อพยพ
1 ตอนที่ยาโคบหรืออิสราเอลไปอียิปต์ ลูกชายของเขากับครอบครัวเดินทางไปด้วย ลูกชายของเขามีชื่อดังต่อไปนี้+ 2 รูเบน สิเมโอน เลวี ยูดาห์+ 3 อิสสาคาร์ เศบูลุน เบนยามิน 4 ดาน นัฟทาลี กาด และอาเชอร์+ 5 ส่วนโยเซฟอยู่ในอียิปต์ก่อนแล้ว ลูกหลานของยาโคบรวมทั้งหมดมี 70 คน+ 6 ภายหลัง โยเซฟตาย+ และพวกพี่น้องรวมทั้งคนรุ่นนั้นทั้งหมดก็ตายด้วย 7 ชาวอิสราเอลมีลูกหลานมากมายและเพิ่มจำนวนอย่างรวดเร็ว พวกเขาเพิ่มจำนวนมากขึ้นเรื่อย ๆ จนเต็มแผ่นดินและเข้มแข็งมากขึ้นจนน่ากลัว+
8 ต่อมา อียิปต์มีกษัตริย์องค์ใหม่ขึ้นปกครองซึ่งเขาไม่รู้จักโยเซฟ 9 กษัตริย์พูดกับประชาชนชาวอียิปต์ว่า “ดูสิ ชาวอิสราเอลมีมากกว่าพวกเรา แถมยังเข้มแข็งกว่าพวกเราด้วย+ 10 เราต้องหาวิธีจัดการกับพวกมัน ไม่อย่างนั้น พวกมันจะเพิ่มจำนวนขึ้นเรื่อย ๆ แล้วพอเกิดศึกสงคราม พวกมันก็จะเข้าร่วมกับฝ่ายศัตรูมาต่อสู้เรา แล้วหนีออกจากประเทศของเรา”
11 พวกเขาจึงตั้งหัวหน้างานขึ้นมาบังคับและกดขี่ชาวอิสราเอลให้ทำงานหนัก+ และพวกเขาได้สร้างเมืองปิธมกับราเมเสส+เป็นคลังเก็บเสบียงอาหารสำหรับฟาโรห์ 12 แต่ยิ่งชาวอิสราเอลถูกกดขี่ พวกเขาก็ยิ่งเพิ่มจำนวนขึ้นและแพร่ขยายมากขึ้นจนชาวอียิปต์รู้สึกกลัวชาวอิสราเอลมาก+ 13 ชาวอียิปต์จึงบังคับชาวอิสราเอลให้ทำงานเป็นทาสอย่างไร้ความปรานี+ 14 พวกเขาทำให้ชีวิตชาวอิสราเอลขมขื่นโดยใช้ให้ทำงานหนัก บังคับให้ทำอิฐ*ทำปูน และทำงานทุกอย่างในทุ่ง ชาวอียิปต์ใช้ชาวอิสราเอลเป็นทาสและกดขี่เคี่ยวเข็ญให้ทำงานทุกชนิด+
15 ต่อมา กษัตริย์อียิปต์มีคำสั่งถึงผู้หญิงทำคลอดชาวฮีบรู คนหนึ่งชื่อชิฟราห์ อีกคนหนึ่งชื่อปูอาห์ 16 กษัตริย์สั่งว่า “ตอนทำคลอดผู้หญิงชาวฮีบรู+ ให้ดูว่าเด็กที่เกิดมาเป็นผู้ชายหรือผู้หญิง ถ้าเป็นผู้ชายให้ฆ่าทิ้งซะ! แต่ถ้าเป็นผู้หญิงก็ไม่ต้องฆ่า” 17 แต่ผู้หญิงทำคลอดเกรงกลัวพระเจ้าเที่ยงแท้ จึงไม่ทำตามคำสั่งของกษัตริย์อียิปต์ พวกเธอปล่อยให้เด็กผู้ชายรอดชีวิต+ 18 กษัตริย์อียิปต์จึงเรียกผู้หญิงทำคลอดมาพบและถามว่า “ทำไมถึงปล่อยให้เด็กผู้ชายรอดชีวิต?” 19 ผู้หญิงทำคลอดก็บอกฟาโรห์ว่า “พวกผู้หญิงชาวฮีบรูไม่เหมือนผู้หญิงชาวอียิปต์ พวกเธอแข็งแรงมากเลยคลอดลูกก่อนที่คนทำคลอดจะไปถึงซะอีก”
20 พระเจ้าจึงให้รางวัลผู้หญิงทำคลอดสองคนนั้น ส่วนชาวอิสราเอลก็เพิ่มจำนวนขึ้นเรื่อย ๆ และเข้มแข็งมากขึ้น 21 ต่อมา พระองค์ให้ผู้หญิงทำคลอดสองคนนี้มีลูกเพราะพวกเธอเกรงกลัวพระเจ้าเที่ยงแท้ 22 ในที่สุด ฟาโรห์สั่งประชาชนทุกคนว่า “เอาเด็กผู้ชายชาวฮีบรูแรกเกิดไปทิ้งในแม่น้ำไนล์ให้หมด แต่เด็กผู้หญิงให้ไว้ชีวิต”+
2 ในช่วงเวลานั้น มีผู้ชายคนหนึ่งในตระกูลเลวีแต่งงานกับผู้หญิงในตระกูลเดียวกัน+ 2 จากนั้น เธอตั้งท้องและคลอดลูกคนหนึ่งเป็นผู้ชาย เมื่อเห็นว่าหน้าตาน่ารักน่าชัง เธอก็ซ่อนลูกไว้ถึง 3 เดือน+ 3 พอเห็นว่าซ่อนต่อไปไม่ได้แล้ว+ เธอจึงเอาตะกร้า*ที่สานด้วยกกพาไพรัสมาใบหนึ่งและยาด้วยยางมะตอยกับน้ำมันดิน เธอเอาลูกใส่ในตะกร้านั้นและเอาไปวางไว้ในกออ้อริมฝั่งแม่น้ำไนล์ 4 พี่สาวของเด็กนั้น+ก็ยืนมองอยู่ห่าง ๆ เพื่อดูว่าจะเกิดอะไรขึ้นกับน้อง
5 พอลูกสาวของฟาโรห์ลงมาอาบน้ำที่แม่น้ำไนล์ พวกสาวใช้ก็เดินอยู่ริมฝั่งแม่น้ำ แล้วลูกสาวของฟาโรห์ก็เห็นตะกร้านั้นลอยอยู่กลางกออ้อ จึงให้ทาสหญิงรีบไปเอามา+ 6 เมื่อเธอเปิดตะกร้านั้นและเห็นเด็กผู้ชายกำลังร้องไห้อยู่ก็พูดว่า “นี่คงเป็นลูกของชาวฮีบรู” แต่เธอรู้สึกสงสารเด็กคนนั้น 7 พี่สาวของเด็กก็พูดกับลูกสาวของฟาโรห์ว่า “หนูจะไปหาแม่นมชาวฮีบรูมาดูแลเด็กคนนี้ให้เอาไหมคะ?” 8 ลูกสาวของฟาโรห์ก็บอกว่า “ดีสิ ไปหามาเลย” แล้วพี่สาวก็ไปเรียกแม่ของเด็กมา+ 9 ลูกสาวของฟาโรห์ก็พูดกับเธอว่า “เอาเด็กคนนี้ไปเลี้ยงให้เราหน่อย แล้วเราจะให้ค่าจ้าง” เธอก็เอาไปเลี้ยง 10 เมื่อเด็กโตขึ้น เธอก็พาไปให้ลูกสาวของฟาโรห์ แล้วลูกสาวของฟาโรห์ก็รับไว้เป็นลูกของตัวเอง+ และตั้งชื่อว่าโมเสส* เธอพูดว่า “ฉันตั้งชื่อนี้เพราะได้ช่วยเด็กคนนี้ขึ้นมาจากน้ำ”+
11 เมื่อโมเสสเติบโตเป็นผู้ใหญ่ เขาออกไปหาเพื่อนร่วมชาติของตัวเองและเห็นว่าพวกเขาถูกบังคับให้ทำงานหนัก+ โมเสสเห็นชาวอียิปต์คนหนึ่งกำลังตีชาวฮีบรูที่เป็นคนชาติเดียวกันกับเขา 12 เขาจึงมองไปรอบ ๆ เมื่อเห็นว่าไม่มีใคร โมเสสก็ฆ่าชาวอียิปต์คนนั้นและเอาทรายกลบไว้+
13 พอเขาออกไปอีกในวันรุ่งขึ้นก็พบผู้ชายชาวฮีบรูสองคนกำลังตีกัน เขาจึงพูดกับคนที่เป็นฝ่ายผิดว่า “ทำไมตีเพื่อนอย่างนี้?”+ 14 คนนั้นตอบว่า “ใครตั้งคุณให้เป็นผู้นำและผู้พิพากษาตัดสินพวกเรา? คุณคิดจะฆ่าผมเหมือนที่ได้ฆ่าชาวอียิปต์คนนั้นหรือ?”+ โมเสสก็กลัวและคิดในใจว่า “คนอื่น ๆ คงรู้เรื่องนี้กันหมดแล้ว”
15 พอฟาโรห์ได้ยินเรื่องนี้ก็หาทางจะฆ่าโมเสส โมเสสจึงหนีฟาโรห์ไปอาศัยอยู่ในแผ่นดินมีเดียน+ หลังจากไปถึงที่นั่น เขานั่งลงที่ริมบ่อน้ำแห่งหนึ่ง 16 จากนั้น ลูกสาว 7 คนของปุโรหิตชาวมีเดียน+ก็มาตักน้ำใส่รางให้ฝูงแกะของพ่อกิน 17 แต่พวกคนเลี้ยงแกะก็มาไล่พวกเธอตามเคย โมเสสจึงเข้าไปช่วยพวกเธอและเอาน้ำให้ฝูงแกะกิน 18 พอพวกเธอกลับบ้านไปหาเรอูเอล*พ่อของพวกเธอ+ เขาก็ถามด้วยความแปลกใจว่า “ทำไมวันนี้กลับมากันเร็วจัง?” 19 พวกเธอตอบว่า “มีชาวอียิปต์คนหนึ่ง+ช่วยพวกเราไว้จากพวกคนเลี้ยงแกะ เขายังตักน้ำให้ฝูงแกะกินด้วย” 20 เรอูเอลจึงพูดกับลูกสาวว่า “อ้าว แล้วตอนนี้เขาอยู่ที่ไหน? ทำไมไม่พาเขามาด้วย? ไปเรียกเขามากินข้าวกับเราสิ” 21 หลังจากนั้น โมเสสก็ตกลงจะอาศัยอยู่กับเรอูเอล และเรอูเอลก็ให้ศิปโปราห์+ลูกสาวแต่งงานกับโมเสส 22 ต่อมา เธอคลอดลูกชาย และโมเสสตั้งชื่อให้ว่าเกอร์โชม*+ โมเสสพูดว่า “เพราะเรามาอยู่ต่างแดนอย่างคนต่างชาติ”+
23 หลังจากนั้นหลายปี กษัตริย์อียิปต์ก็เสียชีวิต+ แต่ชาวอิสราเอลยังคงคร่ำครวญเพราะการเป็นทาส พวกเขาร้องไห้คร่ำครวญด้วยความทุกข์และเสียงร้องขอความช่วยเหลือดังขึ้นไปถึงพระเจ้าเที่ยงแท้+ 24 พระเจ้าได้ยินเสียงคร่ำครวญของพวกเขา+ และคิดถึงสัญญาที่พระองค์ทำไว้กับอับราฮัม อิสอัค และยาโคบ+ 25 พระเจ้าจึงสังเกตดูชาวอิสราเอล และเห็นความทุกข์ของพวกเขา
3 โมเสสเป็นคนเลี้ยงฝูงแกะให้เยโธร*+พ่อตาซึ่งเป็นปุโรหิตชาวมีเดียน ตอนที่ต้อนฝูงแกะไปทางตะวันตกของที่กันดาร เขาก็มาถึงโฮเรบภูเขาของพระเจ้าเที่ยงแท้+ 2 ทูตสวรรค์ของพระยะโฮวามาหาโมเสสโดยปรากฏเป็นเปลวไฟที่พุ่มหนาม+ โมเสสจ้องดูก็เห็นว่าพุ่มหนามมีไฟลุกโชนอยู่ แต่ไม่ได้ไหม้ 3 โมเสสจึงพูดว่า “เข้าไปดูสิ่งแปลกประหลาดนี้หน่อยดีกว่าว่า ทำไมพุ่มหนามนี้ถึงไม่ไหม้” 4 เมื่อพระยะโฮวาเห็นโมเสสเข้ามาดู พระองค์จึงเรียกเขาจากพุ่มหนามนั้นว่า “โมเสส โมเสส” เขาตอบว่า “ผมอยู่นี่ครับ” 5 พระองค์บอกว่า “อย่าเข้ามาใกล้กว่านี้ ถอดรองเท้าด้วย เพราะที่ที่เจ้ายืนอยู่เป็นที่บริสุทธิ์”
6 พระองค์พูดต่อไปว่า “เราเป็นพระเจ้าของบรรพบุรุษของเจ้า คือพระเจ้าของอับราฮัม+ พระเจ้าของอิสอัค+ และพระเจ้าของยาโคบ”+ โมเสสก็ปิดหน้าตัวเองเพราะเขาไม่กล้ามองพระเจ้าเที่ยงแท้ 7 พระยะโฮวาพูดอีกว่า “เราเห็นแล้วว่าประชาชนของเราซึ่งอยู่ในอียิปต์กำลังเจอกับความทุกข์ยากลำบาก เราได้ยินเสียงร้องของพวกเขาเพราะถูกหัวหน้างานบังคับให้ทำงานหนัก เรารู้ดีว่าพวกเขาเจ็บปวดขนาดไหน+ 8 เราจะลงไปช่วยพวกเขาให้รอดจากเงื้อมมือของชาวอียิปต์+ และพาพวกเขาออกจากแผ่นดินนั้นไปแผ่นดินที่ดีและกว้างใหญ่ ซึ่งเป็นแผ่นดินที่มีน้ำนมและน้ำผึ้งมากมาย+ และเป็นที่อยู่ของชาวคานาอัน ชาวฮิตไทต์ ชาวอาโมไรต์ ชาวเปริสซี ชาวฮีไวต์ และชาวเยบุส+ 9 เสียงร้องของชาวอิสราเอลดังขึ้นมาถึงเราแล้ว และเราได้เห็นว่าชาวอียิปต์กดขี่พวกเขาอย่างทารุณ+ 10 ตอนนี้ เราจะใช้เจ้าไปหาฟาโรห์ และให้เจ้าพาชาวอิสราเอลประชาชนของเราออกจากอียิปต์”+
11 แต่โมเสสถามพระเจ้าเที่ยงแท้ว่า “ผมเป็นใครถึงจะไปหาฟาโรห์และพาชาวอิสราเอลออกจากอียิปต์ได้?” 12 พระองค์ตอบว่า “เราจะอยู่กับเจ้า+ และเจ้าจะนำชาวอิสราเอลออกจากอียิปต์ แล้วพวกเจ้าจะมานมัสการเราผู้เป็นพระเจ้าเที่ยงแท้บนภูเขานี้+ นี่เป็นคำสัญญาของเราและโดยวิธีนี้เจ้าจะรู้ว่าเราเป็นผู้ส่งเจ้าไป”
13 โมเสสถามพระเจ้าเที่ยงแท้ว่า “ตอนที่ผมไปหาชาวอิสราเอลและพูดกับพวกเขาว่า ‘พระเจ้าของบรรพบุรุษของพวกคุณใช้ผมมาหาพวกคุณ’ ถ้าพวกเขาถามว่า ‘พระองค์มีชื่อว่าอะไร?’+ ผมควรจะตอบว่ายังไงครับ?” 14 พระเจ้าบอกกับโมเสสว่า “เราจะเป็นทุกอย่างที่เราต้องการจะเป็น”*+ และพระองค์บอกอีกว่า “ไปบอกชาวอิสราเอลว่า ‘พระองค์ที่มีชื่อว่า “เราจะเป็น” ได้ใช้ผมมาหาพวกคุณ’”+ 15 แล้วพระเจ้าพูดกับโมเสสอีกครั้งหนึ่งว่า
“ไปบอกชาวอิสราเอลว่า ‘พระยะโฮวาพระเจ้าของบรรพบุรุษของพวกคุณ คือพระเจ้าของอับราฮัม+ พระเจ้าของอิสอัค+ และพระเจ้าของยาโคบ+ ได้ใช้ผมมาหาพวกคุณ’ นี่คือชื่อของเราตลอดไป+ และชื่อนี้แหละจะทำให้ผู้คนทุกยุคทุกสมัยคิดถึงเรา 16 ไปเรียกพวกผู้นำ*ของชาวอิสราเอลให้มาพร้อมหน้ากัน แล้วบอกพวกเขาว่า ‘พระยะโฮวาพระเจ้าของบรรพบุรุษของพวกคุณ คือพระเจ้าของอับราฮัม อิสอัค และยาโคบ ได้มาหาผมและพูดว่า “เราเฝ้าดูพวกเจ้ามาตลอด+ และเรารู้ว่าเกิดอะไรขึ้นกับพวกเจ้าในอียิปต์ 17 เราสัญญาว่าจะช่วยพวกเจ้าให้พ้นจากความทุกข์ยากลำบาก+ที่เกิดจากน้ำมือของชาวอียิปต์ และจะนำพวกเจ้าเข้าสู่แผ่นดินของชาวคานาอัน ชาวฮิตไทต์ ชาวอาโมไรต์+ ชาวเปริสซี ชาวฮีไวต์ และชาวเยบุส+ ซึ่งเป็นแผ่นดินที่มีน้ำนมและน้ำผึ้งมากมาย”’+
18 “พวกเขาจะฟังเจ้า+ ให้เจ้ากับพวกผู้นำของชาวอิสราเอลไปพบกษัตริย์อียิปต์และพูดกับเขาว่า ‘พระยะโฮวาพระเจ้าของชาวฮีบรู+ได้มาหาพวกเรา ดังนั้น โปรดให้พวกเราเดินทางไปถวายเครื่องบูชาให้พระยะโฮวาพระเจ้าของพวกเราในที่กันดาร 3 วันด้วยเถอะ’+ 19 แต่เรารู้ดีว่ากษัตริย์อียิปต์จะไม่ยอมให้พวกเจ้าไป นอกจากว่าจะมีใครใช้อำนาจบังคับเขา+ 20 ดังนั้น เราจะลงมือจัดการอียิปต์ และเล่นงานพวกเขาด้วยการแสดงอิทธิฤทธิ์ต่าง ๆ หลังจากนั้น เขาถึงจะปล่อยพวกเจ้าออกไป+ 21 เราจะทำให้ชาวอียิปต์เมตตาพวกเจ้า และเมื่อพวกเจ้าไปจากพวกเขา พวกเจ้าจะไม่ไปมือเปล่า+ 22 ให้ผู้หญิงแต่ละคนขอเครื่องเงิน เครื่องทอง และเสื้อผ้าจากเพื่อนบ้าน และจากผู้หญิงที่อาศัยอยู่ในบ้านของเธอด้วย แล้วเอาของที่ได้มานั้นสวมใส่ให้ลูกชายกับลูกสาวของพวกเจ้า ให้ริบเอาของพวกนี้จากชาวอียิปต์ให้หมด”+
4 แล้วโมเสสก็ถามอีกว่า “แต่ถ้าพวกเขาไม่เชื่อผมและไม่ยอมทำตามที่ผมพูดล่ะครับ?+ เพราะพวกเขาคงบอกว่า ‘ไม่จริงหรอก พระยะโฮวาไม่ได้มาหาคุณ’” 2 พระยะโฮวาจึงถามเขาว่า “เจ้าถืออะไรอยู่ในมือ?” เขาตอบว่า “ไม้เท้าครับ” 3 พระองค์บอกต่อไปว่า “ลองโยนไม้นั้นลงที่พื้นสิ” เขาก็โยนลงไป ไม้เท้านั้นก็กลายเป็นงู+ โมเสสก็ถอยหนี 4 พระยะโฮวาจึงบอกโมเสสว่า “เอื้อมมือไปจับที่หางงูสิ” พอเขาเอื้อมมือไปจับ มันก็กลายเป็นไม้เท้าอยู่ในมือเขา 5 พระเจ้าพูดต่อไปว่า “ให้เจ้าทำอย่างนี้ พวกเขาจะได้เชื่อว่าพระยะโฮวาพระเจ้าของบรรพบุรุษของพวกเขา คือพระเจ้าของอับราฮัม พระเจ้าของอิสอัค และพระเจ้าของยาโคบ+ ได้มาหาเจ้าจริง ๆ”+
6 แล้วพระยะโฮวาพูดกับเขาอีกว่า “ขอเจ้าเอามือสอดเข้าไปในอกเสื้อ” เขาก็เอามือสอดเข้าไป พอชักมือออกมา มือเขาก็กลายเป็นโรคเรื้อนขาวเหมือนหิมะ+ 7 พระองค์จึงบอกว่า “เอามือสอดเข้าไปในอกเสื้ออีกครั้ง” เขาก็เอามือสอดเข้าไปอีก พอชักมือออกมา มือนั้นก็กลับเป็นปกติ 8 พระองค์พูดต่อไปว่า “ถ้าพวกเขาไม่เชื่อเจ้าและไม่ใส่ใจหลักฐานจากการอัศจรรย์ครั้งแรก พวกเขาจะยอมรับหลักฐานจากการอัศจรรย์ครั้งที่สอง+ 9 แต่ถ้าเจ้าทำการอัศจรรย์ทั้งสองครั้งแล้ว พวกเขายังไม่เชื่อ และยังไม่ยอมฟังเจ้า ก็ให้เอาน้ำจากแม่น้ำไนล์มาเทลงบนพื้นดินแห้ง แล้วน้ำที่เจ้าเอามาจากแม่น้ำไนล์จะกลายเป็นเลือดบนดินแห้งนั้น”+
10 โมเสสก็ตอบพระยะโฮวาว่า “แต่พระยะโฮวาครับ ผมพูดไม่เก่งตั้งแต่ไหนแต่ไรมา ทั้งก่อนหน้านี้หรือตอนที่พระองค์เริ่มพูดกับผมซึ่งเป็นผู้รับใช้ของพระองค์ ผมเป็นคนพูดช้าแถมยังพูดไม่ค่อยคล่อง”+ 11 พระยะโฮวาจึงบอกเขาว่า “ใครสร้างปากให้มนุษย์? หรือใครที่ทำให้คนเป็นใบ้ หูหนวก ตาดี หรือตาบอดได้? ไม่ใช่เรายะโฮวาหรอกหรือ? 12 ดังนั้น ไปเถอะ เราจะช่วยเจ้าตอนที่เจ้าพูด* และเราจะสอนเจ้าเองว่าควรจะพูดอะไร”+ 13 แต่เขาตอบว่า “พระยะโฮวาครับ ใช้คนอื่นไปเถอะครับ” 14 พระยะโฮวาโกรธโมเสสมากและพูดว่า “แล้วอาโรน+คนในตระกูลเลวีพี่ชายของเจ้าล่ะ? เรารู้ว่าเขาพูดคล่อง เขากำลังมาหาเจ้า และเขาคงจะดีใจมากเมื่อเห็นเจ้า+ 15 ให้เจ้าพูดกับเขาตามที่เราบอกไป+ เราจะอยู่กับเจ้าเมื่อเจ้าพูดและจะอยู่กับเขาเมื่อเขาพูด*+ เราจะสอนเจ้าทั้งสองคนว่าควรจะทำอะไร 16 เขาจะพูดกับประชาชนแทนเจ้า เขาจะเป็นโฆษกของเจ้า และเจ้าจะเป็นคนบอกเขาว่าพระเจ้าพูดอะไร*+ 17 ให้เจ้าถือไม้เท้านี้ไว้ในมือ และทำการอัศจรรย์ด้วยไม้เท้านี้”+
18 แล้วโมเสสก็กลับไปหาเยโธรพ่อตา+ และพูดกับเขาว่า “ขอผมกลับไปหาพี่น้องของผมในอียิปต์เพื่อดูว่าพวกเขาเป็นยังไงกันบ้าง” เยโธรก็พูดกับโมเสสว่า “ไปเถอะ ขอให้เดินทางปลอดภัย” 19 หลังจากนั้น พระยะโฮวาพูดกับโมเสสในมีเดียนว่า “กลับไปที่อียิปต์ได้แล้ว คนที่พยายามจะฆ่าเจ้านั้นตายกันไปหมดแล้ว”+
20 โมเสสให้ภรรยาและลูกชายขึ้นนั่งบนหลังลา แล้วพากันออกเดินทางไปอียิปต์ โมเสสถือไม้เท้าของพระเจ้าเที่ยงแท้ไปด้วย 21 พระยะโฮวาพูดกับโมเสสว่า “เมื่อเจ้ากลับไปถึงอียิปต์แล้ว ให้ทำการอัศจรรย์ต่าง ๆ ต่อหน้าฟาโรห์ตามที่เราได้ให้อำนาจเจ้า+ แต่เราจะปล่อยให้ใจของฟาโรห์ดื้อดึง+ และเขาจะไม่ปล่อยประชาชนของเรา+ 22 ให้เจ้าบอกฟาโรห์ว่า ‘พระยะโฮวาพูดไว้อย่างนี้ “ชาวอิสราเอลเป็นลูกชายคนโตของเรา+ 23 เราขอสั่งเจ้าว่า ปล่อยลูกชายของเรามานมัสการเราเดี๋ยวนี้ ถ้าเจ้าไม่ยอมปล่อยเขา เราจะสังหารลูกชายคนโตของเจ้า”’”+
24 ตรงที่พักระหว่างทาง พระยะโฮวา*+ก็มาพบเขา และจะประหารชีวิตเขา+ 25 แต่ศิปโปราห์+ได้เอาหินคม*มาทำสุหนัตให้ลูกชายของเธอแล้วโยนหนังหุ้มปลายอวัยวะเพศของลูกชายให้ถูกเท้าของพระองค์และพูดว่า “พระองค์เป็นเจ้าบ่าวของดิฉันโดยเลือดนี้” 26 พระองค์จึงไว้ชีวิตเขา และที่เธอพูดในตอนนั้นว่า “เจ้าบ่าวโดยเลือดนี้” ก็เพราะการทำสุหนัตนั้น
27 ต่อมา พระยะโฮวาพูดกับอาโรนว่า “ไปหาโมเสสในที่กันดาร”+ เขาก็ไปและพบโมเสสบนภูเขาของพระเจ้าเที่ยงแท้+ อาโรนจูบทักทายโมเสส 28 แล้วโมเสสก็เล่าเรื่องทั้งหมดให้อาโรนฟัง ทั้งคำพูดของพระยะโฮวา+และการอัศจรรย์ทุกอย่างที่พระองค์สั่งให้เขาทำ+ 29 หลังจากนั้น โมเสสกับอาโรนก็ไปหาพวกผู้นำของชาวอิสราเอล และเรียกทุกคนให้มาชุมนุมกัน+ 30 อาโรนเล่าทุกสิ่งที่พระยะโฮวาพูดกับโมเสสให้พวกเขาฟัง และโมเสสทำการอัศจรรย์ต่าง ๆ+ต่อหน้าประชาชน 31 พอเห็นอย่างนั้น ประชาชนก็เชื่อ+ และเมื่อพวกเขาได้ยินว่าพระยะโฮวาใส่ใจชาวอิสราเอล+และเห็นความทุกข์ยากลำบากของพวกเขาแล้ว+ พวกเขาก็หมอบลงนมัสการพระเจ้า
5 หลังจากนั้น โมเสสกับอาโรนก็ไปพบฟาโรห์ พวกเขาพูดว่า “พระยะโฮวาพระเจ้าของอิสราเอลได้บอกไว้อย่างนี้ ‘ปล่อยประชาชนของเราไปเดี๋ยวนี้ พวกเขาจะได้จัดเทศกาลฉลองให้เราในที่กันดาร’” 2 แต่ฟาโรห์ตอบว่า “พระยะโฮวาเป็นใคร?+ แล้วทำไมเราจะต้องฟังพระองค์และปล่อยพวกอิสราเอลไป?+ เราไม่เห็นจะรู้จักพระยะโฮวา และเราก็จะไม่ปล่อยพวกอิสราเอลไป”+ 3 โมเสสกับอาโรนจึงพูดว่า “พระเจ้าของชาวฮีบรูได้มาหาพวกเรา ดังนั้น พวกเราขอเดินทางไปถวายเครื่องบูชาให้พระยะโฮวาพระเจ้าของพวกเราในที่กันดาร 3 วัน+ ถ้าพวกเราไม่ได้ไป พระองค์จะลงโทษพวกเราด้วยโรคร้ายหรือไม่ก็ด้วยคมดาบ” 4 กษัตริย์อียิปต์ตอบว่า “โมเสสกับอาโรน ทำไมพวกคุณจะให้ประชาชนทิ้งงานที่พวกเขาทำกันอยู่? กลับไปทำงานเดี๋ยวนี้!”+ 5 ฟาโรห์พูดอีกว่า “ดูสิ คนของพวกคุณมีมากมายขนาดไหนในแผ่นดินนี้ แล้วจะมาขอให้พวกเขาหยุดงานเพื่อไปกับพวกคุณอย่างนั้นหรือ?”
