอกว่า “ให้หนีเอาชีวิตรอด ห้ามหันกลับไปมอง+หรือหยุดตรงไหนในบริเวณนี้เลย+ แต่ให้หนีไปที่เขตเทือกเขา คุณจะได้ไม่ถูกทำลาย”
18 แต่โลทพูดกับพวกเขาว่า “พระยะโฮวาครับ* อย่าให้ผมไปที่นั่นเลย 19 ผมก็เป็นผู้รับใช้ที่พระองค์พอใจอยู่แล้ว พระองค์รักและเมตตาผมอย่างมาก*และช่วยชีวิตผมไว้+ แต่ผมคงหนีไปที่เขตเทือกเขาไม่ไหวแน่ ผมกลัวว่าตัวเองจะเจออันตรายถึงตาย+ 20 ใกล้ ๆ นี้เองมีเมืองเล็ก ๆ อยู่เมืองหนึ่งที่ผมพอจะหนีไปได้ ผมขอหนีไปที่นั่นนะครับ ที่นั่นเป็นแค่เมืองเล็ก ๆ เอง ผมจะได้รอดตาย” 21 พระองค์*พูดกับโลทว่า “ได้ เราจะให้ตามที่ขอ+ และเราจะไม่ทำลายเมืองนั้น+ 22 รีบหนีไปที่นั่นเร็ว เพราะเราทำอะไรไม่ได้จนกว่าเจ้าจะไปถึงที่นั่นก่อน”+ เมืองนี้จึงถูกเรียกว่าโศอาร์*+
23 โลทมาถึงเมืองโศอาร์ตอนที่ดวงอาทิตย์ขึ้นแล้ว 24 เมื่อโลทมาถึง พระยะโฮวาก็ให้มีกำมะถันกับไฟตกลงมาจากฟ้า พระยะโฮวาให้ตกใส่เมืองโสโดมและเมืองโกโมราห์เหมือนห่าฝน+ 25 พระองค์ทำลายทั้งสองเมืองนี้กับบริเวณที่ลุ่มนั้นทั้งหมด รวมทั้งชาวเมืองกับพืชพรรณบนแผ่นดินนั้นด้วย+ 26 ส่วนภรรยาโลทซึ่งตามมาข้างหลังได้หันกลับไปมอง เธอเลยกลายเป็นเสาเกลือ+
27 อับราฮัมตื่นแต่เช้าแล้วไปที่ที่เขาเคยยืนพูดกับพระยะโฮวา+ 28 พออับราฮัมมองลงไปทางเมืองโสโดมกับเมืองโกโมราห์และทั่วบริเวณที่ลุ่มนั้น เขาก็เห็นภาพน่ากลัว มีควันหนาพลุ่งขึ้นมาจากบริเวณนั้นเหมือนควันหนาจากเตาเผา+ 29 เมื่อพระเจ้าทำลายเมืองต่าง ๆ ในบริเวณที่ลุ่มนั้น พระองค์ระลึกถึงอับราฮัมจึงช่วยโลทออกจากเมืองที่พระองค์ทำลาย เมืองนั้นเป็นเมืองที่โลทเคยอยู่+
30 ต่อมา โลทออกจากเมืองโศอาร์แล้วไปอยู่ในเขตเทือกเขา+พร้อมกับลูกสาว 2 คนเพราะเขาไม่กล้าอยู่ในเมืองโศอาร์+ โลทกับลูกสาวทั้งสองก็เข้าไปอยู่ในถ้ำ 31 ลูกสาวคนโตพูดกับน้องสาวว่า “พ่อเราแก่แล้ว และก็ไม่มีผู้ชายสักคนในแผ่นดินนี้ให้เราแต่งงานด้วยเหมือนคนอื่นเขา 32 เอาอย่างนี้ละกัน เอาเหล้าองุ่นมาให้พ่อดื่มจนเมา แล้วเราก็นอนกับพ่อ พ่อจะได้มีลูกเอาไว้สืบสกุล”
33 คืนนั้น พวกเธอเอาเหล้าองุ่นให้พ่อดื่มจนเมา แล้วลูกสาวคนโตก็เข้าไปนอนกับพ่อ แต่เขาไม่รู้ว่าเธอมานอนตอนไหนและลุกไปเมื่อไร 34 วันต่อมา ลูกสาวคนโตพูดกับน้องว่า “เมื่อคืนพี่นอนกับพ่อแล้ว คืนนี้เราเอาเหล้าองุ่นให้พ่อดื่มจนเมาอีก แล้วน้องก็เข้าไปนอนกับพ่อนะ พ่อจะได้มีลูกเอาไว้สืบสกุล” 35 คืนนั้น พวกเธอเอาเหล้าองุ่นให้พ่อดื่มจนเมาอีก แล้วลูกสาวคนเล็กก็เข้าไปนอนกับพ่อ แต่เขาไม่รู้ว่าเธอมานอนตอนไหนและลุกไปเมื่อไร 36 แล้วลูกสาวทั้งสองของโลทก็ท้องกับพ่อของตัวเอง 37 ต่อมา ลูกสาวคนโตคลอดลูกชายคนหนึ่งและตั้งชื่อว่าโมอับ+ เขาเป็นบรรพบุรุษของชาวโมอับในสมัยนี้+ 38 ส่วนลูกสาวคนเล็กก็คลอดลูกชายคนหนึ่งด้วยและตั้งชื่อว่าเบนอัมมี เขาเป็นบรรพบุรุษของชาวอัมโมน+ในสมัยนี้
20 อับราฮัมย้ายค่ายพัก+และเดินทางไปที่เนเกบ เขาตั้งค่ายอยู่ระหว่างคาเดช+กับชูร์+ และตอนที่อาศัยอยู่*ที่เกราร์+ 2 อับราฮัมพูดถึงซาราห์ภรรยาตัวเองอีกว่า “เธอเป็นน้องสาวของผม”+ อาบีเมเลค*กษัตริย์ที่ปกครองเกราร์จึงใช้คนมาพาซาราห์ไป+ 3 ตอนกลางคืน พระเจ้ามาเข้าฝันอาบีเมเลคและบอกเขาว่า “เจ้าจะต้องตายเพราะผู้หญิงที่เจ้าพามา+ เพราะว่าเธอแต่งงานมีเจ้าของแล้ว”+ 4 แต่อาบีเมเลคยังไม่ได้แตะต้องเธอ* เขาจึงถามว่า “พระยะโฮวา พระองค์จะประหารชนชาติที่ไม่มีความผิดหรือ? 5 อับราฮัมเป็นคนบอกผมเองว่าซาราห์เป็นน้องสาวของเขา และซาราห์เองก็บอกว่าอับราฮัมเป็นพี่ชาย ผมทำไปด้วยความจริงใจและด้วยความไม่รู้” 6 พระเจ้าเที่ยงแท้พูดกับเขาในความฝันว่า “เรารู้ว่าเจ้าจริงใจ เราถึงไม่ยอมให้เจ้าแตะต้องเธอ เจ้าจะได้ไม่ทำบาปต่อเรา 7 ตอนนี้ คืนภรรยาให้เขาไป เขาเป็นผู้พยากรณ์+ เขาจะได้อ้อนวอนเพื่อเจ้า+ เจ้าจะได้มีชีวิตอยู่ต่อไป แต่ถ้าเจ้าไม่คืนให้เขา เจ้ากับทุกคนในครอบครัวจะต้องตาย”
8 อาบีเมเลคตื่นแต่เช้าและเรียกข้าราชการทุกคนมา แล้วเล่าเรื่องทั้งหมดนั้นให้ฟัง พวกข้าราชการก็กลัวมาก 9 แล้วอาบีเมเลคก็เรียกอับราฮัมมาและพูดกับเขาว่า “ทำไมคุณทำแบบนี้? เราทำอะไรผิด? ทำไมคุณถึงเอาบาปร้ายแรงมาให้เรากับอาณาจักรของเราอย่างนี้? คุณไม่น่าทำแบบนี้เลย” 10 อาบีเมเลคพูดกับอับราฮัมต่อไปว่า “ถามจริง ๆ เถอะ ทำอย่างนี้ทำไม?”+ 11 อับราฮัมตอบว่า “เพราะผมคิดว่า ‘ที่นี่คงไม่มีใครเกรงกลัวพระเจ้าแน่ ๆ พวกเขาคงฆ่าผมเพราะอยากได้ภรรยาของผม’+ 12 และเธอก็เป็นน้องสาวของผมจริง ๆ แต่เป็นน้องสาวคนละแม่ แล้วผมก็แต่งงานกับเธอ+ 13 ตอนที่พระเจ้าให้ผมออกจากบ้านเกิดแล้วเดินทางเร่ร่อน+ ผมบอกเธอว่า ‘ถ้าเธอรักฉันจริง* ไม่ว่าเราจะไปที่ไหน ขอให้เธอบอกคนอื่นว่า “เขาเป็นพี่ชายดิฉัน”’”+
14 แล้วอาบีเมเลคก็นำแกะ วัว และคนรับใช้ชายหญิงมาให้อับราฮัมและคืนซาราห์ภรรยาให้เขาด้วย 15 อาบีเมเลคพูดว่า “คุณมาอยู่ในแผ่นดินของเราได้ อยากอยู่ที่ไหนก็อยู่เลย” 16 และพูดกับซาราห์ว่า “เราให้เงินพี่ชาย+เธอ 1,000 เชเขล*เพื่อยืนยันกับทุกคนที่อยู่กับเธอและคนอื่น ๆ ว่า เธอไม่มีอะไรเสื่อมเสีย จะได้ไม่มีใครมาตำหนิเธอได้” 17 แล้วอับราฮัมก็อ้อนวอนพระเจ้าเที่ยงแท้ พระเจ้าจึงรักษาอาบีเมเลคกับราชินีรวมทั้งพวกทาสผู้หญิงให้พวกเขาสามารถมีลูกได้อีก 18 เพราะพระยะโฮวาทำให้พวกผู้หญิงในวังอาบีเมเลคเป็นหมัน สาเหตุเพราะซาราห์ภรรยาอับราฮัม+
21 พระยะโฮวากลับมาหาซาราห์ตามที่เคยบอกไว้ และพระยะโฮวาทำตามที่พระองค์สัญญาไว้กับเธอ+ 2 ซาราห์ก็ตั้งท้อง+ เธอคลอดลูกชายคนหนึ่งให้อับราฮัมตอนที่เขาอายุมากแล้ว ตามเวลาที่พระเจ้าสัญญาไว้กับเขา+ 3 อับราฮัมตั้งชื่อลูกชายที่ซาราห์เพิ่งคลอดให้นั้นว่าอิสอัค+ 4 อับราฮัมให้อิสอัคลูกชายของเขาเข้าสุหนัตตอนอายุได้ 8 วันตามที่พระเจ้าสั่งไว้+ 5 อับราฮัมอายุ 100 ปีตอนที่อิสอัคลูกชายของเขาเกิด 6 ซาราห์พูดว่า “พระเจ้าทำให้ฉันหัวเราะดีใจ ทุกคนที่ได้ยินเรื่องนี้ก็หัวเราะดีใจไปกับฉันด้วย”* 7 เธอพูดอีกว่า “ใครจะไปคิดว่าซาราห์ภรรยาของอับราฮัมจะมีโอกาสให้ลูกกินนมได้ แต่ฉันก็คลอดลูกชายให้เขาตอนที่เขาอายุมากแล้ว”
8 เมื่ออิสอัคโตขึ้นจนหย่านมแล้ว อับราฮัมจึงจัดงานเลี้ยงใหญ่ในวันที่อิสอัคหย่านม 9 ซาราห์คอยสังเกตและเห็นว่าลูกชายที่อับราฮัมมีกับฮาการ์+ชาวอียิปต์นั้นชอบเยาะเย้ยอิสอัค+ 10 เธอจึงพูดกับอับราฮัมว่า “ไล่ทาสหญิงคนนี้กับลูกไปซะเถอะ เพราะลูกของทาสหญิงคนนี้จะมารับมรดกร่วมกับอิสอัคลูกฉันไม่ได้”+ 11 แต่อับราฮัมลำบากใจมากที่ได้ยินซาราห์พูดถึงลูกชายของเขาแบบนั้น+ 12 พระเจ้าจึงพูดกับอับราฮัมว่า “อย่าให้เรื่องที่ซาราห์พูดถึงเด็กคนนั้นกับทาสหญิงของเจ้ามาทำให้เจ้าลำบากใจเลย ให้ทำตามที่ซาราห์บอก เพราะคนที่จะได้ชื่อว่าเป็นลูกหลานของเจ้านั้นจะมาทางอิสอัค+ 13 ส่วนลูกชายของทาสหญิง+นั้นเราจะให้มีชาติหนึ่งเกิดจากเขาด้วย+ เพราะเขาเป็นลูกของเจ้า”
14 อับราฮัมจึงตื่นแต่เช้าตรู่ เอาขนมปังกับถุงหนังใส่น้ำถุงหนึ่งวางไว้บนบ่าฮาการ์ แล้วให้เธอกับลูกชายไปจากที่นั่น+ ฮาการ์ก็เดินทางเร่ร่อนอยู่ในที่กันดารซึ่งอยู่ใกล้เบเออร์เชบา+ 15 เมื่อน้ำในถุงหนังหมด ฮาการ์ก็ทิ้งลูกชายไว้ที่ใต้พุ่มไม้ 16 แล้วเธอก็ไปนั่งคนเดียว นั่งห่างออกไปพอ ๆ กับระยะยิงลูกธนูตก ฮาการ์พูดว่า “ฉันไม่อยากเห็นตอนที่ลูกตายเลย” เธอจึงนั่งร้องไห้เสียงดังอยู่ห่าง ๆ
17 พระเจ้าได้ยินเสียงเด็กนั้น+ ทูตสวรรค์ของพระเจ้าจึงเรียกฮาการ์จากฟ้าและพูดกับเธอว่า+ “ฮาการ์ เธอเป็นอะไร? ไม่ต้องกลัว เพราะพระเจ้าได้ยินเสียงเด็กที่อยู่ตรงนั้นแล้ว 18 ลุกขึ้นเถอะ พยุงเด็กให้ลุกขึ้นแล้วจูงมือเขาไป เพราะเราจะให้เขากลายเป็นชาติใหญ่”+ 19 พระเจ้าเปิดตาฮาการ์ เธอก็เห็นบ่อน้ำบ่อหนึ่งจึงเอาถุงหนังไปใส่น้ำแล้วเอามาให้ลูกดื่ม 20 พระเจ้าคอยดูแลเด็กคนนี้+จนเขาโต เขาอาศัยอยู่ในที่กันดารและเป็นพรานที่ใช้ธนู 21 เขาอาศัยอยู่ในที่กันดารปาราน+ แม่เขาหาผู้หญิงคนหนึ่งจากอียิปต์ให้เป็นภรรยาเขา
22 เวลานั้น อาบีเมเลคมาหาอับราฮัมพร้อมกับฟีโคล์*แม่ทัพของเขา เขาพูดว่า “เราเห็นว่าพระเจ้าคอยช่วยเหลือคุณทุกอย่าง+ 23 ดังนั้น สาบานกับเราที่นี่ต่อหน้าพระเจ้าเถอะว่า คุณจะไม่ทำผิดสัญญาระหว่างเรา จะไม่หลอกลวงเราและลูกหลานของเรา แต่จะปฏิบัติต่อเรากับคนในแผ่นดินที่คุณอาศัยอยู่นี้ด้วยความซื่อสัตย์*อย่างที่เราซื่อสัตย์ต่อคุณ”+ 24 อับราฮัมพูดว่า “ผมสาบาน”
25 แต่อับราฮัมร้องทุกข์ต่ออาบีเมเลคเรื่องบ่อน้ำที่คนของอาบีเมเลคแย่งไป+ 26 อาบีเมเลคพูดว่า “เราไม่รู้ว่าใครทำอย่างนั้น คุณไม่ได้บอกเรา เราเพิ่งมารู้เรื่องวันนี้เอง” 27 อับราฮัมเอาแกะกับวัวมาให้อาบีเมเลค แล้วทั้งสองก็ทำสัญญากัน 28 ตอนที่อับราฮัมเลือกลูกแกะตัวเมีย 7 ตัวออกมาจากฝูงนั้น 29 อาบีเมเลคถามเขาว่า “ทำไมถึงเลือกลูกแกะตัวเมีย 7 ตัวนี้ออกมาล่ะ?” 30 อับราฮัมตอบว่า “โปรดรับลูกแกะตัวเมีย 7 ตัวนี้จากผม เพื่อเป็นหลักฐานยืนยันว่าผมเป็นคนขุดบ่อน้ำนี้” 31 เขาจึงเรียกที่นั่นว่าเบเออร์เชบา*+เพราะทั้งสองได้สาบานต่อกันที่นั่น 32 ทั้งสองจึงทำสัญญากัน+ที่เบเออร์เชบา แล้วอาบีเมเลคกับฟีโคล์แม่ทัพของเขาก็เดินทางกลับแผ่นดินฟีลิสเตีย+ 33 หลังจากนั้น อับราฮัมปลูกต้นสนทามาริสก์ไว้ที่เบเออร์เชบา และที่นั่น อับราฮัมสรรเสริญชื่อของพระยะโฮวา+พระเจ้าผู้มีชีวิตตลอดไป+ 34 อับราฮัมอาศัยอยู่*ในแผ่นดินฟีลิสเตียเป็นเวลานาน+
22 ต่อมา พระเจ้าเที่ยงแท้อยากลองดูว่าอับราฮัมมีความเชื่อที่เข้มแข็งขนาดไหน+ พระองค์พูดกับเขาว่า “อับราฮัม” เขาตอบว่า “ครับผม” 2 พระเจ้าพูดว่า “ขอให้พาอิสอัค+ลูกชายคนเดียวที่เจ้ารักมาก+เดินทางไปแผ่นดินโมริยาห์+ แล้วถวายเขาเป็นเครื่องบูชาเผาบนภูเขาที่เราจะบอกเจ้า”
3 อับราฮัมตื่นแต่เช้าตรู่ ผูกอานลาและพาอิสอัคลูกชายกับคนรับใช้สองคนไปด้วย เขาผ่าฟืนที่จะใช้สำหรับเผาเครื่องบูชา แล้วออกเดินทางไปที่ที่พระเจ้าเที่ยงแท้บอกให้ไป 4 พอถึงวันที่สามของการเดินทาง อับราฮัมก็มองเห็นที่ที่พวกเขาจะไปนั้นแต่ไกล 5 แล้วอับราฮัมก็พูดกับคนรับใช้ว่า “อยู่กับลาตรงนี้นะ ผมกับลูกจะไปนมัสการพระเจ้าตรงโน้น เสร็จแล้วจะกลับมาหาพวกคุณ”
6 จากนั้น อับราฮัมก็ให้อิสอัคลูกชายแบกฟืนที่จะใช้เผาเครื่องบูชา ส่วนเขาถือไฟกับมีด แล้วทั้งสองก็เดินไปด้วยกัน 7 อิสอัคพูดกับอับราฮัมพ่อของเขาว่า “พ่อครับ” อับราฮัมพูดว่า “มีอะไรหรือลูก?” อิสอัคถามว่า “เรามีไฟกับฟืนแล้ว แต่แกะสำหรับเผาเป็นเครื่องบูชาอยู่ไหนล่ะครับ?” 8 อับราฮัมตอบว่า “พระเจ้าจะจัดหาแกะสำหรับเผาเป็นเครื่องบูชา+ให้เองนะลูก” แล้วทั้งสองก็พากันเดินต่อไป
9 เมื่อพวกเขามาถึงที่ที่พระเจ้าเที่ยงแท้บอกไว้ อับราฮัมก็สร้างแท่นบูชาที่นั่น เรียงฟืนบนแท่น มัดมือมัดเท้าอิสอัคลูกชาย และวางเขาบนฟืนที่อยู่บนแท่นบูชา+ 10 แล้วอับราฮัมก็ยื่นมือไปหยิบมีดมาจะฆ่าลูกชาย+ 11 แต่ทูตสวรรค์ของพระยะโฮวาเรียกอับราฮัมจากฟ้าว่า “อับราฮัม อับราฮัม” เขาตอบว่า “ครับ” 12 ทูตสวรรค์*พูดว่า “อย่าทำอันตรายลูกของเจ้า อย่าทำอะไรเขาเลย ตอนนี้เรารู้แล้วว่าเจ้าเกรงกลัวพระเจ้า เพราะเจ้าไม่ได้หวงลูกชายคนเดียวของเจ้าไว้ แต่ยอมยกให้เรา”+ 13 อับราฮัมจึงเงยหน้าขึ้นแล้วก็เห็นแกะตัวผู้ตัวหนึ่ง เขาของแกะตัวนั้นติดอยู่กับพงไม้ที่อยู่ไม่ไกล เขาจึงไปจับมาถวายเป็นเครื่องบูชาเผาแทนลูกชายตัวเอง 14 อับราฮัมเรียกที่นั่นว่ายะโฮวายิเรห์* ผู้คนจึงพูดกันจนถึงทุกวันนี้ว่า “ที่ภูเขาของพระยะโฮวา พระองค์จะจัดหาให้”+
15 ทูตสวรรค์ของพระยะโฮวาเรียกอับราฮัมจากฟ้าเป็นครั้งที่สอง 16 และบอกว่า “พระยะโฮวาพูดว่า ‘เพราะเจ้าไม่ได้หวงลูกชายคนเดียวของเจ้าไว้+ แต่ยอมยกให้เรา เราจึงขอสาบานโดยอ้างตัวเราเอง+ว่า 17 เราจะอวยพรเจ้าแน่ ๆ และเราจะทำให้ลูกหลานของเจ้าเพิ่มจำนวนขึ้นให้มีมากเหมือนดวงดาวบนท้องฟ้าและเหมือนเม็ดทรายที่ชายทะเลอย่างแน่นอน+ และลูกหลานของเจ้าจะยึดเมืองต่าง ๆ ของศัตรู+ 18 และทุกชาติในโลกจะได้รับพร*เพราะลูกหลานของเจ้า+ และเพราะเจ้าเชื่อฟังเรา’”+
19 จากนั้น อับราฮัมกลับไปหาคนรับใช้ แล้วพวกเขาก็กลับไปเบเออร์เชบา+ด้วยกัน และอับราฮัมอาศัยอยู่ที่เบเออร์เชบาต่อไป
20 หลังจากที่เหตุการณ์ทั้งหมดผ่านไป มีคนมาบอกอับราฮัมว่า “มิลคาห์มีลูกชายให้นาโฮร์พี่ชายของคุณ+หลายคนแล้ว 21 อูสเป็นลูกคนโต บูสเป็นคนรอง คนต่อมาคือเคมูเอลที่เป็นพ่อของอารัม 22 แล้วก็มีเคเสด ฮาโซ ปิลดาช ยิดลาฟ และเบธูเอล”+ 23 เบธูเอลก็มีลูกชื่อเรเบคาห์+ แปดคนนี้เป็นลูกของมิลคาห์กับนาโฮร์พี่ชายของอับราฮัม 24 ภรรยาน้อยของนาโฮร์ชื่อเรอูมาห์ก็มีลูกชายชื่อเทบาห์ กาฮัม ทาหาช และมาอาคาห์
23 ซาราห์มีชีวิตอยู่จนอายุได้ 127 ปี+ 2 ซาราห์ตายที่เมืองคีริยาทอาร์บา+ซึ่งมีอีกชื่อหนึ่งว่าเฮโบรน+ เมืองนี้อยู่ในแผ่นดินคานาอัน+ อับราฮัมร้องไห้เสียใจและไว้ทุกข์ให้ซาราห์ 3 แล้วอับราฮัมก็ลุกจากหน้าศพภรรยาและมาพูดกับลูกหลานของเฮท+ว่า 4 “ผมเป็นคนต่างชาติที่มาอาศัยอยู่กับพวกคุณ+ ขอที่ดินของพวกคุณสักแปลงหนึ่งให้ผมใช้เป็นที่ฝังศพ ผมจะได้ฝังศพให้ภรรยาของผม” 5 ลูกหลานของเฮทตอบอับราฮัมว่า 6 “ท่านครับ โปรดฟังที่พวกเราพูดก่อนครับ สำหรับพวกเราแล้ว ท่านเป็นถึงระดับหัวหน้า*ที่พระเจ้าแต่งตั้งไว้+ เชิญฝังศพภรรยาท่านไว้ในที่ดินสำหรับฝังศพแปลงที่ดีที่สุดของพวกเราเถอะ จะไม่มีใครเลยในพวกเราที่ไม่ยอมยกที่ดินให้ท่านใช้เป็นที่ฝังศพภรรยา”
7 อับราฮัมจึงลุกขึ้นโค้งคำนับลูกหลานของเฮท+ซึ่งเป็นประชาชนที่อาศัยอยู่ที่นั่น 8 และพูดกับพวกเขาว่า “ถ้าพวกคุณยอมให้ผมฝังศพภรรยาไว้ที่นี่ ผมขอให้พวกคุณช่วยขอร้องเอโฟรนลูกชายโศหาร์ 9 ให้ขายถ้ำมัคเปลาห์ซึ่งอยู่ตรงริมสุดในที่ดินของเขาให้ผม ให้เขาขายถ้ำนั้นให้ผมต่อหน้าพวกคุณในราคาเต็ม+ ผมจะได้มีที่ไว้ฝังศพ”+
10 ตอนนั้น เอโฟรนนั่งอยู่ในหมู่ลูกหลานของเฮท เอโฟรนชาวฮิตไทต์จึงตอบอับราฮัมให้ลูกหลานของเฮทและทุกคนที่อยู่ที่ประตูเมือง+ได้ยินทั่วกันว่า 11 “อย่าเลยครับท่าน โปรดฟังผมก่อน ผมขอยกที่ดินนั้นรวมทั้งถ้ำซึ่งอยู่ในที่ดินนั้นให้ท่าน ผมจะยกให้ท่านต่อหน้าลูกหลานของเฮท ท่านจะได้ฝังศพภรรยาของท่านที่นั่น” 12 อับราฮัมโค้งคำนับต่อหน้าผู้คนที่อาศัยอยู่ที่นั่น 13 และพูดกับเอโฟรนให้พวกเขาได้ยินกันว่า “โปรดฟังผม ผมจะให้เงินคุณตามราคาของที่ดิน รับเงินจากผมเถอะ ผมจะได้ฝังศพภรรยาของผมไว้ที่นั่น”
14 เอโฟรนจึงตอบอับราฮัมว่า 15 “โปรดฟังผมครับท่าน ราคาที่ดินแปลงนั้นเป็นเงินหนัก 400 เชเขล* แต่เรื่องราคานั้นไม่ใช่เรื่องใหญ่ ท่านนำศพภรรยาไปฝังไว้ที่นั่นก่อนเถอะครับ” 16 เมื่ออับราฮัมได้ยินอย่างนั้น ก็ชั่งเงินให้เอโฟรนตามจำนวนที่เขาบอกให้ลูกหลานของเฮทได้ยินทั่วกัน คือ 400 เชเขล*ตามมาตรฐานน้ำหนักที่พวกพ่อค้าใช้กัน+ 17 ที่ดินของเอโฟรนในมัคเปลาห์ซึ่งอยู่ใกล้ ๆ มัมเร คือที่ดินและถ้ำที่อยู่ในที่ดินนั้น รวมทั้งต้นไม้ทั้งหมดซึ่งอยู่ในที่ดินจึงได้รับการรับรองว่า 18 เป็นทรัพย์สินที่อับราฮัมได้ซื้อต่อหน้าลูกหลานของเฮท และต่อหน้าทุกคนที่อยู่ที่ประตูเมือง 19 แล้วอับราฮัมก็ฝังศพซาราห์ภรรยาของเขาไว้ในถ้ำซึ่งอยู่ในทุ่งมัคเปลาห์ใกล้ ๆ มัมเร ในเขตเมืองเฮโบรนในแผ่นดินคานาอัน 20 ดังนั้น ลูกหลานของเฮทได้ส่งมอบที่ดินกับถ้ำซึ่งอยู่ในที่ดินนั้นให้อับราฮัมใช้เป็นที่ฝังศพ+
24 อับราฮัมแก่มากแล้ว และพระยะโฮวาอวยพรอับราฮัมให้เจริญในทุก ๆ ด้าน+ 2 วันหนึ่ง อับราฮัมพูดกับคนรับใช้ที่อายุมากที่สุดในบ้านซึ่งคอยดูแลทรัพย์สมบัติทุกอย่างของเขา+ว่า “เอามือของคุณมาวางไว้ใต้ต้นขาของผมเถอะ* 3 ผมจะให้คุณสาบานต่อหน้าพระยะโฮวาพระเจ้าแห่งสวรรค์และโลกว่า คุณจะไม่หาลูกสาวของชาวคานาอันซึ่งเป็นคนที่เราอาศัยอยู่ด้วยนี้มาเป็นภรรยาลูกชายของผม+ 4 แต่คุณต้องไปหาภรรยาให้อิสอัคลูกชายของผม จากญาติพี่น้องของผม+ในแผ่นดินที่ผมเคยอยู่”
5 แต่คนรับใช้ถามอับราฮัมว่า “ถ้าผู้หญิงคนนั้นไม่อยากมาที่แผ่นดินนี้กับผมล่ะครับ ผมจะต้องพาลูกชายของคุณไปที่นั่นหรือเปล่า?”+ 6 อับราฮัมบอกเขาว่า “อย่าพาลูกชายของผมไปที่นั่นอย่างเด็ดขาด+ 7 พระยะโฮวาพระเจ้าแห่งสวรรค์ผู้ที่พาผมออกมาจากบ้านพ่อและออกมาจากแผ่นดินของญาติพี่น้องของผม+ พระองค์พูดและสาบานกับผม+ว่า ‘เราจะยกแผ่นดินนี้+ให้ลูกหลานของเจ้า’+ พระเจ้าองค์นี้แหละที่จะใช้ทูตสวรรค์ของพระองค์ให้นำหน้าคุณ+และคุณจะหาภรรยาให้ลูกชายของผมจากที่นั่น+ 8 แต่ถ้าผู้หญิงคนนั้นไม่อยากมากับคุณ คุณก็จะหมดหน้าที่ตามคำสาบานที่ให้ไว้กับผม แต่ห้ามพาลูกชายของผมไปที่นั่น” 9 คนรับใช้ก็วางมือไว้ใต้ต้นขาอับราฮัมนายของตัวเอง และสาบานกับเขาตามนั้น+
10 คนรับใช้จึงนำอูฐของนายมา 10 ตัวและนำของขวัญอย่างดีทุกอย่างของนายมาด้วย แล้วออกเดินทางไปเมโสโปเตเมีย ไปเมืองที่นาโฮร์อาศัยอยู่ 11 เมื่อเขามาถึงบ่อน้ำนอกเมืองประมาณตอนเย็นซึ่งเป็นเวลาที่พวกผู้หญิงมักออกมาตักน้ำ เขาก็ให้อูฐหยุดพัก 12 แล้วเขาอธิษฐานว่า “พระยะโฮวาพระเจ้าของอับราฮัมนายของผม วันนี้ขอให้ผมทำสำเร็จและขอพระองค์แสดงความรักที่มั่นคงต่ออับราฮัมนายของผม 13 ตอนนี้ ผมยืนอยู่ที่บ่อน้ำและผู้หญิงชาวเมืองนี้กำลังจะออกมาตักน้ำ 14 ถ้าผมพูดกับผู้หญิงคนไหนว่า ‘ขอผมดื่มน้ำในไหนั้นสักหน่อยเถอะ’ แล้วเธอตอบว่า ‘เชิญเลยค่ะ แล้วดิฉันจะเอาน้ำให้อูฐของคุณกินด้วย’ ก็ขอให้ผู้หญิงคนนั้นเป็นคนที่พระองค์เลือกให้อิสอัคผู้รับใช้ของพระองค์ เมื่อเป็นอย่างนี้ ผมก็จะรู้ว่าพระองค์รักนายของผมจริง ๆ ไม่เปลี่ยนแปลง”
15 เขาอธิษฐานยังไม่ทันจบ เรเบคาห์ก็แบกไหใส่น้ำออกมา เรเบคาห์เป็นลูกสาวของเบธูเอล+ เบธูเอลเป็นลูกชายของมิลคาห์+ มิลคาห์เป็นภรรยาของนาโฮร์+ และนาโฮร์เป็นพี่ชายของอับราฮัม 16 เรเบคาห์สวยมาก เธอเป็นสาวบริสุทธิ์ ไม่เคยมีเพศสัมพันธ์กับผู้ชาย เธอเดินลงไปที่บ่อและตักน้ำใส่ไหแล้วเดินกลับขึ้นมา 17 คนรับใช้เลยรีบวิ่งไปหาเรเบคาห์และพูดว่า “ขอน้ำในไหให้ผมดื่มสักหน่อยเถอะ” 18 เธอพูดว่า “เชิญเลยค่ะ” แล้วเธอก็รีบยกไหน้ำลงและเทให้เขาดื่ม 19 เมื่อเธอเอาน้ำให้เขาดื่มแล้วก็พูดว่า “ดิฉันจะตักน้ำให้อูฐของคุณกินจนอิ่มด้วย” 20 แล้วเธอก็รีบเทน้ำในไหใส่รางน้ำและวิ่งไปที่บ่อน้ำหลายรอบเพื่อตักน้ำให้อูฐของเขากินทุกตัว 21 คนรับใช้นั้นก็รู้สึกทึ่งและเฝ้ามองเธออยู่เงียบ ๆ เขาคอยดูว่าพระยะโฮวาจะทำให้การเดินทางมาครั้งนี้ประสบความสำเร็จหรือไม่
22 เมื่ออูฐกินน้ำอิ่มแล้ว คนรับใช้นั้นจึงเอาห่วงจมูกทองคำ 1 วงหนักครึ่งเชเขล* กับกำไลข้อมือทองคำ 2 วงหนัก 10 เชเขล*ให้เรเบคาห์ 23 แล้วถามว่า “บอกหน่อยว่าเธอเป็นลูกสาวใคร ที่บ้านของพ่อเธอพอจะมีที่ให้พวกเราพักค้างคืนไหม?” 24 เธอตอบเขาว่า “ดิฉันเป็นลูกสาวของเบธูเอล+ที่เป็นลูกชายของมิลคาห์กับนาโฮร์+ค่ะ” 25 เธอบอกอีกว่า “เรามีฟางกับหญ้าเยอะแยะ แล้วก็มีที่ให้พักค้างคืนด้วย” 26 คนรับใช้นั้นจึงหมอบลงขอบคุณพระยะโฮวา 27 และพูดว่า “ขอให้พระยะโฮวาได้รับการสรรเสริญ พระองค์เป็นพระเจ้าของอับราฮัมนายของผม พระองค์แสดงความรักที่มั่นคงและรักษาสัญญาที่ให้ไว้กับนายของผมเสมอ พระยะโฮวานำผมมาถึงบ้านญาติพี่น้องของนายผมแล้ว”
