กันดารวิถี
1 ในวันที่ 1 เดือน 2 ปีที่ 2 หลังจากชาวอิสราเอลออกมาจากอียิปต์+ พระยะโฮวาพูดกับโมเสสในเต็นท์เข้าเฝ้า+ในที่กันดารซีนาย+ว่า 2 “ให้นับจำนวนชาวอิสราเอล+ทั้งหมดที่เป็นผู้ชาย ตามครอบครัว ตามวงศ์ตระกูล และตามชื่อของพวกเขาแต่ละคน 3 ที่มีอายุตั้งแต่ 20 ปีขึ้นไป+ คือทุกคนที่เข้าร่วมกับกองทัพอิสราเอลได้ เจ้ากับอาโรนต้องทำบัญชีรายชื่อตามหมู่เหล่าของพวกเขา
4 “ให้เอาผู้ชายตระกูลละ 1 คนมาช่วยเจ้า แต่ละคนที่มาต้องเป็นหัวหน้าวงศ์ตระกูลของพวกเขา+ 5 รายชื่อของผู้ชายที่จะมาช่วยเจ้ามีดังนี้ เอลีซูร์+ ลูกชายของเชเดเออร์จากตระกูลรูเบน 6 เชลูมิเอล+ ลูกชายของศูริชัดดัยจากตระกูลสิเมโอน 7 นาโชน+ ลูกชายของอัมมีนาดับจากตระกูลยูดาห์ 8 เนธันเอล+ ลูกชายของศุอาร์จากตระกูลอิสสาคาร์ 9 เอลีอับ+ ลูกชายของเฮโลนจากตระกูลเศบูลุน 10 เอลีชามา ลูกชายของอัมมีฮูดจากตระกูลเอฟราอิม+ซึ่งเป็นลูกชายของโยเซฟ และกามาลิเอล ลูกชายของเปดาซูร์จากตระกูลมนัสเสห์ซึ่งเป็นลูกชายของโยเซฟเหมือนกัน 11 อาบีดัน+ ลูกชายของกิเดโอนีจากตระกูลเบนยามิน 12 อาหิเยเซอร์+ ลูกชายของอัมมีชัดดัยจากตระกูลดาน 13 ปากีเอล+ ลูกชายของโอครานจากตระกูลอาเชอร์ 14 เอลียาสาฟ+ ลูกชายของเดอูเอลจากตระกูลกาด 15 อาหิรา+ ลูกชายของเอนันจากตระกูลนัฟทาลี 16 คนกลุ่มนี้ถูกเลือกมาจากชาวอิสราเอล พวกเขาเป็นหัวหน้า+ของตระกูลต่าง ๆ เป็นหัวหน้าดูแลคนหลายพันคนของชาวอิสราเอล”+
17 โมเสสกับอาโรนก็พาคนกลุ่มที่พระเจ้าเลือกนี้มา 18 พวกเขาเรียกชาวอิสราเอลทั้งหมดมาประชุมพร้อมกันในวันที่ 1 เดือน 2 เพื่อให้มาขึ้นทะเบียนตามครอบครัวและตามวงศ์ตระกูลของตัวเอง ผู้ชายทั้งหมดที่มีอายุตั้งแต่ 20 ปีขึ้นไป+ก็ถูกนับตามชื่อของพวกเขาแต่ละคน 19 ตามที่พระยะโฮวาสั่งโมเสสไว้ โมเสสจึงทำบัญชีรายชื่อพวกเขาในที่กันดารซีนาย+
20 ลูกหลานของรูเบน คือลูกหลานของลูกชายคนแรกของอิสราเอล+ มีผู้ชายอายุตั้งแต่ 20 ปีขึ้นไปที่นับตามชื่อ ตามครอบครัว และตามวงศ์ตระกูลของพวกเขา คือทุกคนที่เข้าร่วมกับกองทัพได้ 21 มาขึ้นทะเบียนจากตระกูลรูเบน มีจำนวน 46,500 คน
22 ลูกหลานของสิเมโอน+ มีผู้ชายอายุตั้งแต่ 20 ปีขึ้นไปที่นับตามชื่อ ตามครอบครัว และตามวงศ์ตระกูลของพวกเขา คือทุกคนที่เข้าร่วมกับกองทัพได้ 23 มาขึ้นทะเบียนจากตระกูลสิเมโอน มีจำนวน 59,300 คน
24 ลูกหลานของกาด+ มีผู้ชายอายุตั้งแต่ 20 ปีขึ้นไปที่นับตามชื่อ ตามครอบครัว และตามวงศ์ตระกูลของพวกเขา คือทุกคนที่เข้าร่วมกับกองทัพได้ 25 มาขึ้นทะเบียนจากตระกูลกาด มีจำนวน 45,650 คน
26 ลูกหลานของยูดาห์+ มีผู้ชายอายุตั้งแต่ 20 ปีขึ้นไปที่นับตามชื่อ ตามครอบครัว และตามวงศ์ตระกูลของพวกเขา คือทุกคนที่เข้าร่วมกับกองทัพได้ 27 มาขึ้นทะเบียนจากตระกูลยูดาห์ มีจำนวน 74,600 คน
28 ลูกหลานของอิสสาคาร์+ มีผู้ชายอายุตั้งแต่ 20 ปีขึ้นไปที่นับตามชื่อ ตามครอบครัว และตามวงศ์ตระกูลของพวกเขา คือทุกคนที่เข้าร่วมกับกองทัพได้ 29 มาขึ้นทะเบียนจากตระกูลอิสสาคาร์ มีจำนวน 54,400 คน
30 ลูกหลานของเศบูลุน+ มีผู้ชายอายุตั้งแต่ 20 ปีขึ้นไปที่นับตามชื่อ ตามครอบครัว และตามวงศ์ตระกูลของพวกเขา คือทุกคนที่เข้าร่วมกับกองทัพได้ 31 มาขึ้นทะเบียนจากตระกูลเศบูลุน มีจำนวน 57,400 คน
32 ลูกหลานของโยเซฟทางเชื้อสายของเอฟราอิม+ มีผู้ชายอายุตั้งแต่ 20 ปีขึ้นไปที่นับตามชื่อ ตามครอบครัว และตามวงศ์ตระกูลของพวกเขา คือทุกคนที่เข้าร่วมกับกองทัพได้ 33 มาขึ้นทะเบียนจากตระกูลเอฟราอิม มีจำนวน 40,500 คน
34 และทางเชื้อสายของมนัสเสห์+ มีผู้ชายอายุตั้งแต่ 20 ปีขึ้นไปที่นับตามชื่อ ตามครอบครัว และตามวงศ์ตระกูลของพวกเขา คือทุกคนที่เข้าร่วมกับกองทัพได้ 35 มาขึ้นทะเบียนจากตระกูลมนัสเสห์ มีจำนวน 32,200 คน
36 ลูกหลานของเบนยามิน+ มีผู้ชายอายุตั้งแต่ 20 ปีขึ้นไปที่นับตามชื่อ ตามครอบครัว และตามวงศ์ตระกูลของพวกเขา คือทุกคนที่เข้าร่วมกับกองทัพได้ 37 มาขึ้นทะเบียนจากตระกูลเบนยามิน มีจำนวน 35,400 คน
38 ลูกหลานของดาน+ มีผู้ชายอายุตั้งแต่ 20 ปีขึ้นไปที่นับตามชื่อ ตามครอบครัว และตามวงศ์ตระกูลของพวกเขา คือทุกคนที่เข้าร่วมกับกองทัพได้ 39 มาขึ้นทะเบียนจากตระกูลดาน มีจำนวน 62,700 คน
40 ลูกหลานของอาเชอร์+ มีผู้ชายอายุตั้งแต่ 20 ปีขึ้นไปที่นับตามชื่อ ตามครอบครัว และตามวงศ์ตระกูลของพวกเขา คือทุกคนที่เข้าร่วมกับกองทัพได้ 41 มาขึ้นทะเบียนจากตระกูลอาเชอร์ มีจำนวน 41,500 คน
42 ลูกหลานของนัฟทาลี+ มีผู้ชายอายุตั้งแต่ 20 ปีขึ้นไปที่นับตามชื่อ ตามครอบครัว และตามวงศ์ตระกูลของพวกเขา คือทุกคนที่เข้าร่วมกับกองทัพได้ 43 มาขึ้นทะเบียนจากตระกูลนัฟทาลี มีจำนวน 53,400 คน
44 คนทั้งหมดนี้คือคนที่มาขึ้นทะเบียนกับโมเสส อาโรน และหัวหน้าชาวอิสราเอล 12 คนซึ่งเป็นตัวแทนของแต่ละตระกูล 45 ชาวอิสราเอลทั้งหมดที่มาขึ้นทะเบียนตามตระกูลของพวกเขา ซึ่งมีอายุตั้งแต่ 20 ปีขึ้นไป คือทุกคนที่เข้าร่วมกับกองทัพอิสราเอลได้ 46 มาขึ้นทะเบียนทั้งหมด 603,550 คน+
47 แต่คนในตระกูลเลวี+ไม่ได้มาขึ้นทะเบียนตามวงศ์ตระกูลของเขาเหมือนตระกูลอื่น ๆ+ 48 พระยะโฮวาบอกโมเสสว่า 49 “ไม่ต้องให้คนในตระกูลเลวีมาขึ้นทะเบียน อย่านับจำนวนพวกเขารวมเข้ากับชาวอิสราเอลตระกูลอื่น ๆ+ 50 เจ้าต้องแต่งตั้งคนเลวีให้ดูแลเต็นท์ศักดิ์สิทธิ์ซึ่งเป็นที่เก็บหีบสัญญา+ และดูแลสิ่งของทุกอย่างที่ใช้กับเต็นท์ รวมทั้งทุกสิ่งที่เป็นของเต็นท์นั้น+ พวกเขาจะต้องขนย้ายเต็นท์และสิ่งของทุกอย่างที่ใช้กับเต็นท์+ พวกเขาจะต้องรับใช้ที่เต็นท์+ และตั้งค่ายพักรอบเต็นท์นั้น+ 51 เมื่อจะย้ายเต็นท์ศักดิ์สิทธิ์ไปไหน คนเลวีจะต้องเป็นคนรื้อถอน+ และเมื่อจะตั้งขึ้นใหม่ คนเลวีจะต้องเป็นคนประกอบติดตั้ง คนที่ไม่มีสิทธิ์*ที่เข้ามาใกล้ที่ศักดิ์สิทธิ์นี้จะต้องถูกประหารชีวิต+
52 “ชาวอิสราเอลจะต้องตั้งเต็นท์ของตัวเองในค่ายพักตามที่กำหนดให้เขา แต่ละคนต้องตั้งค่ายพักตามกองและตามหมู่เหล่าของตัวเอง+ โดยกองหนึ่งจะประกอบด้วย 3 ตระกูล 53 และเพื่อชาวอิสราเอลจะไม่ทำให้เราโกรธ+ คนเลวีจะต้องตั้งค่ายพักรอบเต็นท์ศักดิ์สิทธิ์ซึ่งเป็นที่เก็บหีบสัญญา และพวกเขาต้องดูแลเต็นท์ศักดิ์สิทธิ์ซึ่งเป็นที่เก็บหีบสัญญานั้น”+
54 ชาวอิสราเอลทำตามที่พระยะโฮวาสั่งโมเสสไว้ พวกเขาทำตามทุกอย่าง
2 พระยะโฮวาพูดกับโมเสสและอาโรนว่า 2 “ให้ชาวอิสราเอลตั้งค่ายพักตามกองที่กำหนดไว้สำหรับพวกเขา กองหนึ่งจะประกอบด้วย 3 ตระกูล+ ให้พวกเขาตั้งใกล้ ๆ ธงสัญลักษณ์ของวงศ์ตระกูลของตัวเอง พวกเขาจะต้องตั้งค่ายพักรอบเต็นท์เข้าเฝ้าโดยหันหน้าเข้าหาเต็นท์
3 “กองที่ตั้งค่ายพักทางทิศตะวันออก คือด้านที่ดวงอาทิตย์ขึ้น ซึ่งเป็นกองที่ประกอบด้วย 3 ตระกูล จะมีตระกูลยูดาห์นำหน้าในกองที่ตั้งตามหมู่เหล่าของตัวเองนี้ หัวหน้าของลูกหลานตระกูลยูดาห์ คือ นาโชน+ ลูกชายของอัมมีนาดับ 4 คนที่มาขึ้นทะเบียนในกองทหารของตระกูลยูดาห์มีจำนวน 74,600 คน+ 5 ค่ายพักที่อยู่ติดกับตระกูลยูดาห์คือค่ายพักของตระกูลอิสสาคาร์ หัวหน้าของลูกหลานตระกูลอิสสาคาร์ คือ เนธันเอล+ ลูกชายของศุอาร์ 6 คนที่มาขึ้นทะเบียนในกองทหารของตระกูลอิสสาคาร์มีจำนวน 54,400 คน+ 7 อีกด้านหนึ่งคือค่ายพักของตระกูลเศบูลุน หัวหน้าของลูกหลานตระกูลเศบูลุน คือ เอลีอับ+ ลูกชายของเฮโลน 8 คนที่มาขึ้นทะเบียนในกองทหารของตระกูลเศบูลุนมีจำนวน 57,400 คน+
9 “คนที่มาขึ้นทะเบียนในกองทหารที่มีตระกูลยูดาห์นำหน้ามีจำนวนทั้งหมด 186,400 คน กองนี้จะเดินเป็นกลุ่มแรก+
10 “กองที่ตั้งค่ายพักทางทิศใต้ จะมีตระกูลรูเบน+นำหน้าในกองซึ่งประกอบด้วย 3 ตระกูลที่ตั้งตามหมู่เหล่าของตัวเอง หัวหน้าของลูกหลานตระกูลรูเบน คือ เอลีซูร์+ ลูกชายของเชเดเออร์ 11 คนที่มาขึ้นทะเบียนในกองทหารของตระกูลรูเบนมีจำนวน 46,500 คน+ 12 ค่ายพักที่อยู่ติดกับตระกูลรูเบนคือค่ายพักของตระกูลสิเมโอน หัวหน้าของลูกหลานตระกูลสิเมโอน คือ เชลูมิเอล+ ลูกชายของศูริชัดดัย 13 คนที่มาขึ้นทะเบียนในกองทหารของตระกูลสิเมโอนมีจำนวน 59,300 คน+ 14 อีกด้านหนึ่งคือค่ายพักของตระกูลกาด หัวหน้าของลูกหลานตระกูลกาด คือ เอลียาสาฟ+ ลูกชายของเรอูเอล 15 คนที่มาขึ้นทะเบียนในกองทหารของตระกูลกาดมีจำนวน 45,650 คน+
16 “คนที่มาขึ้นทะเบียนในกองทหารที่มีตระกูลรูเบนนำหน้ามีจำนวนทั้งหมด 151,450 คน กองนี้จะเดินเป็นกลุ่มที่สอง+
17 “ตอนที่จะเคลื่อนย้ายเต็นท์เข้าเฝ้า+ ตระกูลเลวีต้องอยู่ตรงกลางขบวน
“พวกเขาจะต้องเดินไปตามลำดับเดียวกันกับการตั้งค่ายพักของเขา+ แต่ละคนจะต้องอยู่ในที่ที่กำหนดให้ตามกองของตัวเองซึ่งประกอบด้วย 3 ตระกูล
18 “กองที่ตั้งค่ายพักทางทิศตะวันตก จะมีตระกูลเอฟราอิมนำหน้าในกองที่ประกอบด้วย 3 ตระกูลซึ่งตั้งตามหมู่เหล่าของตัวเอง หัวหน้าของลูกหลานตระกูลเอฟราอิม คือ เอลีชามา+ ลูกชายของอัมมีฮูด 19 คนที่มาขึ้นทะเบียนในกองทหารของตระกูลเอฟราอิมมีจำนวน 40,500 คน+ 20 ค่ายพักที่อยู่ติดกับตระกูลเอฟราอิมคือค่ายพักของตระกูลมนัสเสห์+ หัวหน้าของลูกหลานตระกูลมนัสเสห์ คือ กามาลิเอล+ ลูกชายของเปดาซูร์ 21 คนที่มาขึ้นทะเบียนในกองทหารของตระกูลมนัสเสห์มีจำนวน 32,200 คน+ 22 อีกด้านหนึ่งคือค่ายพักของตระกูลเบนยามิน หัวหน้าของลูกหลานตระกูลเบนยามิน คือ อาบีดัน+ ลูกชายของกิเดโอนี 23 คนที่มาขึ้นทะเบียนในกองทหารของตระกูลเบนยามินมีจำนวน 35,400 คน+
24 “คนที่มาขึ้นทะเบียนในกองทหารที่มีตระกูลเอฟราอิมนำหน้ามีจำนวนทั้งหมด 108,100 คน กองนี้จะเดินเป็นกลุ่มที่สาม+
25 “กองที่ตั้งค่ายพักทางทิศเหนือ จะมีตระกูลดานนำหน้าในกองที่ประกอบด้วย 3 ตระกูลซึ่งตั้งตามหมู่เหล่าของตัวเอง หัวหน้าของลูกหลานตระกูลดาน คือ อาหิเยเซอร์+ ลูกชายของอัมมีชัดดัย 26 คนที่มาขึ้นทะเบียนในกองทหารของตระกูลดานมีจำนวน 62,700 คน+ 27 ค่ายพักที่อยู่ติดกับตระกูลดานคือค่ายพักของตระกูลอาเชอร์ หัวหน้าของลูกหลานตระกูลอาเชอร์ คือ ปากีเอล+ ลูกชายของโอคราน 28 คนที่มาขึ้นทะเบียนในกองทหารของตระกูลอาเชอร์มีจำนวน 41,500 คน+ 29 อีกด้านหนึ่งคือค่ายพักของตระกูลนัฟทาลี หัวหน้าของลูกหลานตระกูลนัฟทาลี คือ อาหิรา+ ลูกชายของเอนัน 30 คนที่มาขึ้นทะเบียนในกองทหารของตระกูลนัฟทาลีมีจำนวน 53,400 คน+
31 “คนที่มาขึ้นทะเบียนในกองที่มีตระกูลดานนำหน้ามีจำนวนทั้งหมด 157,600 คน กองนี้จะเดินเป็นกลุ่มสุดท้าย+ในกองต่าง ๆ ที่ประกอบด้วย 3 ตระกูล”
32 นี่คือชาวอิสราเอลที่มาขึ้นทะเบียนตามวงศ์ตระกูลของพวกเขา คนที่มาขึ้นทะเบียนเป็นทหารจากค่ายพักต่าง ๆ รวมทั้งหมดมีจำนวน 603,550 คน+ 33 แต่คนในตระกูลเลวีไม่ได้มาขึ้นทะเบียน+เหมือนชาวอิสราเอลตระกูลอื่น ๆ+ ตามที่พระยะโฮวาสั่งโมเสสไว้ 34 ชาวอิสราเอลทำทุกอย่างตามที่พระยะโฮวาสั่งโมเสส คือการตั้งค่ายพักเป็นกอง ๆ กองละ 3 ตระกูล+ และวิธีที่พวกเขาเคลื่อนขบวนเดินทาง+ โดยแต่ละคนต้องอยู่ตามครอบครัวและตามวงศ์ตระกูลของตัวเอง
3 ต่อไปนี้คือลูกหลานของอาโรนกับโมเสสในช่วงที่พระยะโฮวาพูดกับโมเสสบนภูเขาซีนาย+ 2 อาโรนมีลูกชายดังนี้ ลูกคนโตชื่อนาดับ คนต่อมาชื่ออาบีฮู+ เอเลอาซาร์+ และอิธามาร์+ 3 นี่คือชื่อลูกชายทั้งหมดของอาโรน พวกเขาได้รับการเจิมและแต่งตั้งให้ทำหน้าที่ปุโรหิต+ 4 แต่นาดับกับอาบีฮูตายไปต่อหน้าพระยะโฮวาตอนที่พวกเขาเผาเครื่องหอมถวายพระยะโฮวาในที่กันดารซีนายโดยใช้ไฟที่ไม่ได้เป็นไปตามข้อกำหนด+ และพวกเขาไม่มีลูกชาย จึงเหลือแต่เอเลอาซาร์+กับอิธามาร์+ที่ทำหน้าที่ปุโรหิตต่อไปร่วมกับอาโรนพ่อของพวกเขา
5 พระยะโฮวาพูดกับโมเสสว่า 6 “ให้พาคนเลวี+มาหาปุโรหิตอาโรน เพื่อให้พวกเขาทำงานรับใช้+อาโรน 7 พวกเขาจะต้องทำหน้าที่ที่เต็นท์เข้าเฝ้าเพื่ออาโรนและเพื่อชาวอิสราเอลทั้งหมด โดยทำงานรับใช้ที่เกี่ยวข้องกับเต็นท์ศักดิ์สิทธิ์ 8 พวกเขาจะต้องคอยดูแลสิ่งของทุกอย่าง+ ที่ใช้กับเต็นท์เข้าเฝ้า และทำหน้าที่เพื่อชาวอิสราเอลโดยเอาใจใส่งานรับใช้ที่เกี่ยวข้องกับเต็นท์ศักดิ์สิทธิ์+ 9 เจ้าต้องกันคนเลวีไว้ให้อาโรนและลูกชายของเขา คนพวกนี้ซึ่งมาจากชาวอิสราเอลจะเป็นคนที่ถูกกันไว้ให้อาโรน+ 10 เจ้าต้องแต่งตั้งอาโรนกับลูกชายของเขาให้ทำหน้าที่ปุโรหิต+ คนที่ไม่มีสิทธิ์*ที่เข้ามาใกล้ที่ศักดิ์สิทธิ์จะต้องถูกประหารชีวิต”+
11 พระยะโฮวาพูดกับโมเสสต่อไปว่า 12 “เราจะเลือกคนในตระกูลเลวีจากชาวอิสราเอลให้มาแทนลูกชายคนโตทุกคนของชาวอิสราเอล+ และคนในตระกูลเลวีนี้จะเป็นของเรา 13 ลูกชายคนโตทุกคนและลูกสัตว์ที่เป็นตัวผู้ตัวแรกทุกตัวเป็นของเรา+ เพราะตอนที่เราประหารชีวิตลูกชายคนโตทุกคนและลูกสัตว์ที่เป็นตัวผู้ตัวแรกทุกตัวในอียิปต์+ เราได้แยกลูกชายคนโตทุกคนและลูกสัตว์ที่เป็นตัวผู้ตัวแรกทุกตัวของชาวอิสราเอลไว้ให้เป็นสิ่งบริสุทธิ์สำหรับเรา+ ลูกชายคนโตและลูกสัตว์ที่เป็นตัวผู้ตัวแรกที่เกิดมาเป็นของเรา เราคือยะโฮวา”
14 พระยะโฮวาพูดกับโมเสสในที่กันดารซีนาย+ต่อไปว่า 15 “ให้ทำบัญชีรายชื่อลูกหลานของเลวีที่เป็นผู้ชายทุกคนซึ่งมีอายุตั้งแต่ 1 เดือนขึ้นไป ตามครอบครัวและตามวงศ์ตระกูลของพวกเขา”+ 16 โมเสสก็ทำบัญชีรายชื่อตามที่พระยะโฮวาสั่ง 17 ลูกชายของเลวีมีชื่อว่า เกอร์โชน โคฮาท และเมรารี+
18 ลูกชายของเกอร์โชนมีชื่อว่า ลิบนีและชิเมอี ชื่อของเขาทั้งสองถูกนำมาใช้เรียกลูกหลานของเขา+
19 ลูกชายของโคฮาทมีชื่อว่า อัมราม อิสฮาร์ เฮโบรน และอุสซีเอล+ ชื่อของพวกเขาถูกนำมาใช้เรียกลูกหลานของเขา
20 ลูกชายของเมรารีมีชื่อว่า มาห์ลี+และมูชี+ ชื่อของเขาทั้งสองถูกนำมาใช้เรียกลูกหลานของเขา
คนทั้งหมดนี้คือเชื้อสายของเลวีตามวงศ์ตระกูลของเขา
21 ลูกหลานของลิบนีและชิเมอี สืบเชื้อสายมาจากเกอร์โชน+ คนทั้งหมดนี้คือเชื้อสายของเกอร์โชน 22 ผู้ชายทุกคนในเชื้อสายของเขาที่มาขึ้นทะเบียน ซึ่งมีอายุตั้งแต่ 1 เดือนขึ้นไปมีจำนวน 7,500 คน+ 23 ลูกหลานของเกอร์โชนจะตั้งค่ายพักด้านหลังเต็นท์ศักดิ์สิทธิ์+ ซึ่งอยู่ทางทิศตะวันตก 24 หัวหน้าวงศ์ตระกูลในเชื้อสายของเกอร์โชน คือ เอลียาสาฟ ลูกชายของลาเอล 25 หน้าที่ของลูกหลานเกอร์โชน+ที่เกี่ยวข้องกับเต็นท์เข้าเฝ้า คือ ดูแลตัวเต็นท์+ ผ้าคลุมเต็นท์+ ม่าน+สำหรับทางเข้าเต็นท์เข้าเฝ้า 26 ผ้ากั้น+สำหรับลานเต็นท์ ม่าน+สำหรับทางเข้าลานเต็นท์ คือลานที่อยู่รอบตัวเต็นท์กับแท่นบูชานั้น รวมทั้งเชือกผูกหมุดที่ตัวเต็นท์ และงานทุกอย่างที่เกี่ยวข้องกับสิ่งต่าง ๆ นี้
27 ลูกหลานของอัมราม อิสฮาร์ เฮโบรน และอุสซีเอล สืบเชื้อสายมาจากโคฮาท คนทั้งหมดนี้คือเชื้อสายของโคฮาท+ 28 ผู้ชายทุกคนในเชื้อสายของเขาที่มีอายุตั้งแต่ 1 เดือนขึ้นไปมีจำนวน 8,600 คน พวกเขามีหน้าที่ดูแลสถานบริสุทธิ์+ 29 ลูกหลานของโคฮาทจะตั้งค่ายพักทางทิศใต้ของเต็นท์ศักดิ์สิทธิ์+ 30 หัวหน้าวงศ์ตระกูลในเชื้อสายของโคฮาท คือ เอลีซาฟาน ลูกชายของอุสซีเอล+ 31 หน้าที่ของพวกเขา คือ ดูแลหีบสัญญา+ โต๊ะ+ เชิงตะเกียง+ แท่นบูชาทั้งสองแท่น+ สิ่งของต่าง ๆ+ ที่ใช้กับงานรับใช้ในสถานบริสุทธิ์ รวมทั้งม่านกั้น+ และงานทุกอย่างที่เกี่ยวข้องกับสิ่งต่าง ๆ นี้+
32 หัวหน้าใหญ่ของคนเลวี คือ เอเลอาซาร์+ ลูกชายของปุโรหิตอาโรน เขาจะดูแลคนที่ทำหน้าที่ที่เกี่ยวข้องกับสถานบริสุทธิ์
33 ลูกหลานของมาห์ลีและมูชี สืบเชื้อสายมาจากเมรารี คนทั้งหมดนี้คือเชื้อสายของเมรารี+ 34 ผู้ชายทุกคนในเชื้อสายของเขาที่มาขึ้นทะเบียน ซึ่งมีอายุตั้งแต่ 1 เดือนขึ้นไปมีจำนวน 6,200 คน+ 35 หัวหน้าวงศ์ตระกูลในเชื้อสายของเมรารี คือ ศุรีเอล ลูกชายของอาบีฮายิล พวกเขาตั้งค่ายพักทางทิศเหนือของเต็นท์ศักดิ์สิทธิ์+ 36 หน้าที่ของลูกหลานเมรารี คือ ดูแลกรอบผนัง+ของเต็นท์ ไม้ราว+ เสา+กับฐานรองรับของเต็นท์ และสิ่งของทุกอย่างที่ใช้กับเต็นท์+ รวมทั้งงานทุกอย่างที่เกี่ยวข้องกับสิ่งต่าง ๆ นี้+ 37 ตลอดจนเสารอบลานเต็นท์ศักดิ์สิทธิ์พร้อมฐานรองรับ+ หมุดยึด และเชือกผูกหมุด
38 คนที่ตั้งค่ายพักด้านหน้าเต็นท์ศักดิ์สิทธิ์ทางทิศตะวันออก คือด้านหน้าเต็นท์เข้าเฝ้าด้านที่ดวงอาทิตย์ขึ้น คือ โมเสส และอาโรนกับลูกชายของเขา พวกเขามีหน้าที่ดูแลที่ศักดิ์สิทธิ์ ซึ่งเป็นหน้าที่ที่พวกเขาต้องทำเพื่อชาวอิสราเอล คนที่ไม่มีสิทธิ์*ที่เข้ามาใกล้ที่ศักดิ์สิทธิ์จะต้องถูกประหารชีวิต+