6 ในวันเดียวกันนั้น ฟาโรห์มีคำสั่งถึงพวกหัวหน้างานและผู้ช่วย*ของเขาว่า 7 “อย่าให้ฟางพวกอิสราเอลเอาไปใช้ทำอิฐอีก+ ให้พวกมันไปหากันเอาเอง 8 แต่ต้องสั่งพวกมันให้ทำอิฐจำนวนเท่าเดิม อย่าลดจำนวนลงเด็ดขาด เพราะพวกนี้มันขี้เกียจ พวกมันถึงมาขอเราว่า ‘ขอให้พวกเราไปถวายเครื่องบูชาให้พระเจ้าของพวกเราด้วยเถอะ’ 9 ให้พวกมันทำงานหนักขึ้น จะได้ไม่มีเวลาไปสนใจเรื่องหลอกลวงไร้สาระพวกนี้”
10 พวกหัวหน้างาน+กับผู้ช่วยของเขาออกไปพูดกับชาวอิสราเอลว่า “ฟาโรห์สั่งไว้อย่างนี้ ‘เราจะไม่ให้ฟางพวกแกอีกแล้ว 11 ให้ไปหาฟางเอาเอง จะไปหาจากที่ไหนก็เรื่องของพวกแก แต่ว่าพวกแกจะต้องทำงานให้ได้เท่าเดิม’” 12 ชาวอิสราเอลจึงแยกย้ายกันไปทั่วแผ่นดินอียิปต์เพื่อเก็บซังข้าวมาใช้เป็นฟาง 13 พวกหัวหน้างานก็คอยไล่บี้พวกเขาว่า “ทุกวันพวกแกทุกคนต้องทำงานให้ได้เหมือนตอนที่มีฟางให้” 14 ต่อมา พวกผู้ช่วยที่เป็นชาวอิสราเอลก็ถูกเฆี่ยน+ พวกเขาเป็นคนที่หัวหน้างานของฟาโรห์ตั้งไว้ให้ดูแลคนงาน หัวหน้างานถามพวกเขาว่า “ทำไมพวกแกไม่ทำอิฐให้ครบตามจำนวนที่เคยทำ? เมื่อวานก็ไม่ครบ วันนี้ก็ไม่ครบอีก”
15 พวกผู้ช่วยที่เป็นชาวอิสราเอลก็ไปร้องเรียนฟาโรห์ว่า “ทำไมทำกับทาสของท่านอย่างนี้? 16 ไม่มีใครให้ฟางกับทาสของท่านเลย แต่ก็ยังมีคำสั่งว่า ‘ทำอิฐเร็ว ๆ’ พวกเราถูกเฆี่ยนทั้ง ๆ ที่คนของท่านเป็นฝ่ายผิด” 17 แต่ฟาโรห์ตอบว่า “ไอ้ขี้เกียจ พวกแกมันขี้เกียจจริง ๆ+ พวกแกถึงมาพูดว่า ‘ขอให้พวกเราไปถวายเครื่องบูชาให้พระยะโฮวา’+ 18 กลับไปทำงานเดี๋ยวนี้! เราจะไม่ให้ฟาง แต่พวกแกต้องทำอิฐให้ได้ตามจำนวนที่กำหนดไว้”
19 พวกผู้ช่วยที่เป็นชาวอิสราเอลก็รู้ว่าตัวเองกำลังตกที่นั่งลำบาก เพราะคำสั่งที่ว่า “จำนวนอิฐที่ต้องทำในแต่ละวันนั้น ห้ามลดจำนวนลงแม้แต่ก้อนเดียว” 20 หลังจากที่พวกเขาเข้าพบฟาโรห์แล้ว พวกเขาก็ออกมาและพบว่าโมเสสกับอาโรนยืนคอยพวกเขาอยู่ 21 พวกเขาจึงพูดกับโมเสสและอาโรนว่า “ขอพระยะโฮวาดูสิ่งที่คุณทำไปและลงโทษคุณ เพราะคุณนี่แหละที่ทำให้ฟาโรห์กับข้าราชสำนักของเขาเกลียดพวกเรา* สิ่งที่คุณทำไปเป็นเหมือนเอาดาบใส่มือพวกเขาให้มาฆ่าพวกเรา”+ 22 โมเสสจึงพูดกับพระยะโฮวาว่า “พระยะโฮวาครับ ทำไมพระองค์ถึงทำให้ประชาชนพวกนี้ลำบาก? ทำไมพระองค์ถึงใช้ผมมาที่นี่? 23 เพราะตั้งแต่ผมพบกับฟาโรห์และบอกเขาในนามของพระองค์+ ฟาโรห์กลับทำให้ชาวอิสราเอลเดือดร้อนมากขึ้น+ พระองค์ไม่ได้ช่วยประชาชนของพระองค์เลย”+
6 พระยะโฮวาจึงพูดกับโมเสสว่า “ในตอนนี้ เจ้าจะได้เห็นสิ่งที่เราจะทำกับฟาโรห์+ เราจะใช้อำนาจบังคับเขาให้ปล่อยประชาชนของเราออกไป เราจะทำให้เขาถึงกับไล่ชาวอิสราเอลออกจากอียิปต์ด้วยซ้ำ”+
2 แล้วพระเจ้าพูดกับโมเสสว่า “เราคือยะโฮวา 3 เราเคยมาหาอับราฮัม อิสอัค และยาโคบในฐานะพระเจ้าผู้มีพลังอำนาจสูงสุด+ แต่สำหรับชื่อยะโฮวา+นั้นเรายังไม่ได้ทำให้พวกเขารู้จักเต็มที่+ 4 เราได้ทำสัญญากับพวกเขาด้วยว่าจะยกแผ่นดินคานาอันที่พวกเขาอาศัยอยู่อย่างคนต่างชาติให้พวกเขา+ 5 ในตอนนี้ เราได้ยินเสียงคร่ำครวญของชาวอิสราเอลซึ่งตกเป็นทาสของชาวอียิปต์ และเราระลึกถึงสัญญาของเราแล้ว+
6 “ดังนั้น ไปบอกชาวอิสราเอลว่า ‘เราคือยะโฮวา เราจะปลดปล่อยพวกเจ้าให้พ้นจากงานหนักที่ชาวอียิปต์ใช้ให้ทำ และช่วยพวกเจ้าให้หลุดพ้นจากการเป็นทาส+ เราจะพิพากษาลงโทษพวกเขาให้หนักและนำพวกเจ้ากลับคืนมาด้วยอำนาจอันยิ่งใหญ่ของเรา+ 7 เราจะรับพวกเจ้าเป็นประชาชนของเรา และเราจะเป็นพระเจ้าของพวกเจ้า+ พวกเจ้าจะรู้ว่าเราคือยะโฮวาพระเจ้าของพวกเจ้าผู้ปลดปล่อยพวกเจ้าให้พ้นจากงานหนักในอียิปต์ 8 เราจะนำพวกเจ้าเข้าไปในแผ่นดินที่เราได้สาบาน*ไว้ว่าจะยกให้อับราฮัม อิสอัค และยาโคบ และเราจะยกแผ่นดินนั้นให้เป็นของพวกเจ้า+ เราคือยะโฮวา’”+
9 โมเสสเอาคำพูดของพระเจ้าไปบอกชาวอิสราเอล แต่พวกเขาไม่ฟังโมเสสเพราะพวกเขาท้อใจและถูกบังคับให้ทำงานเป็นทาสอย่างไร้ความปรานี+
10 พระยะโฮวาจึงพูดกับโมเสสว่า 11 “ไปบอกฟาโรห์กษัตริย์อียิปต์ให้ปล่อยชาวอิสราเอลออกจากแผ่นดินของเขา” 12 แต่โมเสสบอกพระยะโฮวาว่า “ขนาดชาวอิสราเอลยังไม่ฟังผม+ แล้วฟาโรห์จะฟังหรือครับ? ผมเป็นคนพูดไม่คล่อง”+ 13 แต่พระยะโฮวายังคงสั่งโมเสสกับอาโรนให้เอาคำสั่งของพระองค์ที่ให้พาชาวอิสราเอลออกจากอียิปต์ไปบอกชาวอิสราเอลและบอกฟาโรห์กษัตริย์อียิปต์
14 ต่อไปนี้เป็นพวกผู้นำในตระกูลต่าง ๆ ลูกชายของรูเบนชื่อ ฮาโนค ปัลลู เฮสโรน และคาร์มี+ พวกเขาเป็นเชื้อสายของรูเบน รูเบนเป็นลูกคนโตของอิสราเอล+
15 ลูกชายของสิเมโอนชื่อ เยมูเอล ยามีน โอหาด ยาคีน โศหาร์ และชาอูลซึ่งเป็นลูกของผู้หญิงชาวคานาอัน+ พวกเขาเป็นเชื้อสายของสิเมโอน
16 ต่อไปนี้เป็นชื่อลูกชายของเลวี+ คือ เกอร์โชน โคฮาท และเมรารี+ แยกตามครอบครัวของพวกเขา เลวีมีชีวิตอยู่ได้ 137 ปี
17 ลูกชายของเกอร์โชนชื่อ ลิบนีกับชิเมอี พวกเขามีลูกหลานตามครอบครัวของตัวเอง+
18 ลูกชายของโคฮาทชื่อ อัมราม อิสฮาร์ เฮโบรน และอุสซีเอล+ โคฮาทมีชีวิตอยู่ได้ 133 ปี
19 ลูกชายของเมรารีชื่อ มาห์ลีและมูชี
พวกเขาเป็นเชื้อสายของเลวีแยกตามครอบครัวของพวกเขา+
20 ส่วนอัมรามแต่งงานกับโยเคเบดน้องสาวของพ่อ+ ต่อมา เธอมีลูกกับเขาคือ อาโรนและโมเสส+ อัมรามมีชีวิตอยู่ได้ 137 ปี
21 ลูกชายของอิสฮาร์ชื่อ โคราห์+ เนเฟก และศิครี
22 ลูกชายของอุสซีเอลชื่อ มิชาเอล เอลซาฟาน+ และสิธรี
23 อาโรนแต่งงานกับเอลีเชบา เธอเป็นลูกสาวของอัมมีนาดับและเป็นน้องสาวของนาโชน+ ต่อมา เธอมีลูกกับเขาคือ นาดับ อาบีฮู เอเลอาซาร์ และอิธามาร์+
24 ลูกชายของโคราห์ชื่อ อัสสีร์ เอลคานาห์ และอาบียาสาฟ+ พวกเขาเป็นเชื้อสายของโคราห์+
25 เอเลอาซาร์+ลูกชายของอาโรนแต่งงานกับลูกสาวคนหนึ่งของปูทิเอล ต่อมา เธอมีลูกกับเขาคือ ฟีเนหัส+
คนทั้งหมดนี้คือหัวหน้าวงศ์ตระกูลต่าง ๆ ที่เป็นเชื้อสายของเลวี แยกตามครอบครัวของพวกเขา+
26 อาโรนกับโมเสสคือคนที่พระยะโฮวาได้พูดกับเขาว่า “ให้พาชาวอิสราเอลออกจากอียิปต์เป็นหมู่เหล่าเหมือนกับกองทัพ”+ 27 โมเสสกับอาโรนสองคนนี้แหละที่เป็นคนไปพูดกับฟาโรห์กษัตริย์อียิปต์ว่า พวกเขาจะพาชาวอิสราเอลออกจากอียิปต์+
28 วันที่พระยะโฮวาพูดกับโมเสสในอียิปต์ 29 พระยะโฮวาพูดกับโมเสสว่า “เราคือยะโฮวา เจ้าต้องไปบอกฟาโรห์กษัตริย์อียิปต์ทุกอย่างตามที่เราบอกเจ้า” 30 แต่โมเสสบอกพระยะโฮวาว่า “ผมเป็นคนพูดไม่คล่อง ฟาโรห์จะฟังผมหรือครับ?”+
7 พระยะโฮวาจึงพูดกับโมเสสว่า “เราทำให้เจ้ามีอำนาจเหมือนพระเจ้า เจ้าจะมีอำนาจเหนือฟาโรห์* และอาโรนพี่ชายของเจ้าจะเป็นคนพูดแทนเจ้า+ 2 เจ้าจะบอกทุกอย่างกับอาโรนตามที่เราสั่งเจ้า แล้วอาโรนพี่ชายของเจ้าจะพูดกับฟาโรห์ และในที่สุด ฟาโรห์จะปล่อยชาวอิสราเอลออกจากแผ่นดินของเขา 3 ส่วนเราจะปล่อยให้ใจของฟาโรห์ดื้อดึง+ และเราจะทำการอัศจรรย์และการอิทธิฤทธิ์หลายอย่างในอียิปต์+ 4 แต่ฟาโรห์จะไม่ฟังพวกเจ้า และเราจะลงมือจัดการอียิปต์และพิพากษาลงโทษพวกเขา จากนั้น เราจะนำประชาชนของเรา คือชาวอิสราเอลที่มีจำนวนมากมายออกจากอียิปต์+ 5 ชาวอียิปต์จะรู้ว่าเราคือยะโฮวา+เมื่อเราลงมือจัดการอียิปต์ และนำชาวอิสราเอลออกไปจากแผ่นดินของพวกเขา” 6 โมเสสกับอาโรนทำตามที่พระยะโฮวาสั่ง พวกเขาทำตามทุกอย่าง 7 ตอนที่พวกเขาไปพูดกับฟาโรห์ โมเสสอายุ 80 ปี ส่วนอาโรนอายุ 83 ปี+
8 พระยะโฮวาพูดกับโมเสสและอาโรนว่า 9 “ถ้าฟาโรห์พูดกับพวกเจ้าว่า ‘ทำการอัศจรรย์สักอย่างให้เราเห็นหน่อยสิ’ ก็ให้เจ้าบอกอาโรนว่า ‘เอาไม้เท้าโยนลงต่อหน้าฟาโรห์’ และไม้เท้านั้นจะกลายเป็นงูตัวใหญ่”+ 10 โมเสสกับอาโรนก็ไปพบฟาโรห์และทำตามที่พระยะโฮวาบอกทุกอย่าง อาโรนโยนไม้เท้าของเขาลงต่อหน้าฟาโรห์และพวกข้าราชสำนัก และไม้เท้านั้นก็กลายเป็นงูตัวใหญ่ 11 ฟาโรห์เรียกพวกนักปราชญ์กับพ่อมดเข้ามา แล้วนักบวชที่มีเวทมนตร์คาถาของอียิปต์+พวกนี้ก็ใช้เวทมนตร์คาถาของเขาทำแบบเดียวกัน+ 12 พวกเขาโยนไม้เท้าของตัวเองลงที่พื้น และไม้เท้าพวกนั้นก็กลายเป็นงูตัวใหญ่ แต่ไม้เท้าของอาโรนกลืนไม้เท้าของพวกเขาจนหมด 13 แต่ถึงอย่างนั้น ใจของฟาโรห์ก็ยังดื้อดึง+ไม่ยอมฟังโมเสสกับอาโรน เหมือนกับที่พระยะโฮวาบอกไว้
14 พระยะโฮวาจึงพูดกับโมเสสว่า “ใจของฟาโรห์แข็งกระด้างจริง ๆ+ เขาไม่ยอมปล่อยประชาชนของเราไป 15 ตอนเช้า ให้ไปหาฟาโรห์อีก ตอนนั้นเขาจะออกไปที่แม่น้ำไนล์ ไปดักรอพบเขาที่ริมฝั่งแม่น้ำ และถือไม้เท้าที่เคยกลายเป็นงูไปด้วย+ 16 และพูดกับเขาว่า ‘พระยะโฮวาพระเจ้าของชาวฮีบรูใช้ผมมา+ และพระองค์บอกว่า “ปล่อยประชาชนของเราออกไปนมัสการเราในที่กันดารเดี๋ยวนี้” แต่จนถึงตอนนี้ ท่านก็ยังไม่ยอมฟัง 17 พระยะโฮวาจึงพูดว่า “เราจะทำอย่างนี้แล้วเจ้าจะรู้ว่าเราคือยะโฮวา+ เราจะเอาไม้เท้าของเราตีน้ำในแม่น้ำไนล์ และน้ำในแม่น้ำนั้นจะกลายเป็นเลือด 18 ปลาในแม่น้ำไนล์จะตาย แม่น้ำไนล์จะส่งกลิ่นเหม็นจนชาวอียิปต์ดื่มน้ำจากแม่น้ำไม่ได้เลย”’”
19 จากนั้น พระยะโฮวาพูดกับโมเสสว่า “ไปบอกอาโรนอย่างนี้ ‘เอาไม้เท้าในมือยื่นออกไปเหนือน้ำทั้งหลายของอียิปต์+ เหนือแม่น้ำและห้วยหนองคลองบึงต่าง ๆ+ และเหนือน้ำทั้งหมดที่กักเก็บไว้ แล้วน้ำทั้งหมดนั้นจะกลายเป็นเลือด’ จะมีเลือดอยู่ทั่วแผ่นดินอียิปต์ จะมีเลือดแม้แต่ในภาชนะไม้และภาชนะหิน” 20 โมเสสกับอาโรนก็ทำตามที่พระยะโฮวาสั่งทันที อาโรนยกไม้เท้าขึ้นและตีน้ำในแม่น้ำไนล์ต่อหน้าฟาโรห์และพวกข้าราชสำนัก น้ำทั้งหมดในแม่น้ำนั้นก็กลายเป็นเลือด+ 21 ปลาในแม่น้ำนั้นก็ตาย+ แม่น้ำส่งกลิ่นเหม็น ชาวอียิปต์เอาน้ำจากแม่น้ำไนล์มาดื่มไม่ได้เลย+ และมีเลือดอยู่ทั่วแผ่นดินอียิปต์
22 แต่นักบวชที่มีเวทมนตร์คาถาของอียิปต์ได้ทำแบบเดียวกันนี้ด้วยศาสตร์ลี้ลับของพวกเขา+ ใจของฟาโรห์ก็ดื้อดึงต่อไป ฟาโรห์ไม่ฟังโมเสสกับอาโรน เหมือนกับที่พระยะโฮวาบอกไว้+ 23 แล้วฟาโรห์ก็กลับวังของเขา เขาไม่ได้ใส่ใจเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นนี้เลย 24 ชาวอียิปต์ทั้งหมดจึงขุดดินใกล้ ๆ แม่น้ำไนล์เพื่อหาน้ำมาดื่ม เพราะพวกเขาดื่มน้ำจากแม่น้ำไนล์ไม่ได้เลย 25 พระยะโฮวาให้น้ำในแม่น้ำไนล์กลายเป็นเลือดอยู่ 7 วัน
8 พระยะโฮวาพูดกับโมเสสว่า “ไปหาฟาโรห์และพูดกับเขาว่า ‘พระยะโฮวาพูดอย่างนี้ “ปล่อยประชาชนของเราออกไปนมัสการเราเดี๋ยวนี้+ 2 ถ้าเจ้ายังไม่ยอมปล่อยพวกเขาไป เราจะให้ฝูงกบขึ้นมาสร้างความเดือดร้อนทั่วเขตแดนของเจ้า+ 3 แม่น้ำไนล์จะเต็มไปด้วยฝูงกบ พวกมันจะขึ้นมาและเข้าไปในวังของเจ้า เข้าไปในห้องนอนและขึ้นไปบนเตียงของเจ้า เข้าไปในบ้านของพวกข้าราชสำนักและขึ้นไปบนตัวประชาชน เข้าไปในเตาอบและอ่างนวดแป้งของเจ้า+ 4 ฝูงกบจะขึ้นมาบนตัวเจ้า ขึ้นมาบนตัวประชาชนและข้าราชสำนักทั้งหมด”’”
5 พระยะโฮวาพูดกับโมเสสว่า “ไปบอกอาโรนอย่างนี้ ‘ให้ยื่นไม้เท้าออกไปเหนือแม่น้ำและห้วยหนองคลองบึงต่าง ๆ แล้วฝูงกบจะขึ้นมาอยู่ทั่วแผ่นดินอียิปต์’” 6 อาโรนก็ยื่นมือออกไปเหนือแหล่งน้ำทั้งหลายของอียิปต์ และฝูงกบก็ขึ้นมาเต็มแผ่นดินอียิปต์ 7 ฝ่ายพวกนักบวชที่มีเวทมนตร์คาถาก็ทำแบบเดียวกันด้วยศาสตร์ลี้ลับของพวกเขา คือทำให้ฝูงกบขึ้นมาบนแผ่นดินอียิปต์ด้วย+ 8 ในที่สุด ฟาโรห์ก็เรียกโมเสสกับอาโรนมาพบและพูดว่า “อ้อนวอนพระยะโฮวาให้กำจัดฝูงกบไปจากเราและประชาชนของเราด้วยเถอะ+ เพราะตอนนี้เราจะปล่อยชาวอิสราเอลออกไปถวายเครื่องบูชาให้พระยะโฮวาแล้ว” 9 โมเสสจึงบอกฟาโรห์ว่า “ท่านอยากให้ผมอ้อนวอนพระเจ้าให้เมื่อไหร่ก็โปรดบอกมา ผมจะอ้อนวอนพระเจ้าให้กำจัดฝูงกบไปจากท่าน และจากพวกข้าราชสำนักรวมทั้งประชาชนและวังของท่าน จะมีกบเหลืออยู่แต่ในแม่น้ำไนล์เท่านั้น” 10 ฟาโรห์พูดว่า “วันพรุ่งนี้เลย” โมเสสก็บอกว่า “ได้เลยครับ แล้วท่านจะรู้ว่าไม่มีใครจะมาเทียบกับพระยะโฮวาพระเจ้าของพวกเราได้+ 11 ฝูงกบจะไปจากท่านและวังของท่าน ไปจากพวกข้าราชสำนักและจากประชาชนของท่าน จะมีกบเหลืออยู่ในแม่น้ำไนล์เท่านั้น”+
12 โมเสสกับอาโรนลาฟาโรห์กลับไป แล้วโมเสสก็อ้อนวอนพระยะโฮวาเรื่องฝูงกบที่พระองค์ให้มาสร้างความเดือดร้อนกับฟาโรห์+ 13 พระยะโฮวาทำตามคำอ้อนวอนของโมเสส ฝูงกบก็ตายเกลื่อนบ้าน เกลื่อนลาน และเกลื่อนทุ่งนา 14 ชาวอียิปต์เก็บซากกบที่ตายมารวมกันเป็นกอง ๆ แผ่นดินก็เหม็นไปทั่ว 15 แต่พอฟาโรห์เห็นว่าเหตุการณ์ดีขึ้นแล้ว เขาก็กลับมีใจแข็งกระด้าง+ไม่ฟังโมเสสกับอาโรน เหมือนกับที่พระยะโฮวาบอกไว้
16 พระยะโฮวาจึงพูดกับโมเสสว่า “ไปบอกอาโรนอย่างนี้ ‘ให้ยื่นไม้เท้าออกไปแล้วตีฝุ่นที่พื้นดิน และฝุ่นทั่วแผ่นดินอียิปต์จะกลายเป็นฝูงริ้น’”* 17 พวกเขาก็ทำตาม อาโรนยื่นไม้เท้าออกไปแล้วตีฝุ่นที่พื้นดิน เกิดเป็นฝูงริ้นบินมาตอมตามตัวคนและสัตว์ ฝุ่นทั้งหมดทั่วแผ่นดินอียิปต์กลายเป็นฝูงริ้น+ 18 พวกนักบวชที่มีเวทมนตร์คาถาพยายามทำแบบเดียวกันด้วยศาสตร์ลี้ลับของพวกเขา+เพื่อทำให้เกิดฝูงริ้น แต่พวกเขาทำไม่ได้ ฝูงริ้นก็บินมาตอมตามตัวคนและสัตว์ 19 พวกนักบวชที่มีเวทมนตร์คาถาจึงพูดกับฟาโรห์ว่า “เหตุการณ์นี้เกิดจากอำนาจ*ของพระเจ้าแน่ ๆ!”+ แต่ใจของฟาโรห์ก็ยังดื้อดึงไม่ฟังโมเสสกับอาโรน เหมือนกับที่พระยะโฮวาบอกไว้
20 พระยะโฮวาพูดกับโมเสสว่า “ให้ตื่นแต่เช้าไปดักรอพบฟาโรห์ตอนที่เขาออกไปที่แม่น้ำไนล์ และพูดกับเขาว่า ‘พระยะโฮวาพูดอย่างนี้ “ปล่อยประชาชนของเราออกไปนมัสการเราเดี๋ยวนี้ 21 ถ้าไม่ปล่อยประชาชนของเราไป เราจะให้ฝูงเหลือบ*มาก่อกวนเจ้ารวมทั้งข้าราชสำนักและประชาชนของเจ้า มันจะเข้าไปในวังของเจ้า และบ้านเรือนของชาวอียิปต์จะเต็มไปด้วยฝูงเหลือบ ตามพื้นดินที่พวกเขา*ยืนจะมีแต่ฝูงเหลือบอยู่เต็มไปหมด 22 ในวันนั้น เราจะกันแผ่นดินโกเชนที่ประชาชนของเราอาศัยอยู่เอาไว้ ไม่ให้ฝูงเหลือบไปที่นั่น+ เหตุการณ์นี้จะทำให้เจ้ารู้ว่าเราคือยะโฮวาผู้เป็นใหญ่ในแผ่นดิน+ 23 เราจะทำให้เจ้าเห็นความแตกต่างระหว่างประชาชนของเรากับประชาชนของเจ้า พรุ่งนี้เจ้าจะได้เห็นการอัศจรรย์นี้”’”
24 แล้วพระยะโฮวาก็ทำตามที่พูดไว้ ฝูงเหลือบจำนวนมหาศาลได้บินเข้าไปในวังของฟาโรห์ เข้าไปในบ้านเรือนของพวกข้าราชสำนัก และอยู่ทั่วอียิปต์+ ฝูงเหลือบก่อความเสียหายอย่างหนักกับแผ่นดินนั้น+ 25 ในที่สุด ฟาโรห์ก็เรียกโมเสสกับอาโรนมาพบและพูดว่า “ไปถวายเครื่องบูชาให้พระเจ้าของพวกคุณได้ แต่ต้องทำในแผ่นดินนี้” 26 แต่โมเสสพูดว่า “ผมคิดว่าคงไม่เหมาะครับ เพราะเครื่องบูชาที่พวกเราจะถวายให้พระยะโฮวาพระเจ้าของพวกเรานั้นน่ารังเกียจสำหรับชาวอียิปต์+ ถ้าพวกเราจะถวายเครื่องบูชาที่น่ารังเกียจสำหรับชาวอียิปต์ต่อหน้าพวกเขา แล้วพวกเขาจะไม่เอาหินขว้างพวกเราหรือครับ? 27 พวกเราจะเดินทางไปถวายเครื่องบูชาให้พระยะโฮวาพระเจ้าของพวกเราในที่กันดาร 3 วัน ตามที่พระองค์บอกไว้”+
28 ฟาโรห์พูดว่า “เราจะปล่อยพวกคุณออกไปถวายเครื่องบูชาให้พระยะโฮวาพระเจ้าของพวกคุณในที่กันดาร แต่อย่าไปไหนไกล และพวกคุณต้องอ้อนวอนพระเจ้าเพื่อเรา”+ 29 โมเสสก็พูดว่า “ได้ครับ เมื่อผมออกไปแล้ว ผมจะอ้อนวอนพระยะโฮวาให้เอาฝูงเหลือบไปจากฟาโรห์ รวมทั้งพวกข้าราชสำนักและประชาชนของท่านในวันพรุ่งนี้ ขอฟาโรห์อย่ากลับคำไม่ยอมปล่อยชาวอิสราเอลออกไปถวายเครื่องบูชาให้พระยะโฮวาก็แล้วกัน”+ 30 แล้วโมเสสก็ลาฟาโรห์ออกมา และอ้อนวอนขอพระยะโฮวา+ 31 พระยะโฮวาทำตามคำอ้อนวอนของโมเสส พระองค์ทำให้ฝูงเหลือบไปจากฟาโรห์ รวมทั้งพวกข้าราชสำนักและประชาชน ไม่เหลือสักตัวเดียว 32 แต่ฟาโรห์กลับมีใจดื้อดึงอีก และไม่ยอมปล่อยชาวอิสราเอลไป
9 พระยะโฮวาจึงพูดกับโมเสสว่า “ไปหาฟาโรห์และพูดกับเขาว่า ‘พระยะโฮวาพระเจ้าของชาวฮีบรูได้บอกไว้อย่างนี้ “ปล่อยประชาชนของเราออกไปนมัสการเราเดี๋ยวนี้+ 2 ถ้าเจ้ารั้งพวกเขาไว้ ไม่ยอมปล่อยพวกเขาไป 3 พระยะโฮวาจะจัดการพวกเจ้า+ พระองค์จะทำให้ฝูงสัตว์ของพวกเจ้าที่อยู่ในท้องทุ่ง ทั้งฝูงม้า ฝูงลา ฝูงอูฐ ฝูงวัว และฝูงแกะเป็นโรคระบาดร้ายแรง+ 4 และพระยะโฮวาจะทำให้เจ้าเห็นความแตกต่างระหว่างฝูงสัตว์ของชาวอิสราเอลกับฝูงสัตว์ของชาวอียิปต์ ฝูงสัตว์ของชาวอิสราเอลจะไม่ตายเลยสักตัวเดียว”’”+ 5 พระยะโฮวายังได้กำหนดเวลาไว้แล้วด้วย พระองค์พูดว่า “พรุ่งนี้ เรายะโฮวาจะทำให้เกิดเหตุการณ์นี้ขึ้นในอียิปต์”
6 พอวันรุ่งขึ้น พระยะโฮวาก็ทำตามที่พระองค์พูดไว้ สัตว์ทุกชนิดของชาวอียิปต์ตาย+ แต่ฝูงสัตว์ของชาวอิสราเอลไม่ตายเลยสักตัวเดียว 7 พอฟาโรห์ส่งคนไปดู ก็เห็นว่าฝูงสัตว์ของชาวอิสราเอลไม่ตายเลยสักตัวเดียว แต่ฟาโรห์ยังคงมีใจแข็งกระด้าง ไม่ยอมปล่อยชาวอิสราเอลออกไป+
8 ต่อมา พระยะโฮวาได้พูดกับโมเสสและอาโรนว่า “ไปเอาขี้เถ้าจากเตาเผามาเต็มกำมือทั้งสองของพวกเจ้า และให้โมเสสซัดขี้เถ้าขึ้นไปในอากาศต่อหน้าฟาโรห์ 9 ขี้เถ้านั้นจะกลายเป็นฝุ่นกระจายไปทั่วแผ่นดินอียิปต์ และจะทำให้เกิดเป็นฝีพุพองตามตัวคนและสัตว์ทั่วทั้งแผ่นดินอียิปต์”
10 โมเสสกับอาโรนจึงเอาขี้เถ้าจากเตาเผามาและไปยืนต่อหน้าฟาโรห์ พอโมเสสซัดขี้เถ้าขึ้นไปในอากาศ ขี้เถ้าก็ทำให้เกิดเป็นฝีพุพองอยู่ตามตัวคนและสัตว์ 11 พวกนักบวชที่มีเวทมนตร์คาถาไม่อาจยืนสู้หน้าโมเสสได้เนื่องจากฝีนั้น เพราะฝีได้ขึ้นตามตัวพวกเขาและชาวอียิปต์ทุกคน+ 12 แต่พระยะโฮวาปล่อยให้ใจของฟาโรห์ดื้อดึงไม่ฟังโมเสสกับอาโรน เหมือนกับที่พระยะโฮวาบอกโมเสสไว้+
13 แล้วพระยะโฮวาพูดกับโมเสสว่า “ให้ตื่นแต่เช้าและไปรอพบฟาโรห์ แล้วพูดกับเขาว่า ‘พระยะโฮวาพระเจ้าของชาวฮีบรูพูดไว้อย่างนี้ “ปล่อยประชาชนของเราออกไปนมัสการเราเดี๋ยวนี้ 14 ถ้าไม่ปล่อย เราจะทำให้เกิดภัยพิบัติต่าง ๆ เจ้ากับพวกข้าราชสำนักและประชาชนของเจ้าจะต้องเจอกับภัยพิบัติ เจ้าจะได้รู้ว่าไม่มีใครในโลกนี้จะมาเทียบกับเราได้+ 15 ตอนนี้ เราจะลงมือจัดการเจ้าและประชาชนของเจ้าโดยทำให้เกิดโรคระบาดร้ายแรง เพื่อให้เจ้าหายไปจากโลกนี้เลยก็ได้ 16 แต่ที่เราปล่อยให้เจ้ามีชีวิตอยู่อย่างนี้ ก็เพื่อจะแสดงอำนาจของเราให้เจ้าเห็น และเพื่อชื่อของเราจะเลื่องลือไปทั่วโลก+ 17 เจ้ายังจะมีทิฐิต่อประชาชนของเราโดยไม่ปล่อยพวกเขาออกไปอีกหรือ? 18 คอยดูเถอะ พรุ่งนี้เวลาประมาณนี้ เราจะทำให้ลูกเห็บตกลงมาอย่างหนัก หนักชนิดที่ไม่เคยเกิดขึ้นมาก่อนในอียิปต์ตั้งแต่ก่อตั้งเป็นประเทศมาจนถึงตอนนี้ 19 เจ้าต้องไปสั่งให้เอาฝูงสัตว์และทุกสิ่งทุกอย่างที่เป็นของเจ้าซึ่งอยู่ในท้องทุ่งไปไว้ในที่กำบัง เพราะคนและสัตว์ทั้งหมดที่ไม่ได้อยู่ในที่กำบัง แต่อยู่ในท้องทุ่งจะโดนลูกเห็บตกใส่ตายกันหมด”’”
20 พวกข้าราชสำนักของฟาโรห์ที่กลัวสิ่งที่พระยะโฮวาพูดก็รีบเอาคนรับใช้และฝูงสัตว์ของเขาไปหลบอยู่ในที่กำบัง 21 แต่คนที่ไม่สนใจที่พระยะโฮวาพูดก็ปล่อยให้คนรับใช้และฝูงสัตว์ของเขาอยู่ในท้องทุ่งต่อไป
22 แล้วพระยะโฮวาพูดกับโมเสสว่า “ชูมือขึ้นไปบนฟ้า แล้วลูกเห็บจะตกลงมาทั่วแผ่นดินอียิปต์+ ตกใส่คน สัตว์ และพืชผักทั้งหมดที่อยู่ในท้องทุ่งของแผ่นดินอียิปต์”+ 23 โมเสสชูไม้เท้าขึ้นไปบนฟ้า พระยะโฮวาก็ทำให้เกิดฟ้าร้องและลูกเห็บ มีไฟ*ลงมาที่โลก พระยะโฮวาทำให้ลูกเห็บตกไม่หยุดทั่วแผ่นดินอียิปต์ 24 ลูกเห็บตกลงมาพร้อมกับไฟที่แลบแปลบปลาบ ลูกเห็บตกหนักมากอย่างที่ไม่เคยเกิดขึ้นมาก่อนในแผ่นดินอียิปต์ตั้งแต่เป็นประเทศมา+ 25 ลูกเห็บตกกระหน่ำทั่วทั้งแผ่นดินอียิปต์ ทำลายทุกสิ่งที่อยู่ในท้องทุ่ง ทั้งคน สัตว์ และพืชผักทุกชนิด ต้นไม้ทั้งหมดในท้องทุ่งถูกทำลายย่อยยับ+ 26 แต่ในแผ่นดินโกเชนที่ชาวอิสราเอลอาศัยอยู่ ไม่มีลูกเห็บตกเลย+
27 ในที่สุด ฟาโรห์ก็ส่งคนไปเรียกโมเสสกับอาโรนมาพบ และพูดกับเขาทั้งสองว่า “ตอนนี้ เรายอมรับว่าเราทำผิดไปแล้ว พระยะโฮวาเป็นฝ่ายถูก เรากับประชาชนของเราเป็นฝ่ายผิด 28 ช่วยอ้อนวอนพระยะโฮวา ขอพระองค์ช่วยทำให้ฟ้าหยุดร้องและลูกเห็บหยุดตกซะทีเถอะ แล้วเราจะปล่อยพวกคุณไป พวกคุณไม่ต้องอยู่ในแผ่นดินนี้อีกแล้ว” 29 โมเสสจึงพูดกับฟาโรห์ว่า “ทันทีที่ผมออกจากเมืองไปแล้ว ผมจะยกมือขึ้นอ้อนวอนพระยะโฮวา แล้วฟ้าจะหยุดร้อง ลูกเห็บจะหยุดตก ท่านจะได้รู้ว่าโลกนี้เป็นของพระยะโฮวา+ 30 แต่ผมรู้ดีว่า ท่านและพวกข้าราชสำนักจะไม่เกรงกลัวพระยะโฮวาพระเจ้าอยู่ดี”
31 ตอนนั้น ต้นป่านและต้นข้าวบาร์เลย์เสียหายอย่างหนักเพราะต้นข้าวบาร์เลย์มีรวงแก่พร้อมจะเก็บเกี่ยวแล้ว และต้นป่านกำลังมีดอก 32 แต่ข้าวสาลีและข้าวสเปลต์ไม่เสียหายเพราะยังไม่ถึงฤดูเก็บเกี่ยว 33 หลังจากโมเสสเข้าพบฟาโรห์และออกจากเมืองไปแล้ว เขายกมือขึ้นอ้อนวอนพระยะโฮวา ฟ้าก็หยุดร้อง ลูกเห็บก็หยุดตก และฝนก็หยุดเทลงมา+ 34 พอฟาโรห์เห็นว่าฝนกับลูกเห็บหยุดตกและฟ้าหยุดร้อง เขาก็ทำผิดอีกและมีใจแข็งกระด้าง+ ข้าราชสำนักของเขาก็เหมือนกัน 35 ฟาโรห์ยังมีใจดื้อดึงไม่ยอมปล่อยชาวอิสราเอลออกไป เหมือนกับที่พระยะโฮวาพูดผ่านทางโมเสส+
10 พระยะโฮวาจึงพูดกับโมเสสว่า “ไปหาฟาโรห์ ที่เรายอมปล่อยให้เขากับพวกข้าราชสำนักของเขามีใจแข็งกระด้าง+ ก็เพื่อเราจะทำการอัศจรรย์ทั้งหมดนี้ต่อหน้าเขา+ 2 และพวกเจ้าจะได้เล่าให้ลูกหลานฟังว่า เราลงโทษชาวอียิปต์หนักขนาดไหน และเล่าถึงการอัศจรรย์ต่าง ๆ ที่เราทำให้พวกเขาเห็น+ แล้วพวกเจ้าจะได้รู้ว่าเราคือยะโฮวา”
3 โมเสสกับอาโรนจึงไปพบฟาโรห์และพูดว่า “พระยะโฮวาพระเจ้าของชาวฮีบรูได้บอกไว้อย่างนี้ ‘เจ้าจะแข็งข้อกับเราอีกนานแค่ไหน?+ ปล่อยประชาชนของเราออกไปนมัสการเราเดี๋ยวนี้ 4 ถ้าเจ้ายังไม่ยอมปล่อยประชาชนของเรา เราจะให้ฝูงตั๊กแตนมาที่แผ่นดินของเจ้าพรุ่งนี้ 5 ฝูงตั๊กแตนจะปกคลุมแผ่นดินจนมองไม่เห็นพื้นดิน พวกมันจะกินทุกอย่างที่เหลือจากการทำลายของลูกเห็บ พวกมันจะกินต้นไม้ทั้งหมดที่ขึ้นในท้องทุ่ง+ 6 วังของเจ้า บ้านของพวกข้าราชสำนัก และบ้านของชาวอียิปต์ทั้งหมดจะเต็มไปด้วยตั๊กแตน ถึงขนาดที่ปู่ย่าตายายและบรรพบุรุษของเจ้าไม่เคยพบเคยเห็นในแผ่นดินนี้มาก่อนเลย’”+ เมื่อพูดจบ โมเสสก็ลาฟาโรห์ออกไป
7 พวกข้าราชสำนักพูดกับฟาโรห์ว่า “จะปล่อยคนนี้ให้เป็นภัยคุกคาม*พวกเราอีกนานแค่ไหน? โปรดปล่อยพวกเขาไปนมัสการพระยะโฮวาพระเจ้าของพวกเขาเถอะ ท่านไม่เห็นหรือครับว่าอียิปต์ย่อยยับไปหมดแล้ว?” 8 ฟาโรห์จึงสั่งให้พาโมเสสกับอาโรนมาพบ แล้วพูดกับพวกเขาว่า “ถ้าอยากไปนมัสการพระยะโฮวาก็ไปเลย แต่ว่าจะมีใครไปบ้างล่ะ?” 9 โมเสสตอบว่า “คนที่ไปก็มีทั้งคนหนุ่ม คนแก่ ลูกชายกับลูกสาวของพวกเรา และพวกเราจะเอาฝูงแกะกับฝูงวัวไปด้วย+ เพราะพวกเราจะจัดเทศกาลฉลองให้พระยะโฮวา”+ 10 ฟาโรห์พูดว่า “จะให้เราปล่อยพวกคุณกับลูก ๆ ไปหมดเลยหรือ? นี่คงคิดว่าพระยะโฮวาอยู่กับพวกคุณสินะ!+ พวกคุณต้องมีแผนร้ายแน่ ๆ 11 เราจะไม่ให้พวกคุณไปกันหมด พวกคุณบอกว่าอยากจะไปนมัสการพระยะโฮวาใช่ไหม? ถ้าอย่างนั้น เราอนุญาตให้ไปได้เฉพาะผู้ชาย” แล้วโมเสสกับอาโรนก็ถูกไล่ออกไปให้พ้นหน้าฟาโรห์
12 พระยะโฮวาพูดกับโมเสสว่า “ยื่นมือออกเหนือแผ่นดินอียิปต์ แล้วฝูงตั๊กแตนจะบินมาปกคลุมแผ่นดินนี้ มันจะกินพืชผักทั้งหมดบนแผ่นดินที่เหลือจากการทำลายของลูกเห็บ” 13 แล้วโมเสสก็ยื่นไม้เท้าออกเหนือแผ่นดินอียิปต์ พระยะโฮวาทำให้ลมตะวันออกพัดมาที่แผ่นดินนั้นทั้งวันทั้งคืน พอตอนเช้า ลมตะวันออกก็พัดเอาฝูงตั๊กแตนเข้ามา 14 ฝูงตั๊กแตนปกคลุมไปทั่วแผ่นดินอียิปต์ เกาะตามที่ต่าง ๆ ทุกแห่งในอียิปต์+ พวกมันทำให้ผู้คนลำบากมาก+ ไม่เคยมีฝูงตั๊กแตนมากมายอย่างนี้มาก่อน และเหตุการณ์แบบนี้ก็ไม่เกิดขึ้นอีกเลย 15 ฝูงตั๊กแตนปกคลุมไปทั่วทั้งแผ่นดินจนดูมืดไปหมด พวกมันกัดกินพืชผักทั้งหมดบนแผ่นดินและผลไม้บนต้นไม้ทั้งหมดที่เหลือจากการทำลายของลูกเห็บ จนไม่มีใบสีเขียวของต้นไม้หรือของพืชผักในท้องทุ่งหลงเหลือให้เห็นอยู่ในอียิปต์เลย
16 ฟาโรห์จึงมีคำสั่งด่วนให้โมเสสและอาโรนเข้าพบ และพูดว่า “เราผิดไปแล้ว เราทำผิดต่อพระยะโฮวาพระเจ้าของพวกคุณ และทำผิดต่อพวกคุณด้วย 17 ตอนนี้ ขอยกโทษให้เราสักครั้ง และอ้อนวอนพระยะโฮวาพระเจ้าของพวกคุณ ขอให้พระองค์ช่วยเอาภัยพิบัติร้ายแรงนี้ไปจากเราซะที” 18 เขา*ก็ลาฟาโรห์ออกไป และอ้อนวอนพระยะโฮวา+ 19 พระยะโฮวาก็เปลี่ยนทิศทางลม กลายเป็นลมพัดแรงจากทางทิศตะวันตก ลมนั้นหอบเอาฝูงตั๊กแตนไปทิ้งในทะเลแดง ไม่เหลือตั๊กแตนสักตัวเดียวในแผ่นดินอียิปต์ 20 แต่พระยะโฮวาปล่อยให้ฟาโรห์มีใจดื้อดึง+ไม่ยอมปล่อยชาวอิสราเอลออกไป
21 แล้วพระยะโฮวาพูดกับโมเสสว่า “ชูมือขึ้นไปบนฟ้า แล้วความมืดมิดจะปกคลุมทั่วอียิปต์” 22 โมเสสชูมือขึ้นไปบนฟ้าทันที และความมืดมิดก็ปกคลุมไปทั่วอียิปต์เป็นเวลา 3 วัน+ 23 พวกเขามองไม่เห็นกันและกัน ไม่มีใครออกไปไหนเลยเป็นเวลา 3 วัน แต่ที่พักอาศัยของชาวอิสราเอลมีแสงสว่าง+ 24 ฟาโรห์สั่งให้โมเสสมาพบ และพูดว่า “ถ้าอยากไปนมัสการพระยะโฮวาก็ไปเลย+ แต่อย่าเอาฝูงแกะกับฝูงวัวไป ส่วนลูก ๆ ถ้าอยากพาไปก็พาไปได้” 25 แต่โมเสสพูดว่า “ท่านต้องให้เราเอาสัตว์ของเราไปด้วย เราจะได้ถวายสัตว์เป็นเครื่องบูชาเผาให้พระยะโฮวาพระเจ้าของเรา+ 26 เราจะเอาฝูงสัตว์ของเราไปด้วย ไม่เหลือไว้สักตัวเดียว เพราะเราจะเลือกสัตว์จากฝูงสัตว์นั้นถวายบูชาพระยะโฮวาพระเจ้าของเรา และเราไม่รู้ว่าจะถวายตัวไหนเป็นเครื่องบูชาให้พระยะโฮวา เราจะรู้ก็ต่อเมื่อเราไปถึงที่นั่นแล้ว” 27 แต่พระยะโฮวาปล่อยให้ฟาโรห์มีใจดื้อดึงไม่ยอมปล่อยชาวอิสราเอลออกไป+ 28 ฟาโรห์จึงพูดกับโมเสสว่า “ไปให้พ้น! อย่ามาให้เราเห็นหน้าอีก เพราะวันไหนที่คุณมาให้เราเห็นหน้า คุณตายแน่” 29 โมเสสพูดว่า “ผมจะทำตามที่ท่านสั่ง จะไม่มาให้ท่านเห็นหน้าอีก”
11 พระยะโฮวาพูดกับโมเสสว่า “เราจะให้ฟาโรห์กับอียิปต์เจอภัยพิบัติอีกอย่างหนึ่ง หลังจากนั้น เขาจะปล่อยพวกเจ้าไปจากที่นี่+ ตอนที่ปล่อยพวกเจ้าทั้งหมดออกไปนั้น เขาจะไล่พวกเจ้าไปด้วยซ้ำ+ 2 และไปบอกชาวอิสราเอลทุกคนทั้งผู้ชายและผู้หญิงให้ขอเครื่องเงินและเครื่องทองจากเพื่อนบ้านชาวอียิปต์”+ 3 พระยะโฮวาจะทำให้ชาวอียิปต์เมตตาชาวอิสราเอล นอกจากนี้ โมเสสเองก็ได้รับความนับถืออย่างสูงในอียิปต์ ทั้งในหมู่ข้าราชสำนักของฟาโรห์และชาวอียิปต์ทั่วไป
4 โมเสสพูดว่า “พระยะโฮวาบอกไว้อย่างนี้ ‘ประมาณเที่ยงคืน* เราจะเข้ามาในอียิปต์+ 5 ลูกชายคนโตทุกคนในอียิปต์จะต้องตาย+ ตั้งแต่ลูกชายคนโตของฟาโรห์ผู้นั่งบนบัลลังก์ จนถึงลูกชายคนโตของทาสหญิงที่กำลังโม่แป้ง และลูกของสัตว์ที่เป็นตัวผู้ตัวแรกทุกตัวด้วย+ 6 จะมีเสียงร้องไห้คร่ำครวญทั่วทั้งอียิปต์อย่างที่ไม่เคยมีมาก่อน และจะไม่มีอย่างนี้อีกเลย+ 7 แต่จะไม่มีสิ่งเลวร้ายเกิดขึ้นกับชาวอิสราเอลและสัตว์ของพวกเขา แม้แต่เสียงเห่าของสุนัขที่ทำให้ตกใจกลัวก็จะไม่มี เพื่อพวกเจ้าจะรู้ว่าพระยะโฮวาทำกับชาวอิสราเอลต่างจากที่ทำกับชาวอียิปต์’+ 8 แล้วข้าราชสำนักทั้งหมดจะมาหมอบลงต่อหน้าผม และพูดว่า ‘ขอให้ท่านและคนของท่านออกไปจากที่นี่เถอะ’+ จากนั้นผมก็จะไป” แล้วโมเสสก็ลาฟาโรห์ออกไปด้วยความโกรธ