28 เรเบคาห์ก็วิ่งไปบอกเรื่องนี้ให้แม่กับคนที่บ้านรู้ 29 เรเบคาห์มีพี่ชายชื่อลาบัน+ ลาบันวิ่งออกไปหาชายคนนั้นที่บ่อน้ำนอกเมือง 30 ทันทีที่ลาบันเห็นห่วงที่จมูกกับกำไลที่ข้อมือเรเบคาห์ และได้ยินเธอเล่าว่าผู้ชายคนนั้นพูดกับเธออย่างไร ลาบันก็ไปหาผู้ชายคนนั้นซึ่งยังยืนอยู่ที่บ่อน้ำกับฝูงอูฐ 31 และพูดว่า “ผู้ที่ได้รับพรจากพระยะโฮวา อย่ายืนอยู่ข้างนอกแบบนี้เลย มากับผมเถอะ ผมเตรียมบ้านและที่สำหรับอูฐไว้ให้แล้ว” 32 ผู้ชายคนนั้นจึงเข้ามาในบ้าน แล้วเขา*ก็ถอดเครื่องเทียมอูฐออก เอาฟางกับหญ้าให้อูฐกิน และเอาน้ำสำหรับล้างเท้ามาให้ผู้ชายคนนั้นกับคนที่มาด้วยกัน 33 แต่เมื่ออาหารถูกยกมาตั้งไว้ตรงหน้าผู้ชายคนนั้นแล้ว เขากลับพูดว่า “ผมจะไม่กินจนกว่าจะได้พูดเรื่องที่ผมต้องพูดก่อน” ลาบันจึงบอกว่า “เชิญพูดเถอะ”
34 เขาจึงพูดว่า “ผมเป็นคนรับใช้ของอับราฮัม+ 35 และพระยะโฮวาอวยพรนายของผมมากมาย พระองค์ช่วยให้เขาร่ำรวยมาก ให้เขามีแกะ วัว เงิน ทอง คนรับใช้ชายหญิง อูฐ และลา+ 36 ซาราห์ภรรยานายของผมมีลูกชายให้นายของผมคนหนึ่งตอนที่เธออายุมากแล้ว+ และนายของผมจะยกทุกอย่างที่เขามีให้ลูกคนนี้+ 37 นายจึงให้ผมสาบานและบอกผมว่า ‘อย่าหาลูกสาวชาวคานาอันซึ่งเป็นเจ้าของแผ่นดินที่ผมอาศัยอยู่นี้มาเป็นภรรยาลูกชายของผม+ 38 แต่ให้ไปหาลูกหลานของพ่อผม ไปหาญาติพี่น้องของผม+ แล้วหาภรรยาให้ลูกชายของผมจากที่นั่น’+ 39 ผมถามนายของผมว่า ‘ถ้าผู้หญิงคนนั้นไม่อยากมากับผมล่ะครับ?’+ 40 นายบอกผมว่า ‘พระยะโฮวาพระเจ้าที่ผมรับใช้+จะส่งทูตสวรรค์ของพระองค์+ให้ไปกับคุณและช่วยให้การเดินทางของคุณประสบความสำเร็จ ให้คุณหาภรรยาให้ลูกชายของผมจากญาติพี่น้องของผมและจากลูกหลานของพ่อผม+ 41 แต่ถ้าคุณไปหาญาติพี่น้องของผมแล้วพวกเขาไม่ให้เธอมากับคุณ คุณก็จะหมดหน้าที่ตามที่ได้สาบานไว้กับผม คุณไม่ได้ผิดคำสาบาน’+
42 “วันนี้พอมาถึงบ่อน้ำ ผมอธิษฐานว่า ‘พระยะโฮวาพระเจ้าของอับราฮัมนายของผม ขอพระองค์ช่วยให้การเดินทางมาของผมครั้งนี้ประสบความสำเร็จ 43 ตอนนี้ ผมยืนอยู่ที่บ่อน้ำ ถ้ามีผู้หญิง+ออกมาตักน้ำ ผมจะพูดกับเธอว่า “ขอน้ำในไหให้ผมดื่มสักหน่อยเถอะ” 44 ถ้าเธอตอบว่า “เชิญดื่มค่ะ แล้วดิฉันจะตักน้ำให้อูฐของคุณกินด้วย” ขอให้ผู้หญิงคนนั้นเป็นคนที่พระยะโฮวาเลือกให้ลูกชายของนายผม’+
45 “ผมอธิษฐานในใจยังไม่ทันจบ เรเบคาห์ก็แบกไหน้ำออกมาแล้วเดินลงไปตักน้ำที่บ่อ ผมจึงพูดกับเธอว่า ‘ขอน้ำให้ผมดื่มสักหน่อยเถอะ’+ 46 เธอก็รีบยกไหน้ำลงและพูดว่า ‘เชิญดื่มค่ะ+ แล้วดิฉันจะเอาน้ำให้อูฐของคุณกินด้วย’ ผมจึงดื่มน้ำ และเธอก็เอาน้ำให้อูฐกินด้วย 47 แล้วผมถามเธอว่า ‘เธอเป็นลูกสาวของใคร?’ เธอตอบว่า ‘ดิฉันเป็นลูกสาวของเบธูเอลที่เป็นลูกชายของนาโฮร์กับมิลคาห์’ ผมจึงเอาห่วงจมูกใส่ให้เธอและเอากำไลข้อมือสวมให้เธอ+ 48 แล้วผมก็หมอบลงขอบคุณพระยะโฮวาและสรรเสริญพระยะโฮวาพระเจ้าของอับราฮัมนายของผม+ ผู้นำผมให้มาถูกทาง ให้มาพบหลานสาวของพี่ชายของนายผมเพื่อจะได้พาไปให้ลูกชายของเขา 49 แล้วในตอนนี้ พวกคุณต้องการแสดงความรักที่มั่นคงและความไว้วางใจต่อนายของผมไหม? ถ้าไม่ ก็ขอให้บอก ผมจะได้รู้ว่าควรทำยังไงต่อไป”+
50 ลาบันกับเบธูเอลตอบว่า “พวกเราไม่มีสิทธิ์จะบอกว่า ‘ได้’ หรือ ‘ไม่ได้’ เพราะเรื่องนี้มาจากพระยะโฮวา 51 เรเบคาห์ก็อยู่นี่แล้ว พาเธอไปเถอะ ให้เธอไปเป็นภรรยาของลูกชายนายของคุณตามที่พระยะโฮวาบอกไว้” 52 เมื่อคนรับใช้ของอับราฮัมได้ยินอย่างนี้ เขาก็หมอบลงกับพื้นนมัสการพระยะโฮวา 53 แล้วก็เอาเครื่องประดับที่ทำจากเงินและทองพร้อมกับเสื้อผ้าออกมาให้เรเบคาห์ และเอาของมีค่าต่าง ๆ ให้พี่ชายกับแม่ของเธอ 54 จากนั้น เขากับคนที่มาด้วยกันก็กินและดื่ม แล้วพวกเขาก็พักค้างคืนที่นั่น
พวกเขาตื่นมาตอนเช้าและคนรับใช้ของอับราฮัมก็พูดว่า “ให้ผมกลับไปหานายเถอะ” 55 พี่ชายกับแม่ของเรเบคาห์พูดกับเขาว่า “ให้เธออยู่กับพวกเราอีกหน่อยหนึ่งเถอะ อย่างน้อยก็อีกสักสิบวันแล้วค่อยไป” 56 แต่เขาบอกว่า “อย่ารั้งผมไว้เลย ในเมื่อพระยะโฮวาช่วยให้การเดินทางมาของผมประสบความสำเร็จแล้ว ขอให้ผมกลับไปหานายของผมเถอะ” 57 พวกเขาจึงบอกว่า “ถ้าอย่างนั้นพวกเราจะเรียกเธอมาถาม” 58 แล้วพวกเขาก็เรียกเรเบคาห์มาถามว่า “จะไปกับผู้ชายคนนี้ไหม?” เธอตอบว่า “ไปค่ะ”
59 พวกเขาจึงให้เรเบคาห์+ญาติของพวกเขากับแม่นม*+ออกเดินทางไปกับคนรับใช้ของอับราฮัมและคนที่มากับเขา 60 พวกเขาอวยพรเรเบคาห์ว่า “น้องรัก ขอให้เธอมีลูกเต็มบ้านมีหลานเต็มเมือง และให้ลูกหลานของเธอยึดเมืองต่าง ๆ ของคนที่เกลียดชังพวกเขา”+ 61 เรเบคาห์กับสาวใช้ของเธอก็ขึ้นขี่อูฐและเดินทางตามคนรับใช้ของอับราฮัม คนรับใช้นั้นก็พาเรเบคาห์ไป
62 ส่วนอิสอัคซึ่งตอนนั้นอยู่ในเนเกบ+ เขาเดินอยู่บนทางไปเบเออร์ลาไฮรอย+ 63 แล้วก็ลงไปเดินอยู่ในทุ่งเพื่อคิดใคร่ครวญบางเรื่อง+ ตอนนั้นเป็นตอนใกล้ค่ำ พอเขาเงยหน้าขึ้นก็เห็นขบวนอูฐกำลังมา 64 เมื่อเรเบคาห์เงยหน้าก็เห็นอิสอัค เธอก็รีบลงจากอูฐ 65 เธอถามคนรับใช้ของอับราฮัมว่า “ผู้ชายที่อยู่ในทุ่งที่กำลังเดินตรงมาหาพวกเราคือใคร?” คนรับใช้ตอบว่า “นายของผมเอง” เธอจึงหยิบผ้ามาคลุมหัวไว้ 66 แล้วคนรับใช้ก็เล่าเรื่องทั้งหมดที่ได้ทำไปให้อิสอัคฟัง 67 จากนั้น อิสอัคก็พาเรเบคาห์เข้าไปในเต็นท์ของซาราห์แม่ของเขา+ ซึ่งเป็นการแสดงว่าเขารับเรเบคาห์เป็นภรรยา เขารักเธอมาก+ แล้วอิสอัคก็คลายความโศกเศร้าจากการตายของแม่+
25 ต่อมา อับราฮัมมีภรรยาอีกคนหนึ่งชื่อเคทูราห์ 2 แล้วเธอก็มีลูกชายกับเขาคือ ศิมราน โยกชาน เมดาน มีเดียน+ อิชบาก และชูอาห์+
3 โยกชานมีลูกชายชื่อเชบาและเดดาน
ลูกหลานของเดดานคือ พวกอัสชูริม เลทูชิม และเลอุมมิม
4 มีเดียนมีลูกชายชื่อเอฟาห์ เอเฟอร์ ฮาโนค อาบีดา และเอลดาอาห์
ทั้งหมดนี้เป็นลูกหลานนางเคทูราห์
5 ต่อมา อับราฮัมก็ยกทรัพย์สมบัติทั้งหมดให้อิสอัค+ 6 ส่วนลูก ๆ ของภรรยาน้อยนั้น เมื่อตอนที่อับราฮัมยังมีชีวิตอยู่ เขาได้ให้สิ่งของบางอย่างเป็นของขวัญลูก ๆ พวกนี้ไปแล้ว และให้พวกเขาแยกไปจากอิสอัค+โดยแยกไปอยู่ต่างหากที่ดินแดนตะวันออก 7 อับราฮัมอายุได้ 175 ปี 8 อับราฮัมตายตอนที่แก่ชรามากแล้ว เขามีชีวิตที่ยืนยาวและมีความสุข เขาได้อยู่กับบรรพบุรุษของเขา* 9 อิสอัคและอิชมาเอลลูกชายของอับราฮัมฝังเขาไว้ในถ้ำมัคเปลาห์ในที่ดินของเอโฟรนลูกชายโศหาร์ชาวฮิตไทต์ ซึ่งอยู่ใกล้ ๆ มัมเร+ 10 คือที่ดินที่อับราฮัมซื้อจากลูกหลานของเฮท อับราฮัมถูกฝังไว้ที่นั่นกับซาราห์ภรรยาของเขา+ 11 เมื่ออับราฮัมตายแล้ว พระเจ้าก็ยังอวยพรอิสอัคลูกชายเขาต่อไป+ อิสอัคอาศัยอยู่ใกล้เบเออร์ลาไฮรอย+
12 นี่เป็นบันทึกประวัติของอิชมาเอล+ลูกชายที่อับราฮัมมีกับฮาการ์+ สาวใช้ชาวอียิปต์ของซาราห์
13 ต่อไปนี้เป็นชื่อลูกชายของอิชมาเอล ซึ่งเป็นบรรพบุรุษของตระกูลต่าง ๆ ตามชื่อของพวกเขา ลูกชายคนโตของอิชมาเอลชื่อเนบาโยท+ ต่อมาคือเคดาร์+ อัดบีเอล มิบสัม+ 14 มิชมา ดูมาห์ มัสสา 15 ฮาดัด เทมา เยทูร์ นาฟิช และเคเดมาห์ 16 คนเหล่านี้เป็นลูกชายของอิชมาเอลและเป็นหัวหน้า 12 ตระกูล ที่ที่พวกเขาตั้งถิ่นฐานและที่ที่พวกเขาตั้งค่ายพักนั้นถูกเรียกตามชื่อของพวกเขา+ 17 อิชมาเอลอายุได้ 137 ปีแล้วก็ตาย เขาได้อยู่กับบรรพบุรุษของเขา* 18 พวกเขาอาศัยอยู่ตั้งแต่ฮาวิลาห์+ไปจนถึงอัสซีเรีย ฮาวิลาห์อยู่ใกล้ชูร์+และชูร์ก็อยู่ใกล้ชายแดนอียิปต์ พวกเขาอาศัยอยู่ใกล้กับญาติพี่น้องของเขา*+
19 นี่เป็นบันทึกประวัติอิสอัคลูกชายอับราฮัม+
อับราฮัมมีลูกชายคนหนึ่งชื่ออิสอัค 20 ตอนที่อิสอัคอายุ 40 ปีเขาแต่งงานกับเรเบคาห์ เธอเป็นลูกสาวของเบธูเอล+ชาวอารัมในปัดดานอารัม และเป็นน้องสาวของลาบันชาวอารัม 21 อิสอัคเฝ้าอ้อนวอนพระยะโฮวาเรื่องที่ภรรยาเป็นหมันและพระยะโฮวาตอบคำอ้อนวอนของเขา เรเบคาห์ภรรยาเขาจึงตั้งท้อง 22 ลูกที่อยู่ในท้องของเธอดิ้นอย่างกับว่ากำลังสู้กัน+ เธอจึงพูดว่า “ถ้าฉันต้องมาเจ็บปวดอย่างนี้ ตายซะก็ดีกว่า” แล้วเธอก็ถามพระยะโฮวา 23 พระยะโฮวาบอกเรเบคาห์ว่า “มีเด็ก 2 คน*อยู่ในท้องเจ้า+และจะมี 2 ชนชาติเกิดจากพวกเขา+ ชาติหนึ่งจะแข็งแกร่งกว่าอีกชาติหนึ่ง+ และพี่จะรับใช้น้อง”+
24 พอตอนคลอดก็ปรากฏว่ามีลูกชายฝาแฝดออกมาจริง ๆ 25 คนแรกคลอดออกมา มีขนสีแดงขึ้นอยู่เต็มตัวเหมือนกับใส่เสื้อขนสัตว์+ จึงตั้งชื่อว่าเอซาว*+ 26 แล้วน้องชายเขาก็คลอดตามออกมาโดยที่มือจับส้นเท้าเอซาวอยู่+ จึงตั้งชื่อว่ายาโคบ*+ ตอนที่เธอคลอดลูกนั้นอิสอัคอายุ 60 ปี
27 แล้วเด็กผู้ชายทั้งสองคนนี้ก็โตขึ้น เอซาวเป็นพรานที่เก่งมาก+และชอบออกไปล่าสัตว์ แต่ยาโคบเป็นคนชอบความสงบ*และอยู่แต่ในเต็นท์+ 28 อิสอัครักเอซาวมากกว่าเพราะได้กินเนื้อสัตว์ที่เขาล่ามา ส่วนเรเบคาห์รักยาโคบมากกว่า+ 29 วันหนึ่ง ตอนที่ยาโคบกำลังต้มถั่วเลนทิลอยู่นั้น เอซาวก็กลับมาจากการล่าสัตว์ เขาเหนื่อยมาก 30 เอซาวจึงพูดกับยาโคบว่า “ขอซุปแดง ๆ นั่นให้พี่กินสักหน่อยสิ เร็ว ๆ หิวจะตายอยู่แล้ว” เขาจึงมีอีกชื่อหนึ่งว่าเอโดม*+ 31 ยาโคบบอกว่า “ขายสิทธิลูกคนโตของพี่ให้ผมก่อนสิ”+ 32 เอซาวพูดว่า “พี่หิวจะตายอยู่แล้ว สิทธิลูกคนโตมันกินได้ไหมล่ะ?” 33 ยาโคบพูดว่า “งั้นพี่สาบานก่อนสิ” เอซาวก็สาบานต่อยาโคบและขายสิทธิลูกคนโตให้ยาโคบ+ 34 ยาโคบจึงเอาขนมปังกับต้มถั่วเลนทิลให้เอซาว เขาก็กินจนอิ่มแล้วลุกไป เอซาวทำอย่างนี้เป็นการดูถูกสิทธิลูกคนโต
26 เกิดการขาดแคลนอาหารขึ้นในแผ่นดินนั้นอีกครั้งหนึ่งนับตั้งแต่การขาดแคลนอาหารครั้งแรกในสมัยอับราฮัม+ อิสอัคจึงไปหาอาบีเมเลคกษัตริย์ฟีลิสเตียที่เกราร์ 2 พระยะโฮวามาหาอิสอัคและบอกว่า “อย่าไปที่อียิปต์ แต่ให้อยู่ในแผ่นดินที่เราจะบอกเจ้า 3 ขอให้อยู่ในแผ่นดินนี้อย่างคนต่างชาติ+ เราจะอยู่กับเจ้าต่อ ๆ ไปและอวยพรให้เจ้าเจริญ เพราะเราจะยกแผ่นดินทั้งหมดนี้ให้เจ้ากับลูกหลานของเจ้า+ เราจะทำตามที่เราสาบานไว้กับอับราฮัมพ่อของเจ้าว่า+ 4 ‘เราจะทำให้ลูกหลานของเจ้าเพิ่มจำนวนขึ้นให้มีมากเหมือนดวงดาวบนท้องฟ้า+ และเราจะยกแผ่นดินทั้งหมดนี้ให้ลูกหลานของเจ้า+ และทุกชาติในโลกจะได้รับพร*เพราะลูกหลานของเจ้า’+ 5 เนื่องจากอับราฮัมเชื่อฟังเราและทำตามที่เราต้องการ รวมทั้งทำตามคำสั่ง ข้อกำหนด และกฎหมายของเรามาโดยตลอด”+ 6 อิสอัคจึงอยู่ที่เกราร์+ต่อไป
7 พวกผู้ชายที่นั่นชอบถามถึงภรรยาของอิสอัคและเขาก็จะบอกว่า “เธอเป็นน้องสาวของผม”+ อิสอัคไม่กล้าบอกว่า “เธอเป็นภรรยา” เขาบอกว่า “คนที่นี่จะฆ่าผมเพราะเรเบคาห์” เพราะเธอเป็นคนสวยมาก+ 8 เมื่ออิสอัคอยู่ที่นั่นได้ระยะหนึ่ง อาบีเมเลคกษัตริย์ฟีลิสเตียมองจากหน้าต่างเห็นอิสอัคกำลังกอด*เรเบคาห์+ 9 อาบีเมเลคจึงเรียกอิสอัคมาถามว่า “จริง ๆ แล้วเธอเป็นภรรยาของคุณนี่ ทำไมถึงมาบอกว่า ‘เธอเป็นน้องสาว’?” อิสอัคตอบว่า “ที่ผมบอกไปอย่างนั้นเพราะผมกลัวว่าจะต้องตายเพราะเธอ”+ 10 อาบีเมเลคพูดว่า “ทำไมคุณทำแบบนี้?+ ถ้าเกิดมีคนไปนอนกับภรรยาคุณ คุณจะทำให้พวกเรามีความผิด”+ 11 อาบีเมเลคจึงสั่งทุกคนว่า “คนที่แตะต้องผู้ชายคนนี้กับภรรยาของเขาจะต้องถูกประหาร”
12 แล้วอิสอัคก็เริ่มเพาะปลูกในแผ่นดินนั้น ในปีนั้นเขาเก็บเกี่ยวพืชผลได้ 100 เท่าของเมล็ดที่หว่านเนื่องจากพระยะโฮวาอวยพรเขา+ 13 เขาจึงมีฐานะดีและดีขึ้นเรื่อย ๆ จนร่ำรวยมาก 14 เขามีฝูงแกะ ฝูงวัว และคนรับใช้+มากมายจนชาวฟีลิสเตียอิจฉา
15 ชาวฟีลิสเตียจึงเอาดินมาถมบ่อน้ำทุกบ่อที่คนรับใช้ของอับราฮัมพ่อของเขาเคยขุดไว้+ 16 แล้วอาบีเมเลคก็บอกอิสอัคว่า “ย้ายไปอยู่ห่าง ๆ พวกเราเถอะ เพราะคุณมีกำลังเหนือกว่าพวกเรามาก” 17 อิสอัคจึงย้ายไปตั้งค่ายในหุบเขาเกราร์+ แล้วอาศัยอยู่ที่นั่น 18 จากนั้น อิสอัคก็ขุดบ่อน้ำที่เคยขุดไว้ในสมัยอับราฮัมพ่อของเขาอีก เพราะเมื่ออับราฮัมตายแล้ว+ ชาวฟีลิสเตียได้ถมบ่อน้ำพวกนั้น อิสอัคเรียกชื่อบ่อน้ำทั้งหมดตามชื่อที่พ่อเขาตั้งไว้+
19 ตอนที่คนรับใช้ของอิสอัคขุดพบบ่อน้ำจืดในหุบเขานั้น 20 พวกคนเลี้ยงแกะที่เกราร์ก็ทะเลาะกับคนเลี้ยงแกะของอิสอัค พวกเขามาบอกว่า “น้ำบ่อนี้เป็นของพวกเรา” อิสอัคจึงตั้งชื่อบ่อน้ำนั้นว่าเอเสก* เพราะคนพวกนั้นมาทะเลาะกับเขา 21 คนรับใช้ของอิสอัคจึงไปขุดบ่อน้ำอีกบ่อหนึ่ง แล้วพวกเขาก็ทะเลาะกันเรื่องบ่อน้ำนั้นอีก อิสอัคจึงตั้งชื่อบ่อน้ำนั้นว่าสิตนาห์* 22 แล้วอิสอัคก็ย้ายไปจากที่นั่นและขุดบ่อน้ำอีกบ่อหนึ่ง แต่ไม่มีการทะเลาะกันเพราะบ่อนี้ อิสอัคจึงตั้งชื่อบ่อน้ำนี้ว่าเรโหโบท*และพูดว่า “เพราะพระยะโฮวาให้พวกเรามีที่กว้างใหญ่เพียงพอ และให้เรามีลูกหลานมากมายในแผ่นดินนี้”+
23 แล้วอิสอัคก็ออกจากที่นั่นไปเบเออร์เชบา+ 24 คืนนั้นพระยะโฮวามาหาเขาและพูดว่า “เราเป็นพระเจ้าของอับราฮัมพ่อของเจ้า+ ไม่ต้องกลัวนะ+ เพราะเราอยู่กับเจ้า เราจะอวยพรเจ้าและจะทำให้ลูกหลานของเจ้าเพิ่มจำนวนขึ้นเพราะเห็นแก่อับราฮัมผู้รับใช้ของเรา”+ 25 เขาจึงสร้างแท่นบูชาที่นั่นและสรรเสริญชื่อของพระยะโฮวา+ อิสอัคตั้งเต็นท์ที่นั่น+และคนรับใช้ของเขาก็ขุดบ่อน้ำบ่อหนึ่งไว้ที่นั่นด้วย
26 วันหนึ่ง อาบีเมเลคออกจากเกราร์มาหาอิสอัคพร้อมกับอาหุสซัทคนสนิทและฟีโคล์แม่ทัพของเขา+ 27 อิสอัคจึงพูดกับพวกเขาว่า “มาหาผมทำไม? ในเมื่อพวกท่านเกลียดผมมากจนไล่ผมออกไปอยู่ที่อื่น” 28 พวกเขาตอบว่า “พวกเราเห็นชัดเลยว่าพระยะโฮวาอยู่กับคุณ+ พวกเราจึงตัดสินใจมาพูดกับคุณว่า ‘มาสาบานกันเถอะ ขอให้คุณกับเราทำสัญญากันว่า+ 29 คุณจะไม่ทำร้ายพวกเรา เหมือนที่พวกเราไม่ได้ทำร้ายคุณตอนที่พวกเราขอให้คุณไปอยู่ที่อื่น คุณเป็นคนที่พระยะโฮวาอวยพร’” 30 อิสอัคก็เลี้ยงอาหารพวกเขา พวกเขาก็กินและดื่ม 31 วันรุ่งขึ้น พวกเขาตื่นแต่เช้าตรู่และกล่าวคำสาบานต่อกัน+ แล้วอิสอัคก็ส่งพวกเขากลับ พวกเขาก็จากไปอย่างสันติ
32 ในวันนั้นเอง คนรับใช้ของอิสอัคก็มารายงานเรื่องบ่อน้ำที่พวกเขาขุด+ว่า “พวกเราพบน้ำแล้ว” 33 เขาจึงตั้งชื่อบ่อน้ำนั้นว่าชิบาห์* เมืองนั้นจึงมีชื่อว่าเบเออร์เชบา*+จนถึงทุกวันนี้
34 เมื่อเอซาวอายุ 40 ปีก็แต่งงานกับยูดิธลูกสาวของเบเออรีชาวฮิตไทต์ และบาเสมัทลูกสาวของเอโลนชาวฮิตไทต์+ 35 พวกเธอทำให้อิสอัคกับเรเบคาห์ทุกข์ใจมาก+
27 ต่อมาเมื่ออิสอัคแก่แล้วและตาของเขาก็มองอะไรไม่เห็น เขาเรียกเอซาว+ลูกชายคนโตมาแล้วพูดว่า “ลูกพ่อ” เอซาวตอบว่า “มีอะไรครับพ่อ?” 2 อิสอัคพูดว่า “ตอนนี้พ่อแก่แล้ว ไม่รู้จะตายเมื่อไหร่ 3 พ่อเลยอยากให้ลูกเอาคันธนูกับลูกธนูออกไปล่าสัตว์ให้พ่อหน่อย+ 4 เอามาทำอาหารอร่อย ๆ ที่พ่อชอบ แล้วก็ยกมาให้พ่อกิน พ่อจะได้อวยพรให้ลูกก่อนพ่อตาย”
5 แต่ตอนที่อิสอัคพูดกับเอซาวนั้นเรเบคาห์ฟังอยู่ เอซาวก็ออกไปล่าสัตว์มาให้พ่อ+ 6 เรเบคาห์จึงพูดกับยาโคบ+ว่า “แม่ได้ยินพ่อพูดกับเอซาวพี่ชายของลูกว่า 7 ‘ไปล่าสัตว์มาทำอาหารอร่อย ๆ ให้พ่อกินหน่อย พ่อจะได้อวยพรลูกต่อหน้าพระยะโฮวาก่อนพ่อจะตาย’+ 8 ถ้าอย่างนั้น ยาโคบลูกแม่ฟังให้ดีนะ แล้วทำตามที่แม่สั่ง+ 9 ไปเอาลูกแพะที่ดีที่สุดจากฝูงมาให้แม่ 2 ตัว แม่จะเอามาทำอาหารอร่อย ๆ อย่างที่พ่อของลูกชอบ 10 แล้วลูกก็ยกไปให้พ่อกิน พ่อจะได้อวยพรลูกก่อนพ่อจะตาย”
11 ยาโคบพูดกับเรเบคาห์ว่า “พี่เอซาวเป็นคนขนดก+ แต่ลูกไม่เหมือนกับพี่ 12 แล้วถ้าเกิดพ่อมาคลำตัวลูกล่ะ?+ พ่อคงคิดว่าลูกมาหลอกพ่อแน่ ๆ แล้วลูกก็จะโดนแช่งแทนที่จะได้คำอวยพร” 13 เรเบคาห์พูดว่า “ลูกแม่ ถ้าลูกถูกแช่ง ก็ให้คำแช่งนั้นมาตกอยู่กับแม่ ทำตามที่แม่บอกเถอะ ไปเอาลูกแพะมาให้แม่”+ 14 ยาโคบจึงไปเอาลูกแพะมาให้แม่ เรเบคาห์ก็ทำอาหารรสอร่อยที่อิสอัคชอบ 15 แล้วเรเบคาห์ก็เอาเสื้อผ้าชุดที่ดีที่สุดของเอซาวลูกชายคนโตที่เธอมีอยู่ในบ้านมาสวมให้ยาโคบลูกชายคนเล็ก+ 16 และเอาขนลูกแพะมาติดตามมือตามคอที่เกลี้ยงเกลาของเขา+ 17 แล้วเธอก็เอาอาหารรสอร่อยกับขนมปังที่ทำไว้ ให้ยาโคบลูกชายยกไป+
18 ยาโคบก็เข้าไปหาพ่อและพูดว่า “พ่อครับ” เขาตอบว่า “ว่ายังไงลูก? ลูกเป็นใคร เอซาวหรือยาโคบ?” 19 ยาโคบพูดกับพ่อว่า “ผมคือเอซาวลูกคนโตของพ่อ+ ผมทำตามที่พ่อบอกแล้ว ตอนนี้ พ่อลุกขึ้นมานั่งกินเนื้อที่ผมหามาเถอะ แล้วพ่อจะได้อวยพรผม”+ 20 อิสอัคพูดกับลูกชายว่า “ทำไมถึงหาเนื้อมาได้เร็วอย่างนี้ล่ะลูก?” เขาตอบว่า “พระยะโฮวาพระเจ้าของพ่อนำมันมาให้ผม” 21 อิสอัคก็พูดกับยาโคบว่า “มาใกล้ ๆ พ่อหน่อยลูก พ่อจะได้คลำตัวลูกดู จะได้รู้ว่าลูกเป็นเอซาวลูกของพ่อจริง ๆ รึเปล่า”+ 22 ยาโคบจึงเข้าไปใกล้ ๆ อิสอัค อิสอัคก็คลำตัวเขาดูแล้วพูดว่า “เสียงลูกเป็นเสียงของยาโคบ แต่มือเป็นมือของเอซาว”+ 23 อิสอัคไม่รู้ว่านี่คือยาโคบเพราะมือเขามีขนดกเหมือนมือเอซาว อิสอัคจึงอวยพรเขา+
24 แล้วอิสอัคถามว่า “นี่เป็นเอซาวลูกของพ่อจริง ๆ หรือ?” ยาโคบตอบว่า “จริงสิพ่อ” 25 อิสอัคจึงบอกว่า “ลูกพ่อ เอาเนื้อที่ลูกหามานั้นให้พ่อกินหน่อย แล้วพ่อจะได้อวยพรลูก” ยาโคบจึงเอาเนื้อนั้นให้อิสอัคกิน แล้วก็เอาเหล้าองุ่นมาให้อิสอัคดื่ม 26 อิสอัคบอกว่า “ลูกพ่อ เข้ามาใกล้ ๆ แล้วจูบพ่อหน่อย”+ 27 เขาก็เข้าไปใกล้ ๆ และจูบอิสอัค อิสอัคจึงได้กลิ่นเสื้อผ้าที่ยาโคบสวม+ แล้วอวยพรเขาว่า
“กลิ่นลูกชายของพ่อเหมือนกลิ่นทุ่งที่พระยะโฮวาอวยพร 28 ขอพระเจ้าเที่ยงแท้ให้น้ำค้างจากฟ้า+ ให้แผ่นดินที่อุดมสมบูรณ์+ รวมทั้งข้าวและเหล้าองุ่นใหม่กับลูกอย่างบริบูรณ์+ 29 ให้ชนชาติต่าง ๆ รับใช้ลูกและให้คนประเทศต่าง ๆ คำนับลูก ลูกจะเป็นนายของพี่น้องและพวกเขาก็จะคำนับลูก+ ให้ทุกคนที่แช่งลูกถูกแช่ง และให้ทุกคนที่อวยพรลูกได้รับพร”+
30 พออิสอัคอวยพรยาโคบเสร็จและยาโคบลาพ่อออกไปแล้ว เอซาวก็กลับมาจากล่าสัตว์พอดี+ 31 เขาก็ไปทำอาหารอร่อย ๆ และยกมาให้พ่อ แล้วพูดกับพ่อว่า “พ่อ ลุกขึ้นมากินเนื้อสัตว์ที่ผมหามาให้เถอะ แล้วพ่อจะได้อวยพรผม” 32 อิสอัคถามเขาว่า “นี่ใคร?” เขาตอบว่า “ผมคือเอซาวลูกคนโตของพ่อ”+ 33 อิสอัคก็ตกใจจนตัวสั่นและพูดว่า “แล้วใครล่ะที่ไปล่าสัตว์ และทำมาให้พ่อกินเมื่อกี้นี้? พ่อก็เลยกินไปแล้วก่อนที่ลูกจะมา พ่ออวยพรคนนั้นไปแล้วด้วย และเขาจะได้รับตามคำอวยพรนั้น”
34 พอได้ยินอย่างนั้น เอซาวก็ร้องเสียงดังมากด้วยความเสียใจ และพูดกับพ่อว่า “พ่อ อวยพรผมด้วย อวยพรผมด้วยสิพ่อ”+ 35 อิสอัคบอกว่า “น้องของลูกมาหลอกเอาพรไปแล้ว” 36 เอซาวพูดว่า “เพราะอย่างนี้ใช่ไหมเขาถึงชื่อยาโคบ* เพราะเขาแย่งชิงของของผมไปถึงสองครั้ง?+ เขาเอาสิทธิลูกคนโตของผมไปแล้ว+ ตอนนี้เขายังมาเอาพรของผมไปอีก”+ เอซาวพูดอีกว่า “พ่อไม่มีพรเหลือให้ผมแล้วหรือ?” 37 อิสอัคตอบเอซาวว่า “พ่อได้ตั้งเขาให้เป็นนายของลูก+และให้พี่น้องของเขาทุกคนรับใช้เขา ข้าวกับเหล้าองุ่นใหม่พ่อก็ยกให้เขาหมดแล้ว+ แล้วพ่อยังจะให้อะไรลูกได้อีกล่ะ?”