39 ผู้ชายทุกคนในตระกูลเลวีที่มีอายุตั้งแต่ 1 เดือนขึ้นไปซึ่งโมเสสและอาโรนได้ทำบัญชีรายชื่อตามครอบครัวของพวกเขาตามคำสั่งของพระยะโฮวา มีจำนวนทั้งหมด 22,000 คน
40 แล้วพระยะโฮวาพูดกับโมเสสว่า “ให้ลูกชายคนโตทุกคนของชาวอิสราเอลซึ่งมีอายุตั้งแต่ 1 เดือนขึ้นไป+มาขึ้นทะเบียน ให้นับจำนวนและทำบัญชีรายชื่อพวกเขา 41 เจ้าต้องให้คนในตระกูลเลวีกับเราแทนลูกชายคนโตทุกคนของชาวอิสราเอล+ และให้สัตว์เลี้ยงของคนในตระกูลเลวีแทนสัตว์เลี้ยงตัวผู้ตัวแรกทุกตัวที่เกิดมาของชาวอิสราเอล เราคือยะโฮวา”+ 42 โมเสสก็ทำบัญชีรายชื่อลูกชายคนโตทุกคนของชาวอิสราเอลตามที่พระยะโฮวาสั่ง 43 ลูกชายคนโตทุกคนที่มีอายุตั้งแต่ 1 เดือนขึ้นไปในบัญชีรายชื่อมีทั้งหมด 22,273 คน
44 พระยะโฮวาพูดกับโมเสสต่อไปว่า 45 “ให้เอาคนในตระกูลเลวีแทนลูกชายคนโตทุกคนของชาวอิสราเอล และเอาสัตว์เลี้ยงของคนในตระกูลเลวีแทนสัตว์เลี้ยงของชาวอิสราเอล คนในตระกูลเลวีจะเป็นของเรา เราคือยะโฮวา 46 สำหรับค่าไถ่+ลูกชายคนโตของชาวอิสราเอลส่วนที่เกินจำนวนคนในตระกูลเลวีมา 273 คนนั้น+ 47 ให้เจ้าเก็บ 5 เชเขล*ต่อ 1 คน+ ตามเชเขลมาตรฐานของสถานบริสุทธิ์ 1 เชเขลเท่ากับ 20 เกราห์*+ 48 และเจ้าต้องเอาเงินนั้นให้อาโรนกับลูกชายของเขาเป็นค่าไถ่สำหรับคนที่เกินจำนวน” 49 โมเสสก็เก็บเงินค่าไถ่สำหรับไถ่คนส่วนที่เกินจากจำนวนคนในตระกูลเลวี 50 เขาเก็บจากลูกชายคนโตของชาวอิสราเอลได้เงินมา 1,365 เชเขล*ตามเชเขลมาตรฐานของสถานบริสุทธิ์ 51 โมเสสมอบเงินค่าไถ่นั้นให้อาโรนและลูกชายของเขาตามคำสั่งของพระยะโฮวา ตามที่พระยะโฮวาสั่งโมเสสไว้
4 พระยะโฮวาพูดกับโมเสสและอาโรนว่า 2 “ให้นับจำนวนลูกหลานของโคฮาท+จากตระกูลเลวีตามครอบครัวและตามวงศ์ตระกูลของพวกเขา 3 นับคนที่มีอายุตั้งแต่ 30 ปี+ ถึง 50 ปี+ คือทุกคนที่ได้รับมอบหมายให้ไปทำงานรับใช้ที่เต็นท์เข้าเฝ้า+
4 “งานรับใช้ของลูกหลานโคฮาทที่เต็นท์เข้าเฝ้าเป็นงานที่เกี่ยวข้องกับสิ่งบริสุทธิ์ยิ่ง+ ขั้นตอนต่าง ๆ ที่ต้องทำมีดังต่อไปนี้ 5 เมื่อจะย้ายค่ายพัก อาโรนกับลูกชายจะต้องเข้ามาในเต็นท์เพื่อปลดม่านกั้นลงมา+ แล้วเอาม่านไปคลุมหีบ+สัญญาไว้ 6 จากนั้นให้เอาผ้าคลุมที่ทำด้วยหนังแมวน้ำมาคลุมทับอีกชั้นหนึ่ง แล้วกางผ้าสีฟ้าคลุมทับชั้นบนสุด และสอดไม้คาน+ให้เข้าที่
7 “พวกเขาจะต้องกางผ้าสีฟ้าคลุมโต๊ะที่วางขนมปังถวาย+ แล้วเอาจาน ถ้วย ชาม และเหยือกสำหรับเครื่องบูชาที่เป็นเครื่องดื่มมาวางบนโต๊ะ+ ขนมปังที่ถวายเป็นประจำ+นั้นจะต้องอยู่บนโต๊ะเสมอ 8 และให้พวกเขากางผ้าสีแดงเข้มคลุมทับไว้ แล้วเอาผ้าคลุมที่ทำด้วยหนังแมวน้ำมาคลุมทับอีกชั้นหนึ่ง และสอดไม้คาน+ให้เข้าที่ 9 พวกเขาจะต้องเอาผ้าสีฟ้ามาคลุมเชิงตะเกียง+ ตัวตะเกียง+ คีมคีบไส้ตะเกียง ภาชนะใส่ไส้ตะเกียง+ และภาชนะทั้งหมดที่ใช้ใส่น้ำมันสำหรับเติมตะเกียง 10 แล้วให้เขาเอาผ้าคลุมที่ทำด้วยหนังแมวน้ำมาห่อเชิงตะเกียงและสิ่งของทุกอย่างที่ใช้กับเชิงตะเกียงอีกชั้นหนึ่ง แล้วเอาวางบนแคร่หาม 11 พวกเขาจะต้องกางผ้าสีฟ้าคลุมแท่นบูชาที่ทำด้วยทองคำ+ แล้วเอาผ้าคลุมที่ทำด้วยหนังแมวน้ำมาคลุมทับอีกชั้นหนึ่ง และสอดไม้คาน+ให้เข้าที่ 12 และให้พวกเขาเอาสิ่งของทุกอย่าง+ ที่ใช้ในงานรับใช้ในสถานบริสุทธิ์มาห่อด้วยผ้าสีฟ้า และคลุมด้วยผ้าคลุมที่ทำด้วยหนังแมวน้ำ แล้วเอาวางบนแคร่หาม
13 “ให้พวกเขาเอาขี้เถ้า*ออกจากแท่นบูชา+ แล้วกางผ้าขนสัตว์ย้อมสีม่วงคลุมแท่นไว้ 14 และให้พวกเขาเอาสิ่งของทุกอย่างที่ใช้เมื่อทำหน้าที่ที่แท่นบูชามาวางข้างบน คือ ภาชนะใส่ถ่านไฟ ส้อมยาว พลั่ว ชาม คือสิ่งของทั้งหมดที่ใช้กับแท่นบูชา+ จากนั้น ให้พวกเขากางผ้าคลุมที่ทำด้วยหนังแมวน้ำคลุมทับอีกชั้นหนึ่ง แล้วสอดไม้คาน+ให้เข้าที่
15 “เมื่อจะย้ายค่ายพัก อาโรนกับลูกชายจะต้องคลุมสิ่งของต่าง ๆ ในสถานบริสุทธิ์+รวมทั้งสิ่งของเครื่องใช้ทั้งหมดที่ใช้กับสถานบริสุทธิ์ให้เสร็จเรียบร้อยก่อน แล้วลูกหลานของโคฮาทจึงจะเข้ามาหามไป+ แต่อย่าให้พวกเขาแตะต้องสิ่งของต่าง ๆ ในสถานบริสุทธิ์นั้นเพื่อพวกเขาจะไม่ตาย+ นี่คือหน้าที่รับผิดชอบของลูกหลานโคฮาทที่เกี่ยวข้องกับเต็นท์เข้าเฝ้า
16 “เอเลอาซาร์+ลูกชายของปุโรหิตอาโรน มีหน้าที่ดูแลน้ำมันสำหรับเติมตะเกียง+ เครื่องหอม+ เครื่องบูชาที่ทำจากเมล็ดข้าวที่ถวายเป็นประจำ และน้ำมันเจิม+ เขาจะต้องดูแลเต็นท์ศักดิ์สิทธิ์และสิ่งของทั้งหมดในเต็นท์ คือดูแลสถานบริสุทธิ์และสิ่งของทุกอย่างที่ใช้ในสถานที่นั้น”
17 พระยะโฮวาพูดกับโมเสสและอาโรนต่อไปว่า 18 “อย่าให้ลูกหลานของโคฮาท+จากตระกูลเลวีถูกประหารชีวิตเลย 19 แต่ให้ทำอย่างนี้กับพวกเขาเพื่อพวกเขาจะมีชีวิตอยู่และไม่ตายเพราะเข้ามาใกล้สิ่งบริสุทธิ์ยิ่ง+ คือ อาโรนกับลูกชายจะต้องเข้ามามอบหมายงานให้แต่ละคน และบอกพวกเขาว่าจะต้องหามอะไรบ้าง 20 อย่าให้ลูกหลานของโคฮาทเข้ามาดูสิ่งบริสุทธิ์แม้เพียงแวบเดียว พวกเขาจะได้ไม่ตาย”+
21 แล้วพระยะโฮวาพูดกับโมเสสว่า 22 “ให้นับจำนวนลูกหลานของเกอร์โชน+ตามวงศ์ตระกูลและตามครอบครัวของพวกเขา 23 ให้ทำบัญชีรายชื่อคนที่มีอายุตั้งแต่ 30 ปี ถึง 50 ปี คือทุกคนที่ได้รับมอบหมายให้ไปทำงานรับใช้ที่เต็นท์เข้าเฝ้า 24 ต่อไปนี้คืองานที่ลูกหลานของเกอร์โชนได้รับมอบหมายให้ดูแลและขนย้าย+ 25 พวกเขาจะต้องขนผ้าคลุมเต็นท์ศักดิ์สิทธิ์+ ผ้าคลุมที่ทำด้วยหนังแมวน้ำซึ่งอยู่ชั้นบนสุด และผ้าคลุมผืนอื่น ๆ+ รวมทั้งม่านสำหรับทางเข้าเต็นท์เข้าเฝ้า+ 26 ผ้ากั้นสำหรับลานเต็นท์+ ม่านสำหรับทางเข้าลานเต็นท์+ คือลานที่อยู่รอบตัวเต็นท์ศักดิ์สิทธิ์กับแท่นบูชานั้น เชือกผูกหมุดของตัวเต็นท์ และสิ่งของทุกอย่างที่ใช้ในการทำหน้าที่ นี่คืองานมอบหมายของพวกเขา 27 งานรับใช้ทั้งหมดของลูกหลานเกอร์โชน+รวมทั้งสิ่งของที่พวกเขาต้องขนย้ายจะมีอาโรนกับลูกชายคอยดูแล พวกเจ้าต้องมอบหมายงานขนย้ายสิ่งของทั้งหมดนี้ให้พวกเขารับผิดชอบ 28 นี่คืองานรับใช้ที่ลูกหลานเกอร์โชนต้องทำที่เต็นท์เข้าเฝ้า+ หน้าที่รับผิดชอบของพวกเขาจะอยู่ภายใต้การชี้นำของอิธามาร์+ ลูกชายของปุโรหิตอาโรน
29 “ให้ทำบัญชีรายชื่อลูกหลานของเมรารี+ตามครอบครัวและตามวงศ์ตระกูลของพวกเขา 30 ให้นับคนที่มีอายุตั้งแต่ 30 ปี ถึง 50 ปี คือทุกคนที่ได้รับมอบหมายให้ไปทำงานรับใช้ที่เต็นท์เข้าเฝ้า 31 หน้าที่รับผิดชอบของพวกเขาซึ่งเกี่ยวข้องกับงานรับใช้ที่เต็นท์เข้าเฝ้าคือการขนย้าย+สิ่งต่อไปนี้ กรอบผนัง+ของเต็นท์ศักดิ์สิทธิ์ ไม้ราว+ เสา+ ฐานรองรับ+ 32 เสา+รอบลานเต็นท์พร้อมฐานรองรับ+ หมุดยึด+ เชือกผูกหมุด รวมทั้งอุปกรณ์ทุกอย่าง และงานทุกอย่างที่เกี่ยวข้องกับสิ่งต่าง ๆ นี้ เจ้าต้องมอบหมายงานเลยว่าแต่ละคนจะต้องขนย้ายอะไร 33 นี่คืองานรับใช้ที่ลูกหลานเมรารี+ต้องทำที่เต็นท์เข้าเฝ้าภายใต้การชี้นำของอิธามาร์ ลูกชายของปุโรหิตอาโรน”+
34 โมเสสกับอาโรนและพวกหัวหน้า+ของชาวอิสราเอลก็ทำบัญชีรายชื่อลูกหลานของโคฮาท+ตามครอบครัวและตามวงศ์ตระกูลของพวกเขา 35 ที่มีอายุตั้งแต่ 30 ปี ถึง 50 ปี คือทุกคนที่ได้รับมอบหมายให้ไปทำงานรับใช้ที่เต็นท์เข้าเฝ้า+ 36 คนที่มาขึ้นทะเบียนตามครอบครัวของพวกเขามีจำนวน 2,750 คน+ 37 คนทั้งหมดนี้คือคนที่มาขึ้นทะเบียนตามครอบครัวของโคฮาท คือทุกคนที่จะไปทำงานรับใช้ที่เต็นท์เข้าเฝ้า โมเสสกับอาโรนทำบัญชีรายชื่อพวกเขาตามที่พระยะโฮวาสั่งผ่านทางโมเสส+
38 ลูกหลานของเกอร์โชน+ที่มาขึ้นทะเบียนตามครอบครัวและตามวงศ์ตระกูลของพวกเขา 39 ที่มีอายุตั้งแต่ 30 ปี ถึง 50 ปี คือทุกคนที่ได้รับมอบหมายให้ไปทำงานรับใช้ที่เต็นท์เข้าเฝ้า 40 คนที่มาขึ้นทะเบียนตามครอบครัวและตามวงศ์ตระกูลของพวกเขามีจำนวน 2,630 คน+ 41 คนทั้งหมดนี้คือคนที่มาขึ้นทะเบียนตามครอบครัวของเกอร์โชน คือทุกคนที่จะไปทำงานรับใช้ที่เต็นท์เข้าเฝ้า โมเสสกับอาโรนทำบัญชีรายชื่อพวกเขาตามที่พระยะโฮวาสั่ง+
42 ลูกหลานของเมรารีที่มาขึ้นทะเบียนตามครอบครัวและตามวงศ์ตระกูลของพวกเขา 43 ที่มีอายุตั้งแต่ 30 ปี ถึง 50 ปี คือทุกคนที่ได้รับมอบหมายให้ไปทำงานรับใช้ที่เต็นท์เข้าเฝ้า+ 44 คนที่มาขึ้นทะเบียนตามครอบครัวของพวกเขามีจำนวน 3,200 คน+ 45 คนทั้งหมดนี้คือคนที่มาขึ้นทะเบียนตามครอบครัวของเมรารี โมเสสกับอาโรนทำบัญชีรายชื่อพวกเขาตามที่พระยะโฮวาสั่งผ่านทางโมเสส+
46 โมเสสกับอาโรนและพวกหัวหน้าของชาวอิสราเอลทำบัญชีรายชื่อคนในตระกูลเลวีทั้งหมดนี้ตามครอบครัวและตามวงศ์ตระกูลของพวกเขา 47 คนทั้งหมดนี้มีอายุตั้งแต่ 30 ปี ถึง 50 ปี ทุกคนได้รับมอบหมายให้ทำงานรับใช้และขนย้ายสิ่งของต่าง ๆ ที่เกี่ยวข้องกับเต็นท์เข้าเฝ้า+ 48 คนที่มาขึ้นทะเบียนมีทั้งหมด 8,580 คน+ 49 พวกเขามาขึ้นทะเบียนตามที่พระยะโฮวาสั่งผ่านทางโมเสส แต่ละคนมาขึ้นทะเบียนตามงานรับใช้ที่ได้รับมอบหมายและตามสิ่งของที่ตัวเองต้องขนย้าย พวกเขามาขึ้นทะเบียนตามที่พระยะโฮวาสั่งโมเสสไว้
5 พระยะโฮวาพูดกับโมเสสต่อไปว่า 2 “เจ้าต้องสั่งชาวอิสราเอลให้เอาคนทั้งหมดนี้ออกไปจากค่ายพัก คือคนที่เป็นโรคเรื้อน+ คนที่มีของเหลวไหลออกมาจากร่างกายเพราะเป็นโรค+ และคนที่ไม่สะอาดเพราะไปสัมผัสคนตาย+ 3 พวกเจ้าต้องเอาคนพวกนี้ออกไปนอกค่ายพักไม่ว่าจะเป็นผู้ชายหรือผู้หญิง เพื่อพวกเขาจะไม่ทำให้ค่ายพักของประชาชนของเราไม่สะอาด+ เพราะเราอยู่กับพวกเจ้า”+ 4 ชาวอิสราเอลก็ทำตาม พวกเขาเอาคนพวกนั้นออกไปนอกค่ายพัก พระยะโฮวาสั่งโมเสสอย่างไร ชาวอิสราเอลก็ทำอย่างนั้น
5 พระยะโฮวาพูดกับโมเสสต่อไปว่า 6 “ให้บอกชาวอิสราเอลอย่างนี้ ‘ถ้าผู้ชายหรือผู้หญิงคนไหนทำบาปต่อเพื่อนมนุษย์ และไม่ซื่อสัตย์ต่อพระยะโฮวา เขาก็มีความผิด+ 7 เขาจะต้องสารภาพ+ความผิดที่ทำไป ต้องชดใช้ให้เท่ากับมูลค่าของความเสียหายที่เกิดจากความผิดนั้น และต้องเพิ่มให้อีก 1 ใน 5 ของมูลค่านั้น+ เขาทำผิดต่อใครก็ต้องชดใช้ให้คนนั้น 8 แต่ถ้าคนนั้นตายและไม่มีญาติใกล้ชิดที่จะรับค่าชดใช้ จะต้องให้ค่าชดใช้นั้นกับพระยะโฮวาและค่าชดใช้นั้นจะเป็นของปุโรหิต รวมทั้งแกะตัวผู้ซึ่งปุโรหิตจะใช้ในการไถ่บาป*ให้เขา+
9 “‘ของถวายที่บริสุทธิ์ทุกอย่าง+ที่ชาวอิสราเอลนำมาให้ปุโรหิตนั้นจะเป็นของปุโรหิต+ 10 ของถวายที่บริสุทธิ์ของแต่ละคนจะเป็นของปุโรหิต อะไรก็ตามที่เขาเอามาให้ปุโรหิต สิ่งนั้นจะเป็นของปุโรหิต’”
11 พระยะโฮวาพูดกับโมเสสต่อไปว่า 12 “ให้บอกชาวอิสราเอลอย่างนี้ ‘ให้พวกเจ้าทำแบบนี้ ถ้าผู้หญิงคนไหนทำบาปและไม่ซื่อสัตย์ต่อสามี 13 ไปมีเพศสัมพันธ์กับผู้ชายคนอื่น+ แต่สามีเธอไม่รู้และเรื่องนั้นยังเป็นความลับอยู่ เธอก็ทำให้ตัวเองไม่สะอาดถึงแม้ไม่มีพยานรู้เห็น หรือไม่มีใครจับได้ 14 ถ้าสามีเกิดหึงหวงและสงสัยว่าเธอไม่ซื่อสัตย์ ไม่ว่าเธอจะทำให้ตัวเองไม่สะอาดจริงหรือไม่ก็ตาม 15 ก็ให้สามีพาภรรยาไปหาปุโรหิต และนำเครื่องบูชาสำหรับเธอไปด้วย คือ แป้งข้าวบาร์เลย์ 1 ใน 10 เอฟาห์* แต่อย่าให้เขาเทน้ำมันหรือวางกำยานบนแป้งนั้น เพราะนี่เป็นเครื่องบูชาที่ทำจากเมล็ดข้าวเกี่ยวกับความหึงหวง เป็นเครื่องบูชาที่ทำจากเมล็ดข้าวที่จะทำให้พระเจ้าระลึกถึงความผิดนั้น
16 “‘ปุโรหิตจะต้องพาเธอไปยืนต่อหน้าพระยะโฮวา+ 17 และให้ปุโรหิตเอาน้ำบริสุทธิ์ใส่ในภาชนะดินเผา แล้วเอาฝุ่นบนพื้นเต็นท์ศักดิ์สิทธิ์ใส่ลงไปในน้ำนั้นด้วย 18 เมื่อให้เธอยืนต่อหน้าพระยะโฮวาแล้ว ให้ปุโรหิตปล่อยผมของเธอลงมา แล้วเอาเครื่องบูชาที่ทำจากเมล็ดข้าวที่จะทำให้ระลึกถึงความผิด คือเครื่องบูชาเกี่ยวกับความหึงหวง+วางบนฝ่ามือทั้งสองของเธอ และให้ปุโรหิตถือน้ำขมแห่งคำสาปแช่งเอาไว้+
19 “‘จากนั้นปุโรหิตจะให้เธอสาบาน โดยพูดกับเธอว่า “ถ้าเธอไม่ได้มีเพศสัมพันธ์กับผู้ชายคนอื่นขณะอยู่กินกับสามี+ และไม่ได้นอกใจสามีโดยทำสิ่งที่ไม่สะอาด ก็ขอให้เธอปลอดภัยจากน้ำขมแห่งคำสาปแช่งนี้ 20 แต่ถ้าเธอนอกใจสามีขณะอยู่กินด้วยกัน และทำให้ตัวเองไม่สะอาดโดยไปมีเพศสัมพันธ์กับผู้ชายคนอื่น+ แล้วล่ะก็ . . .” 21 ปุโรหิตจะให้เธอสาบานว่าขอให้ตัวเองถูกสาปแช่งถ้าทำอย่างนั้นจริง แล้วให้ปุโรหิตพูดกับเธอว่า “ขอพระยะโฮวาทำให้เธอเป็นกรณีตัวอย่างที่ประชาชนจะพูดถึงเมื่อพวกเขาพูดคำสาปแช่งและคำสาบาน ถ้าเธอทำอย่างนั้นจริง ขอพระยะโฮวาทำให้เธอเป็นหมัน*และทำให้ท้องบวม 22 และน้ำแห่งคำสาปแช่งนี้จะเข้าไปในท้องของเธอ ทำให้ท้องบวมและเป็นหมัน” แล้วให้เธอพูดว่า “อาเมน! อาเมน!”*
23 “‘และให้ปุโรหิตเขียนคำสาปแช่งนี้ในหนังสือ แล้วเอาไปล้างออกในน้ำขมนั้น 24 เขาจะให้เธอดื่มน้ำขมแห่งคำสาปแช่ง และน้ำแห่งคำสาปแช่งนี้จะเข้าไปในตัวเธอเพื่อจะทำให้เกิดความขมขื่น 25 และให้ปุโรหิตเอาเครื่องบูชาที่ทำจากเมล็ดข้าวเกี่ยวกับความหึงหวง+จากมือเธอไปยื่นถวายต่อหน้าพระยะโฮวา จากนั้น ให้เขาเอาเครื่องบูชานี้ไปที่แท่นบูชา 26 ปุโรหิตจะเอาเครื่องบูชาที่ทำจากเมล็ดข้าวกำมือหนึ่งไปเผาบนแท่นเป็นเครื่องบูชาที่เผาแทนเครื่องบูชาที่ถวายทั้งหมด*+ แล้วเขาถึงจะให้เธอดื่มน้ำนั้น 27 เมื่อเขาให้เธอดื่มน้ำนั้นแล้ว ถ้าเธอทำให้ตัวเองไม่สะอาดด้วยการประพฤติไม่ซื่อสัตย์ต่อสามี น้ำแห่งคำสาปแช่งที่เข้าไปในตัวเธอจะทำให้เกิดความขมขื่น ท้องของเธอจะบวม เธอจะเป็นหมัน และประชาชนจะพูดถึงเธอเมื่อพวกเขากล่าวคำสาปแช่ง 28 แต่ถ้าเธอบริสุทธิ์และไม่ได้ทำให้ตัวเองไม่สะอาด เธอจะพ้นโทษ เธอจะตั้งท้องและมีลูกได้
29 “‘นี่คือบัญญัติเกี่ยวกับความหึงหวง+ ในกรณีที่ภรรยาทำให้ตัวเองไม่สะอาดโดยนอกใจสามีขณะอยู่กินด้วยกัน 30 หรือในกรณีที่ผู้ชายเกิดความรู้สึกหึงหวง และสงสัยว่าภรรยาไม่ซื่อสัตย์ต่อเขา ให้เขาพาภรรยาไปยืนต่อหน้าพระยะโฮวา และปุโรหิตจะปฏิบัติกับเธอตามบัญญัตินี้ 31 ฝ่ายผู้ชายจะไม่มีความผิด แต่ภรรยาของเขาจะต้องถูกลงโทษเพราะความผิดของตัวเอง’”
6 พระยะโฮวาพูดกับโมเสสต่อไปว่า 2 “ให้บอกชาวอิสราเอลอย่างนี้ ‘ถ้าผู้ชายหรือผู้หญิงคนไหนปฏิญาณตัวเป็นพิเศษว่าจะอยู่อย่างนาศีร์*+เพื่อพระยะโฮวา 3 ก็ให้เขาละเว้นจากเหล้าองุ่นและเครื่องดื่มมึนเมาอื่น ๆ รวมทั้งน้ำส้มสายชูที่ทำจากเหล้าองุ่นหรือจากเครื่องดื่มมึนเมาพวกนั้น+ และอย่าให้เขาดื่มเครื่องดื่มที่ทำจากผลองุ่นหรือกินผลองุ่นไม่ว่าสดหรือแห้ง 4 ตลอดเวลาที่เขาเป็นนาศีร์ อย่าให้เขากินอะไรก็ตามที่ได้จากต้นองุ่น ไม่ว่าจะเป็นผลองุ่นที่ยังไม่สุกหรือแม้แต่เปลือกของมัน
5 “‘ตลอดเวลาที่เขาปฏิญาณตัวเป็นนาศีร์ อย่าให้เขาตัดผม+ เขาจะต้องเป็นคนบริสุทธิ์โดยไว้ผมยาวจนครบกำหนดวันที่เขาแยกตัวอยู่ต่างหากเพื่อพระยะโฮวา 6 ตลอดเวลาที่เขาแยกตัวอยู่ต่างหากเพื่อพระยะโฮวา เขาจะเข้าใกล้คนตายไม่ได้ 7 เขาจะทำให้ตัวเองไม่สะอาดไม่ได้ ไม่ว่าคนที่ตายจะเป็นพ่อ แม่ พี่ชายหรือน้องชาย พี่สาวหรือน้องสาวของเขา+ เพราะเครื่องหมายของการเป็นนาศีร์เพื่อพระเจ้าอยู่บนหัวของเขา
8 “‘ตลอดเวลาที่เป็นนาศีร์ เขาจะต้องรักษาตัวให้บริสุทธิ์เพื่อพระยะโฮวา 9 แต่ถ้าเกิดมีคนตายกะทันหันข้าง ๆ เขา+ เขาก็ทำให้ผมซึ่งเป็นเครื่องหมายของการแยกตัวอยู่ต่างหากเพื่อพระเจ้านั้นไม่สะอาด เขาจะต้องโกนผมในวันที่เจ็ด+ ซึ่งเป็นวันที่เขาได้รับการประกาศว่าสะอาด 10 แล้วในวันที่แปด เขาจะต้องเอานกเขา 2 ตัวหรือลูกนกพิราบ 2 ตัวไปให้ปุโรหิตตรงทางเข้าเต็นท์เข้าเฝ้า 11 ปุโรหิตจะเอาตัวหนึ่งไปเป็นเครื่องบูชาไถ่บาป ส่วนอีกตัวหนึ่งเอาไปเป็นเครื่องบูชาเผา แล้วทำการไถ่บาปให้เขา+ เขาได้ทำบาปเพราะคนที่ตาย เขาต้องทำให้ตัวเอง*บริสุทธิ์ในวันนั้น 12 และต้องเริ่มแยกตัวอยู่ต่างหากเพื่อพระยะโฮวาอีกครั้งหนึ่งสำหรับการเป็นนาศีร์ และเขาต้องเอาลูกแกะตัวผู้อายุไม่เกิน 1 ปีตัวหนึ่งมาเป็นเครื่องบูชาไถ่ความผิด ส่วนช่วงเวลาของการเป็นนาศีร์ที่ผ่านมาก็จะเป็นโมฆะไปเพราะเขาไม่สะอาด
13 “‘ต่อไปนี้เป็นกฎสำหรับคนที่เป็นนาศีร์ครบกำหนดแล้ว+ คือ ให้พาเขาไปที่ทางเข้าเต็นท์เข้าเฝ้า 14 และให้เขาเอาเครื่องบูชามาถวายพระยะโฮวาดังนี้ ลูกแกะตัวผู้ที่สมบูรณ์แข็งแรงตัวหนึ่งอายุไม่เกิน 1 ปีเพื่อเป็นเครื่องบูชาเผา+ ลูกแกะตัวเมียที่สมบูรณ์แข็งแรงตัวหนึ่งอายุไม่เกิน 1 ปีเพื่อเป็นเครื่องบูชาไถ่บาป+ แกะตัวผู้ที่สมบูรณ์แข็งแรงอีกตัวหนึ่งเพื่อเป็นเครื่องบูชาผูกมิตร+ 15 ขนมปัง 1 กระจาดที่มีขนมปังรูปวงแหวนไม่ใส่เชื้อซึ่งทำด้วยแป้งเนื้อละเอียดที่นวดกับน้ำมัน ขนมปังแผ่นบางไม่ใส่เชื้อที่ทาน้ำมัน พร้อมกับเครื่องบูชาที่ทำจากเมล็ดข้าว+และเครื่องบูชาดื่ม+ 16 แล้วให้ปุโรหิตถวายของต่าง ๆ นี้ต่อหน้าพระยะโฮวา คือ เครื่องบูชาไถ่บาปและเครื่องบูชาเผาที่เขาเอามา 17 ปุโรหิตจะถวายแกะตัวผู้เป็นเครื่องบูชาผูกมิตรให้พระยะโฮวาพร้อมกับขนมปังไม่ใส่เชื้อกระจาดนั้น และจะถวายเครื่องบูชาที่ทำจากเมล็ดข้าว+และเครื่องบูชาดื่มด้วย