9 พระยะโฮวาพูดกับโมเสสว่า “ฟาโรห์จะไม่ฟังพวกเจ้า+ เราจึงต้องทำการอัศจรรย์เพิ่มอีกในอียิปต์”+ 10 โมเสสกับอาโรนทำการอัศจรรย์ทั้งหมดนี้ต่อหน้าฟาโรห์+ แต่พระยะโฮวาปล่อยให้ใจของฟาโรห์ดื้อดึงไม่ยอมปล่อยชาวอิสราเอลออกไปจากแผ่นดินของเขา+
12 พระยะโฮวาพูดกับโมเสสและอาโรนในอียิปต์ว่า 2 “เดือนนี้จะเป็นเดือนแรกของปีสำหรับพวกเจ้า+ 3 ให้บอกชาวอิสราเอลทั้งหมดว่า ‘ในวันที่ 10 ของเดือนนี้ ให้ทุกครอบครัวหาลูกแกะ+มาครอบครัวละ 1 ตัว 4 ถ้าครอบครัวไหนมีคนน้อยและคิดว่าจะกินลูกแกะไม่หมด ก็ให้เพื่อนบ้านที่อยู่ใกล้ที่สุดมากินด้วยกันที่บ้านของเขา ให้แบ่งเนื้อแกะตามจำนวนคนที่จะกิน 5 ลูกแกะต้องสมบูรณ์แข็งแรง+ เป็นแกะตัวผู้อายุ 1 ปี แต่ถ้าไม่มีลูกแกะจะใช้ลูกแพะก็ได้ 6 ให้พวกเจ้าเอามาดูแลอย่างดีจนถึงวันที่ 14 ของเดือนนี้+ และตอนพลบค่ำ*+ของวันนั้นให้ชาวอิสราเอลแต่ละครอบครัวเอาลูกแกะมาฆ่า 7 และพวกเขาจะต้องเอาเลือดไปประพรมที่เสาประตูทั้งสองข้างและที่คานประตูของบ้านที่เขาจะกินลูกแกะนั้น+
8 “‘พวกเขาต้องกินเนื้อแกะในคืนนั้น+ เขาต้องเอาเนื้อแกะไปย่างไฟแล้วกินกับขนมปังไม่ใส่เชื้อ+และผักที่มีรสขม+ 9 อย่ากินเนื้อที่ยังดิบหรือเนื้อที่เอาไปต้ม แต่ให้เอาไปย่างทั้งหัว ขา* และเครื่องใน 10 อย่าให้มีส่วนไหนเหลืออยู่จนถึงตอนเช้า แต่ถ้ามี ก็ให้เอาไปเผาไฟให้หมด+ 11 ตอนที่กินพวกเจ้าต้องทำอย่างนี้ คือ เอาผ้าคาดเอวไว้ให้แน่น สวมรองเท้า ถือไม้เท้าไว้ในมือ และรีบกินให้หมด นี่คือปัสกา*ของพระยะโฮวา 12 คืนนั้น เราจะเข้ามาในอียิปต์ เราจะประหารลูกชายคนโตทุกคนของชาวอียิปต์และลูกสัตว์ที่เป็นตัวผู้ตัวแรกทุกตัวในแผ่นดินนี้+ และเราจะลงโทษพวกเทพเจ้าของอียิปต์ตามที่เราพิพากษาไว้+ เราคือยะโฮวา 13 เมื่อเราเห็นเลือดที่เป็นเครื่องหมายบนประตูบ้านของพวกเจ้า เราจะเว้นผ่านพวกเจ้าไป พวกเจ้าจะไม่เจอกับภัยพิบัตินี้ตอนที่เราลงโทษชาวอียิปต์+
14 “‘พวกเจ้าต้องระลึกถึงวันนี้ และจะต้องจัดเทศกาลฉลองนี้ให้พระยะโฮวาไปตลอดทุกยุคทุกสมัย นี่เป็นข้อกำหนดที่พวกเจ้าต้องทำตามตลอดไป 15 พวกเจ้าต้องกินขนมปังไม่ใส่เชื้อเป็นเวลา 7 วัน+ และจะต้องเอาแป้งเชื้อ*ออกไปจากบ้านให้หมดตั้งแต่วันแรก เพราะถ้ามีคนกินขนมปังใส่เชื้อระหว่างวันแรกถึงวันที่เจ็ด คนนั้นต้องถูกประหารชีวิต 16 ในวันแรกและวันที่เจ็ด พวกเจ้าต้องจัดการประชุมเพื่อนมัสการพระเจ้า อย่าทำงานอะไรในสองวันนั้น+ ยกเว้นการเตรียมอาหารไว้กินเท่านั้น
17 “‘พวกเจ้าต้องฉลองเทศกาลขนมปังไม่ใส่เชื้อนี้+ เพราะในวันนั้น เราจะนำพวกเจ้าที่มีจำนวนมากมายออกจากอียิปต์ พวกเจ้าจะต้องฉลองวันนี้ไปตลอดทุกยุคทุกสมัย นี่เป็นข้อกำหนดที่ต้องทำตามตลอดไป 18 ตั้งแต่เย็นวันที่ 14 จนถึงเย็นวันที่ 21 ของเดือนแรกนี้ พวกเจ้าต้องกินขนมปังไม่ใส่เชื้อ+ 19 ตลอด 7 วันนั้น อย่าให้มีแป้งเชื้ออยู่ในบ้านของพวกเจ้าเลย เพราะถ้ามีคนกินขนมปังใส่เชื้อ ไม่ว่าจะเป็นคนต่างชาติหรือชาวอิสราเอล+ คนนั้นต้องถูกประหารชีวิต+ 20 อย่าให้ใครกินขนมปังใส่เชื้อ ทุกบ้านต้องกินขนมปังไม่ใส่เชื้อ’”
21 โมเสสเรียกพวกผู้นำทุกคนของชาวอิสราเอลมาพบทันที+ และบอกพวกเขาว่า “ให้ทุกครอบครัวไปเลือกลูกแกะหรือลูกแพะมาฆ่าเป็นสัตว์ปัสกา 22 แล้วให้เอากิ่งหุสบกำหนึ่งมาจุ่มเลือดสัตว์ในอ่าง แล้วเอาไปประพรมที่คานประตูกับที่เสาประตูบ้านทั้งสองข้าง และอย่าให้ใครออกจากบ้านจนกว่าจะเช้า 23 ตอนที่พระยะโฮวามาที่แผ่นดินเพื่อจะประหารชาวอียิปต์ และเห็นเลือดที่คานประตูกับที่เสาประตูทั้งสองข้าง พระยะโฮวาจะเว้นผ่านบ้านนั้นไป พระองค์จะไม่ยอมให้ภัยพิบัติเข้าไปทำให้คนในบ้านของพวกคุณตาย+
24 “พวกคุณกับลูกหลานต้องทำตามข้อกำหนดนี้ตลอดไป+ 25 เมื่อเข้าไปในแผ่นดินที่พระยะโฮวาจะให้ตามที่พระองค์บอกไว้ พวกคุณต้องฉลองเทศกาลนี้เสมอ+ 26 เมื่อลูกหลานของพวกคุณถามว่า ‘ทำไมเราถึงฉลองเทศกาลนี้?’+ 27 พวกคุณจะได้ตอบว่า ‘นี่เป็นเครื่องบูชาปัสกาให้พระยะโฮวา ตอนที่พระองค์ทำให้เกิดภัยพิบัติกับชาวอียิปต์ พระองค์เว้นผ่านบ้านของชาวอิสราเอลไป และไว้ชีวิตครอบครัวของเรา’”
แล้วประชาชนก็หมอบลงนมัสการพระเจ้า 28 จากนั้น ชาวอิสราเอลก็ทำตามที่พระยะโฮวาสั่งโมเสสกับอาโรน+ พวกเขาทำตามทุกอย่าง
29 พอถึงตอนเที่ยงคืน* พระยะโฮวาก็ประหารลูกชายคนโตทุกคนในอียิปต์+ ตั้งแต่ลูกชายคนโตของฟาโรห์ที่นั่งบนบัลลังก์ จนถึงลูกชายคนโตของนักโทษที่อยู่ในคุก และลูกสัตว์ที่เป็นตัวผู้ตัวแรกทุกตัว+ 30 แล้วฟาโรห์ก็ตื่นขึ้นกลางดึก พวกข้าราชสำนักและชาวอียิปต์คนอื่น ๆ ทั้งหมดก็ตื่นด้วย พวกเขาต่างส่งเสียงร้องไห้คร่ำครวญทั้งแผ่นดิน เพราะไม่มีบ้านไหนเลยที่ไม่มีคนตาย+ 31 ฟาโรห์จึงมีคำสั่งให้โมเสสกับอาโรนเข้าพบทันที+ในคืนนั้น และพูดว่า “ไปให้พ้นจากพวกเรา ไปให้พ้นเลยทั้งคุณกับชาวอิสราเอลคนอื่น ๆ รีบไปนมัสการพระยะโฮวาตามที่ขอไว้+ 32 เอาฝูงแกะกับฝูงวัวไปด้วยตามที่พวกคุณขอ+ แต่ต้องขอให้พระเจ้าอวยพรเราด้วย”
33 ชาวอียิปต์ต่างเร่งให้ชาวอิสราเอลออกไปจากแผ่นดินของพวกเขาเร็ว ๆ+ พวกเขาพูดว่า “ถ้าพวกคุณยังอยู่ พวกเราจะตายกันหมด”+ 34 ชาวอิสราเอลเอาก้อนแป้งที่ยังไม่ได้ใส่เชื้อกับอ่างนวดแป้งห่อผ้าพาดบ่าไปด้วย 35 ชาวอิสราเอลทำตามที่โมเสสสั่ง พวกเขาขอเครื่องเงิน เครื่องทอง และเสื้อผ้าจากชาวอียิปต์+ 36 พระยะโฮวาทำให้ชาวอียิปต์เมตตาชาวอิสราเอล พวกเขาจึงยกของทั้งหมดนั้นให้ตามที่ชาวอิสราเอลขอ และชาวอิสราเอลริบเอาของพวกนั้นจากชาวอียิปต์จนหมด+
37 ชาวอิสราเอลได้ออกเดินทางจากราเมเสส+ไปสุคคท+ แค่ผู้ชายที่เดินเท้าไม่นับเด็กก็มีประมาณ 600,000 คน+ 38 มีคนอื่น ๆ*จำนวนมาก+ไปกับพวกเขาด้วย มีฝูงแกะ ฝูงวัว และฝูงสัตว์อื่น ๆ อีกมากมาย 39 พวกเขาเอาก้อนแป้งที่นำมาจากอียิปต์ไปอบเป็นขนมปังแผ่นกลม ๆ ไม่ใส่เชื้อ ที่ไม่ใส่เชื้อก็เพราะพวกเขาถูกไล่ออกจากอียิปต์อย่างกะทันหัน และพวกเขาก็ไม่มีเวลาเตรียมอาหารอย่างอื่นไปด้วย+
40 ชาวอิสราเอลเดินทางออกจากอียิปต์+หลังจากที่พวกเขาอยู่ในดินแดนของคนต่างชาติรวมแล้ว 430 ปี+ 41 ในวันที่ครบ 430 ปีนั้น ประชาชนของพระยะโฮวาทั้งหมดซึ่งมีจำนวนมากมายได้ออกมาจากอียิปต์ 42 คืนนั้น เป็นคืนที่พวกเขาจะฉลองที่พระยะโฮวาช่วยพวกเขาออกจากอียิปต์ เป็นคืนที่ชาวอิสราเอลทั้งหมดจะระลึกถึงพระยะโฮวาไปตลอดทุกยุคทุกสมัย+
43 พระยะโฮวาพูดกับโมเสสและอาโรนว่า “นี่เป็นข้อกำหนดสำหรับปัสกา คือห้ามคนต่างชาติกินอาหารปัสกา+ 44 แต่ถ้าใครมีทาสผู้ชายที่ซื้อมา ต้องให้ทาสคนนั้นเข้าสุหนัตก่อน+ถึงจะกินอาหารปัสกาได้ 45 คนที่ย้ายมาอาศัยอยู่ในแผ่นดินและลูกจ้างจะกินอาหารปัสกาไม่ได้ 46 เจ้าต้องกินอาหารปัสกาในบ้าน อย่าเอาเนื้อสัตว์ปัสกาออกไปที่อื่น และอย่าหักกระดูกสัตว์ปัสกานั้น+ 47 ชาวอิสราเอลทุกคนต้องฉลองปัสกา 48 ถ้าคนต่างชาติที่อยู่ในแผ่นดินของพวกเจ้าอยากจะฉลองปัสกาให้พระยะโฮวา ผู้ชายทุกคนในครอบครัวของเขาจะต้องเข้าสุหนัตถึงจะฉลองปัสกาได้ เขาจะเป็นเหมือนชาวอิสราเอล แต่อย่าให้คนที่ไม่เข้าสุหนัตกินอาหารปัสกา+ 49 ชาวอิสราเอลและคนต่างชาติที่อยู่ในแผ่นดินของพวกเจ้าต้องอยู่ภายใต้กฎหมายเดียวกัน”+
50 ชาวอิสราเอลทุกคนทำตามที่พระยะโฮวาสั่งโมเสสและอาโรน พวกเขาทำตามทุกอย่าง 51 ในวันนั้นเอง พระยะโฮวานำชาวอิสราเอลที่มีจำนวนมากมายออกจากอียิปต์
13 และพระยะโฮวาพูดกับโมเสสว่า 2 “ลูกชายคนโตทุกคนและลูกสัตว์ที่เป็นตัวผู้ตัวแรกทุกตัวของชาวอิสราเอล ขอให้แยกไว้ต่างหากให้เรา ลูกชายคนโตและลูกสัตว์ที่เป็นตัวผู้ตัวแรกนั้นเป็นของเรา”+
3 โมเสสจึงพูดกับประชาชนว่า “ขอให้ระลึกถึงวันนี้ วันที่พระยะโฮวานำพวกคุณออกจากอียิปต์+ดินแดนของการเป็นทาสด้วยพลังอำนาจของพระองค์+ ดังนั้น อย่ากินขนมปังที่ใส่เชื้อ 4 พวกคุณออกมาในวันนี้ของเดือนอาบีบ*+ 5 พอพระยะโฮวานำพวกคุณเข้าไปในแผ่นดินของชาวคานาอัน ชาวฮิตไทต์ ชาวอาโมไรต์ ชาวฮีไวต์ ชาวเยบุส+ ซึ่งเป็นแผ่นดินที่มีน้ำนมและน้ำผึ้งมากมาย+ ที่พระองค์สาบานกับบรรพบุรุษของพวกคุณไว้ว่าจะให้กับพวกคุณ+ ขอให้พวกคุณฉลองเทศกาลนี้ในเดือนอาบีบ 6 พวกคุณต้องกินขนมปังไม่ใส่เชื้อเป็นเวลา 7 วัน+ และในวันที่เจ็ดจะเป็นเทศกาลฉลองให้พระยะโฮวา 7 ตลอด 7 วันนั้น ให้กินขนมปังไม่ใส่เชื้อ+ อย่าให้มีขนมปังที่ใส่เชื้อ+และแป้งเชื้ออยู่ในเขตแดนของคุณเลย 8 ในวันนั้น ให้บอกลูกชายของคุณว่า ‘พ่อทำแบบนี้เพื่อระลึกถึงสิ่งดี ๆ ที่พระยะโฮวาได้ทำเพื่อพ่อตอนที่ออกจากอียิปต์’+ 9 เทศกาลนี้จะเตือนใจคุณให้ระลึกถึงเหตุการณ์นั้น เหมือนเป็นสัญลักษณ์ที่เขียนไว้ที่มือและที่หน้าผากของคุณ+ คุณจะได้พูดถึงข้อกฎหมายของพระยะโฮวา เพราะพระยะโฮวานำคุณออกจากอียิปต์ด้วยพลังอำนาจของพระองค์ 10 พวกคุณต้องทำตามคำสั่งนี้ทุกปีในเวลาที่กำหนดไว้+
11 “พอพระยะโฮวาพาคุณเข้าไปในแผ่นดินของชาวคานาอันซึ่งพระองค์สาบานกับคุณและกับบรรพบุรุษของคุณไว้ว่าจะให้กับคุณ+ 12 ขอให้ถวายลูกชายคนโตทุกคนและลูกสัตว์ที่เป็นตัวผู้ตัวแรกทุกตัวของคุณให้พระยะโฮวา ลูกชายคนโตและลูกสัตว์ที่เป็นตัวผู้ตัวแรกนั้นเป็นของพระยะโฮวา+ 13 คุณต้องไถ่ลูกชายคนโตทุกคนของคุณ ส่วนลูกลาตัวผู้ตัวแรกนั้นต้องใช้แกะไถ่ ถ้าไม่ไถ่ จะต้องทุบคอมันให้หัก+
14 “ถ้าวันข้างหน้าลูกชายของคุณมาถามว่า ‘ทำไมถึงทำแบบนี้?’ ขอให้บอกเขาว่า ‘พระยะโฮวาพาพวกเราออกจากอียิปต์ดินแดนของการเป็นทาสด้วยพลังอำนาจของพระองค์+ 15 ตอนที่ฟาโรห์ใจแข็งกระด้างไม่ยอมปล่อยพวกเรา+ พระยะโฮวาประหารชีวิตลูกชายคนโตทุกคนของชาวอียิปต์และลูกสัตว์ที่เป็นตัวผู้ตัวแรกทุกตัวในอียิปต์+ นี่แหละเป็นเหตุผลที่พวกเราถวายลูกสัตว์ที่เป็นตัวผู้ตัวแรกทุกตัวให้พระยะโฮวา ส่วนลูกชายคนโตทุกคนนั้นเราไถ่ไว้’ 16 การทำแบบนี้จะเตือนใจคุณ ซึ่งจะเป็นเหมือนสัญลักษณ์อยู่ที่มือและเป็นเหมือนแถบผ้าที่คาดไว้ที่หน้าผากของคุณ+ เพราะพระยะโฮวาได้นำพวกเราออกจากอียิปต์ด้วยพลังอำนาจของพระองค์”
17 ตอนที่ฟาโรห์ปล่อยชาวอิสราเอลออกไปนั้น พระเจ้าไม่ได้นำพวกเขาไปทางแผ่นดินของชาวฟีลิสเตียถึงแม้เป็นทางที่ใกล้ เพราะพระเจ้าพูดว่า “ถ้าชาวอิสราเอลเจอกับสงคราม พวกเขาอาจจะเปลี่ยนใจแล้วหันกลับไปที่อียิปต์อีก” 18 พระเจ้าจึงนำชาวอิสราเอลอ้อมไปทางที่กันดารแถบทะเลแดง+ ชาวอิสราเอลก็ออกจากอียิปต์เป็นหมู่เหล่าเหมือนกองทัพ 19 โมเสสเอากระดูกของโยเซฟไปด้วย เพราะโยเซฟได้ให้ลูกหลานของอิสราเอลสาบานเรื่องนี้ไว้ โยเซฟพูดว่า “พระเจ้าจะช่วยพวกคุณทุกคน และพวกคุณต้องเอากระดูกของผมออกไปด้วย”+ 20 พวกเขาออกจากสุคคทและไปตั้งค่ายพักที่เอธามริมเขตแดนของที่กันดาร
21 พระยะโฮวานำทางพวกเขาด้วยเสาเมฆในตอนกลางวัน+ และเสาไฟในตอนกลางคืนเพื่อให้มีแสงสว่าง พวกเขาจึงเดินทางได้ทั้งกลางวันและกลางคืน+ 22 เสาเมฆที่นำหน้าพวกเขาในตอนกลางวันและเสาไฟในตอนกลางคืนอยู่กับพวกเขาเสมอ+
14 พระยะโฮวาพูดกับโมเสสว่า 2 “ไปบอกชาวอิสราเอลให้วกกลับไปตั้งค่ายที่หน้าปีหะหิโรท ระหว่างมิกดลกับทะเล ซึ่งอยู่ใกล้พอที่จะมองเห็นบาอัลเซโฟน+ ให้ตั้งค่ายที่ริมทะเลตรงข้ามบาอัลเซโฟนนั้น 3 แล้วฟาโรห์จะพูดถึงชาวอิสราเอลว่า ‘พวกมันกำลังหลงทาง หาทางออกจากที่กันดารไม่ได้’ 4 เราจะปล่อยให้ใจของฟาโรห์ดื้อดึง+ เขาจะไล่ตามชาวอิสราเอลไป แล้วฟาโรห์กับกองกำลังทั้งหมดของเขาจะทำให้เราได้รับการยกย่องสรรเสริญ+ และชาวอียิปต์จะรู้ว่าเราคือยะโฮวา”+ ชาวอิสราเอลก็ทำตามนั้น
5 พอกษัตริย์อียิปต์ได้รับรายงานว่าชาวอิสราเอลหนีไปแล้ว ความคิดของฟาโรห์และของพวกข้าราชสำนักก็เปลี่ยนไปทันที+ พวกเขาพูดกันว่า “ทำไมพวกเราทำแบบนี้? ทำไมถึงปล่อยชาวอิสราเอลที่เป็นทาสไปง่าย ๆ อย่างนี้?” 6 ฟาโรห์จึงเตรียมรถศึก แล้วพาคนของเขาไล่ตามไป+ 7 ฟาโรห์ใช้รถศึกอย่างดี 600 คันและรถศึกอื่น ๆ ทั้งหมดของอียิปต์ มีนักรบประจำอยู่ในรถศึกทุกคัน 8 พระยะโฮวาปล่อยให้ใจของฟาโรห์กษัตริย์อียิปต์ดื้อดึง เขาจึงไล่ตามชาวอิสราเอลที่ยกขบวนเดินออกไปอย่างองอาจ+ 9 กองทัพอียิปต์ไล่ตามชาวอิสราเอล+ รถศึกเทียมม้าทั้งหมดของฟาโรห์ พวกทหารม้า และกองทหารของฟาโรห์ก็ไล่ตามชาวอิสราเอลไปติด ๆ ตอนนั้น ชาวอิสราเอลตั้งค่ายอยู่ริมทะเลหน้าปีหะหิโรทตรงข้ามบาอัลเซโฟน
10 พอชาวอิสราเอลเห็นฟาโรห์และกองทัพอียิปต์ไล่ตามมาติด ๆ พวกเขากลัวมากและเริ่มร้องขอความช่วยเหลือจากพระยะโฮวา+ 11 พวกเขาพูดกับโมเสสว่า “ไม่มีที่ฝังศพในอียิปต์แล้วหรือไง ถึงพาเรามาตายในที่กันดารนี้?+ พาเราออกมาจากอียิปต์ทำไม? 12 ตอนอยู่ที่อียิปต์ เราบอกคุณไปแล้วไม่ใช่หรือว่า ‘ปล่อยให้เรารับใช้ชาวอียิปต์ต่อไปเถอะ อย่ามายุ่งกับเรา’? ให้พวกเรารับใช้ชาวอียิปต์ยังดีกว่าต้องมาตายในที่กันดารนี้”+ 13 โมเสสจึงพูดกับฝูงชนว่า “ไม่ต้องกลัว+ ทำใจดี ๆ ไว้ ให้รอดูว่าวันนี้พระยะโฮวาจะช่วยพวกคุณให้รอดยังไง+ เพราะกองทัพอียิปต์ที่พวกคุณเห็นในวันนี้ พวกคุณจะไม่ได้เห็นพวกเขาอีกเลย+ 14 พระยะโฮวาจะต่อสู้แทนพวกคุณ+ ให้อยู่นิ่ง ๆ ไม่ต้องทำอะไร”
15 พระยะโฮวาพูดกับโมเสสว่า “ทำไมเอาแต่ร้องขอให้เราช่วย? ไปบอกชาวอิสราเอลให้ออกเดินทางกันได้แล้ว 16 ส่วนเจ้า ให้ชูไม้เท้าขึ้นและยื่นออกไปเหนือทะเล ทะเลจะแยกออกจากกันเพื่อให้ชาวอิสราเอลเดินผ่านท้องทะเลบนดินแห้ง 17 แต่เราจะปล่อยให้ใจของชาวอียิปต์ดื้อดึง พวกเขาจะไล่ตามชาวอิสราเอลไป และฟาโรห์กับกองทหารทั้งหมด รวมทั้งรถศึกและทหารม้าของเขาจะทำให้เราได้รับการยกย่องสรรเสริญ+ 18 และชาวอียิปต์จะรู้ว่าเราคือยะโฮวา เมื่อฟาโรห์กับรถศึกและทหารม้าของเขาทำให้เราได้รับการยกย่องสรรเสริญ”+
19 แล้วทูตสวรรค์ของพระเจ้าเที่ยงแท้+ซึ่งนำหน้าชาวอิสราเอลก็ไปอยู่ข้างหลังพวกเขา เสาเมฆที่อยู่ข้างหน้าขบวนก็ย้ายไปตั้งอยู่ข้างหลังพวกเขาด้วย+ 20 เสาเมฆนั้นมากั้นกลางระหว่างกองทัพอียิปต์กับชาวอิสราเอล+ ด้านหนึ่งเป็นเมฆมืดทึบ ส่วนอีกด้านหนึ่งมีแสงสว่างในตอนกลางคืน+ กองทัพอียิปต์จึงไม่ได้เข้ามาใกล้ชาวอิสราเอลตลอดทั้งคืน
21 แล้วโมเสสก็ยื่นมือออกไปเหนือทะเล+ และพระยะโฮวาทำให้ลมจากทิศตะวันออกพัดกระหน่ำไล่น้ำทะเลตลอดคืนจนทำให้น้ำแยกออกจากกัน+ และพื้นทะเลก็กลายเป็นดินแห้ง+ 22 ชาวอิสราเอลพากันเดินข้ามทะเลบนดินแห้ง+ ตอนที่น้ำก่อตัวขึ้นมาเป็นกำแพงขนาบข้างทั้งด้านขวาและด้านซ้ายของพวกเขา+ 23 กองทัพอียิปต์ไล่ตามชาวอิสราเอลลงไปในทะเล ทั้งรถศึกทุกคันของฟาโรห์และทหารม้าของเขา+ 24 พอถึงยาม 3* พระยะโฮวาก็ดูกองทัพอียิปต์จากเสาที่เห็นเป็นไฟและเมฆ+ และทำให้พวกเขาสับสนวุ่นวาย 25 พระองค์ทำให้ล้อรถศึกของกองทัพอียิปต์หลุดออกมาเพื่อให้ขับลำบาก พวกอียิปต์จึงพากันพูดว่า “หนีจากชาวอิสราเอลกันเถอะ เพราะพระยะโฮวากำลังต่อสู้กับกองทัพอียิปต์แทนพวกเขา”+
26 พระยะโฮวาพูดกับโมเสสว่า “ยื่นมือออกเหนือทะเลเพื่อให้น้ำกลับมาท่วมพวกอียิปต์ ท่วมรถศึกกับทหารม้าของเขา” 27 แล้วโมเสสก็ยื่นมือออกเหนือทะเล น้ำทะเลก็ไหลกลับมาเหมือนเดิมตอนเช้ามืด พวกอียิปต์ต่างตะเกียกตะกายหนีน้ำนั้น แต่พระยะโฮวาเหวี่ยงพวกเขาลงไปในทะเล+ 28 น้ำซัดกลับมาท่วมรถศึกกับทหารม้า และกองทหารทั้งหมดของฟาโรห์ที่ไล่ตามชาวอิสราเอลลงไปในทะเล+ ไม่มีใครรอดชีวิตสักคน+
29 แต่ชาวอิสราเอลเดินบนพื้นทะเลที่เป็นดินแห้ง+ โดยมีน้ำก่อตัวเป็นกำแพงขนาบข้างทั้งด้านขวาและด้านซ้ายของพวกเขา+ 30 ในวันนั้น พระยะโฮวาช่วยชาวอิสราเอลให้รอดจากเงื้อมมือของกองทัพอียิปต์+ ชาวอิสราเอลเห็นศพพวกอียิปต์ตายเกลื่อนชายฝั่ง 31 ชาวอิสราเอลเห็นพลังอำนาจที่ยิ่งใหญ่ของพระยะโฮวาเมื่อพระองค์ต่อสู้พวกอียิปต์ และฝูงชนก็พากันเกรงกลัวพระยะโฮวาและมีความเชื่อในพระยะโฮวา และเชื่อในโมเสสผู้รับใช้ของพระองค์+
15 ตอนนั้น โมเสสและชาวอิสราเอลจึงร้องเพลงนี้ให้พระยะโฮวา+
“ผมขอร้องเพลงสรรเสริญพระยะโฮวา เพราะพระองค์ได้ชัยชนะที่ยิ่งใหญ่+
พระองค์เหวี่ยงม้าและคนที่ขี่ม้านั้นลงไปในทะเล+
2 ยาห์*เป็นกำลังและความเข้มแข็งของผม เพราะพระองค์ช่วยผมให้รอด+
พระองค์เป็นพระเจ้าของผม ผมจะสรรเสริญพระองค์+ พระองค์เป็นพระเจ้าของบรรพบุรุษของผม+ ผมจะยกย่องพระองค์+
3 พระยะโฮวาเป็นนักรบที่เก่งกาจ+ ชื่อของพระองค์คือยะโฮวา+
4 พระองค์เหวี่ยงรถศึกและกองทัพของฟาโรห์ลงไปในทะเล+
นักรบชั้นยอดของเขาจมลงไปในทะเลแดงแล้ว+
5 น้ำทะเลโหมซัดใส่พวกเขา พวกเขาจมดิ่งสู่ท้องทะเลลึกเหมือนกับหินก้อนหนึ่ง+
6 พระยะโฮวาพระเจ้า มือขวาของพระองค์มีพลังที่ยิ่งใหญ่+
พระยะโฮวาพระเจ้า พระองค์ใช้มือขวานั้นบดขยี้ศัตรู
7 พระองค์เหวี่ยงพวกคนที่ต่อต้านลงไปด้วยพลังที่ยิ่งใหญ่ของพระองค์+
พระองค์มีความโกรธที่ร้อนแรง ความโกรธนั้นเผาผลาญพวกเขาเหมือนเผาฟาง
8 ลมหายใจของพระองค์ที่พ่นออกมาพัดหอบน้ำให้สูงชันขึ้น
น้ำก็ตั้งขึ้นเป็นกำแพงกั้น
น้ำได้ก่อตัวเป็นกำแพงอยู่ที่ใจกลางทะเล
9 ศัตรูพูดว่า ‘เราจะตามพวกมันไป จะไล่กวดพวกมันให้ทัน
จะเอาของปล้นมาแบ่งกันให้หนำใจ
เราจะชักดาบของเราออกมา และจะทำลายพวกมันด้วยมือของเรา’+
10 พอพระองค์เป่าลมหายใจออกมา น้ำทะเลก็ท่วมพวกเขาจนมิด+
พวกเขาจมลงไปเหมือนก้อนตะกั่วในกระแสน้ำที่ซัดกระหน่ำ
11 พระยะโฮวาพระเจ้า ในพวกพระต่าง ๆ ใครจะเทียบกับพระองค์ได้?+
ใครจะเป็นเหมือนพระองค์ผู้มีความบริสุทธิ์ที่ล้ำเลิศ?+
พระองค์ผู้น่าเกรงขามและน่ายกย่องสรรเสริญ ผู้ทำสิ่งที่น่ามหัศจรรย์+
12 พอพระองค์ยื่นมือขวาออกไป แผ่นดินก็กลืนกินพวกเขาจนหมด+
13 ด้วยความรักที่มั่นคง พระองค์นำหน้าประชาชนที่พระองค์ไถ่ไว้+
ด้วยกำลังที่เข้มแข็ง พระองค์จะนำพวกเขาไปถึงที่อยู่อันบริสุทธิ์ของพระองค์
14 ชนชาติต่าง ๆ จะต้องได้ยิน+ พวกเขาจะพากันกลัวจนอกสั่นขวัญแขวน
ชาวฟีลิสเตียจะต้องเจ็บปวดรวดร้าว
15 ในตอนนั้น หัวหน้าของชาวเอโดมจะต้องหวาดหวั่น
และผู้นำเผด็จการของชาวโมอับจะลนลาน+
ชาวคานาอันทุกคนจะห่อเหี่ยวใจ+
16 พวกเขาจะตกอยู่ในความกลัวจนตัวสั่น+
พระยะโฮวาพระเจ้า ด้วยแขนอันทรงพลังของพระองค์ พวกเขาจะต้องแน่นิ่งไปเหมือนก้อนหิน
จนกระทั่งประชาชนของพระองค์เดินผ่านไป
17 พระยะโฮวาพระเจ้า พระองค์จะนำพวกเขาไป และตั้งพวกเขาไว้บนภูเขาที่เป็นสมบัติของพระองค์+
คือที่ที่มั่นคงซึ่งพระองค์เตรียมไว้เพื่ออยู่อาศัย
พระยะโฮวาพระเจ้า ที่นั่นเป็นที่ที่ศักดิ์สิทธิ์ซึ่งพระองค์ได้ก่อตั้งขึ้น
18 พระยะโฮวาจะปกครองเป็นกษัตริย์ตลอดไป+
19 เมื่อรถศึกของฟาโรห์และทหารม้าของเขาลงไปในทะเล+
พระยะโฮวาก็ทำให้น้ำทะเลกลับมาโถมทับพวกเขา+
แต่ชาวอิสราเอลเดินผ่านท้องทะเลบนดินแห้ง”+
20 แล้วมิเรียมผู้พยากรณ์หญิงซึ่งเป็นพี่สาวของอาโรนก็ถือกลองแทมบูริน*ออกมา และผู้หญิงทั้งหมดก็ถือกลองแทมบูรินตามออกมาเต้นรำกับเธอ 21 มิเรียมร้องตอบพวกผู้ชายว่า
“ร้องเพลงสรรเสริญพระยะโฮวา เพราะพระองค์ได้ชัยชนะที่ยิ่งใหญ่+
พระองค์เหวี่ยงม้าและคนขี่ม้าลงไปในทะเล”+
22 หลังจากนั้น โมเสสนำชาวอิสราเอลเดินทางจากทะเลแดงไปถึงที่กันดารชูร์ พวกเขาเดินอยู่ในที่กันดาร 3 วันโดยไม่พบน้ำเลย 23 แล้วพวกเขาก็มาถึงมาราห์*+ แต่ไม่สามารถดื่มน้ำจากที่นั่นได้เพราะเป็นน้ำขม โมเสสจึงเรียกที่นั่นว่ามาราห์ 24 ประชาชนก็เริ่มบ่นต่อว่าโมเสส+ พวกเขาพูดว่า “จะให้เราเอาอะไรดื่มกันล่ะทีนี้?” 25 โมเสสก็อ้อนวอนพระยะโฮวา+ พระยะโฮวาจึงพาเขาไปที่ต้นไม้ต้นหนึ่ง พอโมเสสเอาต้นไม้นั้นโยนลงไปในน้ำนั้น น้ำก็หายขม
ที่นั่น พระองค์ได้ตั้งข้อกำหนดกับเกณฑ์ตัดสินไว้ให้พวกเขา และพระองค์ทดสอบการเชื่อฟังของพวกเขา+ 26 พระองค์พูดว่า “ถ้าเจ้าเชื่อฟังเรายะโฮวาพระเจ้าของเจ้าอย่างเคร่งครัด ทำสิ่งที่เราเห็นว่าถูกต้อง เอาใจใส่ฟังคำสั่งของเรา และรักษาข้อกำหนดทั้งหมดของเรา+ เราจะไม่ให้พวกเจ้าเจอโรคร้ายต่าง ๆ เหมือนที่ชาวอียิปต์เจอ+ เพราะเราคือยะโฮวาผู้เยียวยารักษาเจ้า”+
27 แล้วพวกเขาก็เดินทางต่อไปถึงเอลิมซึ่งมีบ่อน้ำพุ 12 บ่อ และมีต้นปาล์ม 70 ต้น พวกเขาจึงตั้งค่ายพักใกล้ ๆ บ่อน้ำพุนั้น
16 ต่อมา ชาวอิสราเอลทั้งหมดก็ออกจากเอลิม และเดินทางมาถึงที่กันดารสีน+ซึ่งอยู่ระหว่างเอลิมกับซีนายในวันที่ 15 ของเดือนที่ 2 ที่พวกเขาออกจากอียิปต์
2 ชาวอิสราเอลทั้งหมดเริ่มบ่นต่อว่าโมเสสกับอาโรนในที่กันดารนั้น+ 3 ชาวอิสราเอลเอาแต่พูดกับเขาทั้งสองว่า “ให้พวกเราตายด้วยน้ำมือของพระยะโฮวาในอียิปต์ ที่มีทั้งเนื้อ+และขนมปังให้เรากินอิ่มสบายก็ยังดีซะกว่าที่พวกคุณพาเราทั้งหมดมาอดตายในที่กันดารนี้”+
4 พระยะโฮวาจึงพูดกับโมเสสว่า “เราจะให้อาหารตกลงมาจากฟ้า+ และให้แต่ละคนออกไปเก็บตามจำนวนที่เขาจะกินในวันนั้น+ เพราะเราจะลองใจพวกเขาว่าจะเชื่อฟังคำสั่งของเราไหม+ 5 แต่ในวันที่หก+ เมื่อพวกเขาเตรียมสิ่งที่จะทำเป็นอาหาร ก็ให้พวกเขาเก็บเป็น 2 เท่า”+
6 โมเสสและอาโรนพูดกับชาวอิสราเอลทั้งหมดว่า “ในตอนเย็น พวกคุณจะได้รู้ว่าพระยะโฮวาคือผู้ที่นำพวกคุณออกจากอียิปต์+ 7 ในตอนเช้า พวกคุณจะได้เห็นสง่าราศีของพระยะโฮวาเพราะพระองค์ได้ยินเสียงที่พวกคุณบ่นต่อว่าพระยะโฮวา พวกคุณมาบ่นต่อว่าพวกเราทำไม? พวกเราไม่ได้มีความสำคัญอะไร จริง ๆ แล้วพวกคุณกำลังบ่นต่อว่าพระเจ้าอยู่” 8 โมเสสพูดต่อไปว่า “เมื่อพระยะโฮวาเอาเนื้อให้พวกคุณกินในตอนเย็น และเอาอาหารอีกอย่างหนึ่งให้พวกคุณกินจนอิ่มในตอนเช้า พวกคุณจะรู้ว่าพระยะโฮวาได้ยินเสียงที่พวกคุณบ่นต่อว่าพระองค์ แต่เราสองคนเป็นใคร? พวกคุณไม่ได้บ่นต่อว่าเรา แต่บ่นต่อว่าพระยะโฮวา”+
9 โมเสสพูดกับอาโรนว่า “ไปบอกชาวอิสราเอลทั้งหมดว่า ‘ให้มาอยู่ต่อหน้าพระยะโฮวา เพราะพระองค์ได้ยินเสียงบ่นของพวกคุณแล้ว’”+ 10 พออาโรนพูดกับชาวอิสราเอลจบ พวกเขาก็หันหน้าไปทางที่กันดาร แล้วก็เห็นรัศมีของพระยะโฮวาอยู่ในเมฆ+
11 พระยะโฮวาพูดกับโมเสสว่า 12 “เราได้ยินเสียงบ่นของชาวอิสราเอลแล้ว+ ให้เจ้าไปบอกพวกเขาว่า ‘ตอนพลบค่ำ*พวกเจ้าจะได้กินเนื้อ และในตอนเช้าจะได้กินอาหารอีกอย่างจนอิ่ม+ แล้วพวกเจ้าจะได้รู้ว่าเราคือยะโฮวา พระเจ้าของพวกเจ้า’”+
13 พอตกเย็น ฝูงนกคุ่มก็บินมาเต็มค่ายพัก+ และในตอนเช้าก็มีน้ำค้างปกคลุมพื้นดินบริเวณรอบ ๆ ค่ายพัก 14 พอน้ำค้างระเหยไป ก็มีสิ่งหนึ่งที่มีลักษณะเป็นเม็ดเล็ก ๆ คล้ายน้ำค้างแข็งอยู่บนพื้นดินในที่กันดาร+ 15 พอชาวอิสราเอลเห็นก็พูดกันว่า “นี่คืออะไร?” เพราะพวกเขาไม่รู้จัก โมเสสจึงพูดกับพวกเขาว่า “นี่คืออาหารที่พระยะโฮวาให้พวกคุณ+ 16 พระยะโฮวาสั่งว่า ‘ให้แต่ละคนเก็บในปริมาณที่พอกิน ให้เก็บไปคนละ 1 โอเมอร์*+ และเก็บตามจำนวนคนที่อยู่ในเต็นท์ของตัวเอง’” 17 ชาวอิสราเอลก็ทำตาม พวกเขาออกไปเก็บ บางคนเก็บมากบางคนก็เก็บน้อย 18 เมื่อใช้โอเมอร์ตวงเก็บอาหาร คนที่เก็บมากก็ไม่มีเหลือ ส่วนคนที่เก็บน้อยก็ไม่ขาด+ แต่ละคนเก็บในปริมาณที่พอกิน
19 แล้วโมเสสก็พูดกับพวกเขาว่า “อย่าให้ใครเก็บไว้จนถึงเช้าของวันรุ่งขึ้น”+ 20 แต่พวกเขาไม่ฟังโมเสส คนที่เก็บไว้จนถึงเช้าของวันรุ่งขึ้นก็พบว่ามีหนอนและมีกลิ่นเหม็น โมเสสก็โกรธพวกเขา 21 พวกเขาจะต้องออกไปเก็บทุกเช้า แต่ละคนเก็บในปริมาณที่พอกิน พอแดดแรงขึ้น อาหารนั้นก็จะละลาย
22 ในวันที่หก พวกเขาเก็บอาหารนั้นเป็น 2 เท่า+ คือคนละ 2 โอเมอร์ แล้วพวกหัวหน้าของชาวอิสราเอลก็มารายงานโมเสส 23 โมเสสพูดกับพวกเขาว่า “พระยะโฮวาบอกไว้อย่างนี้ ‘พรุ่งนี้จะเป็นวันหยุดพัก เป็นสะบาโตบริสุทธิ์เพื่อพระยะโฮวา+ ดังนั้น วันนี้ส่วนไหนที่อยากจะอบก็เอาไปอบ ส่วนไหนที่อยากจะต้มก็เอาไปต้ม+ และส่วนที่เหลือทั้งหมดให้พวกคุณเก็บไว้จนถึงเช้าของวันรุ่งขึ้น’” 24 พวกเขาก็เก็บส่วนที่เหลือไว้จนถึงเช้าของวันรุ่งขึ้นตามที่โมเสสสั่ง และอาหารนั้นก็ไม่มีกลิ่นเหม็นและไม่มีหนอนขึ้นเลย 25 โมเสสพูดว่า “วันนี้ ให้กินอาหารที่เก็บไว้ เพราะวันนี้เป็นสะบาโตของพระยะโฮวา ดังนั้น จะไม่มีอาหารบนพื้นดินให้พวกคุณเก็บในวันนี้ 26 พวกคุณจะออกไปเก็บ 6 วัน แต่ในวันที่เจ็ดเป็นวันสะบาโต+ จะไม่มีอาหารนั้นเลย” 27 ถึงอย่างนั้น ก็ยังมีบางคนออกไปเก็บในวันที่เจ็ด แต่ก็ไม่มีอะไรจะให้เก็บ
28 พระยะโฮวาจึงพูดกับโมเสสว่า “พวกเจ้าจะขัดคำสั่งและไม่ฟังเราอีกนานแค่ไหน?+ 29 อย่าลืมว่า พระยะโฮวาให้พวกเจ้ารักษาวันสะบาโต+ พระองค์จึงให้อาหารพวกเจ้าในวันที่หกเป็น 2 เท่า ดังนั้น ขอให้แต่ละคนอยู่ในที่อาศัยของตัวเอง อย่าให้ใครออกไปไหนในวันที่เจ็ด” 30 ประชาชนก็ทำตามกฎที่เกี่ยวข้องกับสะบาโต*ในวันที่เจ็ด+
31 ชาวอิสราเอลเรียกอาหารนั้นว่า “มานา”* ซึ่งมีสีขาวคล้ายเมล็ดผักชี และมีรสชาติเหมือนขนมปังแผ่นผสมน้ำผึ้ง+ 32 แล้วโมเสสก็พูดว่า “พระยะโฮวาสั่งอย่างนี้ ‘ตวงมานา 1 โอเมอร์ และเก็บไว้เพื่อให้ลูกหลานทุกยุคทุกสมัย+ได้เห็นอาหารที่เราให้พวกเจ้ากินในที่กันดาร ตอนที่เราพาพวกเจ้าออกจากอียิปต์’” 33 โมเสสจึงพูดกับอาโรนว่า “เอามานา 1 โอเมอร์ใส่โถเก็บไว้ตรงหน้าพระยะโฮวาไปตลอดทุกยุคทุกสมัย”+ 34 อาโรนก็เก็บมานาใส่โถวางไว้ตรงหน้าหีบหลักฐาน*+ตามที่พระยะโฮวาได้สั่งโมเสส 35 ชาวอิสราเอลกินมานาเป็นเวลา 40 ปี+จนพวกเขาเข้าไปในแผ่นดินที่มีคนอาศัยอยู่+ พวกเขากินมานาจนพวกเขาเดินทางมาถึงริมเขตแดนแผ่นดินคานาอัน+ 36 หนึ่งโอเมอร์เท่ากับ 1 ใน 10 เอฟาห์*
17 ชาวอิสราเอลทั้งหมดออกจากที่กันดารสีน+ พวกเขาเดินทางจากที่หนึ่งไปอีกที่หนึ่งตามคำสั่งของพระยะโฮวา+ แล้วพวกเขาไปตั้งค่ายพักที่เรฟีดิม+ แต่ประชาชนไม่มีน้ำดื่ม
2 ประชาชนก็มาเอาเรื่องกับโมเสส+ พวกเขาพูดว่า “ไปหาน้ำมาให้พวกเราดื่มเลย” แต่โมเสสพูดกับพวกเขาว่า “พวกคุณมาหาเรื่องผมทำไม? ทำไมพวกคุณลองดีกับพระยะโฮวาอย่างนี้?”+ 3 แต่ประชาชนหิวน้ำมากจึงบ่นต่อว่าโมเสสไม่หยุด+ว่า “ทำไมคุณเอาพวกเราออกมาจากอียิปต์ แล้วให้พวกเรากับลูกหลานและฝูงสัตว์ของพวกเรามาอดน้ำตายกันที่นี่?” 4 โมเสสพูดกับพระยะโฮวาว่า “ผมจะทำยังไงดีกับคนพวกนี้? พวกเขาจะเอาหินขว้างผมอยู่แล้ว”
5 พระยะโฮวาพูดกับโมเสสว่า “ไปพาพวกผู้นำบางคนของชาวอิสราเอลมา และให้เจ้าถือไม้เท้าที่เคยใช้ตีแม่น้ำไนล์+เดินผ่านหน้าประชาชนไปพร้อมกับพวกเขา 6 เราจะยืนอยู่ตรงหน้าเจ้าบนโขดหินในโฮเรบ ให้เจ้าตีโขดหินนั้นแล้วจะมีน้ำไหลออกมาให้ประชาชนดื่ม”+ โมเสสทำอย่างนั้นต่อหน้าพวกผู้นำของชาวอิสราเอล 7 โมเสสจึงเรียกที่นั่นว่ามัสสาห์*+และเมรีบาห์*+ เพราะชาวอิสราเอลมาต่อว่าโมเสสและลองดีกับพระยะโฮวา+โดยพูดว่า “พระยะโฮวาอยู่กับพวกเราจริง ๆ หรือ?”