38 เอซาวพูดกับพ่อว่า “พ่อ พ่อมีพรเดียวแค่นั้นหรือ? อวยพรผมด้วย อวยพรผมด้วยสิพ่อ” แล้วเอซาวก็ร้องไห้เสียงดัง+ 39 อิสอัคพ่อของเขาจึงตอบว่า
“ในที่ที่ลูกอยู่ แผ่นดินจะไม่อุดมสมบูรณ์และจะไม่มีน้ำค้างจากฟ้า+ 40 ลูกจะต้องใช้ดาบต่อสู้เพื่อความอยู่รอดไปตลอดชีวิต+ ลูกจะต้องรับใช้น้อง+ แต่พอทนไม่ได้ ลูกก็จะหักแอกของน้องออกจากคอ”+
41 เอซาวจงเกลียดจงชังยาโคบเพราะยาโคบได้พรจากพ่อ+ เขาคิดอยู่เสมอว่า “อีกไม่นานพ่อก็จะตาย*+ แล้วพอไว้ทุกข์ให้พ่อเสร็จ ฉันจะฆ่ายาโคบน้องชายฉันซะ” 42 เมื่อมีคนบอกเรเบคาห์ว่าเอซาวลูกชายคนโตของเธอคิดอะไร เธอจึงรีบใช้คนไปเรียกยาโคบลูกชายคนเล็กมาบอกว่า “เอซาวพี่ชายของลูกอาฆาตเคียดแค้นลูกมาก เขาวางแผนจะฆ่าลูก 43 เอาอย่างนี้นะลูก ทำตามที่แม่บอก หนีไปหาลาบันพี่ชายของแม่ที่ฮาราน+ 44 แล้วอยู่กับลุงสักระยะหนึ่งจนกว่าความเคียดแค้นของพี่จะลดลง 45 รอจนพี่ชายหายโกรธและลืมว่าลูกเคยทำอะไรกับเขาไว้ แล้วแม่จะใช้คนให้ไปรับลูกที่นั่น แม่ไม่อยากเสียลูก 2 คนไปในวันเดียวกัน”
46 หลังจากนั้น เรเบคาห์พูดกับอิสอัคหลายครั้งว่า “ฉันเบื่อชีวิตเต็มทีแล้วเพราะพวกผู้หญิงชาวเฮท+ ถ้าเกิดยาโคบไปแต่งงานกับพวกผู้หญิงชาวเฮทในแผ่นดินนี้อีกคน ฉันคงต้องอกแตกตายแน่ ๆ”+
28 อิสอัคจึงเรียกยาโคบมาอวยพรและสั่งเขาว่า “อย่าแต่งงานกับผู้หญิงชาวคานาอัน+ 2 แต่ให้ไปที่บ้านเบธูเอลซึ่งเป็นตาของลูกที่ปัดดานอารัม แล้วแต่งงานกับลูกสาวคนหนึ่งของลาบัน+พี่ชายแม่ของลูก 3 พระเจ้าผู้มีพลังอำนาจสูงสุดจะอวยพรลูกให้มีลูกหลานมากมายและเพิ่มจำนวนขึ้นจนมีหลายชาติ+ 4 พระองค์จะให้สิ่งดี ๆ กับลูกและลูกหลานของลูกตามที่สัญญาไว้กับอับราฮัม+ แล้วลูกจะได้เป็นเจ้าของแผ่นดินที่ลูกอยู่อย่างคนต่างชาตินี้ แผ่นดินนี้พระเจ้ายกให้อับราฮัมแล้ว”+
5 แล้วอิสอัคก็ให้ยาโคบเดินทางไปที่ปัดดานอารัม ไปหาลาบันลูกชายเบธูเอลชาวอารัม+ เขาเป็นพี่ชายเรเบคาห์+แม่ของยาโคบกับเอซาว
6 เอซาวรู้ว่าอิสอัคอวยพรยาโคบและให้เขาไปหาภรรยาที่ปัดดานอารัม และรู้ว่าตอนที่อิสอัคอวยพรยาโคบนั้นเขาสั่งยาโคบว่า “อย่าแต่งงานกับผู้หญิงชาวคานาอัน”+ 7 และยาโคบก็เชื่อฟังพ่อแม่ออกเดินทางไปปัดดานอารัม+ 8 เอซาวถึงได้รู้ว่าอิสอัคพ่อตัวเองไม่ชอบผู้หญิงชาวคานาอัน+ 9 เอซาวจึงไปหาอิชมาเอล*และแต่งงานกับมาหะลัท ถึงแม้ว่าเขามีภรรยาอยู่แล้ว 2 คน มาหะลัทเป็นน้องสาวของเนบาโยทและเป็นลูกสาวของอิชมาเอลซึ่งเป็นลูกชายอับราฮัม+
10 ยาโคบก็ออกเดินทางจากเบเออร์เชบาไปเมืองฮาราน+ 11 ระหว่างทาง เขามาถึงที่แห่งหนึ่งและเตรียมจะค้างคืนที่นั่นเพราะดวงอาทิตย์ตกแล้ว เขาเอาหินก้อนหนึ่งจากตรงนั้นมาหนุนหัวนอน+ 12 แล้วเขาก็ฝันเห็นบันไดที่มีขั้นบันไดทอดจากโลกขึ้นไปถึงสวรรค์ มีทูตสวรรค์ของพระเจ้าขึ้นลงที่บันได+ 13 และพระยะโฮวาอยู่เหนือบันไดนั้น พระองค์พูดว่า
“เราคือยะโฮวาพระเจ้าของอับราฮัมปู่ของเจ้าและพระเจ้าของอิสอัค+ เราจะยกแผ่นดินที่เจ้านอนอยู่นี้ให้เจ้าและลูกหลานของเจ้า+ 14 ลูกหลานของเจ้าจะมีมากมายเหมือนฝุ่นละออง+ พวกเขาจะกระจายไปอยู่ทั่วแผ่นดินทั้งทางทิศตะวันตก ทิศตะวันออก ทิศเหนือ และทิศใต้ และทุกครอบครัวในโลกจะได้รับพรเพราะเจ้าและลูกหลานของเจ้า+ 15 เราอยู่กับเจ้า เราจะปกป้องเจ้าไม่ว่าเจ้าจะไปที่ไหน และเราจะพาเจ้ากลับมาที่แผ่นดินนี้+ เราจะไม่ทอดทิ้งเจ้าแต่เราจะทำตามที่เราสัญญาไว้กับเจ้า”+
16 แล้วยาโคบก็ตื่นขึ้นและพูดว่า “พระยะโฮวาอยู่ที่นี่แน่ ๆ แต่ผมไม่รู้” 17 เขารู้สึกกลัวจึงพูดว่า “ที่ตรงนี้ไม่เหมือนที่อื่น แต่เป็นที่ศักดิ์สิทธิ์ ต้องเป็นที่อยู่ของพระเจ้าแน่ ๆ+และเป็นประตูสวรรค์ด้วย”+ 18 ยาโคบจึงตื่นแต่เช้าตรู่ แล้วเอาก้อนหินที่เขาใช้หนุนหัวตั้งขึ้นมาเป็นเสาเพื่อระลึกถึงเหตุการณ์ครั้งนี้ และเทน้ำมันลงบนหัวเสานั้น+ 19 แล้วตั้งชื่อที่นั่นว่าเบธเอล* เมืองนั้นมีชื่อเดิมว่าลูส+
20 ยาโคบปฏิญาณว่า “ถ้าพระเจ้าอยู่กับผมต่อ ๆ ไป และปกป้องผมตอนเดินทาง ให้ผมมีอาหารกิน มีเสื้อผ้าใส่ 21 และให้ผมกลับมาบ้านพ่ออย่างปลอดภัย ก็แสดงว่าพระยะโฮวาเป็นพระเจ้าของผมจริง ๆ 22 ก้อนหินที่ผมตั้งไว้เพื่อระลึกถึงเหตุการณ์ครั้งนี้จะเป็นที่อยู่ของพระเจ้า+ และทุกสิ่งที่พระองค์ให้ผม ผมจะถวายส่วน 1 ใน 10 ให้พระองค์”
29 แล้วยาโคบก็เดินทางต่อจนมาถึงดินแดนของชาวตะวันออก 2 เขามองเห็นบ่อน้ำบ่อหนึ่งในทุ่งหญ้าและมีแกะ 3 ฝูงนอนอยู่ไม่ไกลจากบ่อนั้น เพราะคนเลี้ยงแกะจะตักน้ำจากบ่อให้ฝูงแกะกินเป็นประจำ บ่อนั้นมีหินใหญ่ปิดปากบ่อไว้ 3 เมื่อฝูงแกะทั้งหมดมารวมกันที่บ่อแล้ว พวกเขาก็จะกลิ้งหินออกจากปากบ่อและตักน้ำให้ฝูงแกะกิน เสร็จแล้วก็จะกลิ้งหินมาปิดปากบ่อไว้ตามเดิม
4 ยาโคบจึงถามพวกเขาว่า “พี่น้องของผม พวกคุณมาจากที่ไหนกัน?” พวกเขาตอบว่า “พวกเรามาจากฮาราน”+ 5 ยาโคบจึงถามว่า “พวกคุณรู้จักลาบัน+หลานชายของนาโฮร์+ไหม?” พวกเขาตอบว่า “รู้จักสิ” 6 ยาโคบก็ถามว่า “เขาเป็นยังไงบ้าง?” พวกเขาตอบว่า “เขาสบายดี ราเชล+ลูกสาวเขากำลังเดินมากับฝูงแกะโน่นแน่ะ” 7 ยาโคบจึงพูดว่า “ตอนนี้ยังกลางวันอยู่เลย ยังไม่ถึงเวลาต้อนฝูงแกะกลับเข้าคอก ตักน้ำให้พวกมันกินเถอะ แล้วพาพวกมันไปกินหญ้า” 8 พวกเขาบอกว่า “พวกเราทำอย่างนั้นไม่ได้หรอก ต้องรอให้ฝูงแกะมารวมกันหมดก่อนแล้วค่อยให้คนกลิ้งหินออกจากปากบ่อ แล้วพวกเราถึงจะตักน้ำให้ฝูงแกะกินได้”
9 ตอนที่ยาโคบพูดกับพวกคนเลี้ยงแกะอยู่นั้น ราเชลก็ต้อนฝูงแกะของพ่อมาถึง ราเชลเป็นคนเลี้ยงแกะ 10 พอยาโคบเห็นราเชลซึ่งเป็นลูกสาวลาบันพี่ชายของแม่พาแกะมา ยาโคบก็รีบเข้าไปหาและกลิ้งหินออกจากปากบ่อ แล้วตักน้ำให้แกะของลาบันกิน 11 แล้วยาโคบก็จูบ*ราเชลและร้องไห้เสียงดัง 12 ยาโคบบอกราเชลว่าเขาเป็นญาติ*กับลาบันพ่อของเธอ และเป็นลูกของเรเบคาห์ ราเชลก็วิ่งไปบอกพ่อ
13 พอลาบัน+ได้ยินเรื่องยาโคบลูกของน้องสาว เขาก็วิ่งออกไปพบและกอดจูบยาโคบแล้วพาเข้าไปในบ้าน ยาโคบก็เล่าเรื่องทั้งหมดที่เกิดขึ้นให้ลาบันฟัง 14 ลาบันจึงพูดกับยาโคบว่า “หลานไม่ใช่คนอื่นคนไกล แต่เป็นสายเลือด*แท้ ๆ ของลุง” ยาโคบจึงอยู่กับเขาเดือนหนึ่ง
15 แล้วลาบันก็พูดกับยาโคบว่า “ถึงแม้จะเป็นญาติ*กัน+ แต่ลุงก็ไม่ควรให้ทำงานเปล่า ๆ ไม่ใช่หรือ? บอกมาเถอะว่าหลานอยากจะให้ลุงจ่ายค่าจ้างเท่าไหร่ดี”+ 16 ลาบันมีลูกสาวสองคน คนพี่ชื่อเลอาห์ คนน้องชื่อราเชล+ 17 เลอาห์เป็นคนดวงตาไม่มีเสน่ห์ ส่วนราเชลนั้นรูปร่างหน้าตางดงามมีเสน่ห์ 18 ยาโคบตกหลุมรักราเชล จึงบอกว่า “ผมยินดีทำงานให้ลุง 7 ปี แล้วขอให้ลุงยกราเชลลูกสาวคนเล็กของลุงให้ผม”+ 19 ลาบันตอบว่า “ลุงยกลูกสาวของลุงให้หลานก็ดีกว่ายกให้คนอื่น อยู่กับลุงที่นี่ต่อไปเถอะ” 20 ยาโคบก็ทำงานอยู่ 7 ปีเพื่อจะได้แต่งงานกับราเชล+ แต่เขาไม่รู้สึกว่า 7 ปีนั้นนานเพราะเขารักเธอ
21 แล้วยาโคบก็พูดกับลาบันว่า “ผมทำงานครบกำหนดแล้ว ให้ราเชลแต่งงานกับผมเถอะ เราจะได้อยู่กินเป็นสามีภรรยากันซะที” 22 ลาบันจึงจัดงานแต่งงานให้และเชิญทุกคนในบริเวณนั้นมาร่วมงาน 23 แต่ในคืนนั้น ลาบันกลับส่งตัวลูกสาวที่ชื่อเลอาห์ให้ยาโคบแทน ยาโคบก็มีเพศสัมพันธ์กับเธอ 24 ลาบันยังยกศิลปาห์สาวใช้ของเขาให้เป็นสาวใช้ของเลอาห์ด้วย+ 25 พอรุ่งเช้า ยาโคบถึงเห็นว่าคนที่นอนอยู่กับเขาคือเลอาห์ ยาโคบจึงไปพูดกับลาบันว่า “ทำไมลุงทำอย่างนี้? ผมทำงานให้ลุงเพื่อจะได้แต่งงานกับราเชลไม่ใช่หรือ? แล้วทำไมลุงมาหลอกผมอย่างนี้?”+ 26 ลาบันตอบว่า “ที่นี่เราไม่มีธรรมเนียมให้น้องสาวแต่งงานก่อนพี่สาว 27 อยู่กับเลอาห์ให้ครบสัปดาห์หนึ่งก่อน แล้วลุงจะยกลูกสาวอีกคนหนึ่งให้ถ้าหลานยอมทำงานให้ลุงอีก 7 ปี”+ 28 ยาโคบก็ยอมตามนั้นและอยู่กับเลอาห์จนครบหนึ่งสัปดาห์ แล้วลาบันก็ยกลูกสาวที่ชื่อราเชลให้แต่งงานกับยาโคบ 29 และลาบันยังยกบิลฮาห์สาวใช้ของเขา+ให้เป็นสาวใช้ของราเชลด้วย+
30 ยาโคบจึงมีเพศสัมพันธ์กับราเชลด้วย เขารักราเชลมากกว่าเลอาห์ แล้วเขาก็ทำงานให้ลาบันอีก 7 ปี+ 31 พระยะโฮวาเห็นว่ายาโคบไม่รัก*เลอาห์ พระองค์จึงให้เธอมีลูกได้+ แต่ราเชลเป็นหมัน+ 32 เลอาห์ตั้งท้องและคลอดลูกชายแล้วก็ตั้งชื่อว่ารูเบน*+ เพราะเธอบอกว่า “นี่เป็นเพราะพระยะโฮวาเห็นความทุกข์ของฉัน+ ตอนนี้ สามีจะได้รักฉันบ้าง” 33 แล้วเธอก็ตั้งท้องและคลอดลูกชายอีกคนหนึ่ง เธอจึงพูดว่า “นี่เป็นเพราะพระยะโฮวารู้ว่าสามีไม่รักฉัน พระองค์จึงฟังฉันและให้ฉันมีลูกคนนี้ด้วย” เธอจึงตั้งชื่อลูกคนนี้ว่าสิเมโอน*+ 34 แล้วเลอาห์ก็ตั้งท้องและคลอดลูกชายอีกคนหนึ่ง เธอจึงพูดว่า “ทีนี้สามีก็จะใกล้ชิดฉันมากขึ้นเพราะฉันมีลูกชายให้เขาสามคนแล้ว” ลูกชายคนนี้จึงมีชื่อว่าเลวี*+ 35 แล้วเธอก็ตั้งท้องและคลอดลูกชายอีกคนหนึ่ง เธอจึงพูดว่า “ครั้งนี้ฉันจะสรรเสริญพระยะโฮวา” เธอจึงตั้งชื่อลูกคนนี้ว่ายูดาห์*+ หลังจากนั้น เธอก็ไม่มีลูกอยู่ช่วงหนึ่ง
30 เมื่อราเชลเห็นว่าตัวเองไม่มีลูกกับยาโคบเลยสักคน ราเชลก็อิจฉาพี่สาว จึงพูดกับยาโคบว่า “ให้ฉันมีลูกเถอะ ไม่อย่างนั้นให้ฉันตายซะดีกว่า” 2 ยาโคบโกรธราเชลมากจึงพูดว่า “ฉันเป็นพระเจ้าหรือไงถึงทำให้เธอไม่มีลูก?” 3 ราเชลจึงบอกว่า “คุณไปนอนกับบิลฮาห์+ทาสหญิงของฉันเถอะ เธอจะได้มีลูกให้คุณแทนฉัน* และลูกของบิลฮาห์ก็จะเป็นลูกของฉัน” 4 ราเชลยกบิลฮาห์สาวใช้ของเธอให้เป็นภรรยายาโคบ ยาโคบจึงนอนกับบิลฮาห์+ 5 แล้วบิลฮาห์ก็ตั้งท้องและคลอดลูกชายให้ยาโคบคนหนึ่ง 6 ราเชลจึงพูดว่า “พระเจ้าเป็นผู้พิพากษาให้ฉันและฟังเสียงของฉันด้วย พระองค์จึงให้ฉันมีลูกชายคนหนึ่ง” เธอจึงตั้งชื่อลูกคนนี้ว่าดาน*+ 7 บิลฮาห์สาวใช้ของราเชลตั้งท้องอีกและคลอดลูกชายคนที่สองให้ยาโคบ 8 ราเชลจึงพูดว่า “ฉันต่อสู้กับพี่สาวอย่างหนักมาตลอด ตอนนี้ฉันชนะแล้ว” เธอจึงตั้งชื่อลูกคนนี้ว่านัฟทาลี*+
9 เมื่อเลอาห์เห็นว่าตัวเองไม่มีลูกแล้ว จึงยกศิลปาห์สาวใช้ให้เป็นภรรยายาโคบ+ 10 ต่อมา ศิลปาห์สาวใช้ของเลอาห์ก็คลอดลูกชายให้ยาโคบคนหนึ่ง 11 เลอาห์พูดว่า “มีความสุขจริง ๆ” เธอจึงตั้งชื่อลูกคนนี้ว่ากาด*+ 12 แล้วศิลปาห์สาวใช้ของเลอาห์ก็คลอดลูกชายคนที่สองให้ยาโคบ 13 เลอาห์พูดว่า “มีความสุขเหลือเกิน เพราะพวกผู้หญิงจะพูดถึงฉันว่าเป็นคนมีความสุข”+ เธอจึงตั้งชื่อลูกคนนี้ว่าอาเชอร์*+
14 ในฤดูเกี่ยวข้าวสาลี รูเบน+เดินไปพบผลแมนเดรก*ในทุ่งจึงเอามาให้เลอาห์แม่ของตัวเอง ราเชลจึงพูดกับเลอาห์ว่า “ขอผลแมนเดรกจากลูกชายพี่ให้ฉันบ้างสิ” 15 เลอาห์ตอบว่า “เธอเอาสามีพี่ไปยังไม่พออีกหรือ?+ ยังจะมาเอาผลแมนเดรกของลูกชายพี่ไปอีก” ราเชลพูดว่า “ถ้าอย่างนั้นคืนนี้ฉันจะให้เขาไปนอนกับพี่แลกกับผลแมนเดรกก็แล้วกัน”
16 พอยาโคบกลับมาจากทุ่งในตอนเย็นวันนั้น เลอาห์ก็ไปบอกเขาว่า “คืนนี้คุณต้องมานอนกับฉันเพราะฉันใช้ผลแมนเดรกของลูกชายฉันซื้อสิทธิ์ที่จะอยู่กับคุณคืนนี้แล้ว” คืนนั้นยาโคบก็นอนกับเธอ 17 พระเจ้าฟังและตอบคำอธิษฐานของเลอาห์ เธอจึงตั้งท้องและคลอดลูกชายให้ยาโคบเป็นคนที่ห้า 18 เลอาห์จึงพูดว่า “พระเจ้าให้รางวัลที่ฉันยกสาวใช้ให้สามี” เธอจึงตั้งชื่อลูกคนนี้ว่าอิสสาคาร์*+ 19 แล้วเลอาห์ก็ตั้งท้องอีกและคลอดลูกชายให้ยาโคบเป็นคนที่หก+ 20 เลอาห์จึงพูดว่า “พระเจ้าให้สิ่งดี ๆ กับฉัน ทีนี้สามีก็จะยอมอยู่กับฉัน+เพราะฉันมีลูกชายให้เขาหกคนแล้ว”+ เธอจึงตั้งชื่อลูกคนนี้ว่าเศบูลุน*+ 21 หลังจากนั้น เธอก็มีลูกสาวคนหนึ่งชื่อดีนาห์+
22 แล้วพระเจ้าก็นึกถึงราเชล พระองค์ฟังและตอบคำอธิษฐานของเธอ เธอจึงมีลูกได้+ 23 ราเชลตั้งท้องและคลอดลูกชายคนหนึ่ง เธอพูดว่า “พระเจ้าช่วยให้ฉันไม่ต้องอับอายอีกแล้ว”+ 24 ราเชลจึงตั้งชื่อลูกคนนี้ว่าโยเซฟ*+ เธอบอกว่า “พระยะโฮวาให้ฉันมีลูกชายเพิ่มอีกคนหนึ่ง”
25 พอราเชลคลอดโยเซฟแล้ว ยาโคบก็บอกลาบันว่า “ให้ผมกลับไปบ้านเกิดเมืองนอนของผมเถอะ+ 26 ให้ผมพาภรรยากับลูกไปด้วย เพราะผมทำงานให้ลุงเพื่อเป็นการแลกเปลี่ยนกับพวกเธอไปแล้ว และลุงก็รู้ดีว่าผมได้ทำงานอย่างซื่อสัตย์มาโดยตลอด”+ 27 ลาบันตอบว่า “ถ้าเห็นแก่ลุง ก็ขอให้อยู่ต่อไปเถอะ เพราะลุงเห็นหลักฐานหลายอย่างเลยว่า พระยะโฮวาช่วยลุงให้เจริญรุ่งเรืองขึ้นเพราะหลาน” 28 ลาบันยังบอกอีกว่า “บอกมาเลยว่าจะเอาค่าจ้างเท่าไหร่ ลุงจะให้”+ 29 ยาโคบตอบว่า “ลุงก็รู้ว่าผมทำงานให้ลุงอย่างซื่อสัตย์และดูแลฝูงสัตว์ของลุงเป็นอย่างดี+ 30 ก่อนผมมา ลุงก็ไม่ค่อยมีอะไรมากนัก แต่ฝูงสัตว์ของลุงเพิ่มขึ้นจนมีมากมายเพราะพระยะโฮวาช่วยลุงให้เจริญรุ่งเรืองตั้งแต่ผมมาถึง แล้วเมื่อไหร่ผมจะได้ทำอะไรเพื่อครอบครัวของผมบ้าง?”+
31 ลาบันพูดว่า “แล้วหลานอยากจะได้อะไรล่ะ?” ยาโคบตอบว่า “ลุงไม่ต้องให้อะไรผมหรอก ผมจะเลี้ยงและดูแลฝูงสัตว์ของลุงต่อไปถ้าลุงยอมตกลงกับผมเรื่องหนึ่ง+ 32 วันนี้ผมจะไปสำรวจดูฝูงสัตว์ทั้งหมดของลุง แล้วให้ลุงแยกแกะทุกตัวที่มีลายแต้มหรือลายด่าง แยกลูกแกะตัวผู้สีน้ำตาลเข้ม และแยกแพะตัวเมียที่มีลายด่างหรือลายแต้มออกไปก่อน แล้วตั้งแต่นี้ไป แกะหรือแพะที่เกิดมาเป็นแบบนี้จะเป็นค่าจ้างของผม+ 33 แล้วเมื่อลุงมาตรวจดูสัตว์ที่เป็นค่าจ้างของผมในวันข้างหน้า ลุงก็จะเห็นว่าผมซื่อสัตย์หรือไม่ เพราะถ้ามีแพะตัวเมียที่ไม่มีลายแต้มหรือลายด่าง หรือถ้ามีลูกแกะตัวผู้ที่ไม่ใช่สีน้ำตาลเข้มอยู่กับผม ก็แสดงว่าผมขโมยมา”
34 ลาบันตอบว่า “ตกลงตามนั้น เอาตามที่หลานพูดนั่นแหละ”+ 35 วันนั้น ลาบันก็แยกแพะตัวผู้ที่มีลายทางกับที่มีลายด่าง แพะตัวเมียที่มีลายแต้มกับที่มีลายด่าง คือแยกสัตว์ทุกตัวที่มีลายสีขาว และลูกแกะตัวผู้สีน้ำตาลเข้มออกมา แล้วให้ลูกชายของตัวเองเอาไปเลี้ยง 36 แล้วเขาก็ต้อนฝูงสัตว์ไปให้อยู่ห่างจากยาโคบเท่ากับระยะเดินทางสามวัน ส่วนยาโคบก็เลี้ยงฝูงสัตว์ของลาบันที่เหลืออยู่
37 ยาโคบเอากิ่งไม้สดจากต้นกำยาน ต้นอัลมอนด์ และต้นเพลน มาลอกเปลือกออกเป็นจุด ๆ เพื่อให้เห็นเนื้อไม้สีขาว 38 แล้วเขาก็เอากิ่งไม้ที่ลอกเปลือกออกนั้นไปวางไว้ในรางน้ำที่ฝูงสัตว์จะมากิน เพื่อสัตว์ที่มากินน้ำและที่มาผสมพันธุ์กันจะได้มองเห็นกิ่งไม้นั้น
39 ดังนั้น เมื่อฝูงสัตว์ผสมพันธุ์กันและเห็นกิ่งไม้นั้น ลูกของพวกมันที่ออกมาก็จะมีลายทาง ลายแต้ม และลายด่าง 40 ยาโคบจึงแยกลูกสัตว์ที่มีลายทางกับที่เป็นสีน้ำตาลเข้มทั้งหมดออกมา แล้วให้ฝูงสัตว์ของลาบันที่เหลืออยู่หันหน้าไปทางพวกลูกสัตว์นั้น แล้วยาโคบก็แยกฝูงสัตว์ของตัวเองออกมาไว้ต่างหากจากฝูงสัตว์ของลาบันเพื่อไม่ให้อยู่ปนกัน 41 เมื่อสัตว์ตัวที่แข็งแรงอยากผสมพันธุ์ ยาโคบก็จะวางกิ่งไม้นั้นไว้ในรางน้ำข้างหน้าพวกมันเพื่อให้พวกมันผสมพันธุ์ใกล้ ๆ กิ่งไม้นั้น 42 แต่เมื่อเขาเห็นว่าสัตว์ตัวไหนอ่อนแอ เขาก็จะไม่เอากิ่งไม้ไปวางไว้ในรางน้ำตรงนั้น ดังนั้น ลาบันก็จะได้แต่สัตว์ที่อ่อนแอ ส่วนยาโคบก็ได้แต่สัตว์ที่แข็งแรง+
43 ยาโคบจึงมั่งคั่งขึ้นเรื่อย ๆ เขามีแกะ แพะ คนรับใช้ชายหญิง อูฐ และลามากมาย+
31 ต่อมา ยาโคบได้ยินลูกชายลาบันพูดกันว่า “ยาโคบเอาของของพ่อเราไปหมด ทรัพย์สมบัติมากมายที่เขาสะสมไว้ก็เอามาจากพ่อเราทั้งนั้น”+ 2 เมื่อยาโคบมองหน้าลาบันก็รู้สึกว่าเขามีท่าทีเปลี่ยนไปไม่เหมือนก่อน+ 3 พระยะโฮวาพูดกับยาโคบว่า “กลับไปหาญาติพี่น้องที่แผ่นดินของปู่ย่าตายายเจ้าเถอะ+ แล้วเราก็จะอยู่กับเจ้าต่อ ๆ ไป” 4 ยาโคบจึงใช้คนไปเรียกราเชลกับเลอาห์ให้ออกมาพบในทุ่งที่เขาเลี้ยงฝูงสัตว์อยู่ 5 แล้วพูดกับพวกเธอว่า
“ฉันรู้สึกว่าพ่อของพวกเธอมีท่าทีเปลี่ยนไปไม่เหมือนก่อน+ แต่พระเจ้าของพ่อฉันอยู่กับฉันเสมอ+ 6 เธอสองคนก็รู้ดีว่าฉันทำงานให้พ่อของพวกเธออย่างเต็มที่+ 7 แต่พ่อของเธอพยายามจะโกงฉัน เขาเปลี่ยนแปลงค่าจ้างตั้งหลายครั้งแล้ว* แต่พระเจ้าไม่ยอมให้เขาทำให้ฉันเสียหายหรอก 8 เพราะตอนที่เขาบอกว่า ‘ให้สัตว์ที่มีลายแต้มเป็นค่าจ้างของหลาน’ สัตว์ทั้งฝูงก็ออกลูกที่มีลายแต้ม แต่ถ้าเขาบอกว่า ‘ให้สัตว์ที่มีลายทางเป็นค่าจ้างของหลาน’ สัตว์ทั้งฝูงก็ออกลูกที่มีลายทาง+ 9 พระเจ้าทำอย่างนั้นแหละ เพื่อให้ฝูงสัตว์ของพ่อพวกเธอค่อย ๆ ตกเป็นของฉัน 10 ครั้งหนึ่ง ในฤดูที่แพะจะผสมพันธุ์กัน ฉันฝันเห็นแพะตัวผู้ที่มีลายทาง ลายแต้ม และลายจุด มาผสมพันธุ์กับแพะตัวเมีย+ 11 แล้วทูตสวรรค์ของพระเจ้าเที่ยงแท้ก็พูดกับฉันในความฝันว่า ‘ยาโคบ’ ฉันตอบว่า ‘ครับ’ 12 ทูตสวรรค์พูด*ว่า ‘ขอเจ้าลองมองดูสิ แพะตัวผู้ทั้งหมดที่ผสมพันธุ์กับแพะตัวเมียนั้นเป็นแพะที่มีลายทาง ลายแต้ม และลายจุด นี่เป็นเพราะเราเห็นทุกอย่างที่ลาบันทำกับเจ้า+ 13 เราคือพระเจ้าเที่ยงแท้ซึ่งมาหาเจ้าที่เบธเอล+ ที่ที่เจ้าได้เอาน้ำมันเทบนเสาต้นหนึ่งและปฏิญาณต่อเรา+ ตอนนี้ ให้เจ้าออกจากแผ่นดินนี้กลับไปที่แผ่นดินเกิดของเจ้าได้แล้ว’”+