18 “‘และให้คนที่เป็นนาศีร์ตัดผมของเขา+ตรงทางเข้าเต็นท์เข้าเฝ้า แล้วเอาเส้นผมที่ปล่อยไว้จนยาวในช่วงที่เป็นนาศีร์นั้นไปใส่ในไฟที่อยู่ข้างใต้เครื่องบูชาผูกมิตร 19 จากนั้น ให้ปุโรหิตเอาโคนขาหน้าที่ต้มแล้ว+ของแกะตัวผู้ และเอาขนมปังรูปวงแหวนไม่ใส่เชื้อออกมาจากกระจาด 1 ชิ้น พร้อมกับขนมปังแผ่นบางไม่ใส่เชื้อ 1 แผ่น ไปวางบนฝ่ามือทั้งสองของคนที่เป็นนาศีร์หลังจากที่เขาได้ตัดผมซึ่งเป็นเครื่องหมายของการเป็นนาศีร์ออกแล้ว 20 ให้ปุโรหิตยื่นของต่าง ๆ นั้นถวายต่อหน้าพระยะโฮวาเป็นเครื่องบูชายื่นถวาย+ นี่เป็นของบริสุทธิ์ที่จะยกให้กับปุโรหิต รวมทั้งเนื้อส่วนอกของเครื่องบูชายื่นถวาย และขาซึ่งเป็นส่วนที่ศักดิ์สิทธิ์+ หลังจากนั้น คนที่เคยเป็นนาศีร์จะดื่มเหล้าองุ่นได้
21 “‘นี่เป็นกฎสำหรับนาศีร์+ที่ปฏิญาณตัว ถ้าคนที่เป็นนาศีร์ปฏิญาณตัวว่าจะถวายเครื่องบูชาให้พระยะโฮวาได้มากกว่าที่กำหนดไว้สำหรับการเป็นนาศีร์ ก็ให้เขาทำตามคำปฏิญาณนั้นด้วย’”
22 พระยะโฮวาพูดกับโมเสสว่า 23 “ให้บอกอาโรนกับลูกชายอย่างนี้ ‘พวกเจ้าจะต้องอวยพร+ชาวอิสราเอลตามแบบนี้
24 “ขอให้พระยะโฮวาอวยพร+และคุ้มครองคุณ
25 ขอให้พระยะโฮวาพอใจคุณ+และทำดีกับคุณ
26 ขอให้พระยะโฮวามองดูคุณด้วยความกรุณา และให้คุณมีสันติสุข”’+
27 อาโรนกับลูกชายจะต้องพูดถึงชื่อของเราให้ชาวอิสราเอลได้ยิน+ และเราจะอวยพรพวกเขา”+
7 ในวันที่โมเสสตั้งเต็นท์ศักดิ์สิทธิ์เสร็จ+ เขาเจิมเต็นท์+และทำให้เต็นท์นั้นบริสุทธิ์ รวมทั้งเครื่องตกแต่งและภาชนะใช้สอยทั้งหมดในเต็นท์ แท่นบูชาและสิ่งของทุกอย่างที่ใช้กับแท่น+ เมื่อเขาเจิมสิ่งต่าง ๆ นี้ให้บริสุทธิ์แล้ว+ 2 พวกหัวหน้าของชาวอิสราเอล+ คือคนที่เป็นหัวหน้าวงศ์ตระกูลก็เอาของมาถวาย พวกหัวหน้าของตระกูลต่าง ๆ นี้ซึ่งเป็นคนดูแลการทำบัญชีรายชื่อของคนที่มาขึ้นทะเบียน 3 ได้นำของมาถวายต่อหน้าพระยะโฮวาดังต่อไปนี้ เกวียนที่มีประทุน 6 เล่มกับวัว 12 ตัว หัวหน้า 2 คนถวายเกวียน 1 เล่ม ส่วนวัวนั้นพวกเขาถวายคนละ 1 ตัว โดยเอามาถวายที่หน้าเต็นท์ศักดิ์สิทธิ์ 4 พระยะโฮวาพูดกับโมเสสว่า 5 “ให้รับของทั้งหมดนี้ไว้ เพราะจะต้องใช้ของเหล่านี้ในงานรับใช้ที่เกี่ยวข้องกับเต็นท์เข้าเฝ้า และเจ้าต้องมอบของทั้งหมดนี้ให้คนเลวีตามที่แต่ละคนจำเป็นต้องใช้ในการทำหน้าที่ของเขา”
6 โมเสสก็รับเกวียนและวัวไว้ แล้วมอบให้คนเลวี 7 เขามอบเกวียน 2 เล่มกับวัว 4 ตัวให้ลูกหลานของเกอร์โชนตามที่จำเป็นต้องใช้ในการทำหน้าที่ของเขา+ 8 และมอบเกวียน 4 เล่มกับวัว 8 ตัวให้ลูกหลานของเมรารีตามที่จำเป็นต้องใช้ในการทำหน้าที่ของเขา โดยอยู่ภายใต้การชี้นำของอิธามาร์ลูกชายของปุโรหิตอาโรน+ 9 แต่เขาไม่ได้มอบให้ลูกหลานของโคฮาท เพราะหน้าที่ของลูกหลานโคฮาทที่เกี่ยวข้องกับสถานบริสุทธิ์+นั้นคือการหามสิ่งบริสุทธิ์ต่าง ๆ บนบ่า+
10 เมื่อทำการอุทิศ+แท่นบูชาตอนที่มีการเจิมแท่นนั้น พวกหัวหน้าได้เอาสิ่งของต่าง ๆ มาถวาย เมื่อพวกหัวหน้าเอาสิ่งของต่าง ๆ มาถวายตรงหน้าแท่นบูชา 11 พระยะโฮวาพูดกับโมเสสว่า “ให้พวกหัวหน้าเอาของมาถวายในการอุทิศแท่นบูชาวันละคน”
12 วันแรก คนที่นำเข้ามาถวายคือ นาโชน+ลูกชายของอัมมีนาดับจากตระกูลยูดาห์ 13 ของถวายของเขามีดังนี้ จานเงิน 1 ใบหนัก 130 เชเขล* ชามเงิน 1 ใบหนัก 70 เชเขล*ตามเชเขลมาตรฐานของสถานบริสุทธิ์+ โดยมีแป้งเนื้อละเอียดที่นวดกับน้ำมันเต็มจานกับชามนั้น เพื่อใช้เป็นเครื่องบูชาที่ทำจากเมล็ดข้าว+ 14 ถ้วยทองคำ 1 ใบหนัก 10 เชเขล* โดยมีเครื่องหอมเต็มถ้วย 15 วัวหนุ่ม 1 ตัว แกะตัวผู้ 1 ตัว ลูกแกะตัวผู้อายุไม่เกิน 1 ปี 1 ตัว เพื่อใช้เป็นเครื่องบูชาเผา+ 16 ลูกแพะ 1 ตัว เพื่อใช้เป็นเครื่องบูชาไถ่บาป+ 17 และวัว 2 ตัว แกะตัวผู้ 5 ตัว แพะตัวผู้ 5 ตัว ลูกแกะตัวผู้อายุ 1 ปี 5 ตัว เพื่อใช้เป็นเครื่องบูชาผูกมิตร+ นี่คือของถวายของนาโชนลูกชายของอัมมีนาดับ+
18 วันที่สอง เนธันเอล+ซึ่งเป็นหัวหน้าของลูกหลานตระกูลอิสสาคาร์และเป็นลูกชายของศุอาร์ ได้นำของเข้ามาถวาย 19 ของถวายของเขามีดังนี้ จานเงิน 1 ใบหนัก 130 เชเขล* ชามเงิน 1 ใบหนัก 70 เชเขล*ตามเชเขลมาตรฐานของสถานบริสุทธิ์+ โดยมีแป้งเนื้อละเอียดที่นวดกับน้ำมันเต็มจานกับชามนั้น เพื่อใช้เป็นเครื่องบูชาที่ทำจากเมล็ดข้าว+ 20 ถ้วยทองคำ 1 ใบหนัก 10 เชเขล* โดยมีเครื่องหอมเต็มถ้วย 21 วัวหนุ่ม 1 ตัว แกะตัวผู้ 1 ตัว ลูกแกะตัวผู้อายุไม่เกิน 1 ปี 1 ตัว เพื่อใช้เป็นเครื่องบูชาเผา+ 22 ลูกแพะ 1 ตัว เพื่อใช้เป็นเครื่องบูชาไถ่บาป+ 23 และวัว 2 ตัว แกะตัวผู้ 5 ตัว แพะตัวผู้ 5 ตัว ลูกแกะตัวผู้อายุ 1 ปี 5 ตัว เพื่อใช้เป็นเครื่องบูชาผูกมิตร+ นี่คือของถวายของเนธันเอลลูกชายของศุอาร์
24 วันที่สาม เอลีอับ+ซึ่งเป็นหัวหน้าของลูกหลานตระกูลเศบูลุนและเป็นลูกชายของเฮโลน 25 นำของมาถวายดังนี้ จานเงิน 1 ใบหนัก 130 เชเขล* ชามเงิน 1 ใบหนัก 70 เชเขล*ตามเชเขลมาตรฐานของสถานบริสุทธิ์+ โดยมีแป้งเนื้อละเอียดที่นวดกับน้ำมันเต็มจานกับชามนั้น เพื่อใช้เป็นเครื่องบูชาที่ทำจากเมล็ดข้าว+ 26 ถ้วยทองคำ 1 ใบหนัก 10 เชเขล* โดยมีเครื่องหอมเต็มถ้วย 27 วัวหนุ่ม 1 ตัว แกะตัวผู้ 1 ตัว ลูกแกะตัวผู้อายุไม่เกิน 1 ปี 1 ตัว เพื่อใช้เป็นเครื่องบูชาเผา+ 28 ลูกแพะ 1 ตัว เพื่อใช้เป็นเครื่องบูชาไถ่บาป+ 29 และวัว 2 ตัว แกะตัวผู้ 5 ตัว แพะตัวผู้ 5 ตัว ลูกแกะตัวผู้อายุ 1 ปี 5 ตัว เพื่อใช้เป็นเครื่องบูชาผูกมิตร+ นี่คือของถวายของเอลีอับ+ลูกชายของเฮโลน
30 วันที่สี่ เอลีซูร์+ซึ่งเป็นหัวหน้าของลูกหลานตระกูลรูเบนและเป็นลูกชายของเชเดเออร์ 31 นำของมาถวายดังนี้ จานเงิน 1 ใบหนัก 130 เชเขล* ชามเงิน 1 ใบหนัก 70 เชเขล*ตามเชเขลมาตรฐานของสถานบริสุทธิ์+ โดยมีแป้งเนื้อละเอียดที่นวดกับน้ำมันเต็มจานกับชามนั้น เพื่อใช้เป็นเครื่องบูชาที่ทำจากเมล็ดข้าว+ 32 ถ้วยทองคำ 1 ใบหนัก 10 เชเขล* โดยมีเครื่องหอมเต็มถ้วย 33 วัวหนุ่ม 1 ตัว แกะตัวผู้ 1 ตัว ลูกแกะตัวผู้อายุไม่เกิน 1 ปี 1 ตัว เพื่อใช้เป็นเครื่องบูชาเผา+ 34 ลูกแพะ 1 ตัว เพื่อใช้เป็นเครื่องบูชาไถ่บาป+ 35 และวัว 2 ตัว แกะตัวผู้ 5 ตัว แพะตัวผู้ 5 ตัว ลูกแกะตัวผู้อายุ 1 ปี 5 ตัว เพื่อใช้เป็นเครื่องบูชาผูกมิตร+ นี่คือของถวายของเอลีซูร์+ลูกชายของเชเดเออร์
36 วันที่ห้า เชลูมิเอล+ ซึ่งเป็นหัวหน้าของลูกหลานตระกูลสิเมโอนและเป็นลูกชายของศูริชัดดัย 37 นำของมาถวายดังนี้ จานเงิน 1 ใบหนัก 130 เชเขล* ชามเงิน 1 ใบหนัก 70 เชเขล*ตามเชเขลมาตรฐานของสถานบริสุทธิ์+ โดยมีแป้งเนื้อละเอียดที่นวดกับน้ำมันเต็มจานกับชามนั้น เพื่อใช้เป็นเครื่องบูชาที่ทำจากเมล็ดข้าว+ 38 ถ้วยทองคำ 1 ใบหนัก 10 เชเขล* โดยมีเครื่องหอมเต็มถ้วย 39 วัวหนุ่ม 1 ตัว แกะตัวผู้ 1 ตัว ลูกแกะตัวผู้อายุไม่เกิน 1 ปี 1 ตัว เพื่อใช้เป็นเครื่องบูชาเผา+ 40 ลูกแพะ 1 ตัว เพื่อใช้เป็นเครื่องบูชาไถ่บาป+ 41 และวัว 2 ตัว แกะตัวผู้ 5 ตัว แพะตัวผู้ 5 ตัว ลูกแกะตัวผู้อายุ 1 ปี 5 ตัว เพื่อใช้เป็นเครื่องบูชาผูกมิตร+ นี่คือของถวายของเชลูมิเอล+ลูกชายของศูริชัดดัย
42 วันที่หก เอลียาสาฟ+ ซึ่งเป็นหัวหน้าของลูกหลานตระกูลกาดและเป็นลูกชายของเดอูเอล 43 นำของมาถวายดังนี้ จานเงิน 1 ใบหนัก 130 เชเขล* ชามเงิน 1 ใบหนัก 70 เชเขล*ตามเชเขลมาตรฐานของสถานบริสุทธิ์+ โดยมีแป้งเนื้อละเอียดที่นวดกับน้ำมันเต็มจานกับชามนั้น เพื่อใช้เป็นเครื่องบูชาที่ทำจากเมล็ดข้าว+ 44 ถ้วยทองคำ 1 ใบหนัก 10 เชเขล* โดยมีเครื่องหอมเต็มถ้วย 45 วัวหนุ่ม 1 ตัว แกะตัวผู้ 1 ตัว ลูกแกะตัวผู้อายุไม่เกิน 1 ปี 1 ตัว เพื่อใช้เป็นเครื่องบูชาเผา+ 46 ลูกแพะ 1 ตัว เพื่อใช้เป็นเครื่องบูชาไถ่บาป+ 47 และวัว 2 ตัว แกะตัวผู้ 5 ตัว แพะตัวผู้ 5 ตัว ลูกแกะตัวผู้อายุ 1 ปี 5 ตัว เพื่อใช้เป็นเครื่องบูชาผูกมิตร+ นี่คือของถวายของเอลียาสาฟ+ลูกชายของเดอูเอล
48 วันที่เจ็ด เอลีชามา+ซึ่งเป็นหัวหน้าของลูกหลานตระกูลเอฟราอิมและเป็นลูกชายของอัมมีฮูด 49 นำของมาถวายดังนี้ จานเงิน 1 ใบหนัก 130 เชเขล* ชามเงิน 1 ใบหนัก 70 เชเขล*ตามเชเขลมาตรฐานของสถานบริสุทธิ์+ โดยมีแป้งเนื้อละเอียดที่นวดกับน้ำมันเต็มจานกับชามนั้น เพื่อใช้เป็นเครื่องบูชาที่ทำจากเมล็ดข้าว+ 50 ถ้วยทองคำ 1 ใบหนัก 10 เชเขล* โดยมีเครื่องหอมเต็มถ้วย 51 วัวหนุ่ม 1 ตัว แกะตัวผู้ 1 ตัว ลูกแกะตัวผู้อายุไม่เกิน 1 ปี 1 ตัว เพื่อใช้เป็นเครื่องบูชาเผา+ 52 ลูกแพะ 1 ตัว เพื่อใช้เป็นเครื่องบูชาไถ่บาป+ 53 และวัว 2 ตัว แกะตัวผู้ 5 ตัว แพะตัวผู้ 5 ตัว ลูกแกะตัวผู้อายุ 1 ปี 5 ตัว เพื่อใช้เป็นเครื่องบูชาผูกมิตร+ นี่คือของถวายของเอลีชามา+ลูกชายของอัมมีฮูด
54 วันที่แปด กามาลิเอล+ซึ่งเป็นหัวหน้าของลูกหลานตระกูลมนัสเสห์และเป็นลูกชายของเปดาซูร์ 55 นำของมาถวายดังนี้ จานเงิน 1 ใบหนัก 130 เชเขล* ชามเงิน 1 ใบหนัก 70 เชเขล*ตามเชเขลมาตรฐานของสถานบริสุทธิ์+ โดยมีแป้งเนื้อละเอียดที่นวดกับน้ำมันเต็มจานกับชามนั้น เพื่อใช้เป็นเครื่องบูชาที่ทำจากเมล็ดข้าว+ 56 ถ้วยทองคำ 1 ใบหนัก 10 เชเขล* โดยมีเครื่องหอมเต็มถ้วย 57 วัวหนุ่ม 1 ตัว แกะตัวผู้ 1 ตัว ลูกแกะตัวผู้อายุไม่เกิน 1 ปี 1 ตัว เพื่อใช้เป็นเครื่องบูชาเผา+ 58 ลูกแพะ 1 ตัว เพื่อใช้เป็นเครื่องบูชาไถ่บาป+ 59 และวัว 2 ตัว แกะตัวผู้ 5 ตัว แพะตัวผู้ 5 ตัว ลูกแกะตัวผู้อายุ 1 ปี 5 ตัว เพื่อใช้เป็นเครื่องบูชาผูกมิตร+ นี่คือของถวายของกามาลิเอล+ลูกชายของเปดาซูร์
60 วันที่เก้า อาบีดัน+ซึ่งเป็นหัวหน้า+ของลูกหลานตระกูลเบนยามินและเป็นลูกชายของกิเดโอนี 61 นำของมาถวายดังนี้ จานเงิน 1 ใบหนัก 130 เชเขล* ชามเงิน 1 ใบหนัก 70 เชเขล*ตามเชเขลมาตรฐานของสถานบริสุทธิ์+ โดยมีแป้งเนื้อละเอียดที่นวดกับน้ำมันเต็มจานกับชามนั้น เพื่อใช้เป็นเครื่องบูชาที่ทำจากเมล็ดข้าว+ 62 ถ้วยทองคำ 1 ใบหนัก 10 เชเขล* โดยมีเครื่องหอมเต็มถ้วย 63 วัวหนุ่ม 1 ตัว แกะตัวผู้ 1 ตัว ลูกแกะตัวผู้อายุไม่เกิน 1 ปี 1 ตัว เพื่อใช้เป็นเครื่องบูชาเผา+ 64 ลูกแพะ 1 ตัว เพื่อใช้เป็นเครื่องบูชาไถ่บาป+ 65 และวัว 2 ตัว แกะตัวผู้ 5 ตัว แพะตัวผู้ 5 ตัว ลูกแกะตัวผู้อายุ 1 ปี 5 ตัว เพื่อใช้เป็นเครื่องบูชาผูกมิตร+ นี่คือของถวายของอาบีดัน+ลูกชายของกิเดโอนี
66 วันที่สิบ อาหิเยเซอร์+ซึ่งเป็นหัวหน้าของลูกหลานตระกูลดานและเป็นลูกชายของอัมมีชัดดัย 67 นำของมาถวายดังนี้ จานเงิน 1 ใบหนัก 130 เชเขล* ชามเงิน 1 ใบหนัก 70 เชเขล*ตามเชเขลมาตรฐานของสถานบริสุทธิ์+ โดยมีแป้งเนื้อละเอียดที่นวดกับน้ำมันเต็มจานกับชามนั้น เพื่อใช้เป็นเครื่องบูชาที่ทำจากเมล็ดข้าว+ 68 ถ้วยทองคำ 1 ใบหนัก 10 เชเขล* โดยมีเครื่องหอมเต็มถ้วย 69 วัวหนุ่ม 1 ตัว แกะตัวผู้ 1 ตัว ลูกแกะตัวผู้อายุไม่เกิน 1 ปี 1 ตัว เพื่อใช้เป็นเครื่องบูชาเผา+ 70 ลูกแพะ 1 ตัว เพื่อใช้เป็นเครื่องบูชาไถ่บาป+ 71 และวัว 2 ตัว แกะตัวผู้ 5 ตัว แพะตัวผู้ 5 ตัว ลูกแกะตัวผู้อายุ 1 ปี 5 ตัว เพื่อใช้เป็นเครื่องบูชาผูกมิตร+ นี่คือของถวายของอาหิเยเซอร์+ลูกชายของอัมมีชัดดัย
72 วันที่สิบเอ็ด ปากีเอล+ซึ่งเป็นหัวหน้าของลูกหลานตระกูลอาเชอร์และเป็นลูกชายของโอคราน 73 นำของมาถวายดังนี้ จานเงิน 1 ใบหนัก 130 เชเขล* ชามเงิน 1 ใบหนัก 70 เชเขล*ตามเชเขลมาตรฐานของสถานบริสุทธิ์+ โดยมีแป้งเนื้อละเอียดที่นวดกับน้ำมันเต็มจานกับชามนั้น เพื่อใช้เป็นเครื่องบูชาที่ทำจากเมล็ดข้าว+ 74 ถ้วยทองคำ 1 ใบหนัก 10 เชเขล* โดยมีเครื่องหอมเต็มถ้วย 75 วัวหนุ่ม 1 ตัว แกะตัวผู้ 1 ตัว ลูกแกะตัวผู้อายุไม่เกิน 1 ปี 1 ตัว เพื่อใช้เป็นเครื่องบูชาเผา+ 76 ลูกแพะ 1 ตัว เพื่อใช้เป็นเครื่องบูชาไถ่บาป+ 77 และวัว 2 ตัว แกะตัวผู้ 5 ตัว แพะตัวผู้ 5 ตัว ลูกแกะตัวผู้อายุ 1 ปี 5 ตัว เพื่อใช้เป็นเครื่องบูชาผูกมิตร+ นี่คือของถวายของปากีเอล+ลูกชายของโอคราน
78 วันที่สิบสอง อาหิรา+ซึ่งเป็นหัวหน้าของลูกหลานตระกูลนัฟทาลีและเป็นลูกชายของเอนัน 79 นำของมาถวายดังนี้ จานเงิน 1 ใบหนัก 130 เชเขล* ชามเงิน 1 ใบหนัก 70 เชเขล*ตามเชเขลมาตรฐานของสถานบริสุทธิ์+ โดยมีแป้งเนื้อละเอียดที่นวดกับน้ำมันเต็มจานกับชามนั้น เพื่อใช้เป็นเครื่องบูชาที่ทำจากเมล็ดข้าว+ 80 ถ้วยทองคำ 1 ใบหนัก 10 เชเขล* โดยมีเครื่องหอมเต็มถ้วย 81 วัวหนุ่ม 1 ตัว แกะตัวผู้ 1 ตัว ลูกแกะตัวผู้อายุไม่เกิน 1 ปี 1 ตัว เพื่อใช้เป็นเครื่องบูชาเผา+ 82 ลูกแพะ 1 ตัว เพื่อใช้เป็นเครื่องบูชาไถ่บาป+ 83 และวัว 2 ตัว แกะตัวผู้ 5 ตัว แพะตัวผู้ 5 ตัว ลูกแกะตัวผู้อายุ 1 ปี 5 ตัว เพื่อใช้เป็นเครื่องบูชาผูกมิตร+ นี่คือของถวายของอาหิรา+ลูกชายของเอนัน
84 ของที่พวกหัวหน้าของชาวอิสราเอลเอามาถวายเมื่อทำการอุทิศ+แท่นบูชาในตอนที่มีการเจิมแท่นนั้น รวมแล้วมีดังนี้ จานเงิน 12 ใบ ชามเงิน 12 ใบ ถ้วยทองคำ 12 ใบ+ 85 จานเงินแต่ละใบหนัก 130 เชเขล* ส่วนชามแต่ละใบหนัก 70 เชเขล* จานเงินกับชามเงินรวมแล้วหนัก 2,400 เชเขล*ตามเชเขลมาตรฐานของสถานบริสุทธิ์+ 86 ถ้วยทองคำ 12 ใบ โดยมีเครื่องหอมเต็มถ้วย ถ้วยแต่ละใบหนัก 10 เชเขล*ตามเชเขลมาตรฐานของสถานบริสุทธิ์ รวมถ้วยทองคำทั้งหมดหนัก 120 เชเขล* 87 สัตว์ทั้งหมดสำหรับเครื่องบูชาเผามีดังนี้ วัว 12 ตัว แกะตัวผู้ 12 ตัว ลูกแกะตัวผู้อายุ 1 ปี 12 ตัวพร้อมกับเครื่องบูชาที่ทำจากเมล็ดข้าว และลูกแพะสำหรับเครื่องบูชาไถ่บาป 12 ตัว 88 และสัตว์ทั้งหมดสำหรับเครื่องบูชาผูกมิตรมีดังนี้ วัว 24 ตัว แกะตัวผู้ 60 ตัว แพะตัวผู้ 60 ตัว ลูกแกะตัวผู้อายุ 1 ปี 60 ตัว นี่คือของที่นำมาถวายเมื่อทำการอุทิศ+แท่นบูชาหลังจากการเจิมแท่น+
89 เมื่อไรก็ตามที่โมเสสเข้าไปในเต็นท์เข้าเฝ้าเพื่อพูดกับพระเจ้า+ พระองค์ก็จะพูดกับเขา เขาจะได้ยินเสียงของพระองค์พูดกับเขาจากข้างบนฝา+ หีบสัญญาระหว่างเครูบ 2 องค์+
8 พระยะโฮวาพูดกับโมเสสว่า 2 “ให้บอกอาโรนว่า ‘เมื่อจุดตะเกียงทั้ง 7 ดวง ต้องวางตะเกียงให้อยู่ในตำแหน่งที่แสงจะส่องไปทางด้านหน้าของเชิงตะเกียง’”+ 3 อาโรนก็ทำตาม เขาจุดตะเกียงให้แสงส่องไปทางด้านหน้าของเชิงตะเกียง+ ตามที่พระยะโฮวาสั่งโมเสสไว้ 4 เชิงตะเกียงนี้ทำโดยใช้ค้อนตีขึ้นรูปจากทองคำจากส่วนที่เป็นขาตั้งจนถึงส่วนที่เป็นดอกบาน+ ตามแบบที่พระยะโฮวาแสดงให้โมเสสเห็นในนิมิต+
5 พระยะโฮวาพูดกับโมเสสอีกว่า 6 “ให้เลือกคนเลวีจากชาวอิสราเอล และชำระพวกเขาให้บริสุทธิ์+ 7 เจ้าต้องทำอย่างนี้เพื่อชำระพวกเขา ให้ประพรมน้ำชำระบาปบนตัวพวกเขา ให้พวกเขาโกนขนตามตัวให้หมด แล้วซักเสื้อผ้าของตัวเองและชำระตัวให้สะอาด+ 8 จากนั้น ให้พวกเขาเอาวัวหนุ่ม+มาตัวหนึ่งพร้อมกับเครื่องบูชาที่ทำจากเมล็ดข้าว+ที่เป็นแป้งเนื้อละเอียดซึ่งนวดกับน้ำมัน และให้เจ้าเอาวัวหนุ่มมาอีกตัวหนึ่งเพื่อเป็นเครื่องบูชาไถ่บาป+ 9 แล้วให้พาคนเลวีมายืนที่หน้าเต็นท์เข้าเฝ้า และให้ชาวอิสราเอลทั้งหมดมาพร้อมหน้ากัน+ 10 เมื่อพาคนเลวีมายืนต่อหน้าพระยะโฮวาแล้ว ชาวอิสราเอลจะต้องเอามือวางบนหัวของคนเลวี+ 11 อาโรนจะต้องถวายคนเลวีให้พระยะโฮวาเป็นเครื่องบูชายื่นถวาย+จากชาวอิสราเอล และคนเลวีจะทำงานรับใช้พระยะโฮวา+
12 “แล้วให้คนเลวีเอามือวางบนหัววัว 2 ตัวนั้น+ หลังจากนั้น ให้เอาวัวตัวหนึ่งถวายเป็นเครื่องบูชาไถ่บาป อีกตัวหนึ่งเป็นเครื่องบูชาเผาให้พระยะโฮวาเพื่อทำการไถ่บาป+ให้คนเลวี 13 เจ้าต้องให้คนเลวีมายืนต่อหน้าอาโรนกับลูกชาย แล้วถวายพวกเขาเป็นเครื่องบูชายื่นถวายให้พระยะโฮวา 14 เจ้าต้องแยกคนเลวีไว้ต่างหากจากชาวอิสราเอล คนเลวีจะเป็นของเรา+ 15 หลังจากนั้น คนเลวีจะมารับใช้ที่เต็นท์เข้าเฝ้า เจ้าต้องชำระพวกเขาให้บริสุทธิ์และถวายพวกเขาเป็นเครื่องบูชายื่นถวายตามแบบนี้ 16 เพราะพวกเขาเป็นคนที่ถูกกันไว้ให้เราจากชาวอิสราเอล เราจะเอาพวกเขาไว้เป็นของเราแทนลูกชายคนโตทุกคนของชาวอิสราเอล+ 17 เพราะลูกชายคนโตทุกคนและลูกสัตว์ที่เป็นตัวผู้ตัวแรกทุกตัวของชาวอิสราเอลเป็นของเรา+ เราได้แยกไว้ให้เป็นสิ่งบริสุทธิ์สำหรับเราในตอนที่เราประหารชีวิตลูกชายคนโตทุกคนและลูกสัตว์ที่เป็นตัวผู้ตัวแรกทุกตัวในอียิปต์+ 18 เราจะเอาคนเลวีแทนลูกชายคนโตทุกคนของชาวอิสราเอล 19 เราจะกันคนเลวีไว้ให้อาโรนกับลูกชาย พวกเขาจะเป็นคนที่ถูกกันไว้จากชาวอิสราเอล เพื่อทำงานรับใช้ที่เต็นท์เข้าเฝ้าแทนชาวอิสราเอล+ และช่วยในงานไถ่บาปให้ชาวอิสราเอล เพื่อชาวอิสราเอลจะไม่ต้องเจอกับความพินาศ+เพราะเข้ามาใกล้สถานบริสุทธิ์”