8 หลังจากนั้น ชาวอามาเลข+ได้ออกมาโจมตีชาวอิสราเอลในเรฟีดิม+ 9 โมเสสจึงพูดกับโยชูวา+ว่า “ไปเลือกผู้ชายออกไปสู้รบกับชาวอามาเลข และวันพรุ่งนี้ ผมจะยืนถือไม้เท้าของพระเจ้าเที่ยงแท้อยู่บนยอดเขา” 10 โยชูวาก็ทำตามที่โมเสสสั่ง+ เขาออกไปต่อสู้กับชาวอามาเลข ส่วนโมเสส อาโรน และเฮอร์+ขึ้นไปบนยอดเขา
11 ถ้าโมเสสยกมือทั้งสองข้างค้างไว้ ชาวอิสราเอลจะชนะ แต่ถ้าเขาเอามือลง ชาวอามาเลขก็จะเป็นฝ่ายชนะ 12 พอโมเสสเมื่อยแขนทั้งสองข้าง อาโรนกับเฮอร์ก็เอาหินมาให้เขานั่ง แล้วก็ช่วยยกแขนทั้งสองของโมเสสขึ้นคนละข้าง มือทั้งสองข้างของโมเสสก็ยกอยู่อย่างนั้นจนดวงอาทิตย์ตก 13 โยชูวาก็ฆ่าฟันชาวอามาเลขและเอาชนะพวกเขา+
14 พระยะโฮวาพูดกับโมเสสว่า “บันทึกเรื่องนี้ไว้ในหนังสือเพื่อเตือนความจำ และย้ำกับโยชูวาว่า ‘เราจะกำจัดชาวอามาเลขให้สิ้นซาก จะไม่มีใครนึกถึงพวกเขาอีกเลย’”+ 15 โมเสสสร้างแท่นบูชาขึ้นที่นั่นและตั้งชื่อแท่นนั้นว่ายะโฮวานิสสี* 16 เขาพูดว่า “พระยะโฮวาจะสู้รบกับชาวอามาเลขไปตลอดทุกยุคทุกสมัย+ เพราะพวกเขาตั้งตัวเป็นศัตรูกับการปกครองของยาห์”
18 เยโธรปุโรหิตชาวมีเดียนพ่อตาของโมเสส+ได้ยินเรื่องราวทั้งหมดที่พระเจ้าทำเพื่อโมเสสและชาวอิสราเอลประชาชนของพระองค์ รวมถึงวิธีที่พระยะโฮวาพาชาวอิสราเอลออกจากอียิปต์+ 2 ก่อนหน้านี้ โมเสสได้ส่งศิปโปราห์ภรรยาของเขากลับไปหาเยโธรพ่อตา เยโธรก็ดูแลเธอ 3 และดูแลลูกชาย 2 คนของเธอ+ด้วย คนหนึ่งชื่อเกอร์โชม*+ เพราะโมเสสพูดว่า “เรามาอยู่ต่างแดนอย่างคนต่างชาติ” 4 และอีกคนหนึ่งชื่อว่าเอลีเอเซอร์* เพราะโมเสสพูดว่า “พระเจ้าของบรรพบุรุษของผมเป็นผู้ช่วยผมให้รอดจากคมดาบของฟาโรห์”+
5 เยโธรพ่อตาของโมเสสพาภรรยาของโมเสสกับลูกชายมาหาโมเสสที่ค่ายพัก ค่ายพักนี้อยู่ในที่กันดารแถบภูเขาของพระเจ้าเที่ยงแท้+ 6 เยโธรให้คนไปบอกโมเสสว่า “วันนี้เยโธรพ่อตาของลูก+ตั้งใจมาหา พ่อพาภรรยากับลูกชาย 2 คนของลูกมาด้วย” 7 โมเสสก็ออกไปพบทันที โมเสสหมอบลงแล้วจูบทักทายพ่อตา แล้วพวกเขาก็ถามทุกข์สุขของกันและกัน หลังจากนั้นก็พากันเข้าไปในเต็นท์
8 โมเสสเล่าทุกสิ่งที่พระยะโฮวาทำกับฟาโรห์และชาวอียิปต์เพื่อช่วยชาวอิสราเอลให้พ่อตาฟัง+ รวมทั้งเล่าถึงความยากลำบากที่พวกเขาต้องเจอระหว่างการเดินทาง+ และวิธีที่พระยะโฮวาช่วยพวกเขาให้รอด 9 เยโธรดีใจเมื่อได้ยินเรื่องดี ๆ ทั้งหมดที่พระยะโฮวาทำเพื่อช่วยชาวอิสราเอลให้รอดจากอียิปต์* 10 เยโธรพูดว่า “ขอให้พระยะโฮวาได้รับการยกย่องสรรเสริญ เพราะพระองค์ช่วยลูกให้รอดจากอียิปต์และฟาโรห์ และช่วยชาวอิสราเอลให้หลุดพ้นจากการอยู่ใต้อำนาจชาวอียิปต์ 11 ตอนนี้พ่อรู้แล้วว่า พระยะโฮวายิ่งใหญ่กว่าพระอื่น ๆ ทั้งหมด+ เพราะพ่อเห็นแล้วว่าพระองค์จัดการกับคนอวดดีที่มากดขี่ประชาชนของพระองค์ยังไงบ้าง” 12 แล้วเยโธรพ่อตาของโมเสสก็เอาเครื่องบูชาเผามาถวายพระเจ้า อาโรนกับพวกผู้นำทั้งหมดของชาวอิสราเอลก็มากินอาหารกับพ่อตาของโมเสสต่อหน้าพระเจ้าเที่ยงแท้
13 วันรุ่งขึ้น โมเสสนั่งตัดสินคดีความให้ประชาชนตามเคย และประชาชนก็มายืนต่อหน้าโมเสสตั้งแต่เช้าถึงเย็น 14 เมื่อพ่อตาของโมเสสเห็นทุกสิ่งที่โมเสสทำเพื่อประชาชน เขาถามว่า “ทำไมลูกทำอย่างนี้? มานั่งตัดสินคดีความและทำทุกสิ่งทุกอย่างเองคนเดียวทำไม? ประชาชนทั้งหมดนี้ก็เลยต้องมายืนต่อหน้าลูกตั้งแต่เช้าจนถึงเย็น” 15 โมเสสตอบพ่อตาว่า “เพราะประชาชนมาหาผมเพื่อจะขอคำแนะนำจากพระเจ้า 16 พอพวกเขามีเรื่องมีราวกัน พวกเขาจะมาหาผม และผมต้องตัดสินคดีความให้ทั้งสองฝ่าย และยังต้องชี้แจงคำตัดสินของพระเจ้าเที่ยงแท้และกฎหมายของพระองค์ด้วย”+
17 พ่อตาของโมเสสพูดว่า “พ่อว่าวิธีนี้ไม่ค่อยดีเท่าไหร่ 18 ลูกจะเหนื่อยเกินไป ประชาชนพวกนี้ก็เหนื่อยด้วย เพราะงานนี้ใหญ่เกินกำลังของลูก ลูกทำคนเดียวไม่ไหวหรอก 19 เอาละ ฟังพ่อนะ พ่อขอแนะนำอะไรบางอย่าง และขอให้พระเจ้าอยู่กับลูก+ ลูกเป็นตัวแทนของประชาชนเพื่อจะเข้าพบพระเจ้าเที่ยงแท้+ และต้องนำคดีความต่าง ๆ มาถามพระเจ้าเที่ยงแท้+ 20 และต้องสอนพวกเขาให้รู้ข้อกำหนดและกฎหมายต่าง ๆ+ บอกพวกเขาให้รู้วิธีใช้ชีวิต และสิ่งที่พวกเขาควรทำ 21 ดังนั้น ลูกน่าจะเลือกผู้ชายจากชาวอิสราเอล เลือกคนที่มีความสามารถ+ เกรงกลัวพระเจ้า ไว้ใจได้ ไม่หาผลประโยชน์โดยวิธีที่ทุจริต+ และตั้งพวกเขาให้เป็นหัวหน้าดูแลคนพันคน ร้อยคน ห้าสิบคน และสิบคน+ 22 ให้พวกเขาตัดสินคดีความของประชาชน คดีไหนที่ยากพวกเขาจะให้ลูกตัดสิน+ แต่ถ้าคดีไหนง่ายพวกเขาจะตัดสินเอง การให้พวกเขาช่วยแบ่งเบาภาระแบบนี้จะทำให้ลูกเหนื่อยน้อยลง+ 23 ถ้าลูกทำแบบนี้ และพระเจ้าเห็นด้วยกับสิ่งที่ลูกทำ ลูกจะรับมือได้ และทุกคนก็จะกลับบ้านไปอย่างสบายใจ”
24 โมเสสเชื่อฟังคำแนะนำของพ่อตาและทำทุกสิ่งตามที่เขาพูดทันที 25 โมเสสเลือกผู้ชายที่มีความสามารถจากชาวอิสราเอล และแต่งตั้งพวกเขาให้เป็นหัวหน้าดูแลคนพันคนบ้าง ร้อยคนบ้าง ห้าสิบคนบ้าง และสิบคนบ้าง 26 พวกเขาตัดสินคดีความต่าง ๆ ของประชาชน คดียาก ๆ พวกเขาจะให้โมเสสตัดสิน+ ส่วนคดีง่าย ๆ พวกเขาจะตัดสินเอง 27 หลังจากนั้น โมเสสส่งพ่อตากลับไป+ พ่อตาก็เดินทางกลับไปที่แผ่นดินของเขา
19 ในเดือนที่สามหลังจากชาวอิสราเอลออกจากอียิปต์ พวกเขาก็มาถึงที่กันดารซีนาย* 2 พวกเขาเดินทางออกจากเรฟีดิม+มาถึงที่กันดารซีนาย และตั้งค่ายพักตรงหน้าภูเขา+ในที่กันดารนั้น
3 โมเสสขึ้นไปพบกับพระเจ้าเที่ยงแท้บนภูเขา และพระยะโฮวาเรียกโมเสสจากภูเขานั้น+ พระองค์พูดว่า “ไปบอกชาวอิสราเอลลูกหลานของยาโคบดังนี้ 4 ‘พวกเจ้าได้เห็นสิ่งที่เราทำกับชาวอียิปต์แล้ว+ เราพาพวกเจ้ามาหาเราเหมือนนกอินทรีที่พยุงลูกไว้บนปีกของมัน+ 5 ดังนั้น ถ้าพวกเจ้าเชื่อฟังเราอย่างเคร่งครัดและรักษาสัญญาที่เราจะทำกับพวกเจ้า พวกเจ้าจะเป็นชนชาติพิเศษ*ของเราที่เราเลือกจากชาติต่าง ๆ+ เพราะโลกทั้งโลกเป็นของเรา+ 6 พวกเจ้าจะเป็นรัฐบาลที่มีปุโรหิตปกครองเป็นกษัตริย์ และเป็นชาติบริสุทธิ์ของเรา’+ ขอให้เจ้าเอาคำพูดนี้ไปบอกชาวอิสราเอล”
7 โมเสสกลับลงไปและเรียกพวกผู้นำ*ของชาวอิสราเอลมา โมเสสบอกพวกเขาทุกอย่างตามที่พระยะโฮวาสั่งไว้+ 8 แล้วประชาชนทั้งหมดก็ตอบเป็นเสียงเดียวกันว่า “ทุกสิ่งที่พระยะโฮวาสั่ง พวกเราจะทำตาม”+ โมเสสรีบนำคำพูดของประชาชนไปบอกพระยะโฮวา 9 พระยะโฮวาพูดกับโมเสสว่า “เราจะมาหาเจ้าในเมฆที่หนาทึบเพื่อประชาชนจะได้ยินตอนที่เราพูดกับเจ้า และพวกเขาจะได้วางใจเจ้าตลอดไป” แล้วโมเสสก็รายงานคำพูดของประชาชนต่อพระยะโฮวา
10 พระยะโฮวาพูดกับโมเสสว่า “ไปบอกประชาชนว่า เตรียมตัวให้พร้อมในวันนี้กับวันพรุ่งนี้ พวกเขาจะต้องซักเสื้อผ้าของตัวเองด้วย 11 ในวันมะรืนพวกเขาต้องอยู่พร้อม เพราะพระยะโฮวาจะลงมาที่ภูเขาซีนายต่อหน้าประชาชนทุกคน 12 และเจ้าต้องกั้นบริเวณรอบภูเขาเพื่อกันไม่ให้ผู้คนเข้ามา และบอกพวกเขาว่า ‘ห้ามขึ้นไปบนภูเขาหรือล่วงล้ำเข้าไปที่เชิงเขา ใครที่ล่วงล้ำเข้าไปที่ภูเขานี้จะถูกประหารชีวิต 13 อย่าให้ใครแตะต้องตัวคนที่ฝ่าฝืน แต่ให้เอาหินขว้างเขาหรือยิง*เขาให้ตาย ไม่ว่าสัตว์หรือคนก็ต้องตาย’+ และพวกเขาจะขึ้นไปบนภูเขาได้ก็ต่อเมื่อได้ยินเสียงแตรเขาแกะ+เท่านั้น”
14 โมเสสลงจากภูเขามาหาประชาชน และให้พวกเขาชำระตัวให้บริสุทธิ์ ประชาชนก็ซักเสื้อผ้าของตัวเอง+ 15 โมเสสพูดกับประชาชนว่า “เตรียมตัวให้พร้อมสำหรับวันมะรืนนี้ และงดเว้นการมีเพศสัมพันธ์”
16 พอถึงตอนเช้าของวันนั้นก็เกิดฟ้าร้องฟ้าแลบและมีเมฆหนาทึบ+ปกคลุมภูเขา มีเสียงแตรดังสนั่น และประชาชนทั้งหมดที่อยู่ในค่ายพักก็กลัวจนตัวสั่น+ 17 โมเสสพาประชาชนออกจากค่ายพักไปหาพระเจ้าเที่ยงแท้ และพวกเขายืนอยู่บริเวณที่ราบหน้าภูเขานั้น 18 มีควันปกคลุมทั่วภูเขาซีนาย เพราะพระยะโฮวาลงมาที่นั่นพร้อมกับเปลวไฟ+ ควันได้พวยพุ่งเหมือนควันจากเตาเผา ภูเขาทั้งลูกสั่นสะเทือนอย่างรุนแรง+ 19 พอเสียงแตรดังขึ้นเรื่อย ๆ โมเสสก็พูดและมีเสียงของพระเจ้าเที่ยงแท้ตอบกลับมา
20 พระยะโฮวาลงมาที่ยอดภูเขาซีนาย และพระยะโฮวาเรียกโมเสสให้ขึ้นไปบนยอดเขา โมเสสก็ขึ้นไป+ 21 พระยะโฮวาพูดกับโมเสสว่า “ลงไปเตือนประชาชนว่าอย่าล่วงล้ำเข้ามาเพื่อจะดูพระยะโฮวา ไม่อย่างนั้นผู้คนมากมายจะถูกทำลาย 22 ให้พวกปุโรหิต*ที่เข้าพบพระยะโฮวาเป็นประจำชำระตัวให้บริสุทธิ์ เพื่อพระยะโฮวาจะไม่ลงโทษพวกเขา”+ 23 โมเสสตอบพระยะโฮวาว่า “ประชาชนขึ้นมาบนภูเขาซีนายไม่ได้หรอกครับ เพราะพระองค์ได้เตือนพวกเราแล้วว่า ‘ให้กั้นบริเวณรอบภูเขาให้เป็นที่บริสุทธิ์’”+ 24 แต่พระยะโฮวาพูดกับโมเสสว่า “ลงไปเถอะ แล้วค่อยกลับขึ้นมาใหม่ พาอาโรนขึ้นมาด้วย แต่อย่าให้พวกปุโรหิตและประชาชนล่วงล้ำเข้ามาใกล้พระยะโฮวา ไม่อย่างนั้นเราจะลงโทษพวกเขา”+ 25 โมเสสลงไปหาประชาชนและบอกพวกเขาตามนั้น
20 และพระเจ้ามีคำสั่งดังต่อไปนี้+
2 “เราคือยะโฮวาพระเจ้าของเจ้า ผู้พาเจ้าออกจากอียิปต์ดินแดนของการเป็นทาส+ 3 อย่ามีพระเจ้าอื่นนอกจากเรา+
4 “อย่าทำรูปเคารพ ไม่ว่าจะเป็นรูปอะไรก็ตามที่เหมือนกับสิ่งที่อยู่ในท้องฟ้า สิ่งที่อยู่บนแผ่นดิน หรือสิ่งที่อยู่ในน้ำ+ 5 อย่ากราบไหว้หรือหลงไปนมัสการรูปเคารพพวกนั้น+ เพราะเรายะโฮวาพระเจ้าของเจ้าเป็นพระเจ้าที่ต้องการให้พวกเจ้านมัสการเราเพียงผู้เดียว+ เราจะลงโทษคนที่เกลียดเราและให้โทษนั้นตกไปถึงลูก หลาน และเหลนของเขา 6 แต่คนที่รักเราและทำตามกฎหมายของเรา เราจะแสดงความรักอย่างมั่นคงต่อเขาไปหลายพันชั่วอายุ+
7 “อย่าเอาชื่อยะโฮวาพระเจ้าของเจ้าไปใช้ผิด ๆ+ เพราะพระยะโฮวาจะลงโทษคนที่เอาชื่อของพระองค์ไปใช้อย่างผิด ๆ+
8 “ให้รักษาวันสะบาโตและถือเป็นวันบริสุทธิ์+ 9 ให้ทำงานทั้งหมดของเจ้า 6 วัน+ 10 แต่วันที่เจ็ดเป็นสะบาโตให้พระยะโฮวาพระเจ้าของเจ้า อย่าทำงานอะไร ไม่ว่าเจ้า ลูกชายลูกสาว ทาสผู้ชายทาสผู้หญิง สัตว์เลี้ยง หรือคนต่างชาติที่อยู่ในเมืองของเจ้า+ 11 เพราะใน 6 วันนั้นพระยะโฮวาสร้างฟ้า โลก ทะเล และทุกสิ่งที่อยู่ในนั้น และพระองค์เริ่มหยุดพักในวันที่ 7+ ดังนั้น พระยะโฮวาจึงอวยพรวันสะบาโตและทำให้เป็นวันบริสุทธิ์
12 “ให้นับถือพ่อแม่+ แล้วเจ้าจะมีอายุยืนยาวอยู่บนแผ่นดินซึ่งพระยะโฮวาพระเจ้าของเจ้าจะให้เจ้า+
13 “อย่าฆ่าคน+
14 “อย่าเล่นชู้+
15 “อย่าขโมย+
16 “อย่าเป็นพยานเท็จใส่ร้ายคนอื่น+
17 “อย่าโลภอยากได้บ้านของคนอื่น ภรรยาของคนอื่น+ ทาสผู้ชายทาสผู้หญิง หรือวัว หรือลา หรืออะไรก็ตามที่เป็นของคนอื่น”+
18 ประชาชนทั้งหมดได้ยินเสียงฟ้าร้องและเสียงแตรเขาสัตว์ และเห็นฟ้าแลบกับควันพวยพุ่งจากภูเขา พวกเขากลัวจนตัวสั่นและยืนอยู่ห่าง ๆ เมื่อได้ยินและได้เห็นเหตุการณ์ทั้งหมดนี้+ 19 พวกเขาพูดกับโมเสสว่า “เล่าให้พวกเราฟังดีกว่า อย่าให้พระเจ้ามาพูดกับพวกเราเลย ไม่งั้นพวกเราต้องตายแน่ ๆ”+ 20 โมเสสจึงพูดกับประชาชนว่า “ไม่ต้องกลัว พระเจ้าเที่ยงแท้มาเพื่อจะทดสอบพวกคุณ+ และเพื่อให้พวกคุณเกรงกลัวพระองค์ต่อ ๆ ไป พวกคุณจะได้ไม่ทำบาป”+ 21 ประชาชนยืนอยู่ห่าง ๆ แต่โมเสสเข้าไปใกล้เมฆที่หนาทึบซึ่งพระเจ้าเที่ยงแท้อยู่ที่นั่น+
22 พระยะโฮวาพูดกับโมเสสว่า “ให้พูดกับชาวอิสราเอลอย่างนี้ ‘พวกเจ้าได้เห็นแล้วว่าเราพูดกับพวกเจ้าจากท้องฟ้า+ 23 พวกเจ้าอย่าทำพระต่าง ๆ ด้วยเงินหรือทอง พวกเจ้าอย่านมัสการพระอื่นเลยนอกจากเรา+ 24 พวกเจ้าต้องใช้ดินทำแท่นบูชาให้เรา เพื่อถวายแกะกับวัวเป็นเครื่องบูชาเผาและเครื่องบูชาผูกมิตร*บนแท่นนั้นในที่ไหนก็ตามที่เราได้เลือกไว้เพื่อให้ชื่อของเราได้รับการระลึกถึง+ และเราจะมาหาพวกเจ้าและอวยพรพวกเจ้าที่นั่น 25 ถ้าเจ้าจะใช้หินทำแท่นบูชาให้เรา อย่าใช้หินที่เอาเครื่องมือสกัด+ เพราะถ้าเจ้าใช้เหล็กสกัด แท่นนั้นก็จะหมดความศักดิ์สิทธิ์ 26 และอย่าทำบันไดขึ้นไปที่แท่นบูชาของเรา คนอื่นจะได้ไม่เห็นของลับของเจ้า’*
21 “ต่อไปนี้เป็นข้อกฎหมายที่เจ้าต้องเอาไปบอกพวกเขา+
2 “ถ้าเจ้าซื้อคนฮีบรูมาเป็นทาส+ เขาจะเป็นทาสอยู่ 6 ปี แต่ในปีที่เจ็ดเขาจะเป็นอิสระโดยไม่ต้องเสียค่าไถ่เลย+ 3 ถ้าเขามาคนเดียว เขาจะถูกปล่อยเป็นอิสระคนเดียว แต่ถ้าเขามากับภรรยาก็ให้ปล่อยภรรยาของเขาไปด้วย 4 ถ้านายหาภรรยา*ให้เขาและเธอมีลูกชายหรือลูกสาวกับเขา ภรรยาและลูกจะเป็นสมบัติของนาย ส่วนทาสคนนั้นจะเป็นอิสระคนเดียว+ 5 แต่ถ้าทาสยืนกรานว่า ‘ผมรักนายและรักลูกเมียของผม ผมไม่อยากได้อิสรภาพ’+ 6 ก็ให้นายพาเขาไปยืนต่อหน้าพระเจ้าเที่ยงแท้ จากนั้นให้นายพาเขาไปยืนแนบอยู่ที่ประตูหรือเสาประตูบ้าน และเอาเหล็กแหลมเจาะหูเขาจนทะลุ แล้วเขาจะเป็นทาสของนายไปตลอดชีวิต
7 “ถ้าใครขายลูกสาวไปเป็นทาส เธอจะไม่ได้รับการปล่อยตัวเป็นอิสระเหมือนกับทาสผู้ชาย 8 ถ้านายไม่ถูกใจเธอและเปลี่ยนใจไม่รับเธอเป็นภรรยาน้อย นายจะไม่มีสิทธิ์ขายเธอให้คนต่างชาติเพราะนั่นเท่ากับเป็นการทรยศเธอ แต่ให้คนอื่นมาไถ่ตัวเธอได้ 9 และถ้านายเลือกผู้หญิงนั้นให้เป็นภรรยาลูกชาย นายต้องปฏิบัติต่อเธอเหมือนเป็นลูกสาวของตัวเอง 10 ถ้าลูกชาย*มีภรรยาใหม่อีกคน เขาก็ยังต้องเลี้ยงดูเธอ ต้องให้เสื้อผ้า และให้สิ่งที่เธอควรได้*+ในฐานะภรรยาเหมือนเดิม 11 ถ้าเขาไม่ให้ 3 สิ่งนี้ เธอก็ไปจากเขาได้โดยไม่ต้องเสียค่าไถ่ตัวหรือจ่ายเงินเลย
12 “ถ้าใครตีคนหนึ่งจนตาย คนนั้นจะมีโทษถึงตาย+ 13 แต่ถ้าเขาไม่มีเจตนาฆ่า และพระเจ้าเที่ยงแท้ปล่อยให้เหตุการณ์นั้นเกิดขึ้น เราจะกำหนดที่หนึ่งไว้ให้เขาหนีไปที่นั่นได้+ 14 ถ้าใครโกรธแค้นคนอื่นมากถึงขั้นจงใจฆ่าคนนั้น+ จะต้องประหารชีวิตเขาถึงแม้เขาจะหนีไปพึ่งที่แท่นบูชาของเราก็ตาม+ 15 คนที่ทำร้ายพ่อแม่จะมีโทษถึงตาย+
16 “ถ้าใครลักพาตัวคนหนึ่งไป+ ไม่ว่าจะขายคนนั้นให้คนอื่นไปแล้ว หรือคนที่ถูกลักพาตัวไปยังอยู่กับเขา+ เขาจะมีโทษถึงตาย+
17 “ถ้าใครแช่งด่าพ่อแม่ คนนั้นจะมีโทษถึงตาย+
18 “ถ้ามีคนทะเลาะกัน และฝ่ายหนึ่งใช้หินหรือกำปั้น*ทำร้ายอีกฝ่ายหนึ่งบาดเจ็บไม่ถึงตาย แต่ต้องนอนพักรักษาตัว 19 และถ้าต่อมาเขาพอจะลุกเดินไปมานอกบ้านได้ด้วยไม้เท้า คนที่ทำร้ายจะพ้นโทษ แต่จะต้องจ่ายค่าชดเชยสำหรับช่วงเวลาที่คนนั้นไม่ได้ทำงานจนกระทั่งหายเป็นปกติ
20 “ถ้าใครใช้ไม้เฆี่ยนตีทาสผู้ชายหรือทาสผู้หญิงจนตายคามือ คนนั้นจะต้องถูกลงโทษถึงตาย+ 21 แต่ถ้าทาสคนนั้นมีชีวิตอยู่ต่อได้อีกวันหนึ่งหรือสองวัน เขาก็ไม่ต้องรับโทษเพราะเขาซื้อทาสนั้นมาด้วยเงินของตัวเอง
22 “ถ้ามีคนต่อสู้กัน และบังเอิญไปโดนผู้หญิงท้องจนเด็กในท้องคลอดก่อนกำหนด+ แต่แม่กับลูกไม่ถึงตาย คนที่ทำผิดจะต้องจ่ายค่าเสียหายตามที่สามีของเธอจะเรียกร้อง แต่ต้องให้ผู้พิพากษาเห็นชอบด้วย+ 23 แต่ถ้าถึงตาย ต้องให้ชีวิตแทนชีวิต+ 24 ให้ตาแทนตา ฟันแทนฟัน มือแทนมือ เท้าแทนเท้า+ 25 รอยไหม้แทนรอยไหม้ บาดแผลแทนบาดแผล รอยตีแทนรอยตี
26 “ถ้าใครตีไปโดนตาของทาสผู้ชายหรือทาสผู้หญิงข้างหนึ่งบอด เขาจะต้องปล่อยทาสนั้นให้เป็นอิสระเป็นการชดเชยที่ทำให้ตาเขาบอด+ 27 ถ้าทำให้ฟันของทาสผู้ชายหรือทาสผู้หญิงหัก เขาจะต้องปล่อยทาสนั้นเป็นอิสระเป็นการชดเชยที่ทำให้ฟันเขาหัก
28 “ถ้าวัวตัวหนึ่งไปขวิดผู้ชายหรือผู้หญิงจนตาย จะต้องเอาหินขว้างวัวตัวนั้นให้ตายด้วย+ และอย่าเอาเนื้อของมันมากิน ส่วนเจ้าของวัวไม่ต้องรับโทษ 29 แต่ถ้าวัวมีนิสัยชอบขวิดคนมาก่อนและมีการเตือนเจ้าของวัวแล้ว แต่เขาไม่ได้ขังมันไว้ และมันไปขวิดผู้ชายหรือผู้หญิงจนตาย จะต้องเอาหินขว้างวัวตัวนั้นให้ตาย และเจ้าของวัวนั้นก็จะมีโทษถึงตายด้วย 30 แต่ถ้ามีการเรียกค่าปรับจากเขาแทน เขาต้องจ่ายค่าปรับเพื่อไถ่ชีวิตตัวเองตามที่มีการเรียกร้องจากเขา 31 ถ้าวัวไปขวิดเด็กผู้ชายหรือเด็กผู้หญิงจนตาย เจ้าของวัวก็ต้องรับโทษตามกฎหมายข้อนี้ 32 ถ้าวัวขวิดทาสผู้ชายหรือทาสผู้หญิงจนตาย เขาจะต้องจ่ายเงินหนัก 30 เชเขล*ให้นายของทาสที่ตายนั้น และต้องเอาหินขว้างวัวให้ตายด้วย
33 “ถ้าใครเปิดฝาบ่อทิ้งไว้ หรือขุดบ่อแล้วไม่หาอะไรมาปิดจนมีวัวหรือลาตกลงไป 34 เจ้าของบ่อจะต้องชดใช้+โดยจ่ายเงินให้กับเจ้าของสัตว์นั้น ส่วนสัตว์ที่ตายจะเป็นของเจ้าของบ่อ 35 ถ้าวัวของใครขวิดวัวคนอื่นตาย เขาต้องขายวัวตัวที่ยังมีชีวิตอยู่ แล้วเอาเงินที่ได้มาแบ่งกัน และวัวที่ตายก็ต้องเอามาแบ่งกันด้วย 36 แต่ถ้าวัวตัวนั้นเป็นที่รู้กันว่ามีนิสัยชอบขวิดมาก่อน แล้วเจ้าของไม่ได้ขังมันไว้ เขาจะต้องให้วัวตัวหนึ่งเป็นการชดใช้ด้วย ส่วนวัวตัวที่ตายจะเป็นของเขา
22 “ถ้าใครขโมยวัวหรือแกะไปฆ่าหรือไปขาย เขาจะต้องชดใช้วัว 5 ตัวแทนวัว 1 ตัว และแกะ 4 ตัวแทนแกะ 1 ตัว+
2 (“ถ้าใครเห็นขโมย+แอบย่องเข้ามาในบ้านตอนกลางคืนและตีขโมยนั้นตาย เขาไม่มีความผิดฐานฆ่าคน 3 แต่ถ้าขโมยมาตอนที่ดวงอาทิตย์ขึ้นแล้ว เขาจะมีความผิดฐานฆ่าคน)
“ขโมย*จะต้องชดใช้ ถ้าเขาไม่มีอะไรจะให้ เขาจะต้องขายตัวเองเพื่อชดใช้สิ่งที่เขาขโมยไป 4 ถ้าพบว่าวัว หรือลา หรือแกะที่เขาขโมยไปยังอยู่กับเขา และมันยังมีชีวิตอยู่ เขาต้องชดใช้ 2 เท่า
5 “ถ้าใครพาสัตว์ของตัวเองไปกินหญ้าในทุ่งนาหรือในสวนองุ่น แล้วปล่อยให้มันไปกินพืชผลในที่ดินของคนอื่น เขาจะต้องชดใช้ด้วยพืชผลที่ดีที่สุดจากทุ่งนาหรือสวนองุ่นของเขา
6 “ถ้าใครทำให้ไฟลุกไปติดต้นหนาม แล้วลามไปไหม้ฟ่อนข้าว หรือต้นข้าว หรือทุ่งนาของคนอื่นจนเสียหายหมด คนนั้นจะต้องชดใช้สำหรับสิ่งที่ถูกไฟไหม้ไป
7 “ถ้าใครฝากเงินหรือสิ่งของไว้กับคนอื่น และสิ่งของนั้นถูกขโมยไปจากบ้านของคนนั้น ถ้าจับขโมยได้ ขโมยจะต้องชดใช้ 2 เท่า+ 8 แต่ถ้าจับไม่ได้ ต้องพาเจ้าของบ้านคนนั้นไปยืนต่อหน้าพระเจ้าเที่ยงแท้*+เพื่อดูว่าเขาขโมยสิ่งนั้นไปไหม 9 ถ้ามี 2 คนเถียงกันเรื่องวัว ลา แกะ เสื้อผ้า หรืออะไรก็ตามที่หายไป และฝ่ายหนึ่งบอกว่า ‘นี่เป็นของฉัน’ ก็ให้นำเรื่องนั้นไปบอกพระเจ้าเที่ยงแท้+ คนที่พระเจ้าบอกว่าเป็นฝ่ายผิดจะต้องชดใช้ให้อีกฝ่ายหนึ่ง 2 เท่า+
10 “ถ้าใครฝากลา หรือวัว หรือแกะ หรือสัตว์เลี้ยงอื่น ๆ ไว้กับคนอื่น และต่อมาสัตว์นั้นตายหรือพิการหรือถูกต้อนเอาไปโดยไม่มีใครเห็น 11 จะต้องให้คนที่รับฝากมาสาบานต่อพระยะโฮวาว่าเขาไม่ได้ขโมยไป และเจ้าของสัตว์ต้องยอมรับคำสาบานนั้น ในกรณีนี้คนที่รับฝากไม่ต้องชดใช้+ 12 แต่ถ้าสัตว์พวกนั้นถูกขโมยไปโดยที่เขาอยู่ด้วย* เขาจะต้องชดใช้ให้เจ้าของสัตว์ 13 ถ้ามีสัตว์ป่ามากัดตาย เขาจะต้องเอาซากสัตว์มาให้ดูเป็นหลักฐาน สำหรับสัตว์ที่ถูกสัตว์ป่ากัดตายนั้นเขาไม่ต้องชดใช้
14 “ถ้าใครขอยืมสัตว์ของคนอื่นไปใช้งาน และต่อมาสัตว์นั้นเกิดพิการหรือตายตอนที่เจ้าของไม่ได้อยู่ด้วย คนที่ยืมจะต้องชดใช้ 15 ถ้าเจ้าของสัตว์อยู่ด้วย คนที่ยืมไม่ต้องชดใช้ ถ้าสัตว์นั้นถูกเช่ามาก็ไม่ต้องชดใช้เพราะค่าเสียหายรวมอยู่ในค่าเช่าแล้ว
16 “ถ้าใครล่อลวงหญิงสาวบริสุทธิ์ที่ยังไม่มีคู่หมั้นแล้วมีเพศสัมพันธ์กับเธอ เขาจะต้องแต่งงานกับเธอและจ่ายค่าสินสอดด้วย+ 17 แต่ถ้าพ่อของเธอยืนกรานไม่ยอมยกเธอให้เขาอย่างเด็ดขาด เขาก็ยังต้องจ่ายเงินเท่ากับค่าสินสอด
18 “อย่าไว้ชีวิตแม่มด+
19 “คนที่มีเพศสัมพันธ์กับสัตว์จะมีโทษถึงตาย+
20 “คนที่ถวายเครื่องบูชาให้พระอื่นนอกจากพระยะโฮวา คนนั้นจะต้องตาย+
21 “อย่าข่มเหงคนต่างชาติหรือกดขี่เขา+ เพราะพวกเจ้าเองก็เคยเป็นคนต่างชาติในอียิปต์มาก่อน+
22 “อย่าข่มเหงแม่ม่ายและลูกกำพร้าพ่อ*+ 23 ถ้าเจ้าข่มเหงเขา และเขาร้องขอให้เราช่วย เราจะฟังเสียงร้องของเขา+ 24 เราจะโกรธพวกเจ้ามากและจะประหารพวกเจ้าด้วยคมดาบ ภรรยาของเจ้าจะต้องเป็นม่ายและลูก ๆ ของเจ้าจะกำพร้าพ่อ
25 “ถ้าเจ้าให้ประชาชนของเราที่เป็นคนยากจน*ยืมเงินไป อย่าเป็นเหมือนเจ้าหนี้เงินกู้หน้าเลือด เจ้าต้องไม่คิดดอกเบี้ยเขา+
26 “ถ้าเจ้ายึดเสื้อคลุมของเพื่อนบ้านไว้เป็นของประกัน+ เจ้าต้องคืนให้เขาก่อนดวงอาทิตย์ตก 27 เพราะนั่นเป็นเพียงสิ่งเดียวที่เขามีไว้ห่มตอนนอน ถ้าเจ้าเอาของเขาไปแล้วเขาจะใช้อะไรห่ม?+ และถ้าเขาร้องขอความช่วยเหลือจากเรา เราจะฟังเพราะเราสงสารเขา+
28 “อย่าแช่งด่าพระเจ้า+และคนที่เป็นหัวหน้าพวกเจ้า+
29 “อย่ารีรอที่จะถวายพืชผลที่อุดมสมบูรณ์ของเจ้า และน้ำองุ่นกับน้ำมันที่มีมากมายจากเครื่องหีบของเจ้า+ เจ้าต้องถวายลูกชายคนโตของเจ้าให้เรา+ 30 ส่วนการถวายลูกสัตว์ที่เป็นตัวผู้ตัวแรกไม่ว่าวัวหรือแกะ หรือแพะ เจ้าต้องทำอย่างนี้คือ+ พอลูกสัตว์นั้นเกิดมา เจ้าต้องให้มันอยู่กับแม่ของมัน 7 วัน และในวันที่แปดค่อยนำมาให้เรา+
31 “พวกเจ้าต้องเป็นชนชาติบริสุทธิ์ของเรา+ อย่ากินเนื้อสัตว์ที่ถูกสัตว์ป่ากัดตายในท้องทุ่ง+ แต่ให้โยนเนื้อนั้นให้สุนัขกิน
23 “อย่าเอาเรื่องที่ไม่เป็นความจริงไปพูดต่อ ๆ กัน+ อย่าร่วมมือกับคนทำผิดโดยเป็นพยานปรักปรำคนบริสุทธิ์+ 2 อย่าทำชั่วตามอย่างคนส่วนใหญ่ และเมื่อเป็นพยานในคดีความอะไร อย่าบิดเบือนความจริงโดยให้การตามที่คนส่วนใหญ่ชอบ 3 อย่าลำเอียงเข้าข้างคนยากจนในคดีของเขา+
4 “ถ้าเจ้าเห็นวัวหรือลาของศัตรูหลงทางมา ให้พามันกลับไปให้เขา+ 5 ถ้าเจ้าเห็นลาของคนที่เกลียดชังเจ้าล้มลงเพราะบรรทุกของหนัก อย่าเมินเฉยและเดินหนีไป แต่ให้ไปช่วยเขายกของนั้นออกจากหลังลา+
6 “เจ้าต้องให้ความยุติธรรมเมื่อตัดสินคดีความของคนยากจน+
7 “อย่ามีส่วนเกี่ยวข้องกับการกล่าวหาเท็จ และอย่าทำให้คนบริสุทธิ์กับคนดีต้องตาย เพราะเราจะไม่ปล่อยให้คนทำชั่วแบบนั้นลอยนวล+
8 “อย่ารับสินบน เพราะสินบนทำให้คนตาดีกลายเป็นคนตาบอด และทำให้คนซื่อสัตย์พูดบิดเบือนไปได้+
9 “อย่ากดขี่คนต่างชาติ เพราะพวกเจ้าก็รู้ดีว่าชีวิตของคนต่างชาติเป็นยังไง พวกเจ้าเองก็เคยเป็นคนต่างชาติในอียิปต์มาก่อน+
10 “ให้หว่านและเก็บเกี่ยวพืชผลจากที่ดินของเจ้า 6 ปี+ 11 แต่ในปีที่ 7 ให้พักที่ดินไว้ อย่าเพาะปลูก และคนยากจนที่อยู่กับพวกเจ้าจะมาเก็บกินผลที่งอกขึ้นเองในที่ดินนั้น ส่วนที่เหลือก็ให้สัตว์ป่าได้กิน ให้ทำอย่างนี้กับสวนองุ่นและสวนมะกอกของเจ้าด้วย