14 ราเชลกับเลอาห์ก็พูดว่า “พวกเราคงไม่ได้รับมรดกอะไรจากพ่อแล้ว 15 เพราะพ่อถือว่าเราสองคนเป็นคนต่างชาติตั้งแต่ตอนที่เขาขายพวกเราไปแล้ว และเขาก็ใช้เงินที่ได้จากการขายเราไปหมดแล้วด้วย+ 16 ทรัพย์สมบัติทั้งหมดที่พระเจ้าเอามาจากพ่อก็เป็นของเรากับลูก ๆ+ ถ้าอย่างนั้น พระเจ้าบอกคุณให้ทำอะไรก็ทำตามเถอะ”+
17 ยาโคบจึงให้ลูกกับภรรยาขึ้นขี่อูฐ+ 18 แล้วเขาก็ต้อนฝูงสัตว์ทั้งหมด คือฝูงสัตว์ที่เขาได้มาตอนอยู่ที่ปัดดานอารัม และขนทรัพย์สมบัติทั้งหมดที่เขาสะสมไว้+ เพื่อไปหาอิสอัคพ่อของเขาที่แผ่นดินคานาอัน+
19 ตอนที่ลาบันออกไปตัดขนแกะ ราเชลแอบไปขโมยรูปปั้นเทราฟิม*+ของพ่อมา+ 20 แล้วยาโคบก็หนีไปโดยไม่ให้ลาบันชาวอารัมรู้ 21 เขาหนีข้ามแม่น้ำนั้น*+ไปพร้อมกับครอบครัวและสมบัติทั้งหมดของเขา แล้วมุ่งหน้าไปเขตเทือกเขากิเลอาด+ 22 พอถึงวันที่สาม มีคนมาบอกลาบันว่ายาโคบหนีไปแล้ว 23 เขาพาคนของเขา*ไล่ตามถึง 7 วัน จึงตามยาโคบทันในเขตเทือกเขากิเลอาด 24 ตอนกลางคืน พระเจ้ามาเข้าฝัน+ลาบันชาวอารัม+และบอกเขาว่า “ให้พูดกับยาโคบดี ๆ อย่าไปพูดอะไรให้เขาลำบากใจ”+
25 ยาโคบตั้งเต็นท์ในเขตเทือกเขากิเลอาด และเมื่อลาบันกับคนของเขามาตั้งเต็นท์อยู่ใกล้ ๆ แล้ว ลาบันก็มาหายาโคบ 26 ลาบันพูดกับยาโคบว่า “ทำไมถึงทำอย่างนี้? ทำไมถึงแอบพาลูกสาวลุงมาเหมือนกับว่าพวกเขาเป็นเชลยที่ถูกกวาดต้อนมา? 27 ทำไมต้องวางแผนแอบหนีมา? ทำไมไม่บอกลุงก่อน? ถ้าหลานบอกลุง ลุงก็จะได้ให้คนร้องเพลง ตีกลองแทมบูริน*และดีดพิณส่งหลานด้วยความยินดี 28 แถมลุงก็ยังไม่ได้จูบลาหลาน ๆ กับลูกสาวของลุงเลย ทำไมถึงทำเรื่องโง่ ๆ อย่างนี้? 29 ถ้าจะให้ลุงเล่นงานหลานตอนนี้เลยก็ได้ แต่พระเจ้าของพ่อหลานพูดกับลุงเมื่อคืนนี้ว่า ‘ให้พูดกับยาโคบดี ๆ อย่าไปพูดอะไรให้เขาลำบากใจ’+ 30 ที่หลานหนีมาก็เพราะอยากจะกลับไปบ้านพ่อของหลานมาก แต่ทำไมถึงต้องขโมยรูปเคารพของลุงมาด้วย?”+
31 ยาโคบตอบลาบันว่า “เพราะผมกลัวว่าลุงจะบังคับขู่เข็ญเอาลูกสาวของลุงไป 32 ส่วนรูปเคารพนั้น ถ้าลุงพบว่าอยู่กับใคร ก็ฆ่าเขาได้เลย เชิญค้นข้าวของของผมต่อหน้าคนของเรา ถ้าพบอะไรที่เป็นของลุง ก็เอาไปเถอะ” ยาโคบพูดอย่างนี้เพราะไม่รู้ว่าราเชลขโมยรูปเคารพมา 33 ลาบันก็เข้าไปค้นในเต็นท์ของยาโคบ เต็นท์ของเลอาห์ และเต็นท์ของทาสหญิงสองคน+ แต่ก็หาไม่เจอ จึงออกจากเต็นท์ของเลอาห์แล้วเข้าไปค้นในเต็นท์ของราเชล 34 แต่ราเชลเอารูปปั้นเทราฟิมใส่ไว้ในตะกร้าสำหรับติดกับอานอูฐแล้วนั่งทับไว้ ลาบันค้นจนทั่วเต็นท์ก็ไม่พบ 35 ราเชลพูดกับพ่อว่า “คุณพ่อคะ อย่าโกรธลูกเลยที่ลุกขึ้นต้อนรับไม่ได้เพราะลูกมีประจำเดือนอยู่”+ ลาบันก็ค้นจนทั่วเต็นท์แต่ไม่พบรูปปั้นเทราฟิม+
36 ยาโคบก็โกรธและต่อว่าลาบันว่า “ผมทำผิดอะไร? ผมทำบาปอะไรไว้ ลุงถึงได้มาตามล่าผมอย่างนี้? 37 ตอนนี้ลุงก็ค้นข้าวของของผมจนทั่ว แล้วพบอะไรบ้างไหมที่มาจากบ้านของลุง? ถ้ามี ก็เอามาวางไว้ตรงนี้ต่อหน้าคนของผมกับคนของลุง แล้วให้พวกเขาตัดสินเรื่องระหว่างเราสองคน 38 ตลอดเวลา 20 ปีที่ผมอยู่กับลุงมา แกะหรือแพะของลุงไม่เคยแท้ง+ และผมก็ไม่เคยกินแกะตัวผู้จากฝูงของลุงเลย 39 ถ้ามีสัตว์ตัวไหนถูกสัตว์ป่ากัดตาย ผมก็ไม่ได้เอาซากของมันกลับมาให้ลุง+ แต่ผมจะหาตัวใหม่มาชดใช้ให้ หรือถ้ามีสัตว์ถูกขโมยไปไม่ว่ากลางวันหรือกลางคืน ลุงก็เรียกร้องให้ผมชดใช้ให้ลุงอีก 40 ผมต้องทนร้อนในตอนกลางวันและทนหนาวในตอนกลางคืนจนนอนไม่หลับ+ 41 ผมอยู่กับลุงอย่างนี้มา 20 ปี ผมทำงานให้ลุงตั้ง 14 ปีเพื่อแลกกับลูกสาวสองคนของลุง และทำอีก 6 ปีเพื่อจะได้ฝูงสัตว์ของลุง และลุงก็เปลี่ยนแปลงค่าจ้างของผมหลายต่อหลายครั้ง*+ 42 ถ้าพระเจ้าของพ่อผม+ซึ่งเป็นพระเจ้าของอับราฮัมและเป็นพระเจ้าที่อิสอัคเกรงกลัว+ไม่อยู่ฝ่ายผมละก็ ลุงก็คงให้ผมออกมามือเปล่า แต่พระเจ้าเห็นผมต้องทนทุกข์และทำงานหนัก พระองค์ถึงได้เตือนลุงเมื่อคืนนี้”+
43 ลาบันตอบยาโคบว่า “ผู้หญิงสองคนนี้เป็นลูกสาวของลุง เด็ก ๆ พวกนี้ก็เป็นหลาน และฝูงสัตว์ก็เป็นของลุง ทั้งหมดที่เห็นอยู่นี้เป็นของลุงและเป็นของลูกสาวลุง วันนี้ลุงจะไปทำอะไรพวกเธอกับลูก ๆ ได้ล่ะ 44 เอาอย่างนี้ ให้เรามาทำสัญญากัน สัญญานี้จะเป็นพยานหลักฐานระหว่างเราสองคน” 45 ยาโคบจึงเอาก้อนหินมาตั้งเป็นเสาเพื่อระลึกถึงเหตุการณ์นี้+ 46 แล้วยาโคบก็บอกคนของเขาว่า “ไปขนก้อนหินมา” พวกเขาก็เอาก้อนหินมากองรวมกัน แล้วพวกเขาก็กินอาหารบนกองหินนั้น 47 ลาบันตั้งชื่อกองหินนั้นว่าเยการ์สหดูทา* ส่วนยาโคบตั้งชื่อว่ากาเลเอด*
48 แล้วลาบันก็พูดว่า “วันนี้ กองหินนี้เป็นพยานหลักฐานระหว่างเราสองคน” กองหินนี้จึงมีชื่อว่ากาเลเอด+ 49 และยังถูกเรียกว่าหอสังเกตการณ์*ด้วย เพราะลาบันบอกว่า “ให้พระยะโฮวาเฝ้าดูเราสองคนเมื่อแยกจากกัน 50 ถ้าหลานข่มเหงลูกสาวของลุงและไปมีภรรยาอื่นอีกนอกจากลูกสาวของลุง ถึงแม้ไม่มีใครเห็น แต่ขอให้จำไว้ว่า พระเจ้าเห็นและพระองค์จะเป็นพยานระหว่างเราสองคน” 51 ลาบันพูดกับยาโคบอีกว่า “หินกองนี้กับเสานี้ ลุงตั้งไว้เป็นเครื่องหมายระหว่างเราสองคน 52 หินกองนี้เป็นพยานหลักฐานและเสานี้เป็นสิ่งที่ยืนยัน+ว่า ลุงจะไม่ข้ามหินกองนี้ไปทำร้ายหลาน และหลานเองก็จะไม่ข้ามหินกองนี้กับเสานี้มาทำร้ายลุงเหมือนกัน 53 ให้พระเจ้าของอับราฮัม+ พระเจ้าของนาโฮร์ ซึ่งก็คือพระเจ้าที่พ่อของพวกเขานมัสการ เป็นผู้ตัดสินเรื่องราวระหว่างเรา” และยาโคบก็สาบานต่อพระเจ้าองค์เดียวกันนี้ พระเจ้าที่อิสอัคพ่อของเขาเกรงกลัว+
54 แล้วยาโคบก็ถวายเครื่องบูชาที่ภูเขานั้นและเชิญญาติพี่น้องทั้งหมดให้กินอาหารด้วยกัน พวกเขาจึงกินอาหารและพักค้างคืนอยู่ที่ภูเขานั้น 55 ลาบันตื่นแต่เช้าตรู่ เขาจูบลาหลาน ๆ+กับลูกสาวและอวยพรพวกเขา+ แล้วลาบันก็ออกเดินทางกลับบ้าน+
32 ส่วนยาโคบก็ออกเดินทาง แล้วพวกทูตสวรรค์ของพระเจ้าก็มาพบเขา 2 พอยาโคบเห็นพวกทูตสวรรค์ก็พูดว่า “ที่นี่เป็นที่ตั้งกองทัพของพระเจ้า” เขาจึงตั้งชื่อที่นั่นว่ามาหะนาอิม*
3 ยาโคบใช้คนไปส่งข่าวให้เอซาวพี่ชายของเขาที่ดินแดนชาวเอโดม+ในแผ่นดินเสอีร์+ก่อน 4 เขาสั่งคนพวกนั้นว่า “พวกคุณต้องไปพูดกับเอซาวพี่ชายของผมว่า ‘ยาโคบผู้รับใช้ของคุณบอกว่า “นานแล้วที่ผมไปอยู่*กับลาบัน+ 5 ตอนนี้ ผมมีทั้งวัว ลา แกะ และคนรับใช้ชายหญิง+ ผมส่งคนมาแจ้งพี่ว่าผมกำลังจะกลับมาแล้ว เผื่อพี่จะได้เมตตาผมบ้าง”’”
6 คนส่งข่าวกลับมาบอกยาโคบว่า “พวกเราไปพบเอซาวพี่ชายของคุณแล้ว เขากำลังเดินทางมาหาคุณและพาคนของเขามาด้วย 400 คน”+ 7 ยาโคบก็กลัวและกังวลมาก+ เขาจึงแบ่งคนของเขากับฝูงแพะ แกะ วัว และอูฐออกเป็น 2 กลุ่ม 8 ยาโคบพูดว่า “ถ้าเอซาวมาโจมตีกลุ่มหนึ่ง อีกกลุ่มหนึ่งจะได้หนีไป”
9 แล้วยาโคบก็อธิษฐานว่า “พระยะโฮวาครับ พระองค์เป็นพระเจ้าของอับราฮัมปู่ของผมและเป็นพระเจ้าของอิสอัคพ่อของผม พระองค์เป็นผู้บอกผมว่า ‘กลับไปหาญาติพี่น้องของเจ้าที่แผ่นดินของเจ้าเถอะ แล้วเราจะให้เจ้าได้รับสิ่งดี ๆ’+ 10 ที่จริง ผมเองไม่คู่ควรเลยที่พระองค์จะมาแสดงความรักที่มั่นคงและกรุณาต่อผมอย่างนี้+ ตอนที่ข้ามแม่น้ำจอร์แดนมานั้นผมมีแค่ไม้เท้า แต่ตอนนี้ ผมมีคนและสัตว์มากมายจนแบ่งเป็น 2 กลุ่มได้+ 11 ขอพระองค์ช่วยผม+ให้พ้นจากเงื้อมมือเอซาวพี่ชายด้วย ผมกลัวว่าเขาจะมาโจมตีผม+กับภรรยาและลูก ๆ 12 เพราะพระองค์บอกไว้ว่า ‘เราจะให้เจ้าได้รับสิ่งดี ๆ และเราจะให้เจ้ามีลูกหลานมากมายจนนับไม่ถ้วนเหมือนเม็ดทรายที่ชายทะเล’”+
13 คืนนั้นยาโคบจึงอยู่ที่นั่น และเตรียมสัตว์บางส่วนของเขาเป็นของขวัญให้เอซาว+ 14 คือแพะตัวเมีย 200 ตัว แพะตัวผู้ 20 ตัว แกะตัวเมีย 200 ตัว แกะตัวผู้ 20 ตัว 15 อูฐแม่ลูกอ่อน 30 ตัว วัวตัวเมีย 40 ตัว วัวตัวผู้ 10 ตัว ลาตัวเมีย 20 ตัว และลาตัวผู้ 10 ตัว+
16 ยาโคบแยกสัตว์เป็นฝูง ๆ ให้คนรับใช้ดูแลและบอกพวกเขาว่า “พวกคุณข้ามลำธารกันไปก่อน และให้สัตว์แต่ละฝูงทิ้งระยะห่างกันหน่อย” 17 เขาสั่งคนที่ดูแลสัตว์ฝูงแรกว่า “ถ้าเอซาวพี่ชายของผมพบคุณและถามว่า ‘คุณเป็นคนของใคร? แล้วนี่จะไปไหน? และสัตว์ที่ต้อนมานี้ล่ะเป็นของใคร?’ 18 ให้ตอบเขาไปว่า ‘เป็นของยาโคบผู้รับใช้ของคุณ ยาโคบส่งมาเป็นของขวัญให้คุณครับ+ และเขาก็กำลังตามพวกเรามา’” 19 ยาโคบสั่งคนที่ดูแลสัตว์ฝูงที่ 2 ฝูงที่ 3 และทุกคนที่ไปกับฝูงสัตว์ด้วยว่า “เมื่อพบเอซาว ให้พูดกับเขาอย่างนั้นเหมือนกัน 20 และให้บอกเขาด้วยว่า ‘ยาโคบผู้รับใช้ของคุณกำลังตามมา’” เพราะยาโคบคิดว่า “ฉันจะส่งของกำนัลไปให้เขาก่อน เผื่อเขาจะหายโกรธ+ แล้วเมื่อพบหน้ากัน เขาคงจะยินดีต้อนรับฉัน” 21 พวกคนรับใช้จึงนำของขวัญข้ามลำธารไปก่อน แต่คืนนั้นยาโคบยังอยู่ที่ค่ายพัก
22 ในตอนดึกคืนนั้น ยาโคบลุกขึ้นพาภรรยาทั้งสอง+กับสาวใช้ทั้งสอง+และลูกชาย 11 คนไป เพื่อให้พวกเขาข้ามลำธารยับบอก ตรงบริเวณน้ำตื้น+ 23 ยาโคบส่งพวกเขาข้ามลำธารไป และให้นำทรัพย์สมบัติทุกอย่างของเขาข้ามไปด้วย
24 ยาโคบจึงอยู่ที่นั่นคนเดียว แล้วก็มีผู้ชายคนหนึ่งมาหาเขาและปล้ำสู้กับเขาจนถึงรุ่งเช้า+ 25 ตอนที่ปล้ำสู้กัน ผู้ชายคนนั้นเห็นว่าเอาชนะยาโคบไม่ได้จึงแตะที่ข้อสะโพกของยาโคบ ทำให้ข้อสะโพกของเขาเคลื่อน+ 26 แล้วผู้ชายคนนั้นก็พูดว่า “นี่ก็ใกล้จะสว่างแล้ว ให้ผมไปเถอะ” ยาโคบบอกว่า “ไม่ได้ ผมไม่ให้ไป ท่านต้องอวยพรผมก่อน”+ 27 คนนั้นก็ถามว่า “คุณชื่ออะไร?” ยาโคบตอบว่า “ชื่อยาโคบ” 28 คนนั้นพูดว่า “คุณจะไม่ชื่อว่ายาโคบอีกต่อไป แต่จะชื่อว่าอิสราเอล*+ เพราะคุณต่อสู้กับพระเจ้า+และกับมนุษย์จนชนะ” 29 ยาโคบถามว่า “บอกผมด้วยได้ไหมว่าท่านชื่ออะไร?” คนนั้นตอบว่า “ถามชื่อผมทำไม?”+ แล้วเขาก็อวยพรยาโคบที่นั่น 30 ยาโคบจึงเรียกที่นั่นว่าเปนีเอล*+ เขาบอกว่า “เพราะผมได้เห็นพระเจ้าอยู่ตรงหน้า แต่พระองค์ไว้ชีวิตผม”+
31 เมื่อยาโคบออกจากเปนีเอล* ดวงอาทิตย์ก็ขึ้น เขาเดินกะเผลกเพราะเจ็บสะโพก+ 32 เพราะอย่างนั้น ชาวอิสราเอลจึงไม่กินเอ็นต้นขาหรือเอ็นข้อสะโพกสัตว์จนถึงทุกวันนี้ เพราะผู้ชายคนนั้นได้แตะเอ็นต้นขาตรงข้อสะโพกของยาโคบ
33 ต่อมา เมื่อยาโคบเงยหน้าขึ้นก็เห็นเอซาวมาพร้อมกับคน 400 คน+ เขาจึงให้ลูก ๆ แยกกันไปอยู่กับแม่ของตัวเอง คือเลอาห์ ราเชล และสาวใช้ทั้งสองคน+ 2 ยาโคบให้สาวใช้สองคนกับลูก ๆ อยู่ข้างหน้า+ เลอาห์กับลูก ๆ อยู่ถัดมา+ และราเชล+กับโยเซฟอยู่หลังสุด 3 ส่วนยาโคบเองก็เดินนำหน้า เขาหมอบลงกับพื้น 7 ครั้งระหว่างที่เดินเข้าไปใกล้พี่ชาย
4 เอซาววิ่งเข้ามากอดจูบยาโคบและทั้งสองก็พากันร้องไห้ 5 พอเอซาวเงยหน้าขึ้นก็มองเห็นผู้หญิงกับเด็ก ๆ เขาจึงถามว่า “คนพวกนี้ที่มากับน้องเป็นใคร?” ยาโคบตอบว่า “พวกเขาคือลูก ๆ ที่พระเจ้าให้กับผู้รับใช้ของพี่คนนี้”+ 6 สาวใช้ทั้งสองกับลูก ๆ จึงมาข้างหน้าแล้วก้มลงคำนับ 7 เลอาห์กับลูก ๆ ก็เดินออกมาข้างหน้าแล้วก้มลงคำนับ แล้วโยเซฟกับราเชลก็เดินออกมาข้างหน้าและก้มลงคำนับด้วย+
8 เอซาวถามว่า “น้องส่งคนกับฝูงสัตว์มาทำไม?”+ ยาโคบตอบว่า “เผื่อพี่จะเมตตาผมบ้าง”+ 9 เอซาวก็บอกว่า “พี่มีทรัพย์สมบัติมากมายอยู่แล้ว+ น้องของพี่ น้องเก็บของพวกนั้นไว้เถอะ” 10 แต่ยาโคบบอกว่า “อย่าปฏิเสธเลยครับ ถ้าพี่เมตตาผมจริง ๆ ก็ขอให้รับของขวัญจากผมเถอะครับ ผมนำของทั้งหมดมาเพื่อจะได้พบหน้าพี่อีก และเมื่อผมได้เห็นหน้าพี่ก็เหมือนได้เห็นหน้าพระเจ้า เพราะพี่ยินดีต้อนรับผม+ 11 โปรดรับของขวัญที่ผมนำมาให้พี่ด้วยความปรารถนาดี+ เพราะพระเจ้าเมตตาผมและผมเองก็มีทุกสิ่งที่จำเป็นครบหมดแล้ว”+ ยาโคบอ้อนวอนจนเอซาวรับของขวัญทั้งหมดนั้นไว้
12 แล้วเอซาวก็พูดว่า “ออกเดินทางกันเถอะ พี่จะเดินนำหน้าเอง” 13 ยาโคบตอบว่า “อย่างที่พี่เห็น ลูก ๆ ของผมยังเล็กมาก+ และผมก็ต้องดูแลแกะกับวัวที่มีลูกอ่อนด้วย ถ้าเกิดต้อนพวกมันให้เดินเร็วเกินไปแค่วันเดียว พวกมันก็จะตายกันทั้งฝูง 14 ขอพี่เดินทางไปก่อนผู้รับใช้ของพี่เถอะครับ ส่วนผมจะค่อย ๆ ตามไปเท่าที่ฝูงสัตว์กับลูก ๆ จะเดินไหว แล้วผมจะไปพบกับพี่ที่เสอีร์”+ 15 เอซาวจึงบอกว่า “ถ้าอย่างนั้น พี่จะให้คนของพี่บางคนไปกับน้อง” ยาโคบตอบว่า “ไม่ต้องหรอกครับ แค่พี่เมตตาผมเท่านี้ก็เพียงพอแล้ว” 16 วันนั้น เอซาวจึงเดินทางกลับไปที่เสอีร์
17 ยาโคบจึงเดินทางไปสุคคท+ แล้วสร้างบ้านอยู่ที่นั่นและทำเพิงให้ฝูงสัตว์อยู่ด้วย เพราะอย่างนั้น เขาจึงเรียกที่นั่นว่าสุคคท*
18 หลังจากยาโคบออกจากปัดดานอารัม+ เขาก็มาถึงเมืองเชเคม+ในแผ่นดินคานาอัน+อย่างปลอดภัย เขาตั้งค่ายพักอยู่ใกล้ ๆ กับเมืองนั้น 19 แล้วยาโคบก็ซื้อที่ดินแปลงหนึ่งอยู่ตรงที่เขาตั้งเต็นท์ เขาซื้อจากพวกลูกชายของฮาโมร์ซึ่งเป็นพ่อของเชเคมด้วยเงิน 100 แผ่น+ 20 ยาโคบสร้างแท่นบูชาขึ้นที่นั่นและเรียกแท่นนั้นว่าเอลเอโลเฮอิสราเอล*+
34 ดีนาห์ลูกสาวยาโคบที่เกิดจากเลอาห์+ชอบออกไปอยู่กับพวกผู้หญิงสาว ๆ ในแผ่นดินนั้น+ 2 เชเคมลูกชายของฮาโมร์ชาวฮีไวต์+ที่เป็นหัวหน้าตระกูลหนึ่งในแผ่นดินนั้นจึงเห็นเธอ และวันหนึ่งเขาก็พาเธอไปข่มขืน 3 เชเคมหลงใหลดีนาห์ลูกสาวยาโคบมาก เขาหลงรักผู้หญิงคนนี้และพยายามพูดเอาอกเอาใจเธอ 4 เชเคมพูดกับฮาโมร์+พ่อของเขาว่า “พ่อไปขอผู้หญิงคนนี้ให้ผมหน่อย ผมอยากแต่งงานกับเธอ”
5 ตอนที่ยาโคบได้ยินว่าเชเคมย่ำยีดีนาห์ลูกสาวนั้น พวกลูกชายของเขาเลี้ยงสัตว์อยู่ในทุ่ง ยาโคบจึงไม่บอกเรื่องนี้กับใครจนพวกเขากลับมา 6 ส่วนฮาโมร์พ่อของเชเคมก็มาคุยกับยาโคบ 7 แต่พอพวกลูกชายของยาโคบได้ยินเรื่องที่เกิดขึ้น พวกเขาก็กลับจากทุ่งทันที พวกเขาเจ็บใจและโกรธมากที่เชเคมทำให้อิสราเอลอับอายโดยข่มขืนลูกสาวยาโคบ+ ซึ่งเป็นเรื่องที่ชั่วช้าอย่างมาก+
8 ฮาโมร์พูดว่า “เชเคมลูกชายของผมหลงรักลูกสาวคนนี้ของคุณมาก อนุญาตให้เธอแต่งงานกับลูกชายของผมเถอะ 9 พวกเราจะได้เกี่ยวดองกัน พวกคุณยกลูกสาวให้พวกเรา พวกเราก็ยกลูกสาวให้พวกคุณ+ 10 พวกคุณจะได้มาอยู่กับพวกเรา พวกคุณจะอยู่หรือค้าขายหรือตั้งหลักแหล่งที่ไหนก็ได้ในแผ่นดินนี้” 11 แล้วเชเคมก็พูดกับพ่อของดีนาห์และพวกพี่ชายของเธอว่า “เห็นใจผมเถอะ พวกคุณอยากได้อะไร ผมจะให้หมด 12 พวกคุณจะเรียกเอาสินสอดและของขวัญเท่าไหร่ก็ได้+ ผมเต็มใจจะให้ทุกอย่างตามที่พวกคุณต้องการ ขอแค่ให้ผมได้แต่งงานกับเธอ”
13 พวกลูกชายของยาโคบตั้งใจจะหลอกเชเคมกับฮาโมร์ เพราะเชเคมย่ำยีดีนาห์น้องสาวของพวกเขา 14 จึงบอกไปว่า “พวกเรายกน้องสาวให้คนที่ยังไม่เข้าสุหนัต*+ไม่ได้หรอก เพราะถ้าทำอย่างนั้นพวกเราจะอับอายขายหน้าคนอื่นเขา 15 พวกเราจะยอมทำตามที่พวกคุณขอ ก็ต่อเมื่อพวกคุณที่เป็นผู้ชายทุกคนเข้าสุหนัตเหมือนกับพวกเราก่อน+ 16 แล้วพวกเราจะยกลูกสาวให้พวกคุณ พวกคุณก็ยกลูกสาวให้พวกเรา แล้วพวกเรากับพวกคุณก็จะอยู่ด้วยกัน และเป็นชนชาติเดียวกัน 17 แต่ถ้าพวกคุณไม่เข้าสุหนัตตามที่เราขอ พวกเราก็จะพาน้องสาวของพวกเราไป”
18 เมื่อฮาโมร์+กับเชเคม+ได้ยินอย่างนั้นก็พอใจ 19 เชเคมซึ่งเป็นที่นับหน้าถือตามากกว่าใครในบ้านพ่อจึงรีบทำตามคำขอนั้น+ เพราะเขาชอบลูกสาวของยาโคบมาก
20 ฮาโมร์กับเชเคมจึงไปที่ประตูเมืองแล้วพูดกับชาวเมือง+ ว่า 21 “คนพวกนี้อยากอยู่กับพวกเราอย่างสงบสุข ให้พวกเขาอยู่และค้าขายที่นี่เถอะ แผ่นดินนี้กว้างใหญ่พอที่จะให้พวกเขามาอยู่ด้วย พวกเขาจะยกลูกสาวให้เป็นภรรยาพวกเราและพวกเราก็จะยกลูกสาวให้พวกเขา+ 22 แต่พวกเขาจะยอมอยู่กับเรา เป็นชนชาติเดียวกัน ก็ต่อเมื่อพวกเราที่เป็นผู้ชายทุกคนยอมเข้าสุหนัตเหมือนกับพวกเขา+ 23 ถ้าอย่างนั้น พวกเรายอมทำตามนั้นเถอะ พวกเขาจะได้อยู่กับพวกเรา แล้วข้าวของ ทรัพย์สมบัติ และฝูงสัตว์ทั้งหมดของพวกเขาก็จะเป็นของพวกเรา” 24 ทุกคนที่ไปชุมนุมกันที่ประตูเมืองก็ฟังฮาโมร์กับเชเคม แล้วผู้ชายทุกคนในเมืองนี้ก็เข้าสุหนัต
25 ในวันที่สามถัดจากนั้น ตอนที่พวกเขายังเจ็บแผลมาก ลูกชายสองคนของยาโคบคือสิเมโอนกับเลวีพี่ชายของดีนาห์+ก็ถือดาบเข้าไปในเมืองโดยไม่มีใครสงสัย แล้วฆ่าผู้ชายทุกคนในเมืองนี้+ 26 ทั้งสองใช้ดาบฆ่าฮาโมร์กับเชเคม แล้วพาดีนาห์ออกจากบ้านเชเคมไป 27 ส่วนลูกชายคนอื่น ๆ ของยาโคบก็เข้าไปปล้นเมืองนี้หลังจากที่พวกผู้ชายถูกฆ่าหมดแล้ว เพราะน้องสาวของพวกเขาถูกย่ำยีในเมืองนี้+ 28 พวกเขาเอาฝูงแกะ ฝูงวัว ฝูงลา และข้าวของต่าง ๆ ทั้งที่อยู่ในเมืองและในทุ่งไป 29 พวกเขาเอาทรัพย์สมบัติทั้งหมดของชาวเมืองนี้ไป รวมทั้งกวาดต้อนพวกภรรยากับลูกเล็ก ๆ ของชาวเมืองนี้ และปล้นเอาข้าวของในบ้านของชาวเมืองนี้ไปหมด
30 ยาโคบจึงพูดกับสิเมโอนและเลวี+ว่า “ลูก ๆ ทำให้พ่อเดือดร้อนมากเพราะทำให้ผู้คนในแผ่นดินนี้ทั้งชาวคานาอันและชาวเปริสซีเกลียดพ่อกันหมด พวกเรามีคนน้อย พวกเขาจะรวมตัวกันมาโจมตีพวกเรา แล้วพวกเรากับครอบครัวจะตายกันหมด” 31 พวกเขาพูดว่า “น้องสาวของพวกเราไม่ใช่โสเภณี พวกมันเป็นใครถึงมาทำแบบนี้?”