20 โมเสสกับอาโรนและชาวอิสราเอลทั้งหมดก็ทำตามที่พระยะโฮวาสั่งโมเสสไว้เกี่ยวกับคนเลวี 21 คนเลวีชำระตัวเองให้บริสุทธิ์และซักเสื้อผ้าของตัวเอง+ หลังจากนั้น อาโรนถวายพวกเขาเป็นเครื่องบูชายื่นถวายต่อหน้าพระยะโฮวา+ แล้วอาโรนก็ทำการไถ่บาปให้พวกเขาเพื่อชำระพวกเขาให้บริสุทธิ์+ 22 จากนั้น คนเลวีก็มาทำงานรับใช้ที่เต็นท์เข้าเฝ้าภายใต้การดูแลของอาโรนกับลูกชาย พระยะโฮวาสั่งโมเสสเรื่องคนเลวีอย่างไร พวกเขาก็ทำอย่างนั้น
23 พระยะโฮวาพูดกับโมเสสว่า 24 “ข้อกำหนดสำหรับคนเลวีมีดังนี้ ผู้ชายที่มีอายุตั้งแต่ 25 ปีขึ้นไปจะต้องมาทำงานรับใช้ที่เต็นท์เข้าเฝ้า 25 แต่เขาจะเกษียณเมื่ออายุครบ 50 ปี และไม่ต้องทำงานอีกต่อไป 26 เขาอาจจะช่วยพี่น้องที่ทำหน้าที่ที่เต็นท์เข้าเฝ้าได้ แต่ไม่ได้มีหน้าที่รับผิดชอบโดยตรง นี่คือสิ่งที่เจ้าต้องทำเกี่ยวกับคนเลวีและหน้าที่ของพวกเขา”+
9 พระยะโฮวาพูดกับโมเสสในที่กันดารซีนายในเดือน 1+ ปีที่ 2 นับจากพวกเขาออกมาจากอียิปต์ว่า 2 “ชาวอิสราเอลจะต้องฉลองปัสกา+ตามเวลาที่กำหนดไว้สำหรับเทศกาลนั้น+ 3 เวลากำหนดที่จะต้องฉลองคือ ในตอนพลบค่ำ*ของวันที่ 14 เดือนนี้ พวกเจ้าจะต้องฉลองปัสกาตามข้อกำหนดและตามขั้นตอนทั้งหมดของเทศกาลนั้น”+
4 โมเสสบอกชาวอิสราเอลให้ฉลองปัสกา 5 พวกเขาจึงฉลองปัสกาในที่กันดารซีนายในตอนพลบค่ำ*ของวันที่ 14 เดือน 1 ชาวอิสราเอลได้ทำทุกอย่างตามที่พระยะโฮวาสั่งโมเสส
6 แต่มีบางคนที่ไม่สะอาดในสายตาพระเจ้าเพราะไปสัมผัสคนตาย+ พวกเขาจึงไม่สามารถฉลองปัสกาในวันนั้นได้ พวกเขาก็ไปหาโมเสสกับอาโรนในวันนั้น+ 7 และถามโมเสสว่า “ถึงแม้พวกเราไม่สะอาดเพราะไปสัมผัสคนตาย แต่ขอเราถวายเครื่องบูชาให้พระยะโฮวาตามเวลาที่กำหนดไว้พร้อมกับชาวอิสราเอลได้ไหม?”+ 8 โมเสสก็ตอบพวกเขาว่า “คอยอยู่ที่นี่ก่อน ผมจะดูว่าพระยะโฮวาจะว่ายังไงเกี่ยวกับเรื่องนี้”+
9 พระยะโฮวาพูดกับโมเสสว่า 10 “ให้บอกชาวอิสราเอลอย่างนี้ ‘ถึงแม้พวกเจ้าหรือลูกหลานของพวกเจ้าคนไหนไม่สะอาดเพราะไปสัมผัสคนตาย+ หรือกำลังเดินทางไกล ก็ต้องฉลองปัสกาให้พระยะโฮวา 11 ให้พวกเขาฉลองปัสกาในตอนพลบค่ำ*ของวันที่ 14 เดือน 2+ โดยกินเนื้อสัตว์ปัสกากับขนมปังไม่ใส่เชื้อและผักที่มีรสขม+ 12 อย่าเหลือส่วนไหนของสัตว์นั้นไว้จนถึงตอนเช้า+ และอย่าหักกระดูกสัตว์ปัสกา+ ให้พวกเขาฉลองตามข้อกำหนดทุกอย่างสำหรับปัสกา 13 ส่วนคนที่สะอาด หรือคนที่ไม่ได้เดินทางไปไหนไกล แต่ละเลยไม่ฉลองปัสกา จะต้องถูกประหารชีวิต+เพราะเขาไม่ได้ฆ่าสัตว์ปัสกาถวายพระยะโฮวาตามเวลาที่กำหนดสำหรับเทศกาลนั้น เขาจะต้องถูกลงโทษเพราะความผิดนั้น
14 “‘และถ้าเป็นคนต่างชาติที่อยู่ในแผ่นดินของเจ้า เขาก็ต้องฉลองปัสกาให้พระยะโฮวาเหมือนกัน+ เขาจะต้องทำตามข้อกำหนดสำหรับปัสกาและทำตามขั้นตอนต่าง ๆ ของเทศกาลนั้น+ พวกเจ้าต้องอยู่ภายใต้ข้อกำหนดเดียวกัน ทั้งคนต่างชาติและชาวอิสราเอล’”+
15 ในวันที่ตั้งเต็นท์ศักดิ์สิทธิ์ขึ้น+นั้น คือเต็นท์ศักดิ์สิทธิ์ซึ่งเป็นที่เก็บหีบสัญญา เมฆได้ลอยปกคลุมอยู่เหนือเต็นท์ และในตอนกลางคืนก็เห็นเป็นไฟอยู่เหนือเต็นท์จนถึงตอนเช้า+ 16 จะเป็นอย่างนี้เสมอคือ ตอนกลางวันจะมีเมฆลอยปกคลุมอยู่เหนือเต็นท์ และตอนกลางคืนจะเห็นเป็นไฟ+ 17 เมื่อไรก็ตามที่เมฆซึ่งอยู่เหนือเต็นท์ศักดิ์สิทธิ์ลอยขึ้นไป ชาวอิสราเอลจะออกเดินทางทันที+ และถ้าเมฆหยุดอยู่ที่ไหน ชาวอิสราเอลก็จะตั้งค่ายพักที่นั่น+ 18 ชาวอิสราเอลจะออกเดินทางตามคำสั่งของพระยะโฮวา และตั้งค่ายพักตามคำสั่งของพระยะโฮวา+ เมฆหยุดอยู่เหนือเต็นท์นานแค่ไหน พวกเขาก็จะตั้งค่ายพักอยู่นานแค่นั้น 19 เมื่อเมฆลอยนิ่งอยู่เหนือเต็นท์นานหลายวัน ชาวอิสราเอลก็จะทำตามที่พระยะโฮวาสั่ง คือ ไม่เดินทางไปไหน+ 20 บางครั้ง เมฆลอยอยู่เหนือเต็นท์ไม่กี่วัน พวกเขาก็จะตั้งค่ายพักตามคำสั่งของพระยะโฮวา และจะออกเดินทางตามคำสั่งของพระยะโฮวา 21 บางครั้ง เมฆก็ลอยนิ่งอยู่ในตอนเย็นแล้วลอยขึ้นไปในตอนเช้า เมื่อเมฆลอยขึ้นไปในตอนเช้า พวกเขาก็จะออกเดินทาง ไม่ว่าเมฆนั้นจะลอยขึ้นไปในตอนกลางวันหรือตอนกลางคืน พวกเขาก็จะออกเดินทาง+ 22 ไม่ว่าเมฆจะลอยนิ่งอยู่เหนือเต็นท์ศักดิ์สิทธิ์ 2 วัน หรือ 1 เดือน หรือนานกว่านั้น ชาวอิสราเอลก็จะตั้งค่ายพักอยู่ที่นั่นไม่ไปไหน แต่ถ้าเมฆลอยขึ้น พวกเขาก็จะออกเดินทาง 23 พวกเขาจะตั้งค่ายพักตามคำสั่งของพระยะโฮวา และออกเดินทางตามคำสั่งของพระยะโฮวา พวกเขาเชื่อฟังพระยะโฮวาตามที่พระยะโฮวาสั่งผ่านทางโมเสส
10 พระยะโฮวาพูดกับโมเสสว่า 2 “ให้ทำแตรเงิน+ 2 ตัวโดยใช้ค้อนตีขึ้นรูปเป็นแตรสำหรับเป่าเรียกชาวอิสราเอลมาประชุมกัน และเป่าให้สัญญาณว่าจะออกเดินทาง 3 ถ้าเป่าแตรทั้ง 2 ตัว ชาวอิสราเอลทั้งหมดจะมาหาเจ้าที่ทางเข้าเต็นท์เข้าเฝ้า+ 4 ถ้าเป่าแตรตัวเดียว ให้เฉพาะหัวหน้าตระกูลต่าง ๆ ที่ดูแลคนหลายพันคนของชาวอิสราเอลมาหาเจ้า+
5 “ถ้าเป่าแตรเป็นเสียงสูงต่ำ ให้คนที่ตั้งค่ายพักทางทิศตะวันออก+เริ่มออกเดินทาง 6 ถ้าเป่าแตรเป็นเสียงสูงต่ำครั้งที่สอง ให้คนที่ตั้งค่ายพักทางทิศใต้+ออกเดินทาง เขาจะต้องเป่าแตรอย่างนี้ทุกครั้งเพื่อให้กองหนึ่งออกเดินทาง
7 “เมื่อจะเรียกคนให้มารวมตัวกัน ให้เป่าแตร+ แต่อย่าเป่าเป็นเสียงสูงต่ำ 8 พวกปุโรหิตซึ่งเป็นลูกชายของอาโรนจะเป็นคนเป่าแตร+ การเป่าแตรนี้จะเป็นข้อกำหนดที่พวกเจ้าต้องทำตามไปตลอดทุกยุคทุกสมัย
9 “เมื่อต้องทำสงครามต่อสู้กับศัตรูที่เข้ามารุกรานในแผ่นดินของเจ้า เจ้าต้องเป่าแตรเป็นเสียงเรียกรวมพลเพื่อทำสงคราม+ พระยะโฮวาพระเจ้าของพวกเจ้าจะระลึกถึงเจ้า และจะช่วยพวกเจ้าให้รอดจากศัตรู
10 “ในช่วงเวลาที่พวกเจ้ามีความสุขความยินดี+ คือ ในเทศกาลต่าง ๆ+และในวันแรกของทุกเดือน พวกเจ้าจะต้องเป่าแตรตรงหน้าเครื่องบูชาเผา+และเครื่องบูชาผูกมิตร+ การเป่าแตรนี้จะทำให้พระเจ้าระลึกถึงเครื่องบูชาของพวกเจ้า เราคือยะโฮวาพระเจ้าของพวกเจ้า”+
11 และในวันที่ 20 เดือน 2 ปีที่ 2+ เมฆที่อยู่เหนือเต็นท์ศักดิ์สิทธิ์ซึ่งเป็นที่เก็บหีบสัญญาก็ลอยขึ้นไป+ 12 ชาวอิสราเอลก็ออกเดินทางจากที่กันดารซีนายทีละกองตามลำดับที่กำหนดไว้ให้พวกเขา+ และเมฆได้มาหยุดนิ่งอยู่ในที่กันดารปาราน+ 13 นี่เป็นครั้งแรกที่พวกเขาออกเดินทางเป็นกอง ๆ ตามที่พระยะโฮวาสั่งผ่านทางโมเสส+
14 กองที่ประกอบด้วย 3 ตระกูลซึ่งมีตระกูลยูดาห์นำหน้าก็เดินออกไปเป็นพวกแรกตามหมู่เหล่าของตัวเอง โดยมีนาโชน+ลูกชายของอัมมีนาดับเป็นคนดูแลกองที่ประกอบด้วย 3 ตระกูลนี้ 15 และเนธันเอล+ลูกชายของศุอาร์เป็นคนดูแลคนในตระกูลอิสสาคาร์ 16 ส่วนเอลีอับ+ลูกชายของเฮโลนเป็นคนดูแลคนในตระกูลเศบูลุน
17 เมื่อรื้อเต็นท์ศักดิ์สิทธิ์แล้ว+ ลูกหลานของเกอร์โชน+กับลูกหลานของเมรารี+ก็เข้ามาขนย้ายเต็นท์และเดินตามไป
18 จากนั้น กองที่ประกอบด้วย 3 ตระกูลซึ่งมีตระกูลรูเบนนำหน้าก็เดินออกไปตามหมู่เหล่าของตัวเอง โดยมีเอลีซูร์+ลูกชายของเชเดเออร์เป็นคนดูแลกองที่ประกอบด้วย 3 ตระกูลนี้ 19 และเชลูมิเอล+ลูกชายของศูริชัดดัยเป็นคนดูแลคนในตระกูลสิเมโอน 20 ส่วนเอลียาสาฟ+ลูกชายของเดอูเอลเป็นคนดูแลคนในตระกูลกาด
21 แล้วลูกหลานของโคฮาทซึ่งเป็นคนหามสิ่งบริสุทธิ์+ก็เดินตามไป เต็นท์ศักดิ์สิทธิ์ต้องตั้งให้เสร็จก่อนที่พวกเขาจะไปถึง
22 จากนั้น กองที่ประกอบด้วย 3 ตระกูลซึ่งมีตระกูลเอฟราอิมนำหน้าก็เดินออกไปตามหมู่เหล่าของตัวเอง โดยมีเอลีชามา+ลูกชายของอัมมีฮูดเป็นคนดูแลกองที่ประกอบด้วย 3 ตระกูลนี้ 23 และกามาลิเอล+ลูกชายของเปดาซูร์เป็นคนดูแลคนในตระกูลมนัสเสห์ 24 ส่วนอาบีดัน+ลูกชายของกิเดโอนีเป็นคนดูแลคนในตระกูลเบนยามิน
25 แล้วกองที่ประกอบด้วย 3 ตระกูลซึ่งมีตระกูลดานนำหน้าก็เดินออกไปตามหมู่เหล่าของตัวเอง เป็นกองที่คอยระวังหลังให้กับทุกกอง โดยมีอาหิเยเซอร์+ลูกชายของอัมมีชัดดัยเป็นคนดูแลกองที่ประกอบด้วย 3 ตระกูลนี้ 26 และปากีเอล+ลูกชายของโอครานเป็นคนดูแลคนในตระกูลอาเชอร์ 27 ส่วนอาหิรา+ลูกชายของเอนันเป็นคนดูแลคนในตระกูลนัฟทาลี 28 นี่คือการเดินทางของชาวอิสราเอลที่เป็นไปตามลำดับและตามหมู่เหล่าของพวกเขา+
29 และโมเสสพูดกับโฮบับซึ่งเป็นลูกชายของเรอูเอล*+ชาวมีเดียนพ่อตาของเขาว่า “พวกเราจะเดินทางไปที่ที่พระยะโฮวาได้บอกว่าจะให้กับพวกเรา+ ไปกับพวกเราเถอะครับ+ พวกเราจะดีกับคุณ เพราะพระยะโฮวาสัญญาว่าจะให้สิ่งดี ๆ กับชาวอิสราเอล”+ 30 แต่เขาพูดกับโมเสสว่า “ผมไม่ไป ผมจะกลับไปหาญาติพี่น้องที่แผ่นดินของผม” 31 โมเสสก็พูดว่า “อย่าทิ้งพวกเราไปเลย เพราะคุณรู้ดีว่าควรตั้งค่ายพักตรงไหนในที่กันดาร คุณเป็นคนนำทาง*ให้พวกเราได้ 32 ถ้าคุณไปกับพวกเรา+ เราจะดีกับคุณเหมือนที่พระยะโฮวาดีกับเรา”
33 พวกเขาได้เดินทางจากภูเขาของพระยะโฮวา+เป็นเวลา 3 วัน โดยมีหีบ+สัญญาของพระยะโฮวานำหน้าขบวนเพื่อหาที่หยุดพักให้พวกเขา+ 34 เมฆของพระยะโฮวา+นำทางพวกเขาในตอนกลางวันเมื่อพวกเขาเดินทาง
35 เมื่อไรก็ตามที่มีการเคลื่อนย้ายหีบสัญญา โมเสสจะพูดว่า “พระยะโฮวา โปรดลุกขึ้น+ จัดการศัตรูของพระองค์ให้กระจัดกระจายไป และขอให้คนที่เกลียดชังพระองค์แตกหนีกระเจิดกระเจิงไป” 36 และเมื่อวางหีบสัญญาลง เขาก็จะพูดว่า “พระยะโฮวา ขอกลับมาหาชาวอิสราเอลนับแสนนับล้านนี้เถอะครับ”+
11 แล้วประชาชนก็บ่นคร่ำครวญกับพระยะโฮวาถึงความทุกข์ลำบากของตัวเอง พอพระยะโฮวาได้ยินเข้าก็โกรธ แล้วไฟจากพระยะโฮวาก็ลงมาเผาไหม้พวกเขาและเผาผลาญคนที่อยู่ในค่ายพักรอบนอกไปบางส่วน 2 พอประชาชนร้องขอให้โมเสสช่วย โมเสสก็อ้อนวอนพระยะโฮวา+ ไฟนั้นก็ดับ 3 เขาจึงเรียกที่นั่นว่าทาเบราห์* เพราะไฟจากพระยะโฮวาได้ลงมาเผาไหม้พวกเขา+
4 ต่อมา ฝูงชน*+ที่ปะปนมากับพวกเขาพากันเรียกร้องจะเอาอาหารที่เคยกินเมื่อก่อน+ ชาวอิสราเอลก็เริ่มร้องคร่ำครวญไปด้วยว่า “แล้วใครจะเป็นคนเอาเนื้อมาให้พวกเรากิน?+ 5 เราคิดถึงปลาในอียิปต์ที่มีให้กินเหลือเฟือไม่ต้องไปหาซื้อ คิดถึงแตงกวา แตงโม ต้นกระเทียม หัวหอม คิดถึงหัวกระเทียมจะตายอยู่แล้ว!+ 6 ตอนนี้เราเบื่อจะแย่อยู่แล้ว ไม่เห็นมีอะไรเลยนอกจากมานา”+
7 มานา+นั้นมีลักษณะเหมือนเมล็ดผักชี+ มีสีคล้ายยางไม้หอม* 8 ประชาชนจะออกไปเก็บแล้วเอามาโม่หรือไม่ก็ตำในครก จากนั้นก็เอามาต้มในหม้อ หรือทำเป็นขนมปังแผ่นกลม ๆ+ รสชาติของมานาเหมือนขนมปังหวานที่คลุกกับน้ำมัน 9 เมื่อน้ำค้างตกลงมาในบริเวณค่ายพักตอนกลางคืน มานาก็จะตกลงมาด้วย+
10 โมเสสได้ยินเสียงประชาชนทุกครอบครัวคร่ำครวญ ต่างคนต่างอยู่ตรงทางเข้าเต็นท์ของตัวเอง พระยะโฮวาก็โกรธ+ ส่วนโมเสสก็ไม่พอใจมากด้วย 11 โมเสสจึงพูดกับพระยะโฮวาว่า “ทำไมพระองค์ทำให้ผู้รับใช้ของพระองค์เดือดร้อนอย่างนี้? ผมทำอะไรให้พระองค์ไม่พอใจ พระองค์ถึงเอาคนพวกนี้มาเป็นภาระให้ผม?+ 12 ผมเป็นคนให้คนพวกนี้เกิดมา และเป็นคนคลอดพวกเขาออกมาหรือ? พระองค์ถึงพูดกับผมว่า ‘อุ้มพวกเขาไว้ในอ้อมอกเหมือนพี่เลี้ยงอุ้มเด็กที่ยังกินนมอยู่’ แล้วพาพวกเขาไปแผ่นดินที่พระองค์สาบานว่าจะให้กับบรรพบุรุษของพวกเขา+ 13 ผมจะไปหาเนื้อจากไหนมาให้พวกเขากิน? พวกเขาเอาแต่ร้องคร่ำครวญกับผมว่า ‘ไปหาเนื้อมาให้พวกเรากินหน่อยสิ’ 14 ผมคนเดียวรับผิดชอบคนพวกนี้ไม่ไหวจริง ๆ ครับ พวกเขาเป็นภาระหนักเกินไปสำหรับผม+ 15 ถ้าพระองค์จะทำกับผมแบบนี้ ก็ฆ่าผมให้ตายไปตอนนี้เลยดีกว่า+ แต่ถ้าพระองค์ยังรักและสงสารผม ก็ขออย่าให้ผมเห็นความหายนะอีกเลย”
16 พระยะโฮวาจึงพูดกับโมเสสว่า “ไปเลือกพวกผู้นำ*ของชาวอิสราเอลมา 70 คน คือคนที่เป็นผู้นำ*และเป็นเจ้าหน้าที่ของประชาชน+ พาพวกเขามาที่เต็นท์เข้าเฝ้า และให้พวกเขายืนอยู่กับเจ้าที่นั่น 17 เราจะลงมา+พูดกับเจ้าที่นั่น+ และจะเอาพลังบริสุทธิ์บางส่วน+ที่อยู่กับเจ้าไปให้พวกเขา แล้วพวกเขาจะช่วยแบกภาระที่เกี่ยวกับประชาชน เจ้าจะได้ไม่ต้องแบกไว้คนเดียว+ 18 เจ้าต้องบอกประชาชนว่า ‘เตรียมตัวให้พร้อมในวันพรุ่งนี้+ พวกเจ้าจะได้กินเนื้อ เพราะพระยะโฮวาได้ยินพวกเจ้าร้องคร่ำครวญ+ว่า “ใครจะเป็นคนเอาเนื้อมาให้พวกเรากิน? อยู่ที่อียิปต์ยังดีซะกว่า”+ พระยะโฮวาจะเอาเนื้อมาให้พวกเจ้ากิน+ 19 พวกเจ้าจะได้กินไม่ใช่แค่ 1 วัน หรือ 2 วัน หรือ 5 วัน หรือ 10 วัน หรือ 20 วัน 20 แต่ได้กินถึง 1 เดือนเต็ม ๆ จนเนื้อพวกนั้นทะลักออกมาทางรูจมูก พวกเจ้าจะได้กินเนื้อจนเอียนไปเลย+ เพราะพวกเจ้าทิ้งพระยะโฮวาพระเจ้าที่อยู่กับพวกเจ้า แล้วร้องคร่ำครวญต่อพระองค์ว่า “ทำไมต้องเอาเราออกมาจากอียิปต์ด้วย?”’”+
21 โมเสสพูดว่า “ประชาชนที่อยู่กับผมมีชายฉกรรจ์ถึง 600,000 คน+ แต่พระองค์ยังบอกว่า ‘เราจะเอาเนื้อให้พวกเขากิน พวกเขาจะมีกินถึง 1 เดือนเต็ม ๆ’! 22 ต่อให้ฆ่าแกะ แพะ วัวหมดทุกฝูงจะมีพอให้พวกเขากินหรือครับ? หรือถึงจับปลาหมดทะเลมาให้ จะพอให้พวกเขากินหรือ?”
23 พระยะโฮวาบอกกับโมเสสว่า “เจ้าคิดว่าพระยะโฮวาทำไม่ได้หรือ?+ เอาละ เจ้าจะได้เห็นว่าสิ่งที่เราพูดนั้นจะเกิดขึ้นจริง ๆ ไหม”
24 โมเสสก็เอาคำพูดของพระยะโฮวาไปบอกประชาชน และโมเสสเลือกผู้ชาย 70 คนจากพวกผู้นำของประชาชน แล้วให้พวกเขามายืนอยู่รอบ ๆ เต็นท์ศักดิ์สิทธิ์+ 25 จากนั้น พระยะโฮวาก็ลงมาในเมฆ+พูดกับโมเสส+ และเอาพลังบริสุทธิ์บางส่วน+ที่อยู่กับเขาไปให้ผู้นำทั้ง 70 คนนั้น ทันทีที่พลังของพระเจ้าอยู่กับพวกเขา ต่างคนต่างก็ทำท่าทางเหมือนผู้พยากรณ์+ แต่หลังจากนั้นพวกเขาก็ไม่ได้ทำอีก
26 แต่มีผู้ชาย 2 คนยังอยู่ในค่ายพัก คนหนึ่งชื่อเอลดาด อีกคนหนึ่งชื่อเมดาด พลังของพระเจ้าลงมาบนเขาทั้งสองเพราะพวกเขาอยู่ในรายชื่อที่ถูกเลือกด้วยแต่ไม่ได้ออกไปที่เต็นท์ศักดิ์สิทธิ์ ทั้งสองจึงทำท่าทางเหมือนผู้พยากรณ์ตอนอยู่ในค่ายพักนั้น 27 มีคนหนุ่มคนหนึ่งวิ่งไปรายงานโมเสสว่า “เอลดาดกับเมดาดกำลังทำท่าทางเหมือนผู้พยากรณ์อยู่ในค่ายพัก” 28 โยชูวา+ซึ่งเป็นลูกชายของนูน และเป็นคนรับใช้ของโมเสสมาตั้งแต่หนุ่ม ๆ ก็พูดว่า “โมเสสนายของผม ช่วยห้ามเขาหน่อยครับ!”+ 29 แต่โมเสสพูดกับเขาว่า “อิจฉาเขาแทนผมหรือ? อย่าคิดอย่างนั้น ผมอยากจะให้ประชาชนของพระยะโฮวาทุกคนเป็นผู้พยากรณ์ด้วยซ้ำ พระยะโฮวาจะได้ให้พลังของพระองค์อยู่กับพวกเขา” 30 จากนั้น โมเสสกับพวกผู้นำของชาวอิสราเอลก็กลับไปที่ค่ายพัก
31 แล้วพระยะโฮวาก็ทำให้ลมจากทะเลพัดเอานกคุ่มมาเหนือค่ายพัก+ ครอบคลุมพื้นที่ไกลออกไปจากทุกด้านของค่ายพักเป็นระยะเดินทางประมาณ 1 วัน ทุกด้านไม่ว่าด้านนี้หรือด้านโน้น และนกพวกนั้นกองสูงขึ้นมาจากพื้นดินประมาณ 2 ศอก* 32 วันนั้น ประชาชนออกไปจับนกคุ่มทั้งกลางวันและกลางคืน และตลอดวันถัดมาด้วย ไม่มีใครจับได้น้อยกว่า 10 โฮเมอร์* แล้วพวกเขาก็เอาไปตากทั่วค่ายพักเพื่อเก็บไว้เป็นอาหาร 33 ขณะที่เนื้อนั้นยังติดฟันพวกเขาอยู่เคี้ยวไม่ทันหมด พระยะโฮวาก็โกรธพวกเขา และพระยะโฮวาประหารชีวิตพวกเขาเป็นจำนวนมาก+
34 ที่นั่นจึงถูกเรียกว่าขิบโรทหัทธาอาวาห์*+ เพราะพวกเขาฝังประชาชนที่ตะกละตะกลามไว้ที่นั่น+ 35 แล้วประชาชนก็ออกเดินทางจากขิบโรทหัทธาอาวาห์ไปที่ฮาเซโรท+ และพักอยู่ที่นั่น
12 มิเรียมกับอาโรนเริ่มตำหนิโมเสสเรื่องที่เขามีภรรยาเป็นชาวคูช+ 2 เขาสองคนพูดกันว่า “พระยะโฮวาพูดผ่านทางโมเสสคนเดียวหรือ? พระองค์ไม่ได้พูดผ่านพวกเราด้วยหรือ?”+ และพระยะโฮวาก็ได้ยินที่พวกเขาพูด+ 3 โมเสสเป็นคนอ่อนน้อมถ่อมตนที่สุด*+ในโลก
4 พระยะโฮวาจึงพูดกับโมเสส อาโรน และมิเรียมทันทีว่า “ให้เจ้าทั้ง 3 คนออกไปที่เต็นท์เข้าเฝ้า” พวกเขาทั้งสามก็ออกไป 5 พระยะโฮวาลงมาในเสาเมฆ+ และยืนอยู่ที่ทางเข้าเต็นท์ศักดิ์สิทธิ์ พระองค์เรียกอาโรนกับมิเรียม ทั้งสองก็ก้าวออกมา 6 พระองค์พูดว่า “ขอฟังที่เราพูด ถ้าจะมีผู้พยากรณ์ของพระยะโฮวาอยู่กับพวกเจ้า เราจะแสดงตัวให้เขาเห็นในนิมิต+และจะพูดกับเขาในความฝัน+ 7 แต่ไม่เป็นอย่างนั้นกับโมเสสผู้รับใช้ของเรา เราให้ประชาชนทั้งหมดของเราอยู่ในความดูแลของเขา+ 8 เราพูดกับเขาโดยตรง+ พูดด้วยคำพูดที่ชัดเจนไม่ใช่แบบกำกวม เรายะโฮวาได้แสดงตัวให้เขาเห็น แล้วพวกเจ้ากล้าดียังไงถึงมาตำหนิโมเสสผู้รับใช้ของเรา?”