12 “ให้ทำงาน 6 วัน แต่วันที่เจ็ดต้องหยุดทำงานเพื่อให้วัวกับลาได้หยุดพัก และเพื่อทาสของเจ้ากับคนต่างชาติจะได้พักให้สดชื่น+
13 “ให้ทำตามสิ่งที่เราสั่งพวกเจ้าไว้อย่างเคร่งครัด+ และอย่าพูดถึงชื่อของพระอื่น ๆ อย่าให้ได้ยินชื่อของพระพวกนั้นจากปากของพวกเจ้า+
14 “ให้ฉลองเทศกาลสำหรับเราปีละ 3 ครั้ง+ 15 ให้ฉลองเทศกาลขนมปังไม่ใส่เชื้อ+ตามที่เราได้สั่งเจ้าไว้ โดยกินขนมปังไม่ใส่เชื้อเป็นเวลา 7 วันตามที่กำหนดไว้ในเดือนอาบีบ*+ เพราะในเดือนนั้นพวกเจ้าได้ออกจากอียิปต์ และอย่าให้ใครมาหาเรามือเปล่า+ 16 ให้ฉลองเทศกาลเก็บเกี่ยว*ผลแรกจากการหว่านของเจ้าในทุ่งนา+ และให้ฉลองเทศกาลเก็บพืชผล*ตอนสิ้นปีเมื่อเจ้าเก็บรวบรวมผลต่าง ๆ ที่ได้จากการทำงานในสวนในไร่นาของเจ้า+ 17 ให้ผู้ชายทุกคนมาหาพระยะโฮวาผู้เป็นนายองค์สูงสุดปีละ 3 ครั้ง+
18 “อย่าถวายเลือดของเครื่องบูชาให้เราพร้อมกับขนมปังที่ใส่เชื้อ เมื่อเจ้าถวายมันสัตว์เป็นเครื่องบูชาในเทศกาลต่าง ๆ ของเรา อย่าปล่อยมันสัตว์ทิ้งไว้จนถึงเช้า
19 “ให้นำผลแรกที่ดีที่สุดจากไร่นาของเจ้ามาถวายที่วิหารของพระยะโฮวาพระเจ้าของเจ้า+
“อย่าต้มลูกแพะด้วยน้ำนมแม่ของมัน+
20 “เราให้ทูตสวรรค์องค์หนึ่งนำหน้าเจ้า+เพื่อปกป้องเจ้าระหว่างทาง และนำเจ้าไปถึงที่ที่เราเตรียมไว้ให้+ 21 เจ้าต้องสนใจฟังและทำตามที่เขาพูด อย่าแข็งข้อขัดขืนเลย เพราะถ้าพวกเจ้าทำผิดเขาจะไม่ยกโทษให้+ เพราะเขาทำสิ่งต่าง ๆ ในนามของเรา 22 ถ้าเจ้าเชื่อฟังเขาอย่างเคร่งครัด และทำทุกอย่างตามที่เราบอก ใครที่มาเป็นศัตรูกับเจ้าจะเป็นศัตรูกับเรา และใครที่ต่อต้านเจ้าเราก็จะต่อต้านเขาด้วย 23 ทูตสวรรค์ของเราจะนำหน้าเจ้า และจะนำเจ้าไปจนเจอกับชาวอาโมไรต์ ชาวฮิตไทต์ ชาวเปริสซี ชาวคานาอัน ชาวฮีไวต์ และชาวเยบุส แล้วเราจะกำจัดพวกเขาให้หมดไป+ 24 อย่ากราบไหว้หรือหลงไปนมัสการพระของพวกเขา อย่าเลียนแบบพวกเขา+ แต่เจ้าต้องทำลายรูปเคารพของพระพวกนั้น และทุบแท่งหินศักดิ์สิทธิ์ของพวกเขาให้แหลกละเอียด+ 25 เจ้าต้องนมัสการพระยะโฮวาพระเจ้าของเจ้า+ แล้วพระองค์จะอวยพรเจ้าให้มีอาหารกินและมีน้ำดื่ม+ และจะขจัดโรคภัยไข้เจ็บไปจากพวกเจ้า+ 26 จะไม่มีผู้หญิงคนไหนในแผ่นดินของเจ้าแท้งลูกหรือเป็นหมัน+ และเราจะทำให้พวกเจ้ามีอายุยืนยาว
27 “เราจะทำให้ผู้คนได้ยินเรื่องของเราและกลัวตัวสั่นก่อนจะพบเจ้า+ เราจะทำให้คนทั้งหมดที่มาต่อสู้พวกเจ้าสับสนวุ่นวาย และเราจะทำให้ศัตรูของเจ้าพ่ายแพ้หนีไป+ 28 เราจะทำให้ผู้คนท้อแท้*ก่อนจะพบเจ้า+ ความท้อแท้นี้จะทำให้ชาวฮีไวต์ ชาวคานาอัน และชาวฮิตไทต์หนีไปจากพวกเจ้า+ 29 แต่เราจะไม่ขับไล่พวกเขาไปให้หมดภายในปีเดียว แผ่นดินจะได้ไม่ร้างเปล่าจนมีสัตว์ป่าเพิ่มขึ้นและเป็นภัยต่อเจ้า+ 30 เราจะค่อย ๆ ขับไล่พวกเขาออกไป จนกว่าพวกเจ้าจะมีลูกหลานมากพอจะดูแลแผ่นดินนั้น+
31 “เราจะยกแผ่นดินให้พวกเจ้าตั้งแต่ทะเลแดงจนถึงทะเลของชาวฟีลิสเตีย และตั้งแต่ที่กันดารจนถึงแม่น้ำ*+ เพราะเราจะมอบคนที่อาศัยอยู่ในแผ่นดินนั้นไว้ในมือของพวกเจ้า และพวกเจ้าจะขับไล่พวกเขาออกไป+ 32 พวกเจ้าอย่าทำสัญญากับพวกเขาหรือกับพระต่าง ๆ ของพวกเขา+ 33 อย่าให้พวกเขาอาศัยอยู่ในแผ่นดินของพวกเจ้า พวกเขาจะได้ไม่เป็นต้นเหตุให้พวกเจ้าทำบาปต่อเรา เพราะเจ้าจะไปนมัสการพระของพวกเขา และนั่นจะเป็นกับดักที่ดักเจ้า”+
24 แล้วพระยะโฮวาพูดกับโมเสสว่า “ให้เจ้ากับอาโรน นาดับกับอาบีฮู+ และพวกผู้นำของชาวอิสราเอลอีก 70 คนขึ้นมาหาเราบนภูเขา และก้มลงนมัสการเราอยู่ห่าง ๆ 2 ให้เจ้าเข้ามาหาพระยะโฮวาคนเดียว อย่าให้คนอื่น ๆ เข้ามาด้วย และอย่าให้ประชาชนขึ้นมากับเจ้า”+
3 โมเสสมาบอกประชาชนว่าพระยะโฮวาพูดอะไรบ้างและพระองค์ให้ข้อกฎหมายอะไร+ ประชาชนทั้งหมดก็ตอบเป็นเสียงเดียวกันว่า “ทุกสิ่งที่พระยะโฮวาพูดไว้ พวกเราจะทำตาม”+ 4 โมเสสบันทึกทุกสิ่งที่พระยะโฮวาพูดไว้+ แล้วเขาก็ตื่นแต่เช้าสร้างแท่นบูชา และเอาหิน 12 ก้อนตามจำนวนอิสราเอล 12 ตระกูลมาตั้งไว้ที่เชิงเขาเพื่อระลึกถึงเหตุการณ์ครั้งนี้ 5 หลังจากนั้น โมเสสเลือกชายหนุ่มชาวอิสราเอลให้มาถวายเครื่องบูชาเผา และถวายวัวเป็นเครื่องบูชาผูกมิตร+ให้พระยะโฮวา 6 โมเสสเอาเลือดครึ่งหนึ่งของสัตว์นั้นใส่ชามไว้ ส่วนอีกครึ่งหนึ่งเขาเอาไปประพรมบนแท่นบูชา 7 แล้วเขาเอาหนังสือสัญญา*มาอ่านให้ประชาชนฟังด้วยเสียงดัง+ ประชาชนก็พูดว่า “ทุกสิ่งที่พระยะโฮวาพูดไว้ พวกเราจะเชื่อฟังและทำตาม”+ 8 โมเสสเอาเลือดประพรมประชาชน+และพูดว่า “นี่เป็นเลือดที่ทำให้สัญญามีผลบังคับใช้ ซึ่งเป็นสัญญาที่พระยะโฮวาทำกับพวกคุณตามที่ผมอ่านให้ฟังแล้ว”+
9 โมเสสกับอาโรน นาดับกับอาบีฮู และพวกผู้นำของชาวอิสราเอลอีก 70 คนก็ขึ้นไปบนภูเขา 10 พวกเขาเห็นพระเจ้าของอิสราเอล+ พื้นที่พระองค์ใช้วางเท้านั้นเป็นเหมือนพลอยแซปไฟร์ สว่างสดใสเหมือนท้องฟ้า+ 11 พระองค์ไม่ได้ทำลายพวกเขาซึ่งเป็นหัวหน้าของชาวอิสราเอล+ และพวกเขาเห็นพระเจ้าเที่ยงแท้โดยทางนิมิตตอนที่พวกเขากินดื่มกัน
12 พระยะโฮวาพูดกับโมเสสว่า “ขึ้นมาหาเราบนภูเขาและอยู่ที่นี่ เราจะให้แผ่นหินซึ่งเราจะเขียนกฎหมายและข้อบัญญัติเพื่อเอาไว้สอนประชาชน”+ 13 โมเสสจึงขึ้นไปกับโยชูวาคนรับใช้ของเขา+ โมเสสขึ้นไปบนภูเขาของพระเจ้าเที่ยงแท้+ 14 แต่โมเสสพูดกับพวกผู้นำว่า “พวกคุณรออยู่ที่นี่ก่อนจนกว่าเราสองคนจะกลับมา+ ผมจะให้อาโรนกับเฮอร์+อยู่กับพวกคุณ และถ้าใครมีคดีความอะไรก็ไปหาพวกเขาได้”+ 15 แล้วโมเสสก็ขึ้นไปบนภูเขาที่มีเมฆปกคลุมอยู่+
16 รัศมีของพระยะโฮวา+ยังคงอยู่บนภูเขาซีนาย+ เมฆปกคลุมภูเขามาตลอด 6 วัน พอถึงวันที่เจ็ดพระองค์ก็เรียกโมเสสจากกลุ่มเมฆนั้น 17 ชาวอิสราเอลที่เฝ้าดูอยู่เห็นรัศมีของพระยะโฮวาเป็นเหมือนเปลวไฟลุกอยู่บนยอดเขา 18 แล้วโมเสสก็เดินเข้าไปในกลุ่มเมฆและขึ้นไปบนภูเขานั้น+ โมเสสอยู่บนภูเขา 40 วัน 40 คืน+
25 และพระยะโฮวาพูดกับโมเสสว่า 2 “ไปบอกชาวอิสราเอลให้นำของมาถวายเรา และให้เจ้ารับของถวายจากทุกคนที่นำมาให้เราอย่างเต็มใจ+ 3 ของถวายที่จะรับจากพวกเขามีดังนี้ ทองคำ+ เงิน+ ทองแดง+ 4 ด้ายสีฟ้า ด้ายขนแกะย้อมสีม่วง ด้ายสีแดงเข้ม* ใยป่านอย่างดี ขนแพะ 5 หนังแกะตัวผู้ย้อมสีแดง หนังแมวน้ำ ไม้อะคาเซีย+ 6 น้ำมันตะเกียง+ น้ำมันหอมสำหรับเจิมเพื่อแต่งตั้ง+และสำหรับทำเครื่องหอม+ 7 หินโอนิกซ์ และอัญมณีอื่น ๆ สำหรับติดเอโฟด+กับทับทรวง+ 8 ให้ทำที่ศักดิ์สิทธิ์สำหรับเรา และเราจะอยู่กับพวกเจ้า+ 9 ให้ทำเต็นท์ศักดิ์สิทธิ์และเครื่องตกแต่งพร้อมกับภาชนะใช้สอยทั้งหมดในเต็นท์นั้น เราจะบอกเจ้าว่าต้องทำแบบไหนและเจ้าต้องทำตามนั้นทุกอย่าง+
10 “ให้ทำหีบใบหนึ่งด้วยไม้อะคาเซีย ยาว 2.5 ศอก กว้าง 1.5 ศอก และสูง 1.5 ศอก*+ 11 ให้เอาทองคำบริสุทธิ์มาหุ้มหีบนั้น+ทั้งด้านในและด้านนอก และที่ขอบด้านบนให้เอาทองคำมาทำเป็นคิ้วประดับไว้รอบหีบ+ 12 ให้หล่อห่วงทองคำ 4 ห่วงติดไว้ที่ข้างหีบด้านละ 2 ห่วง ให้ติดไว้เหนือขาของหีบทั้ง 4 ขานั้น 13 ให้ทำไม้คานด้วยไม้อะคาเซียและหุ้มด้วยทองคำ+ 14 แล้วเอาไม้คานสอดเข้าไปในห่วงที่ติดอยู่ข้างหีบ เพื่อเอาไว้หาม 15 ให้ไม้คานสอดอยู่อย่างนั้น อย่าดึงออกมา+ 16 และให้เอาแผ่นหินที่มีข้อกฎหมายของเรา*ใส่ไว้ในหีบนั้น+
17 “ให้ทำฝาหีบด้วยทองคำบริสุทธิ์ ยาว 2.5 ศอก กว้าง 1.5 ศอก*+ 18 แล้วทำเครูบ 2 องค์ด้วยทองคำบนปลายฝาทั้งสองด้านโดยใช้ค้อนตีขึ้นรูป+ 19 ให้ทำเครูบไว้ที่ปลายทั้งสองด้าน ด้านละองค์ 20 ให้เครูบแผ่ปีกทั้งสองข้างขึ้นไปด้านบนปกคลุมบนฝาหีบ+ ให้เครูบหันหน้าเข้าหากันและก้มไปหาฝาหีบ 21 เอาฝา+นั้นวางบนหีบ ให้เอาแผ่นหินที่มีข้อกฎหมายของเราใส่ไว้ในหีบนั้น 22 เราจะมาหาเจ้าที่นั่นและพูดกับเจ้าเหนือฝาหีบนั้น+ ทุกเรื่องที่เราสั่งเจ้าให้บอกชาวอิสราเอล เราจะพูดจากข้างบนฝาหีบสัญญา* ระหว่างเครูบสององค์นั้น
23 “ให้ทำโต๊ะ+ตัวหนึ่งด้วยไม้อะคาเซีย ยาว 2 ศอก กว้าง 1 ศอก และสูง 1.5 ศอก*+ 24 แล้วหุ้มโต๊ะนั้นด้วยทองคำบริสุทธิ์ และเอาทองคำมาทำเป็นคิ้วด้านบนประดับรอบโต๊ะ 25 ทำขอบข้างโต๊ะให้กว้างขนาดเท่าฝ่ามือหนึ่ง* แล้วเอาทองคำมาทำเป็นคิ้วด้านล่างประดับรอบโต๊ะ 26 ให้ทำห่วงทองคำ 4 ห่วงติดไว้ที่มุมบนของขาโต๊ะทั้งสี่ขา 27 และติดห่วงให้ชิดกับขอบโต๊ะเพื่อใช้สำหรับสอดไม้คานหามโต๊ะ 28 ให้ทำไม้คานด้วยไม้อะคาเซียและหุ้มด้วยทองคำ และให้ใช้ไม้คานนี้หามโต๊ะ
29 “ให้ทำจานกับถ้วย และเหยือกกับชามซึ่งใช้เป็นภาชนะสำหรับเทเครื่องบูชาดื่ม ภาชนะทั้งหมดนี้ให้ทำด้วยทองคำบริสุทธิ์+ 30 และเอาขนมปังถวายวางไว้บนโต๊ะต่อหน้าเราเสมอ+
31 “ให้ทำเชิงตะเกียง+ด้วยทองคำบริสุทธิ์โดยใช้ค้อนตีขึ้นรูปเป็นชิ้นเดียวกัน ให้ตีออกมาเป็นฐาน เป็นขาตั้ง เป็นกิ่ง เป็นกลีบเลี้ยง เป็นดอกตูม และดอกบาน+ 32 ให้เชิงตะเกียงมีกิ่งยื่นออกมาจากขาตั้ง 6 กิ่ง โดยให้ยื่นออกมาข้างละ 3 กิ่ง 33 กิ่งหนึ่งให้มีกลีบเลี้ยงคล้ายดอกอัลมอนด์ 3 กลีบเลี้ยง สลับด้วยดอกตูมและดอกบาน อีกกิ่งหนึ่งก็ให้มีกลีบเลี้ยงคล้ายดอกอัลมอนด์ 3 กลีบเลี้ยง สลับด้วยดอกตูมและดอกบานเหมือนกัน ให้ทำเชิงตะเกียงให้มีกิ่งยื่นออกมาจากขาตั้งตามแบบนี้ทั้ง 6 กิ่ง 34 ให้ขาตั้งของเชิงตะเกียงมีกลีบเลี้ยงคล้ายดอกอัลมอนด์ 4 กลีบเลี้ยง สลับด้วยดอกตูมและดอกบาน 35 ให้ทำดอกตูมดอกหนึ่งรองรับกิ่งคู่แรกซึ่งยื่นออกมา และดอกตูมอีกดอกหนึ่งรองรับกิ่งคู่ที่ 2 และอีกดอกหนึ่งรองรับกิ่งคู่ที่ 3 โดยกิ่งที่ยื่นออกมาจากขาตั้งทั้งหมดมี 6 กิ่ง 36 ดอกตูม กิ่งที่ยื่นออกมา และทุกส่วนของเชิงตะเกียงให้ทำจากทองคำบริสุทธิ์โดยใช้ค้อนตีขึ้นรูปเป็นชิ้นเดียวกัน+ 37 ให้ทำตะเกียง 7 ดวงไว้บนเชิงตะเกียง และเมื่อจุดตะเกียงแล้วให้แสงตะเกียงส่องไปทางด้านหน้าของเชิงตะเกียงนั้น+ 38 คีมคีบไส้ตะเกียงและภาชนะใส่ไส้ตะเกียงต้องทำด้วยทองคำบริสุทธิ์+ 39 ให้เขาทำเชิงตะเกียงและสิ่งของทุกอย่างที่ใช้กับเชิงตะเกียงด้วยทองคำบริสุทธิ์หนัก 1 ตะลันต์* 40 ให้ทำสิ่งทั้งหมดนี้ตามแบบที่เราให้เจ้าเห็นบนภูเขา+
26 “ให้เจ้าทำเต็นท์ศักดิ์สิทธิ์+ด้วยผ้า 10 ชิ้นที่ทำจากใยป่านอย่างดีที่ฟั่นเป็นเกลียว และด้ายสีฟ้า ด้ายขนแกะย้อมสีม่วง และด้ายสีแดงเข้ม ปักเป็นภาพเครูบ+ไว้บนผ้านั้น+ 2 ผ้าแต่ละชิ้นยาว 28 ศอก กว้าง 4 ศอก* ทั้ง 10 ชิ้นให้มีขนาดเท่ากัน+ 3 แล้วเอาผ้า 5 ชิ้นมาต่อเข้าด้วยกันเป็นหนึ่งผืน และเอาผ้าอีก 5 ชิ้นมาต่อเข้าด้วยกันเป็นอีกหนึ่งผืน 4 ให้ทำห่วงด้วยผ้าสีฟ้าที่ริมขอบผ้าด้านหนึ่งของผืนแรก และทำอย่างเดียวกันที่ริมขอบผ้าผืนที่สองตรงด้านที่จะต่อเข้าด้วยกันกับผืนแรก 5 ให้ทำห่วง 50 ห่วงไว้ที่ผ้าผืนแรก และอีก 50 ห่วงไว้ที่ริมขอบผ้าผืนที่สอง ห่วงของผ้าทั้งสองผืนจะอยู่ตรงกันเมื่อต่อเข้าด้วยกัน 6 ให้ทำขอเกี่ยวทองคำ 50 ตัว และใช้ขอเกี่ยวนั้นยึดผ้าทั้งสองผืนเข้าด้วยกันให้เป็นผ้าคลุมเต็นท์ศักดิ์สิทธิ์ผืนเดียว+
7 “ให้ทำผ้าด้วยขนแพะ+ 11 ชิ้นสำหรับคลุมเต็นท์ศักดิ์สิทธิ์อีกชั้นหนึ่ง+ 8 ผ้าแต่ละชิ้นยาว 30 ศอก กว้าง 4 ศอก* ทั้ง 11 ชิ้นให้มีขนาดเท่ากัน 9 แล้วเอาผ้า 5 ชิ้นมาต่อเข้าด้วยกัน และอีก 6 ชิ้นมาต่อเข้าด้วยกัน ชิ้นที่ 6 ซึ่งอยู่ตรงด้านหน้าเต็นท์ศักดิ์สิทธิ์ให้พับทบขึ้นไป 10 ให้ทำห่วง 50 ห่วงที่ริมขอบผ้าด้านหนึ่งของผืนแรก และอีก 50 ห่วงที่ริมขอบผ้าผืนที่สองตรงด้านที่จะต่อเข้าด้วยกันกับผ้าผืนแรก 11 และทำขอเกี่ยวทองแดง 50 ตัว และเอาขอนั้นเกี่ยวที่ห่วงเพื่อยึดผ้าทั้งสองผืนเข้าด้วยกันเป็นผ้าคลุมผืนเดียว 12 ผ้าคลุมส่วนที่เลยออกไปให้ปล่อยลงมา คือชิ้นสุดท้ายที่ยาวเลยออกไปครึ่งหนึ่งนั้นให้ปล่อยลงมาด้านหลังเต็นท์ศักดิ์สิทธิ์ 13 และส่วนของผ้าคลุมด้านข้างเต็นท์ศักดิ์สิทธิ์ทั้งสองด้านนั้น ก็ให้ปล่อยคลุมยาวเลยผืนแรกลงไปด้านละ 1 ศอก*
14 “ให้ทำผ้าคลุมเต็นท์ศักดิ์สิทธิ์อีกชั้นหนึ่งด้วยหนังแกะตัวผู้ย้อมสีแดง และทำผ้าคลุมชั้นบนสุดด้วยหนังแมวน้ำ+
15 “ให้ทำกรอบ+เพื่อตั้งเป็นผนังของเต็นท์ศักดิ์สิทธิ์ด้วยไม้อะคาเซีย+ 16 กรอบผนังแต่ละกรอบสูง 10 ศอก กว้าง 1.5 ศอก* 17 กรอบผนังแต่ละกรอบให้มีเดือย 2 อันขนาดเท่า ๆ กัน ให้ทำกรอบผนังทั้งหมดสำหรับเต็นท์ศักดิ์สิทธิ์ตามแบบนี้ 18 ให้ทำกรอบผนัง 20 กรอบสำหรับด้านข้างเต็นท์ที่หันไปทางทิศใต้
19 “ให้ทำฐานรองรับ 40 อันด้วยเงิน+เพื่อรองรับกรอบผนัง 20 กรอบ กรอบผนัง 1 กรอบซึ่งมีเดือย 2 อันจะตั้งบนฐานรองรับ 1 คู่ และให้ทุกกรอบเป็นแบบนี้+ 20 และทำกรอบผนังอีก 20 กรอบสำหรับด้านข้างเต็นท์ศักดิ์สิทธิ์อีกด้านหนึ่งที่หันไปทางทิศเหนือ 21 ทำฐานรองรับด้วยเงินอีก 40 อัน ฐานรองรับ 1 คู่สำหรับกรอบผนัง 1 กรอบ และให้ทุกกรอบเป็นแบบนี้ 22 ให้ทำกรอบผนัง 6 กรอบสำหรับด้านหลังเต็นท์ศักดิ์สิทธิ์ซึ่งหันไปทางทิศตะวันตก+ 23 และทำกรอบผนังอีก 2 กรอบเป็นรูปสามเหลี่ยมเพื่อเป็นเสาค้ำยันที่มุมทั้งสองของด้านหลังเต็นท์ 24 ให้กรอบผนังนี้มีไม้ 2 ชิ้นตั้งขึ้นจากด้านล่างโดยให้ปลายด้านบนไปจดกันตรงห่วงแรก ทำกรอบผนังตามแบบนี้ 2 กรอบ เพื่อใช้เป็นเสาค้ำยันที่มุมทั้งสอง 25 ดังนั้น จะมีกรอบผนังด้านหลัง 8 กรอบ และมีฐานรองรับทำด้วยเงิน 16 อัน ฐานรองรับ 1 คู่สำหรับกรอบผนัง 1 กรอบ และให้ทุกกรอบเป็นแบบนี้
26 “เจ้าต้องทำไม้ราว 5 อันด้วยไม้อะคาเซียเพื่อยึดกรอบผนังด้านหนึ่งของเต็นท์ศักดิ์สิทธิ์+ 27 และอีก 5 อันสำหรับยึดกรอบผนังอีกด้านหนึ่งของเต็นท์ และอีก 5 อันสำหรับยึดกรอบผนังด้านหลังเต็นท์ที่อยู่ทางทิศตะวันตก 28 ไม้ราวอันกลางที่ยึดกรอบผนังแต่ละด้าน ให้ยาวตลอดจากปลายผนังด้านหนึ่งถึงปลายอีกด้านหนึ่ง
29 “ให้หุ้มกรอบผนังด้วยทองคำ+ และห่วงสำหรับสอดไม้ราวนั้นให้ทำด้วยทองคำ ส่วนไม้ราวก็หุ้มด้วยทองคำเหมือนกัน 30 ให้ตั้งเต็นท์ศักดิ์สิทธิ์ตามแบบที่เจ้าเห็นบนภูเขานี้+
31 “เจ้าต้องทำม่าน+ด้วยด้ายสีฟ้า ด้ายขนแกะย้อมสีม่วง ด้ายสีแดงเข้ม กับใยป่านอย่างดี และให้ปักภาพเครูบไว้บนม่านนั้น 32 ให้แขวนม่านที่เสาไม้อะคาเซียทั้งสี่ซึ่งหุ้มด้วยทองคำ ตะขอที่เสาสำหรับแขวนม่านให้ทำด้วยทองคำ เสาเหล่านี้ให้ตั้งบนฐานรองรับ 4 อันที่ทำด้วยเงิน 33 ให้แขวนม่านใต้แนวขอเกี่ยว* และเอาหีบสัญญา+มาไว้ข้างหลังม่าน ม่านนี้จะกั้นระหว่างห้องบริสุทธิ์+กับห้องบริสุทธิ์ที่สุด+ 34 และเจ้าต้องเอาฝาหีบวางบนหีบสัญญาที่อยู่ในห้องบริสุทธิ์ที่สุดนั้น
35 “ให้ตั้งโต๊ะไว้ข้างนอกม่านโดยมีเชิงตะเกียง+ตั้งอยู่ตรงข้ามกับโต๊ะ เชิงตะเกียงจะอยู่ด้านใต้ของเต็นท์ศักดิ์สิทธิ์ โต๊ะจะอยู่ด้านเหนือ 36 ให้ทอม่านสำหรับทางเข้าเต็นท์ศักดิ์สิทธิ์ด้วยด้ายสีฟ้า ด้ายขนแกะย้อมสีม่วง ด้ายสีแดงเข้ม และใยป่านอย่างดี+ 37 และทำเสา 5 ต้นด้วยไม้อะคาเซียหุ้มด้วยทองคำสำหรับติดม่าน ตะขอที่เสาให้ทำด้วยทองคำ และหล่อฐานรองรับ 5 อันด้วยทองแดง
27 “เจ้าต้องทำแท่นบูชาด้วยไม้อะคาเซีย+เป็นรูปสี่เหลี่ยมจัตุรัส กว้าง 5 ศอก ยาว 5 ศอก และให้สูงขึ้นมา 3 ศอก*+ 2 ที่มุมทั้งสี่ของแท่นให้ทำเป็นรูปเขาสัตว์+ให้เป็นเนื้อเดียวกับตัวแท่น และหุ้มแท่นนั้นด้วยทองแดง+ 3 ให้ทำถังใส่ขี้เถ้า* พลั่ว ชาม ส้อมยาว และภาชนะใส่ถ่านไฟ ทั้งหมดนี้ให้ทำด้วยทองแดง+ 4 ให้ทำตะแกรงทองแดงสำหรับแท่นบูชา และทำห่วงทองแดง 4 ห่วงที่มุมทั้งสี่ของตะแกรงนั้น 5 แล้วใส่ตะแกรงข้างในแท่นให้อยู่ใต้ขอบลงมาตรงกึ่งกลางแท่น 6 ให้ทำไม้คานด้วยไม้อะคาเซียหุ้มด้วยทองแดงเพื่อใช้สำหรับหามแท่น 7 เมื่อจะหามให้เอาไม้คานสอดเข้าไปในห่วงที่อยู่ด้านข้างของแท่นบูชาทั้งสองด้าน+ 8 เจ้าต้องทำแท่นบูชาให้มีลักษณะเหมือนหีบไม้กระดานที่ไม่มีอะไรปิดทั้งบนและล่าง ตามที่เจ้าเห็นบนภูเขานี้+
9 “ให้ทำลาน+รอบเต็นท์ศักดิ์สิทธิ์ ให้ด้านยาวที่หันไปทางทิศใต้มีผ้ากั้นยาว 100 ศอก*ทอด้วยใยป่านอย่างดี+ 10 มีเสา 20 ต้น พร้อมฐานรองรับ 20 อันที่ทำด้วยทองแดง ตะขอและห่วงที่เสาให้ทำด้วยเงิน 11 ด้านยาวที่หันไปทางทิศเหนือก็เหมือนกัน ให้มีผ้ากั้นยาว 100 ศอก* และมีเสา 20 ต้น พร้อมฐานรองรับ 20 อันที่ทำด้วยทองแดง ตะขอและห่วงที่เสาให้ทำด้วยเงิน 12 สำหรับด้านกว้างของลานที่หันไปทางทิศตะวันตก ให้มีผ้ากั้นยาว 50 ศอก* และเสา 10 ต้น พร้อมฐานรองรับ 10 อัน 13 ส่วนด้านกว้างของลานที่หันไปทางทิศตะวันออก คือด้านที่ดวงอาทิตย์ขึ้นนั้น ให้ยาว 50 ศอก* 14 ด้านนี้ให้มีผ้ากั้นที่ฝั่งขวาของทางเข้ายาว 15 ศอก* และมีเสา 3 ต้น พร้อมฐานรองรับ 3 อัน+ 15 และฝั่งซ้ายของทางเข้าก็ให้มีผ้ากั้นยาว 15 ศอก* และมีเสา 3 ต้น พร้อมฐานรองรับ 3 อันเหมือนกัน
16 “สำหรับทางเข้าลานเต็นท์ศักดิ์สิทธิ์ ให้ทำผ้าม่านยาว 20 ศอก* ทอด้วยด้ายสีฟ้า ด้ายขนแกะย้อมสีม่วง ด้ายสีแดงเข้ม และใยป่านอย่างดี+ และให้มีเสา 4 ต้น พร้อมฐานรองรับ 4 อัน+ 17 เสาทุกต้นรอบลานเต็นท์ศักดิ์สิทธิ์ให้ทำห่วงยึดและตะขอที่หัวเสาด้วยเงิน แต่ฐานรองรับทำด้วยทองแดง+ 18 ลานของเต็นท์ศักดิ์สิทธิ์จะยาว 100 ศอก+ กว้าง 50 ศอก* และมีผ้ากั้นสูง 5 ศอก* ทอด้วยใยป่านอย่างดี และมีฐานรองรับเสาทำด้วยทองแดง 19 สิ่งของทุกอย่างที่ใช้เพื่อทำหน้าที่ในเต็นท์ศักดิ์สิทธิ์ รวมทั้งหมุดยึดทุกตัวที่เต็นท์และที่ลานเต็นท์ให้ทำด้วยทองแดง+
20 “ให้สั่งชาวอิสราเอลเอาน้ำมันมะกอกบริสุทธิ์สำหรับเติมตะเกียงมาให้เจ้า เพื่อตะเกียงจะมีไฟลุกอยู่เสมอ+ 21 ในเต็นท์เข้าเฝ้าส่วนที่อยู่ข้างนอกม่านซึ่งอยู่ใกล้ ๆ กับหีบสัญญานั้น+ อาโรนและลูกชายของเขาจะต้องคอยดูแลให้ตะเกียงส่องสว่างต่อหน้าพระยะโฮวาเสมอตั้งแต่เย็นถึงเช้า+ นี่เป็นข้อกำหนดที่ชาวอิสราเอลต้องปฏิบัติตามไปตลอดทุกยุคทุกสมัย+
28 “ให้เจ้าเรียกอาโรน+พี่ชายของเจ้าและลูกชายของเขา+คือ นาดับ อาบีฮู+ เอเลอาซาร์ และอิธามาร์+ออกมาจากชาวอิสราเอล เพื่อมาทำหน้าที่เป็นปุโรหิตรับใช้เรา+ 2 และทำเครื่องแต่งกายที่บริสุทธิ์ให้อาโรนพี่ชายของเจ้า เพื่อเขาจะมีเกียรติและดูสง่างาม+ 3 ไปบอกทุกคนที่มีฝีมือและได้รับสติปัญญาจากเรา+ให้ทำเครื่องแต่งกายให้อาโรน เพื่อแสดงว่าอาโรนบริสุทธิ์และถูกแยกไว้เพื่อทำหน้าที่ปุโรหิตรับใช้เรา
4 “เครื่องแต่งกายที่พวกเขาต้องทำมีดังนี้ ทับทรวง+ เอโฟด+ เสื้อไม่มีแขน+ เสื้อตัวยาวลายหมากรุก ผ้าโพกหัวของมหาปุโรหิต+ และสายรัดเอว+ ให้พวกเขาทำเครื่องแต่งกายที่บริสุทธิ์สำหรับอาโรนพี่ชายของเจ้าและลูกชายของเขา เพื่อทำหน้าที่ปุโรหิตรับใช้เรา 5 ให้ช่างฝีมือใช้ทองคำ ด้ายสีฟ้า ด้ายขนแกะย้อมสีม่วง ด้ายสีแดงเข้ม และใยป่านอย่างดีในการทำ
6 “ให้พวกเขาเอาทองคำ ด้ายสีฟ้า ด้ายขนแกะย้อมสีม่วง ด้ายสีแดงเข้ม และใยป่านอย่างดีมาทำเอโฟด แล้วให้ปักที่ผ้าด้วย+ 7 และให้ทำแถบผ้าติดบ่า 2 ชิ้นเย็บติดไว้ที่ส่วนบนสุดของเอโฟดบริเวณบ่าทั้งสองข้าง 8 ส่วนผ้าคาดเอว+สำหรับคาดเอโฟดให้แน่นนั้น ให้ทอด้วยวัสดุอย่างเดียวกันกับเอโฟด คือทองคำ ด้ายสีฟ้า ด้ายขนแกะย้อมสีม่วง ด้ายสีแดงเข้ม และใยป่านอย่างดี
9 “ให้เจ้าเอาหินโอนิกซ์มา 2 เม็ด+ และสลักชื่อลูกชายของอิสราเอลไว้บนหินนั้น+ 10 ให้หินเม็ดหนึ่งมี 6 ชื่อ และอีกเม็ดหนึ่งมีอีก 6 ชื่อเรียงตามลำดับอายุ 11 ให้ช่างสลักหินสลักชื่อลูกชายของอิสราเอลบนหินทั้ง 2 เม็ดเหมือนกับที่เขาสลักตราประทับ+ แล้วฝังหินนั้นลงในกระเปาะที่ทำด้วยทองคำ 12 แล้วเอาหิน 2 เม็ดนั้นติดไว้ที่แถบผ้าบนบ่าของเอโฟดเพื่อเป็นเครื่องเตือนใจให้นึกถึงลูกหลานของอิสราเอล+ อาโรนจะเข้าพบพระยะโฮวาพร้อมกับชื่อที่เป็นเครื่องเตือนใจซึ่งอยู่บนแถบผ้าติดบ่าทั้งสองข้างของเขา 13 ให้ทำกระเปาะนั้นด้วยทองคำ 14 และทำสายคล้อง 2 เส้นด้วยทองคำบริสุทธิ์โดยฟั่นเป็นเกลียวคล้ายเชือก+ แล้วเอาสายคล้องที่ฟั่นเป็นเกลียวนี้ติดเข้ากับกระเปาะ+
15 “เจ้าต้องให้ช่างปักทำทับทรวงตัดสิน+ ให้ทำเหมือนกับที่ทำเอโฟด คือ ทำด้วยทองคำ ด้ายสีฟ้า ด้ายขนแกะย้อมสีม่วง ด้ายสีแดงเข้ม และใยป่านอย่างดี+ 16 ทับทรวงนี้เมื่อพับครึ่งแล้วจะเป็นรูปสี่เหลี่ยมจัตุรัส กว้าง 1 คืบ ยาว 1 คืบ* 17 และให้ฝังอัญมณี 4 แถวบนทับทรวง แถวแรกฝังทับทิม โทแพซ และมรกต 18 แถวที่ 2 ฝังเทอร์คอยส์ แซปไฟร์ และแจสเพอร์ 19 แถวที่ 3 ฝังหินเลเชม* โมรา และแอเมทิสต์ 20 แถวที่ 4 ฝังคริโซไลต์ โอนิกซ์ และหยก อัญมณีทั้งหมดนี้ให้ฝังลงในกระเปาะทองคำ 21 ให้อัญมณีเหล่านี้มีชื่อลูกชายของอิสราเอลทั้ง 12 คน ให้สลักชื่อของแต่ละคนลงในอัญมณีแต่ละเม็ดเหมือนกับการสลักตราประทับ อัญมณีทุกเม็ดจะมีชื่อของตระกูลหนึ่งใน 12 ตระกูล
22 “ให้เอาทองคำบริสุทธิ์มาทำเป็นเส้นคล้ายเชือกที่ฟั่นเป็นเกลียวติดไว้บนทับทรวงนั้น+ 23 ให้ทำห่วงทองคำ 2 ห่วงสำหรับทับทรวง และติดห่วงนั้นไว้ที่มุมทั้งสองของทับทรวง 24 และเอาสายคล้อง 2 เส้นที่ทำด้วยทองคำคล้องติดกับห่วงทั้งสองที่อยู่ตรงมุมของทับทรวง 25 แล้วเอาปลายทั้งสองของสายคล้องนั้นคล้องติดกับกระเปาะ 2 อันที่อยู่บนแถบผ้าติดบ่าเพื่อให้ทับทรวงห้อยอยู่ด้านหน้าของเอโฟด 26 ให้ทำห่วงทองคำอีก 2 ห่วงและติดห่วงนั้นไว้ที่มุมล่างทั้งสองของทับทรวง โดยติดไว้ด้านในที่อยู่แนบกับเอโฟด+ 27 และทำห่วงทองคำอีก 2 ห่วงที่ด้านหน้าเอโฟด ห่วงนี้ต้องอยู่ต่ำกว่าแถบผ้าติดบ่าลงมา แต่อยู่เหนือผ้าคาดเอวที่รัดเอโฟดไว้+ 28 แล้วเอาเชือกสีฟ้าผูกยึดห่วงของทับทรวงกับห่วงของเอโฟด ทับทรวงจะได้ทับอยู่บนเอโฟดและอยู่เหนือผ้าคาดเอว ไม่เลื่อนไปไหน
29 “และอาโรนต้องให้ชื่อลูกชายของอิสราเอลที่อยู่บนทับทรวงตัดสินนั้นแนบอยู่ที่อกของเขาเสมอ เพื่อเป็นเครื่องเตือนใจตอนที่เขาเข้าไปอยู่ต่อหน้าพระยะโฮวาในห้องบริสุทธิ์ 30 ให้ใส่อูริมกับทูมมิม+ ข้างในทับทรวงตัดสิน ให้สองสิ่งนี้อยู่ที่อกของอาโรนเมื่อเขาเข้าพบพระยะโฮวา อาโรนจะต้องให้สิ่งที่ใช้ตัดสินให้ชาวอิสราเอลนี้อยู่ที่อกของเขาเสมอเมื่ออยู่ต่อหน้าพระยะโฮวา