35 แล้วพระเจ้าก็พูดกับยาโคบว่า “ขึ้นไปอยู่ที่เบธเอล+ และสร้างแท่นบูชาที่นั่นสำหรับพระเจ้าเที่ยงแท้ผู้ที่มาหาเจ้าตอนที่เจ้าหนีเอซาวพี่ชายของเจ้ามา”+
2 ยาโคบจึงบอกครอบครัวและทุกคนที่อยู่กับเขาว่า “เอารูปเคารพของคนต่างชาติที่มีอยู่มาทิ้งให้หมด+ ชำระตัวให้สะอาดแล้วเปลี่ยนเสื้อผ้าใหม่ 3 พวกเราจะขึ้นไปเบธเอลกัน และที่นั่น ผมจะสร้างแท่นบูชาสำหรับพระเจ้าเที่ยงแท้ผู้ฟังคำอ้อนวอนของผมในวันที่ผมมีความทุกข์เดือดร้อน และอยู่กับผมไม่ว่าผมจะไปอยู่ที่ไหน”+ 4 พวกเขาจึงเอารูปเคารพของคนต่างชาติทั้งหมดที่มีอยู่มาให้ยาโคบ รวมทั้งตุ้มหู*ที่พวกเขาใส่อยู่ด้วย ยาโคบก็เอาไปฝัง*ไว้ใต้ต้นไม้ใหญ่ใกล้เมืองเชเคม
5 แล้วพวกเขาก็ออกเดินทาง พระเจ้าทำให้ชาวเมืองต่าง ๆ ในบริเวณนั้นหวาดกลัว พวกเขาจึงไม่ไล่ตามพวกลูกชายของยาโคบไป 6 แล้วยาโคบกับทุกคนที่มาด้วยกันก็มาถึงเมืองลูส+ ซึ่งก็คือเบธเอลในแผ่นดินคานาอัน 7 ยาโคบก็สร้างแท่นบูชาขึ้นที่นั่นและเรียกที่นั่นว่าเอลเบธเอล* เพราะพระเจ้าเที่ยงแท้มาหาเขาที่นั่นตอนที่เขาหนีพี่ชายมา+ 8 ต่อมา เดโบราห์+แม่นมของเรเบคาห์ตาย เขาจึงฝังเธอไว้ใต้ต้นโอ๊กนอกเมืองเบธเอลและเรียกที่นั่นว่าอัลโลนบาคูท*
9 แล้วพระเจ้าก็มาหายาโคบและอวยพรเขาอีกครั้งหนึ่งนับตั้งแต่เขาออกมาจากปัดดานอารัม 10 พระเจ้าพูดกับเขาว่า “ตอนนี้เจ้าชื่อยาโคบ+ แต่เจ้าจะไม่ใช้ชื่อนี้อีกต่อไป เจ้าจะใช้ชื่อว่าอิสราเอล” พระองค์จึงเรียกเขาว่าอิสราเอล+ 11 พระเจ้าพูดกับเขาอีกว่า “เราเป็นพระเจ้าผู้มีพลังอำนาจสูงสุด+ เจ้าจะเกิดลูกหลานมากมายและเพิ่มจำนวนขึ้น เจ้าจะเป็นพ่อของหลายชาติและของหลายชนชาติ+ กษัตริย์หลายองค์จะเกิดจากเจ้า*+ 12 เราจะยกแผ่นดินที่เราได้ยกให้อับราฮัมกับอิสอัคนั้นให้เจ้า และให้ลูกหลานของเจ้าด้วย”+ 13 แล้วพระเจ้าก็ไปจากที่นั่น ที่ที่พระองค์พูดกับเขา
14 ยาโคบจึงเอาหินตั้งขึ้นมาเป็นเสาเพื่อระลึกถึงเหตุการณ์ครั้งนี้ตรงที่ที่พระเจ้าพูดกับเขา และเอาน้ำมันกับเครื่องบูชาดื่มมาเทลงบนเสานั้น+ 15 ยาโคบยังคงเรียกที่ที่พระเจ้าพูดกับเขานี้ว่าเบธเอล+
16 ตอนที่พวกเขาเดินทางออกจากเบธเอล และยังอยู่ห่างจากเอฟรัท ราเชลก็เริ่มปวดท้องคลอด แต่ลูกของเธอคลอดออกมายากมาก 17 ตอนที่เธอกำลังเจ็บท้องทุรนทุรายอยู่นั้น ผู้หญิงที่ทำคลอดก็พูดกับราเชลว่า “ไม่ต้องกลัวนะ เธอจะได้ลูกชายอีกคนหนึ่ง”+ 18 ตอนราเชลกำลังจะสิ้นลม (เพราะเธอกำลังจะตาย) เธอก็ตั้งชื่อลูกว่าเบนโอนี* แต่พ่อของเขาตั้งชื่อให้ว่าเบนยามิน*+ 19 เมื่อราเชลตาย ศพของเธอก็ถูกฝังไว้ระหว่างทางไปเอฟรัทซึ่งมีอีกชื่อหนึ่งว่าเบธเลเฮม+ 20 ยาโคบเอาหินก้อนหนึ่งตั้งไว้บนหลุมศพของราเชล และหินก้อนนั้นยังอยู่ที่นั่นจนถึงทุกวันนี้
21 แล้วอิสราเอลก็เดินทางต่อไป และตั้งเต็นท์อยู่เลยหอคอยเอเดอร์ 22 ในช่วงที่อิสราเอลอยู่ในแผ่นดินนั้น รูเบนก็ไปมีอะไรกับบิลฮาห์ภรรยาน้อยของพ่อและมีคนมาบอกอิสราเอลเรื่องนี้+
ยาโคบมีลูกชาย 12 คน 23 ลูกชายของยาโคบที่เกิดจากเลอาห์คือ รูเบนลูกชายคนโต+ สิเมโอน เลวี ยูดาห์ อิสสาคาร์ และเศบูลุน 24 ลูกชายที่เกิดจากราเชลคือ โยเซฟกับเบนยามิน 25 ลูกชายที่เกิดจากบิลฮาห์สาวใช้ของราเชลคือ ดานกับนัฟทาลี 26 ลูกชายที่เกิดจากศิลปาห์สาวใช้ของเลอาห์คือ กาดกับอาเชอร์ ลูกชายทั้งหมดนี้ของยาโคบเกิดในปัดดานอารัม
27 แล้วยาโคบก็มาถึงมัมเร+ อิสอัคพ่อของเขาอยู่ที่นั่น มัมเรอยู่ใกล้เมืองคีริยาทอาร์บาซึ่งมีอีกชื่อหนึ่งว่าเฮโบรน เฮโบรนเป็นที่ที่อับราฮัมและอิสอัคอาศัยอยู่อย่างคนต่างชาติ+ 28 อิสอัคอายุยืนถึง 180 ปี+ 29 แล้วอิสอัคก็ตาย เขาได้อยู่กับบรรพบุรุษของเขา* เขามีชีวิตที่ยืนยาวและมีความสุข แล้วเอซาวกับยาโคบลูกชายของเขาก็ฝังศพเขา+
36 นี่เป็นบันทึกประวัติของเอซาวซึ่งมีอีกชื่อหนึ่งว่าเอโดม+
2 เอซาวแต่งงานกับผู้หญิงชาวคานาอัน คนหนึ่งชื่ออาดาห์+ลูกสาวเอโลนชาวฮิตไทต์+ อีกคนหนึ่งชื่อโอโฮลีบามาห์+ซึ่งเป็นลูกสาวของอานาห์และเป็นหลานสาวของศิเบโอนชาวฮีไวต์ 3 และอีกคนหนึ่งชื่อบาเสมัท+ซึ่งเป็นลูกสาวของอิชมาเอลและเป็นน้องสาวของเนบาโยท+
4 อาดาห์มีลูกชายกับเอซาวชื่อเอลีฟัส บาเสมัทมีลูกชายชื่อเรอูเอล
5 ส่วนโอโฮลีบามาห์มีลูกชายชื่อเยอูช ยาลาม และโคราห์+
ลูกชายทั้งหมดนี้ของเอซาวเกิดในแผ่นดินคานาอัน 6 ต่อมา เอซาวพาภรรยา ลูกชาย ลูกสาว และทุกคนในบ้านไปแผ่นดินอื่นที่อยู่ไกลจากยาโคบน้องชายของเขา เอซาวเอาฝูงแกะและสัตว์อื่น ๆ ทั้งหมด รวมทั้งทรัพย์สมบัติทั้งหมดที่เขาได้สะสม+ตอนอยู่ในแผ่นดินคานาอันไปด้วย+ 7 เนื่องจากพวกเขามีทรัพย์สมบัติมากมาย และแผ่นดินที่พวกเขาอยู่*นั้นก็ไม่พอให้พวกเขาเลี้ยงฝูงสัตว์ พวกเขาจึงอยู่ด้วยกันต่อไปไม่ได้ 8 เอซาวจึงไปอยู่ในเขตเทือกเขาเสอีร์+ เอซาวมีอีกชื่อหนึ่งว่าเอโดม+
9 นี่เป็นบันทึกประวัติของเอซาวบรรพบุรุษของชาวเอโดมซึ่งอยู่ในเขตเทือกเขาเสอีร์+
10 ลูกชายของเอซาวชื่อเอลีฟัสและเรอูเอล เอลีฟัสเป็นลูกชายของอาดาห์ภรรยาเอซาว ส่วนเรอูเอลเป็นลูกชายของบาเสมัทภรรยาอีกคนหนึ่งของเอซาว+
11 เอลีฟัสมีลูกชายชื่อเทมาน+ โอมาร์ เศโฟ กาทาม และเคนัส+ 12 เอลีฟัสลูกชายของเอซาวมีภรรยาน้อยชื่อทิมนา แล้วทิมนาก็มีลูกชายกับเอลีฟัสชื่ออามาเลข+ ทั้งหมดนี้เป็นหลานชายของอาดาห์ภรรยาของเอซาว
13 เรอูเอลมีลูกชายชื่อนาหาท เศราห์ ชัมมาห์ และมิสซาห์ ทั้งหมดนี้เป็นหลานชายของบาเสมัท+ภรรยาของเอซาว
14 โอโฮลีบามาห์มีลูกชายกับเอซาวชื่อเยอูช ยาลาม และโคราห์ โอโฮลีบามาห์เป็นภรรยาของเอซาว เป็นลูกสาวของอานาห์และเป็นหลานสาวของศิเบโอน
15 ต่อไปนี้เป็นหัวหน้าตระกูลที่เป็นลูกหลานเอซาว+ หัวหน้าตระกูลที่เป็นลูกชายของเอลีฟัสลูกชายคนโตของเอซาวได้แก่ หัวหน้าเทมาน หัวหน้าโอมาร์ หัวหน้าเศโฟ หัวหน้าเคนัส+ 16 หัวหน้าโคราห์ หัวหน้ากาทาม หัวหน้าอามาเลข ลูกชายทั้งหมดนี้ของเอลีฟัส+เป็นหัวหน้าตระกูลต่าง ๆ ในแผ่นดินเอโดม พวกเขาเป็นหลานชายของอาดาห์
17 หัวหน้าตระกูลที่เป็นลูกชายของเรอูเอลลูกชายของเอซาวได้แก่ หัวหน้านาหาท หัวหน้าเศราห์ หัวหน้าชัมมาห์ หัวหน้ามิสซาห์ ลูกชายทั้งหมดนี้ของเรอูเอลเป็นหัวหน้าตระกูลต่าง ๆ ในแผ่นดินเอโดม+ พวกเขาเป็นหลานชายของบาเสมัทภรรยาของเอซาว
18 ส่วนหัวหน้าตระกูลที่เป็นลูกชายของโอโฮลีบามาห์ภรรยาเอซาวได้แก่ หัวหน้าเยอูช หัวหน้ายาลาม หัวหน้าโคราห์ ลูกชายทั้งหมดนี้ของโอโฮลีบามาห์เป็นหัวหน้าตระกูลต่าง ๆ โอโฮลีบามาห์เป็นภรรยาของเอซาวและเป็นลูกสาวของอานาห์
19 คนทั้งหมดนี้เป็นลูกหลานของเอซาวหรือเอโดม+ พวกเขาเป็นหัวหน้าตระกูลต่าง ๆ
20 ลูกหลานของเสอีร์ชาวโฮรีซึ่งเป็นคนที่อยู่ในแผ่นดินนี้+ได้แก่ โลทาน โชบาล ศิเบโอน อานาห์+ 21 ดีโชน เอเซอร์ และดีชาน+ ลูกหลานทั้งหมดนี้ของเสอีร์เป็นหัวหน้าตระกูลต่าง ๆ ของชาวโฮรีในแผ่นดินเอโดม
22 โลทานมีลูกชายชื่อโฮรีกับเฮมาม น้องสาวของโลทานชื่อทิมนา+
23 โชบาลมีลูกชายชื่ออัลวาน มานาฮาท เอบาล เชโฟ และโอนัม
24 ศิเบโอน+มีลูกชายชื่ออัยยาห์กับอานาห์ อานาห์คนนี้คือคนที่พบน้ำพุร้อนในที่กันดารตอนที่กำลังเลี้ยงลาให้ศิเบโอนพ่อของเขา
25 อานาห์มีลูกชายชื่อดีโชนกับลูกสาวชื่อโอโฮลีบามาห์
26 ดีโชนมีลูกชายชื่อเฮมดาน เอชบาน อิธราน และเคราน+
27 เอเซอร์มีลูกชายชื่อบิลฮาน ศาอาวาน และอาขาน
28 ดีชานมีลูกชายชื่ออูสกับอารัน+
29 หัวหน้าตระกูลต่าง ๆ ของชาวโฮรีได้แก่ หัวหน้าโลทาน หัวหน้าโชบาล หัวหน้าศิเบโอน หัวหน้าอานาห์ 30 หัวหน้าดีโชน หัวหน้าเอเซอร์ หัวหน้าดีชาน+ คนทั้งหมดนี้เป็นหัวหน้าตระกูลต่าง ๆ ของชาวโฮรีในแผ่นดินเสอีร์
31 ต่อไปนี้เป็นชื่อของกษัตริย์ที่ปกครองแผ่นดินเอโดม+ก่อนสมัยที่ชาวอิสราเอลจะมีกษัตริย์+ 32 คือ เบลาลูกชายเบโอร์ เขาปกครองเมืองดินฮาบาห์ในแผ่นดินเอโดม 33 พอเบลาตาย โยบับลูกชายเศราห์จากเมืองโบสราห์ก็ขึ้นเป็นกษัตริย์แทน 34 พอโยบับตาย หุชามจากดินแดนของชาวเทมานก็ขึ้นเป็นกษัตริย์แทน 35 พอหุชามตาย ฮาดัดลูกชายเบดัดซึ่งรบชนะชาวมีเดียน+ในแผ่นดินโมอับก็ขึ้นเป็นกษัตริย์แทน เขาปกครองเมืองอาวีท 36 พอฮาดัดตาย สัมลาห์จากมัสเรคาห์ก็ขึ้นเป็นกษัตริย์แทน 37 พอสัมลาห์ตาย ชาอูลจากเมืองเรโหโบทซึ่งอยู่ริมแม่น้ำก็ขึ้นเป็นกษัตริย์แทน 38 พอชาอูลตาย บาอัลฮานันลูกชายอัคโบร์ก็ขึ้นเป็นกษัตริย์แทน 39 พอบาอัลฮานันลูกชายอัคโบร์ตาย ฮาดาร์ก็ขึ้นเป็นกษัตริย์แทน เขาปกครองเมืองปาอู เขามีภรรยาชื่อเมเหทาเบลเป็นลูกสาวมัทเรดหลานสาวเมซาหับ
40 หัวหน้าตระกูลต่าง ๆ ของลูกหลานเอซาวมีรายชื่อเรียงตามตระกูลและตามเขตแดนดังต่อไปนี้ หัวหน้าทิมนา หัวหน้าอัลวาห์ หัวหน้าเยเธท+ 41 หัวหน้าโอโฮลีบามาห์ หัวหน้าเอลาห์ หัวหน้าปิโนน 42 หัวหน้าเคนัส หัวหน้าเทมาน หัวหน้ามิบซาร์ 43 หัวหน้ามักดีเอล หัวหน้าอิราม คนทั้งหมดนี้เป็นหัวหน้าตระกูลต่าง ๆ ในแผ่นดินเอโดมตามเขตแดนที่พวกเขาปกครองในแผ่นดินนั้น+ พวกเขาเป็นลูกหลานเอซาวบรรพบุรุษของชาวเอโดม+
37 ยาโคบอาศัยอยู่ในแผ่นดินคานาอันต่อไป พ่อของเขาเคยอาศัยอยู่ที่นั่นอย่างคนต่างชาติ+
2 นี่เป็นบันทึกเหตุการณ์หนึ่งในชีวิตยาโคบ
ตอนโยเซฟ+ลูกชายของเขาเป็นเด็กหนุ่มอายุ 17 ปี เขาไปเลี้ยงแกะ+กับพวกลูกชายของบิลฮาห์+กับศิลปาห์+ภรรยาของพ่อ โยเซฟมาเล่าให้พ่อฟังว่าพวกพี่ชายทำอะไรที่ไม่ดีบ้าง 3 อิสราเอลรักโยเซฟมากกว่าลูกชายคนอื่น ๆ เพราะเขามีลูกคนนี้ตอนอายุมากแล้ว+ อิสราเอลจึงให้คนทำเสื้อยาวตัวหนึ่งให้โยเซฟเป็นพิเศษ 4 เมื่อพวกพี่ชายเห็นว่าพ่อรักโยเซฟมากกว่า ก็พากันเกลียดโยเซฟและไม่ยอมพูดดีด้วย
5 ครั้งหนึ่ง โยเซฟฝันและเล่าให้พวกพี่ชายฟัง+ พวกเขาก็ยิ่งเกลียดโยเซฟเข้าไปใหญ่ 6 โยเซฟบอกพวกเขาว่า “พี่ ๆ รู้ไหมว่าผมเพิ่งฝันเรื่องอะไร? 7 ผมฝันว่าตอนที่พวกเรากำลังมัดฟ่อนข้าวอยู่ในทุ่งนา อยู่ ๆ ฟ่อนข้าวของผมก็ตั้งขึ้น แล้วฟ่อนข้าวของพวกพี่ก็มาล้อมคำนับฟ่อนข้าวของผม”+ 8 พวกพี่ชายจึงพูดกับโยเซฟว่า “แกคิดจะเป็นกษัตริย์ปกครองพวกเราหรือไง?”+ หลังจากได้ฟังความฝันที่โยเซฟเล่า พวกเขายิ่งเกลียดโยเซฟมากขึ้น
9 แล้วโยเซฟก็ฝันอีก เขาเล่าความฝันนั้นให้พวกพี่ชายฟังว่า “ผมฝันอีกแล้ว คราวนี้ผมฝันเห็นดวงอาทิตย์ ดวงจันทร์ กับดาว 11 ดวงมาคำนับผม”+ 10 พอเขาเล่าความฝันให้ทั้งพ่อกับพวกพี่ชายฟัง พ่อก็ดุเขาว่า “ที่ลูกฝันอย่างนี้มันหมายความว่ายังไง? ลูกคิดว่าพ่อกับแม่ และพี่ชายทั้งหมดของลูกจะต้องก้มกราบลูกเลยหรือ?” 11 พวกพี่ชายอิจฉาริษยาโยเซฟมาก+ แต่พ่อของเขาจดจำสิ่งที่โยเซฟพูดเอาไว้
12 วันหนึ่ง พวกพี่ชายโยเซฟพาแกะของพ่อไปเลี้ยงในทุ่งหญ้าใกล้เมืองเชเคม+ 13 ผ่านไประยะหนึ่ง อิสราเอลจึงพูดกับโยเซฟว่า “พวกพี่ ๆ ของลูกไปเลี้ยงแกะอยู่ใกล้เมืองเชเคมใช่ไหม? พ่อจะให้ลูกไปหาพวกเขาหน่อย” โยเซฟตอบว่า “ได้ครับพ่อ” 14 อิสราเอลบอกโยเซฟว่า “ช่วยไปดูหน่อยว่าพวกพี่ชายของลูกสบายดีไหมและฝูงแกะเป็นยังไงบ้าง แล้วก็กลับมาบอกพ่อหน่อยนะ” โยเซฟจึงเดินทางจากหุบเขาเฮโบรน+ไปเมืองเชเคม 15 มีผู้ชายคนหนึ่งเห็นโยเซฟเดินไปเดินมาในทุ่ง เขาจึงถามว่า “หาอะไรอยู่?” 16 โยเซฟตอบว่า “ผมมาตามหาพี่ชายครับ พอจะรู้ไหมครับว่าพวกเขาเลี้ยงแกะอยู่ที่ไหน? ช่วยบอกผมหน่อย” 17 ผู้ชายคนนั้นตอบว่า “พวกเขาไปกันแล้ว ได้ยินพวกเขาพูดกันว่า ‘ไปโดธานกันเถอะ’” โยเซฟจึงตามไปและพบพวกพี่ชายที่โดธาน
18 พวกพี่ชายเห็นโยเซฟแต่ไกล และก่อนที่โยเซฟจะมาถึงที่ที่พวกเขาอยู่ พวกเขาก็วางแผนจะฆ่าโยเซฟ 19 พวกเขาพูดกันว่า “ไอ้คนช่างฝันมันเดินมาโน่นแล้ว+ 20 ฆ่ามันให้ตาย โยนศพมันทิ้งลงไปในบ่อน้ำ และบอกว่ามันถูกสัตว์ป่ากัดกิน แล้วดูซิว่าความฝันของมันจะเป็นยังไง” 21 พอรูเบน+ได้ยินอย่างนั้นก็พยายามจะช่วยโยเซฟให้รอดจากเงื้อมมือของพวกเขา รูเบนพูดว่า “อย่าไปฆ่ามันเลย”+ 22 รูเบนพูดกับพวกเขาอีกว่า “อย่าไปฆ่ามัน+ เอามันโยนลงบ่อน้ำในที่กันดารนี้ดีกว่า ไม่ต้องไปทำร้ายมัน”+ รูเบนพูดอย่างนี้เพราะตั้งใจจะช่วยโยเซฟให้พ้นจากเงื้อมมือพวกเขา จะได้พาโยเซฟกลับไปหาพ่อ
23 พอโยเซฟมาถึง พวกพี่ชายก็พากันจับโยเซฟถอดเสื้อยาวตัวพิเศษที่ใส่อยู่ออก+ 24 และจับเขาโยนลงบ่อน้ำซึ่งตอนนั้นไม่มีน้ำแล้ว
25 จากนั้น พวกพี่ชายมานั่งกินอาหารกัน แล้วพวกเขาก็เห็นขบวนคาราวานของชาวอิชมาเอล+ซึ่งมาจากกิเลอาด มีอูฐบรรทุกยางไม้หอมสีดำ น้ำมันยา และเปลือกไม้มียาง+กำลังเดินทางไปอียิปต์ 26 ยูดาห์จึงพูดกับพวกพี่น้องว่า “ถ้าพวกเราฆ่าน้องและปกปิดเรื่องนี้ไว้จะมีประโยชน์อะไร?+ 27 ขายเขา+ให้พวกอิชมาเอลดีกว่า อย่าไปทำร้ายเขาเลย ถึงยังไงเขาก็เป็นน้องร่วมสายเลือดเดียวกันกับเรา” พวกพี่น้องก็ฟังเขา 28 พอพวกพ่อค้าชาวมีเดียน+ผ่านมา พวกพี่ชายจึงดึงโยเซฟขึ้นจากบ่อน้ำแล้วขายเขาให้พวกอิชมาเอลเป็นเงินหนัก 20 เชเขล*+ แล้วพวกอิชมาเอลก็พาโยเซฟไปอียิปต์
29 หลังจากนั้น พอรูเบนกลับมาที่บ่อน้ำแล้วเห็นว่าโยเซฟไม่อยู่ในบ่อแล้ว เขาก็ฉีกเสื้อที่ใส่อยู่ด้วยความเสียใจ 30 เขากลับมาหาน้อง ๆ และตะโกนว่า “เด็กนั่นหายไปแล้ว! ทำยังไงดี?”
31 พวกเขาเลยฆ่าแพะตัวผู้ตัวหนึ่ง แล้วเอาเสื้อยาวของโยเซฟจุ่มในเลือดของมัน 32 พวกเขาใช้คนเอาเสื้อยาวตัวพิเศษนั้นไปให้พ่อดูและให้บอกว่า “พวกเราพบเสื้อตัวนี้ ลองดูสิครับว่าเป็นเสื้อยาวของลูกชายคุณหรือเปล่า”+ 33 พอยาโคบเอาเสื้อมาดูก็ร้องออกมาว่า “นี่มันเสื้อยาวของลูกชายผมเอง! โยเซฟคงถูกสัตว์ป่ากัดฉีกเป็นชิ้น ๆ และถูกกินไปแล้วแน่เลย!” 34 ยาโคบฉีกเสื้อที่ใส่อยู่ และใส่ผ้ากระสอบ เขาเป็นทุกข์โศกเศร้าถึงลูกชายอยู่หลายวัน 35 พวกลูกชายกับลูกสาวก็ช่วยกันปลอบพ่อ แต่พ่อก็ไม่ดีขึ้น ยาโคบเอาแต่พูดว่า “พ่อเสียใจจนอยากจะลงหลุม*+ตายตามลูกของพ่อไปจริง ๆ” ยาโคบร้องไห้คร่ำครวญถึงโยเซฟอีกหลายวัน
36 เมื่อไปถึงอียิปต์ พวกมีเดียนก็ขายโยเซฟให้โปทิฟาร์ซึ่งเป็นข้าราชสำนักของฟาโรห์+ และเป็นหัวหน้าองครักษ์+
38 วันหนึ่ง ยูดาห์แยกจากพวกพี่น้องแล้วไปตั้งเต็นท์อยู่ใกล้กับที่ที่ฮีราห์ชาวอดุลลัมอาศัยอยู่ 2 ที่นั่น ยูดาห์พบลูกสาวของชูอาซึ่งเป็นชาวคานาอัน+ เขาแต่งงานกับเธอและมีเพศสัมพันธ์กัน 3 เธอตั้งท้อง แล้วคลอดลูกชาย ยูดาห์ตั้งชื่อลูกว่าเอร์+ 4 แล้วเธอก็ท้องอีกและคลอดลูกชาย จึงตั้งชื่อว่าโอนัน 5 แล้วเธอก็คลอดลูกชายอีกคนหนึ่งจึงตั้งชื่อว่าเชลาห์ ตอนที่คลอดลูกคนนี้พวกเขาอยู่ที่อัคซิบ+
6 ต่อมา ยูดาห์หาภรรยาให้เอร์ลูกชายคนโต เธอชื่อทามาร์+ 7 แต่เอร์ลูกคนโตของยูดาห์ทำสิ่งที่พระยะโฮวาไม่พอใจ พระยะโฮวาจึงประหารชีวิตเขา 8 ยูดาห์จึงบอกโอนันว่า “ลูกเป็นน้อง ก็ต้องทำหน้าที่ของตัวเอง ลูกต้องรับภรรยาม่ายของพี่ชายมาเป็นภรรยา เธอจะได้มีลูกไว้สืบตระกูลให้พี่ชายของลูก”+ 9 แต่โอนันรู้ว่าลูกที่เกิดมาจะไม่ได้เป็นลูกของตัวเอง+ ดังนั้น ตอนที่เขามีเพศสัมพันธ์กับภรรยาพี่ชาย เขาก็ให้น้ำอสุจิตกลงที่พื้น จะได้ไม่ต้องมีลูกให้พี่ชาย+ 10 พระยะโฮวาเห็นว่าสิ่งที่โอนันทำนั้นเป็นเรื่องที่ชั่วช้า พระองค์จึงประหารชีวิตเขาด้วย+ 11 ยูดาห์จึงบอกทามาร์ลูกสะใภ้ว่า “กลับไปอยู่ที่บ้านพ่อของเธอในฐานะแม่ม่ายก่อนนะ รอจนเชลาห์ลูกชายของพ่อโตก่อน” ที่พูดอย่างนี้เพราะเขาคิดว่า “เดี๋ยวเขาจะมาตายเหมือนพวกพี่ชายอีก”+ ทามาร์จึงกลับไปอยู่ที่บ้านพ่อของเธอ
12 ผ่านไประยะหนึ่ง ภรรยาของยูดาห์ซึ่งเป็นลูกสาวของชูอา+ก็ตาย ยูดาห์ไว้ทุกข์ให้เธอ หลังจากนั้น เขาไปหาคนตัดขนแกะของเขาที่เมืองทิมนาห์+ เขาไปกับฮีราห์เพื่อนชาวอดุลลัม+ 13 มีคนบอกทามาร์ว่า “พ่อผัวของเธอกำลังไปตัดขนแกะของเขาที่ทิมนาห์” 14 พอรู้อย่างนั้น เธอจึงเปลี่ยนจากชุดแม่ม่ายและเอาผ้ามาคลุมตัวกับหน้าไว้แทน แล้วไปนั่งที่ประตูเมืองเอนาอิมซึ่งอยู่ระหว่างทางไปเมืองทิมนาห์ ที่เธอทำแบบนี้ก็เพราะเห็นว่าเชลาห์โตแล้ว แต่พ่อผัวยังไม่ให้เขาแต่งงานกับเธอ+
15 พอยูดาห์เห็นทามาร์ก็คิดว่าเป็นโสเภณีเพราะเธอคลุมหน้าไว้ 16 เขาจึงเข้าไปหาทามาร์ที่ริมทางและพูดว่า “มานอนกับผมเถอะ” ตอนนั้นยูดาห์ไม่รู้ว่าเธอคือลูกสะใภ้ของตัวเอง+ เธอถามว่า “ถ้าดิฉันนอนกับคุณ คุณจะให้อะไรดิฉัน?” 17 ยูดาห์ตอบว่า “ผมจะให้คนเอาลูกแพะจากฝูงมาให้ตัวหนึ่ง” แต่เธอถามว่า “แล้วคุณจะให้อะไรไว้กับดิฉันก่อน เพื่อรับประกันว่าจะให้คนเอาลูกแพะมาให้ดิฉันจริง ๆ?” 18 ยูดาห์จึงถามว่า “แล้วเธอจะเอาอะไรล่ะ?” เธอตอบว่า “ขอแหวนตรา+กับสร้อยห้อยแหวนและไม้เท้าที่คุณถืออยู่” เขาก็เอาของพวกนั้นให้เธอแล้วก็นอนกับเธอ เธอจึงตั้งท้องกับเขา 19 หลังจากนั้น ทามาร์ก็ลุกไป เอาผ้าคลุมออกแล้วสวมชุดแม่ม่าย
20 ยูดาห์ให้เพื่อนชาวอดุลลัม+เอาลูกแพะไปให้ทามาร์ เพื่อจะเอาของที่ให้เธอไว้คืน แต่เขาหาเธอไม่พบ 21 เขาจึงถามคนแถวนั้นว่า “โสเภณีประจำวิหารในเมืองเอนาอิมคนที่อยู่ริมถนนนี้หายไปไหน?” แต่คนพวกนั้นตอบว่า “ที่นี่ไม่เคยมีโสเภณีประจำวิหาร” 22 เขาก็กลับไปบอกยูดาห์ว่า “ผมหาเธอไม่พบและคนที่นั่นก็บอกว่า ‘ที่นี่ไม่เคยมีโสเภณีประจำวิหาร’” 23 ยูดาห์จึงพูดว่า “ให้เธอเก็บของพวกนั้นไว้ก็แล้วกัน ไม่ต้องไปตามหาเธอแล้ว จะได้ไม่มีใครมาหัวเราะเยาะเรา และผมก็พยายามให้คุณเอาลูกแพะไปให้เธอแล้ว แต่หาเธอไม่พบ”
24 อีกประมาณ 3 เดือนต่อมา มีคนมาบอกยูดาห์ว่า “ทามาร์ลูกสะใภ้คุณเป็นโสเภณีไปแล้ว เธอขายตัวจนท้อง” ยูดาห์จึงบอกว่า “เอาตัวเธอออกมาเผาซะ”+ 25 ตอนที่เธอถูกเอาตัวออกมา เธอให้คนไปบอกพ่อผัวว่า “ดิฉันท้องกับคนที่เป็นเจ้าของของพวกนี้แหละ” เธอบอกอีกว่า “โปรดดูเถอะว่า แหวนตรากับสร้อยห้อยแหวนและไม้เท้านี้เป็นของใคร”+ 26 ยูดาห์จึงตรวจดูของพวกนั้นและพูดว่า “เธอทำสิ่งที่ถูกต้องยิ่งกว่าผมซะอีก นี่เป็นเพราะผมไม่ได้ยกเธอให้เป็นภรรยาเชลาห์ลูกชายของผม”+ และยูดาห์ก็ไม่มีเพศสัมพันธ์กับเธออีก
27 เมื่อถึงเวลาคลอดก็ปรากฏว่าเป็นลูกแฝด 28 ตอนที่คลอด ลูกคนหนึ่งยื่นมือออกมา ผู้หญิงที่ทำคลอดจึงเอาด้ายแดงมาผูกไว้ทันทีและบอกว่า “คนนี้ออกมาก่อน” 29 พอลูกคนนี้หดมือกลับเข้าไป ลูกอีกคนหนึ่งก็ออกมา ผู้หญิงที่ทำคลอดจึงร้องว่า “ทำไมถึงแหวกออกมาเองอย่างนี้?” เขาจึงตั้งชื่อลูกคนนี้ว่าเปเรศ*+ 30 แล้วลูกคนที่มีด้ายแดงผูกมือไว้ก็ออกมา เขาจึงตั้งชื่อว่าเศราห์+
39 ส่วนโยเซฟถูกพวกอิชมาเอล+พามาอียิปต์+ และชาวอียิปต์คนหนึ่งชื่อโปทิฟาร์+ ซึ่งเป็นข้าราชสำนักของฟาโรห์และเป็นหัวหน้าองครักษ์ก็ซื้อตัวโยเซฟจากพวกเขา 2 แต่พระยะโฮวาอยู่กับโยเซฟ+ เขาจึงประสบความสำเร็จในการทำงานและได้ทำหน้าที่ดูแลบ้านของเจ้านายชาวอียิปต์คนนี้ 3 และเจ้านายก็เห็นว่าพระยะโฮวาอยู่กับเขา และเห็นว่าพระยะโฮวาช่วยเขาให้ทำงานสำเร็จทุกอย่าง
4 เจ้านายชอบโยเซฟมากและให้โยเซฟเป็นคนรับใช้คนสนิทของเขา เจ้านายตั้งโยเซฟให้ดูแลทุกเรื่องในบ้านและทรัพย์สมบัติทั้งหมด 5 และตั้งแต่นั้น พระยะโฮวาช่วยให้การงานทุกอย่างในบ้านของชาวอียิปต์คนนี้ดีขึ้นเรื่อย ๆ เพราะโยเซฟ และพระยะโฮวายังช่วยให้ทุกสิ่งทั้งในบ้านและในไร่นาของเขาเจริญรุ่งเรืองขึ้นด้วย+ 6 ในที่สุด เขาก็ให้โยเซฟดูแลทุกสิ่งที่เป็นของเขาโดยที่เขาไม่ต้องเป็นห่วงอะไรเลย เรื่องเดียวที่เขาต้องคิดและตัดสินใจเองก็คือจะกินอะไร และโยเซฟก็โตขึ้นเป็นหนุ่มรูปหล่อหุ่นดี
7 ต่อมา ภรรยาของเจ้านายที่คอยจ้องโยเซฟตาเป็นมันก็พูดชวนโยเซฟว่า “มานี่สิจ๊ะ มานอนกับฉันหน่อย” 8 แต่โยเซฟปฏิเสธและบอกภรรยาของเจ้านายไปว่า “เจ้านายไว้ใจผมมาก ทุกอย่างในบ้านนี้ เจ้านายวางใจให้ผมดูแลทั้งหมด 9 ในบ้านนี้ไม่มีใครใหญ่กว่าผม สำหรับผมแล้ว เจ้านายไม่ได้หวงอะไรเลยนอกจากตัวคุณซึ่งเป็นภรรยาของเขา จะให้ผมทำเรื่องชั่ว ๆ อย่างนี้ได้ยังไง? มันเป็นการทำบาปต่อพระเจ้า”+