9 พระยะโฮวาโกรธเขาทั้งสองมากแล้วพระองค์ก็ไปจากที่นั่น 10 เมื่อเมฆที่อยู่เหนือเต็นท์ศักดิ์สิทธิ์ลอยขึ้นไป มิเรียมก็เป็นโรคเรื้อนขาวเหมือนหิมะ+ พออาโรนหันไปดูมิเรียม ก็เห็นว่าเธอเป็นโรคเรื้อน+ 11 อาโรนจึงพูดกับโมเสสว่า “ช่วยด้วยครับนายท่าน! อย่าให้เราต้องถูกลงโทษเพราะบาปที่พวกเราทำไปเพราะความโง่เลย 12 อย่าปล่อยให้เธอเป็นเหมือนเด็กที่ตายตั้งแต่ยังอยู่ในท้อง พอคลอดออกมาเนื้อก็เน่าไปครึ่งหนึ่งแล้ว!” 13 โมเสสจึงร้องขอพระยะโฮวาว่า “พระเจ้าครับ ได้โปรดรักษาเธอให้หายด้วยครับ”+
14 พระยะโฮวาพูดกับโมเสสว่า “ถ้าพ่อถ่มน้ำลายรดหน้าของเธอ เธอจะต้องอับอายอยู่ 7 วันไม่ใช่หรือ? ดังนั้น ให้กักตัวเธอไว้ 7 วันข้างนอกค่ายพัก+ หลังจากนั้นค่อยให้เธอกลับเข้ามา” 15 มิเรียมจึงถูกกักตัวไว้ข้างนอกค่ายพัก 7 วัน+ และประชาชนไม่ได้เดินทางไปไหนจนกว่ามิเรียมถูกรับกลับเข้ามาอีก 16 หลังจากนั้น ประชาชนเดินทางออกจากฮาเซโรท+และไปตั้งค่ายพักในที่กันดารปาราน+
13 พระยะโฮวาพูดกับโมเสสว่า 2 “ให้ส่งคนไปสอดแนมดู*แผ่นดินคานาอันซึ่งเราจะยกให้ชาวอิสราเอล ให้ส่งไปตระกูลละคนและทุกคนจะต้องเป็นหัวหน้า”+
3 โมเสสจึงส่งพวกเขาออกไปจากที่กันดารปาราน+ตามคำสั่งของพระยะโฮวา ทุกคนที่ไปนั้นเป็นพวกหัวหน้าของชาวอิสราเอล 4 ชื่อของพวกเขามีดังนี้ ชัมมุอา ลูกชายของศักเกอร์จากตระกูลรูเบน 5 ชาฟัท ลูกชายของโฮรีจากตระกูลสิเมโอน 6 คาเลบ+ ลูกชายของเยฟุนเนห์จากตระกูลยูดาห์ 7 อิกาล ลูกชายของโยเซฟจากตระกูลอิสสาคาร์ 8 โฮเชยา+ ลูกชายของนูนจากตระกูลเอฟราอิม 9 ปัลที ลูกชายของราฟูจากตระกูลเบนยามิน 10 กัดเดียล ลูกชายของโสดีจากตระกูลเศบูลุน 11 กัดดี ลูกชายของสุสีจากตระกูลโยเซฟ+ โดยทางตระกูลมนัสเสห์+ 12 อัมมีเอล ลูกชายของเกมัลลีจากตระกูลดาน 13 เสธูร์ ลูกชายของมีคาเอลจากตระกูลอาเชอร์ 14 นาบี ลูกชายของโวฟสีจากตระกูลนัฟทาลี 15 เกอูเอล ลูกชายของมาคีจากตระกูลกาด 16 นี่คือชื่อของคนที่โมเสสส่งไปสอดแนมดูแผ่นดินนั้น และโมเสสเรียกโฮเชยาลูกชายของนูนว่าโยชูวา*+
17 ตอนที่โมเสสส่งพวกเขาไปสอดแนมดูแผ่นดินคานาอัน โมเสสพูดว่า “ขึ้นไปที่เนเกบ แล้วขึ้นไปที่เขตเทือกเขา+ 18 พวกคุณต้องไปดูว่าแผ่นดินนั้นเป็นยังไง+ คนที่นั่นแข็งแรงหรืออ่อนแอ มีน้อยหรือมีมาก 19 ดูว่าแผ่นดินนั้นดีหรือไม่ดี และเมืองที่พวกเขาอยู่มีป้อมปราการล้อมรอบหรือไม่มี 20 และดูด้วยว่าแผ่นดินนั้นอุดมสมบูรณ์หรือแห้งแล้ง+ มีต้นไม้หรือไม่มี พวกคุณต้องกล้าหาญ+และเข้าไปเอาผลไม้ในแผ่นดินนั้นมาด้วย” ตอนนั้นเป็นช่วงที่ผลองุ่นรุ่นแรกกำลังสุก+
21 พวกเขาขึ้นไปสอดแนมดูแผ่นดินนั้น ตั้งแต่ที่กันดารซิน+จนถึงเรโหบ+ที่อยู่ใกล้ ๆ เลโบฮามัท*+ 22 เมื่อขึ้นไปถึงเนเกบ พวกเขาก็ไปเฮโบรน+ เมืองที่อาหิมาน เชชัย ทัลมัย*+ ซึ่งเป็นลูกหลานของอานาค+อาศัยอยู่ เมืองเฮโบรนสร้างก่อนเมืองโศอันของอียิปต์ 7 ปี 23 เมื่อไปถึงหุบเขาเอชโคล์+ พวกเขาตัดกิ่งองุ่นที่มีองุ่นอยู่พวงหนึ่งจากที่นั่นมา และต้องใช้คนหามพวงองุ่นนั้นด้วยไม้คานถึง 2 คน มีผลทับทิมกับผลมะเดื่อด้วย+ 24 พวกเขาเรียกที่นั่นว่าหุบเขาเอชโคล์*+ เพราะชาวอิสราเอลตัดพวงองุ่นมาจากที่นั่น
25 พอผ่านไปได้ 40 วัน+ พวกเขาก็กลับมาจากการสอดแนมดูแผ่นดินนั้น 26 พวกเขาไปหาโมเสสกับอาโรนและชาวอิสราเอลที่คาเดชในที่กันดารปาราน+ เพื่อรายงานเรื่องที่ไปสอดแนมมาให้ทุกคนฟัง และเอาผลไม้จากแผ่นดินนั้นให้ดู 27 พวกเขารายงานโมเสสว่า “เราเข้าไปในแผ่นดินที่คุณส่งพวกเราไปสอดแนม แผ่นดินนั้นมีน้ำนมและน้ำผึ้งมากมายจริง ๆ+ และนี่คือผลไม้จากแผ่นดินนั้น+ 28 แต่คนที่นั่นแข็งแรง เมืองต่าง ๆ ก็มีป้อมปราการล้อมรอบและใหญ่โตมาก แถมเรายังเห็นลูกหลานของอานาคที่นั่นด้วย+ 29 ชาวอามาเลข+อยู่ในเนเกบ+ ชาวฮิตไทต์ ชาวเยบุส+ และชาวอาโมไรต์+อยู่ในเขตเทือกเขา ส่วนชาวคานาอัน+อยู่ริมทะเล+และตามชายฝั่งแม่น้ำจอร์แดน”
30 คาเลบพยายามทำให้ประชาชนที่ยืนอยู่กับโมเสสสงบลง คาเลบพูดว่า “ไปกันเลย ไปครอบครองแผ่นดินนั้นกัน พวกเราคว่ำคนพวกนั้นได้แน่”+ 31 แต่คนที่ไปกับเขาพูดว่า “เราสู้คนพวกนั้นไม่ได้หรอก พวกเขาแข็งแรงกว่าเรา”+ 32 พวกเขายังพูดเรื่องแผ่นดินที่ไปสอดแนมดูนั้นให้ชาวอิสราเอลหมดกำลังใจหนักขึ้นไปอีก+ พวกเขาพูดว่า “แผ่นดินที่พวกเราไปสอดแนมดูจนทั่วเป็นแผ่นดินที่กินคนที่อยู่ที่นั่น แถมทุกคนที่เราเห็นในแผ่นดินนั้นก็มีรูปร่างใหญ่โตผิดมนุษย์มนา+ 33 ที่นั่น เราเห็นคนร่างยักษ์*ลูกหลานของอานาค+ซึ่งสืบเชื้อสายมาจากพวกเนฟิล ดูแล้วพวกเราเป็นเหมือนตั๊กแตน และพวกเขาก็คงเห็นว่าเราเป็นอย่างนั้นเหมือนกัน”
14 พอได้ยินอย่างนั้น ชาวอิสราเอลพากันร้องไห้เสียงดัง พวกเขาร้องไม่หยุดตลอดคืน+ 2 แล้วชาวอิสราเอลก็เริ่มบ่นต่อว่าโมเสสกับอาโรน+ว่า “ให้เราตายในอียิปต์หรือในที่กันดารนี้ก็ยังดีซะกว่า! 3 ทำไมพระยะโฮวาต้องพาพวกเราไปให้เขาฆ่าถึงแผ่นดินนั้น?+ แถมลูกเมียของเรายังต้องถูกจับไปเป็นเชลยอีก+ งั้นเรากลับไปอียิปต์ไม่ดีกว่าหรือ?”+ 4 พวกเขาถึงกับพูดกันว่า “ให้เราตั้งหัวหน้าขึ้นมาคนหนึ่งแล้วกลับไปอียิปต์กันเถอะ”+
5 โมเสสกับอาโรนก็ซบหน้าลงกับพื้นต่อหน้าชาวอิสราเอล 6 โยชูวา+ลูกชายของนูนกับคาเลบ+ลูกชายของเยฟุนเนห์ซึ่งไปสอดแนมดูแผ่นดินนั้นก็ฉีกเสื้อของตัวเอง 7 ทั้งสองพูดกับชาวอิสราเอลว่า “แผ่นดินที่พวกเราไปสอดแนมดูจนทั่วนั้นเป็นแผ่นดินที่ดีมาก ๆ+ 8 ถ้าพระยะโฮวาพอใจพวกเรา พระองค์จะพาเราเข้าไปในแผ่นดินนั้น และยกแผ่นดินที่มีน้ำนมและน้ำผึ้งมากมาย+นี้ให้เราแน่นอน 9 แต่พวกคุณต้องไม่กบฏต่อพระยะโฮวา และอย่าไปกลัวประชาชนในแผ่นดินนั้น+ เราจัดการพวกเขาได้สบาย* เพราะพวกเขาไม่มีใครปกป้อง แต่เรามีพระยะโฮวาอยู่ด้วย+ อย่าไปกลัวพวกเขาเลย”
10 แต่ชาวอิสราเอลกลับพากันพูดว่าจะเอาหินขว้างเขาทั้งสองคน+ รัศมีของพระยะโฮวาก็มาปรากฏอยู่เหนือเต็นท์เข้าเฝ้าให้ชาวอิสราเอลทุกคนเห็น+
11 พระยะโฮวาพูดกับโมเสสว่า “ประชาชนพวกนี้จะลบหลู่เราอีกนานแค่ไหน?+ พวกเขาจะไม่ยอมเชื่อในตัวเราไปอีกนานแค่ไหน ทั้ง ๆ ที่ได้เห็นการอัศจรรย์ทั้งหมดที่เราทำเพื่อพวกเขาไปแล้ว?+ 12 เราจะล้างผลาญพวกเขาด้วยโรคระบาดและกำจัดพวกเขาให้สิ้นซาก แล้วทำให้เจ้าเป็นชนชาติที่ใหญ่กว่าและมีกำลังมากกว่าพวกเขาดีไหม?”+
13 แต่โมเสสพูดกับพระยะโฮวาว่า “แต่พระองค์พาคนพวกนี้ออกมาจากอียิปต์ด้วยพลังอำนาจของพระองค์ แล้วถ้าตอนนี้พระองค์ทำลายพวกเขา ชาวอียิปต์ก็จะได้ยินเรื่องนี้+ 14 แล้วพวกเขาก็จะเล่าให้คนที่อยู่ในแผ่นดินนี้ฟัง ซึ่งคนในแผ่นดินนี้ก็เคยได้ยินว่าพระยะโฮวาอยู่กับประชาชนพวกนี้+ และปรากฏตัวให้พวกเขาเห็น+ พระองค์คือพระยะโฮวา เมฆของพระองค์ก็ลอยอยู่เหนือพวกเขา พระองค์นำพวกเขาไปด้วยเสาเมฆในตอนกลางวัน และด้วยเสาไฟในตอนกลางคืน+ 15 ถ้าพระองค์ประหารชีวิตประชาชนพวกนี้ทั้งหมดพร้อมกัน ชาติต่าง ๆ ที่ได้ยินชื่อเสียงของพระองค์จะต้องพูดว่า 16 ‘พระยะโฮวาพาประชาชนพวกนี้เข้าไปในแผ่นดินที่พระองค์สาบานว่าจะยกให้พวกเขาไม่ได้ พระองค์เลยฆ่าพวกเขาซะในที่กันดาร’+ 17 พระยะโฮวาครับ ตอนนี้ขอให้พระองค์แสดงอำนาจที่ยิ่งใหญ่ของพระองค์ตามที่เคยสัญญาไว้ ตอนนั้นพระองค์พูดว่า 18 ‘พระยะโฮวาไม่โกรธง่าย รักใครก็รักมั่นคง+ ให้อภัยความผิดและบาป แต่ไม่ละเว้นการลงโทษ พระองค์จะให้โทษของความผิดตกไปถึงลูกหลานสามสี่ชั่วอายุคน’+ 19 โปรดให้อภัยประชาชนพวกนี้ที่ทำผิด เพราะพระองค์เป็นพระเจ้าที่มีความรักที่ยิ่งใหญ่และมั่นคง ขอพระองค์ให้อภัยพวกเขาเหมือนกับที่พระองค์ได้ทำตั้งแต่ตอนที่พวกเขาออกจากอียิปต์จนมาถึงตอนนี้”+
20 พระยะโฮวาพูดว่า “ก็ได้ เราจะให้อภัยพวกเขาตามที่เจ้าขอ+ 21 แต่รู้ไว้เลยว่า โลกทั้งโลกจะต้องเต็มไปด้วยสง่าราศีของเรายะโฮวา+อย่างแน่นอน แน่นอนเหมือนที่เรามีชีวิตอยู่ 22 ทุกคนที่ได้เห็นสง่าราศีกับการอัศจรรย์ต่าง ๆ+ที่เราทำในอียิปต์และในที่กันดาร แล้วยังมาทดสอบเรา+นับสิบครั้งและไม่เชื่อฟังเรา+ 23 คนพวกนี้จะไม่ได้เห็นแผ่นดินที่เราสาบานว่าจะยกให้บรรพบุรุษของพวกเขา ทุกคนที่ลบหลู่เราจะไม่ได้เห็นแผ่นดินนั้นเลย+ 24 แต่คาเลบ+ผู้รับใช้ของเราคิดไม่เหมือนคนพวกนี้ เราให้เขาทำอะไร เขาก็ทำอย่างสุดหัวใจ เราจะพาเขาเข้าไปในแผ่นดินที่เขาไปสอดแนมดู และลูกหลานของเขาจะเข้าครอบครองแผ่นดินนั้น+ 25 วันพรุ่งนี้ให้พวกเจ้าวกกลับ และเดินทางไปที่กันดารตามเส้นทางทะเลแดง+ เพราะมีชาวอามาเลขและชาวคานาอัน+อาศัยอยู่ตามหุบเขา”
26 พระยะโฮวาพูดกับโมเสสและอาโรนว่า 27 “ประชาชนที่ชั่วร้ายพวกนี้จะบ่นต่อว่าเราไปอีกนานแค่ไหน?+ เราได้ยินชาวอิสราเอลบ่นต่อว่าเรา+ 28 ไปบอกพวกเขาว่า ‘พระยะโฮวาพูดว่า “เราจะทำกับพวกเจ้าตามที่เราได้ยินพวกเจ้าบ่น+ เราจะทำอย่างนั้นแน่นอน แน่นอนเหมือนที่เรามีชีวิตอยู่ 29 พวกเจ้าจะต้องตายอยู่ในที่กันดารนี้+ คือทุกคนที่ได้ขึ้นทะเบียนซึ่งมีอายุตั้งแต่ 20 ปีขึ้นไปและบ่นต่อว่าเรา+ 30 พวกเจ้าจะไม่ได้เข้าไปในแผ่นดินซึ่งเราสาบานไว้ว่าจะให้พวกเจ้าอยู่+ ยกเว้นคาเลบลูกชายของเยฟุนเนห์ และโยชูวาลูกชายของนูน+
31 “‘“ส่วนลูก ๆ ของพวกเจ้า ซึ่งพวกเจ้าพูดว่าจะถูกจับเป็นเชลยนั้น+ เราจะพาพวกเขาเข้าไป และพวกเขาจะได้เห็นแผ่นดินที่พวกเจ้ารังเกียจไม่อยากได้นั้น+ 32 แต่พวกเจ้าจะต้องตายกันอยู่ในที่กันดารนี้ 33 ลูกหลานของพวกเจ้าจะเป็นคนเลี้ยงแกะร่อนเร่อยู่ในที่กันดาร 40 ปี+ พวกเขาจะต้องรับผลจากการกระทำที่ไม่ซื่อสัตย์*ของเจ้า จนกว่าคนสุดท้ายในพวกเจ้าจะตายในที่กันดาร+ 34 พวกเจ้าเข้าไปสอดแนมดูแผ่นดินนั้น 40 วัน+ ก็ให้เอาวันเป็นปี ดังนั้น พวกเจ้าจะต้องรับผลจากการทำผิดเป็นเวลา 40 ปี+ เพื่อพวกเจ้าจะรู้ว่าผลของการต่อต้านเรา*นั้นเป็นยังไง
35 “‘“เรายะโฮวาพูดไว้ยังไง เราก็จะทำอย่างนั้นกับชาวอิสราเอลที่ชั่วร้ายทั้งหมดนี้ซึ่งรวมหัวกันบ่นต่อว่าเรา พวกเขาจะต้องพบจุดจบในที่กันดารนี้ พวกเขาจะตายอยู่ที่นี่+ 36 ส่วนคนที่โมเสสส่งไปสอดแนมดูแผ่นดินนั้น และกลับมารายงานในแง่ลบ+จนทำให้ชาวอิสราเอลทุกคนบ่นต่อว่าเขา 37 คนที่รายงานในแง่ลบเกี่ยวกับแผ่นดินนั้นจะต้องรับโทษและตายต่อหน้าพระยะโฮวา+ 38 แต่โยชูวาลูกชายของนูนกับคาเลบลูกชายของเยฟุนเนห์ซึ่งอยู่ในกลุ่มคนที่ไปสอดแนมดูแผ่นดินนั้นจะรอดชีวิต”’”+
39 เมื่อโมเสสมาบอกเรื่องนี้กับชาวอิสราเอล พวกเขาก็ร้องไห้คร่ำครวญกันยกใหญ่ 40 พวกเขาตื่นแต่เช้าและพยายามขึ้นไปบนยอดเขา พวกเขาพูดว่า “พวกเราทำบาปไปแล้ว แต่ตอนนี้เราพร้อมจะขึ้นไปที่ที่พระยะโฮวาบอกไว้”+ 41 โมเสสก็พูดว่า “พระยะโฮวาไม่ได้สั่งให้ทำ ทำไมพวกคุณคิดเองเออเองกันแบบนี้? มันไม่มีทางสำเร็จหรอก 42 อย่าขึ้นไปเลย พระยะโฮวาไม่อยู่กับพวกคุณแล้ว พวกคุณจะแพ้ศัตรูแน่ ๆ+ 43 เพราะมีทั้งชาวอามาเลขและชาวคานาอันรอสู้กับพวกคุณอยู่+ คุณจะต้องตายเพราะถูกฆ่าฟัน พระยะโฮวาจะไม่อยู่กับพวกคุณ เพราะพวกคุณหันหลังให้พระยะโฮวา”+
44 แต่พวกเขาก็ยังดันทุรังขึ้นไปบนยอดเขานั้น+ แต่โมเสสไม่ได้ไปด้วย และหีบสัญญาของพระยะโฮวาก็ยังอยู่กลางค่ายพัก+ 45 ชาวอามาเลขกับชาวคานาอันซึ่งอาศัยอยู่ในแถบภูเขานั้นก็ลงมาต่อสู้พวกเขา และตีพวกเขาแตกร่นไปถึงโฮร์มาห์+
15 พระยะโฮวาพูดกับโมเสสว่า 2 “ให้พูดกับชาวอิสราเอลอย่างนี้ ‘เมื่อพวกเจ้าเข้าไปอยู่ในแผ่นดินซึ่งเราจะยกให้พวกเจ้านั้น+ 3 และจะถวายวัว แกะ หรือแพะเป็นเครื่องบูชาให้พระยะโฮวาด้วยการเผาเพื่อจะมีกลิ่นหอมที่ทำให้พระยะโฮวาพอใจ+ ไม่ว่าจะเป็นเครื่องบูชาเผา+ เครื่องบูชาสำหรับการปฏิญาณตัวเป็นพิเศษ เครื่องบูชาที่ถวายด้วยความสมัครใจ+ หรือเครื่องบูชาที่ถวายระหว่างเทศกาลฉลอง+ 4 คนที่เอาเครื่องบูชามาถวายนั้นจะต้องถวายเครื่องบูชาที่ทำจากเมล็ดข้าวให้พระยะโฮวาด้วย ซึ่งเป็นแป้งเนื้อละเอียด+ 1 ใน 10 เอฟาห์*ที่นวดกับน้ำมัน 1 ใน 4 ฮิน* 5 และเจ้าต้องถวายเหล้าองุ่น 1 ใน 4 ฮิน*เป็นเครื่องบูชาดื่ม เมื่อถวายลูกแกะตัวผู้ตัวหนึ่งเป็นเครื่องบูชาเผา+หรือเป็นเครื่องบูชาอย่างอื่น 6 หรือถ้าเป็นแกะตัวผู้ 1 ตัว เจ้าต้องถวายเครื่องบูชาที่ทำจากเมล็ดข้าวที่เป็นแป้งเนื้อละเอียด 2 ใน 10 เอฟาห์*ที่นวดกับน้ำมัน 1 ใน 3 ฮิน* 7 และเจ้าต้องถวายเหล้าองุ่น 1 ใน 3 ฮิน*เป็นเครื่องบูชาดื่ม เพื่อจะมีกลิ่นหอมที่ทำให้พระยะโฮวาพอใจ
8 “‘แต่ถ้าเจ้าถวายวัวหนุ่มตัวหนึ่งเป็นเครื่องบูชาเผา+ หรือเป็นเครื่องบูชาสำหรับการปฏิญาณตัวเป็นพิเศษ+ หรือเป็นเครื่องบูชาผูกมิตรให้พระยะโฮวา+ 9 ให้เจ้าถวายวัวตัวนั้นพร้อมกับเครื่องบูชาที่ทำจากเมล็ดข้าว+ที่เป็นแป้งเนื้อละเอียด 3 ใน 10 เอฟาห์*ที่นวดกับน้ำมันครึ่งฮิน* 10 และเจ้าต้องถวายเหล้าองุ่นครึ่งฮิน*เป็นเครื่องบูชาดื่ม+ โดยถวายด้วยการเผาเพื่อจะมีกลิ่นหอมที่ทำให้พระยะโฮวาพอใจ 11 ให้ทำอย่างนี้เมื่อถวายวัว แกะตัวผู้ ลูกแกะตัวผู้ หรือแพะแต่ละตัว 12 ไม่ว่าเจ้าจะถวายสัตว์กี่ตัวก็ต้องทำอย่างนี้กับสัตว์ทุกตัว 13 ชาวอิสราเอลทุกคนต้องทำอย่างนี้เมื่อถวายเครื่องบูชาด้วยการเผาซึ่งมีกลิ่นหอมที่ทำให้พระยะโฮวาพอใจ
14 “‘ถ้าคนต่างชาติที่อาศัยอยู่กับเจ้า หรือที่อยู่ในแผ่นดินของพวกเจ้ามาหลายชั่วอายุต้องการถวายเครื่องบูชาด้วยการเผาซึ่งมีกลิ่นหอมที่ทำให้พระยะโฮวาพอใจ ก็ให้เขาทำตามอย่างที่พวกเจ้าทำนั้น+ 15 จะมีข้อกำหนดเดียวกันสำหรับพวกเจ้าซึ่งเป็นชาวอิสราเอล*และคนต่างชาติที่อาศัยอยู่กับเจ้า นี่เป็นข้อกำหนดที่พวกเจ้าต้องทำตามไปตลอดทุกยุคทุกสมัย สำหรับพระยะโฮวาแล้วคนต่างชาติก็ต้องทำเหมือนพวกเจ้า+ 16 พวกเจ้าและคนต่างชาติที่อาศัยอยู่กับเจ้าจะต้องอยู่ภายใต้ข้อบัญญัติและข้อกฎหมายเดียวกัน’”
17 พระยะโฮวาพูดกับโมเสสต่อไปว่า 18 “ให้พูดกับชาวอิสราเอลอย่างนี้ ‘เมื่อพวกเจ้าเข้าไปอยู่ในแผ่นดินที่เรากำลังจะพาพวกเจ้าไป 19 และได้กินพืชผล*จากแผ่นดินนั้น+ เจ้าต้องถวายส่วนหนึ่งให้พระยะโฮวาด้วย 20 พวกเจ้าต้องเอาแป้งหยาบที่ได้จากผลแรกของการเก็บเกี่ยว+มาทำเป็นขนมปังรูปวงแหวนถวายพระเจ้า โดยถวายอย่างเดียวกับการถวายสิ่งที่ได้จากลานนวดข้าว 21 แป้งหยาบส่วนหนึ่งซึ่งได้จากผลแรกของการเก็บเกี่ยวนั้นเจ้าต้องถวายเป็นเครื่องบูชาให้พระยะโฮวาตลอดทุกยุคทุกสมัย
22 “‘ถ้าพวกเจ้าทำผิดโดยไม่ทำตามข้อบัญญัติทั้งหมดซึ่งพระยะโฮวาสั่งโมเสสไว้ 23 คือข้อบัญญัติทั้งหมดที่พระยะโฮวาสั่งผ่านทางโมเสส ซึ่งมีผลตั้งแต่วันที่พระยะโฮวาสั่งไปจนตลอดทุกยุคทุกสมัย 24 ถ้าชาติอิสราเอลทำผิดโดยไม่เจตนา และมารู้ทีหลัง ทั้งชาติจะต้องถวายวัวหนุ่มตัวหนึ่งเป็นเครื่องบูชาเผาเพื่อจะมีกลิ่นหอมที่ทำให้พระยะโฮวาพอใจ โดยถวายควบคู่กับเครื่องบูชาที่ทำจากเมล็ดข้าวและเครื่องบูชาดื่มตามขั้นตอนที่ทำเป็นประจำ+ และต้องถวายลูกแพะตัวหนึ่งเป็นเครื่องบูชาไถ่บาปด้วย+ 25 ปุโรหิตจะต้องทำการไถ่บาปให้ชาวอิสราเอลทั้งชาติ พวกเขาถึงจะได้รับการอภัย+เพราะเป็นความผิดที่ทำโดยไม่เจตนา พวกเขาจะต้องนำเครื่องบูชามาถวายพระยะโฮวาด้วยการเผา และต้องเอาเครื่องบูชาไถ่บาปมาถวายต่อหน้าพระยะโฮวาสำหรับความผิดของพวกเขาด้วย 26 ชาวอิสราเอลทั้งชาติรวมทั้งคนต่างชาติที่อาศัยอยู่กับพวกเขาจะได้รับการอภัยเพราะเป็นความผิดที่ประชาชนทั้งหมดทำโดยไม่เจตนา
27 “‘ถ้าใครคนหนึ่งทำบาปโดยไม่เจตนา เขาจะต้องถวายแพะตัวเมียอายุไม่เกิน 1 ปี 1 ตัวเพื่อเป็นเครื่องบูชาไถ่บาป+ 28 และปุโรหิตจะทำการไถ่บาปให้คนนั้นต่อหน้าพระยะโฮวาเพื่อไถ่บาปให้เขา แล้วเขาก็จะได้รับการอภัย+ 29 ชาวอิสราเอลและคนต่างชาติที่อาศัยอยู่กับพวกเขาจะต้องใช้กฎหมายเดียวกันเมื่อมีการทำบาปโดยไม่เจตนา+
30 “‘แต่ถ้าใครคนหนึ่งเจตนาทำบาป+ ไม่ว่าเขาจะเป็นชาวอิสราเอลหรือคนต่างชาติ เขากำลังลบหลู่พระยะโฮวาและต้องถูกประหารชีวิต 31 เขาต้องถูกประหารชีวิตเพราะเขาดูถูกคำพูดของพระยะโฮวาและฝ่าฝืนคำสั่งของพระองค์ เขาต้องถูกลงโทษ+เพราะความผิดของตัวเอง’”+
32 ตอนที่ชาวอิสราเอลอยู่ในที่กันดาร ก็พบว่ามีผู้ชายคนหนึ่งเก็บฟืนในวันสะบาโต+ 33 คนที่เห็นผู้ชายคนนี้กำลังเก็บฟืนก็พาเขาไปหาโมเสสกับอาโรนและชาวอิสราเอล 34 พวกเขาคุมตัวคนนี้ไว้+ เพราะในกฎหมายไม่ได้บอกแน่ชัดว่าควรทำอย่างไรกับเขา
35 พระยะโฮวาสั่งโมเสสว่า “ผู้ชายคนนั้นต้องถูกประหารชีวิต+ ให้ชาวอิสราเอลเอาหินขว้างเขาให้ตายข้างนอกค่ายพัก”+ 36 ชาวอิสราเอลก็พาเขาออกไปข้างนอกค่ายพัก และเอาหินขว้างเขาจนตายตามที่พระยะโฮวาสั่งโมเสส
37 พระยะโฮวาพูดกับโมเสสต่อไปว่า 38 “ให้บอกชาวอิสราเอลว่า ตลอดทุกยุคทุกสมัยพวกเขาจะต้องทำครุยที่ชายเสื้อของตัวเอง และให้เขาเย็บด้ายสีฟ้าไว้เหนือชายครุยนั้น+ 39 จะต้องมีชายครุยแบบนี้เพื่อเวลาที่เขาเห็นจะได้ระลึกถึงคำสั่งทั้งหมดของพระยะโฮวาและทำตาม+ อย่าให้เขาทำตามที่ใจและตาของเขาต้องการ ซึ่งจะทำให้เขาไม่ซื่อสัตย์ต่อพระเจ้า+ 40 สิ่งนี้จะช่วยพวกเขาให้ระลึกถึงคำสั่งทั้งหมดของเราและทำตาม แล้วเขาจะเป็นคนบริสุทธิ์สำหรับพระเจ้าของพวกเขา+ 41 เราคือยะโฮวาพระเจ้าของพวกเจ้า ผู้ที่พาเจ้าออกจากอียิปต์เพื่อเป็นพระเจ้าของพวกเจ้า+ เราคือยะโฮวาพระเจ้าของพวกเจ้า”+
16 ฝ่ายโคราห์+ซึ่งเป็นลูกชายของอิสฮาร์+ อิสฮาร์เป็นลูกชายของโคฮาท+ โคฮาทเป็นลูกชายของเลวี+ได้รวมหัวกับลูกหลานของรูเบน+ คือ ดาธานกับอาบีรัมลูกชายของเอลีอับ+ และโอนลูกชายของเปเลธ 2 พวกเขากับผู้ชายชาวอิสราเอลอีก 250 คนซึ่งเป็นคนที่มีชื่อเสียงและเป็นพวกหัวหน้าที่ถูกเลือกจากประชาชน* พากันมาต่อต้านโมเสส 3 พวกเขามารวมตัวกันและพูดต่อต้าน+โมเสสกับอาโรนว่า “พอกันที เราหมดความอดทนกับพวกคุณแล้ว ชาวอิสราเอลทุกคนเป็นคนบริสุทธิ์+และพระยะโฮวาก็อยู่กับพวกเขา+ ทำไมพวกคุณถึงมายกตัวเองอยู่เหนือประชาชนของพระยะโฮวาอย่างนี้?”