31 “ให้ทำเสื้อที่ไม่มีแขนด้วยด้ายสีฟ้าทั้งตัวเพื่อใส่ก่อนจะสวมเอโฟดทับลงไป+ 32 ให้ทำช่องตรงกลางที่ด้านบนของเสื้อ* และที่รอบคอเสื้อให้ช่างทอเป็นขอบเพื่อให้แข็งแรงเหมือนคอเสื้อเกราะ จะได้ไม่ขาดง่าย 33 ให้เอาด้ายสีฟ้า ด้ายขนแกะย้อมสีม่วง และด้ายสีแดงเข้มมาทำเป็นผลทับทิมติดรอบชายเสื้อ และติดกระดิ่งทองคำสลับกันไป 34 ให้เจ้าเอากระดิ่งทองคำกับผลทับทิมติดสลับกันไปอย่างนี้รอบชายเสื้อที่ไม่มีแขนนั้น 35 อาโรนจะต้องสวมเสื้อนี้ทุกครั้งเมื่อทำหน้าที่ จะต้องได้ยินเสียงกระดิ่งจากอาโรนเมื่อเขาเข้าพบพระยะโฮวาในที่ศักดิ์สิทธิ์และเมื่อออกมาจากที่นั่น เพื่อเขาจะไม่ตาย+
36 “ให้เอาทองคำบริสุทธิ์มาทำเป็นแผ่นให้เงาวาว และสลักบนแผ่นนั้นเหมือนกับคนที่สลักตราประทับ โดยสลักว่า ‘พระยะโฮวาบริสุทธิ์’+ 37 และเอาเชือกสีฟ้าผูกยึดแผ่นนี้ติดกับผ้าโพกหัวของมหาปุโรหิต+ โดยให้อยู่ด้านหน้าของผ้าโพกหัวนั้น 38 ให้แผ่นนี้อยู่ตรงหน้าผากของอาโรน และอาโรนจะต้องเป็นคนรับผิดชอบเมื่อมีใครปฏิบัติต่อสิ่งบริสุทธิ์อย่างไม่เหมาะสม+ สิ่งบริสุทธิ์นี้ชาวอิสราเอลแยกไว้เมื่อพวกเขาถวายเป็นของถวายที่บริสุทธิ์ แผ่นนี้จะต้องอยู่บนหน้าผากของอาโรนเสมอ เพื่อพวกเขาจะได้รับความโปรดปรานจากพระยะโฮวา
39 “ให้ทอเสื้อตัวยาวชั้นในสุดเป็นลายหมากรุกด้วยใยป่านอย่างดี และทำผ้าโพกหัวของมหาปุโรหิตด้วยผ้าลินินเนื้อดี ส่วนสายรัดเอวนั้นให้ใช้วิธีทอ+
40 “ให้ทำเสื้อตัวยาว สายรัดเอว และผ้าโพกหัวสำหรับลูกชายของอาโรนด้วย+เพื่อเขาจะมีเกียรติและดูสง่างาม+ 41 ให้สวมเสื้อเหล่านี้ให้อาโรนพี่ชายของเจ้าและลูกชายของเขา ให้เจิม+เพื่อแต่งตั้งพวกเขา+ และทำให้พวกเขาบริสุทธิ์ เพื่อพวกเขาจะทำหน้าที่ปุโรหิตรับใช้เรา 42 และให้ทำกางเกงขาสั้น*ด้วยผ้าลินินให้พวกเขาเพื่อใช้ปกปิดส่วนที่เปลือย+ กางเกงนั้นให้ยาวจากเอวถึงต้นขา 43 อาโรนและลูกชายจะต้องสวมกางเกงนี้เมื่อเข้ามาในเต็นท์เข้าเฝ้า หรือเมื่อพวกเขาไปที่แท่นบูชาเพื่อทำหน้าที่ในสถานบริสุทธิ์ เพื่อพวกเขาจะไม่มีความผิดและถูกประหารชีวิต นี่เป็นข้อกำหนดที่เขากับลูกหลานต้องปฏิบัติตามตลอดไป
29 “เจ้าต้องทำให้พวกเขาบริสุทธิ์เพื่อทำหน้าที่ปุโรหิตรับใช้เรา โดยทำอย่างนี้ เอาวัวหนุ่ม 1 ตัวกับแกะตัวผู้ 2 ตัวที่ไม่มีตำหนิมา+ 2 เอาขนมปังไม่ใส่เชื้อ ขนมปังรูปวงแหวนไม่ใส่เชื้อที่นวดกับน้ำมัน และขนมปังแผ่นบางไม่ใส่เชื้อที่ทาน้ำมัน+ ให้ทำขนมปังทั้งหมดด้วยแป้งสาลีเนื้อละเอียด 3 แล้วเอาขนมปังใส่ในกระจาด ให้ถวายขนมปังในกระจาดนี้+พร้อมกับวัวและแกะ 2 ตัวนั้น
4 “ให้เจ้าพาอาโรนกับลูกชายมาที่ทางเข้าของเต็นท์เข้าเฝ้า+ และให้พวกเขาอาบน้ำ+ 5 แล้วเอาเครื่องแต่งกาย+มาสวมให้อาโรน คือเสื้อตัวยาว เสื้อไม่มีแขน เอโฟด และทับทรวง เอาผ้าคาดเอวมาคาดเอโฟดให้แน่น+ 6 เอาผ้าโพกหัวของมหาปุโรหิตมาสวมให้เขา เอาแถบทองคำบริสุทธิ์*ผูกติดไว้ที่ผ้าโพกหัวนั้น+ 7 และเอาน้ำมันเจิม+เทลงบนหัวของเขาเพื่อแต่งตั้ง+
8 “จากนั้น ให้พาลูกชายของอาโรนมาข้างหน้า และสวมเสื้อตัวยาวให้พวกเขา+ 9 ผูกสายรัดเอวให้พวกเขาเหมือนกับอาโรน แล้วเอาผ้าโพกหัวมาโพกให้เขา และพวกเขาจะเป็นปุโรหิตตลอดไปตามข้อกำหนดนี้+ ให้เจ้าแต่งตั้งอาโรนและลูกชายทำหน้าที่ปุโรหิตตามแบบนี้+
10 “แล้วเอาวัวมาที่หน้าเต็นท์เข้าเฝ้า ให้อาโรนกับลูกชายเอามือวางบนหัวของวัวตัวนั้น+ 11 แล้วฆ่าวัวต่อหน้าพระยะโฮวาตรงทางเข้าของเต็นท์เข้าเฝ้า+ 12 เจ้าต้องเอานิ้วจุ่มเลือดวัวมาแต้มส่วนที่เป็นรูปเขาสัตว์บนแท่นบูชา+ แล้วเลือดที่เหลือทั้งหมดให้เทที่ฐานของแท่นบูชา+ 13 เอามันทั้งหมด+ที่หุ้มลำไส้ มันที่หุ้มตับ และเอาไตทั้งสองข้างกับมันที่หุ้มไตมาเผาบนแท่นบูชา ให้มีควันลอยขึ้นไปจากแท่น+ 14 นี่เป็นเครื่องบูชาไถ่บาป แต่เนื้อกับหนังและมูลของวัวให้เอาไปเผาข้างนอกค่ายพัก
15 “แล้วให้เอาแกะตัวผู้มาตัวหนึ่ง ให้อาโรนกับลูกชายเอามือวางบนหัวของแกะตัวนั้น+ 16 ให้ฆ่าแกะ แล้วเอาเลือดของมันไปพรมใส่ด้านข้างของแท่นบูชาทุกด้าน+ 17 สับแกะออกเป็นท่อน ๆ ล้างลำไส้+กับขาของมัน และเอาส่วนต่าง ๆ มาเรียงรวมกันไว้กับหัวแกะ 18 และให้เอาแกะทั้งตัวไปเผาบนแท่นบูชา นี่เป็นเครื่องบูชาเผาที่ถวายให้พระยะโฮวาซึ่งมีกลิ่นหอมที่ทำให้พระองค์พอใจ+ เป็นเครื่องบูชาที่ถวายให้พระยะโฮวาด้วยการเผา
19 “จากนั้น ให้เอาแกะตัวผู้อีกตัวหนึ่งมา และให้อาโรนกับลูกชายเอามือวางบนหัวของมัน+ 20 ฆ่าแกะตัวนั้นและเอาเลือดมันมาส่วนหนึ่ง แล้วเอาไปแต้มที่ติ่งหูข้างขวา ที่นิ้วหัวแม่มือข้างขวา และที่นิ้วหัวแม่เท้าข้างขวาของอาโรนกับลูกชาย และเอาเลือดไปพรมใส่ด้านข้างของแท่นบูชาทุกด้านด้วย 21 แล้วเอาเลือดที่ติดอยู่ด้านข้างแท่นบูชามาผสมกับน้ำมันเจิม+ และเอาไปประพรมที่ตัวอาโรนกับเครื่องแต่งกายของเขา และประพรมที่ตัวลูกชายกับเครื่องแต่งกายของเขา เพื่อทำให้อาโรนกับลูกชายและเครื่องแต่งกายของพวกเขาบริสุทธิ์+
22 “ให้เจ้าเอามันจากตัวแกะ คือ หางที่เต็มไปด้วยมัน มันที่หุ้มลำไส้ มันที่หุ้มตับ และเอาไตทั้งสองข้างกับมันที่หุ้มไต+ และขาขวาของแกะนั้นมา นี่เป็นแกะที่ต้องถวายในการแต่งตั้งปุโรหิต+ 23 และเอาขนมปังกลม ขนมปังรูปวงแหวนที่ผสมกับน้ำมัน ขนมปังแผ่นบาง อย่างละ 1 ชิ้นออกมาจากกระจาดใส่ขนมปังไม่ใส่เชื้อซึ่งอยู่ตรงหน้าพระยะโฮวา 24 แล้วเอาของทั้งหมดนี้วางบนฝ่ามือของอาโรนกับลูกชาย และยื่นถวายตรงหน้าพระยะโฮวาเป็นเครื่องบูชายื่นถวาย 25 จากนั้น ให้เอาของจากมือของพวกเขาไปเผาถวายบนแท่นบูชาโดยวางไว้บนเครื่องบูชาเผาเพื่อจะมีกลิ่นหอมที่ทำให้พระยะโฮวาพอใจ นี่เป็นเครื่องบูชาที่ถวายให้พระยะโฮวาด้วยการเผา
26 “ให้เจ้าเอาเนื้อส่วนอกของแกะตัวผู้ที่ถวายในการแต่งตั้ง+อาโรนเป็นปุโรหิตมายื่นถวายต่อหน้าพระยะโฮวาเป็นเครื่องบูชายื่นถวาย และเนื้อส่วนนี้จะเป็นของเจ้า 27 เนื้อส่วนอกของเครื่องบูชายื่นถวาย และขาที่เป็นส่วนอันศักดิ์สิทธิ์ซึ่งยื่นถวาย และเป็นส่วนที่ได้จากแกะตัวผู้ที่ถวายในการแต่งตั้ง+อาโรนและลูกชายเป็นปุโรหิตนั้น เจ้าต้องแยกไว้เป็นของบริสุทธิ์ 28 แล้วหลังจากนั้น ส่วนทั้งหมดนี้จะเป็นของอาโรนกับลูกชาย นี่เป็นข้อกำหนดที่ชาวอิสราเอลจะต้องปฏิบัติตามตลอดไปเพราะเป็นส่วนอันศักดิ์สิทธิ์ และชาวอิสราเอลจะต้องถวายส่วนอันศักดิ์สิทธิ์นี้+ นี่คือส่วนอันศักดิ์สิทธิ์จากเครื่องบูชาผูกมิตรของพวกเขาที่ถวายให้พระยะโฮวา+
29 “ลูกหลานของอาโรนที่จะสืบตำแหน่งต่อจากเขาจะต้องใช้+เครื่องแต่งกายที่บริสุทธิ์+ของอาโรนเมื่อพวกเขาได้รับการเจิมและแต่งตั้งให้เป็นปุโรหิต 30 ปุโรหิตจากลูกหลานของอาโรนที่จะสืบตำแหน่งต่อจากเขา และที่จะเข้ามาในเต็นท์เข้าเฝ้าเพื่อทำหน้าที่ในสถานบริสุทธิ์นั้น จะต้องสวมเครื่องแต่งกายนี้ให้ครบ 7 วัน+
31 “ให้เอาเนื้อของแกะตัวผู้ที่ถวายในการแต่งตั้งปุโรหิตมาต้มในที่ที่สะอาดบริสุทธิ์+ 32 เนื้อของแกะตัวผู้และขนมปังที่อยู่ในกระจาดนั้น ให้อาโรนกับลูกชายกิน+ตรงทางเข้าของเต็นท์เข้าเฝ้า 33 พวกเขาต้องกินของพวกนี้ซึ่งได้ถวายเป็นเครื่องบูชาไถ่บาป*เพื่อแต่งตั้งพวกเขาเป็นปุโรหิต และเพื่อชำระพวกเขาให้บริสุทธิ์ แต่คนที่ไม่มีสิทธิ์* จะกินไม่ได้ เพราะของเหล่านี้เป็นของบริสุทธิ์+ 34 ถ้ามีส่วนไหนของเนื้อแกะที่ถวายเป็นเครื่องบูชาในการแต่งตั้งหรือขนมปังเหลืออยู่จนถึงตอนเช้า ก็ให้เอาไฟเผาให้หมด+ อย่ากินของที่เหลือนั้นเพราะเป็นของบริสุทธิ์
35 “ให้แต่งตั้งอาโรนกับลูกชายเป็นปุโรหิตตามที่เราได้สั่งไว้ทั้งหมดนี้ และให้ใช้เวลา 7 วันในการแต่งตั้งพวกเขา+ 36 ให้ถวายวัวตัวผู้เป็นเครื่องบูชาไถ่บาปทุกวันเพื่อไถ่บาป และชำระแท่นบูชาให้บริสุทธิ์จากบาปโดยถวายเครื่องบูชาไถ่บาปสำหรับแท่นนั้น และเจิมแท่นเพื่อทำให้แท่นนั้นบริสุทธิ์+ 37 ให้ถวายเครื่องบูชาไถ่บาปสำหรับแท่นเป็นเวลา 7 วัน แล้วชำระแท่นนั้นให้เป็นแท่นที่บริสุทธิ์ยิ่ง+ คนที่จะมาแตะต้องแท่นต้องเป็นคนบริสุทธิ์
38 “สิ่งที่เจ้าจะต้องถวายบนแท่นบูชาเป็นประจำคือ ลูกแกะตัวผู้อายุ 1 ปีวันละ 2 ตัว+ 39 ให้ถวายลูกแกะตัวผู้ในตอนเช้าตัวหนึ่ง และในตอนพลบค่ำ*อีกตัวหนึ่ง+ 40 เมื่อถวายลูกแกะตัวผู้ตัวแรกนั้นให้ถวายพร้อมกับแป้งเนื้อละเอียด 1 ใน 10 เอฟาห์*ที่นวดกับน้ำมัน 1 ใน 4 ฮิน* และเหล้าองุ่นซึ่งเป็นเครื่องบูชาดื่ม 1 ใน 4 ฮิน* 41 และถวายลูกแกะตัวผู้ตัวที่ 2 ในตอนพลบค่ำ*พร้อมกับเครื่องบูชาที่ทำจากเมล็ดข้าวและเครื่องบูชาดื่มเหมือนกับในตอนเช้า ให้เอาเครื่องบูชาต่าง ๆ นี้ถวายพระยะโฮวาด้วยการเผาซึ่งมีกลิ่นหอมที่ทำให้พระองค์พอใจ 42 นี่เป็นเครื่องบูชาเผาที่ต้องถวายตรงหน้าพระยะโฮวาเป็นประจำไปตลอดทุกยุคทุกสมัยตรงทางเข้าของเต็นท์เข้าเฝ้านั้น เราจะมาหาพวกเจ้าเพื่อพูดกับเจ้าที่นั่น+
43 “เราจะมาหาชาวอิสราเอลที่นั่น และที่นั่นจะบริสุทธิ์ด้วยรัศมีของเรา+ 44 เราจะทำให้เต็นท์เข้าเฝ้าและแท่นบูชาเป็นที่บริสุทธิ์ และเราจะทำให้อาโรนกับลูกชายของเขาบริสุทธิ์+เพื่อทำหน้าที่ปุโรหิตรับใช้เรา 45 เราจะอยู่กับชาวอิสราเอล และเป็นพระเจ้าของพวกเขา+ 46 และพวกเขาจะรู้ว่าเราคือยะโฮวาพระเจ้าของพวกเขา ผู้นำพวกเขาออกมาจากอียิปต์เพื่อเราจะอยู่กับพวกเขา+ เราคือยะโฮวาพระเจ้าของพวกเขา
30 “ให้เจ้าทำแท่นบูชาสำหรับเผาเครื่องหอม+ด้วยไม้อะคาเซีย+ 2 เป็นรูปสี่เหลี่ยมจัตุรัสกว้าง 1 ศอก ยาว 1 ศอก และให้สูงขึ้นมา 2 ศอก* และทำรูปเขาสัตว์ให้เป็นเนื้อเดียวกับตัวแท่น+ 3 ให้หุ้มแท่นด้วยทองคำบริสุทธิ์ทั้งด้านบนและด้านข้างทั้ง 4 ด้าน รวมทั้งส่วนที่เป็นรูปเขาสัตว์ และให้เอาทองคำมาทำเป็นคิ้วด้านบนประดับรอบแท่น 4 ให้ทำห่วงทองคำติดไว้ที่ใต้คิ้วทั้ง 2 ด้าน ติดไว้ด้านละ 2 ห่วงตรงข้ามกัน เพื่อใช้สำหรับสอดไม้คานหามแท่น 5 ให้ทำไม้คานด้วยไม้อะคาเซียและหุ้มด้วยทองคำ 6 และให้ตั้งแท่นไว้ข้างหน้าม่านที่อยู่ใกล้ ๆ หีบสัญญา+ ให้แท่นนั้นอยู่ข้างหน้าหีบสัญญาและฝาหีบ ซึ่งเป็นที่ที่เราจะมาหาเจ้า+
7 “ทุกเช้าตอนที่อาโรน+เข้ามาตรวจดูความเรียบร้อยของตะเกียง+ ให้เขาเผาเครื่องหอม+บนแท่นนั้น+ 8 และเมื่ออาโรนมาจุดตะเกียงตอนพลบค่ำ* เขาต้องเผาเครื่องหอมด้วย นี่เป็นเครื่องหอมที่ถวายพระยะโฮวาเป็นประจำไปตลอดทุกยุคทุกสมัย 9 อย่าถวายเครื่องหอมที่ไม่ได้เป็นไปตามข้อกำหนด+ หรือถวายเครื่องบูชาเผา หรือเครื่องบูชาที่ทำจากเมล็ดข้าวบนแท่นนี้ และอย่าเทเครื่องบูชาดื่มบนแท่นนี้ 10 ให้อาโรนเอาเลือดของสัตว์ที่ใช้เป็นเครื่องบูชาไถ่บาปไปแต้มส่วนที่เป็นรูปเขาสัตว์บนแท่นเพื่อชำระแท่นให้บริสุทธิ์+ ให้อาโรนทำอย่างนี้ปีละ 1 ครั้ง+เพื่อชำระแท่น และทำอย่างนี้ไปตลอดทุกยุคทุกสมัย นี่เป็นสิ่งบริสุทธิ์ยิ่งสำหรับพระยะโฮวา”
11 พระยะโฮวาพูดกับโมเสสว่า 12 “เมื่อไรก็ตามที่เจ้าสำรวจสำมะโนประชากรและนับจำนวนลูกหลานของอิสราเอล+ ให้แต่ละคนเอาค่าไถ่สำหรับไถ่ชีวิตของตัวเองมาถวายพระยะโฮวาเมื่อมีการนับจำนวนคน จะได้ไม่เกิดภัยพิบัติกับพวกเขาเมื่อพวกเขามาขึ้นทะเบียน 13 ทุกคนที่มาขึ้นทะเบียนจะต้องถวายเงินหนักครึ่งเชเขล*ตามเชเขลมาตรฐานของสถานบริสุทธิ์+ โดย 20 เกราห์*เท่ากับ 1 เชเขล เงินที่จะต้องถวายให้พระยะโฮวาคือ ครึ่งเชเขล+ 14 ทุกคนที่มาขึ้นทะเบียนซึ่งมีอายุ 20 ปีขึ้นไปจะต้องเอาเงินมาถวายพระยะโฮวา+ 15 เมื่อเอาเงินมาถวายพระยะโฮวาเพื่อไถ่ชีวิตตัวเอง คนรวยอย่าถวายมากกว่าครึ่งเชเขล*และคนจนก็อย่าถวายน้อยกว่านี้ 16 และให้เจ้าเอาเงินที่ชาวอิสราเอลถวายเป็นค่าไถ่นั้นไปใช้ดูแลเต็นท์เข้าเฝ้า เพื่อพระยะโฮวาจะระลึกถึงชาวอิสราเอลที่พวกเขาไถ่ชีวิตตัวเอง”
17 พระยะโฮวาพูดกับโมเสสอีกว่า 18 “ทำอ่างใบหนึ่งไว้สำหรับชำระล้าง ตัวอ่างและขาตั้งให้ทำด้วยทองแดง+ และตั้งไว้ระหว่างเต็นท์เข้าเฝ้ากับแท่นบูชา แล้วให้เอาน้ำใส่อ่างไว้+ 19 อาโรนกับลูกชายจะต้องล้างมือและเท้าที่นี่+ 20 เมื่อพวกเขาจะเข้าไปในเต็นท์เข้าเฝ้าหรือไปที่แท่นบูชาเพื่อทำหน้าที่ถวายเครื่องบูชาให้พระยะโฮวาด้วยการเผา พวกเขาต้องใช้น้ำนี้ชำระล้างเพื่อจะไม่ตาย 21 พวกเขาต้องล้างมือและเท้าเพื่อจะไม่ตาย นี่จะเป็นข้อกำหนดสำหรับอาโรนและลูกหลานของเขาไปตลอดทุกยุคทุกสมัย”+
22 พระยะโฮวาพูดกับโมเสสต่อไปว่า 23 “ให้เอาสิ่งที่มีกลิ่นหอมอย่างดีที่สุดต่อไปนี้มา คือ ยางมดยอบ 500 เชเขล* อบเชยหอมครึ่งหนึ่งของยางมดยอบคือ 250 เชเขล* ว่านน้ำชนิดหอม 250 เชเขล* 24 แคสเซีย 500 เชเขล*ตามเชเขลมาตรฐานของสถานบริสุทธิ์+ และน้ำมันมะกอก 1 ฮิน* 25 แล้วเอามาทำเป็นน้ำมันเจิมอันบริสุทธิ์ โดยเอามาปรุงอย่างช่างผู้ชำนาญ+ นี่เป็นน้ำมันเจิมอันบริสุทธิ์
26 “ให้เอาน้ำมันนี้เจิมเต็นท์เข้าเฝ้า+กับหีบสัญญา 27 โต๊ะกับสิ่งของทุกอย่างที่ใช้กับโต๊ะ เชิงตะเกียงกับสิ่งของทุกอย่างที่ใช้กับเชิงตะเกียง และแท่นบูชาสำหรับเผาเครื่องหอม 28 รวมทั้งแท่นบูชาสำหรับเครื่องบูชาเผากับสิ่งของทุกอย่างที่ใช้กับแท่นบูชา และอ่างกับขาตั้งอ่าง 29 ให้แยกสิ่งเหล่านี้ไว้ต่างหากให้เป็นสิ่งบริสุทธิ์ยิ่ง+ คนที่แตะต้องสิ่งเหล่านี้ต้องเป็นคนบริสุทธิ์+ 30 ให้เจิมอาโรน+กับลูกชาย+ และแยกพวกเขาไว้ให้บริสุทธิ์สำหรับการทำหน้าที่ปุโรหิตรับใช้เรา+
31 “ให้เจ้าบอกชาวอิสราเอลว่า ‘นี่จะเป็นน้ำมันเจิมอันบริสุทธิ์สำหรับเราไปตลอดทุกยุคทุกสมัย+ 32 อย่าให้ใครเอาไปทาตัว และอย่าทำน้ำมันอะไรก็ตามที่มีส่วนผสมเหมือนกับน้ำมันนี้ นี่เป็นสิ่งบริสุทธิ์ และต้องเป็นสิ่งบริสุทธิ์สำหรับพวกเจ้าต่อ ๆ ไป 33 ใครที่ทำน้ำมันหอมตามแบบนี้ หรือใช้น้ำมันนี้เจิมคนที่ไม่มีสิทธิ์*ต้องถูกประหารชีวิต’”+
34 และพระยะโฮวาพูดกับโมเสสว่า “ให้เอาสิ่งที่มีกลิ่นหอม+ต่อไปนี้มาอย่างละเท่า ๆ กัน คือ ยางไม้สตักเท อนนิคา มหาหิงคุ์หอม และกำยานบริสุทธิ์ 35 มาทำเป็นเครื่องหอม+ เป็นส่วนผสมที่มีกลิ่นหอมหวานซึ่งปรุงอย่างช่างผู้ชำนาญ และผสมเกลือด้วย+ เป็นเครื่องหอมอันบริสุทธิ์และศักดิ์สิทธิ์ 36 ให้เอาส่วนหนึ่งมาตำให้ละเอียด แล้ววางบางส่วนไว้หน้าหีบสัญญาในเต็นท์เข้าเฝ้าที่ซึ่งเราจะมาหาเจ้า นี่เป็นสิ่งบริสุทธิ์ยิ่งสำหรับพวกเจ้า 37 อย่าทำเครื่องหอมตามส่วนผสมนี้ไว้ใช้เอง+ เจ้าต้องถือว่าเครื่องหอมนี้เป็นสิ่งบริสุทธิ์สำหรับพระยะโฮวา 38 ใครก็ตามที่ทำเครื่องหอมตามแบบนี้ไว้สูดดมเองต้องถูกประหารชีวิต”
31 พระยะโฮวาพูดกับโมเสสต่อไปว่า 2 “เราเลือกเบซาเลล+จากตระกูลยูดาห์ เขาเป็นลูกชายของอุรี อุรีเป็นลูกชายของเฮอร์+ 3 เราจะให้พลังของเรากับเขา ให้เขามีสติปัญญา มีความรู้ความเข้าใจในการทำงานฝีมือทุกอย่าง 4 เพื่อเขาจะออกแบบงานศิลปะต่าง ๆ ทำเครื่องทอง เครื่องเงิน และเครื่องทองแดง 5 ทำการเจียระไนและฝังอัญมณี+ และทำสิ่งของเครื่องใช้ทุกอย่างที่เป็นไม้+ 6 เราแต่งตั้งโอโฮลีอับ+ ลูกชายของอาหิสะมัคจากตระกูลดานให้เป็นผู้ช่วยของเขาด้วย และเราจะให้สติปัญญากับทุกคนที่มีฝีมือ เพื่อพวกเขาจะทำทุกสิ่งตามที่เราสั่งเจ้าไว้+ 7 คือ เต็นท์เข้าเฝ้า+ หีบสัญญา+กับฝาหีบ+ และสิ่งของเครื่องใช้ทั้งหมดในเต็นท์นั้น 8 โต๊ะ+กับสิ่งของที่ใช้กับโต๊ะ เชิงตะเกียงทองคำบริสุทธิ์กับสิ่งของทุกอย่างที่ใช้กับเชิงตะเกียง+ แท่นบูชาสำหรับเผาเครื่องหอม+ 9 แท่นบูชาสำหรับเครื่องบูชาเผา+กับสิ่งของทุกอย่างที่ใช้กับแท่น อ่างกับขาตั้งอ่าง+ 10 เครื่องแต่งกายที่ทออย่างประณีต เครื่องแต่งกายที่บริสุทธิ์สำหรับปุโรหิตอาโรน เครื่องแต่งกายของลูกชายอาโรนเพื่อใช้ตอนทำหน้าที่ปุโรหิต+ 11 น้ำมันเจิม และเครื่องหอมสำหรับที่ศักดิ์สิทธิ์+ พวกเขาจะทำทุกสิ่งตามที่เราได้สั่งเจ้าไว้”
12 พระยะโฮวาพูดกับโมเสสอีกว่า 13 “ให้บอกชาวอิสราเอลอย่างนี้ ‘พวกเจ้าต้องทำตามคำสั่งเรื่องสะบาโตของเราอย่างเคร่งครัด+ เพราะนี่เป็นเครื่องเตือนใจระหว่างเรากับพวกเจ้าตลอดทุกยุคทุกสมัย พวกเจ้าจะได้รู้ว่าเรายะโฮวาได้แยกพวกเจ้าไว้ให้บริสุทธิ์ 14 พวกเจ้าต้องทำตามคำสั่งเรื่องสะบาโตเพราะเป็นวันบริสุทธิ์สำหรับพวกเจ้า+ ใครก็ตามที่ฝ่าฝืนต้องถูกประหารชีวิต ถ้ามีใครทำงานในวันนั้น เขาต้องถูกประหารชีวิต+ 15 ให้ทำงาน 6 วัน แต่วันที่เจ็ดเป็นวันสะบาโต เป็นวันที่ต้องหยุดพัก+ วันนั้นเป็นวันบริสุทธิ์สำหรับพระยะโฮวา ใครก็ตามที่ทำงานในวันสะบาโตต้องถูกประหารชีวิต 16 ชาวอิสราเอลต้องทำตามคำสั่งเรื่องสะบาโตไปตลอดทุกยุคทุกสมัย นี่เป็นสัญญาที่ยั่งยืน 17 วันสะบาโตจะเป็นเครื่องเตือนใจระหว่างเรากับชาวอิสราเอลตลอดไป+ เพราะพระยะโฮวาสร้างฟ้ากับโลกใน 6 วัน แต่ในวันที่ 7 นั้นพระองค์หยุดพักจากการทำงาน’”+
18 เมื่อพระเจ้าพูดกับโมเสสบนภูเขาซีนายเสร็จแล้ว พระองค์ก็ให้แผ่นหินที่เป็นพยานหลักฐาน 2 แผ่น+กับเขา พระองค์เขียนแผ่นหินนี้ด้วยมือ*ของพระองค์เอง+
32 เมื่อประชาชนเห็นว่าโมเสสอยู่บนภูเขานานแล้วและไม่ลงมาสักที+ พวกเขาก็เลยพากันไปหาอาโรนและพูดว่า “ช่วยสร้างพระให้คอยนำทางพวกเราหน่อยสิ+ เพราะพวกเราไม่รู้ว่าเกิดอะไรขึ้นกับโมเสสที่พาพวกเราออกมาจากอียิปต์” 2 อาโรนก็พูดกับพวกเขาว่า “ถอดตุ้มหูทองคำ+ของภรรยากับลูกชายลูกสาวของพวกคุณมาให้ผม” 3 ประชาชนทั้งหมดก็ถอดตุ้มหูทองคำมาให้อาโรน 4 อาโรนรับทองคำมาจากพวกเขา และแกะสลักรูปลูกวัว+ แล้วหล่อขึ้นมา บางคนพูดว่า “ชาวอิสราเอล นี่คือพระเจ้าของคุณที่พาคุณออกมาจากอียิปต์”+
5 พออาโรนเห็นอย่างนั้น เขาก็สร้างแท่นบูชาขึ้นตรงหน้าลูกวัวทองคำ แล้วประกาศว่า “พรุ่งนี้จะมีการเลี้ยงฉลองให้พระยะโฮวา” 6 วันรุ่งขึ้นพวกเขาตื่นแต่เช้า และถวายเครื่องบูชาเผากับเครื่องบูชาผูกมิตร แล้วประชาชนก็นั่งลงกินดื่ม จากนั้นก็ลุกขึ้นร้องรำทำเพลงกันอย่างสนุกสนาน+
7 พระยะโฮวาพูดกับโมเสสว่า “กลับลงไปเถอะ เพราะประชาชนที่เจ้าพาออกมาจากอียิปต์นั้นทำผิดร้ายแรงแล้ว+ 8 พวกเขาทิ้งแนวทางที่เราสอนเร็วเหลือเกิน+ พวกเขาหล่อรูปลูกวัวทองคำขึ้นมากราบไหว้ ถวายเครื่องบูชาให้รูปนั้น แถมยังพูดกันว่า ‘ชาวอิสราเอล นี่คือพระเจ้าของคุณที่พาคุณออกมาจากอียิปต์’” 9 พระยะโฮวาพูดกับโมเสสอีกว่า “เราเห็นแล้วว่าชนชาตินี้ดื้อด้านจริง ๆ+ 10 เราโกรธพวกเขามาก ปล่อยเราทำลายพวกเขาเถอะ แล้วเราจะทำให้เจ้าเป็นชนชาติใหญ่แทน”+
11 โมเสสอ้อนวอนพระยะโฮวาพระเจ้า+ของเขาว่า “พระยะโฮวาครับ ทำไมพระองค์โกรธพวกเขาขนาดนี้? พระองค์เพิ่งพาพวกเขาออกมาจากอียิปต์ด้วยพลังและอำนาจที่ยิ่งใหญ่ของพระองค์+ 12 ทำไมจะให้พวกอียิปต์พูดว่า ‘ที่พระองค์พาพวกเขาออกมาก็เพราะมีเจตนาร้าย พระองค์ตั้งใจจะสังหารหมู่ชาวอิสราเอลที่ภูเขาและกำจัดพวกเขาให้หมดไปจากโลก’?+ ขอพระองค์ใจเย็น ๆ ก่อนครับ ขอโปรดคิดทบทวนการตัดสินใจที่จะทำลายประชาชนของพระองค์ในครั้งนี้ 13 โปรดคิดถึงอับราฮัม อิสอัค และอิสราเอลซึ่งเป็นผู้รับใช้ของพระองค์ พระองค์สาบานกับพวกเขาว่า ‘เราจะทำให้ลูกหลานของเจ้าเพิ่มจำนวนขึ้นให้มีมากเหมือนดวงดาวบนท้องฟ้า+ และเราจะยกแผ่นดินทั้งหมดที่เราได้สัญญาไว้นี้ให้ลูกหลานของเจ้า พวกเขาจะครอบครองตลอดไป’”+
14 พระยะโฮวาทบทวนการตัดสินใจที่พระองค์ได้พูดก่อนหน้านี้ว่าจะทำลายประชาชนของพระองค์+
15 แล้วโมเสสก็ลงไปจากภูเขา และถือ+แผ่นหินที่เป็นพยานหลักฐาน+ 2 แผ่นลงไปด้วย แผ่นหินนั้นมีข้อความเขียนไว้ 2 ด้าน ทั้งด้านหน้าและด้านหลัง 16 พระเจ้าเป็นผู้ทำแผ่นหินนั้นขึ้นมา และเป็นผู้เขียนข้อความลงบนแผ่นหินเอง+ 17 โยชูวาได้ยินเสียงดังมาจากฝูงชน เพราะพวกเขาโห่ร้องกันอยู่ เขาจึงพูดกับโมเสสว่า “มีเสียงสู้รบกันในค่ายพัก” 18 แต่โมเสสบอกว่า
“นี่ไม่ใช่เสียงร้องเพลงที่แสดงถึงชัยชนะ
และไม่ใช่เสียงคร่ำครวญของความพ่ายแพ้
เสียงเพลงที่เราได้ยินเป็นเพลงอย่างอื่น”
19 พอโมเสสเข้ามาใกล้ค่ายพักและเห็นลูกวัวทองคำ+กับเห็นผู้คนร้องรำทำเพลงกันอยู่ โมเสสก็โกรธจัดจึงทุ่มแผ่นหินลงไปจนแตกกระจายอยู่ที่เชิงเขา+ 20 แล้วโมเสสก็เอาไฟเผาลูกวัวทองคำที่พวกอิสราเอลทำ เขาทุบมันจนแหลกละเอียด+แล้วโปรยลงไปในน้ำ และบังคับให้ชาวอิสราเอลดื่มน้ำนั้น+ 21 จากนั้น โมเสสพูดกับอาโรนว่า “ประชาชนพวกนี้มาพูดยังไงถึงยอมให้พวกเขาทำบาปร้ายแรงได้ถึงขนาดนี้?” 22 อาโรนพูดว่า “อย่าเพิ่งโกรธเลยครับ คุณก็รู้ดีว่าประชาชนพวกนี้มีแนวโน้มจะทำชั่วอยู่แล้ว+ 23 พวกเขาพูดกับผมว่า ‘ช่วยสร้างพระให้คอยนำทางพวกเราหน่อยสิ เพราะพวกเราไม่รู้ว่าเกิดอะไรขึ้นกับโมเสสที่พาพวกเราออกมาจากอียิปต์’+ 24 ผมเลยพูดกับพวกเขาว่า ‘ใครมีทองคำก็ถอดออกมาให้ผม’ ผมก็โยนมันลงไปในไฟ แล้วก็ได้ลูกวัวทองคำนี้ออกมา”
25 โมเสสเห็นว่าอาโรนปล่อยให้ประชาชนออกนอกลู่นอกทางจนเป็นที่อับอายต่อหน้าศัตรู 26 โมเสสจึงไปยืนที่ทางเข้าค่ายพักและพูดว่า “ใครอยู่ฝ่ายพระยะโฮวาให้มาหาผม”+ คนในตระกูลเลวีทั้งหมดก็ไปหาโมเสส 27 โมเสสพูดกับพวกเขาว่า “พระยะโฮวาพระเจ้าของอิสราเอลบอกไว้อย่างนี้ ‘ให้ทุกคนเหน็บดาบไว้ แล้วไปให้ทั่วค่ายพักตั้งแต่ด้านนี้จนถึงด้านโน้น* และฆ่าพี่น้อง เพื่อนบ้าน และเพื่อนสนิทของตัวเอง’”+ 28 คนในตระกูลเลวีทำตามที่โมเสสสั่ง พวกเขาฆ่าฟันผู้ชายในวันนั้นล้มตายประมาณ 3,000 คน 29 โมเสสพูดว่า “วันนี้ พวกคุณได้แยกตัวอยู่ต่างหากเพื่อรับใช้พระยะโฮวา เพราะพวกคุณได้ต่อสู้ลูกและพี่น้องของตัวเอง+ และวันนี้ พระองค์จะอวยพรพวกคุณ”+
30 วันรุ่งขึ้น โมเสสพูดกับประชาชนว่า “พวกคุณได้ทำผิดร้ายแรงมาก ผมจะขึ้นไปหาพระยะโฮวาเพื่อดูว่าจะมีทางขออภัยบาปให้พวกคุณได้ไหม”+ 31 โมเสสกลับขึ้นไปหาพระยะโฮวาและพูดว่า “ประชาชนพวกนี้ทำผิดร้ายแรง พวกเขาเอาทองคำมาสร้างเป็นพระเพื่อกราบไหว้+ 32 แต่ถ้าเป็นไปได้ ขอพระองค์โปรดยกโทษที่พวกเขาทำผิดต่อพระองค์ด้วยเถอะครับ+ ไม่อย่างนั้น ก็ขอให้ลบชื่อของผมออกจากหนังสือที่พระองค์บันทึกไว้”+ 33 แต่พระยะโฮวาพูดกับโมเสสว่า “ใครที่ทำผิดต่อเรา เราจะลบชื่อของเขาออกจากหนังสือของเรา 34 ให้พาประชาชนพวกนี้ไปที่ที่เราได้บอกเจ้าแล้ว ทูตสวรรค์ของเราจะนำหน้าเจ้าไป+ และในวันที่เราจะลงโทษพวกเขา เราจะลงโทษเพราะความผิดที่พวกเขาทำไป” 35 แล้วพระยะโฮวาก็ให้ประชาชนเจอกับภัยพิบัติต่าง ๆ เพราะลูกวัวทองคำที่อาโรนทำขึ้นตามที่พวกเขาขอ