10 ภรรยาโปทิฟาร์ก็รบเร้าโยเซฟทุกวันให้นอนด้วย แต่โยเซฟไม่ยอมนอนกับเธอ และไม่ยอมอยู่ตามลำพังกับเธอด้วย 11 วันหนึ่ง โยเซฟเข้าไปทำงานในบ้านตามปกติ แต่ไม่มีคนรับใช้อยู่ในบ้านเลย 12 เธอก็ดึงเสื้อโยเซฟไว้และพูดว่า “มานอนกับฉันซะดี ๆ” แต่เขาทิ้งเสื้อไว้แล้วหนีไปข้างนอก 13 พอเห็นว่าโยเซฟทิ้งเสื้อไว้และหนีออกไปข้างนอก 14 เธอก็ร้องเรียกคนรับใช้มาบอกว่า “ดูไอ้คนฮีบรูที่สามีฉันพามาสิ มันจะทำให้พวกเราอับอายขายหน้า มันเข้ามาหาฉันและจะปล้ำฉัน แต่ฉันร้องสุดเสียง 15 พอมันเห็นว่าฉันร้องเสียงดัง มันก็เลยทิ้งเสื้อไว้แล้วหนีออกไปข้างนอก” 16 เธอเอาเสื้อของโยเซฟไว้กับตัวจนโปทิฟาร์เจ้านายของโยเซฟกลับมาที่บ้าน
17 แล้วเธอก็บอกเขาว่า “ไอ้คนใช้ชาวฮีบรูที่คุณพามา มันเข้ามาหาฉันกะจะทำให้ฉันอับอาย 18 แต่พอฉันร้องเสียงดัง มันเลยทิ้งเสื้อไว้แล้วหนีออกไปข้างนอก” 19 พอเจ้านายของโยเซฟได้ยินภรรยาบอกว่า “คนใช้ของคุณทำกับฉันอย่างนี้” ก็โกรธมาก 20 เขาจึงจับโยเซฟส่งไปขังคุก ซึ่งเป็นคุกที่ใช้ขังนักโทษของกษัตริย์ โยเซฟถูกขังไว้ที่นั่น+
21 แต่พระยะโฮวายังอยู่กับโยเซฟ ยังรักเขาเสมอไม่เปลี่ยนแปลง และช่วยให้หัวหน้าผู้คุมรู้สึกชอบโยเซฟ+ 22 หัวหน้าผู้คุมจึงตั้งโยเซฟให้ควบคุมดูแลนักโทษทุกคนในเรือนจำ และคอยดูแลให้พวกนักโทษทำงานทุกอย่างให้เสร็จ+ 23 หัวหน้าผู้คุมไม่ต้องดูแลการงานที่เขาให้โยเซฟดูแลเลย เพราะพระยะโฮวาอยู่กับโยเซฟ และพระยะโฮวาช่วยให้ทุกสิ่งที่เขาทำประสบผลสำเร็จ+
40 ต่อมา หัวหน้าพนักงานรินเครื่องดื่มถวาย+กับหัวหน้าพนักงานทำขนมปังของกษัตริย์อียิปต์ได้ทำผิดต่อกษัตริย์อียิปต์เจ้านายของพวกเขา 2 ฟาโรห์โกรธข้าราชสำนักสองคนนี้ซึ่งเป็นหัวหน้าพนักงานรินเครื่องดื่มถวายกับหัวหน้าพนักงานทำขนมปัง+ 3 ฟาโรห์จึงขังพวกเขาไว้ในคุกที่บ้านหัวหน้าองครักษ์+ โยเซฟก็เป็นนักโทษอยู่ที่นั่นด้วย+ 4 หัวหน้าองครักษ์ให้โยเซฟอยู่กับสองคนนั้นและคอยรับใช้พวกเขา+ ข้าราชสำนักสองคนนี้ติดคุกอยู่ระยะหนึ่ง
5 คืนหนึ่ง พนักงานรินเครื่องดื่มถวายกับพนักงานทำขนมปังของกษัตริย์อียิปต์ซึ่งติดคุกอยู่ก็ฝันกันคนละเรื่อง และความฝันมีความหมายต่างกัน 6 เมื่อโยเซฟมาหาพวกเขาในตอนเช้าวันรุ่งขึ้น ก็เห็นว่าทั้งสองหน้าตาเศร้า ๆ 7 โยเซฟจึงถามข้าราชสำนักของฟาโรห์ซึ่งติดคุกด้วยกันกับเขาว่า “ทำไมวันนี้พวกคุณดูหดหู่จังครับ?” 8 พวกเขาตอบว่า “เราสองคนฝัน แต่ไม่มีคนบอกเราได้ว่าความฝันนี้หมายความว่ายังไง” โยเซฟจึงบอกพวกเขาว่า “พระเจ้าเท่านั้นที่บอกได้+ ลองเล่าความฝันของคุณให้ผมฟังหน่อยได้ไหมครับ”
9 หัวหน้าพนักงานรินเครื่องดื่มถวายจึงเล่าความฝันของเขาให้โยเซฟฟังว่า “ในความฝัน ผมฝันเห็นเถาองุ่น 10 เถาองุ่นนั้นมี 3 กิ่งที่ดูเหมือนกำลังแตกกิ่งอ่อน แล้วออกดอก และช่อดอกก็กลายเป็นพวงองุ่นสุก 11 ผมถือถ้วยของฟาโรห์อยู่ ผมจึงเก็บองุ่นมาคั้นน้ำใส่ถ้วย แล้วส่งให้ฟาโรห์” 12 โยเซฟจึงพูดกับเขาว่า “ความฝันของคุณหมายความอย่างนี้ครับ กิ่ง 3 กิ่งนั้นหมายถึง 3 วัน 13 ดังนั้น อีก 3 วันฟาโรห์จะปล่อยคุณออกจากคุก และให้ทำงานตำแหน่งเดิม+ คุณจะได้เสิร์ฟเครื่องดื่มให้ฟาโรห์เหมือนตอนที่ยังเป็นพนักงานรินเครื่องดื่มถวาย+ 14 แต่พอคุณออกไปแล้ว อย่าลืมผมนะครับ ขอให้เมตตาผม*และอย่าลืมบอกเรื่องผมให้ฟาโรห์รู้ด้วย ผมจะได้ออกจากคุกนี้ซะที 15 เพราะที่จริงผมถูกจับตัวมาจากแผ่นดินของชาวฮีบรู+ แถมยังต้องมาติดคุก*อยู่ที่นี่ทั้ง ๆ ที่ไม่ได้ทำผิดอะไรเลย”+
16 เมื่อหัวหน้าพนักงานทำขนมปังเห็นว่าโยเซฟบอกความหมายของความฝันไปในทางดี เขาจึงบอกโยเซฟว่า “ผมก็ฝันเหมือนกัน ผมฝันเห็นตะกร้าใส่ขนมปังสีขาว 3 ใบอยู่บนหัวของผม 17 ในตะกร้าที่อยู่บนสุด มีขนมอบหลายอย่างสำหรับฟาโรห์ แล้วพวกนกก็มากินขนมในตะกร้าใบนั้น” 18 โยเซฟจึงตอบว่า “ความฝันของคุณหมายความอย่างนี้ครับ ตะกร้า 3 ใบนั้นหมายถึง 3 วัน 19 อีก 3 วันฟาโรห์จะตัดหัวคุณ แล้วเอาคุณไปแขวนไว้บนเสา และพวกนกจะมากินเนื้อของคุณ”+
20 สามวันต่อมาเป็นวันเกิดฟาโรห์+ เขาจัดงานเลี้ยงข้าราชการทั้งหมด ฟาโรห์ให้นำตัวหัวหน้าพนักงานรินเครื่องดื่มถวายกับหัวหน้าพนักงานทำขนมปังมาอยู่ต่อหน้าพวกข้าราชการ 21 ฟาโรห์ให้หัวหน้าพนักงานรินเครื่องดื่มถวายทำงานตำแหน่งเดิม เขาจึงได้เสิร์ฟเครื่องดื่มให้ฟาโรห์ต่อไป 22 ส่วนหัวหน้าพนักงานทำขนมปังนั้น ฟาโรห์ให้เอาไปแขวนไว้บนเสา ซึ่งก็เป็นไปตามที่โยเซฟอธิบายความฝันไว้+ 23 แต่หัวหน้าพนักงานรินเครื่องดื่มถวายกลับลืมโยเซฟไปเลย+
41 เมื่อเวลาผ่านไป 2 ปีเต็ม ฟาโรห์ฝัน+ว่าเขายืนอยู่ริมแม่น้ำไนล์ 2 มีวัวตัวเมียที่งามและอ้วนพี 7 ตัวขึ้นมาจากแม่น้ำ แล้วกินหญ้าอยู่ในทุ่งใกล้แม่น้ำไนล์+ 3 หลังจากนั้น มีวัวตัวเมียอีก 7 ตัวที่น่าเกลียดและซูบผอมขึ้นมาจากแม่น้ำไนล์ พวกมันมายืนข้าง ๆ วัว 7 ตัวที่อ้วนพีตรงริมแม่น้ำนั้น 4 วัวที่น่าเกลียดและซูบผอมกินวัวที่งามและอ้วนพี 7 ตัวนั้นจนหมด แล้วฟาโรห์ก็ตื่น
5 แต่ฟาโรห์ก็หลับต่อและฝันอีกเป็นครั้งที่ 2 ว่า มีต้นข้าวต้นหนึ่งออกรวง 7 รวงที่งามและมีข้าวเต็มรวง+ 6 หลังจากนั้น มีต้นข้าวออกรวงอีก 7 รวงที่ลีบและแห้งเพราะลมร้อนจากทางทิศตะวันออก 7 แล้วรวงข้าวลีบก็กลืนรวงข้าว 7 รวงที่งามและมีข้าวเต็มรวงนั้นจนหมด และฟาโรห์ก็ตื่นจึงรู้ว่าฝันไป
8 แต่พอรุ่งเช้า ฟาโรห์รู้สึกไม่สบายใจ จึงให้คนไปเรียกนักบวชที่มีเวทมนตร์คาถาและนักปราชญ์ทั้งหมดในอียิปต์มา แล้วเล่าความฝันให้พวกเขาฟัง แต่ไม่มีใครสักคนอธิบายความฝันให้ฟาโรห์ได้
9 ตอนนั้น หัวหน้าพนักงานรินเครื่องดื่มถวายจึงบอกฟาโรห์ว่า “วันนี้ ผมขอสารภาพว่าผมทำอะไรผิดพลาดไป 10 ตอนนั้น ท่านโกรธข้าราชสำนักของท่าน ท่านขังผมไว้กับหัวหน้าพนักงานทำขนมปังในคุกที่บ้านของหัวหน้าองครักษ์+ 11 แล้วคืนหนึ่ง พวกเราฝันกันคนละเรื่องและความหมายของความฝันก็ต่างกัน+ 12 มีหนุ่มฮีบรูซึ่งเป็นคนรับใช้ของหัวหน้าองครักษ์อยู่กับพวกเราที่นั่น+ พอพวกเราเล่าความฝันให้เขาฟัง+ เขาก็บอกความหมายของความฝันของพวกเราทั้งสองคน 13 และเหตุการณ์ก็เกิดขึ้นตามที่เขาพูดทุกอย่างคือ ผมได้ทำงานตำแหน่งเดิม ส่วนหัวหน้าพนักงานทำขนมปังถูกแขวนไว้บนเสา”+
14 ฟาโรห์จึงสั่งให้คนไปพาตัวโยเซฟมา+ พวกเขาก็รีบเอาตัวโยเซฟออกมาจากคุก*+ โยเซฟจึงโกนเครา* เปลี่ยนเสื้อผ้า แล้วเข้าไปพบฟาโรห์ 15 ฟาโรห์พูดกับโยเซฟว่า “เราฝัน แต่ไม่มีใครอธิบายความฝันให้เราได้สักคน เราได้ยินว่าถ้ามีคนเล่าความฝันให้คุณฟัง คุณจะอธิบายความหมายของความฝันนั้นได้”+ 16 โยเซฟตอบฟาโรห์ว่า “ไม่ใช่ผมหรอกครับที่ทำได้ แต่เป็นพระเจ้าต่างหากที่จะบอกให้ท่านรู้ความหมายของความฝันซึ่งเกี่ยวข้องกับตัวท่านได้”+
17 ฟาโรห์พูดกับโยเซฟว่า “เราฝันว่าเรายืนอยู่ริมฝั่งแม่น้ำไนล์ 18 มีวัวตัวเมียที่งามและอ้วนพี 7 ตัวขึ้นมาจากแม่น้ำไนล์ แล้วกินหญ้าอยู่ในทุ่งใกล้แม่น้ำนั้น+ 19 แล้วมีวัวตัวเมียอีก 7 ตัวที่ผอมโซน่าเกลียดมากตามขึ้นมา เราไม่เคยเห็นวัวที่น่าเกลียดอย่างนั้นมาก่อนเลยในอียิปต์ 20 วัวที่ซูบผอมและน่าเกลียดกินวัวอ้วนพี 7 ตัวที่ขึ้นมาก่อนจนหมด 21 พวกมันกินไปจนหมด แต่ก็ไม่มีใครรู้ว่าพวกมันกิน เพราะพวกมันยังซูบผอมและน่าเกลียดเหมือนเดิม แล้วเราก็ตื่น
22 “แล้วเราก็ฝันเห็นต้นข้าวต้นหนึ่งออกรวง 7 รวงที่งามและมีข้าวเต็มรวง+ 23 หลังจากนั้น มีต้นข้าวออกรวงอีก 7 รวงที่เหี่ยวลีบและแห้งเพราะลมร้อนจากทางทิศตะวันออก 24 แล้วรวงข้าวลีบก็กลืนรวงข้าวงาม 7 รวงนั้นจนหมด เราเล่าความฝันให้พวกนักบวชที่มีเวทมนตร์คาถาฟัง+ แต่ไม่มีใครอธิบายได้สักคน”+
25 โยเซฟบอกฟาโรห์ว่า “ความฝันทั้งสองเรื่องของฟาโรห์มีความหมายเหมือนกัน พระเจ้าเที่ยงแท้บอกให้ฟาโรห์รู้ว่าพระองค์กำลังจะทำอะไร+ 26 วัวตัวเมียที่งาม 7 ตัวนั้นหมายถึง 7 ปี รวงข้าวงาม 7 รวงนั้นก็หมายถึง 7 ปีด้วย ความฝันทั้งสองเรื่องมีความหมายเหมือนกัน 27 วัวซูบผอมน่าเกลียด 7 ตัวที่ขึ้นมาทีหลังหมายถึง 7 ปี และรวงข้าว 7 รวงที่ลีบและแห้งเพราะลมร้อนจากทางทิศตะวันออกนั้นก็หมายถึง 7 ปีที่จะมีการขาดแคลนอาหาร 28 ตามที่ผมได้บอกฟาโรห์ไปแล้ว พระเจ้าเที่ยงแท้บอกให้ฟาโรห์รู้ว่าพระองค์กำลังจะทำอะไร
29 “และ 7 ปีต่อจากนี้จะมีความอุดมสมบูรณ์ทั่วแผ่นดินอียิปต์ 30 แต่ 7 ปีหลังจากนั้น จะเกิดการขาดแคลนอาหารจนผู้คนลืมความอุดมสมบูรณ์ที่เคยมีทั่วแผ่นดินอียิปต์ไปเลย การขาดแคลนอาหารจะทำให้แผ่นดินเสียหายอย่างหนัก+ 31 ผู้คนจะจำไม่ได้ว่าแผ่นดินนี้เคยอุดมสมบูรณ์ เพราะการขาดแคลนอาหารที่เกิดขึ้นนั้นจะรุนแรงมาก 32 และที่ฟาโรห์ฝันถึงสองครั้ง ก็เป็นเพราะว่าพระเจ้าเที่ยงแท้ต้องการยืนยันว่าเรื่องนั้นจะเกิดขึ้นแน่ ๆ และพระเจ้าเที่ยงแท้จะทำให้เกิดขึ้นเร็ว ๆ นี้
33 “ดังนั้น ขอฟาโรห์หาคนที่ฉลาดและสุขุมรอบคอบคนหนึ่ง และตั้งเขาให้ดูแลทั่วทั้งอียิปต์ 34 และขอฟาโรห์ตั้งพวกเจ้าหน้าที่ไว้ทั่วแผ่นดินเพื่อคอยดูแล แล้วให้ฟาโรห์เก็บผลผลิตในอียิปต์ไว้ 1 ใน 5 ส่วนตลอด 7 ปีที่อุดมสมบูรณ์นั้น+ 35 ในช่วง 7 ปีที่อุดมสมบูรณ์ต่อจากนี้ ให้พวกเขาเก็บรวบรวมข้าวไว้ตามเมืองต่าง ๆ และรักษาไว้ให้ดี ข้าวทั้งหมดจะเป็นของฟาโรห์+ 36 ข้าวทั้งหมดจะเป็นอาหารสำหรับคนและสัตว์ในแผ่นดินนี้ในช่วง 7 ปีที่เกิดการขาดแคลนอาหารในอียิปต์ คนกับสัตว์ในแผ่นดินนี้จะได้ไม่ต้องอดตายเพราะความอดอยาก”+
37 ฟาโรห์กับข้าราชการทั้งหมดเห็นชอบกับคำแนะนำนั้น 38 ฟาโรห์จึงพูดกับพวกข้าราชการว่า “จะหาคนแบบนี้ได้จากที่ไหนอีก คนที่มีพลังของพระเจ้าแบบนี้” 39 แล้วฟาโรห์ก็พูดกับโยเซฟว่า “พระเจ้าช่วยคุณให้รู้เรื่องทั้งหมดนี้ ไม่มีใครอีกแล้วที่จะฉลาดและสุขุมรอบคอบเหมือนคุณ 40 ดังนั้น เราจะให้คุณดูแลวังของเรา และประชาชนของเราทั้งหมดจะเชื่อฟังคุณทุกอย่าง+ มีแต่เราที่เป็นกษัตริย์เท่านั้นที่ใหญ่กว่าคุณ” 41 ฟาโรห์พูดกับโยเซฟอีกว่า “ตอนนี้ เราแต่งตั้งคุณให้ดูแลแผ่นดินอียิปต์ทั้งหมด”+ 42 ฟาโรห์ถอดแหวนตราออกจากนิ้วมาสวมให้โยเซฟ และเอาเสื้อผ้าที่ทำจากผ้าลินินเนื้อดีกับสร้อยคอทองคำสวมให้เขาด้วย 43 นอกจากนั้น ฟาโรห์ยังให้โยเซฟนั่งรถม้าคันที่สองของฟาโรห์ และให้คนร้องประกาศไปข้างหน้าเขาว่า “อัฟเรค”* เพื่อแสดงว่าฟาโรห์แต่งตั้งให้โยเซฟดูแลแผ่นดินอียิปต์ทั้งหมด
44 ฟาโรห์พูดกับโยเซฟอีกว่า “เราเป็นฟาโรห์ก็จริง แต่ถ้าใครในอียิปต์จะทำอะไรจะต้องมาขออนุญาตคุณก่อน”+ 45 ฟาโรห์ตั้งชื่อให้โยเซฟว่าศาเฟนาทปาเนอาห์*และยกอาเสนัท+ลูกสาวของโปทิเฟราปุโรหิตเมืองโอน*ให้เป็นภรรยาเขา แล้วโยเซฟก็ออกเดินทางตรวจตราทั่วอียิปต์+ 46 ตอนที่โยเซฟเข้าพบ*ฟาโรห์กษัตริย์อียิปต์นั้นเขาอายุได้ 30 ปี+
เมื่อเข้าพบฟาโรห์แล้วโยเซฟก็เดินทางไปทั่วอียิปต์ 47 ในช่วง 7 ปีที่อุดมสมบูรณ์นั้น แผ่นดินมีผลผลิตมากมาย 48 โยเซฟจึงรวบรวมข้าวที่ปลูกได้ในอียิปต์ในช่วง 7 ปีนั้นไว้ทั้งหมด แล้วเก็บไว้ตามเมืองต่าง ๆ ข้าวจากไร่นาของเมืองไหนก็ให้เก็บไว้ในเมืองนั้น 49 โยเซฟสะสมข้าวไว้มากมายจนเหมือนทรายในทะเล ในที่สุดก็ต้องเลิกนับเพราะนับไม่ไหว
50 ก่อนถึงปีที่จะเกิดการขาดแคลนอาหาร โยเซฟมีลูกชาย 2 คน+กับอาเสนัทลูกสาวของโปทิเฟราปุโรหิตเมืองโอน* 51 โยเซฟตั้งชื่อลูกคนโตว่ามนัสเสห์*+ เขาบอกว่า “เป็นเพราะพระเจ้าทำให้ผมลืมความลำบากทั้งหมด และลืมทุกสิ่งทุกอย่างที่บ้านพ่อของผม” 52 เขาตั้งชื่อลูกชายคนที่สองว่าเอฟราอิม*+ เขาบอกว่า “เป็นเพราะพระเจ้าให้ผมมีลูกหลาน*มากมายในแผ่นดินที่ผมเคยอยู่อย่างยากลำบากนี้”+
53 แล้ว 7 ปีที่อุดมสมบูรณ์ในอียิปต์ก็สิ้นสุดลง+ 54 และ 7 ปีที่มีแต่การขาดแคลนอาหารก็เริ่มขึ้นตามที่โยเซฟบอกไว้+ เกิดการขาดแคลนอาหารขึ้นทั่วทุกดินแดน แต่ทั่วอียิปต์ยังมีอาหาร+ 55 แต่เมื่อการขาดแคลนอาหารลามไปทั่วอียิปต์ ประชาชนก็มาร้องขออาหารจากฟาโรห์+ ฟาโรห์จึงบอกชาวอียิปต์ว่า “ไปหาโยเซฟแล้วทำทุกอย่างตามที่เขาบอก”+ 56 การขาดแคลนอาหารครั้งนี้เกิดขึ้นทั่วโลก+ โยเซฟจึงเปิดฉางข้าวทุกแห่งเพื่อขายข้าวให้ชาวอียิปต์+เพราะเกิดการขาดแคลนอาหารอย่างหนักในอียิปต์ 57 คนจากทั่วโลกพากันมาที่อียิปต์เพื่อซื้อข้าวจากโยเซฟ เพราะเกิดการขาดแคลนอาหารอย่างหนักทั่วโลก+
42 เมื่อยาโคบรู้ว่าในอียิปต์มีข้าว*+ จึงพูดกับพวกลูกชายว่า “ทำไมลูก ๆ มัวแต่นั่งมองหน้ากันและไม่คิดจะทำอะไร?” 2 เขาพูดอีกว่า “พ่อได้ยินว่าที่อียิปต์มีข้าว ไปซื้อข้าวจากที่นั่นมาให้พวกเรากินประทังชีวิตเถอะ ไม่อย่างนั้นพวกเราจะอดตายกันหมด”+ 3 พี่ชาย 10 คนของโยเซฟ+จึงไปซื้อข้าวที่อียิปต์ 4 แต่ยาโคบไม่ให้เบนยามิน+น้องชายโยเซฟไปกับพวกพี่ชาย เขาบอกว่า “เดี๋ยวจะเกิดอุบัติเหตุ แล้วน้องจะตายไปอีกคน”+
5 พวกลูกชายของอิสราเอลจึงไปที่อียิปต์พร้อมกับคนอื่น ๆ ที่ไปซื้อข้าวที่นั่น เพราะการขาดแคลนอาหารได้ลามไปถึงแผ่นดินคานาอันด้วย+ 6 ตอนนั้น โยเซฟเป็นผู้มีอำนาจปกครองอียิปต์+ เขาเป็นคนขายข้าวให้คนจากทั่วโลก+ เมื่อพวกพี่ชายของโยเซฟมาถึงแล้ว ก็พากันมาซบลงกับพื้นแสดงความเคารพโยเซฟ+ 7 พอโยเซฟเห็นพวกพี่ ๆ ก็จำได้ทันที แต่โยเซฟไม่ยอมบอกว่าตัวเองเป็นใคร+และถามพวกเขาเสียงแข็งว่า “พวกคุณมาจากไหน?” พวกเขาตอบว่า “มาจากแผ่นดินคานาอันเพื่อซื้อข้าวครับท่าน”+
8 พวกพี่ชายจำโยเซฟไม่ได้ แต่โยเซฟจำพวกเขาได้ 9 ตอนนั้นเอง โยเซฟก็นึกถึงความฝันเกี่ยวกับพวกพี่ชาย+จึงพูดกับพวกเขาว่า “พวกคุณเป็นคนสอดแนม พวกคุณมาสืบดูว่าแผ่นดินนี้มีจุดอ่อนตรงไหนใช่ไหม?” 10 พวกเขาตอบว่า “ไม่ใช่อย่างนั้นนะครับท่าน พวกเรามาในฐานะทาสเพื่อซื้อข้าวจากท่านเท่านั้นเอง 11 พวกเราทุกคนเป็นลูกพ่อเดียวกัน พวกเราเป็นคนซื่อสัตย์ ทาสของท่านไม่ได้มาสอดแนมนะครับ” 12 แต่โยเซฟพูดว่า “อย่ามาโกหก! พวกคุณมาดูว่าแผ่นดินนี้มีจุดอ่อนตรงไหน” 13 พวกเขาจึงตอบว่า “ทาสของท่านเป็นพี่น้องกัน เรามีกันอยู่ 12 คน+ที่เป็นผู้ชาย พวกเราเป็นลูกพ่อเดียวกัน+อยู่ในแผ่นดินคานาอัน ตอนนี้น้องชายคนเล็กอยู่กับพ่อ+ ส่วนน้องชายอีกคนหนึ่งไม่อยู่แล้ว”+
14 แต่โยเซฟบอกว่า “เป็นอย่างที่ผมพูดจริง ๆ พวกคุณเป็นคนสอดแนม 15 ดังนั้น ผมต้องดูก่อนว่าที่พวกคุณพูดเป็นความจริงรึเปล่า ถ้าน้องคนเล็กของพวกคุณไม่มาที่นี่ ผมขอสาบานในนามของฟาโรห์ว่าพวกคุณจะไม่ได้ไปจากที่นี่แน่ ๆ+ 16 ผมจะขังพวกคุณไว้ก่อน และให้พวกคุณคนหนึ่งไปพาน้องมาเพื่อพิสูจน์ว่าพวกคุณพูดความจริง แต่ถ้าไม่จริงละก็ แสดงว่าพวกคุณเป็นคนสอดแนมแน่ ๆ” 17 แล้วโยเซฟก็ขังพวกเขาไว้ด้วยกัน 3 วัน
18 ในวันที่สาม โยเซฟบอกพวกเขาว่า “ผมเป็นคนเกรงกลัวพระเจ้า ดังนั้น ให้ทำตามที่ผมบอกแล้วพวกคุณจะรอด 19 ถ้าพวกคุณพูดความจริง ให้พวกคุณคนหนึ่งอยู่ในคุกนี้ต่อไปก่อน ส่วนคนอื่น ๆ ก็เอาข้าวกลับไปให้คนที่บ้านซึ่งอดอยากอยู่นั้นได้กิน+ 20 แล้วพาน้องชายคนเล็กมาหาผม ผมถึงจะเชื่อว่าพวกคุณพูดความจริงและจะไว้ชีวิตพวกคุณ” พวกเขาตกลงทำตามนั้น
21 พวกเขาพูดกันว่า “นี่คงเป็นเพราะพวกเราได้ทำผิดต่อน้องแน่ ๆ+ ตอนที่เขาอ้อนวอนขอให้เราสงสารเขานั้นพวกเราเห็นแล้วว่าเขาเจ็บปวดใจแค่ไหน แต่พวกเราก็ไม่ฟังเขาเลย พวกเราถึงได้มาทุกข์ลำบากอย่างนี้” 22 รูเบนพูดกับน้อง ๆ ว่า “เห็นไหม พี่บอกแล้วว่า ‘อย่าทำร้ายน้องเลย’ แต่ก็ไม่มีใครฟังพี่+ ตอนนี้ถึงเวลาที่พวกเราต้องชดใช้ความผิดที่ทำให้น้องตายแล้ว”+ 23 พวกเขาไม่รู้ว่าโยเซฟฟังออก เพราะตอนที่คุยกับพวกเขานั้นโยเซฟใช้ล่าม 24 โยเซฟจึงออกไปร้องไห้+ แล้วพอโยเซฟกลับมาพูดกับพวกเขาอีกรอบ โยเซฟก็เอาสิเมโอน+มามัดไว้ต่อหน้าต่อตาพวกเขา+ 25 แล้วโยเซฟก็สั่งคนให้เอาข้าวใส่กระสอบของพวกเขาให้เต็ม และให้เอาเงินของแต่ละคนใส่คืนในกระสอบของพวกเขา รวมทั้งให้เตรียมอาหารให้พวกเขาเอาไปกินระหว่างเดินทางด้วย คนของโยเซฟก็ทำตามนั้น
26 พวกพี่ชายก็เอาข้าวบรรทุกบนหลังลาแล้วออกเดินทาง 27 เมื่อถึงที่หยุดพักค้างคืน พอคนหนึ่งจะเอาฟางให้ลากิน เขาก็เปิดกระสอบแล้วเห็นเงินของตัวเองอยู่ที่ปากกระสอบ 28 เขาจึงบอกพวกพี่น้องว่า “เงินของผมมาอยู่ในกระสอบนี้ได้ยังไง?” พวกเขาก็พากันตกใจกลัวจนตัวสั่นและพูดกันว่า “ทำไมพระเจ้าทำกับพวกเราอย่างนี้?”
29 เมื่อพวกเขากลับมาหายาโคบพ่อของพวกเขาในแผ่นดินคานาอันแล้วก็เล่าทุกสิ่งที่เกิดขึ้นให้พ่อฟังว่า 30 “คนที่เป็นเจ้านายในแผ่นดินนั้นพูดเสียงแข็งใส่พวกเรา+ เขากล่าวหาว่าพวกเราเข้าไปสอดแนมในแผ่นดินนั้น 31 แต่พวกเราก็บอกเขาไปว่า ‘พวกเราเป็นคนซื่อสัตย์ ไม่ได้เป็นคนสอดแนม+ 32 พวกเราเป็นพี่น้องกัน เรามีกันอยู่ 12 คนที่เป็นผู้ชาย+ และเป็นลูกพ่อเดียวกัน คนหนึ่งไม่อยู่แล้ว+ ตอนนี้น้องชายคนเล็กอยู่กับพ่อในแผ่นดินคานาอัน’+ 33 แต่เจ้านายคนนั้นบอกพวกเราว่า ‘เอาอย่างนี้ก็แล้วกัน ผมจะได้รู้ว่าพวกคุณพูดความจริงรึเปล่า ให้พวกคุณคนหนึ่งอยู่กับผม+ ส่วนคนอื่น ๆ เอาข้าวกลับไปให้คนที่บ้านซึ่งอดอยากอยู่นั้นได้กิน+ 34 แล้วให้พาน้องชายคนเล็กของพวกคุณมาหาผม ผมจะได้รู้ว่าพวกคุณไม่ใช่คนสอดแนมแต่เป็นคนซื่อสัตย์ แล้วผมจะคืนพี่น้องของพวกคุณให้ และพวกคุณจะมาซื้อขายในแผ่นดินนี้ได้’”
35 เมื่อพวกเขาเทข้าวออกจากกระสอบ ก็พบห่อเงินของตัวเองอยู่ในกระสอบ พอเห็นห่อเงิน พวกเขากับยาโคบพ่อของพวกเขาก็กลัวมาก 36 ยาโคบร้องออกมาว่า “นี่จะให้พ่อเสียลูกไปอีกกี่คน+ โยเซฟก็ไม่อยู่แล้ว+ ตอนนี้ก็สิเมโอนอีกคน+ แล้วนี่ยังจะพาเบนยามินไปอีก ทำไมต้องเกิดเรื่องแบบนี้ขึ้นกับพ่อด้วย?” 37 แต่รูเบนบอกพ่อว่า “ผมจะเป็นคนดูแลเบนยามินเอง ผมจะพาเขากลับมาหาพ่อให้ได้+ ถ้าผมพาเขากลับมาไม่ได้ พ่อก็เอาชีวิตลูกชายสองคนของผมไปได้เลย”+ 38 แต่ยาโคบบอกว่า “พ่อไม่ให้เขาไป เพราะพี่ชายเขาตายไปแล้ว ตอนนี้เหลือแต่เขาคนเดียว+ ถ้าเกิดอุบัติเหตุขึ้นระหว่างทางแล้วเขาตายไปอีกคนละก็ ลูก ๆ จะทำให้คนหัวหงอกอย่างพ่อลงหลุมศพ*+ไปด้วยความโศกเศร้า”+
43 ในตอนนั้น ยังคงมีการขาดแคลนอาหารอย่างรุนแรงในแผ่นดินนี้+ 2 พอพวกเขากินข้าวที่เอามาจากอียิปต์หมดแล้ว+ พ่อก็บอกพวกเขาว่า “กลับไปซื้อข้าวมาให้พวกเราอีกหน่อยเถอะ” 3 ยูดาห์จึงบอกพ่อว่า “เจ้านายคนนั้นกำชับพวกเราว่า ‘ถ้าพวกคุณไม่พาน้องชายมาด้วย ก็อย่ากลับมาให้ผมเห็นหน้าอีก’+ 4 ถ้าพ่อยอมให้น้องไปกับพวกเรา พวกเราจะไปซื้อข้าวให้พ่อ 5 แต่ถ้าพ่อไม่ยอม พวกเราก็จะไม่ไป เพราะเจ้านายคนนั้นบอกพวกเราแล้วว่า ‘ถ้าพวกคุณไม่พาน้องชายมาด้วย ก็อย่ากลับมาให้ผมเห็นหน้าอีก’”+ 6 อิสราเอล+จึงถามว่า “ทำไมลูกทำให้พ่อลำบากใจอย่างนี้? ลูกไปบอกเขาทำไมว่ายังมีน้องอีกคน?” 7 พวกเขาตอบว่า “เจ้านายคนนั้นซักถามเรื่องพวกเรากับญาติพี่น้องของพวกเราว่า ‘พ่อของพวกคุณยังมีชีวิตอยู่ไหม? พวกคุณมีน้องชายอีกไหม?’ พวกเราเลยบอกเขาไปตามตรง+ พวกเราจะรู้ได้ยังไงว่าเขาจะบอกว่า ‘ให้พาน้องชายของพวกคุณมาด้วย’”+
8 ยูดาห์ก็บอกอิสราเอลพ่อของเขาว่า “ให้น้องไปกับผมเถอะ+ พวกเราจะได้ไปกันซะที พวกเรากับลูก ๆ รวมทั้งพ่อด้วย+จะได้มีชีวิตอยู่ต่อไป ไม่ต้องอดตาย+ 9 ผมขอรับรองความปลอดภัยของน้องเอง+ ผมจะรับผิดชอบถ้ามีอะไรเกิดขึ้นกับน้อง ถ้าผมพาน้องกลับมาหาพ่อไม่ได้ ผมจะขอแบกรับความผิดนี้ตลอดไป 10 ถ้าพวกเราไม่มัวชักช้า ป่านนี้พวกเราคงไปถึงที่นั่นและกลับมาได้ 2 รอบแล้ว”
11 อิสราเอลพ่อของพวกเขาจึงบอกว่า “ถ้าอย่างนั้นก็เอาอย่างนี้ พวกลูกเอาผลิตผลที่ดีที่สุดจากแผ่นดินนี้ใส่กระสอบไปเป็นของกำนัลสำหรับเจ้านายคนนั้นด้วย+ เอาน้ำมันยาไปสักหน่อยหนึ่ง+ น้ำผึ้งสักหน่อยหนึ่ง ยางไม้หอมสีดำ เปลือกไม้มียาง+ ถั่วพิสตาชิโอ แล้วก็อัลมอนด์ 12 และเอาเงินไปสองเท่า ส่วนเงินที่ติดกระสอบกลับมาคราวก่อนก็ให้เอาไปคืนเขาด้วย+ เขาคงใส่ผิดมา 13 พาน้องไปหาเจ้านายคนนั้นเถอะ 14 ขอพระเจ้าผู้มีพลังอำนาจสูงสุดช่วยให้เจ้านายคนนั้นเมตตาลูก ๆ ด้วย เขาจะได้ปล่อยให้พี่น้องอีกคนหนึ่งของลูกกับเบนยามินกลับมา แต่ถ้าเรื่องนี้ทำให้พ่อต้องเสียลูกไปอีก พ่อก็คงต้องยอม”+
15 พวกเขาจึงพาเบนยามินออกเดินทางไปอียิปต์พร้อมกับของกำนัลและเงินสองเท่า และเข้าไปพบโยเซฟ+ 16 พอโยเซฟเห็นเบนยามินมากับพวกเขา โยเซฟก็บอกพ่อบ้านว่า “พาพวกเขาไปที่บ้าน และฆ่าสัตว์ แล้วเตรียมอาหารไว้เพราะพวกเขาจะกินอาหารกับผมตอนเที่ยงนี้” 17 พ่อบ้านทำตามที่โยเซฟบอกทันที+ พ่อบ้านพาพวกเขาไปที่บ้านของโยเซฟ 18 แต่พวกเขากลัวเมื่อถูกพามาที่บ้านของโยเซฟ พวกเขาเลยพูดกันว่า “คงเป็นเพราะเงินที่ติดกระสอบมาคราวก่อน เขาถึงพาพวกเรามาที่นี่ เขาคงจะเล่นงานเรา จับพวกเราเป็นทาส และยึดลาของพวกเราไว้ด้วย”+