4 พอโมเสสได้ยินอย่างนี้ก็ทรุดลงกับพื้น 5 แล้วพูดกับโคราห์และพรรคพวกของเขาว่า “พรุ่งนี้เช้า พระยะโฮวาจะทำให้เห็นว่าใครเป็นคนของพระองค์+ ใครเป็นคนบริสุทธิ์ และใครเป็นคนที่จะเข้าพบพระองค์ได้+ ถ้าพระองค์เลือกใคร+ คนนั้นจะเข้าพบพระองค์ได้ 6 ให้คุณกับพรรคพวก+ทำอย่างนี้ ไปเอาภาชนะเผาเครื่องหอม+มา 7 แล้วพรุ่งนี้ให้เอาถ่านไฟกับเครื่องหอมใส่ลงไปต่อหน้าพระยะโฮวา ถ้าพระยะโฮวาเลือกใคร+ คนนั้นก็เป็นคนบริสุทธิ์ พวกลูกหลานของเลวี+ พวกคุณทำเกินไปแล้ว”
8 โมเสสพูดกับโคราห์ต่อไปว่า “พวกคุณที่เป็นลูกหลานของเลวีโปรดฟังผม 9 ที่พระเจ้าให้พวกคุณยังไม่พออีกหรือ? พระเจ้าของอิสราเอลเลือกพวกคุณมาจากชาวอิสราเอล+ และให้เข้าใกล้พระองค์เพื่อรับใช้ที่เต็นท์ศักดิ์สิทธิ์ของพระยะโฮวา และให้พวกคุณยืนต่อหน้าชาวอิสราเอลเพื่อรับใช้พวกเขา+ 10 พระองค์ให้คุณกับญาติพี่น้องทั้งหมดที่เป็นลูกหลานของเลวีใกล้ชิดกับพระองค์ แล้วนี่พวกคุณยังอยากได้ตำแหน่งปุโรหิตอีกหรือ?+ 11 การที่คุณกับพรรคพวกรวมตัวกันทำอย่างนี้เป็นการต่อต้านพระยะโฮวา ส่วนอาโรนนั้นเป็นใคร พวกคุณถึงมาบ่นต่อว่าเขา?”+
12 ต่อมา โมเสสส่งคนไปเรียกดาธานกับอาบีรัม+ลูกชายของเอลีอับมาพบ แต่ทั้งสองพูดว่า “ไม่! ทำไมเราต้องไปด้วย 13 ที่คุณพาพวกเราออกมาจากแผ่นดินที่มีน้ำนมและน้ำผึ้งมากมายและให้พวกเรามาตายในที่กันดารนี้ยังไม่พอหรือ?+ ตอนนี้ถึงอยากทำตัวเป็นเจ้านายพวกเราอีก 14 ไหนล่ะ แผ่นดินที่มีน้ำนมและน้ำผึ้งมากมาย+ที่บอกว่าจะพาพวกเราไปอยู่ และจะให้ไร่นากับสวนองุ่นเป็นมรดกของเรา? คุณอยากให้คนพวกนี้หลับหูหลับตาติดตามคุณไปล่ะสิ* เราไม่ไปหาคุณหรอก”
15 โมเสสโกรธมากและพูดกับพระยะโฮวาว่า “ขอพระองค์อย่าหันไปสนใจเครื่องบูชาที่ทำจากเมล็ดข้าวของพวกเขาเลย ลาสักตัวผมก็ไม่เคยเอาจากพวกเขา ผมไม่เคยทำร้ายพวกเขาเลยแม้แต่คนเดียว”+
16 โมเสสพูดกับโคราห์ว่า “ให้คุณกับพรรคพวกมาอยู่ต่อหน้าพระยะโฮวาในวันพรุ่งนี้ ทั้งคุณกับพวกเขาและอาโรนด้วย 17 ให้ทุกคนเอาภาชนะเผาเครื่องหอมมาและเอาเครื่องหอมใส่ลงไป และแต่ละคนจะถวายภาชนะเผาเครื่องหอมของตัวเองต่อหน้าพระยะโฮวา ทั้ง 250 อัน และของคุณกับอาโรนด้วย” 18 แต่ละคนก็เอาภาชนะเผาเครื่องหอมของตัวเองมาแล้วใส่ถ่านไฟกับเครื่องหอมลงไปในภาชนะนั้น และยืนอยู่กับโมเสสและอาโรนตรงทางเข้าเต็นท์เข้าเฝ้า 19 พอโคราห์รวบรวมพรรคพวก+มาต่อต้านโมเสสกับอาโรนตรงทางเข้าเต็นท์เข้าเฝ้า รัศมีของพระยะโฮวาก็ปรากฏให้ชาวอิสราเอลเห็น+
20 พระยะโฮวาพูดกับโมเสสและอาโรนว่า 21 “แยกตัวออกมาจากคนกลุ่มนั้นเดี๋ยวนี้ เพราะเราจะกำจัดพวกเขาให้สิ้นซากในพริบตาเดียว”+ 22 เขาทั้งสองก็ซบหน้าลงกับพื้นและพูดว่า “พระเจ้าครับ พระองค์เป็นพระเจ้าผู้ให้ชีวิตกับมนุษย์ทุกคน+ มีแค่คนเดียวทำบาปแต่พระองค์จะโกรธประชาชนทั้งหมดเลยหรือครับ?”+
23 พระยะโฮวาพูดกับโมเสสว่า 24 “ไปบอกประชาชนว่า ‘ออกไปให้ห่างจากเต็นท์ของโคราห์ ดาธาน และอาบีรัม’”+
25 โมเสสลุกขึ้นไปหาดาธานกับอาบีรัม พวกผู้นำ*+ของชาวอิสราเอลก็ไปด้วย 26 โมเสสพูดกับประชาชนว่า “ออกไปให้ห่างจากเต็นท์ของคนชั่วพวกนี้ อย่าไปแตะต้องอะไรที่เป็นของพวกเขา พวกคุณจะได้ไม่ถูกกวาดล้างไปเพราะบาปทั้งหมดที่พวกเขาทำ” 27 ประชาชนก็ออกไปจากบริเวณเต็นท์ของโคราห์ ดาธาน และอาบีรัมทันที ส่วนดาธานกับอาบีรัมก็ออกมายืนอยู่ตรงทางเข้าเต็นท์ของตัวเองพร้อมกับภรรยาและลูก ๆ
28 โมเสสพูดว่า “สิ่งที่จะเกิดขึ้นต่อไปนี้จะทำให้พวกคุณรู้ว่า ที่ผมทำมาทั้งหมดนี้พระยะโฮวาใช้ให้ผมทำ ผมไม่ได้คิดเองทำเอง 29 ถ้าคนพวกนี้ตายเหมือนที่คนทั่วไปตาย หรือถูกลงโทษเหมือนที่คนทั่วไปถูกลงโทษ แสดงว่าพระยะโฮวาไม่ได้ใช้ผม+ 30 แต่ถ้าพระยะโฮวาทำให้สิ่งแปลกประหลาดเกิดขึ้น คือให้แผ่นดินแยกออกและกลืนพวกเขาลงหลุม*ทั้งเป็น รวมทั้งกลืนทุกสิ่งที่เป็นของพวกเขา พวกคุณก็จะรู้ว่าคนพวกนี้ลบหลู่พระยะโฮวา”
31 ทันทีที่โมเสสพูดจบ แผ่นดินตรงที่พวกเขายืนอยู่ก็เริ่มแยกออก+ 32 แผ่นดินแยกออกจากกันและกลืนพวกเขากับครอบครัว และคนของโคราห์+ รวมทั้งข้าวของทั้งหมด 33 พวกเขาและคนของพวกเขาได้ลงไปในหลุม*ทั้งเป็น และแผ่นดินก็ปิดกลบพวกเขาให้สาบสูญไปจากชาวอิสราเอล+ 34 ชาวอิสราเอลที่อยู่รอบ ๆ ได้ยินเสียงร้องของพวกเขาก็พากันวิ่งหนี และพูดว่า “เรากลัวโดนแผ่นดินกลืนลงไปด้วย!” 35 และไฟจากพระยะโฮวาลงมา+เผาผลาญผู้ชาย 250 คนที่ถวายเครื่องหอมนั้น+
36 พระยะโฮวาพูดกับโมเสสว่า 37 “ไปบอกเอเลอาซาร์ลูกชายของปุโรหิตอาโรนให้เอาภาชนะเผาเครื่องหอมทั้งหมด+ออกมาจากไฟ เพราะภาชนะนั้นเป็นสิ่งบริสุทธิ์ และให้เอาถ่านไฟออกไปทิ้งไกล ๆ ด้วย 38 ให้เอาภาชนะเผาเครื่องหอมของคนที่ตายเพราะทำบาปมาตีเป็นแผ่นโลหะบาง ๆ สำหรับหุ้มแท่นบูชา+ เพราะพวกเขาถวายภาชนะนั้นต่อหน้าพระยะโฮวา ภาชนะนั้นจึงเป็นสิ่งบริสุทธิ์ และให้สิ่งนั้นเป็นเครื่องเตือนใจชาวอิสราเอล”+ 39 แล้วปุโรหิตเอเลอาซาร์ก็ไปเอาภาชนะเผาเครื่องหอมที่ทำด้วยทองแดงซึ่งคนที่ถูกไฟเผาผลาญได้ถวายนั้นมา และตีภาชนะนั้นเป็นแผ่นสำหรับหุ้มแท่นบูชา 40 เป็นเครื่องเตือนใจชาวอิสราเอลตามที่พระยะโฮวาสั่งเขาผ่านทางโมเสส เพื่อไม่ให้คนที่ไม่มีสิทธิ์*ซึ่งไม่ใช่ลูกหลานของอาโรนเข้ามาเผาเครื่องหอมถวายต่อหน้าพระยะโฮวา+ และเพื่อไม่ให้ใครเอาเยี่ยงอย่างโคราห์กับพรรคพวก+
41 วันรุ่งขึ้น ชาวอิสราเอลก็เริ่มบ่นต่อว่าโมเสสกับอาโรน+ว่า “พวกคุณสองคนทำให้ประชาชนของพระยะโฮวาต้องตาย” 42 ตอนที่ชาวอิสราเอลรวมตัวกันต่อต้านโมเสสกับอาโรน ทุกคนหันไปทางเต็นท์เข้าเฝ้าและเห็นเมฆมาปกคลุมเต็นท์นั้น แล้วรัศมีของพระยะโฮวาก็ปรากฏออกมา+
43 โมเสสกับอาโรนก็ไปยืนที่หน้าเต็นท์เข้าเฝ้า+ 44 พระยะโฮวาพูดกับโมเสสว่า 45 “ออกมาจากคนพวกนี้ เพราะเราจะกำจัดพวกเขาให้สิ้นซากในพริบตาเดียว”+ โมเสสกับอาโรนก็ซบหน้าลงกับพื้น+ 46 โมเสสพูดกับอาโรนว่า “ไปเอาภาชนะเผาเครื่องหอมมา เอาถ่านไฟจากแท่นบูชา+ใส่ลงไป และเอาเครื่องหอมใส่ลงไปด้วย แล้วรีบไปหาประชาชนและทำการไถ่บาปให้พวกเขา+ เพราะตอนนี้พระยะโฮวาโกรธพวกเขา ภัยพิบัติเริ่มขึ้นแล้ว” 47 อาโรนก็รีบไปเอาภาชนะเผาเครื่องหอมมาตามที่โมเสสบอกและวิ่งเข้าไปในกลุ่มฝูงชน ตอนนี้ภัยพิบัติเริ่มล้างผลาญประชาชนแล้ว อาโรนจึงเอาเครื่องหอมใส่ลงไปในภาชนะเผาเครื่องหอมและทำการไถ่บาปให้ประชาชน 48 เขายืนอยู่อย่างนั้นระหว่างคนที่ตายไปแล้วกับคนที่ยังมีชีวิตอยู่ ในที่สุด ภัยพิบัติก็สงบลง 49 คนที่ตายจากภัยพิบัตินี้รวมแล้ว 14,700 คน ไม่นับคนที่ตายเพราะโคราห์ 50 อาโรนกลับไปหาโมเสสตรงทางเข้าเต็นท์เข้าเฝ้าหลังจากภัยพิบัติสงบลง
17 พระยะโฮวาพูดกับโมเสสว่า 2 “ไปบอกชาวอิสราเอลว่า ให้หัวหน้าของแต่ละตระกูล+เอาไม้เท้ามาตระกูลละอัน รวม 12 อัน และให้เขียนชื่อบนไม้เท้าของตัวเองด้วย 3 ให้เจ้าเขียนชื่ออาโรนบนไม้เท้าของตระกูลเลวี เพราะจะต้องมีไม้เท้าอันหนึ่งสำหรับหัวหน้าตระกูลทุกตระกูล 4 ให้เอาไม้เท้านั้นไปไว้ในเต็นท์เข้าเฝ้าตรงหน้าหีบสัญญา+ ที่ซึ่งเรามาหาพวกเจ้าเป็นประจำ+ 5 และถ้าเราเลือกคนไหน+ ไม้เท้าของคนนั้นจะออกดอก เราจะทำให้ชาวอิสราเอลหยุดบ่นต่อว่าเรา+และหยุดบ่นต่อว่าเจ้าสองคนด้วย”+
6 โมเสสก็ไปบอกชาวอิสราเอล และพวกหัวหน้าของชาวอิสราเอลก็เอาไม้เท้าไปให้โมเสส หัวหน้าของแต่ละตระกูลเอาไปให้คนละหนึ่งอัน รวม 12 อัน และมีไม้เท้าของอาโรนด้วย 7 โมเสสเอาไม้เท้าไปวางไว้ต่อหน้าพระยะโฮวาในเต็นท์ศักดิ์สิทธิ์ซึ่งเป็นที่เก็บหีบสัญญา
8 วันรุ่งขึ้น ตอนโมเสสเข้าไปในเต็นท์ศักดิ์สิทธิ์ซึ่งเป็นที่เก็บหีบสัญญา ก็เห็นว่าไม้เท้าของอาโรนจากตระกูลเลวีออกดอก มีทั้งดอกตูม ดอกบาน และผลอัลมอนด์สุก 9 โมเสสเอาไม้เท้าทั้งหมดที่วางอยู่ต่อหน้าพระยะโฮวานั้นออกมาให้ชาวอิสราเอลดู และพวกหัวหน้าก็หยิบไม้เท้าของตัวเองไป
10 พระยะโฮวาพูดกับโมเสสว่า “เอาไม้เท้าของอาโรน+กลับไปเก็บไว้ที่หน้าหีบสัญญา จะได้เป็นเครื่องเตือนใจ+พวกที่ชอบกบฏ+ให้หยุดบ่นต่อว่าเรา เพื่อพวกเขาจะไม่ตาย” 11 โมเสสทำตามที่พระยะโฮวาสั่งทันที เขาทำตามทุกอย่าง
12 ชาวอิสราเอลพูดกับโมเสสว่า “พวกเราตายแน่ พวกเราคงต้องพินาศ เราทั้งหมดจะต้องพินาศแน่ ๆ! 13 ใครก็ตามที่เข้าไปใกล้เต็นท์ศักดิ์สิทธิ์ของพระยะโฮวาจะต้องตาย!+ แล้วเราจะต้องตายกันหมดเลยหรือนี่?”+
18 พระยะโฮวาพูดกับอาโรนว่า “เจ้ากับลูกชายและลูกหลานของเจ้าจะต้องรับผิดชอบถ้ามีการละเมิดข้อบัญญัติเกี่ยวกับที่ศักดิ์สิทธิ์+ และเจ้ากับลูกชายจะต้องรับผิดชอบถ้ามีการละเมิดข้อบัญญัติเกี่ยวกับการทำหน้าที่ปุโรหิตของเจ้า+ 2 และให้นำญาติพี่น้องที่อยู่ในตระกูลเลวีมา คือตระกูลของพ่อเจ้า และให้พวกเขาช่วยงานเจ้า+กับลูกชายที่หน้าเต็นท์ศักดิ์สิทธิ์ซึ่งเป็นที่เก็บหีบสัญญา+ 3 พวกเขาจะต้องทำงานตามที่เจ้ามอบหมาย รวมทั้งงานทุกอย่างที่เกี่ยวข้องกับเต็นท์ศักดิ์สิทธิ์+ แต่อย่าให้พวกเขาเข้าไปใกล้สิ่งของเครื่องใช้ในสถานบริสุทธิ์และแท่นบูชา เพื่อทั้งพวกเขาและพวกเจ้าจะไม่ตาย+ 4 พวกเขาจะมาทำงานมอบหมายที่เกี่ยวข้องกับเต็นท์เข้าเฝ้าและงานรับใช้ทุกอย่างที่เต็นท์นั้นร่วมกับเจ้า อย่าให้คนที่ไม่มีสิทธิ์*เข้ามาใกล้พวกเจ้า+ 5 ส่วนพวกเจ้าเองจะต้องทำงานมอบหมายที่สถานบริสุทธิ์+และที่แท่นบูชา+ เพื่อเราจะไม่โกรธ+ชาวอิสราเอลอีก 6 เราเลือกคนเลวีซึ่งเป็นญาติพี่น้องของเจ้าออกมาจากชาวอิสราเอลเป็นของขวัญให้พวกเจ้า+ พวกเขาจะเป็นของพระยะโฮวาและทำงานรับใช้ที่เกี่ยวข้องกับเต็นท์เข้าเฝ้า+ 7 เจ้ากับลูกชายจะต้องทำหน้าที่ปุโรหิตซึ่งเกี่ยวข้องกับแท่นบูชาและสิ่งที่อยู่ด้านหลังม่าน+ พวกเจ้าจะต้องทำหน้าที่นี้+ เรามอบหน้าที่ปุโรหิตเป็นของขวัญให้พวกเจ้า คนที่ไม่มีสิทธิ์*ซึ่งเข้ามาใกล้ที่ศักดิ์สิทธิ์จะต้องถูกประหารชีวิต”+
8 พระยะโฮวาพูดกับอาโรนต่อไปว่า “เรามอบหมายให้เจ้าดูแลของถวายต่าง ๆ ที่ประชาชนเอามาถวายเรา+ สิ่งบริสุทธิ์ทั้งหมดที่ชาวอิสราเอลเอามาถวายนี้ส่วนหนึ่งเรายกให้เจ้ากับลูกชาย เป็นส่วนที่พวกเจ้าจะได้รับตลอดไป+ 9 ส่วนที่จะเป็นของเจ้าซึ่งได้จากเครื่องบูชาอันบริสุทธิ์ยิ่งที่ถวายด้วยการเผามีดังนี้ เครื่องบูชาทุกอย่างที่ประชาชนถวายซึ่งรวมถึงเครื่องบูชาที่ทำจากเมล็ดข้าว+ เครื่องบูชาไถ่บาป+ และเครื่องบูชาไถ่ความผิด+ที่พวกเขาเอามาถวายเรา นี่เป็นสิ่งบริสุทธิ์ยิ่งสำหรับเจ้ากับลูกชาย 10 เจ้าจะต้องกินส่วนต่าง ๆ นี้ในที่ที่สะอาดบริสุทธิ์+ ผู้ชายทุกคนจะกินได้ นี่เป็นสิ่งบริสุทธิ์สำหรับเจ้า+ 11 และสิ่งต่อไปนี้จะเป็นของเจ้าด้วย คือ ของถวายที่ชาวอิสราเอลเอามาถวาย+ พร้อมกับเครื่องบูชายื่นถวาย+ทั้งหมดของพวกเขา เรายกสิ่งต่าง ๆ นี้ให้เจ้ากับลูกชายและลูกสาวที่อยู่กับเจ้า เป็นส่วนที่พวกเจ้าจะได้รับตลอดไป+ ทุกคนที่สะอาดในสายตาเราซึ่งอยู่ในบ้านของเจ้าจะกินส่วนต่าง ๆ นี้ได้+
12 “ผลแรกของน้ำมัน เหล้าองุ่นใหม่ และข้าวซึ่งเป็นส่วนที่ดีที่สุด+ ที่ชาวอิสราเอลเอามาถวายพระยะโฮวาทั้งหมดนั้นเรายกให้เจ้า+ 13 ผลแรกทั้งหมดที่เก็บเกี่ยวได้จากที่ดินของพวกเขา ซึ่งพวกเขาจะเอามาถวายพระยะโฮวาจะเป็นของเจ้า+ ทุกคนที่สะอาดในสายตาเราซึ่งอยู่ในบ้านของเจ้าจะกินได้
14 “ทุกสิ่งที่ถวายแล้ว*ในแผ่นดินอิสราเอลจะเป็นของเจ้า+
15 “ลูกชายคนโตทุกคนและลูกสัตว์ที่เป็นตัวผู้ตัวแรกทุกตัว+ซึ่งประชาชนเอามาถวายพระยะโฮวาจะเป็นของเจ้า แต่เจ้าต้องไถ่ลูกชายคนโต+และลูกสัตว์ที่เป็นตัวผู้ตัวแรกของสัตว์ชนิดที่ไม่สะอาด+ 16 ให้เจ้าไถ่เด็กอายุ 1 เดือนขึ้นไป โดยไถ่ตามมูลค่าที่กำหนดไว้ คือเงินหนัก 5 เชเขล*+ตามเชเขลมาตรฐานของสถานบริสุทธิ์ 1 เชเขลเท่ากับ 20 เกราห์* 17 ส่วนลูกวัวตัวผู้ตัวแรก ลูกแกะตัวผู้ตัวแรก ลูกแพะตัวผู้ตัวแรกนั้นเจ้าไม่ต้องไถ่+ สัตว์พวกนี้เป็นสิ่งบริสุทธิ์ เจ้าต้องเอาเลือดของมันไปพรมใส่แท่นบูชา+ และเอามันของสัตว์พวกนี้ไปเผาเป็นเครื่องบูชาที่ถวายด้วยการเผาเพื่อจะมีกลิ่นหอมที่ทำให้พระยะโฮวาพอใจ+ 18 ส่วนเนื้อของมันจะเป็นของเจ้า เหมือนกับที่เนื้อส่วนอกของสัตว์ที่เป็นเครื่องบูชายื่นถวาย และส่วนที่เป็นขาขวาก็เป็นของเจ้า+ 19 ของถวายอันบริสุทธิ์ทั้งหมดที่ชาวอิสราเอลเอามาถวายพระยะโฮวานั้น+ เรายกให้เจ้ากับลูกชายและลูกสาวที่อยู่กับเจ้า เป็นส่วนที่เจ้าจะได้ตลอดไป+ นี่เป็นสัญญาที่ยั่งยืน* เป็นสัญญาระหว่างพระยะโฮวากับเจ้าและลูกหลานของเจ้า”
20 พระยะโฮวาพูดกับอาโรนต่อไปว่า “เจ้าจะไม่ได้มรดกที่ดินในแผ่นดินอิสราเอล เจ้าจะไม่ได้รับส่วนแบ่งจากพวกเขา+ เราจะดูแลเจ้าเอง*และจะจัดหาสิ่งจำเป็นให้เจ้าในแผ่นดินอิสราเอล+
21 “เรายกส่วน 1 ใน 10 ที่ได้จากของถวายในแผ่นดินอิสราเอลเป็นมรดกให้ลูกหลานของเลวี+ เป็นการตอบแทนสำหรับงานรับใช้ที่พวกเขาทำที่เกี่ยวข้องกับเต็นท์เข้าเฝ้า 22 อย่าให้ชาวอิสราเอลเข้ามาใกล้เต็นท์เข้าเฝ้าอีก พวกเขาจะได้ไม่ทำบาปและต้องตาย 23 คนเลวีจะต้องทำงานรับใช้ที่เกี่ยวข้องกับเต็นท์เข้าเฝ้า พวกเขาจะต้องรับผิดชอบต่อความผิดที่ประชาชนทำต่อสถานบริสุทธิ์+ คนเลวีจะไม่ได้รับมรดกที่ดินในแผ่นดินอิสราเอล+ นี่คือข้อกำหนดถาวรที่พวกเจ้าต้องทำไปตลอดทุกยุคทุกสมัย 24 เพราะส่วน 1 ใน 10 ที่ชาวอิสราเอลเอามาถวายพระยะโฮวานั้น เรายกให้คนเลวีเป็นมรดก เราจึงพูดถึงพวกเขาว่า ‘พวกเขาจะไม่ได้รับมรดกที่ดินในแผ่นดินอิสราเอล’”+
25 พระยะโฮวาบอกโมเสสว่า 26 “ให้พูดกับคนเลวีอย่างนี้ ‘พวกเจ้าจะได้รับส่วน 1 ใน 10 ที่เป็นของถวายของชาวอิสราเอลซึ่งเรายกให้พวกเจ้าเป็นมรดก+ และเจ้าต้องถวายส่วน 1 ใน 10 จากส่วน 1 ใน 10 ที่ได้มานี้เป็นของถวายพระยะโฮวาด้วย+ 27 และให้พวกเจ้าถือว่าของถวายพวกนี้เป็นเหมือนข้าวที่ได้จากลานนวดข้าวของตัวเอง+ หรือเป็นเหมือนเหล้าองุ่นกับน้ำมันที่ได้มาอย่างมากมายจากบ่อย่ำองุ่นและจากเครื่องหีบน้ำมันของตัวเอง 28 โดยวิธีนี้ พวกเจ้าก็จะถวายของถวายให้พระยะโฮวาจากส่วน 1 ใน 10 ทั้งหมดของเจ้าซึ่งได้รับจากชาวอิสราเอลได้เหมือนกัน พวกเจ้าต้องนำของที่ถวายพระยะโฮวาจากส่วนนี้ไปให้ปุโรหิตอาโรน 29 พวกเจ้าต้องถวายของถวายทุกชนิดให้พระยะโฮวาจากส่วนที่ดีที่สุดจากของถวายทั้งหมดที่พวกเจ้าได้รับ+ โดยถวายเป็นสิ่งบริสุทธิ์’
30 “และเจ้าต้องพูดกับพวกเขาว่า ‘เมื่อพวกเจ้าถวายสิ่งที่ดีที่สุดจากส่วนที่เจ้าได้รับ ส่วนที่เหลือก็จะเป็นของเจ้าซึ่งเป็นคนเลวี ให้พวกเจ้าถือว่าสิ่งนั้นเป็นเหมือนข้าวที่ได้จากลานนวดข้าวของตัวเอง หรือเป็นเหมือนเหล้าองุ่นกับน้ำมันที่ได้จากบ่อย่ำองุ่นและจากเครื่องหีบน้ำมันของตัวเอง 31 พวกเจ้าและคนในบ้านของเจ้าจะกินส่วนต่าง ๆ นี้ที่ไหนก็ได้ เพราะเป็นสิ่งตอบแทนที่พวกเจ้าได้รับจากการทำงานรับใช้ที่เกี่ยวข้องกับเต็นท์เข้าเฝ้า+ 32 เมื่อพวกเจ้าถวายส่วนที่ดีที่สุดจากของที่ได้รับ พวกเจ้าก็จะไม่มีความผิดเพราะสิ่งนั้น และอย่าทำให้สิ่งบริสุทธิ์ที่ชาวอิสราเอลเอามาถวายกลายเป็นสิ่งที่ไม่สะอาด เพื่อพวกเจ้าจะไม่ตาย’”+
19 พระยะโฮวาพูดกับโมเสสและอาโรนอีกว่า 2 “นี่คือข้อบัญญัติของพระยะโฮวา พระองค์สั่งว่า ‘บอกชาวอิสราเอลให้เอาวัวตัวเมียสีแดงที่สมบูรณ์แข็งแรงตัวหนึ่งมาให้เจ้า ต้องเป็นตัวที่ไม่มีตำหนิ+และไม่เคยเทียมแอกมาก่อน 3 เอาวัวตัวนั้นให้ปุโรหิตเอเลอาซาร์ เขาจะต้องเอาวัวไปนอกค่ายพัก และวัวตัวนั้นจะต้องถูกฆ่าต่อหน้าเขา 4 ให้ปุโรหิตเอเลอาซาร์เอานิ้วจุ่มเลือดส่วนหนึ่งสะบัดไปทางด้านหน้าเต็นท์เข้าเฝ้า 7 ครั้ง+ 5 และเผาวัวต่อหน้าเขา ให้เผาทั้งหนัง เนื้อ เลือด และมูลของมัน+ 6 จากนั้น ปุโรหิตจะเอากิ่งสนซีดาร์ กิ่งหุสบ+ และด้ายสีแดงเข้มโยนลงไปในกองไฟที่เผาวัวนั้น 7 และปุโรหิตจะซักเสื้อของตัวเองและอาบน้ำ หลังจากนั้นถึงจะเข้ามาในค่ายพักได้ แต่เขาจะไม่สะอาดในสายตาพระเจ้าจนถึงตอนเย็น
8 “‘คนที่เผาวัวก็ต้องซักเสื้อของตัวเองและอาบน้ำด้วย เขาจะไม่สะอาดจนถึงตอนเย็น
9 “‘คนที่สะอาดจะรวบรวมเถ้าของวัว+ที่เป็นเครื่องบูชาไถ่บาปนี้ แล้วเอาไปเก็บไว้ในที่ที่แยกไว้เฉพาะ*นอกค่ายพัก ให้ชาวอิสราเอลเก็บเถ้านี้ไว้เพื่อใช้ผสมกับน้ำสำหรับการชำระให้สะอาด+ 10 คนที่เก็บเถ้าของวัวจะต้องซักเสื้อของตัวเอง เขาจะไม่สะอาดจนถึงตอนเย็น
“‘ต่อไปนี้เป็นข้อกำหนดที่ชาวอิสราเอลและคนต่างชาติที่อยู่กับพวกเขาต้องทำตามตลอดไป+ 11 คนที่สัมผัสคนตายจะไม่สะอาด 7 วัน+ 12 เขาจะต้องใช้น้ำนี้ชำระตัวในวันที่สาม และในวันที่เจ็ดถึงจะถือว่าเขาสะอาด แต่ถ้าเขาไม่ชำระตัวในวันที่สาม พอถึงวันที่เจ็ดเขาจะยังคงไม่สะอาดในสายตาพระเจ้า 13 คนที่ไปสัมผัสคนตายและไม่ได้ชำระตัวก็ทำให้เต็นท์ศักดิ์สิทธิ์ของพระยะโฮวาแปดเปื้อน+ และต้องถูกประหารชีวิต+ เขาไม่สะอาดเพราะเขาไม่ได้ถูกพรมน้ำที่ใช้สำหรับการชำระ+ เขาจึงยังไม่สะอาดอยู่