33 พระยะโฮวาพูดกับโมเสสต่อไปว่า “ออกไปจากที่นี่ได้แล้ว ให้เจ้ากับประชาชนที่เจ้าพาออกมาจากอียิปต์เดินทางไปแผ่นดินที่เราได้สาบานไว้กับอับราฮัม อิสอัค และยาโคบว่า ‘เราจะยกแผ่นดินนี้ให้ลูกหลานของเจ้า’+ 2 เราจะให้ทูตสวรรค์องค์หนึ่งนำหน้าเจ้า+ และเราจะขับไล่ชาวคานาอัน ชาวอาโมไรต์ ชาวฮิตไทต์ ชาวเปริสซี ชาวฮีไวต์ และชาวเยบุสออกไป+ 3 ให้ไปที่แผ่นดินที่มีน้ำนมและน้ำผึ้งมากมาย+ แต่เราจะไม่ไปกับพวกเจ้า เพราะพวกเจ้าเป็นชนชาติที่ดื้อด้าน+ เราจะได้ไม่ต้องทำลายพวกเจ้ากลางทาง”+
4 เมื่อประชาชนได้ยินข่าวร้ายนี้ พวกเขาก็เศร้าโศกเสียใจ และไม่มีใครใส่เครื่องประดับเลย 5 พระยะโฮวาพูดกับโมเสสว่า “ไปบอกชาวอิสราเอลอย่างนี้ ‘พวกเจ้าเป็นชนชาติที่ดื้อด้าน+ ถ้ายังเป็นอย่างนี้อยู่ เดี๋ยวเราคงต้องลงไปทำลายพวกเจ้าแน่+ ดังนั้น ระหว่างที่เรากำลังคิดว่าจะทำยังไงกับพวกเจ้าดี อย่าใส่เครื่องประดับเลย’” 6 ชาวอิสราเอลไม่ได้ใส่เครื่องประดับอีกเลยตั้งแต่ที่พวกเขาอยู่ที่ภูเขาโฮเรบเป็นต้นมา
7 โมเสสตั้งเต็นท์ของเขาอยู่นอกค่ายพัก ไกลออกไปจากค่าย เขาเรียกเต็นท์นั้นว่าเต็นท์เข้าเฝ้า ใครก็ตามที่อยากถามอะไรพระยะโฮวา+ก็จะออกไปที่เต็นท์เข้าเฝ้านอกค่ายพัก 8 พอโมเสสออกไปที่เต็นท์เข้าเฝ้า ประชาชนทั้งหมดจะลุกขึ้นยืนที่ทางเข้าเต็นท์ของตัวเอง และมองดูจนโมเสสเข้าไปในเต็นท์ 9 พอโมเสสเข้าไปในเต็นท์นั้นแล้ว เสาเมฆ+จะลอยลงมาตั้งอยู่ที่ทางเข้าเต็นท์ตอนที่พระเจ้าพูดกับโมเสส+ 10 พอประชาชนทั้งหมดเห็นเสาเมฆตั้งอยู่ที่ทางเข้าเต็นท์ ทุกคนจะก้มลงนมัสการพระเจ้าที่ทางเข้าเต็นท์ของตัวเอง 11 พระยะโฮวาคุยกับโมเสสเหมือนคน 2 คนคุยกัน+ พอโมเสสกลับมาที่ค่ายพัก โยชูวา+ ซึ่งเป็นทั้งผู้ช่วยและคนรับใช้+ของเขายังอยู่ที่นั่น ไม่ได้ไปจากเต็นท์เข้าเฝ้า โยชูวาคนนี้เป็นลูกชายของนูน
12 โมเสสพูดกับพระยะโฮวาว่า “พระองค์บอกผมว่า ‘ให้พาประชาชนพวกนี้ไป’ แต่พระองค์ไม่ได้บอกผมว่าจะให้ใครไปกับผม แล้วพระองค์ยังพูดอีกว่า ‘เราได้เลือกเจ้า* และเราชอบเจ้า’ 13 ถ้าพระองค์พอใจผม ขอโปรดให้ผมรู้จักแนวทางของพระองค์+ ผมจะได้รู้จักพระองค์และทำตามที่พระองค์พอใจได้ต่อ ๆ ไป และขออย่าลืมว่าชนชาตินี้เป็นประชาชนของพระองค์”+ 14 พระองค์ตอบว่า “เราจะไปกับเจ้า+ เราจะให้เจ้ามีความสงบสุข”+ 15 โมเสสพูดว่า “ถ้าพระองค์ไม่ไปด้วย ก็อย่าให้พวกเราไปจากที่นี่เลย 16 เพราะการที่พระองค์ไปด้วย+จะทำให้รู้กันทั่วว่าพระองค์พอใจผมกับประชาชนของพระองค์ สิ่งนี้จะทำให้ผมและประชาชนของพระองค์แตกต่างไปจากชนชาติทั้งหมดที่อยู่บนโลก”+
17 พระยะโฮวาพูดกับโมเสสว่า “เราจะทำตามที่เจ้าขอ เพราะเราชอบเจ้าและเรารู้จักเจ้าเป็นอย่างดี”* 18 โมเสสจึงพูดว่า “ขอให้ผมได้เห็นรัศมีของพระองค์ด้วยเถอะครับ” 19 แต่พระเจ้าพูดว่า “เราจะให้เจ้าเห็นคุณความดีทั้งหมดของเรา และจะประกาศให้เจ้ารู้เกี่ยวกับชื่อยะโฮวา+ เราจะพอใจคนที่เราพอใจ เราจะแสดงความเมตตากับคนที่เราเมตตา”+ 20 พระองค์พูดอีกว่า “เจ้าจะเห็นหน้าของเราไม่ได้ เพราะไม่มีมนุษย์คนไหนที่เห็นเราแล้วจะมีชีวิตอยู่ได้”
21 พระยะโฮวาพูดต่อไปว่า “ไปยืนอยู่บนหินก้อนนั้นที่อยู่ใกล้ ๆ เรา 22 เราจะให้เจ้าอยู่ในซอกหินตอนที่รัศมีของเรากำลังผ่านไป และเราจะเอาฝ่ามือบังเจ้าไว้จนกว่าเราจะผ่านไป 23 แล้วพอเราเอาฝ่ามือออก เจ้าจะเห็นหลังของเรา แต่หน้าของเราเจ้าจะเห็นไม่ได้”+
34 แล้วพระยะโฮวาพูดกับโมเสสว่า “สกัดหินมา 2 แผ่นให้เหมือนชุดแรก+ เราจะเขียนข้อความบนแผ่นหินนี้ให้เหมือนในแผ่นหินชุดแรก+ที่เจ้าทำแตกไปนั้น+ 2 และเตรียมตัวให้พร้อมในตอนเช้า เพราะเจ้าจะต้องขึ้นไปบนภูเขาซีนาย และพบกับเราที่นั่นบนยอดภูเขานั้น+ 3 แต่อย่าให้ใครขึ้นไปกับเจ้า อย่าให้ใครอยู่ที่ภูเขา และอย่าให้ฝูงแกะหรือฝูงวัวหากินอยู่ตรงหน้าภูเขานั้นเลย”+
4 โมเสสจึงสกัดหิน 2 แผ่นเหมือนชุดแรก เขาตื่นแต่เช้าตรู่แล้วขึ้นไปบนภูเขาซีนายตามที่พระยะโฮวาสั่ง และถือแผ่นหิน 2 แผ่นนั้นขึ้นไปด้วย 5 พระยะโฮวาลงมา+ในเมฆ พระองค์อยู่กับเขาที่นั่น และบอกให้รู้จักชื่อยะโฮวา*+ 6 พระยะโฮวาได้ผ่านหน้าเขาไปและบอกว่า “พระยะโฮวา พระยะโฮวา พระเจ้าที่เมตตา+ สงสาร*+ ไม่โกรธง่าย+ รักใครก็รักมั่นคง+ และรักษาคำพูดเสมอ*+ 7 พระองค์มีความรักที่มั่นคงไม่ว่าจะผ่านไปกี่พันชั่วอายุคน+ พระองค์ให้อภัยความผิดและบาป+ แต่ไม่ละเว้นการลงโทษ+ พระองค์จะให้โทษของความผิดตกไปถึงลูกหลานสามสี่ชั่วอายุคน”+
8 โมเสสรีบหมอบลงกับพื้นนมัสการพระเจ้า 9 แล้วพูดว่า “พระยะโฮวาพระเจ้า ถ้าตอนนี้พระองค์พอใจผม ขอโปรดไปกับพวกเรา+ถึงแม้พวกเราเป็นชนชาติที่ดื้อด้าน+ พระยะโฮวาครับ ขอพระองค์ให้อภัยความผิดและบาปของพวกเรา+ และขอพระองค์ยอมรับพวกเราเป็นประชาชนของพระองค์” 10 พระองค์ตอบว่า “เราจะทำสัญญากับพวกเจ้า คือ เราจะทำสิ่งอัศจรรย์ให้พวกเจ้าทุกคนเห็น ซึ่งไม่เคยมีใครบนโลกหรือชนชาติไหนในโลกเคยเห็นมาก่อน+ และชนทุกชาติที่อยู่ล้อมรอบเจ้าจะได้เห็นสิ่งที่พระยะโฮวาทำ เพราะสิ่งที่เราจะทำให้พวกเจ้าเห็นนั้นน่ามหัศจรรย์+
11 “ให้สนใจฟังสิ่งที่เราจะสั่งเจ้าในวันนี้+ เราจะขับไล่ชาวอาโมไรต์ ชาวคานาอัน ชาวฮิตไทต์ ชาวเปริสซี ชาวฮีไวต์ และชาวเยบุสออกไป+ 12 ระวังให้ดี อย่าทำสัญญากับคนที่อยู่ในแผ่นดินที่พวกเจ้ากำลังจะไปนั้น+ ไม่อย่างนั้นพวกเขาจะเป็นกับดักที่ดักพวกเจ้า+ 13 แต่ให้ทำลายแท่นบูชาของพวกเขา ทุบแท่งหินศักดิ์สิทธิ์ให้แหลกละเอียด และโค่นเสาศักดิ์สิทธิ์ของพวกเขาลงมา+ 14 อย่านมัสการพระอื่นเลย+ เพราะพระยะโฮวาเป็นพระเจ้าที่ต้องการให้นมัสการพระองค์เพียงผู้เดียว* ใคร ๆ ก็รู้ว่าพระองค์เป็นพระเจ้าที่ต้องการให้นมัสการพระองค์ผู้เดียวเท่านั้น+ 15 ระวังอย่าทำสัญญากับคนที่อยู่ในแผ่นดินนั้น เพราะเมื่อพวกเขานมัสการพระของพวกเขา*และถวายเครื่องบูชาให้พระพวกนั้น+ บางคนจะมาชักชวนเจ้าไปร่วมด้วย และเจ้าจะกินของที่พวกเขาถวายเป็นเครื่องบูชา+ 16 แล้วเจ้าจะให้ลูกสาวของพวกเขามาแต่งงานกับลูกชายของเจ้า+ และลูกสาวของพวกเขาที่นมัสการพระพวกนั้น*จะทำให้ลูกชายของเจ้านมัสการพระพวกนั้นไปด้วย+
17 “อย่าหล่อรูปพระต่าง ๆ ไว้กราบไหว้บูชา+
18 “ให้ฉลองเทศกาลขนมปังไม่ใส่เชื้อ+ตามที่เราได้สั่งเจ้าไว้ โดยกินขนมปังไม่ใส่เชื้อเป็นเวลา 7 วันตามที่กำหนดไว้ในเดือนอาบีบ*+ เพราะในเดือนนั้นพวกเจ้าได้ออกจากอียิปต์
19 “ลูกชายคนโตทุกคนและลูกสัตว์ที่เป็นตัวผู้ตัวแรกทุกตัวเป็นของเรา+ ไม่ว่าจะเป็นลูกตัวผู้ตัวแรกของวัวหรือแกะ+ 20 ส่วนลูกลาตัวผู้ตัวแรกนั้นต้องใช้แกะไถ่ ถ้าไม่ไถ่ จะต้องทุบคอมันให้หัก และเจ้าต้องไถ่ลูกชายคนโตทุกคนของเจ้า+ และอย่าให้ใครมาหาเรามือเปล่า
21 “ให้ทำงาน 6 วัน แต่วันที่เจ็ดเจ้าต้องหยุดพัก+ ไม่ว่าช่วงนั้นจะเป็นเวลาไถหรือเวลาเก็บเกี่ยวก็ต้องหยุดพัก
22 “ให้ฉลองเทศกาลเก็บเกี่ยวและนำผลแรกจากการเก็บเกี่ยวข้าวสาลีมาถวายด้วย และให้ฉลองเทศกาลเก็บพืชผล*ตอนสิ้นปี+
23 “ให้ผู้ชายทุกคนมาหาพระยะโฮวาผู้เป็นนายองค์สูงสุดของอิสราเอลปีละ 3 ครั้ง+ 24 เราจะไล่ชนชาติต่าง ๆ ออกไปจากพวกเจ้า+ และจะขยายเขตแดนของเจ้าให้กว้างใหญ่ จะไม่มีใครอยากได้ดินแดนของเจ้าตอนที่เจ้าไปหาพระยะโฮวาพระเจ้าของเจ้าปีละ 3 ครั้ง
25 “อย่าถวายเลือดของเครื่องบูชาให้เราพร้อมกับขนมปังที่ใส่เชื้อ+ เครื่องบูชาที่ถวายในเทศกาลปัสกานั้นอย่าเก็บไว้จนถึงเช้า+
26 “ให้นำผลแรกที่ดีที่สุดจากไร่นาของเจ้ามาถวายที่วิหารของพระยะโฮวาพระเจ้าของเจ้า+
“อย่าต้มลูกแพะด้วยน้ำนมแม่ของมัน”+
27 พระยะโฮวาพูดกับโมเสสอีกว่า “ให้บันทึกถ้อยคำทั้งหมดนี้ไว้+ เพราะเราจะทำสัญญากับเจ้าและชาวอิสราเอลตามถ้อยคำทั้งหมดนี้”+ 28 โมเสสอยู่ที่นั่นกับพระยะโฮวาเป็นเวลา 40 วัน 40 คืน เขาไม่กินอาหารและไม่ดื่มน้ำเลย+ และพระองค์เขียนสัญญาลงบนแผ่นหินนั้น คือบัญญัติ 10 ประการ+
29 โมเสสลงมาจากภูเขาซีนายและถือแผ่นหินที่บันทึกสัญญา 2 แผ่นลงมาด้วย+ เมื่อโมเสสลงมาจากภูเขา เขาไม่รู้ว่าหน้าของตัวเองมีรัศมีเปล่งออกมาจากการที่ได้พูดคุยกับพระเจ้า 30 พออาโรนและชาวอิสราเอลทั้งหมดเห็นว่าหน้าของโมเสสมีรัศมีเปล่งออกมา พวกเขาก็พากันกลัวไม่กล้าเข้าใกล้โมเสส+
31 แต่โมเสสเรียกพวกเขามา อาโรนกับพวกหัวหน้าของชาวอิสราเอลจึงเข้ามาหาและโมเสสก็พูดกับพวกเขา 32 จากนั้น ชาวอิสราเอลทั้งหมดก็เข้ามาหาโมเสส โมเสสได้ถ่ายทอดคำสั่งทั้งหมดของพระยะโฮวาที่บอกเขาบนภูเขาซีนายให้ชาวอิสราเอลรู้+ 33 พอโมเสสพูดกับพวกเขาเสร็จก็เอาผ้าคลุมหน้าไว้+ 34 แต่พอโมเสสไปพบพระยะโฮวาเพื่อพูดคุยกับพระองค์ เขาจะเอาผ้าคลุมหน้าออก+ จากนั้น เขาก็ออกมาบอกชาวอิสราเอลว่าได้รับคำสั่งอะไรมาบ้าง+ 35 ชาวอิสราเอลก็จะเห็นว่าหน้าของโมเสสมีรัศมีเปล่งออกมา แล้วโมเสสก็จะเอาผ้าคลุมหน้าของตัวเองอีกจนกว่าจะกลับไปพูดคุยกับพระเจ้าใหม่+
35 ต่อมา โมเสสเรียกชาวอิสราเอลทั้งหมดให้มาชุมนุมกัน และโมเสสพูดกับพวกเขาว่า “ต่อไปนี้เป็นคำสั่งของพระยะโฮวาที่ต้องทำตาม+ 2 ให้ทำงาน 6 วัน แต่วันที่เจ็ดเป็นวันสะบาโต วันนั้นเป็นวันบริสุทธิ์สำหรับพวกเจ้า เป็นวันที่ต้องหยุดพักเพื่อพระยะโฮวา+ ใครก็ตามที่ทำงานในวันนั้นต้องถูกประหารชีวิต+ 3 อย่าก่อไฟในที่พักอาศัยของพวกเจ้าในวันสะบาโต”
4 โมเสสพูดกับชาวอิสราเอลทั้งหมดต่อไปว่า “พระยะโฮวามีคำสั่งดังนี้ 5 ‘พวกเจ้าต้องนำของมาถวายพระยะโฮวา+ ให้ทุกคนที่เต็มใจ+นำของพวกนี้มาถวายพระยะโฮวา คือ ทองคำ เงิน ทองแดง 6 ด้ายสีฟ้า ด้ายขนแกะย้อมสีม่วง ด้ายสีแดงเข้ม ใยป่านอย่างดี ขนแพะ+ 7 หนังแกะตัวผู้ย้อมสีแดง หนังแมวน้ำ ไม้อะคาเซีย 8 น้ำมันตะเกียง น้ำมันหอมสำหรับเจิมเพื่อแต่งตั้งและสำหรับทำเครื่องหอม+ 9 หินโอนิกซ์ และอัญมณีอื่น ๆ สำหรับติดเอโฟด+กับทับทรวง+
10 “‘ให้ทุกคนที่มีฝีมือ+ในหมู่พวกเจ้ามาทำทุกสิ่งที่พระยะโฮวาสั่งไว้ 11 คือ เต็นท์ศักดิ์สิทธิ์ที่ประกอบด้วยชิ้นส่วนต่าง ๆ รวมทั้งผ้าคลุมเต็นท์ ขอเกี่ยว กรอบผนัง ไม้ราว เสาและฐานรองรับ 12 หีบสัญญา+และไม้คานหามหีบ+ ฝาหีบ+ และม่าน+กั้น 13 โต๊ะ+ ไม้คานหามโต๊ะ สิ่งของทุกอย่างที่ใช้กับโต๊ะ และขนมปังถวาย+ 14 เชิงตะเกียง+สำหรับให้แสงสว่าง และสิ่งของที่ใช้กับเชิงตะเกียง ตะเกียง และน้ำมันตะเกียง+ 15 แท่นบูชาสำหรับเผาเครื่องหอม+ ไม้คานหามแท่น น้ำมันเจิมและเครื่องหอม+ และม่านสำหรับทางเข้าเต็นท์ 16 แท่นบูชาสำหรับเครื่องบูชาเผา+ ตะแกรงทองแดงที่ใช้กับแท่น ไม้คานหามแท่น สิ่งของทุกอย่างที่ใช้กับแท่น อ่างกับขาตั้งอ่าง+ 17 ผ้ากั้นสำหรับลานเต็นท์+ เสาและฐานรองรับเสา ม่านสำหรับทางเข้าลานเต็นท์ 18 หมุดยึดที่เต็นท์ หมุดยึดที่ลานเต็นท์ และเชือกผูกหมุด+ 19 เครื่องแต่งกายที่ทออย่างประณีต+สำหรับสวมใส่เมื่อทำหน้าที่ในที่ศักดิ์สิทธิ์ คือ เครื่องแต่งกายที่บริสุทธิ์สำหรับปุโรหิตอาโรน+ และเครื่องแต่งกายของลูกชายอาโรนเพื่อใช้ตอนทำหน้าที่ปุโรหิต’”
20 แล้วชาวอิสราเอลทั้งหมดก็แยกย้ายกันไป 21 จากนั้น ทุกคนที่เต็มใจ+และอยากนำของมาถวายพระยะโฮวา ก็นำของมาถวายเพื่อใช้ทำเต็นท์เข้าเฝ้า ใช้ทำสิ่งของทุกอย่างเพื่อใช้ในเต็นท์ และใช้ทำเครื่องแต่งกายที่บริสุทธิ์ 22 ทุกคนที่เต็มใจทั้งผู้ชายและผู้หญิงก็มากันไม่ขาดสาย พวกเขาเอาเข็มกลัด ตุ้มหู แหวน และเครื่องประดับอื่น ๆ รวมทั้งเครื่องทองทุกชนิดมาถวาย พวกเขาได้นำของถวาย*ที่ทำด้วยทองคำมาถวายพระยะโฮวา+ 23 ทุกคนที่มีด้ายสีฟ้า ด้ายขนแกะย้อมสีม่วง ด้ายสีแดงเข้ม ใยป่านอย่างดี ขนแพะ หนังแกะตัวผู้ย้อมสีแดง และหนังแมวน้ำก็พากันนำมาถวาย 24 ทุกคนที่มีเงินและทองแดงก็นำมาถวายพระยะโฮวา ทุกคนที่มีไม้อะคาเซียสำหรับทำเต็นท์ศักดิ์สิทธิ์ก็นำมาถวายเหมือนกัน
25 ผู้หญิงทุกคนที่มีฝีมือ+ก็ช่วยกันปั่นด้าย และเอาสิ่งที่พวกเธอปั่นมาถวาย คือ ด้ายสีฟ้า ด้ายขนแกะย้อมสีม่วง ด้ายสีแดงเข้ม และใยป่านอย่างดี 26 และผู้หญิงทุกคนที่มีฝีมือและที่เต็มใจก็ช่วยกันปั่นด้ายขนแพะ
27 พวกหัวหน้าก็นำหินโอนิกซ์ และอัญมณีอื่น ๆ สำหรับติดเอโฟดกับทับทรวง+มาถวาย 28 รวมทั้งน้ำมันหอม น้ำมันตะเกียง น้ำมันสำหรับเจิมเพื่อแต่งตั้ง+และสำหรับทำเครื่องหอม+ด้วย 29 ชายหญิงทุกคนที่อยากนำของมาถวายเพื่อใช้ทำเต็นท์ศักดิ์สิทธิ์ตามที่พระยะโฮวาสั่งผ่านทางโมเสสก็นำของมาถวาย ชาวอิสราเอลต่างนำของมาถวายพระยะโฮวาด้วยความเต็มใจ+
30 โมเสสพูดกับชาวอิสราเอลว่า “พระยะโฮวาเลือกเบซาเลลจากตระกูลยูดาห์ เขาเป็นลูกชายของอุรี อุรีเป็นลูกชายของเฮอร์+ 31 พระองค์จะให้พลังของพระองค์กับเขา ให้เขามีสติปัญญา มีความรู้ความเข้าใจในการทำงานฝีมือทุกอย่าง 32 เพื่อเขาจะออกแบบงานศิลปะต่าง ๆ ทำเครื่องทอง เครื่องเงิน และเครื่องทองแดง 33 ทำการเจียระไนและฝังอัญมณี และทำสิ่งของเครื่องใช้ทุกอย่างที่เป็นไม้ให้งดงาม 34 และพระองค์ให้เขากับโอโฮลีอับ+ ลูกชายของอาหิสะมัคจากตระกูลดาน มีความสามารถที่จะสอนคนอื่น ๆ ด้วย 35 พระองค์ให้เขาทั้งสองมีความชำนาญ+ในงานฝีมือทุกอย่าง ทั้งการออกแบบผ้า การปักผ้าด้วยด้ายสีฟ้า ด้ายขนแกะย้อมสีม่วง ด้ายสีแดงเข้ม และใยป่านอย่างดี และให้มีความชำนาญในการทอผ้า เขา 2 คนจะทำงานทั้งหมดนี้ และเป็นคนเตรียมแบบต่าง ๆ ไว้ทั้งหมด
36 “เบซาเลลจะทำงานกับโอโฮลีอับและช่างฝีมือทุกคนซึ่งพระยะโฮวาให้สติปัญญาและความเข้าใจ เพื่อพวกเขาจะรู้วิธีทำสิ่งของเครื่องใช้ทุกอย่างสำหรับเต็นท์ศักดิ์สิทธิ์ตามที่พระยะโฮวาสั่งไว้”+
2 โมเสสเรียกเบซาเลลกับโอโฮลีอับให้มาหา และเรียกช่างฝีมือทุกคนซึ่งพระยะโฮวาให้สติปัญญามาหาด้วย+ คือ ทุกคนที่เต็มใจอาสาทำงานนี้+ 3 พวกเขารับเอาของบริจาคทั้งหมดจากโมเสสไป+ ซึ่งเป็นของที่ชาวอิสราเอลนำมาบริจาคเพื่อใช้ทำสิ่งของเครื่องใช้ต่าง ๆ สำหรับเต็นท์ศักดิ์สิทธิ์ แต่ชาวอิสราเอลยังคงเอาของถวายมาให้โมเสสด้วยความเต็มใจทุก ๆ เช้า
4 พอพวกเขาเริ่มทำงานที่เกี่ยวข้องกับเต็นท์ศักดิ์สิทธิ์แล้ว พวกช่างฝีมือคนแล้วคนเล่าก็มา 5 และบอกโมเสสว่า “ประชาชนเอาของมาบริจาคสำหรับงานที่พระยะโฮวาสั่งให้ทำมากเกินไปแล้ว” 6 โมเสสจึงสั่งให้ประกาศไปทั่วค่ายพักว่า “ประชาชนชาวอิสราเอล ไม่ต้องเอาของมาบริจาคสำหรับเต็นท์ศักดิ์สิทธิ์อีกแล้ว” พอประชาชนได้ยินอย่างนี้ ก็ไม่นำสิ่งของมาบริจาคอีก 7 สิ่งของนั้นมีมากพอสำหรับงานทุกอย่างที่ต้องทำ และมีมากเกินไปด้วยซ้ำ
8 และช่างฝีมือ+ทั้งหมดก็ช่วยกันทำเต็นท์ศักดิ์สิทธิ์+ด้วยผ้า 10 ชิ้นที่ทำจากใยป่านอย่างดีที่ฟั่นเป็นเกลียว และด้ายสีฟ้า ด้ายขนแกะย้อมสีม่วง และด้ายสีแดงเข้ม เขา*ปักเป็นภาพเครูบไว้บนผ้าพวกนั้น+ 9 ผ้าแต่ละชิ้นยาว 28 ศอก กว้าง 4 ศอก* ทั้ง 10 ชิ้นมีขนาดเท่ากัน 10 แล้วเขาเอาผ้า 5 ชิ้นมาต่อเข้าด้วยกันเป็นหนึ่งผืน และเอาผ้าอีก 5 ชิ้นมาต่อเข้าด้วยกันเป็นอีกหนึ่งผืน 11 จากนั้น เขาก็ทำห่วงด้วยผ้าสีฟ้าที่ริมขอบผ้าด้านหนึ่งของผืนแรก และทำอย่างเดียวกันที่ริมขอบผ้าผืนที่สองตรงด้านที่จะต่อเข้าด้วยกันกับผืนแรก 12 เขาทำห่วง 50 ห่วงที่ผ้าผืนแรก และอีก 50 ห่วงที่ริมขอบผ้าผืนที่สองตรงด้านที่จะต่อเข้าด้วยกันกับผืนแรกนั้น เพื่อให้ห่วงของทั้งสองผืนอยู่ตรงกัน 13 และเขาทำขอเกี่ยวทองคำ 50 ตัว และใช้ขอเกี่ยวนั้นยึดผ้าทั้งสองผืนเข้าด้วยกันให้เป็นผ้าคลุมเต็นท์ศักดิ์สิทธิ์ผืนเดียว
14 เขาทำผ้าด้วยขนแพะ 11 ชิ้นสำหรับคลุมเต็นท์ศักดิ์สิทธิ์อีกชั้นหนึ่ง+ 15 ผ้าแต่ละชิ้นยาว 30 ศอก กว้าง 4 ศอก* ทั้ง 11 ชิ้นมีขนาดเท่ากัน 16 และเขาเอาผ้า 5 ชิ้นมาต่อเข้าด้วยกัน และอีก 6 ชิ้นมาต่อเข้าด้วยกัน 17 แล้วเขาก็ทำห่วง 50 ห่วงที่ริมขอบผ้าด้านหนึ่งของผืนแรก และอีก 50 ห่วงที่ริมขอบผ้าผืนที่สองตรงด้านที่จะต่อเข้าด้วยกันกับผ้าผืนแรก 18 จากนั้น เขาก็ทำขอเกี่ยวทองแดง 50 ตัว เพื่อยึดผ้าทั้งสองผืนเข้าด้วยกันเป็นผืนเดียว
19 และเขาทำผ้าคลุมเต็นท์ศักดิ์สิทธิ์อีกชั้นหนึ่งด้วยหนังแกะตัวผู้ย้อมสีแดง และทำผ้าคลุมชั้นบนสุดด้วยหนังแมวน้ำ+
20 เขาทำกรอบเพื่อตั้งเป็นผนัง+ของเต็นท์ศักดิ์สิทธิ์ด้วยไม้อะคาเซีย+ 21 กรอบผนังแต่ละกรอบสูง 10 ศอก กว้าง 1.5 ศอก* 22 กรอบผนังแต่ละกรอบมีเดือย 2 อันขนาดเท่า ๆ กัน เขาทำกรอบผนังทั้งหมดสำหรับเต็นท์ศักดิ์สิทธิ์ตามแบบนี้ 23 เขาทำกรอบผนัง 20 กรอบสำหรับด้านข้างเต็นท์ที่หันไปทางทิศใต้ 24 และทำฐานรองรับ 40 อันด้วยเงินเพื่อรองรับกรอบผนัง 20 กรอบ กรอบผนัง 1 กรอบซึ่งมีเดือย 2 อันจะตั้งบนฐานรองรับ 1 คู่ และทุกกรอบก็เป็นแบบนี้+ 25 เขาทำกรอบผนังอีก 20 กรอบสำหรับด้านข้างเต็นท์ศักดิ์สิทธิ์อีกด้านหนึ่งที่หันไปทางทิศเหนือ 26 และทำฐานรองรับด้วยเงินอีก 40 อัน ฐานรองรับ 1 คู่สำหรับกรอบผนัง 1 กรอบ และทุกกรอบก็เป็นแบบนี้
27 เขาทำกรอบผนัง 6 กรอบสำหรับด้านหลังเต็นท์ศักดิ์สิทธิ์ซึ่งหันไปทางทิศตะวันตก+ 28 และทำกรอบผนังอีก 2 กรอบเป็นรูปสามเหลี่ยมเป็นเสาค้ำยันที่มุมทั้งสองของด้านหลังเต็นท์ 29 เสาค้ำยันนี้มีไม้ 2 ชิ้นตั้งขึ้นจากด้านล่างโดยปลายด้านบนไปจดกันตรงห่วงแรก เขาทำเสาค้ำยันแบบนี้ที่มุมทั้งสอง 30 ดังนั้น มีกรอบผนังด้านหลัง 8 กรอบ และมีฐานรองรับทำด้วยเงิน 16 อัน ฐานรองรับ 1 คู่สำหรับกรอบผนัง 1 กรอบ
31 เขาทำไม้ราว 5 อันด้วยไม้อะคาเซียยึดกรอบผนังด้านหนึ่งของเต็นท์ศักดิ์สิทธิ์+ 32 และอีก 5 อันสำหรับยึดกรอบผนังอีกด้านหนึ่งของเต็นท์ และอีก 5 อันสำหรับยึดกรอบผนังด้านหลังเต็นท์ที่อยู่ทางทิศตะวันตก 33 ส่วนไม้ราวอันกลางที่ยึดกรอบผนังแต่ละด้านนั้น เขาทำให้ยาวตลอดจากปลายผนังด้านหนึ่งถึงปลายอีกด้านหนึ่ง 34 เขาหุ้มกรอบผนังด้วยทองคำ และทำห่วงสำหรับสอดไม้ราวด้วยทองคำ ส่วนไม้ราวก็หุ้มด้วยทองคำเหมือนกัน+
35 เขาทำม่าน+ด้วยด้ายสีฟ้า ด้ายขนแกะย้อมสีม่วง ด้ายสีแดงเข้ม กับใยป่านอย่างดี เขาปัก+ภาพเครูบ+ไว้บนม่านนั้น 36 เขาทำเสา 4 ต้นสำหรับแขวนม่านด้วยไม้อะคาเซียและหุ้มเสาด้วยทองคำ ตะขอสำหรับแขวนม่านก็ทำด้วยทองคำ ส่วนฐานรองรับ 4 อันสำหรับเสานั้นเขาหล่อด้วยเงิน 37 เขาทอม่านสำหรับทางเข้าเต็นท์ศักดิ์สิทธิ์ด้วยด้ายสีฟ้า ด้ายขนแกะย้อมสีม่วง ด้ายสีแดงเข้ม และใยป่านอย่างดี+ 38 เขาทำเสา 5 ต้นสำหรับม่านและทำตะขอด้วย เขาหุ้มหัวเสาและห่วงด้วยทองคำ แต่ฐานรองรับ 5 อันนั้นทำด้วยทองแดง
37 เบซาเลล+ทำหีบสัญญา+ด้วยไม้อะคาเซีย ยาว 2.5 ศอก กว้าง 1.5 ศอก และสูง 1.5 ศอก*+ 2 เขาหุ้มหีบทั้งด้านในและด้านนอกด้วยทองคำบริสุทธิ์ และที่ขอบด้านบน เขาเอาทองคำมาทำเป็นคิ้วประดับไว้รอบหีบ+ 3 จากนั้น เขาหล่อห่วงทองคำ 4 ห่วงไว้ที่ข้างหีบด้านละ 2 ห่วงตรงเหนือขาของหีบทั้ง 4 ขา 4 เขาทำไม้คานด้วยไม้อะคาเซียและหุ้มด้วยทองคำ+ 5 แล้วเอาไม้คานสอดเข้าไปในห่วงที่ติดอยู่ข้างหีบ เพื่อเอาไว้หาม+
6 เขาทำฝาหีบด้วยทองคำบริสุทธิ์+ ยาว 2.5 ศอก กว้าง 1.5 ศอก*+ 7 และทำเครูบ+ 2 องค์ด้วยทองคำบนปลายฝา+ ทั้งสองด้านโดยใช้ค้อนตีขึ้นรูป 8 เครูบองค์หนึ่งอยู่ที่ปลายฝาด้านหนึ่ง อีกองค์หนึ่งอยู่ที่ปลายฝาอีกด้านหนึ่ง เขาทำเครูบไว้บนปลายฝาทั้งสองด้านของหีบ 9 เครูบ 2 องค์นั้นแผ่ปีกทั้งสองข้างขึ้นไปด้านบนปกคลุมบนฝาหีบ+ เครูบหันหน้าเข้าหากันและก้มไปหาฝาหีบ+
10 เขาทำโต๊ะด้วยไม้อะคาเซีย+ ยาว 2 ศอก กว้าง 1 ศอก และสูง 1.5 ศอก*+ 11 เขาหุ้มโต๊ะด้วยทองคำบริสุทธิ์ และเอาทองคำมาทำเป็นคิ้วด้านบนประดับรอบโต๊ะ 12 จากนั้น เขาทำขอบข้างโต๊ะกว้างขนาดเท่าฝ่ามือหนึ่ง* แล้วเอาทองคำมาทำเป็นคิ้วด้านล่างประดับรอบโต๊ะ 13 ต่อมา เขาหล่อห่วงทองคำ 4 ห่วงติดไว้ที่มุมบนของขาโต๊ะทั้ง 4 ขา 14 เขาติดห่วงชิดกับขอบโต๊ะสำหรับสอดไม้คานหามโต๊ะ 15 แล้วทำไม้คานหามโต๊ะด้วยไม้อะคาเซียและหุ้มด้วยทองคำ 16 จากนั้น เขาทำภาชนะต่าง ๆ ที่ใช้กับโต๊ะ คือ จานกับถ้วย และเหยือกกับชามซึ่งใช้เป็นภาชนะสำหรับเทเครื่องบูชาดื่ม ภาชนะทั้งหมดนี้ทำด้วยทองคำบริสุทธิ์+
17 เขาทำเชิงตะเกียง+ด้วยทองคำบริสุทธิ์โดยใช้ค้อนตีขึ้นรูปเป็นชิ้นเดียวกัน เขาตีออกมาเป็นฐาน เป็นขาตั้ง เป็นกลีบเลี้ยง เป็นดอกตูม และดอกบาน+ 18 เชิงตะเกียงมีกิ่งยื่นออกมาจากขาตั้ง 6 กิ่ง โดยยื่นออกมาข้างละ 3 กิ่ง 19 กิ่งหนึ่งมีกลีบเลี้ยงคล้ายดอกอัลมอนด์ 3 กลีบเลี้ยง สลับด้วยดอกตูมและดอกบาน อีกกิ่งหนึ่งก็มีกลีบเลี้ยงคล้ายดอกอัลมอนด์ 3 กลีบเลี้ยง สลับด้วยดอกตูมและดอกบานเหมือนกัน เขาทำเชิงตะเกียงโดยมีกิ่งยื่นออกมาจากขาตั้งตามแบบนี้ทั้ง 6 กิ่ง 20 ส่วนขาตั้งของเชิงตะเกียงนั้นมีกลีบเลี้ยงคล้ายดอกอัลมอนด์ 4 กลีบเลี้ยง สลับด้วยดอกตูมและดอกบาน 21 เขาทำดอกตูมดอกหนึ่งรองรับกิ่งคู่แรกซึ่งยื่นออกมา และดอกตูมอีกดอกหนึ่งรองรับกิ่งคู่ที่ 2 และอีกดอกหนึ่งรองรับกิ่งคู่ที่ 3 โดยกิ่งที่ยื่นออกมาจากขาตั้งของเชิงตะเกียงทั้งหมดมี 6 กิ่ง 22 ดอกตูม กิ่งที่ยื่นออกมา และทุกส่วนของเชิงตะเกียงเขาทำจากทองคำบริสุทธิ์โดยใช้ค้อนตีขึ้นรูปเป็นชิ้นเดียวกัน 23 แล้วเขาทำตะเกียง 7 ดวง+ คีมคีบไส้ตะเกียง และภาชนะใส่ไส้ตะเกียงด้วยทองคำบริสุทธิ์ 24 เขาทำเชิงตะเกียงและสิ่งของทุกอย่างที่ใช้กับเชิงตะเกียงด้วยทองคำบริสุทธิ์หนัก 1 ตะลันต์*