19 พวกเขาจึงเข้าไปพูดกับพ่อบ้านของโยเซฟที่ประตูบ้าน 20 พวกเขาพูดว่า “ขอโทษนะครับ คราวก่อนพวกเรามาซื้อข้าว+ 21 แต่พอพวกเราถึงที่พักระหว่างเดินทางกลับ และเปิดกระสอบออกก็เห็นเงินของแต่ละคนอยู่ครบที่ปากกระสอบ+ พวกเราเลยเอาเงินมาคืนให้ครับ 22 และพวกเราเอาเงินมาซื้อข้าวอีก พวกเราไม่รู้จริง ๆ ว่าใครเอาเงินนั้นมาใส่ไว้ในกระสอบ”+ 23 พ่อบ้านบอกว่า “พวกคุณไม่ต้องกังวลและไม่ต้องกลัว เงินของพวกคุณผมได้รับแล้ว ส่วนเงินในกระสอบของพวกคุณนั้น พระเจ้าของพวกคุณและของพ่อพวกคุณเป็นคนให้ไว้” แล้วพ่อบ้านก็พาสิเมโอนออกมาหาพวกเขา+
24 เมื่อพาพวกเขาเข้าไปในบ้านของโยเซฟ พ่อบ้านก็เอาน้ำมาให้พวกเขาล้างเท้า และเอาฟางมาให้ลาของพวกเขากิน 25 เมื่อพวกเขาได้ยินว่าโยเซฟจะกลับมากินข้าวด้วย+ตอนเที่ยงก็เตรียมของกำนัลไว้ให้โยเซฟ+ 26 พอโยเซฟเข้ามาในบ้าน พวกเขาก็เอาของกำนัลให้และหมอบลงกับพื้นแสดงความเคารพโยเซฟ+ 27 โยเซฟถามสารทุกข์สุกดิบของพวกเขาและถามว่า “พ่อผู้ชราที่พวกคุณเคยพูดถึงนั้นสบายดีไหม? เขายังมีชีวิตอยู่รึเปล่า?”+ 28 พวกเขาตอบว่า “พ่อของพวกเราซึ่งเป็นผู้รับใช้ของท่านสบายดีครับ เขายังมีชีวิตอยู่” แล้วพวกเขาก็หมอบลงแสดงความเคารพ+
29 เมื่อโยเซฟมองเห็นเบนยามินน้องชายแม่เดียวกัน+ก็ถามว่า “คนนี้เป็นน้องชายคนเล็กที่พวกคุณเคยพูดให้ผมฟังใช่ไหม?”+ โยเซฟพูดกับเบนยามินว่า “ขอพระเจ้าเมตตาลูก” 30 แล้วโยเซฟก็รีบออกไปหาที่ร้องไห้เพราะรู้สึกตื้นตันใจที่ได้เห็นน้องชาย เขาเข้าไปร้องไห้ในห้องคนเดียว+ 31 จากนั้น โยเซฟก็ล้างหน้าและออกมาจากห้อง เขาควบคุมความรู้สึกเอาไว้ได้และพูดว่า “ยกอาหารมาได้” 32 พวกคนรับใช้จัดอาหารให้โยเซฟ ให้พี่น้องของโยเซฟ และให้ชาวอียิปต์ที่มากินข้าวกับโยเซฟไว้แยกกัน เพราะชาวอียิปต์กินอาหารกับชาวฮีบรูไม่ได้ ชาวอียิปต์ถือว่าการทำอย่างนั้นเป็นเรื่องที่น่ารังเกียจ+
33 พี่น้องของโยเซฟนั่งเรียงกันอยู่ข้างหน้าโยเซฟตามที่ที่จัดไว้ไล่ไปตามลำดับ ตั้งแต่คนที่มีสิทธิของลูกคนโต+ไปหาน้องคนสุดท้อง พวกเขามองหน้ากันด้วยความแปลกใจ 34 โยเซฟให้คนนำอาหารจากโต๊ะของเขาไปแบ่งให้พวกพี่น้อง แต่ส่วนแบ่งสำหรับเบนยามินนั้น เขาให้มากเป็น 5 เท่าเมื่อเทียบกับของคนอื่น+ พวกเขาจึงกินและดื่มกับโยเซฟจนอิ่ม
44 โยเซฟสั่งพ่อบ้านว่า “เอาข้าวใส่กระสอบของพวกเขาให้มากที่สุดเท่าที่พวกเขาจะขนไปได้ และเอาเงินของแต่ละคนใส่ไว้ที่ปากกระสอบของพวกเขา+ 2 และเอาถ้วยเงินของผมกับเงินค่าข้าวของน้องคนสุดท้องใส่ไว้ที่ปากกระสอบของเขา” พ่อบ้านก็ทำตามที่โยเซฟสั่ง
3 พอรุ่งเช้า พวกเขาก็ออกเดินทางพร้อมกับลาของพวกเขา 4 เมื่อพวกเขาออกจากเมืองไปได้ไม่ไกล โยเซฟก็สั่งพ่อบ้านว่า “ตามพวกเขาให้ทันแล้วพูดกับพวกเขาว่า ‘ทำไมพวกคุณทำชั่วตอบแทนการดีอย่างนี้? 5 ทำไมพวกคุณถึงเอาถ้วยที่นายของผมใช้ดื่มและใช้ทำนายอนาคตมาด้วย? พวกคุณนี่มันชั่วจริง ๆ’”
6 พ่อบ้านก็ตามพวกเขาจนทัน และพูดกับพวกเขาตามนั้น 7 พวกเขาตอบว่า “ทำไมท่านถึงพูดแบบนี้? ผู้รับใช้ของท่านไม่ทำอย่างนั้นแน่ ๆ 8 ขนาดเงินที่พบอยู่ที่ปากกระสอบคราวก่อน พวกเรายังอุตส่าห์เดินทางจากแผ่นดินคานาอันเพื่อเอามาคืนท่าน+ แล้วพวกเราจะขโมยเงินหรือทองจากบ้านเจ้านายของท่านไปทำไม? 9 ถ้าท่านพบว่าถ้วยนั้นอยู่กับใคร ก็ฆ่าเขาได้เลย และพวกเราจะยอมเป็นทาสนายของท่าน*ด้วย” 10 พ่อบ้านจึงบอกว่า “มันก็ควรจะเป็นอย่างนั้น แต่เอาอย่างนี้ก็แล้วกัน ถ้าพบว่าถ้วยนั้นอยู่กับใคร คนนั้นต้องเป็นทาสของผม ส่วนคนอื่น ๆ ก็จะพ้นผิดไป” 11 พวกเขาจึงรีบเอากระสอบวางลงบนพื้นและเปิดกระสอบของตัวเอง 12 พ่อบ้านค่อย ๆ ค้นดูทีละกระสอบ ตั้งแต่กระสอบของคนโตจนถึงคนสุดท้อง แล้วก็พบถ้วยนั้นในกระสอบของเบนยามิน+
13 พอเห็นอย่างนี้ พวกเขาก็ฉีกเสื้อที่ใส่อยู่ แล้วยกกระสอบของตัวเองขึ้นวางไว้บนหลังลาอย่างเดิมและกลับเข้าเมือง 14 เมื่อยูดาห์+กับพวกพี่น้องไปถึงบ้านโยเซฟ ก็พบโยเซฟที่นั่น พวกเขาจึงเข้าไปหมอบลงกับพื้นต่อหน้าโยเซฟ+ 15 โยเซฟจึงพูดกับพวกเขาว่า “ทำไมพวกคุณถึงทำแบบนี้? พวกคุณไม่รู้หรือว่าคนอย่างผมทายอะไรไว้ก็ถูกหมด?”+ 16 ยูดาห์ตอบว่า “ท่านครับ พวกเราไม่มีอะไรจะพูด และไม่มีอะไรจะแก้ตัวอีกแล้ว ตอนนี้ พระเจ้าเที่ยงแท้ลงโทษทาสของท่านที่เคยทำผิดไว้+ พวกเราทั้งหมดเป็นทาสของท่านแล้ว รวมทั้งคนที่มีถ้วยอยู่ด้วย” 17 โยเซฟตอบว่า “ผมทำอย่างนั้นไม่ได้หรอก เฉพาะคนที่มีถ้วยเท่านั้นจะต้องอยู่เป็นทาสของผม+ ส่วนคนอื่น ๆ ให้กลับไปหาพ่อโดยสวัสดิภาพ”
18 ยูดาห์จึงเข้าไปใกล้โยเซฟแล้วพูดว่า “ท่านครับ โปรดฟังผมพูดก่อน ขอท่านอย่าโกรธทาสของท่านเลย เพราะท่านก็เป็นเหมือนฟาโรห์+ 19 ท่านเคยถามทาสของท่านว่า ‘พ่อของพวกคุณยังอยู่ไหม? พวกคุณยังมีน้องชายอีกไหม?’ 20 พวกเราตอบท่านไปว่า ‘พ่อพวกเรายังมีชีวิตอยู่และแก่มากแล้ว พวกเรามีน้องชายคนสุดท้องตอนที่พ่ออายุมาก+ น้องชายคนนี้มีพี่ชายแม่เดียวกันคนหนึ่ง แต่ว่าตายไปแล้ว+ ตอนนี้เหลือเขาคนเดียว+ และพ่อก็รักเขามาก’ 21 แล้วท่านก็บอกทาสของท่านว่า ‘พาเขามาให้ผมเห็นหน้าหน่อย’+ 22 แต่พวกเราบอกท่านว่า ‘เด็กคนนั้นจากพ่อมาไม่ได้ ถ้าเอาเขามา พ่อคงตรอมใจตายแน่ ๆ’+ 23 แล้วท่านก็บอกทาสของท่านว่า ‘ถ้าพวกคุณไม่พาน้องคนเล็กมาด้วย ก็อย่ากลับมาให้ผมเห็นหน้าอีก’+
24 “เมื่อพวกเรากลับไปหาพ่อซึ่งเป็นทาสของท่าน พวกเราก็เล่าให้พ่อฟังว่าท่านพูดอะไรบ้าง 25 ต่อมา พ่อบอกว่า ‘กลับไปซื้อข้าวมาให้พวกเราอีกหน่อยเถอะ’+ 26 พวกเราบอกพ่อว่า ‘พวกเราไปไม่ได้ ถ้าน้องคนเล็กไปด้วยพวกเราถึงจะไป เพราะถ้าน้องคนเล็กไม่ไปด้วย พวกเราจะไปพบเจ้านายคนนั้นไม่ได้’+ 27 พ่อของพวกเราซึ่งเป็นทาสของท่านบอกว่า ‘ลูกรู้อยู่ว่าภรรยาของพ่อมีลูกชายให้พ่อสองคนเท่านั้น+ 28 คนหนึ่งจากพ่อไปแล้ว ตอนนั้นพ่อพูดว่า “เขาคงถูกกัดฉีกเป็นชิ้น ๆ ไปแล้วแน่เลย!”+ และตั้งแต่นั้นมา พ่อก็ไม่ได้เห็นเขาอีกเลย 29 ถ้าลูก ๆ พาเขาไปจากพ่ออีกคนหนึ่ง แล้วเกิดอุบัติเหตุทำให้เขาตายละก็ ลูก ๆ จะทำให้คนหัวหงอกอย่างพ่อลงหลุมศพ*+ไปด้วยความโศกเศร้า’+
30 “ในเมื่อพ่อของพวกเรารักเขาเท่าชีวิต และถ้าตอนนี้ผมกลับไปหาพ่อของผมซึ่งเป็นทาสของท่านโดยไม่มีเขาไปด้วยละก็ 31 พ่อคงตรอมใจตายแน่ ๆ แล้วพวกเราที่เป็นทาสของท่านก็จะทำให้คนผมหงอกอย่างพ่อลงหลุมศพ*ไปด้วยความโศกเศร้า 32 ทาสของท่านได้รับรองความปลอดภัยของน้องคนนี้กับพ่อว่า ‘ถ้าผมพาน้องกลับมาหาพ่อไม่ได้ ผมจะขอแบกรับความผิดนี้ตลอดไป’+ 33 ถ้าอย่างนั้น ให้ผมอยู่เป็นทาสของท่านแทนน้องเถอะครับ แล้วให้เขากลับไปกับพวกพี่ ๆ 34 เพราะถ้าไม่มีเขาไปด้วย ผมจะกลับไปหาพ่อได้ยังไง? ผมคงทนเห็นพ่อตรอมใจตายไม่ได้”
45 โยเซฟเก็บความรู้สึกต่อหน้าพวกคนรับใช้ต่อไปไม่ไหว+ จึงร้องสั่งพวกเขาว่า “ออกไปให้หมด!” เมื่อเหลือแต่พวกพี่น้องแล้ว โยเซฟก็บอกว่าตัวเองเป็นใคร+
2 โยเซฟร้องไห้เสียงดังจนชาวอียิปต์ได้ยิน และเรื่องนี้รู้ไปถึงวังของฟาโรห์ 3 โยเซฟบอกพี่น้องของเขาว่า “นี่ผมเองโยเซฟ พ่อยังมีชีวิตอยู่ใช่ไหม?” แต่พวกพี่น้องตกตะลึงจนไม่รู้จะตอบอย่างไร 4 โยเซฟจึงบอกพวกพี่น้องว่า “เข้ามาใกล้ ๆ ผมเถอะ” พวกเขาก็เข้ามาใกล้โยเซฟ
โยเซฟพูดว่า “ผมคือโยเซฟน้องชายที่พวกพี่ขายให้ชาวอียิปต์+ 5 แต่อย่าเสียใจหรือตำหนิกันเองเลยที่ขายผมมาที่นี่ เพราะพระเจ้าส่งผมมาก่อน จะได้ช่วยชีวิตผู้คนไว้+ 6 เพราะนี่เป็นปีที่สองแล้วที่เกิดการขาดแคลนอาหารในแผ่นดินนี้+ และยังเหลืออีก 5 ปีที่จะไม่มีการไถหว่านหรือเก็บเกี่ยวเลย 7 พระเจ้าจึงส่งผมมาก่อนเพื่อช่วยพวกพี่ให้รอดด้วยวิธีที่พิเศษนี้เพื่อครอบครัวของพี่จะมีคนเหลืออยู่+ในโลกนี้ 8 ดังนั้น ไม่ใช่พวกพี่หรอกที่ส่งผมมาที่นี่ พระเจ้าเที่ยงแท้ต่างหากที่ส่งผมมา เพื่อจะตั้งผมให้เป็นหัวหน้าที่ปรึกษา*ของฟาโรห์ เป็นเจ้านายดูแลทั่วราชสำนัก และเป็นผู้ที่ปกครองทั่วทั้งอียิปต์+
9 “พวกพี่รีบไปบอกพ่อเถอะว่า ‘โยเซฟลูกพ่อบอกว่า “พระเจ้าตั้งผมให้เป็นเจ้านายดูแลทั่วอียิปต์แล้ว+ รีบมาหาผมเถอะครับ+ 10 พ่อจะได้อยู่ในแผ่นดินโกเชน+ จะได้อยู่ใกล้ ๆ ผม ทั้งพ่อทั้งลูกหลานรวมทั้งฝูงสัตว์และสมบัติทั้งหมดของพ่อ 11 ผมจะดูแลจัดการเรื่องอาหารการกินให้พ่อเอง เพราะจะมีการขาดแคลนอาหารไปอีก 5 ปี+ ไม่อย่างนั้นพ่อกับครอบครัวจะอดอยาก และทรัพย์สมบัติของพ่อก็จะหมดไปด้วย”’ 12 พวกพี่ ๆ กับเบนยามินน้องของผมก็เห็นกับตาแล้วว่า คนที่พูดกับพวกพี่อยู่ตอนนี้คือผมจริง ๆ+ 13 ดังนั้น ไปเล่าเรื่องความมั่งคั่งและยศศักดิ์อันสูงส่งของผมในอียิปต์ให้พ่อฟังให้หมด รวมทั้งทุกสิ่งที่พวกพี่ได้เห็น แล้วรีบพาพ่อมาที่นี่”
14 แล้วโยเซฟกับเบนยามินก็กอดคอกันร้องไห้+ 15 โยเซฟจูบพี่ชายทุกคนและกอดกันร้องไห้ จากนั้น พวกพี่น้องกับโยเซฟก็พูดคุยกัน
16 ข่าวที่ว่า “พวกพี่น้องของโยเซฟมา” ได้ยินไปถึงวังฟาโรห์ ฟาโรห์กับพวกข้าราชสำนักก็พากันยินดี 17 ฟาโรห์จึงพูดกับโยเซฟว่า “ไปบอกพวกพี่น้องของคุณว่า ‘ให้ทำอย่างนี้ ให้เอาของบรรทุกหลังสัตว์กลับไปแผ่นดินคานาอัน 18 แล้วพาพ่อกับครอบครัวของทุกคนมาหาเรา เราจะได้ให้ของดี ๆ ในอียิปต์ และให้พวกคุณได้กินผลิตผลจากบริเวณที่อุดมสมบูรณ์ที่สุดในแผ่นดินนี้’+ 19 แล้วบอกพวกเขาว่า+ ‘เอาเกวียน+จากอียิปต์ไปรับภรรยากับลูกของพวกคุณ และรับพ่อของพวกคุณมาที่นี่+ 20 อย่าไปเสียดายข้าวของอะไรเลย+ เพราะสิ่งดีที่สุดจากทั่วอียิปต์จะเป็นของพวกคุณ’”
21 พวกลูกชายของอิสราเอลก็ทำตามนั้น โยเซฟจัดเกวียนให้พวกเขาตามที่ฟาโรห์สั่ง และจัดเสบียงให้พวกเขาเอาไว้กินระหว่างเดินทางด้วย 22 โยเซฟให้เสื้อผ้าใหม่กับพวกเขาคนละชุด แต่สำหรับเบนยามิน เขาให้เงินหนัก 300 เชเขล*กับเสื้อผ้าใหม่ 5 ชุด+ 23 สำหรับพ่อ โยเซฟให้พวกเขาเอาลา 10 ตัวที่บรรทุกของดี ๆ จากอียิปต์กับลาตัวเมีย 10 ตัวที่บรรทุกข้าว ขนมปัง และอาหารอื่น ๆ สำหรับให้พ่อไว้กินระหว่างเดินทาง 24 โยเซฟออกมาส่งพวกพี่น้อง และบอกพวกเขาว่า “ระหว่างเดินทางพี่ ๆ อย่าทะเลาะกันนะ”+
25 พวกเขาออกจากอียิปต์ไปหายาโคบพ่อของพวกเขาในแผ่นดินคานาอัน 26 และเล่าให้ยาโคบฟังว่า “โยเซฟยังไม่ตาย แถมยังได้ปกครองทั่วอียิปต์”+ ยาโคบฟังแล้วก็รู้สึกเฉย ๆ เพราะไม่เชื่อพวกเขา+ 27 แต่เมื่อได้ยินพวกเขาเล่าให้ฟังว่าโยเซฟพูดอะไรบ้าง และได้เห็นเกวียนที่โยเซฟส่งมารับ ยาโคบก็กลับมาสดชื่นขึ้นอีกครั้ง 28 แล้วอิสราเอลก็พูดขึ้นมาว่า “พ่อเชื่อแล้วว่าโยเซฟลูกของพ่อยังมีชีวิตอยู่ พ่อจะไปหาเขาก่อนพ่อจะตาย”+
46 อิสราเอลออกเดินทางไปพร้อมกับครอบครัวและสมบัติทั้งหมดของเขา เมื่อมาถึงเบเออร์เชบา+ เขาถวายเครื่องบูชาให้พระเจ้าของอิสอัคพ่อของเขา+ 2 ตอนกลางคืน พระเจ้าพูดกับอิสราเอลทางนิมิตว่า “ยาโคบ ยาโคบ” เขาตอบว่า “ผมอยู่นี่ครับ” 3 พระองค์พูดว่า “เราเป็นพระเจ้าเที่ยงแท้และเป็นพระเจ้าของพ่อเจ้า+ เจ้าไปอียิปต์ได้โดยไม่ต้องกลัว เพราะที่นั่นเราจะให้เจ้ากลายเป็นชาติใหญ่+ 4 เราจะไปอียิปต์กับเจ้าและเราจะพาเจ้ากลับมา+ เมื่อเจ้าตาย โยเซฟจะเป็นคนเอามือมาปิดตาให้เจ้า”+
5 แล้วยาโคบก็ออกเดินทางจากเบเออร์เชบา พวกลูกชายให้พ่อ ให้ภรรยาของพวกเขากับลูก ๆ ขึ้นเกวียนที่ฟาโรห์ส่งมารับ 6 พวกเขานำฝูงสัตว์กับทรัพย์สมบัติที่สะสมตอนอยู่ในแผ่นดินคานาอันไปด้วย แล้วยาโคบกับลูกหลานทุกคนก็มาถึงอียิปต์ 7 เขาพาลูกหลานทุกคน คือลูกชายกับหลานชายและลูกสาวกับหลานสาวของเขามาอียิปต์
8 ลูกหลานของอิสราเอลที่มาอียิปต์+ คือลูกหลานของยาโคบ มีรายชื่อดังต่อไปนี้ ลูกคนโตของยาโคบชื่อรูเบน+
9 รูเบนมีลูกชายชื่อฮาโนค ปัลลู เฮสโรน และคาร์มี+
10 สิเมโอน+มีลูกชายชื่อเยมูเอล ยามีน โอหาด ยาคีน โศหาร์ และชาอูล+ซึ่งเป็นลูกของผู้หญิงชาวคานาอัน
11 เลวี+มีลูกชายชื่อเกอร์โชน โคฮาท และเมรารี+
12 ยูดาห์+มีลูกชายชื่อเอร์ โอนัน เชลาห์+ เปเรศ+ และเศราห์+ แต่เอร์กับโอนันตายในแผ่นดินคานาอัน+
เปเรศมีลูกชายชื่อเฮสโรนกับฮามูล+
13 อิสสาคาร์มีลูกชายชื่อโทลา ปูวาห์ ยอบ และชิมโรน+
14 เศบูลุน+มีลูกชายชื่อเสเรด เอโลน และยาเลเอล+
15 คนทั้งหมดนี้กับดีนาห์ลูกสาวยาโคบเป็นลูกหลานของเลอาห์กับยาโคบที่เกิดในปัดดานอารัม+ ลูกหลานชายหญิงรวมทั้งหมดมี 33 คน
16 กาด+ มีลูกชายชื่อศิฟีโยน ฮักกี ชูนี เอสโบน เอรี อาโรดี และอาเรลี+
17 อาเชอร์+มีลูกชายชื่ออิมนาห์ อิชวาห์ อิชวี และเบรียาห์ ลูกสาวของอาเชอร์ชื่อเสราห์
ลูกชายเบรียาห์ชื่อเฮเบอร์และมัลคีเอล+
18 คนทั้ง 16 คนนี้เป็นลูกหลานของศิลปาห์+กับยาโคบ ศิลปาห์เป็นสาวใช้ที่ลาบันยกให้เลอาห์ลูกสาวของเขา
19 ราเชลภรรยาของยาโคบมีลูกชายชื่อโยเซฟ+กับเบนยามิน+
20 โยเซฟกับอาเสนัท+ลูกสาวโปทิเฟราปุโรหิตเมืองโอน*มีลูกชายชื่อมนัสเสห์+กับเอฟราอิม+ซึ่งเกิดในอียิปต์
21 เบนยามินมีลูกหลาน+ชื่อเบลา เบเคอร์ อัชเบล เกรา+ นาอามาน เอไฮ โรช มัปปิม หุปปิม+ และอาร์ด+
22 คนที่เป็นลูกหลานของราเชลกับยาโคบ รวมทั้งหมดมี 14 คน
24 นัฟทาลี+มีลูกชายชื่อยาเซเอล กูนี เยเซอร์ และชิลเลม+
25 คนทั้ง 7 คนนี้เป็นลูกหลานของบิลฮาห์กับยาโคบ บิลฮาห์เป็นสาวใช้ที่ลาบันยกให้ราเชลลูกสาวของเขา
26 ลูกหลานทั้งหมดของยาโคบที่มาอียิปต์พร้อมกับเขารวมแล้วมี 66 คน ไม่นับพวกลูกสะใภ้+ 27 โยเซฟมีลูกชายที่เกิดในอียิปต์ 2 คน คนในครอบครัวยาโคบซึ่งมาอียิปต์มีทั้งหมด 70 คน+
28 ยาโคบให้ยูดาห์+ไปส่งข่าวบอกโยเซฟก่อนว่าเขากำลังเดินทางมาโกเชน เมื่อพวกเขามาถึงแผ่นดินโกเชน+ 29 โยเซฟก็ขึ้นรถม้าที่เตรียมไว้ไปหาอิสราเอลพ่อของเขาที่โกเชน พอเห็นพ่อ เขาก็เข้าไปกอดทันทีและร้องไห้ไม่หยุด 30 แล้วอิสราเอลพูดกับโยเซฟว่า “พ่อมาเห็นกับตาตัวเองแล้วว่าลูกยังมีชีวิตอยู่ ทีนี้พ่อจะได้นอนตายตาหลับซะที”
31 โยเซฟบอกพวกพี่น้องกับคนในครอบครัวของพ่อว่า “ผมจะไปบอกฟาโรห์+ว่า ‘พี่น้องของผมกับคนในครอบครัวของพ่อผมจากแผ่นดินคานาอันมาหาผมที่นี่แล้ว+ 32 พวกเขาเป็นคนเลี้ยงแกะ+และเลี้ยงสัตว์ต่าง ๆ+ พวกเขาเอาฝูงสัตว์และทรัพย์สมบัติทั้งหมดของพวกเขามาด้วย’+ 33 เมื่อฟาโรห์ให้เข้าพบและถามว่า ‘พวกคุณทำงานอะไรกัน?’ 34 ขอให้ตอบว่า ‘ผู้รับใช้ของท่านเป็นคนเลี้ยงสัตว์เหมือนบรรพบุรุษมาตั้งแต่เด็กจนถึงเดี๋ยวนี้’+ ฟาโรห์จะได้ให้ทุกคนอยู่ที่แผ่นดินโกเชน+ เพราะชาวอียิปต์รังเกียจพวกคนเลี้ยงแกะ”+
47 โยเซฟเข้าพบฟาโรห์และพูดว่า+ “พ่อกับพวกพี่น้องของผมได้นำฝูงสัตว์และทรัพย์สมบัติทั้งหมดของพวกเขามาจากแผ่นดินคานาอันแล้ว ตอนนี้พวกเขาอยู่ในแผ่นดินโกเชน”+ 2 แล้วโยเซฟก็พาพี่น้อง 5 คนไปพบฟาโรห์+
3 ฟาโรห์ถามพี่น้องของโยเซฟว่า “พวกคุณทำงานอะไรกัน?” พวกเขาตอบว่า “พวกเราซึ่งเป็นผู้รับใช้ของท่านเป็นคนเลี้ยงแกะมาตั้งแต่สมัยบรรพบุรุษ”+ 4 พวกเขาบอกฟาโรห์อีกว่า “พวกเราซึ่งเป็นผู้รับใช้ของท่านไม่มีหญ้าเลี้ยงฝูงสัตว์ เนื่องจากเกิดการขาดแคลนอาหารอย่างหนักในแผ่นดินคานาอัน+ พวกเราจึงมาอาศัยในแผ่นดินนี้อย่างคนต่างชาติ+ ขอให้ผู้รับใช้ของท่านอาศัยในแผ่นดินโกเชนเถอะครับ”+ 5 ฟาโรห์พูดกับโยเซฟว่า “พ่อกับพี่น้องของคุณมาหาคุณถึงที่นี่แล้ว 6 คุณจะให้พวกเขาอยู่ที่ไหนก็ได้ในอียิปต์ หรือถ้าพ่อกับพี่น้องของคุณอยากจะอยู่ในโกเชนซึ่งเป็นที่ที่ดีที่สุดในแผ่นดินนี้ก็ได้+ และถ้าเห็นว่าใครมีความสามารถ ก็ตั้งเขาให้ดูแลฝูงสัตว์ของเราด้วย”
7 แล้วโยเซฟก็พายาโคบพ่อของเขาไปพบฟาโรห์ ยาโคบก็อวยพรฟาโรห์ 8 ฟาโรห์ถามยาโคบว่า “ตอนนี้อายุเท่าไหร่แล้ว?” 9 ยาโคบตอบฟาโรห์ว่า “ผมมีชีวิตเร่ร่อน*มา 130 ปีแล้ว แต่ชีวิตของผมลำบาก+และไม่ยืนยาวเท่ากับบรรพบุรุษที่ใช้ชีวิตเร่ร่อน*เหมือนกัน”+ 10 ยาโคบอวยพรฟาโรห์ เสร็จแล้วก็ลาไป
11 โยเซฟจึงให้พ่อกับพี่น้องของเขาอยู่ในอียิปต์ และยกที่แห่งหนึ่งในแผ่นดินอียิปต์ซึ่งเป็นที่ที่ดีที่สุดในราเมเสส+ให้พวกเขาตามที่ฟาโรห์สั่ง 12 โยเซฟดูแลจัดการเรื่องอาหารการกินให้พ่อกับพวกพี่น้องรวมทั้งทุกคนในบ้านของพ่อเป็นประจำ โดยจัดให้ตามจำนวนคนในแต่ละครอบครัว
13 ตอนนั้น ในอียิปต์และคานาอันไม่มีอาหารเพราะการขาดแคลนอาหารครั้งนั้นรุนแรงมาก ชาวอียิปต์และชาวคานาอันต่างก็อ่อนระโหยโรยแรงเพราะไม่มีอะไรจะกิน+ 14 ส่วนโยเซฟก็รวบรวมเงินทั้งหมดที่ได้จากการขายข้าว*+ให้ชาวอียิปต์และชาวคานาอันไปไว้ในคลังทรัพย์ของฟาโรห์ 15 เมื่อชาวอียิปต์กับชาวคานาอันไม่มีเงินเหลือแล้ว ชาวอียิปต์มาพูดกับโยเซฟว่า “ขออาหารให้พวกเรากินหน่อยเถอะ ไม่อย่างนั้นพวกเราคงต้องตายต่อหน้าท่านเพราะพวกเราไม่มีเงินแล้ว” 16 โยเซฟบอกว่า “ถ้าเงินหมดแล้วก็เอาฝูงสัตว์ของพวกคุณมาให้ผม แล้วผมจะให้อาหารแลกกับฝูงสัตว์ของพวกคุณ” 17 พวกเขาก็เอาฝูงสัตว์มาให้โยเซฟ โยเซฟจึงเอาอาหารมาแลกกับฝูงม้า ฝูงแกะ ฝูงวัว และฝูงลาของพวกเขา ในปีนั้น โยเซฟเอาอาหารแลกฝูงสัตว์ของพวกเขาไว้ทั้งหมด
18 แล้วปีนั้นก็ผ่านไป ในปีถัดมาพวกเขามาบอกโยเซฟว่า “พวกเราขอบอกท่านตามตรงว่า เงินและฝูงสัตว์นั้นพวกเราให้ท่านไปหมดแล้ว พวกเราไม่มีอะไรจะให้ท่านอีกแล้ว นอกจากตัวกับที่ดิน 19 พวกเราคงต้องตายต่อหน้าท่านแล้วที่ดินก็จะถูกทิ้งร้าง พวกเราขอเอาตัวกับที่ดินของพวกเราแลกกับอาหาร พวกเราจะยอมเป็นทาสฟาโรห์และที่ดินของพวกเราก็จะเป็นของฟาโรห์ด้วย ขอเมล็ดพันธุ์ข้าวให้พวกเราหน่อยเถอะ พวกเราจะได้ไม่อดตาย และที่ดินของพวกเราจะได้ไม่ถูกทิ้งร้าง” 20 โยเซฟจึงซื้อที่ดินทั้งหมดจากชาวอียิปต์ให้ฟาโรห์ เพราะชาวอียิปต์ทุกคนต่างก็ขายไร่นาของตัวเองเนื่องจากการขาดแคลนอาหารอย่างหนักครั้งนั้น ที่ดินทั้งหมดจึงตกเป็นของฟาโรห์
21 โยเซฟให้ประชาชนย้ายเข้ามาอยู่ตามเมืองต่าง ๆ ทั่วอียิปต์+ 22 มีแต่ที่ดินของพวกปุโรหิตเท่านั้นที่โยเซฟไม่ได้ซื้อ+เพราะฟาโรห์ปันส่วนอาหารให้พวกเขา พวกปุโรหิตจึงไม่ได้ขายที่ดินของเขา 23 โยเซฟบอกประชาชนว่า “ตอนนี้ ผมซื้อตัวคุณกับที่ดินของพวกคุณให้เป็นของฟาโรห์แล้ว พวกคุณเอาเมล็ดข้าวนี้ไปหว่านในนา 24 แล้วเมื่อพวกคุณเก็บเกี่ยวก็ให้เอา 1 ใน 5 ของผลผลิตที่เก็บเกี่ยวได้ให้ฟาโรห์+ แล้วอีก 4 ส่วนที่เหลือ พวกคุณเอาไว้ใช้เป็นเมล็ดพันธุ์และเป็นอาหารสำหรับตัวเองกับคนในบ้านและลูก ๆ” 25 พวกเขาพูดว่า “ท่านช่วยชีวิตพวกเราไว้+ ขอท่านเมตตาพวกเราด้วย พวกเราจะได้เป็นทาสของฟาโรห์”+ 26 โยเซฟจึงออกเป็นกฎหมายจนถึงทุกวันนี้ว่า ที่ดินทั่วทั้งอียิปต์ต้องให้พืชผล 1 ใน 5 ส่วนกับฟาโรห์ ในประเทศนั้นมีแต่ที่ดินของปุโรหิตเท่านั้นซึ่งไม่ได้ตกเป็นของฟาโรห์+
27 ชาวอิสราเอลอยู่ที่โกเชนในอียิปต์+และตั้งถิ่นฐานที่นั่น พวกเขามีลูกหลานและเพิ่มจำนวนขึ้นมากมาย+ 28 ยาโคบอยู่ในอียิปต์ 17 ปี ดังนั้น ตอนที่ยาโคบตาย เขาอายุได้ 147 ปี+
29 ตอนที่อิสราเอลใกล้จะตาย+ เขาเรียกโยเซฟลูกชายมาบอกว่า “ถ้าลูกเห็นแก่พ่อ เอามือมาวางไว้ใต้ต้นขาพ่อและสาบานว่าลูกจะรักพ่อจริง ๆ*และเป็นคนที่พ่อวางใจได้ ขอลูกอย่าฝังพ่อไว้ในอียิปต์+ 30 เมื่อพ่อตายแล้ว ให้เอาศพพ่อออกจากอียิปต์ไปฝังไว้ในที่ฝังศพบรรพบุรุษของพ่อ”+ โยเซฟตอบว่า “ครับพ่อ ผมจะทำตามที่พ่อบอก” 31 อิสราเอลบอกอีกว่า “สาบานกับพ่อหน่อยได้ไหม” โยเซฟก็สาบาน+ แล้วอิสราเอลก็หมอบลงอธิษฐานที่หัวเตียง+
48 ต่อมา มีคนมาบอกโยเซฟว่า “พ่อของคุณอาการไม่ค่อยดีแล้ว” โยเซฟจึงพามนัสเสห์กับเอฟราอิมลูกชายทั้งสองไปหายาโคบ+ 2 พอยาโคบรู้ว่าโยเซฟลูกชายมาหา เขา*จึงรวบรวมกำลังแล้วลุกขึ้นนั่งบนเตียง 3 ยาโคบพูดกับโยเซฟว่า