14 “‘ต่อไปนี้เป็นข้อบัญญัติเมื่อมีคนตายในเต็นท์ ทุกคนที่เข้าไปในเต็นท์และทุกคนที่อยู่ในเต็นท์จะไม่สะอาด 7 วัน 15 ภาชนะทุกอย่างที่ไม่ได้ปิดฝาผูกให้แน่นจะไม่สะอาดด้วย+ 16 คนที่อยู่นอกเต็นท์ซึ่งไปสัมผัสคนที่ถูกฆ่าด้วยดาบ หรือซากศพ หรือกระดูกคนตาย หรือที่ฝังศพ จะไม่สะอาด 7 วัน+ 17 และเพื่อชำระคนที่ไม่สะอาด ต้องเอาเถ้าที่ได้จากการเผาเครื่องบูชาไถ่บาปมาใส่ในภาชนะและเอาน้ำที่ได้จากลำธารผสมลงไป 18 แล้วให้คนที่สะอาด+เอากิ่งหุสบ+จุ่มน้ำนี้และพรมใส่เต็นท์กับภาชนะทั้งหมด รวมทั้งทุกคนที่อยู่ในเต็นท์ และพรมใส่คนที่สัมผัสกระดูกคนตาย คนที่สัมผัสคนที่ถูกฆ่าตาย หรือซากศพ หรือที่ฝังศพ 19 คนที่สะอาดจะต้องพรมน้ำนี้ใส่คนที่ไม่สะอาดในวันที่สามกับวันที่เจ็ด เขาจะชำระคนที่ไม่สะอาดให้สะอาดในวันที่เจ็ด+ แล้วคนที่ไม่สะอาดจะต้องซักเสื้อของตัวเองและอาบน้ำ เขาถึงจะสะอาดในตอนเย็น
20 “‘แต่ถ้าใครไม่สะอาดแล้วไม่ชำระตัว ต้องถูกประหารชีวิต*+ เพราะเขาทำให้ที่ศักดิ์สิทธิ์ของพระยะโฮวาแปดเปื้อน เขาไม่สะอาดเพราะเขาไม่ได้ถูกพรมน้ำที่ใช้สำหรับการชำระ
21 “‘ต่อไปนี้เป็นข้อกำหนดที่พวกเขาต้องทำตามตลอดไป คนที่พรมน้ำที่ใช้สำหรับการชำระ+จะต้องซักเสื้อของตัวเอง คนที่สัมผัสน้ำที่ใช้สำหรับการชำระนี้จะไม่สะอาดจนถึงตอนเย็น 22 ถ้าคนที่ไม่สะอาดไปสัมผัสอะไรก็ตาม สิ่งนั้นจะไม่สะอาดไปด้วย และถ้ามีใครไปสัมผัสสิ่งนั้น เขาก็จะไม่สะอาดจนถึงตอนเย็น’”+
20 ชาวอิสราเอลทั้งหมดมาถึงที่กันดารซินในเดือนที่ 1 พวกเขาพักอยู่ในคาเดช+ มิเรียม+ตายและถูกฝังไว้ที่นั่น
2 ประชาชนไม่มีน้ำดื่ม+ จึงมารวมตัวกันต่อต้านโมเสสกับอาโรน 3 พวกเขาบ่นต่อว่าโมเสส+ว่า “ให้พวกเราตายตอนที่พี่น้องของเราตายต่อหน้าพระยะโฮวาก็ยังดีซะกว่า 4 ทำไมพวกคุณพาประชาชน*ของพระยะโฮวากับฝูงสัตว์มาตายในที่กันดารนี้?+ 5 เอาเราออกจากอียิปต์แล้วให้มาอยู่ในที่เลวร้ายอย่างนี้ทำไม?+ ที่นี่ไม่มีที่หว่านพืช ไม่มีที่ปลูกมะเดื่อ ปลูกองุ่น และทับทิม แม้แต่น้ำสักหยดก็ไม่มีให้พวกเรากิน”+ 6 โมเสสกับอาโรนก็ออกจากกลุ่มฝูงชนมาที่ทางเข้าเต็นท์เข้าเฝ้าและซบหน้าลงกับพื้น รัศมีของพระยะโฮวาก็ปรากฏกับเขาทั้งสอง+
7 พระยะโฮวาพูดกับโมเสสว่า 8 “ถือไม้เท้านี้ไป ให้เจ้ากับอาโรนพี่ชายของเจ้าเรียกคนมารวมตัวกันแล้วพูดกับหินต่อหน้าพวกเขาให้ปล่อยน้ำออกมา เจ้าก็จะเอาน้ำออกจากหินให้พวกเขาและฝูงสัตว์ได้กิน+
9 โมเสสถือไม้เท้าที่อยู่ต่อหน้าพระยะโฮวา+ไปตามที่พระองค์สั่ง 10 จากนั้น โมเสสกับอาโรนก็เรียกประชาชนมารวมตัวกันตรงหน้าหิน โมเสสพูดกับพวกเขาว่า “ฟังให้ดี ไอ้พวกกบฏ อยากให้พวกเราเอาน้ำออกจากหินนี้มากใช่ไหม?”+ 11 แล้วโมเสสก็ยกไม้เท้าตีหิน 2 ครั้ง น้ำก็ไหลทะลักออกมาให้ประชาชนกับฝูงสัตว์กิน+
12 หลังจากนั้น พระยะโฮวาพูดกับโมเสสและอาโรนว่า “เพราะพวกเจ้าไม่ยอมเชื่อเราและไม่ให้เกียรติเราต่อหน้าชาวอิสราเอล ดังนั้น เจ้าสองคนจะไม่ได้พาประชาชนพวกนี้เข้าไปในแผ่นดินที่เราจะยกให้พวกเขา”+ 13 น้ำนั้นจึงถูกเรียกว่าน้ำเมรีบาห์*+ เพราะเป็นที่ที่ชาวอิสราเอลต่อว่าพระยะโฮวา และในโอกาสนั้น พระองค์ทำให้พระองค์เองได้รับเกียรติ
14 ต่อมา โมเสสส่งคนจากคาเดชไปบอกกษัตริย์ของเอโดม+ว่า “ชาวอิสราเอลพี่น้องของท่าน+พูดอย่างนี้ ‘ท่านคงทราบดีถึงความยากลำบากทั้งหมดที่พวกเราพบเจอ 15 บรรพบุรุษของพวกเราไปอาศัยอยู่ที่อียิปต์+หลายปี+ และชาวอียิปต์ข่มเหงเรากับบรรพบุรุษของเรา+ 16 พวกเราร้องขอความช่วยเหลือจากพระยะโฮวา+ พระองค์ฟังเสียงของเรา และส่งทูตสวรรค์องค์หนึ่งมา+พาเราออกจากอียิปต์ และตอนนี้เราอยู่ในเมืองคาเดชริมเขตแดนของท่านแล้ว 17 พวกเราขอเดินผ่านแผ่นดินของท่าน เราจะไม่เดินข้ามทุ่งนาหรือสวนองุ่น และจะไม่ดื่มน้ำจากบ่อน้ำไหนเลย เราจะเดินไปตามเส้นทางหลวง จะไม่เลี้ยวขวาหรือเลี้ยวซ้าย จนกว่าจะผ่านเขตแดนของท่านไป’”+
18 แต่กษัตริย์ของเอโดมพูดกับเขาว่า “คุณจะเดินผ่านเขตแดนของเราไม่ได้ ถ้าไม่ฟัง เราจะออกมาต่อสู้กับพวกคุณ” 19 ชาวอิสราเอลก็พูดกับกษัตริย์ว่า “เราจะเดินไปตามเส้นทางหลวงเท่านั้น ถ้าเราและฝูงสัตว์ของเรากินน้ำของท่าน เราจะชดใช้ให้+ เราไม่อยากได้อะไรนอกจากขอเดินผ่านแผ่นดินของท่านเท่านั้นเอง”+ 20 แต่เขายืนกรานว่า “ไม่ได้!”+ แล้วกษัตริย์ของเอโดมก็ยกทัพใหญ่ที่แข็งแกร่งออกมาประจันหน้ากับชาวอิสราเอล 21 เมื่อกษัตริย์ของเอโดมไม่ยอมให้ชาวอิสราเอลผ่านเขตแดน ชาวอิสราเอลจึงเลี่ยงไปทางอื่น+
22 ชาวอิสราเอลทั้งหมดออกเดินทางจากคาเดชมาถึงแถบภูเขาโฮร์+ 23 พระยะโฮวาพูดกับโมเสสและอาโรนที่ภูเขาโฮร์ริมเขตแดนแผ่นดินเอโดมว่า 24 “อาโรนจะได้อยู่กับบรรพบุรุษของเขา*+ เขาจะไม่ได้เข้าไปในแผ่นดินที่เรายกให้ชาวอิสราเอล เพราะเจ้าทั้งสองขัดคำสั่งของเราเรื่องน้ำเมรีบาห์+ 25 ให้พาอาโรนกับเอเลอาซาร์ลูกชายของเขาขึ้นไปบนภูเขาโฮร์ 26 และถอดเครื่องแต่งกายประจำตำแหน่งปุโรหิตของอาโรน+ออก แล้วสวมให้เอเลอาซาร์+ลูกชายของเขา อาโรนจะต้องตายที่นั่น”
27 โมเสสทำตามที่พระยะโฮวาสั่ง พวกเขาขึ้นไปบนภูเขาโฮร์ต่อหน้าชาวอิสราเอล 28 โมเสสถอดเครื่องแต่งกายประจำตำแหน่งปุโรหิตของอาโรนออกและสวมให้เอเลอาซาร์ลูกชายของเขา แล้วอาโรนก็ตายบนยอดเขานั้น+ โมเสสกับเอเลอาซาร์ก็ลงมาจากภูเขา 29 เมื่อชาวอิสราเอลเห็นว่าอาโรนตายแล้ว พวกเขาร้องไห้คร่ำครวญถึงอาโรนนาน 30 วัน+
21 เมื่อกษัตริย์เมืองอาราดชาวคานาอัน+ซึ่งอาศัยอยู่ในเขตเนเกบได้ยินว่า ชาวอิสราเอลเดินทางมาตามเส้นทางอาธาริมก็ออกมาโจมตีพวกเขา และจับบางคนไปเป็นเชลย 2 ชาวอิสราเอลจึงปฏิญาณกับพระยะโฮวาว่า “ถ้าพระองค์ช่วยพวกเรารบชนะคนพวกนี้ พวกเราจะทำลายเมืองต่าง ๆ ของเขาให้สิ้นซาก” 3 พระยะโฮวาฟังที่ชาวอิสราเอลพูด และช่วยพวกเขาให้รบชนะชาวคานาอัน พวกเขาทำลายชาวคานาอันและเมืองต่าง ๆ จนสิ้นซาก ชาวอิสราเอลจึงเรียกสถานที่นั้นว่าโฮร์มาห์*+
4 เมื่อออกจากภูเขาโฮร์+ พวกเขาเดินทางต่อไปตามเส้นทางทะเลแดงเพื่ออ้อมแผ่นดินเอโดม+ ประชาชนเริ่มอ่อนล้าจากการเดินทาง 5 พวกเขาบ่นไม่หยุดและต่อว่าพระเจ้ากับโมเสส+ว่า “เอาเราออกมาจากอียิปต์แล้วให้มาตายในที่กันดารนี้ทำไม? ที่นี่ไม่มีทั้งอาหารและน้ำ+ พวกเราเกลียดอาหารที่แสนจะน่าเบื่อนี้”+ 6 พระยะโฮวาจึงส่งงูพิษเข้าไปในฝูงชน งูพวกนั้นกัดชาวอิสราเอลล้มตายจำนวนมาก+
7 ประชาชนมาหาโมเสสและพูดว่า “พวกเราทำบาป เพราะพวกเราบ่นต่อว่าพระยะโฮวาและต่อว่าคุณ+ ช่วยอ้อนวอนพระยะโฮวาให้เอางูพวกนี้ออกไปทีเถอะ” โมเสสก็อ้อนวอนให้ประชาชน+ 8 พระยะโฮวาพูดกับโมเสสว่า “ทำงูพิษตัวหนึ่งติดไว้บนเสา ใครก็ตามที่ถูกงูกัดต้องมองมาที่งูนี้แล้วจะรอดตาย” 9 โมเสสทำงูทองแดง+ติดไว้บนเสา+ เมื่อมีคนถูกงูกัดและมองไปที่งูทองแดงนั้น เขาก็รอดตาย+
10 ชาวอิสราเอลเดินทางต่อไปและไปตั้งค่ายพักอยู่ในโอโบท+ 11 จากนั้น พวกเขาก็เดินทางจากโอโบทไปตั้งค่ายพักที่อิเยอาบาริม+ ทางตะวันออกของที่กันดาร ตรงข้ามแผ่นดินโมอับ 12 จากที่นั่น พวกเขาเดินทางต่อและไปตั้งค่ายพักข้างหุบเขาเศเรด+ 13 จากนั้น พวกเขาก็เดินทางต่อและไปตั้งค่ายพักในแถบหุบเขาอาร์โนน+ ซึ่งอยู่ในที่กันดารที่แผ่ขยายมาจากริมเขตแดนของชาวอาโมไรต์ อาร์โนนเป็นแนวเขตแดนแผ่นดินโมอับซึ่งกั้นระหว่างแผ่นดินโมอับกับอาโมไรต์ 14 เพราะอย่างนี้ หนังสือสงครามของพระยะโฮวาจึงบอกว่า “วาเฮบในสุฟาห์และหุบเขาอาร์โนน 15 ที่มีลำธารสายต่าง ๆ ไหลมาบรรจบกัน แล้วลดเลี้ยวไปทางเมืองอาร์ และไหลเลียบไปตามแนวชายแดนแผ่นดินโมอับ”
16 จากนั้น พวกเขาเดินทางไปที่เบเออร์ ซึ่งเป็นบ่อน้ำที่พระยะโฮวาบอกโมเสสว่า “ให้ประชาชนมารวมตัวกัน เราจะให้น้ำพวกเขา”
17 ตอนนั้น ชาวอิสราเอลร้องเพลงว่า
“บ่อน้ำ ขอให้น้ำพุ่งขึ้นมา มาร้องเพลงให้บ่อน้ำกันเถอะ
18 บ่อน้ำที่พวกเจ้านายช่วยกันขุด บ่อน้ำที่คนมีน้ำใจช่วยกันขุดขึ้นมา
ด้วยไม้เท้าของผู้ปกครอง ด้วยไม้เท้าของพวกเขาเอง”
พวกเขาออกจากที่กันดารนี้ และเดินทางต่อไปที่มัทธานาห์ 19 จากมัทธานาห์ พวกเขาเดินทางต่อไปที่นาหะลีเอล จากนาหะลีเอลเดินทางต่อไปที่บาโมท+ 20 จากบาโมทเดินทางต่อไปที่หุบเขาซึ่งอยู่ในเขตแดนโมอับ+บริเวณยอดปิสกาห์+ซึ่งมองเห็นเยชีโมน*+อยู่ข้างล่าง
21 ชาวอิสราเอลส่งคนไปบอกสิโหนกษัตริย์ของชาวอาโมไรต์ว่า+ 22 “พวกเราขอเดินผ่านแผ่นดินของท่าน เราจะไม่เลี้ยวเข้าไปในทุ่งนาหรือสวนองุ่น เราจะไม่ดื่มน้ำจากบ่อน้ำไหนเลย เราจะเดินไปตามเส้นทางหลวง จนผ่านเขตแดนของท่านไป”+ 23 แต่สิโหนไม่ยอมให้ชาวอิสราเอลเดินผ่านเขตแดนของเขา สิโหนได้รวบรวมคนทั้งหมดของเขาออกมาประจันหน้ากับชาวอิสราเอลในที่กันดาร พวกเขาออกมาต่อสู้กับชาวอิสราเอลที่ยาฮาส+ 24 ชาวอิสราเอลก็ฆ่าเขา+ และเข้าครอบครองดินแดนของเขา+ตั้งแต่หุบเขาอาร์โนน+ ถึงหุบเขายับบอก+ ใกล้ ๆ เขตแดนของชาวอัมโมน แต่ไม่เลยเมืองยาเซอร์+เพราะเมืองนี้อยู่ริมเขตแดนของชาวอัมโมน+
25 ชาวอิสราเอลยึดเอาเมืองทั้งหมดที่นั่น และเข้าไปอาศัยอยู่ในเมืองของชาวอาโมไรต์+ทุกเมือง ทั้งในเฮชโบนกับเมืองเล็ก ๆ ที่อยู่รายรอบทั้งหมด 26 เพราะเฮชโบนเป็นเมืองของสิโหนกษัตริย์ของชาวอาโมไรต์ ซึ่งก่อนหน้านี้ได้สู้รบกับกษัตริย์โมอับ และยึดเอาแผ่นดินทั้งหมดของกษัตริย์โมอับไปจนถึงหุบเขาอาร์โนน 27 เพราะอย่างนี้จึงมีคนพูดเยาะเย้ยเป็นคำกลอนว่า
“มาที่เฮชโบนสิ
มาสร้างเมืองของสิโหนขึ้นใหม่ให้มั่นคงแข็งแรง
28 เพราะไฟออกมาจากเฮชโบน เปลวเพลิงออกมาจากเมืองของสิโหน
มาเผาผลาญเมืองอาร์ในโมอับ เผาผลาญพวกเจ้านายในที่สูงของอาร์โนน
29 ความพินาศจะเกิดกับโมอับ! ประชาชนของพระเคโมชต้องถูกทำลาย!
พระเคโมช+ทำให้ลูกชายต้องหลบหนีไป และทำให้ลูกสาวต้องตกเป็นเชลยของสิโหนกษัตริย์ของชาวอาโมไรต์
30 ให้เราโจมตีพวกเขากันเถอะ
เฮชโบนจะต้องถูกทำลายไปจนถึงดีโบน+
ให้เราทำลายล้างไปจนถึงโนฟาห์
ให้ไฟลามไปจนถึงเมเดบา”+
31 ชาวอิสราเอลก็เข้ามาอาศัยอยู่ในแผ่นดินของชาวอาโมไรต์ 32 โมเสสส่งคนไปสอดแนมดูเมืองยาเซอร์+ พวกเขายึดเมืองเล็ก ๆ ที่อยู่รายรอบ แล้วไล่ชาวอาโมไรต์ซึ่งอยู่ที่นั่นออกไป 33 หลังจากนั้น พวกเขาเดินขึ้นไปตามเส้นทางบาชาน แต่โอก+กษัตริย์แห่งบาชานกับคนของเขาออกมาจะสู้กับชาวอิสราเอลที่เมืองเอเดรอี+ 34 พระยะโฮวาพูดกับโมเสสว่า “อย่าไปกลัวเขาเลย+ เพราะเราจะมอบเขากับคนของเขารวมทั้งแผ่นดินของเขาไว้ในมือเจ้า+ เจ้าจะทำกับเขาเหมือนที่ทำกับสิโหนกษัตริย์ของชาวอาโมไรต์ซึ่งอาศัยอยู่ในเฮชโบน”+ 35 ชาวอิสราเอลก็ออกไปฆ่าฟันเขากับลูก ๆ รวมทั้งประชาชนทั้งหมด ไม่มีใครเหลือรอดสักคนเดียว+ และชาวอิสราเอลก็เข้าครอบครองแผ่นดินของเขา+
22 ชาวอิสราเอลเดินทางต่อไป และไปตั้งค่ายพักในที่ราบกันดารโมอับริมแม่น้ำจอร์แดนซึ่งอยู่ฝั่งตรงข้ามกับเมืองเยรีโค+ 2 บาลาค+ลูกชายของศิปโปร์ได้ยินเรื่องที่ชาวอิสราเอลจัดการกับชาวอาโมไรต์ 3 ชาวโมอับกลัวชาวอิสราเอลเพราะพวกเขามีจำนวนมาก ชาวโมอับรู้สึกกลัวชาวอิสราเอลจริง ๆ+ 4 ชาวโมอับจึงพูดกับพวกผู้นำของชาวมีเดียน+ว่า “คนพวกนี้จะมาล้างผลาญแผ่นดินของเราเหมือนวัวที่กินหญ้าจนหมดทุ่ง”
ตอนนั้นบาลาคลูกชายของศิปโปร์เป็นกษัตริย์ของโมอับ 5 เขาส่งคนไปหาบาลาอัมลูกชายของเบโอร์ที่เปโธร์+ซึ่งอยู่ริมแม่น้ำยูเฟรติสในแผ่นดินเกิดของบาลาอัม เขาเรียกบาลาอัมให้มาพบโดยบอกว่า “มีชนชาติหนึ่งออกมาจากอียิปต์ พวกเขามากันมืดฟ้ามัวดิน+ และตอนนี้อยู่ตรงหน้าเรานี้เอง 6 ขอมาสาปแช่งชนชาตินี้ให้หน่อย+ เพราะพวกเขามีกำลังมากกว่าเรา เผื่อเราจะชนะและขับไล่พวกเขาออกไปจากแผ่นดินได้ เพราะเรารู้ว่าถ้าคุณอวยพรใคร คนนั้นก็ได้พร แต่ถ้าคุณสาปแช่งใคร คนนั้นก็ถูกสาปแช่ง”
7 พวกผู้นำ*ของชาวโมอับกับพวกผู้นำ*ของชาวมีเดียนก็ออกเดินทางพร้อมกับเอาค่าจ้างสำหรับการสาปแช่ง*ไปด้วย พวกเขาไปหาบาลาอัม+และบอกตามที่บาลาคสั่งไว้ 8 บาลาอัมพูดกับพวกเขาว่า “คืนนี้ขอให้พักกันที่นี่ก่อน และถ้าพระยะโฮวาบอกอะไรผม ผมจะมาบอกพวกคุณ” พวกหัวหน้าของชาวโมอับจึงพักอยู่กับบาลาอัม
9 พระเจ้ามาหาบาลาอัมและถามว่า+ “คนที่มาพักอยู่กับเจ้าเป็นใคร?” 10 บาลาอัมตอบพระเจ้าเที่ยงแท้ว่า “บาลาคลูกชายของศิปโปร์ กษัตริย์ของโมอับส่งข่าวมาถึงผมว่า 11 ‘ชนชาติที่ออกมาจากอียิปต์มากันมืดฟ้ามัวดิน ขอมาสาปแช่งชนชาตินี้ให้หน่อย+ เผื่อเราจะสู้พวกเขาได้และไล่พวกเขาออกไป’” 12 แต่พระเจ้าพูดกับบาลาอัมว่า “อย่าไปกับพวกเขา เจ้าสาปแช่งชนชาตินี้ไม่ได้ เพราะพวกเขาเป็นชนชาติที่เราอวยพร”+
13 บาลาอัมตื่นแต่เช้าและไปบอกพวกหัวหน้าที่บาลาคส่งมาว่า “กลับไปแผ่นดินของคุณเถอะ เพราะพระยะโฮวาไม่ให้ผมไปกับพวกคุณ” 14 พวกหัวหน้าของชาวโมอับก็กลับไปหาบาลาคและพูดว่า “บาลาอัมไม่ยอมมากับพวกเรา”
15 แต่บาลาคส่งพวกหัวหน้าอีกกลุ่มไปใหม่ คราวนี้ส่งไปมากกว่าเดิมและมีตำแหน่งสูงกว่ากลุ่มแรก 16 พวกเขามาหาบาลาอัมและพูดว่า “บาลาคลูกชายของศิปโปร์พูดอย่างนี้ ‘อย่าให้อะไรมาขัดขวางคุณไว้ไม่ให้มาหาเรา 17 เพราะเราจะให้รางวัลอย่างงาม คุณบอกให้เราทำอะไรเราก็จะทำ มาหาเราเถอะ มาสาปแช่งชนชาตินี้ให้เรา’” 18 แต่บาลาอัมตอบคนที่บาลาคใช้มาว่า “ถึงบาลาคจะยกวังที่เต็มไปด้วยเงินและทองของท่านให้ผม ผมก็ทำอะไรนอกเหนือคำสั่งของพระยะโฮวาพระเจ้าของผมไม่ได้ ไม่ว่าเรื่องเล็กหรือเรื่องใหญ่+ 19 แต่คืนนี้ขอให้พักกันที่นี่ก่อน เผื่อพระยะโฮวาจะบอกอะไรผมอีก”+
20 คืนนั้น พระเจ้ามาหาบาลาอัมและพูดกับเขาว่า “ถ้าพวกเขามาขอให้เจ้าไปกับเขา ก็ไปเถอะ แต่เจ้าต้องพูดเฉพาะที่เราจะบอกให้พูดเท่านั้น”+ 21 บาลาอัมตื่นแต่เช้า เอาอานผูกลา*และไปกับพวกหัวหน้าของชาวโมอับ+
22 แต่พระเจ้าโกรธที่บาลาอัมไป และทูตสวรรค์ของพระยะโฮวามายืนขวางเขาบนถนน ตอนนั้น บาลาอัมขี่ลามาและมีคนรับใช้ 2 คนมาด้วย 23 พอลาเห็นทูตสวรรค์ของพระยะโฮวายืนถือดาบอยู่บนถนน มันก็พยายามเดินออกจากถนนเข้าไปในทุ่ง บาลาอัมตีลาเพื่อให้มันกลับมาบนถนน 24 แล้วทูตสวรรค์ของพระยะโฮวาก็ไปยืนอยู่บนทางแคบ ๆ ที่อยู่ระหว่างสวนองุ่น ซึ่งทางเส้นนี้มีกำแพงหินขนาบอยู่ทั้งสองข้าง 25 เมื่อลาเห็นทูตสวรรค์ของพระยะโฮวา มันก็เดินเบียดกำแพงจนเท้าของบาลาอัมครูดกับกำแพง บาลาอัมตีลาอีก
26 ทูตสวรรค์ของพระยะโฮวาก็ไปดักข้างหน้า และหยุดยืนอยู่ตรงที่แคบ ๆ ซึ่งไม่มีที่ให้เลี่ยงไปทางขวาหรือทางซ้ายได้ 27 เมื่อลาเห็นทูตสวรรค์ของพระยะโฮวา มันก็หมอบลง บาลาอัมโกรธมากจึงเอาไม้เท้าตีลาไม่หยุด 28 พระยะโฮวาทำให้ลาพูด+กับบาลาอัมว่า “ฉันไปทำอะไรให้คุณ ถึงมาตีฉันถึง 3 ครั้งอย่างนี้?”+ 29 บาลาอัมพูดกับลาว่า “แกทำให้ฉันขายหน้า ถ้ามีดาบอยู่ในมือละก็ ฉันฆ่าแกแน่” 30 ลาพูดกับบาลาอัมว่า “ฉันเป็นลาที่คุณใช้ขี่มาตลอดไม่ใช่หรือ? แล้วฉันเคยทำกับคุณอย่างนี้มาก่อนไหม?” บาลาอัมตอบว่า “ไม่เคย” 31 แล้วพระยะโฮวาก็เปิดตา+บาลาอัมให้เห็นทูตสวรรค์ของพระยะโฮวาซึ่งยืนถือดาบอยู่บนถนน บาลาอัมรีบคุกเข่าและหมอบลงกับพื้นทันที
32 ทูตสวรรค์ของพระยะโฮวาพูดกับบาลาอัมว่า “คุณตีลาของคุณทำไมตั้ง 3 ครั้ง? ผมมาเพื่อขัดขวางคุณ เพราะคุณไม่ได้ทำอย่างที่ผมอยากให้ทำ+ 33 ลาตัวนี้เห็นผมและพยายามจะเลี่ยงหนีถึง 3 ครั้ง+ ลองคิดดูว่าถ้ามันไม่ทำอย่างนั้น จะเกิดอะไรขึ้น? ผมคงฆ่าคุณไปแล้ว แต่ไว้ชีวิตลา” 34 บาลาอัมพูดกับทูตสวรรค์ของพระยะโฮวาว่า “ผมผิดไปแล้ว ผมไม่รู้ว่าท่านยืนดักผมอยู่บนถนน ตอนนี้ ถ้าท่านไม่เห็นด้วย ผมก็จะกลับ” 35 แต่ทูตสวรรค์ของพระยะโฮวาพูดกับบาลาอัมว่า “ไปกับพวกเขาเถอะ แต่ให้คุณพูดเฉพาะที่ผมบอกให้พูดเท่านั้น” แล้วบาลาอัมก็เดินทางต่อไปกับพวกหัวหน้าที่บาลาคส่งมา
36 เมื่อบาลาคได้ยินว่าบาลาอัมมาแล้ว เขาก็รีบออกไปพบบาลาอัมที่เมืองของโมอับซึ่งตั้งอยู่ริมหุบเขาอาร์โนนบริเวณชายแดน 37 บาลาคพูดกับบาลาอัมว่า “เราส่งคนไปเรียกคุณมา แล้วทำไมไม่มา? คุณคิดว่าเราจะให้รางวัลตอบแทนคุณอย่างงามไม่ได้หรือ?”+ 38 บาลาอัมก็พูดกับบาลาคว่า “ตอนนี้ผมมาพบท่านแล้ว แต่ผมจะพูดอะไรได้ ผมพูดได้ก็เฉพาะที่พระเจ้าบอกให้พูดเท่านั้น”+
39 แล้วบาลาอัมกับบาลาคก็เดินทางไปที่คีริยาทหุโซท 40 บาลาคถวายวัวและแกะเป็นเครื่องบูชา และเอาเนื้อบางส่วนให้บาลาอัมกับพวกหัวหน้าที่อยู่กับเขา 41 เช้าวันต่อมา บาลาคพาบาลาอัมขึ้นไปที่บาโมทบาอัล เพราะที่นั่นเขาสามารถมองเห็นชาวอิสราเอลได้ทั้งหมด+
23 บาลาอัมพูดกับบาลาคว่า “ช่วยสร้างแท่นบูชา 7 แท่นให้ผมที่นี่+ และจัดวัวตัวผู้กับแกะตัวผู้อย่างละ 7 ตัวให้ผมด้วย” 2 บาลาคก็รีบทำตามที่บาลาอัมบอกทันที หลังจากนั้น บาลาคกับบาลาอัมถวายวัวตัวผู้กับแกะตัวผู้อย่างละตัวบนแท่นบูชาแต่ละแท่น+ 3 แล้วบาลาอัมก็พูดกับบาลาคว่า “คอยอยู่ข้าง ๆ เครื่องบูชาเผาของท่านที่นี่ก่อน ส่วนผมจะไปดูว่าพระยะโฮวามาหาผมไหม ไม่ว่าพระองค์พูดอะไรกับผม ผมจะมาบอกให้ท่านทราบ” แล้วบาลาอัมก็ขึ้นไปบนเนินเขาลูกหนึ่ง
4 เมื่อพระเจ้ามาหาบาลาอัม+ เขาพูดกับพระองค์ว่า “ผมตั้งแท่นบูชา 7 แท่น และถวายวัวตัวผู้กับแกะตัวผู้อย่างละตัวบนแท่นบูชาแต่ละแท่น” 5 พระยะโฮวาใส่คำพูดในปากบาลาอัม+ พระองค์พูดว่า “กลับไปหาบาลาคและพูดกับเขาตามนี้” 6 เขาก็กลับไป และเห็นบาลาคยืนอยู่ข้าง ๆ เครื่องบูชาเผาของตัวเอง พวกหัวหน้าทั้งหมดของชาวโมอับก็ยืนอยู่ที่นั่น 7 บาลาอัมพูดเป็นบทกวีว่า+
“บาลาคกษัตริย์ของโมอับพาผมมาจากอารัม+
จากแถบภูเขาทางทิศตะวันออก เขาบอกว่า
‘มาสาปยาโคบให้เราหน่อย
มาแช่งอิสราเอลให้เราที’+
8 ผมจะสาปคนที่พระเจ้าไม่ได้สาปได้อย่างไร?