25 เขาทำแท่นบูชาด้วยไม้อะคาเซียสำหรับเผาเครื่องหอม+ เป็นรูปสี่เหลี่ยมจัตุรัส กว้าง 1 ศอก ยาว 1 ศอก และให้สูงขึ้นมา 2 ศอก* และทำรูปเขาสัตว์ให้เป็นเนื้อเดียวกับตัวแท่น+ 26 เขาหุ้มแท่นด้วยทองคำบริสุทธิ์ทั้งด้านบนและด้านข้างทั้ง 4 ด้าน รวมทั้งส่วนที่เป็นรูปเขาสัตว์ และเอาทองคำมาทำเป็นคิ้วด้านบนประดับรอบแท่น 27 เขาทำห่วงทองคำติดไว้ที่ใต้คิ้วทั้ง 2 ด้าน ติดไว้ด้านละ 2 ห่วงตรงข้ามกัน เพื่อใช้สำหรับสอดไม้คานหามแท่น 28 แล้วเขาทำไม้คานด้วยไม้อะคาเซียและหุ้มด้วยทองคำ 29 เขายังปรุงน้ำมันเจิมอันบริสุทธิ์+ และปรุงเครื่องหอมบริสุทธิ์+ด้วย เขาปรุงอย่างช่างผู้ชำนาญ
38 เขาทำแท่นบูชาสำหรับเครื่องบูชาเผาด้วยไม้อะคาเซียเป็นรูปสี่เหลี่ยมจัตุรัส กว้าง 5 ศอก ยาว 5 ศอก และให้สูงขึ้นมา 3 ศอก*+ 2 ที่มุมทั้งสี่ของแท่นทำเป็นรูปเขาสัตว์ให้เป็นเนื้อเดียวกับตัวแท่น และหุ้มแท่นนั้นด้วยทองแดง+ 3 เขาทำสิ่งของทุกอย่างที่ใช้กับแท่นด้วยทองแดง คือ ถังใส่ขี้เถ้า พลั่ว ชาม ส้อมยาว และภาชนะใส่ถ่านไฟ 4 เขาทำตะแกรงทองแดงสำหรับแท่นบูชาใส่ไว้ข้างในแท่นให้อยู่ต่ำลงมาตรงกึ่งกลางแท่น 5 แล้วหล่อห่วง 4 ห่วงติดไว้ที่มุมทั้งสี่ใกล้ ๆ กับตะแกรงทองแดง สำหรับสอดไม้คาน 6 จากนั้น เขาทำไม้คานด้วยไม้อะคาเซียหุ้มด้วยทองแดง 7 แล้วเอาไม้คานสอดเข้าไปในห่วงที่อยู่ด้านข้างของแท่นสำหรับใช้หาม เขาทำแท่นบูชาให้มีลักษณะเหมือนหีบไม้กระดานที่ไม่มีอะไรปิดทั้งบนและล่าง
8 เขาทำอ่าง+และขาตั้งอ่างด้วยทองแดงโดยใช้กระจกส่องหน้า*ของพวกผู้หญิงที่ได้รับมอบหมายให้รับใช้ตรงทางเข้าเต็นท์เข้าเฝ้า
9 จากนั้น เขาทำลานรอบเต็นท์ศักดิ์สิทธิ์+ โดยด้านที่หันไปทางทิศใต้ เขาทำผ้ากั้นยาว 100 ศอก* ทอด้วยใยป่านอย่างดี+ 10 และมีเสาทองแดง 20 ต้น พร้อมฐานรองรับ 20 อันที่ทำด้วยทองแดง ตะขอและห่วงที่เสานั้นทำด้วยเงิน 11 ด้านที่หันไปทางทิศเหนือก็เหมือนกัน มีผ้ากั้นยาว 100 ศอก* และเสาทองแดง 20 ต้น พร้อมฐานรองรับ 20 อันทำด้วยทองแดง ตะขอและห่วงที่เสานั้นทำด้วยเงิน 12 ส่วนด้านที่หันไปทางทิศตะวันตก มีผ้ากั้นยาว 50 ศอก* และเสา 10 ต้น พร้อมฐานรองรับ 10 อัน ตะขอและห่วงที่เสานั้นทำด้วยเงิน 13 ส่วนด้านกว้างที่หันไปทางทิศตะวันออก คือด้านที่ดวงอาทิตย์ขึ้นนั้นมีผ้ากั้นยาว 50 ศอก*เหมือนกัน 14 ด้านนี้มีผ้ากั้นที่ฝั่งขวาของทางเข้ายาว 15 ศอก* และมีเสา 3 ต้น พร้อมฐานรองรับ 3 อัน 15 และฝั่งซ้ายของทางเข้าลานเต็นท์มีผ้ากั้นยาว 15 ศอก* และมีเสา 3 ต้น พร้อมฐานรองรับ 3 อันเหมือนกัน 16 ผ้ากั้นรอบลานเต็นท์ทั้งหมดทอด้วยใยป่านอย่างดี 17 ส่วนฐานรองรับเสาทำด้วยทองแดง ตะขอและห่วงที่เสาทำด้วยเงิน และหัวเสาก็หุ้มด้วยเงิน เสาทุกต้นของลานเต็นท์ศักดิ์สิทธิ์นั้นมีตัวยึดทำด้วยเงิน+
18 และผ้าม่านสำหรับทางเข้าลานเต็นท์ศักดิ์สิทธิ์ทอด้วยด้ายสีฟ้า ด้ายขนแกะย้อมสีม่วง ด้ายสีแดงเข้ม และใยป่านอย่างดี ผ้าม่านนี้ยาว 20 ศอก สูง 5 ศอก* เท่ากับความสูงของผ้ากั้นลานเต็นท์ศักดิ์สิทธิ์+ 19 เสา 4 ต้นพร้อมฐานรองรับ 4 อันนั้นทำด้วยทองแดง ส่วนตะขอที่เสากับห่วงที่เสาทำด้วยเงิน และหัวเสาหุ้มด้วยเงิน 20 แต่หมุดยึดทุกตัวที่เต็นท์ศักดิ์สิทธิ์และรอบลานเต็นท์ทำด้วยทองแดง+
21 ต่อไปนี้คือรายการวัสดุสำหรับเต็นท์ศักดิ์สิทธิ์ซึ่งเป็นที่เก็บหีบสัญญา+ ตามที่โมเสสสั่งให้คนเลวี+ทำรายการไว้ภายใต้การดูแลของอิธามาร์+ ลูกชายของปุโรหิตอาโรน 22 เบซาเลล+จากตระกูลยูดาห์ทำทุกสิ่งตามที่พระยะโฮวาสั่งโมเสส เขาเป็นลูกชายของอุรี อุรีเป็นลูกชายของเฮอร์ 23 เบซาเลลมีผู้ช่วยคือโอโฮลีอับ+ ลูกชายของอาหิสะมัคจากตระกูลดาน โอโฮลีอับเป็นช่างฝีมือ เป็นช่างออกแบบผ้า และช่างปักผ้าด้วยด้ายสีฟ้า ด้ายขนแกะย้อมสีม่วง ด้ายสีแดงเข้ม และใยป่านอย่างดี
24 ทองคำทั้งหมดที่ใช้ในงานทุกอย่างซึ่งเกี่ยวข้องกับสถานบริสุทธิ์นั้นมาจากทองคำที่เป็นเครื่องบูชายื่นถวาย+ มีน้ำหนัก 29 ตะลันต์* กับอีก 730 เชเขล*ตามเชเขลมาตรฐานของสถานบริสุทธิ์ 25 ส่วนเงินที่ผู้ชายชาวอิสราเอลที่ขึ้นทะเบียนนำมาถวายมีน้ำหนัก 100 ตะลันต์* กับอีก 1,775 เชเขล*ตามเชเขลมาตรฐานของสถานบริสุทธิ์ 26 ทุกคนที่มาขึ้นทะเบียนซึ่งมีอายุ 20 ปีขึ้นไปได้นำเงินมาถวายคนละครึ่งเชเขล*ตามเชเขลมาตรฐานของสถานบริสุทธิ์+ คนพวกนี้มีจำนวนทั้งหมด 603,550 คน+
27 เงินหนักประมาณ 100 ตะลันต์*เอาไปหล่อเป็นฐานรองรับของสถานบริสุทธิ์กับฐานรองรับของเสาที่ยึดม่าน ฐานรองรับ 100 อันใช้เงินหนัก 100 ตะลันต์* ฐานรองรับ+แต่ละอันใช้เงินหนัก 1 ตะลันต์* 28 เขาใช้เงินหนัก 1,775 เชเขล*ทำตะขอที่เสาและหุ้มหัวเสา แล้วยึดเข้าด้วยกัน
29 และทองแดงที่เป็นของถวาย*มีน้ำหนัก 70 ตะลันต์*กับอีก 2,400 เชเขล* 30 เขาเอาทองแดงนี้ไปทำฐานรองรับเสาของทางเข้าเต็นท์เข้าเฝ้า รวมทั้งแท่นบูชาทองแดง ตะแกรงทองแดง และสิ่งของทุกอย่างที่ใช้กับแท่น 31 ตลอดจนฐานรองรับเสารอบลานเต็นท์ ฐานรองรับเสาของทางเข้าลานเต็นท์ศักดิ์สิทธิ์ และหมุดยึดทุกตัว+ที่เต็นท์ศักดิ์สิทธิ์และรอบลานเต็นท์
39 พวกเขาทำเครื่องแต่งกายที่ทออย่างประณีตสำหรับสวมใส่เมื่อทำหน้าที่ในสถานบริสุทธิ์ โดยทำจากด้ายสีฟ้า ด้ายขนแกะย้อมสีม่วง และด้ายสีแดงเข้ม+ พวกเขาทำเครื่องแต่งกายที่บริสุทธิ์สำหรับอาโรน+ตามที่พระยะโฮวาสั่งโมเสสไว้
2 เขา*เอาทองคำ ด้ายสีฟ้า ด้ายขนแกะย้อมสีม่วง ด้ายสีแดงเข้ม และใยป่านอย่างดีมาทำเอโฟด+ 3 พวกเขาเอาทองคำแผ่นมาตีเป็นชิ้นบาง ๆ แล้วตัดเป็นเส้นเพื่อเอาไปทอและปักพร้อมกับด้ายสีฟ้า ด้ายขนแกะย้อมสีม่วง ด้ายสีแดงเข้ม และใยป่านอย่างดีนั้น 4 พวกเขาทำแถบผ้าติดบ่าเย็บติดไว้ที่ส่วนบนสุดของเอโฟด บริเวณบ่าทั้งสองข้าง 5 และผ้าคาดเอวสำหรับคาดเอโฟดให้แน่น+นั้นก็ทำด้วยวัสดุอย่างเดียวกันกับเอโฟด คือทองคำ ด้ายสีฟ้า ด้ายขนแกะย้อมสีม่วง ด้ายสีแดงเข้ม และใยป่านอย่างดี ตามที่พระยะโฮวาสั่งโมเสสไว้
6 พวกเขาเอาหินโอนิกซ์ฝังลงในกระเปาะทองคำ แล้วสลักชื่อลูกชายของอิสราเอลบนหินนั้นเหมือนกับการสลักตราประทับ+ 7 เขาเอาหินนั้นติดไว้ที่แถบผ้าบนบ่าของเอโฟดเพื่อเป็นเครื่องเตือนใจให้นึกถึงลูกหลานของอิสราเอล+ ตามที่พระยะโฮวาสั่งโมเสสไว้ 8 แล้วเขาก็ทำทับทรวง+ โดยให้ช่างปักทำอย่างเดียวกับการทำเอโฟด คือ ทำด้วยทองคำ ด้ายสีฟ้า ด้ายขนแกะย้อมสีม่วง ด้ายสีแดงเข้ม และใยป่านอย่างดี+ 9 ทับทรวงนี้เมื่อพับครึ่งแล้วจะเป็นรูปสี่เหลี่ยมจัตุรัสกว้าง 1 คืบ ยาว 1 คืบ* 10 พวกเขาฝังอัญมณี 4 แถวบนทับทรวง แถวแรกฝังทับทิม โทแพซ และมรกต 11 แถวที่ 2 ฝังเทอร์คอยส์ แซปไฟร์ และแจสเพอร์ 12 แถวที่ 3 ฝังหินเลเชม* โมรา และแอเมทิสต์ 13 แถวที่ 4 ฝังคริโซไลต์ โอนิกซ์ และหยก อัญมณีทั้งหมดนี้ฝังลงในกระเปาะทองคำ 14 และอัญมณีเหล่านี้มีชื่อลูกชายของอิสราเอลทั้ง 12 คนสลักลงไปเหมือนกับการสลักตราประทับ อัญมณีทุกเม็ดจะมีชื่อของตระกูลหนึ่งใน 12 ตระกูล
15 พวกเขาเอาทองคำบริสุทธิ์มาทำเป็นเส้นคล้ายเชือกที่ฟั่นเป็นเกลียวติดไว้บนทับทรวงนั้น+ 16 พวกเขาทำกระเปาะทองคำ 2 อัน ห่วงทองคำ 2 ห่วง และติดห่วงนั้นไว้ที่มุมทั้งสองของทับทรวง 17 แล้วเอาสายคล้อง 2 เส้นที่ทำด้วยทองคำคล้องติดกับห่วงทั้งสองที่อยู่ตรงมุมของทับทรวง 18 และเอาปลายทั้งสองของสายคล้องนั้นคล้องติดกับกระเปาะ 2 อันที่อยู่บนแถบผ้าติดบ่าเพื่อให้ทับทรวงห้อยอยู่ด้านหน้าของเอโฟด 19 พวกเขาทำห่วงทองคำอีก 2 ห่วงและติดห่วงนั้นไว้ที่มุมล่างทั้งสองของทับทรวง โดยติดไว้ด้านในที่อยู่แนบกับเอโฟด+ 20 และทำห่วงทองคำอีก 2 ห่วงที่ด้านหน้าเอโฟด ห่วงนี้อยู่ต่ำกว่าแถบผ้าติดบ่าลงมา แต่อยู่เหนือผ้าคาดเอวที่รัดเอโฟดไว้ 21 พวกเขาเอาเชือกสีฟ้าผูกยึดห่วงของทับทรวงกับห่วงของเอโฟด ทับทรวงจะได้ทับอยู่บนเอโฟดและอยู่เหนือผ้าคาดเอว ไม่เลื่อนไปไหน ตามที่พระยะโฮวาสั่งโมเสสไว้
22 เขาทำเสื้อไม่มีแขนที่ทอด้วยด้ายสีฟ้าทั้งตัวเพื่อใส่ก่อนจะสวมเอโฟดทับลงไป+ 23 และช่องตรงกลางที่ด้านบนของเสื้อเป็นเหมือนคอเสื้อเกราะ ที่คอเสื้อนั้นมีขอบโดยรอบจะได้ไม่ขาดง่าย 24 แล้วพวกเขาทำผลทับทิมติดรอบชายเสื้อโดยเอาด้ายสีฟ้า ด้ายขนแกะย้อมสีม่วง และด้ายสีแดงเข้มมาฟั่นเข้าด้วยกัน 25 จากนั้น พวกเขาทำกระดิ่งด้วยทองคำบริสุทธิ์ และเอากระดิ่งติดสลับกับผลทับทิมรอบชายเสื้อที่ไม่มีแขนนั้น 26 พวกเขาเอากระดิ่งกับผลทับทิมติดสลับกันไปอย่างนี้รอบชายเสื้อที่ไม่มีแขนสำหรับใส่เมื่อทำหน้าที่ ตามที่พระยะโฮวาสั่งโมเสสไว้
27 แล้วพวกเขาก็ทำเสื้อตัวยาวชั้นในสุดที่ทอด้วยใยป่านอย่างดีสำหรับอาโรนและลูกชาย+ 28 พวกเขาทำผ้าโพกหัวของมหาปุโรหิต+ด้วยผ้าลินินเนื้อดี และทำผ้าโพกหัว+ที่งดงามด้วยผ้าลินินเนื้อดีสำหรับลูกชายของอาโรน และทำกางเกงขาสั้น*+ด้วยผ้าลินินที่ทอด้วยใยป่านอย่างดี 29 พวกเขาทำสายรัดเอวที่ทอจากใยป่านอย่างดีที่ฟั่นเป็นเกลียว และด้ายสีฟ้า ด้ายขนแกะย้อมสีม่วง และด้ายสีแดงเข้ม ตามที่พระยะโฮวาสั่งโมเสสไว้
30 สุดท้าย พวกเขาเอาทองคำบริสุทธิ์มาทำเป็นแผ่นเงาวาว เพื่อเป็นเครื่องหมายอันบริสุทธิ์ที่แสดงถึงการอุทิศตัว และสลักข้อความบนแผ่นนั้นเหมือนกับการสลักตราประทับ โดยสลักว่า “พระยะโฮวาบริสุทธิ์”+ 31 และพวกเขาเอาเชือกสีฟ้าผูกยึดแผ่นนี้ติดกับผ้าโพกหัวของมหาปุโรหิต ตามที่พระยะโฮวาสั่งโมเสสไว้
32 งานทั้งหมดที่เกี่ยวข้องกับการทำเต็นท์ศักดิ์สิทธิ์ คือเต็นท์เข้าเฝ้านั้นก็เสร็จเรียบร้อย ชาวอิสราเอลทำทุกสิ่งตามที่พระยะโฮวาสั่งโมเสสไว้+ พวกเขาทำตามทุกอย่าง
33 แล้วพวกเขาก็เอาเต็นท์ศักดิ์สิทธิ์+ นี้ไปให้โมเสส ซึ่งประกอบด้วยชิ้นส่วนต่าง ๆ พร้อมกับผ้าคลุม+ และสิ่งของทุกอย่างที่ใช้กับเต็นท์ คือ ขอเกี่ยว+ กรอบผนัง+ ไม้ราว+ เสา และฐานรองรับ+ 34 ผ้าคลุมทำด้วยหนังแกะตัวผู้ย้อมสีแดง+ ผ้าคลุมทำด้วยหนังแมวน้ำ และม่านกั้น+ 35 หีบสัญญา ไม้คานหามหีบ+ และฝาหีบ+ 36 โต๊ะ สิ่งของทุกอย่างที่ใช้กับโต๊ะ+ และขนมปังถวาย 37 เชิงตะเกียงทำด้วยทองคำบริสุทธิ์ ตัวตะเกียง+ที่เรียงเป็นแนวเดียวกัน สิ่งของทุกอย่างที่ใช้กับตะเกียง+ และน้ำมันตะเกียง+ 38 แท่นบูชา+ทองคำ น้ำมันเจิม+ เครื่องหอม+ และม่าน+สำหรับทางเข้าเต็นท์ 39 แท่นบูชาทองแดง+และตะแกรงทองแดง ไม้คานหามแท่น+ และสิ่งของทุกอย่างที่ใช้กับแท่น+ รวมทั้งอ่าง และขาตั้งอ่าง+ 40 ผ้ากั้นลานเต็นท์ เสา ฐานรองรับ+ ม่าน+สำหรับทางเข้าลานเต็นท์ เชือกผูกหมุด หมุดยึด+ และสิ่งของทุกอย่างที่ใช้สำหรับการทำหน้าที่ในเต็นท์ศักดิ์สิทธิ์ คือเต็นท์เข้าเฝ้า 41 เครื่องแต่งกายที่ทออย่างประณีตสำหรับสวมใส่เมื่อทำหน้าที่ในที่ศักดิ์สิทธิ์ คือ เครื่องแต่งกายที่บริสุทธิ์สำหรับปุโรหิตอาโรน+ และเครื่องแต่งกายของลูกชายอาโรนเพื่อใช้ตอนทำหน้าที่ปุโรหิต
42 ชาวอิสราเอลทำงานทั้งหมดนี้ตามที่พระยะโฮวาสั่งโมเสสไว้ทุกอย่าง+ 43 เมื่อโมเสสตรวจดูงานทั้งหมดแล้ว ก็เห็นว่าพวกเขาทำทุกสิ่งตามที่พระยะโฮวาสั่งไว้ แล้วโมเสสก็อวยพรพวกเขา
40 พระยะโฮวาพูดกับโมเสสว่า 2 “ในวันที่ 1 เดือน 1 ให้เจ้าตั้งเต็นท์ศักดิ์สิทธิ์ คือเต็นท์เข้าเฝ้า+ 3 และเอาหีบสัญญาไปวางไว้ในนั้น+ แล้วติดม่านบังหีบนั้นไว้+ 4 ให้เอาโต๊ะ+ไปตั้งในเต็นท์และจัดวางสิ่งของบนโต๊ะให้เรียบร้อย แล้วเอาเชิงตะเกียง+เข้าไปตั้งในนั้นด้วย แล้วจุดตะเกียง+ไว้ 5 ให้เอาแท่นบูชาทองคำสำหรับเผาเครื่องหอม+ไปตั้งไว้ด้านหน้าหีบสัญญา แล้วติดม่านตรงทางเข้าเต็นท์ศักดิ์สิทธิ์+
6 “ให้เอาแท่นบูชาสำหรับเครื่องบูชาเผา+ไปตั้งไว้ที่ด้านหน้าทางเข้าเต็นท์ศักดิ์สิทธิ์ คือเต็นท์เข้าเฝ้า 7 และเอาอ่างไปตั้งไว้ระหว่างเต็นท์เข้าเฝ้ากับแท่นบูชา แล้วให้เอาน้ำใส่อ่างไว้+ 8 และให้กั้นรอบลานเต็นท์+ แล้วติดม่าน+ตรงทางเข้าลานเต็นท์ด้วย 9 จากนั้น เอาน้ำมันเจิม+มาเจิมเต็นท์ศักดิ์สิทธิ์กับสิ่งของทุกอย่างที่อยู่ในเต็นท์นั้น+ และแยกเต็นท์กับสิ่งของทุกอย่างที่ใช้กับเต็นท์ไว้ต่างหากให้เป็นสิ่งบริสุทธิ์ 10 ให้เจิมแท่นบูชาสำหรับเครื่องบูชาเผากับสิ่งของทุกอย่างที่ใช้กับแท่น และแยกแท่นนั้นไว้ต่างหากให้เป็นแท่นที่บริสุทธิ์ยิ่ง+ 11 จากนั้น ให้เจิมอ่างกับขาตั้งอ่างและแยกไว้ให้เป็นสิ่งบริสุทธิ์
12 “และให้พาอาโรนกับลูกชายมาที่ใกล้ ๆ ทางเข้าเต็นท์เข้าเฝ้า แล้วให้พวกเขาอาบน้ำ+ 13 และสวมเครื่องแต่งกายที่บริสุทธิ์+ให้อาโรน แล้วเจิมเพื่อแต่งตั้งเขา+ และแยกเขาไว้สำหรับทำหน้าที่ปุโรหิตรับใช้เรา 14 จากนั้น ก็ให้พวกลูกชายของเขามา แล้วสวมเสื้อตัวยาว+ให้พวกเขา 15 และเจิมพวกเขาเหมือนกับที่เจิมพ่อของพวกเขา+ เพื่อให้ทำหน้าที่ปุโรหิตรับใช้เรา การเจิมพวกเขาให้เป็นปุโรหิตนี้จะมีผลครอบคลุมไปถึงลูกหลานของพวกเขาตลอดทุกยุคทุกสมัย”+
16 โมเสสก็ทำทุกสิ่งตามที่พระยะโฮวาสั่ง+ เขาทำตามทุกอย่าง
17 ในวันที่ 1 เดือน 1 ปีที่ 2 มีการตั้งเต็นท์ศักดิ์สิทธิ์ขึ้น+ 18 ตอนที่โมเสสตั้งเต็นท์ เขาวางฐานรองรับ+ เอากรอบผนัง+ตั้งบนฐานรองรับนั้น แล้วสอดไม้ราว+เข้าไป และตั้งเสาเต็นท์ 19 จากนั้น เขาเอาผ้าคลุม+เต็นท์ทีละชั้น+ ตามที่พระยะโฮวาสั่งไว้
20 แล้วเขาก็เอาแผ่นหินที่เป็นพยานหลักฐาน+ใส่ในหีบ+ สอดไม้คาน+ไว้ที่หีบ แล้วเอาฝา+มาปิดหีบ+นั้น 21 เขาเอาหีบสัญญาไปไว้ในเต็นท์ศักดิ์สิทธิ์ แล้วติดม่าน+เพื่อบังหีบสัญญา+นั้นไว้ตามที่พระยะโฮวาสั่ง
22 ต่อมา เขาเอาโต๊ะ+ไปตั้งในเต็นท์เข้าเฝ้าข้างนอกม่าน โดยให้อยู่ด้านเหนือของเต็นท์ศักดิ์สิทธิ์ 23 และเอาขนมปัง+มาวางซ้อนกันเป็นชั้น ๆ บนโต๊ะตรงหน้าพระยะโฮวา ตามที่พระยะโฮวาสั่งไว้
24 เขาเอาเชิงตะเกียง+ไปตั้งไว้ในเต็นท์เข้าเฝ้าตรงข้ามกับโต๊ะนั้น โดยให้อยู่ด้านใต้ของเต็นท์ศักดิ์สิทธิ์ 25 แล้วเขาก็จุดตะเกียง+ไว้ต่อหน้าพระยะโฮวา ตามที่พระยะโฮวาสั่งไว้
26 จากนั้น เขาเอาแท่นบูชาทองคำ+ไปตั้งในเต็นท์เข้าเฝ้าข้างหน้าม่าน 27 เพื่อจะเผาเครื่องหอม+บนแท่น+ ตามที่พระยะโฮวาสั่งไว้
28 แล้วก็ติดม่าน+กั้นตรงทางเข้าเต็นท์
29 เขาเอาแท่นบูชาสำหรับเครื่องบูชาเผา+ไปตั้งไว้ที่ด้านหน้าทางเข้าเต็นท์ศักดิ์สิทธิ์ คือเต็นท์เข้าเฝ้า เพื่อจะถวายเครื่องบูชาเผา+และเครื่องบูชาที่ทำจากเมล็ดข้าว ตามที่พระยะโฮวาสั่งไว้
30 ต่อจากนั้น เขาเอาอ่างไปตั้งไว้ระหว่างเต็นท์เข้าเฝ้ากับแท่นบูชา แล้วเอาน้ำใส่อ่างไว้สำหรับการชำระล้าง+ 31 โมเสสและอาโรนกับลูกชายจะต้องล้างมือและเท้าที่นี่ 32 เมื่อไรก็ตามที่พวกเขาจะเข้าไปในเต็นท์เข้าเฝ้า หรือไปที่แท่นบูชา พวกเขาจะต้องล้างมือล้างเท้า+ ตามที่พระยะโฮวาสั่งโมเสสไว้
33 สุดท้าย เขาติดตั้งผ้ากั้นลานเต็นท์ศักดิ์สิทธิ์+ล้อมรอบตัวเต็นท์และแท่นบูชา แล้วติดม่านตรงทางเข้าลานเต็นท์+
งานของโมเสสก็เป็นอันเสร็จสิ้น 34 เมฆก็ปกคลุมเหนือเต็นท์เข้าเฝ้า และรัศมีของพระยะโฮวาก็แผ่เต็มเต็นท์ศักดิ์สิทธิ์+ 35 โมเสสเข้าไปในเต็นท์เข้าเฝ้าไม่ได้ เพราะเมฆปกคลุมอยู่เหนือเต็นท์ และรัศมีของพระยะโฮวาก็แผ่เต็มเต็นท์นั้น+
36 เมื่อเมฆที่อยู่เหนือเต็นท์ศักดิ์สิทธิ์ลอยขึ้นไป ชาวอิสราเอลจะออกเดินทาง พวกเขาทำอย่างนี้ตลอดการเดินทางของพวกเขา+ 37 แต่ถ้าเมฆไม่ลอยขึ้นไป พวกเขาก็จะไม่ออกเดินทางไปไหนจนกว่าเมฆนั้นจะลอยขึ้นไป+ 38 ชาวอิสราเอลทั้งหมดจะเห็นเมฆของพระยะโฮวาลอยอยู่เหนือเต็นท์ศักดิ์สิทธิ์ในตอนกลางวัน ส่วนกลางคืนจะเห็นเป็นไฟอยู่เหนือเต็นท์ตลอดการเดินทางของพวกเขา+
อิฐในที่นี้ทำจากฟางกับโคลนหรือดินเหนียวแล้วนำไปตากแดด
หรือ “หีบ”
แปลว่า “ถูกฉุดขึ้นมา” คือ ถูกช่วยขึ้นมาจากน้ำ
คือ เยโธร
แปลว่า “คนต่างชาติซึ่งอยู่ที่นั่น”
เยโธรมีอีกชื่อหนึ่งว่า “เรอูเอล” ดู อพย 2:18
ดูภาคผนวก ก4
แปลตรงตัวว่า “พวกผู้ชายสูงอายุ”
แปลตรงตัวว่า “อยู่ที่ปากของเจ้า”
แปลตรงตัวว่า “เราจะอยู่ที่ปากของเจ้าและอยู่ที่ปากของเขา”
หรือ “จะเป็นตัวแทนของพระเจ้าสำหรับเขา”
สำเนาต้นฉบับบางฉบับบอกว่า “ทูตสวรรค์ของพระยะโฮวา”
หรือ “มีดที่ทำจากหินเหล็กไฟ”
ผู้ช่วยพวกนี้ถูกเลือกมาจากชาวอิสราเอล
หรือ “ทำให้ฟาโรห์และข้าราชสำนักเหม็นหน้าพวกเรา”
แปลตรงตัวว่า “เรายกมือ”
แปลตรงตัวว่า “เราทำให้เจ้าเป็นพระเจ้าสำหรับฟาโรห์”
คือ แมลงขนาดเล็กชนิดหนึ่งที่อยู่ในอียิปต์ แมลงชนิดนี้กัดเหมือนยุง
แปลตรงตัวว่า “นิ้วมือ”
คือ แมลงวันชนิดหนึ่งที่กัด
คือ ชาวอียิปต์
อาจเป็นสายฟ้าฟาด
แปลตรงตัวว่า “เป็นบ่วงแร้ว”
น่าจะหมายถึงโมเสส
อยู่ในช่วง 4 ทุ่มถึงตี 2
แปลตรงตัวว่า “ระหว่างสองเวลาเย็น” อาจหมายถึงช่วงเวลาหลังดวงอาทิตย์ตกจนถึงช่วงที่เริ่มมืดจริง ๆ
หมายถึงขาท่อนล่าง
คำนี้มีความหมายว่า “เว้นผ่าน”
คือ แป้งทำขนมปังที่ใส่เชื้อแล้ว ซึ่งแบ่งเก็บไว้เพื่อนำไปผสมกับแป้งก้อนใหม่ให้ขึ้นฟู
อยู่ในช่วง 4 ทุ่มถึงตี 2
คือ ชาวอียิปต์ และคนต่างชาติที่ไม่ใช่ชาวอิสราเอล
คือ ช่วงตี 2 ถึง 6 โมงเช้า
“ยาห์” ย่อมาจาก “ยะโฮวา”
หรือ “กลองฉิ่ง”
แปลว่า “ขม”
แปลตรงตัวว่า “ระหว่างสองเวลาเย็น” อาจหมายถึงช่วงเวลาหลังดวงอาทิตย์ตกจนถึงช่วงที่เริ่มมืดจริง ๆ
2.2 ลิตร ดูภาคผนวก ข14
หรือ “ประชาชนก็หยุดพัก”
อาจมาจากคำพูดในภาษาฮีบรูที่แปลว่า “นี่คืออะไร?”
เป็นที่เก็บเอกสารสำคัญ ๆ
1 เอฟาห์เท่ากับ 22 ลิตร ดูภาคผนวก ข14
แปลว่า “ลองดี” หรือ “ทดสอบ”
แปลว่า “ต่อว่า”
แปลว่า “พระยะโฮวาเป็นเสาให้สัญญาณของผม”
แปลว่า “คนต่างชาติซึ่งอยู่ที่นั่น”
แปลว่า “พระเจ้าของผมเป็นผู้ช่วยเหลือผม”
แปลตรงตัวว่า “จากเงื้อมมือของอียิปต์”
ในภาษาฮีบรูมีข้อความเพิ่มเติมว่า “ในวันเดียวกันนั้น” ดูเหมือนว่าเป็นวันเดียวกันกับที่พวกเขาเดินทางออกจากเรฟีดิม
หรือ “ของมีค่า”
แปลตรงตัวว่า “พวกผู้ชายสูงอายุ”
อาจยิงด้วยธนู
อาจหมายถึงหัวหน้าครอบครัว
หรือ “เครื่องบูชาสร้างสันติสุข”
แปลตรงตัวว่า “ความเปลือยเปล่าของเจ้า”
ดูเหมือนว่าเป็นผู้หญิงต่างชาติซึ่งไม่มีสิทธิ์ได้รับอิสรภาพในปีที่เจ็ดของการเป็นทาส
หรืออาจแปลได้ว่า “นาย”
หมายถึงความสัมพันธ์ทางเพศ
หรืออาจแปลได้ว่า “เครื่องมือ”
342 กรัม ดูภาคผนวก ข14
ขโมยในประโยคนี้เป็นขโมยที่กล่าวถึงในข้อ 1
คือ ยืนต่อหน้าผู้พิพากษาซึ่งเป็นตัวแทนของพระเจ้าเที่ยงแท้
อาจถูกขโมยเพราะเขาละเลยไม่ดูแล หรือจริง ๆ แล้วเป็นสถานการณ์ที่ป้องกันไม่ให้เกิดขึ้นได้
หรือ “ลูกกำพร้า”
หรือ “คนที่ตกทุกข์ได้ยาก”
เรียกอีกชื่อหนึ่งว่าเทศกาลฉลองหลังครบ 7 สัปดาห์ หรือเทศกาลเพ็นเทคอสต์
เรียกอีกชื่อหนึ่งว่าเทศกาลอยู่เพิง
หรืออาจแปลได้ว่า “ตื่นตระหนก” หรือ “หวาดผวา”
คือ แม่น้ำยูเฟรติส
น่าจะเป็นหนังสือที่บันทึกข้อกฎหมายที่กล่าวไว้ใน อพย 20:22-23:33
สีที่ได้มาจากแมลงค็อกคัส
ยาว 111.25 ซม. กว้าง 66.75 ซม. และสูง 66.75 ซม. ดูภาคผนวก ข14
หรือ “แผ่นหินที่เป็นเหมือนพยานหลักฐาน”
ยาว 111.25 ซม. กว้าง 66.75 ซม.
แปลตรงตัวว่า “หีบเก็บพยานหลักฐาน”
ยาว 89 ซม. กว้าง 44.5 ซม. และสูง 66.75 ซม.
7.4 ซม. ดูภาคผนวก ข14
34.2 กก. ดูภาคผนวก ข14
ยาว 12.46 เมตร กว้าง 1.78 เมตร ดูภาคผนวก ข14
ยาว 13.35 เมตร กว้าง 1.78 เมตร
44.5 ซม.
สูง 4.45 เมตร กว้าง 66.75 ซม.
ดูเหมือนเป็นขอเกี่ยวที่ใช้ยึดผ้าคลุมเต็นท์ 2 ผืนเข้าด้วยกัน
กว้าง 2.23 เมตร ยาว 2.23 เมตร สูง 1.34 เมตร ดูภาคผนวก ข14
หรือ “ขี้เถ้าที่ชุ่มด้วยมัน” คือ ขี้เถ้าที่ชุ่มด้วยมันของสัตว์ที่ถวายเป็นเครื่องบูชา
44.5 เมตร
44.5 เมตร
22.25 เมตร
22.25 เมตร
6.68 เมตร
6.68 เมตร
8.9 เมตร
ยาว 44.5 เมตร กว้าง 22.25 เมตร
2.23 เมตร
22.2 ซม. ดูภาคผนวก ข14
ไม่อาจระบุได้ว่าเป็นอัญมณีชนิดไหน อาจเป็นอำพัน ไฮยาซินท์ โอปอล หรือทัวร์มาลีน
หรือ “สำหรับสวมทางหัว”
หรือ “กางเกงชั้นใน”
แปลตรงตัวว่า “เครื่องหมายอันบริสุทธิ์ที่แสดงถึงการอุทิศตัว”
หรือ “ทำให้มีการคืนดี” แปลตรงตัวว่า “ปิดคลุมบาป”
แปลตรงตัวว่า “คนแปลกหน้า” คือ คนที่ไม่ได้เป็นเชื้อสายของอาโรน
แปลตรงตัวว่า “ระหว่างสองเวลาเย็น” อาจหมายถึงช่วงเวลาหลังดวงอาทิตย์ตกจนถึงช่วงที่เริ่มมืดจริง ๆ
2.2 ลิตร ดูภาคผนวก ข14
0.92 ลิตร
0.92 ลิตร
แปลตรงตัวว่า “ระหว่างสองเวลาเย็น” อาจหมายถึงช่วงเวลาหลังดวงอาทิตย์ตกจนถึงช่วงที่เริ่มมืดจริง ๆ
กว้าง 44.5 ซม. ยาว 44.5 ซม. สูง 89 ซม. ดูภาคผนวก ข14
แปลตรงตัวว่า “ระหว่างสองเวลาเย็น” อาจหมายถึงช่วงเวลาหลังดวงอาทิตย์ตกจนถึงช่วงที่เริ่มมืดจริง ๆ
5.7 กรัม ดูภาคผนวก ข14
11.4 กรัม ดูภาคผนวก ข14
5.7 กรัม
5.7 กก.
2.85 กก.
2.85 กก.
5.7 กก.
3.67 ลิตร
แปลตรงตัวว่า “คนแปลกหน้า” คือ คนที่ไม่ได้เป็นเชื้อสายของอาโรน
แปลตรงตัวว่า “นิ้วมือ”
แปลตรงตัวว่า “จากประตูถึงประตู”
หรือ “เรารู้จักชื่อของเจ้า”
แปลตรงตัวว่า “เรารู้จักชื่อของเจ้า”
คือ บอกให้รู้ว่าพระองค์เป็นพระเจ้าแบบไหน
หรือ “กรุณา”
หรือ “ซื่อสัตย์”
หรือ “ที่ไม่ยอมให้มีคู่แข่ง”
คือ ทำตัวไม่ซื่อสัตย์ร่วมกับพระต่าง ๆ ของพวกเขา
คือ ทำตัวไม่ซื่อสัตย์ร่วมกับพระต่าง ๆ ของพวกเขา
เรียกอีกชื่อหนึ่งว่าเทศกาลอยู่เพิง
หรือ “เครื่องบูชายื่นถวาย”
น่าจะหมายถึงเบซาเลล
ยาว 12.46 เมตร กว้าง 1.78 เมตร ดูภาคผนวก ข14
ยาว 13.35 เมตร กว้าง 1.78 เมตร
สูง 4.45 เมตร กว้าง 66.75 ซม.
ยาว 111.25 ซม. กว้าง 66.75 ซม. และสูง 66.75 ซม. ดูภาคผนวก ข14
ยาว 111.25 ซม. กว้าง 66.75 ซม.
ยาว 89 ซม. กว้าง 44.5 ซม. และสูง 66.75 ซม.
7.4 ซม. ดูภาคผนวก ข14
34.2 กก. ดูภาคผนวก ข14
กว้าง 44.5 ซม. ยาว 44.5 ซม. สูง 89 ซม.
กว้าง 2.23 เมตร ยาว 2.23 เมตร สูง 1.34 เมตร ดูภาคผนวก ข14
คือ แผ่นโลหะที่ขัดจนขึ้นเงา
44.5 เมตร
44.5 เมตร
22.25 เมตร
22.25 เมตร
6.68 เมตร
6.68 เมตร
ยาว 8.9 เมตร สูง 2.23 เมตร
991.8 กก. ดูภาคผนวก ข14
8.32 กก. ดูภาคผนวก ข14
3,420 กก.
20.24 กก.
5.7 กรัม
3,420 กก.
3,420 กก.
34.2 กก.
20.24 กก.
หรือ “เครื่องบูชายื่นถวาย”
2,394 กก.
27.36 กก.
“เขา” ในข้อนี้ และในข้อ 7, 8 และ 22 น่าจะเป็นเบซาเลล
กว้าง 22.2 ซม. ยาว 22.2 ซม. ดูภาคผนวก ข14
ไม่อาจระบุได้ว่าเป็นอัญมณีชนิดไหน อาจเป็นอำพัน ไฮยาซินท์ โอปอล หรือทัวร์มาลีน
หรือ “กางเกงชั้นใน”