“พระเจ้าผู้มีพลังอำนาจสูงสุดมาหาพ่อที่เมืองลูสในแผ่นดินคานาอัน และอวยพรพ่อ+ 4 พระองค์พูดกับพ่อว่า ‘เราจะให้เจ้ามีลูกหลานมากมายและเพิ่มจำนวนขึ้น เราจะทำให้เจ้ากลายเป็นชนหลายชาติ+ แล้วเราจะยกแผ่นดินนี้ให้เป็นของลูกหลานเจ้าตลอดไป’+ 5 เอฟราอิมกับมนัสเสห์ลูกชายสองคนของลูกซึ่งเกิดในอียิปต์ก่อนที่พ่อจะมาหาลูก จะเป็นลูกของพ่อ+เหมือนรูเบนกับสิเมโอน+ 6 ส่วนลูกของลูกที่เกิดหลังจากนี้ก็จะเป็นของลูก พวกเขาจะได้ส่วนหนึ่งของที่ดินที่พวกพี่ ๆ ของเขาได้รับเป็นมรดกด้วย+ 7 ตอนที่พ่อเดินทางมาจากปัดดานนั้น ราเชลแม่ของลูกซึ่งเดินทางมากับพ่อก็ตาย+ในแผ่นดินคานาอัน ตอนนั้น เรายังอยู่ห่างจากเอฟรัท+ พ่อเลยฝังแม่ของลูกไว้ระหว่างทางไปเอฟรัทซึ่งมีอีกชื่อหนึ่งว่าเบธเลเฮม”+
8 อิสราเอลเห็นลูกชายทั้งสองของโยเซฟจึงถามว่า “สองคนนี้เป็นใครกัน?” 9 โยเซฟตอบพ่อว่า “เป็นลูกชายที่พระเจ้าให้ผมตอนอยู่ที่นี่ครับ”+ อิสราเอลบอกว่า “พาพวกเขาเข้ามาหาพ่อหน่อย พ่อจะได้อวยพรพวกเขา”+ 10 ตอนนั้น อิสราเอลอายุมากแล้วเลยมองอะไรไม่ค่อยเห็น โยเซฟจึงพาลูกทั้งสองเข้าไปใกล้ ๆ พ่อ แล้วอิสราเอลก็กอดและจูบหลาน ๆ 11 อิสราเอลบอกโยเซฟอีกว่า “พ่อไม่เคยคิดว่าจะได้เห็นหน้าลูกอีก+ แต่ตอนนี้พระเจ้าให้พ่อได้เห็นหลานด้วยซ้ำ” 12 แล้วโยเซฟก็ให้ลูกทั้งสองที่อยู่ข้างเข่าอิสราเอลถอยออกมา แล้วโยเซฟก็ซบลงกับพื้น
13 โยเซฟจูงลูกชายทั้งสองเข้าไปใกล้อิสราเอล มือขวาเขาจูงเอฟราอิม+และมือซ้ายจูงมนัสเสห์+ เพื่อให้เอฟราอิมอยู่ด้านซ้ายและให้มนัสเสห์อยู่ด้านขวาของอิสราเอล 14 แต่อิสราเอลกลับเอามือขวาวางบนหัวของเอฟราอิมทั้ง ๆ ที่เขาเป็นน้อง และก็เอามือซ้ายวางบนหัวของมนัสเสห์ อิสราเอลตั้งใจวางมือแบบนี้ทั้ง ๆ ที่รู้ว่ามนัสเสห์เป็นลูกคนโต+ 15 เขาอวยพรโยเซฟว่า+
“ขอพระเจ้าเที่ยงแท้ พระเจ้าซึ่งบรรพบุรุษของพ่อคือ อับราฮัมและอิสอัค+รับใช้
พระเจ้าเที่ยงแท้ที่ดูแลพ่อมาตลอดชีวิตจนถึงวันนี้+
16 พระเจ้าที่ให้ทูตสวรรค์มาช่วยพ่อให้พ้นจากภัยพิบัติทั้งหมดนั้น+อวยพรลูกสองคนนี้+
ให้พวกเขาสืบตระกูลของพ่อและของอับราฮัมกับอิสอัคบรรพบุรุษของพ่อ
ให้พวกเขามีลูกหลานเพิ่มจำนวนขึ้นมากมายบนโลก”+
17 เมื่อโยเซฟเห็นพ่อวางมือขวาบนหัวของเอฟราอิมก็ไม่พอใจ จึงจับมือพ่อเพื่อจะยกมาวางบนหัวของมนัสเสห์แทน 18 โยเซฟพูดกับพ่อว่า “ไม่ใช่คนนั้นพ่อ คนนี้เป็นคนโต+ วางมือขวาบนหัวคนนี้เถอะ” 19 แต่พ่อไม่ยอมและบอกว่า “พ่อรู้ ลูก พ่อรู้ มนัสเสห์จะเป็นชนชาติหนึ่งด้วยและเขาก็จะยิ่งใหญ่เหมือนกัน แต่น้องของเขาจะยิ่งใหญ่กว่า+และจะมีลูกหลานมากพอ ๆ กับหลายชาติรวมกัน”+ 20 วันนั้น อิสราเอลจึงอวยพรทั้งสองอีก+ว่า
“ให้ชาวอิสราเอลพูดถึงชื่อของหลาน ๆ เมื่อพวกเขาอวยพรกันว่า
‘ขอพระเจ้าให้คุณเป็นเหมือนเอฟราอิมและมนัสเสห์’”
ดังนั้น อิสราเอลให้ความสำคัญกับเอฟราอิมมากกว่ามนัสเสห์
21 แล้วอิสราเอลก็พูดกับโยเซฟว่า “พ่อกำลังจะตาย+ แต่พระเจ้าจะอยู่กับลูก ๆ ต่อ ๆ ไปและจะนำลูก ๆ กลับไปที่แผ่นดินของบรรพบุรุษของลูก+ 22 พ่อจะยกแผ่นดินที่พ่อชิงมาจากชาวอาโมไรต์ด้วยดาบและธนูให้ลูก พ่อจะให้ลูกมากกว่าพี่น้องของลูกอีกส่วนหนึ่ง”
49 แล้วยาโคบก็เรียกลูกชายทั้งหมดมาและบอกว่า “ลูก ๆ ทุกคน เข้ามาใกล้ ๆ พ่อหน่อย พ่อจะได้บอกลูกว่าจะเกิดอะไรขึ้นกับลูกในอนาคต 2 ลูก ๆ ของยาโคบ เข้ามาใกล้ ๆ และฟังที่พ่อพูดหน่อย มาฟังอิสราเอลพ่อของลูกพูด
3 “รูเบน+ ลูกเป็นลูกคนโตของพ่อ+ เป็นกำลังของพ่อและเป็นผลงานชิ้นแรกจากพลัง*ของพ่อ ลูกจึงเป็นคนที่มีเกียรติสูงสุดและเข้มแข็งที่สุด 4 แต่เพราะลูกเป็นเหมือนน้ำที่เชี่ยวกราก ไม่รู้จักยับยั้งชั่งใจ ลูกจะไม่ได้ฐานะสูงสุดนั้นเพราะลูกนอนกับภรรยาของพ่อ*+ เขานอนกับภรรยาของพ่อตัวเอง เขาทำอย่างนั้นจริง ๆ
5 “สิเมโอนกับเลวีเป็นพี่น้องกัน+ พวกเขาใช้ดาบเป็นอาวุธสังหารอย่างโหดเหี้ยม+ 6 พ่อจะไม่มีส่วนเกี่ยวข้องกับพวกเขา และพ่อไม่อยากได้ชื่อว่าเป็นพวกเดียวกับพวกเขา เพราะพวกเขาฆ่าคนด้วยความโกรธ+ พวกเขาตัดเอ็นขาวัวตัวผู้ตามใจชอบ 7 ให้ความโกรธที่โหดเหี้ยมและความเดือดดาลที่รุนแรงของเขาถูกสาปแช่ง+ พ่อจะให้พวกเขาแยกเป็นกลุ่มเล็กกลุ่มน้อยในแผ่นดินของยาโคบ และพ่อจะให้พวกเขาอยู่กันกระจัดกระจายในแผ่นดินของอิสราเอล+
8 “ส่วนยูดาห์+ พวกพี่น้องจะสรรเสริญลูก+ ลูกจะรบชนะพวกศัตรู*+ ลูกหลานของพ่อจะหมอบลงตรงหน้าลูก+ 9 ยูดาห์เป็นลูกสิงโต ลูกของพ่อจะกินเหยื่อแล้วก็ลุกขึ้น ลูกจะนอนเหยียดตัวเหมือนสิงโต ใครจะกล้าไปแหย่เขาเพราะเขาเป็นเหมือนสิงโต? 10 คทาจะเป็นของยูดาห์เสมอ+ และไม้เท้าของผู้ปกครองจะอยู่ระหว่างเท้าของเขาจนกว่าชิโลห์*จะมา+ และชนชาติต่าง ๆ จะต้องเชื่อฟังเขา+ 11 เขาจะผูกลาไว้กับเถาองุ่นและผูกลูกลาไว้กับเถาองุ่นพันธุ์ดี เขาจะซักเสื้อผ้าในเหล้าองุ่นและซักเสื้อคลุมในน้ำองุ่นสีเลือด 12 ตาของเขาแดงก่ำด้วยเหล้าองุ่นและฟันเขาขาวเพราะน้ำนม
13 “เศบูลุน+จะอาศัยอยู่ใกล้ฝั่งทะเล เขาจะอยู่ตามชายฝั่งที่เรือทอดสมอ+ ชายแดนด้านหนึ่งของเขาจะอยู่ไกลและค่อนไปทางไซดอน+
14 “อิสสาคาร์+เป็นลาที่แข็งแรง เขาจะนอนอยู่ทั้ง ๆ ที่มีกระเป๋าอานผูกไว้ทั้งสองข้าง 15 เขาจะพบที่อยู่ที่ดีและพบแผ่นดินที่อุดมสมบูรณ์ เขาจะแบกภาระหนักและยอมทำงานหนัก
16 “ดาน+ตระกูลหนึ่งในอิสราเอลจะพิพากษาประชาชน+ 17 ดานจะเป็นงูอยู่ริมถนน เป็นงูพิษอยู่ข้างทาง ซึ่งกัดข้อเท้าม้าจนมันสะบัดคนขี่หงายหลังตกลงมา+ 18 พระยะโฮวาพระเจ้า ผมจะคอยเวลาที่พระองค์ช่วยพวกเราให้รอด
19 “สำหรับกาด+ กองโจรจะเข้าจู่โจมเขา แต่เขาจะตอบโต้และกลับเป็นฝ่ายไล่ตามไปอย่างกระชั้นชิด+
20 “อาเชอร์+จะมีอาหารอุดมสมบูรณ์และมีอาหารอย่างดีที่เหมาะกับกษัตริย์+
21 “นัฟทาลี+เป็นกวางตัวเมียที่ปราดเปรียว เขารู้จักใช้ถ้อยคำที่สละสลวย+
22 “โยเซฟ+เป็นกิ่งของต้นไม้ที่เกิดผลดก เขาเป็นกิ่งของต้นไม้ที่เกิดผลอยู่ริมบ่อน้ำพุ และแตกกิ่งก้านยื่นข้ามกำแพงออกไป 23 แต่พวกคนยิงธนูคอยทำร้ายเขา ยิงเขา และจงเกลียดจงชังเขา+ 24 แต่เขาก็ขึ้นสายธนูไว้แล้ว+ และมือเขาแข็งแรงว่องไว+ ที่เขาเป็นอย่างนี้เสมอก็เพราะมือของผู้มีพลังของยาโคบ คือมือของผู้เลี้ยงและหินที่แข็งแกร่งของอิสราเอลอยู่กับเขา 25 เขา*เป็นเหมือนของขวัญจากพระเจ้าที่พ่อนมัสการ เขาอยู่ใกล้พระเจ้าผู้มีพลังอำนาจสูงสุด พระองค์จะช่วยลูก จะอวยพรลูก จะให้น้ำจากท้องฟ้าและน้ำจากใต้แผ่นดินกับลูก+ และจะช่วยให้ลูกมีลูกหลานและฝูงสัตว์มากมาย 26 พรจากพ่อจะดียิ่งกว่าสิ่งดี ๆ จากภูเขาที่ตั้งอยู่นิรันดร์ และจะดียิ่งกว่าความงดงามของเนินเขาที่ตั้งอยู่ตลอดไป+ โยเซฟผู้ถูกเลือกจากท่ามกลางพี่น้องของเขาจะได้รับพรเหล่านั้นต่อ ๆ ไป*+
27 “เบนยามิน+จะฉีกเนื้อเหมือนหมาป่า+ ตอนเช้าเขาจะกินเหยื่อที่จับมาได้ และตอนเย็นเขาจะแบ่งของที่ชิงมา”+
28 คนทั้งหมดนี้เป็นต้นตระกูลของชาวอิสราเอล 12 ตระกูล พ่อพวกเขาได้ให้พรพวกเขาอย่างที่พูดไปนั้น พ่อให้พรที่เหมาะกับแต่ละคน+
29 แล้วยาโคบก็สั่งพวกเขาว่า “พ่อกำลังจะได้อยู่กับบรรพบุรุษของพ่อ*+ ขอให้ฝังพ่อไว้กับบรรพบุรุษในถ้ำตรงที่ดินของเอโฟรนชาวฮิตไทต์+ 30 คือในถ้ำซึ่งอยู่ในทุ่งมัคเปลาห์ใกล้ ๆ มัมเรในแผ่นดินคานาอัน ที่ดินนั้นเป็นที่ดินที่อับราฮัมซื้อจากเอโฟรนชาวฮิตไทต์เพื่อเป็นที่ฝังศพ 31 อับราฮัมกับซาราห์ภรรยาก็ถูกฝังไว้ที่นั่น+ อิสอัคกับเรเบคาห์ภรรยาก็ถูกฝังไว้ที่นั่นด้วย+ และพ่อก็ฝังเลอาห์ไว้ที่นั่น 32 ทุ่งกับถ้ำในที่ดินแปลงนั้นซื้อมาจากลูกหลานของเฮท”+
33 เมื่อยาโคบสั่งเสียลูกชายของเขาเสร็จ เขาล้มตัวลงนอนบนเตียงแล้วก็สิ้นใจ เขาได้อยู่กับบรรพบุรุษของเขา*+
50 โยเซฟร้องไห้ซบลงกอดและจูบพ่อ+ 2 โยเซฟสั่งพวกหมอหลวงให้อาบยาศพ+พ่อไว้ พวกหมอหลวงจึงอาบยาศพอิสราเอล 3 พวกเขาใช้เวลา 40 วันเต็ม เพราะการอาบยาศพต้องใช้เวลา 40 วัน ชาวอียิปต์ร้องไห้อาลัยถึงยาโคบอยู่ 70 วัน
4 เมื่อช่วงเวลาไว้ทุกข์ให้ยาโคบผ่านไปแล้ว โยเซฟก็พูดกับข้าราชสำนัก*ของฟาโรห์ว่า “ถ้าพวกคุณจะกรุณา ขอบอกฟาโรห์ให้ผมทีได้ไหมครับว่า 5 ‘พ่อให้ผมสาบาน+ พ่อพูดว่า “พ่อกำลังจะตาย+ ลูกต้องฝังพ่อไว้ในที่ฝังศพ+ซึ่งพ่อขุดไว้ในแผ่นดินคานาอัน”+ เมื่อเป็นอย่างนั้น ให้ผมไปฝังศพพ่อเถอะครับ แล้วผมจะกลับมา’” 6 ฟาโรห์จึงพูดว่า “ไปฝังศพพ่อตามที่ได้สาบานไว้กับพ่อเถอะ”+
7 โยเซฟจึงไปฝังศพพ่อ คนที่ไปกับเขาก็มีข้าราชการทั้งหมดของฟาโรห์ พวกผู้ดูแล*+ในราชสำนัก ผู้ดูแล*ทั้งหมดในอียิปต์ 8 และทุกคนในบ้านโยเซฟกับพวกพี่น้องและคนในบ้านพ่อก็ไปด้วย+ เหลือแต่เด็ก ๆ กับฝูงสัตว์เท่านั้นที่อยู่ในแผ่นดินโกเชน 9 มีรถม้า+กับทหารม้าด้วย ดังนั้น ผู้คนที่ไปกับโยเซฟจึงเป็นขบวนใหญ่มาก 10 พวกเขามาถึงลานนวดข้าวที่อาทาดซึ่งอยู่ใกล้แม่น้ำจอร์แดน ที่นั่นพวกเขาพากันร้องไห้คร่ำครวญอย่างหนัก และโยเซฟไว้ทุกข์ให้พ่อ 7 วัน 11 เมื่อชาวคานาอันที่อาศัยอยู่บริเวณนั้นมาเห็นพวกเขาไว้ทุกข์ในลานนวดข้าวที่อาทาดก็พูดกันว่า “นี่เป็นการแสดงความโศกเศร้าครั้งใหญ่ของชาวอียิปต์” เขาจึงเรียกที่นั่นว่าอาเบลมิสราอิม* ที่นั่นอยู่ใกล้กับแม่น้ำจอร์แดน
12 พวกลูกชายของยาโคบทำทุกอย่างตามที่พ่อสั่งไว้+ 13 พวกเขานำศพยาโคบมาถึงแผ่นดินคานาอัน และฝังไว้ที่ถ้ำในทุ่งมัคเปลาห์ซึ่งอยู่ไม่ไกลจากมัมเร ที่ดินนี้เป็นที่ดินซึ่งอับราฮัมซื้อจากเอโฟรนชาวฮิตไทต์เพื่อเป็นที่ฝังศพ+ 14 หลังจากฝังศพพ่อแล้ว โยเซฟกับพวกพี่น้องและทุกคนที่ไปกับเขาก็กลับไปอียิปต์
15 หลังจากพ่อตายแล้ว พวกพี่ชายของโยเซฟก็พูดกันว่า “ถ้าเกิดโยเซฟยังเคียดแค้นพวกเราอยู่ละก็ เขาคงจะแก้แค้นพวกเราที่เคยทำไม่ดีกับเขาไว้หลายอย่าง”+ 16 พวกเขาจึงพูดกับโยเซฟว่า “พ่อเคยสั่งไว้ก่อนตายว่า 17 ‘ลูก ๆ ต้องบอกโยเซฟว่า “พ่อขอให้ลูกยกโทษให้พวกพี่ชายที่เคยทำร้ายลูก ยกโทษที่พวกเขาได้ทำผิดและทำบาปกับลูก”’ ดังนั้น ขอยกโทษให้พวกเราที่เป็นผู้รับใช้ของพระเจ้าที่พ่อนมัสการด้วยเถอะ” พอได้ยินว่าพวกเขาพูดอย่างนั้น โยเซฟก็ร้องไห้ 18 แล้วพวกพี่ชายของโยเซฟก็เข้ามาคุกเข่าต่อหน้าเขา และพูดว่า “พวกเราเป็นทาสของน้องแล้ว”+ 19 โยเซฟพูดกับพวกเขาว่า “อย่ากลัวเลยครับพี่ ผมไม่ใช่พระเจ้าจะได้มาลงโทษพวกพี่ 20 พวกพี่เคยคิดร้ายกับผมก็จริง+ แต่พระเจ้าตั้งใจให้เรื่องนั้นกลับเป็นผลดีเพื่อช่วยชีวิตผู้คนมากมายเอาไว้อย่างที่เป็นอยู่ในตอนนี้+ 21 ดังนั้น ไม่ต้องกลัวครับ ผมจะดูแลเรื่องอาหารการกินให้พวกพี่กับลูก ๆ อย่างนี้ต่อไป”+ โยเซฟพูดอย่างนี้เพื่อปลอบพวกเขาให้สบายใจขึ้น
22 โยเซฟกับครอบครัวของพ่ออยู่ในอียิปต์ต่อ และโยเซฟมีอายุยืนถึง 110 ปี 23 โยเซฟได้เห็นหลาน ๆ ของเอฟราอิม+ และยังได้เห็นพวกลูกชายของมาคีร์+ มาคีร์เป็นลูกชายมนัสเสห์ พวกเขาเป็นเหมือนลูกของโยเซฟ* 24 ต่อมา โยเซฟพูดกับพวกพี่น้องว่า “ผมกำลังจะตายแล้ว แต่เมื่อถึงเวลา พระเจ้าจะช่วยทุกคน+และพาออกจากแผ่นดินนี้ไปแผ่นดินที่พระองค์สาบานไว้ว่าจะให้กับอับราฮัม อิสอัค และยาโคบ”+ 25 แล้วโยเซฟก็ให้ลูกหลานของอิสราเอลสาบาน โยเซฟพูดว่า “เมื่อถึงเวลา พระเจ้าจะช่วยพวกคุณทุกคน แล้วขอให้พวกคุณนำกระดูกของผมไปจากที่นี่”+ 26 โยเซฟตายเมื่ออายุได้ 110 ปี พวกเขาอาบยาศพโยเซฟแล้วบรรจุโลงไว้ในอียิปต์
หรือ “พลังของพระเจ้า”
คือ น้ำที่อยู่ข้างบนและข้างล่าง
คำว่า “ทะเล” ในข้อนี้ยังหมายถึงทะเลสาบน้ำเค็มและทะเลสาบน้ำจืดด้วย
คำนี้ในภาษาฮีบรูน่าจะรวมถึงสัตว์อื่น ๆ เช่น สัตว์ขนาดเล็ก สัตว์จำพวกหนู และแมลง
หรือ “กันไว้สำหรับจุดประสงค์ของพระองค์โดยเฉพาะ”
หมายถึง 6 วันของการสร้าง
เป็นข้อแรกที่มีการกล่าวถึงชื่อของพระเจ้า יהוה (ยฮวฮ) ดูภาคผนวก ก4
หรือ “เอธิโอเปีย”
หรือ “ไทกริส”
หรือ “คนเดียวกัน”
หรือ “ฉลาดที่สุด” “ระแวดระวังที่สุด”
หรือ “ตัดสินเอง”
หรือ “ทำให้ฟกช้ำ”
หรือ “บดขยี้”
แปลว่า “มนุษย์” หรือ “มนุษยชาติ”
แปลว่า “ผู้มีชีวิต”
แปลตรงตัวว่า “คนที่มีชีวิตทุกคน”
คำว่า “เรา” ในภาษาฮีบรูอาจหมายถึงสองบุคคลหรือมากกว่านั้น
ในภาษาฮีบรู คำนี้เป็นรูปพหูพจน์ ซึ่งอาจหมายถึงเครูบ 2 องค์
อาจเป็นคำเตือนสำหรับคนอื่น ๆ
หรือ “แผ่นดินของคนที่หลบหนี”
แปลว่า “ถูกแต่งตั้ง”
คำว่า “มนุษย์” ในภาษาฮีบรูคือ “อาดัม”
แปลตรงตัวว่า “เดินกับพระเจ้าเที่ยงแท้”
แปลตรงตัวว่า “เดินกับพระเจ้าเที่ยงแท้”
อาจแปลว่า “การพักผ่อน” หรือ “การปลอบโยน”
เป็นสำนวนภาษาฮีบรูหมายถึงลูกของพระเจ้าที่เป็นทูตสวรรค์
หรือ “เพราะเขาทำตามความต้องการที่ไม่ถูกต้องของตัวเอง”
คำภาษาฮีบรูคือ เนฟิล อาจแปลว่า “นักโค่น” คือ ผู้ที่ทำให้คนอื่นล้มลง ดูคำว่า “เนฟิล” ในส่วนอธิบายศัพท์
ดูคำว่า “ถูกต้องชอบธรรม” ในส่วนอธิบายศัพท์
แปลตรงตัวว่า “เดินกับพระเจ้าเที่ยงแท้”
แปลตรงตัวว่า “หีบ” หมายถึงเรือใหญ่ที่มีรูปทรงสี่เหลี่ยมเหมือนหีบ
แปลตรงตัวว่า “ต้นโกเฟอร์” เป็นไม้ที่มียาง อาจเป็นต้นสนไซเพรส (สนดินสอ) ก็ได้
ยาว 133.5 เมตร กว้าง 22.25 เมตร และสูง 13.35 เมตร ดูภาคผนวก ข14
คำภาษาฮีบรูคือ ทโซฮาร์ บางคนคิดว่า ทโซฮาร์ หมายถึงหลังคาจั่วสูง 1 ศอก ไม่ใช่ช่องรับแสง
44.5 ซม.
หรืออาจแปลได้ว่า “สัตว์ที่สะอาดชนิดละ 7 คู่”
หรืออาจแปลได้ว่า “สัตว์ที่บินในท้องฟ้าชนิดละ 7 คู่”
คำนี้ในภาษาฮีบรูน่าจะรวมถึงสัตว์อื่น ๆ เช่น สัตว์ขนาดเล็ก สัตว์จำพวกหนู และแมลง
6.68 เมตร ดูภาคผนวก ข14
แปลตรงตัวว่า “คนไหนทำให้คนอื่นหลั่งเลือด”
หรือ “นักรบ”
หรือ “บาบิโลน”
หรืออาจแปลได้ว่า “เมืองต่าง ๆ นี้ประกอบกันเป็นเมืองใหญ่”
ฉบับอื่นแปลว่า “เชมเป็นพี่ชายของยาเฟท”
แปลว่า “แบ่งแยก”
หรือ “ประชากรโลก”
อิฐในที่นี้ทำจากฟางกับโคลนหรือดินเหนียวแล้วนำไปตากแดด
คำว่า “เรา” ในภาษาฮีบรูอาจหมายถึงสองบุคคลหรือมากกว่านั้น
หรือ “บาบิโลน” แปลว่า “ความยุ่งเหยิง”
หรือ “อยู่อย่างคนต่างชาติ”
น่าจะหมายถึงกษัตริย์ที่พูดถึงในข้อ 1
คือ ทะเลเดดซี หรือ ทะเลตาย
หรือ “อยู่ในเต็นท์”
แปลตรงตัวว่า “พี่น้อง”
แปลตรงตัวว่า “เราเป็นโล่สำหรับเจ้า”
แปลตรงตัวว่า “ลูกในไส้ของเจ้าเอง”
หรือ “มีความถูกต้องชอบธรรม”
แปลว่า “พระเจ้าได้ยิน”
บางคนคิดว่าเป็นม้าลาย อาจเป็นเพราะลาป่ากับม้าลายมีนิสัยชอบอยู่ตัวเดียวและไม่ยอมเข้าฝูง
หรืออาจแปลได้ว่า “เขาจะเป็นศัตรูกับพวกพี่น้องของเขาทุกคน”
แปลตรงตัวว่า “เรียกชื่อพระยะโฮวา”
หรือ “เห็นดิฉัน” “ให้ดิฉันได้เห็นพระองค์”
อาจแปลว่า “บ่อน้ำของพระองค์ผู้มีชีวิตอยู่และเห็นดิฉัน”
แปลว่า “พ่อผู้ได้รับการยกย่อง”
แปลว่า “พ่อของคนมากมาย”
อาจแปลว่า “มักโต้แย้ง”
แปลว่า “เจ้าหญิง”
แปลว่า “การหัวเราะ”
คือ ทูตสวรรค์ที่เป็นตัวแทนพระยะโฮวา
อับราฮัมเรียกทูตสวรรค์ที่แปลงกายเป็นมนุษย์เหมือนกับว่ากำลังพูดกับพระยะโฮวา
แปลตรงตัวว่า “3 ซีห์” หรือ 21.99 ลิตร ดูภาคผนวก ข14
แปลตรงตัวว่า “ได้มารู้จัก”
น่าจะหมายถึงผู้ชายสองคน
หมายถึงทูตสวรรค์สององค์นั้นที่แปลงกายเป็นมนุษย์
แปลตรงตัวว่า “ลูกเขย” ตามธรรมเนียมชาวฮีบรูจะเรียกคนที่เป็นคู่หมั้นกันเหมือนคนที่แต่งงานกันแล้ว
โลทเรียกทูตสวรรค์ที่แปลงกายเป็นมนุษย์เหมือนกับว่ากำลังพูดกับพระยะโฮวา
หรือ “รักผมอย่างมั่นคง”
คือ ทูตสวรรค์ที่เป็นตัวแทนพระยะโฮวา
แปลว่า “เล็ก”
หรือ “อยู่อย่างคนต่างชาติ”
ดูเหมือนเป็นชื่อตำแหน่งของกษัตริย์ฟีลิสเตีย
คือ ยังไม่ได้มีเพศสัมพันธ์กับเธอ
หรือ “รักฉันอย่างมั่นคง”
11.4 กก. ดูภาคผนวก ข14
หรืออาจแปลได้ว่า “หัวเราะเยาะฉัน”
ดูเหมือนเป็นชื่อตำแหน่งของแม่ทัพฟีลิสเตีย
หรือ “ความรักที่มั่นคง”
อาจแปลว่า “บ่อน้ำที่มีการสาบาน” หรือ “บ่อน้ำเลขเจ็ด”
หรือ “อยู่อย่างคนต่างชาติ”
ในที่นี้ทูตสวรรค์พูดแทนพระยะโฮวา
แปลว่า “พระยะโฮวาจะจัดหาให้”
หรือ “ทำให้ตัวเองได้รับพร” ซึ่งแสดงว่าต้องพยายามเพื่อจะได้รับพร
หรืออาจแปลได้ว่า “หัวหน้าใหญ่”
4.56 กก. ดูภาคผนวก ข14
4.56 กก.
ดูเหมือนว่านี่เป็นวิธียืนยันคำสาบานของคนในสมัยโบราณ
5.7 กรัม ดูภาคผนวก ข14
114 กรัม
อาจหมายถึงลาบัน
คือ คนที่เคยเป็นแม่นม แต่ตอนนี้เป็นคนรับใช้
เป็นสำนวนกวีหมายถึงตาย
เป็นสำนวนกวีหมายถึงตาย
หรืออาจแปลได้ว่า “เขาเป็นศัตรูกับพวกพี่น้องของเขาทุกคน”
แปลตรงตัวว่า “2 ชาติ”
แปลว่า “ขนดก”
แปลว่า “ผู้ที่จับส้นเท้า” หรือ “ผู้ที่แย่งชิง”
หรือ “เป็นคนปราศจากตำหนิ”
แปลว่า “แดง”
หรือ “ทำให้ตัวเองได้รับพร” ซึ่งแสดงว่าต้องพยายามเพื่อจะได้รับพร
หรือ “แสดงความรัก”
แปลว่า “การทะเลาะ”
แปลว่า “การกล่าวหา”
แปลว่า “ที่กว้าง”
แปลว่า “สาบาน” หรือ “เจ็ด”
แปลว่า “บ่อน้ำที่มีการสาบาน” หรือ “บ่อน้ำเลขเจ็ด”
แปลว่า “ผู้ที่จับส้นเท้า” หรือ “ผู้ที่แย่งชิง”
หรือ “วันที่จะคร่ำครวญถึงพ่อมาใกล้แล้ว”
หรือ “ลูกหลานของอิชมาเอล” ตอนนี้อิชมาเอลตายไปแล้วและเอซาวมีอายุประมาณ 77 ปี ดู ปฐก 25:17, 26
แปลว่า “ที่อยู่ของพระเจ้า”
การจูบคนอื่น เช่นจูบที่แก้ม เป็นการทักทายตามธรรมเนียมอย่างหนึ่งในสมัยนั้น
แปลตรงตัวว่า “พี่น้อง”
แปลตรงตัวว่า “เป็นกระดูกและเนื้อ”
แปลตรงตัวว่า “พี่น้อง”
แปลตรงตัวว่า “เกลียด”
แปลว่า “ดูสิ ลูกชาย!”
แปลว่า “ได้ยิน”
แปลว่า “ความผูกพัน” หรือ “ใกล้ชิด”
แปลว่า “ได้รับการสรรเสริญ”
แปลตรงตัวว่า “คลอดบนเข่าของฉัน”
แปลว่า “ผู้พิพากษา”
แปลว่า “การต่อสู้ของฉัน”
แปลว่า “มีความสุข” หรือ “โชคดี”
แปลว่า “ความสุข”
เชื่อกันว่าถ้ากินผลนี้แล้วจะมีลูกดก
แปลว่า “เขาเป็นสิ่งตอบแทน” หรือ “เขาเป็นรางวัล”
แปลว่า “การยอม”
ย่อมาจาก โยสิฟียาห์ ซึ่งแปลว่า “ขอยาห์เพิ่มเติมให้ (ทำให้มีมากขึ้น)”
แปลตรงตัวว่า “10 ครั้ง”
ในที่นี้ ทูตสวรรค์พูดแทนพระยะโฮวา
หรือ “เทพเจ้าประจำบ้าน” “รูปเคารพ”
คือ แม่น้ำยูเฟรติส
หรือ “พาญาติพี่น้อง”
หรือ “กลองฉิ่ง”
แปลตรงตัวว่า “10 ครั้ง”
เป็นคำภาษาอาราเมอิก แปลว่า “กองพยานหลักฐาน”
เป็นคำภาษาฮีบรู แปลว่า “กองพยานหลักฐาน”
หรือ “จุดเฝ้าดู”
แปลว่า “สองค่าย”
หรือ “อยู่อย่างคนต่างชาติ”
แปลว่า “ผู้ที่ต่อสู้กับ (ผู้ที่ไม่ยอมแพ้) พระเจ้า” หรือ “พระเจ้าต่อสู้”
แปลว่า “หน้าของพระเจ้า”
หรือ “เปนูเอล”
แปลว่า “เพิง”
แปลว่า “พระเจ้าเป็นพระเจ้าของอิสราเอล”
แปลตรงตัวว่า “คนที่มีหนังหุ้มปลายอวัยวะเพศ”
ในสมัยโบราณ ชาติอื่น ๆ มักใส่ตุ้มหูเป็นเครื่องราง
หรือ “ซ่อน”
แปลว่า “พระเจ้าอยู่ที่เบธเอล”
แปลว่า “ต้นโอ๊กของความโศกเศร้า”
แปลตรงตัวว่า “ออกมาจากเอวของเจ้า”
แปลว่า “ลูกชายที่ทำให้ฉันโศกเศร้า”
แปลว่า “ลูกชายที่อยู่ขวามือ” คือ ลูกชายคนโปรด
เป็นสำนวนกวีหมายถึงตาย
หรือ “อยู่อย่างคนต่างชาติ”
228 กรัม ดูภาคผนวก ข14
ดูคำว่า “หลุมศพ” ในส่วนอธิบายศัพท์
แปลว่า “การฉีกขาด” อาจหมายถึงการฉีกขาดของฝีเย็บ
หรือ “แสดงความรักที่มั่นคงต่อผม”
แปลตรงตัวว่า “บ่อ” หรือ “หลุม” คือ ที่คุมขังใต้ดินซึ่งเป็นบ่อหรือหลุม
แปลตรงตัวว่า “บ่อ” หรือ “หลุม” คือ ที่คุมขังใต้ดินซึ่งเป็นบ่อหรือหลุม
คำนี้ในภาษาฮีบรูอาจหมายความว่าเขาโกนทั้งหนวดเคราและผมด้วย
น่าจะหมายถึงคำที่บอกให้คนอื่นรู้ว่าควรแสดงความเคารพ
น่าจะแปลว่า “ผู้เปิดเผยสิ่งที่ปกปิดไว้”
คือ เมืองเฮลิโอโปลิส
หรือ “ตอนที่เขาเริ่มรับใช้”
คือ เมืองเฮลิโอโปลิส
แปลว่า “ผู้ที่ทำให้ลืม”
แปลว่า “เกิดผลสองเท่า”
หรือ “ประสบผลสำเร็จ”
อาจเป็นข้าวสาลีหรือข้าวบาร์เลย์
แปลตรงตัวว่า “เป็นทาสนายของผม”
แปลตรงตัวว่า “เป็นพ่อ”
3.42 กก. ดูภาคผนวก ข14
คือ เมืองเฮลิโอโปลิส
แปลตรงตัวว่า “ลูกชายหลายคน” อาจเป็นได้ว่าชื่อของลูกชายคนอื่น ๆ ของเขาไม่ได้ถูกกล่าวถึงในที่นี้
หรือ “อยู่อาศัยชั่วคราว” “อยู่อย่างคนต่างชาติ”
หรือ “อยู่อาศัยชั่วคราว” “อยู่อย่างคนต่างชาติ”
อาจเป็นข้าวสาลีหรือข้าวบาร์เลย์
หรือ “รักพ่ออย่างมั่นคงจริง ๆ”
แปลตรงตัวว่า “อิสราเอล”
หรือ “ความสามารถในการสืบพันธุ์”
แปลตรงตัวว่า “ลูกขึ้นไปบนเตียงพ่อ”
แปลตรงตัวว่า “มือของลูกจะอยู่บนคอของศัตรู”
แปลว่า “ผู้เป็นเจ้าของ”
คือ โยเซฟ
แปลตรงตัวว่า “พรเหล่านั้นจะอยู่บนหัวของโยเซฟต่อ ๆ ไป”
เป็นสำนวนกวีหมายถึงตาย
เป็นสำนวนกวีหมายถึงตาย
หรือ “คนในครอบครัว”
แปลตรงตัวว่า “พวกผู้ชายสูงอายุ”
แปลตรงตัวว่า “พวกผู้ชายสูงอายุ”
แปลว่า “การแสดงความโศกเศร้าของชาวอียิปต์”
แปลตรงตัวว่า “พวกเขาเกิดบนเข่าของโยเซฟ” คือ ได้รับการดูแลและได้รับความรักเหมือนลูก