ผมจะแช่งคนที่พระยะโฮวาไม่ได้แช่งได้อย่างไร?+
9 ผมเห็นพวกเขาจากยอดภูเขา
ผมมองเห็นพวกเขาจากเนินเขา
10 ใครจะนับพวกยาโคบซึ่งมีจำนวนมากมายเหมือนฝุ่นละออง+
หรือจะนับจำนวนแค่ 1 ใน 4 ของชาวอิสราเอลได้?
ขอให้ผมตายอย่างคนซื่อตรง
ขอให้บั้นปลายชีวิตของผมเป็นอย่างพวกเขาด้วยเถอะ”
11 บาลาคพูดกับบาลาอัมว่า “ทำไมทำกับเราอย่างนี้? เราให้คุณมาสาปแช่งศัตรูของเรา แต่คุณกลับมาอวยพรพวกเขา”+ 12 บาลาอัมตอบว่า “พระยะโฮวาให้ผมพูดยังไง ผมก็ต้องพูดอย่างนั้น”+
13 แล้วบาลาคก็พูดกับเขาว่า “ไปอีกที่หนึ่งกับเรา ที่นั่นคุณจะมองเห็นชาวอิสราเอลส่วนหนึ่ง คุณจะไม่เห็นพวกเขาทั้งหมด และช่วยสาปแช่งพวกเขาจากที่นั่นให้เรา”+ 14 แล้วบาลาคก็พาบาลาอัมไปที่เนินโศฟิมบนยอดปิสกาห์+ จากนั้นก็สร้างแท่นบูชาขึ้น 7 แท่น แล้วถวายวัวตัวผู้กับแกะตัวผู้อย่างละตัวบนแท่นบูชาแต่ละแท่น+ 15 แล้วบาลาอัมก็พูดกับบาลาคว่า “คอยอยู่ข้าง ๆ เครื่องบูชาเผาของท่านตรงนี้ ส่วนผมจะไปหาพระเจ้าตรงโน้น” 16 พระยะโฮวามาหาบาลาอัม และใส่คำพูดในปากของเขา+ พระองค์พูดว่า “กลับไปหาบาลาคและพูดกับเขาตามนี้” 17 เขาก็กลับไปหาบาลาค และเห็นบาลาคคอยอยู่ข้าง ๆ เครื่องบูชาเผาของตัวเอง พวกหัวหน้าของชาวโมอับก็อยู่ที่นั่นด้วย บาลาคถามเขาว่า “พระยะโฮวาพูดอะไรบ้าง?” 18 บาลาอัมก็พูดเป็นบทกวีว่า+
“บาลาค ลุกขึ้นฟังเถอะ
ลูกชายของศิปโปร์ ฟังผมให้ดี
19 พระเจ้าไม่ใช่มนุษย์ถึงจะได้พูดโกหก+
ไม่ใช่ลูกของมนุษย์ถึงจะได้เปลี่ยนไปเปลี่ยนมา+
เมื่อพระองค์พูดแล้วจะไม่ทำตามที่พูดหรือ?
เมื่อพระองค์บอกแล้วจะไม่ทำให้สำเร็จหรือ?+
21 พระเจ้าไม่ยอมให้ยาโคบถูกเวทมนตร์เล่นงาน
พระองค์ไม่ยอมให้อิสราเอลเจอกับความทุกข์ยาก
พระยะโฮวาพระเจ้าอยู่กับพวกเขา+
พวกเขาโห่ร้องสรรเสริญพระองค์ผู้เป็นกษัตริย์ของพวกเขา
นี่เป็นเวลาที่จะพูดถึงยาโคบและอิสราเอลว่า
‘ดูสิ่งยิ่งใหญ่ที่พระเจ้าทำสิ!’
24 นี่คือชนชาติซึ่งจะลุกขึ้นอย่างสิงโต
เขาจะผงาดขึ้นมาเหมือนราชสีห์+
ซึ่งจะไม่นอนลงจนกว่าจะได้กินเหยื่อ
และกินเลือดของเหยื่อที่ถูกฆ่า”
25 บาลาคพูดกับบาลาอัมว่า “ถ้าคุณสาปแช่งเขาไม่ได้ ก็ไม่ต้องไปอวยพรเขา” 26 บาลาอัมตอบว่า “ผมบอกท่านไปแล้วไม่ใช่หรือว่า ‘ผมจะทำทุกสิ่งตามที่พระยะโฮวาสั่ง’?”+
27 บาลาคพูดกับบาลาอัมว่า “มาเถอะ เราจะพาคุณไปอีกที่หนึ่ง เผื่อว่าพระเจ้าเที่ยงแท้จะเห็นดีด้วยถ้าคุณสาปแช่งเขาจากที่นั่น”+ 28 บาลาคก็พาบาลาอัมขึ้นไปบนยอดเขาเปโอร์ซึ่งมองลงมาจะเห็นเยชีโมน*+ 29 แล้วบาลาอัมก็พูดกับบาลาคว่า “สร้างแท่นบูชา 7 แท่นให้ผมที่นี่ และจัดวัวตัวผู้กับแกะตัวผู้อย่างละ 7 ตัวให้ผมด้วย”+ 30 บาลาคทำตามที่บาลาอัมบอก เขาถวายวัวตัวผู้กับแกะตัวผู้อย่างละตัวบนแท่นบูชาแต่ละแท่น
24 เมื่อบาลาอัมเห็นว่าพระยะโฮวาอยากให้อิสราเอลได้รับการอวยพร เขาก็ไม่ได้ออกไปหาลางร้ายอีก+แต่มุ่งหน้าไปที่กันดาร 2 เมื่อบาลาอัมเงยหน้าขึ้นมองก็เห็นว่าชาวอิสราเอลตั้งค่ายพักตามตระกูลต่าง ๆ ของพวกเขา+ พลังของพระเจ้าก็ลงมาบนบาลาอัม+ 3 เขาจึงพูดเป็นบทกวีว่า+
“นี่คือคำพูดของบาลาอัม ลูกชายของเบโอร์
คำพูดของผู้ชายคนหนึ่งที่ตาสว่างแล้ว
4 คำพูดของคนที่ได้ยินพระเจ้าพูด
คนที่เห็นนิมิตของผู้มีพลังอำนาจสูงสุด
คนที่ซบหน้าลงพร้อมด้วยตาที่สว่างแล้ว เขาพูดว่า+
5 ยาโคบ เต็นท์ของคุณช่างสวยจริง ๆ
อิสราเอล ที่อาศัยของคุณงดงามจริง ๆ!+
6 เป็นเหมือนหุบเขาที่ทอดยาวออกไป+
เหมือนสวนที่อยู่ริมแม่น้ำ
เหมือนต้นกฤษณาที่พระยะโฮวาปลูกไว้
เหมือนต้นสนซีดาร์ที่อยู่ริมน้ำ
7 น้ำไหลรินมาจากถังสองใบของเขา
ลูกหลานของเขาอยู่ริมลำธารหลายสาย+
8 พระเจ้าพาเขาออกจากอียิปต์
พระองค์เป็นเหมือนเขาของวัวป่าสำหรับพวกเขา
เขาจะทำลายล้างชาติต่าง ๆ ที่กดขี่เขา+
และจะแทะกระดูกของคนพวกนั้น และทำลายพวกเขาด้วยลูกธนู
9 เขาเหยียดตัวลง เขาหมอบลงเหมือนสิงโต
เขาเป็นเหมือนราชสีห์ ใครจะไปกล้าแหย่เขา?
คนที่อวยพรคุณจะได้รับพร
คนที่สาปแช่งคุณจะต้องถูกสาปแช่ง”+
10 บาลาคโมโหบาลาอัมมากจนกระแทกฝ่ามือใส่กัน แล้วพูดกับบาลาอัมว่า “เราเรียกคุณมาสาปแช่งศัตรูให้เรา+ แต่คุณกลับมาอวยพรพวกเขาถึง 3 ครั้ง 11 กลับบ้านไปเลย เราตั้งใจจะให้รางวัลคุณอย่างงาม+ แต่ดูสิ พระยะโฮวาทำให้คุณพลาดรางวัลไปซะนี่”
12 บาลาอัมตอบบาลาคว่า “ผมบอกคนที่ท่านใช้ไปหาผมแล้วไม่ใช่หรือว่า 13 ‘ถึงบาลาคจะยกวังที่เต็มไปด้วยเงินและทองของท่านให้ผม ผมก็ทำอะไรนอกเหนือคำสั่งของพระยะโฮวา หรือทำตามอำเภอใจของตัวเองไม่ได้ ไม่ว่าเรื่องดีหรือเรื่องร้าย ผมพูดได้เฉพาะที่พระยะโฮวาบอกให้ผมพูด’?+ 14 เอาละ ผมจะกลับไปหาคนของผม แต่มานี่สิ ผมจะบอกท่านให้รู้ว่าชนชาตินี้จะทำอะไรกับชนชาติของท่านในอนาคต” 15 แล้วเขาก็พูดเป็นบทกวีว่า+
“นี่คือคำพูดของบาลาอัม ลูกชายของเบโอร์
คำพูดของผู้ชายคนหนึ่งที่ถูกเปิดตาให้เห็น+
16 คำพูดของคนที่ได้ยินพระเจ้าพูด
คนที่มีความรู้ซึ่งพระเจ้าองค์สูงสุดมอบให้
เขาเห็นนิมิตของผู้มีพลังอำนาจสูงสุด
ขณะที่ซบหน้าลงพร้อมด้วยตาที่สว่างแล้ว เขาพูดว่า
17 ผมจะเห็นคนนั้น แต่ไม่ใช่ตอนนี้
ผมจะเห็นคนนั้น แต่ไม่ใช่เร็ว ๆ นี้
เขาจะตีหน้าผากของชาวโมอับ+ให้แตก
และทุบกะโหลกของพวกนักรบบ้าเลือด
18 เอโดมจะตกเป็นของเขา+
เสอีร์+จะตกเป็นของพวกศัตรู+
ขณะที่อิสราเอลจะแสดงความกล้าหาญของตัวเอง
19 จะมีคนหนึ่งออกมาจากยาโคบเพื่อปราบปราม+
เขาจะฆ่าทุกคนที่หนีรอดออกมาจากในเมือง”
20 พอบาลาอัมเห็นชาวอามาเลข เขาก็พูดเป็นบทกวีต่อไปว่า
21 เมื่อบาลาอัมเห็นชาวเคไนต์+ เขาก็พูดเป็นบทกวีต่อไปว่า
“ที่อยู่ของคุณดูมั่นคงแข็งแรง ที่อาศัยของคุณตั้งอยู่บนหิน
22 แต่จะมีคนหนึ่งมาเผาเมืองคายิน*
อีกนานเท่าไรที่อัสซีเรียจะมากวาดต้อนคุณไปเป็นเชลย?”
23 และเขาพูดเป็นบทกวีต่อไปว่า
“แย่แล้ว! ถ้าพระเจ้าทำอย่างนี้แล้วใครจะรอดชีวิต?
แต่สุดท้ายเขาก็จะพินาศเหมือนกัน”
25 แล้วบาลาอัม+ก็กลับไปที่พักของตัวเอง บาลาคก็กลับไปเหมือนกัน
25 ขณะที่ชาวอิสราเอลอาศัยอยู่ในชิทธีม+ พวกเขาทำผิดศีลธรรมทางเพศกับผู้หญิงชาวโมอับ+ 2 พวกผู้หญิงชักชวนชาวอิสราเอลไปถวายเครื่องบูชาให้พระของพวกเธอ+ และชาวอิสราเอลก็กินของที่ถวายเป็นเครื่องบูชาและกราบไหว้พระพวกนั้น+ 3 พระยะโฮวาโกรธชาวอิสราเอลมากที่พวกเขาไปร่วมนมัสการพระบาอัลแห่งเปโอร์+ 4 พระยะโฮวาจึงพูดกับโมเสสว่า “ไปจับพวกหัวโจกมาประหารชีวิตให้หมด แล้วแขวนศพไว้กลางแดดต่อหน้าพระยะโฮวา พระยะโฮวาจะได้หายโกรธชาวอิสราเอล” 5 โมเสสพูดกับพวกผู้พิพากษาของอิสราเอลว่า+ “พวกคุณต้องประหารชีวิตคนของพวกคุณ*ที่ไปร่วมนมัสการพระบาอัลแห่งเปโอร์”+
6 ตอนนั้นเอง มีชาวอิสราเอลคนหนึ่ง พาผู้หญิงชาวมีเดียน+เดินเข้ามาหาญาติพี่น้องของตัวเองต่อหน้าต่อตาโมเสสกับชาวอิสราเอลที่กำลังร้องห่มร้องไห้อยู่ตรงทางเข้าเต็นท์เข้าเฝ้า 7 พอฟีเนหัส+ลูกชายของเอเลอาซาร์ หลานของปุโรหิตอาโรนเห็น ก็ลุกออกมาทันทีและคว้าหอกไปด้วย 8 เขาตามผู้ชายอิสราเอลคนนั้นเข้าไปในเต็นท์และแทงทั้งสองคน ฟีเนหัสแทงผู้ชายอิสราเอลจนทะลุถึงท้องน้อยของผู้หญิง ภัยพิบัติที่เกิดกับชาวอิสราเอลจึงหยุด+ 9 คนที่ตายเพราะภัยพิบัตินั้นมีทั้งหมด 24,000 คน+
10 พระยะโฮวาพูดกับโมเสสว่า 11 “ฟีเนหัส+ลูกชายของเอเลอาซาร์ หลานของปุโรหิตอาโรนทำให้เราหายโกรธชาวอิสราเอล เพราะเขายอมไม่ได้ที่เห็นชาวอิสราเอลทำตัวไม่ซื่อสัตย์ต่อเรา+ ไม่อย่างนั้น เราคงทำลายล้างชาวอิสราเอลหมดไปแล้ว เพราะเราเป็นพระเจ้าที่ต้องการให้นมัสการเราเพียงผู้เดียว+ 12 ดังนั้น ไปบอกเขาว่าเราจะทำสัญญากับเขาเพราะเราพอใจเขา 13 เป็นสัญญาที่จะให้เขาและลูกหลานของเขาเป็นปุโรหิตตลอดไป+ เพราะเขาไม่ยอมให้มีการประพฤติไม่ซื่อสัตย์ต่อพระเจ้าของเขา+ และเขาทำการไถ่บาปให้ชาวอิสราเอล”
14 ผู้ชายอิสราเอลที่ถูกฆ่าพร้อมกับผู้หญิงชาวมีเดียนชื่อว่าศิมรี เขาเป็นลูกชายของสาลูและเป็นหัวหน้าคนหนึ่งในตระกูลสิเมโอน 15 ส่วนผู้หญิงชาวมีเดียนที่ถูกฆ่าชื่อว่าคอสบี เป็นลูกสาวของศูร์+ผู้นำคนหนึ่งของชาวมีเดียน+
16 พระยะโฮวาพูดกับโมเสสว่า 17 “พวกเจ้าต้องเป็นศัตรูกับชาวมีเดียน และต้องทำลายพวกเขา+ 18 เพราะพวกเขาทำตัวเป็นศัตรูกับพวกเจ้า และใช้เล่ห์เหลี่ยมล่อลวงพวกเจ้าในเรื่องที่เกี่ยวข้องกับเปโอร์+และคอสบีลูกสาวหัวหน้าคนหนึ่งของชาวมีเดียน เธอถูกฆ่า+ในวันที่เกิดภัยพิบัติเพราะเรื่องที่เกี่ยวข้องกับเปโอร์นั้น”+
26 หลังจากที่ภัยพิบัติหยุดแล้ว+ พระยะโฮวาพูดกับโมเสสและเอเลอาซาร์ลูกชายของปุโรหิตอาโรนว่า 2 “ให้นับจำนวนชาวอิสราเอลทั้งหมดที่เข้าร่วมกับกองทัพอิสราเอลได้ ซึ่งมีอายุ 20 ปีขึ้นไป โดยนับตามตระกูลของพวกเขา”+ 3 โมเสสกับปุโรหิตเอเลอาซาร์+พูดกับชาวอิสราเอลในที่ราบกันดารโมอับ+ ริมแม่น้ำจอร์แดนซึ่งอยู่ฝั่งตรงข้ามกับเมืองเยรีโค+ว่า 4 “ให้นับจำนวนคนที่มีอายุตั้งแต่ 20 ปีขึ้นไปตามที่พระยะโฮวาสั่งโมเสส”+
ลูกหลานของอิสราเอลที่ออกมาจากอียิปต์มีดังนี้ 5 ลูกหลานของรูเบน+ รูเบน+เป็นลูกคนโตของอิสราเอล ลูกหลานของเขาประกอบด้วยวงศ์ตระกูลของฮาโนค วงศ์ตระกูลของปัลลู 6 วงศ์ตระกูลของเฮสโรน และวงศ์ตระกูลของคาร์มี 7 ในวงศ์ตระกูลต่าง ๆ ของตระกูลรูเบน มีคนมาขึ้นทะเบียนทั้งหมด 43,730 คน+
8 ปัลลูมีลูกชายชื่อเอลีอับ 9 เอลีอับมีลูกชายชื่อ เนมูเอล ดาธาน อาบีรัม ดาธานกับอาบีรัมคือคนที่ถูกเลือกจากประชาชน สองคนนี้กับพรรคพวกของโคราห์+ต่อต้านโมเสส+กับอาโรน พวกเขาต่อต้านพระยะโฮวา+
10 แผ่นดินแยกออกจากกันและกลืนพวกเขาลงไป ส่วนโคราห์ก็ตายพร้อมกับพรรคพวกของเขาตอนที่ไฟลงมาเผาผลาญ 250 คนนั้น+ สิ่งที่เกิดขึ้นกับพวกเขาจึงเป็นตัวอย่างเตือนใจ+ 11 แต่ลูกชายของโคราห์ไม่ตาย+
12 ลูกหลานของสิเมโอน+ตามวงศ์ตระกูลของพวกเขา ซึ่งประกอบด้วยวงศ์ตระกูลของเนมูเอล วงศ์ตระกูลของยามีน วงศ์ตระกูลของยาคีน 13 วงศ์ตระกูลของเศราห์ และวงศ์ตระกูลของชาอูล 14 ในวงศ์ตระกูลต่าง ๆ ของตระกูลสิเมโอน มีคนมาขึ้นทะเบียนทั้งหมด 22,200 คน+
15 ลูกหลานของกาด+ตามวงศ์ตระกูลของพวกเขา ซึ่งประกอบด้วยวงศ์ตระกูลของเศโฟน วงศ์ตระกูลของฮักกี วงศ์ตระกูลของชูนี 16 วงศ์ตระกูลของโอสนี วงศ์ตระกูลของเอรี 17 วงศ์ตระกูลของอาโรด และวงศ์ตระกูลของอาเรลี 18 ในวงศ์ตระกูลต่าง ๆ ของตระกูลกาด มีคนมาขึ้นทะเบียนทั้งหมด 40,500 คน+
19 ลูกชายของยูดาห์+ที่ชื่อว่าเอร์กับโอนัน+ตายในแผ่นดินคานาอัน+ 20 ดังนั้น ลูกหลานของยูดาห์ตามวงศ์ตระกูลของพวกเขาจึงประกอบด้วยวงศ์ตระกูลของเชลาห์+ วงศ์ตระกูลของเปเรศ+ และวงศ์ตระกูลของเศราห์+ 21 ส่วนลูกหลานของเปเรศนั้นประกอบด้วยวงศ์ตระกูลของเฮสโรน+ และวงศ์ตระกูลของฮามูล+ 22 ในวงศ์ตระกูลต่าง ๆ ของตระกูลยูดาห์ มีคนมาขึ้นทะเบียนทั้งหมด 76,500 คน+
23 ลูกหลานของอิสสาคาร์+ตามวงศ์ตระกูลของพวกเขา ซึ่งประกอบด้วยวงศ์ตระกูลของโทลา+ วงศ์ตระกูลของปูวาห์ 24 วงศ์ตระกูลของยาชูบ และวงศ์ตระกูลของชิมโรน 25 ในวงศ์ตระกูลต่าง ๆ ของตระกูลอิสสาคาร์ มีคนมาขึ้นทะเบียนทั้งหมด 64,300 คน+
26 ลูกหลานของเศบูลุน+ตามวงศ์ตระกูลของพวกเขา ซึ่งประกอบด้วยวงศ์ตระกูลของเสเรด วงศ์ตระกูลของเอโลน และวงศ์ตระกูลของยาเลเอล 27 ในวงศ์ตระกูลต่าง ๆ ของตระกูลเศบูลุน มีคนมาขึ้นทะเบียนทั้งหมด 60,500 คน+
28 ลูกหลานของโยเซฟ+ตามวงศ์ตระกูลของพวกเขา คือวงศ์ตระกูลต่าง ๆ ที่เกิดจากมนัสเสห์และเอฟราอิม+ 29 ลูกหลานของมนัสเสห์+ประกอบด้วยวงศ์ตระกูลของมาคีร์+และวงศ์ตระกูลของกิเลอาด กิเลอาด+นี้เป็นลูกชายของมาคีร์ 30 ลูกหลานของกิเลอาดประกอบด้วยวงศ์ตระกูลของอีเยเซอร์ วงศ์ตระกูลของเฮเลค 31 วงศ์ตระกูลของอัสรีเอล วงศ์ตระกูลของเชเคม 32 วงศ์ตระกูลของเชมิดา และวงศ์ตระกูลของเฮเฟอร์ 33 เฮเฟอร์มีลูกชายชื่อเศโลเฟหัด แต่เศโลเฟหัดไม่มีลูกชายมีแต่ลูกสาว+ ลูกสาวของเศโลเฟหัด+ชื่อมาลาห์ โนอาห์ โฮกลาห์ มิลคาห์ และทีร์ซาห์ 34 ในวงศ์ตระกูลต่าง ๆ ของตระกูลมนัสเสห์ มีคนมาขึ้นทะเบียนทั้งหมด 52,700 คน+
35 ลูกหลานของเอฟราอิม+ตามวงศ์ตระกูลของพวกเขา ซึ่งประกอบด้วยวงศ์ตระกูลของชูเธลาห์+ วงศ์ตระกูลของเบเคอร์ และวงศ์ตระกูลของทาหาน 36 ลูกหลานของชูเธลาห์ได้แก่วงศ์ตระกูลของเอราน 37 ในวงศ์ตระกูลต่าง ๆ ของตระกูลเอฟราอิม มีคนมาขึ้นทะเบียนทั้งหมด 32,500 คน+ คนพวกนี้คือลูกหลานของโยเซฟตามวงศ์ตระกูลของพวกเขา
38 ลูกหลานของเบนยามิน+ตามวงศ์ตระกูลของพวกเขา ซึ่งประกอบด้วยวงศ์ตระกูลของเบลา+ วงศ์ตระกูลของอัชเบล วงศ์ตระกูลของอาหิรัม 39 วงศ์ตระกูลของเชฟูฟาม และวงศ์ตระกูลของหุฟาม 40 ลูกหลานของเบลาประกอบด้วยวงศ์ตระกูลของอาร์ด และวงศ์ตระกูลของนาอามาน+ 41 ในวงศ์ตระกูลต่าง ๆ ของตระกูลเบนยามิน มีคนมาขึ้นทะเบียนทั้งหมด 45,600 คน+
42 ลูกหลานของดาน+ตามวงศ์ตระกูลของพวกเขา ซึ่งได้แก่วงศ์ตระกูลของชูฮัม คนพวกนี้เป็นลูกหลานของดานตามวงศ์ตระกูลของพวกเขา 43 ในวงศ์ตระกูลต่าง ๆ ของชูฮัม มีคนมาขึ้นทะเบียนทั้งหมด 64,400 คน+
44 ลูกหลานของอาเชอร์+ตามวงศ์ตระกูลของพวกเขา ซึ่งประกอบด้วยวงศ์ตระกูลของอิมนาห์ วงศ์ตระกูลของอิชวี และวงศ์ตระกูลของเบรียาห์ 45 ลูกหลานของเบรียาห์ประกอบด้วยวงศ์ตระกูลของเฮเบอร์กับวงศ์ตระกูลของมัลคีเอล 46 อาเชอร์มีลูกสาวชื่อเสราห์ 47 ในวงศ์ตระกูลต่าง ๆ ของตระกูลอาเชอร์ มีคนมาขึ้นทะเบียนทั้งหมด 53,400 คน+
48 ลูกหลานของนัฟทาลี+ตามวงศ์ตระกูลของพวกเขา ซึ่งประกอบด้วยวงศ์ตระกูลของยาเซเอล วงศ์ตระกูลของกูนี 49 วงศ์ตระกูลของเยเซอร์ และวงศ์ตระกูลของชิลเลม 50 คนพวกนี้เป็นลูกหลานของนัฟทาลีตามวงศ์ตระกูลของพวกเขา ในตระกูลนี้มีคนมาขึ้นทะเบียนทั้งหมด 45,400 คน+
51 ชาวอิสราเอลที่มาขึ้นทะเบียนมีจำนวนทั้งหมด 601,730 คน+
52 หลังจากนั้น พระยะโฮวาพูดกับโมเสสว่า 53 “ให้แบ่งที่ดินเป็นมรดกให้คนพวกนี้ตามบัญชีรายชื่อของพวกเขา+ 54 ตระกูลไหนคนมาก ตระกูลนั้นจะได้ที่ดินมาก ตระกูลไหนคนน้อย ตระกูลนั้นจะได้ที่ดินน้อย+ แต่ละตระกูลจะได้มรดกที่ดินตามสัดส่วนของคนที่มาขึ้นทะเบียนในตระกูลนั้น 55 แต่ให้แบ่งที่ดินโดยการจับฉลาก+ พวกเขาจะได้มรดกที่ดินตามที่ตระกูลของตัวเองได้ 56 ฉลากจะเป็นตัวกำหนดว่าแต่ละตระกูลจะได้ที่ดินตรงไหน ไม่ว่าจะเป็นตระกูลใหญ่หรือตระกูลเล็ก”
57 คนที่มาขึ้นทะเบียนในตระกูลเลวี+ตามวงศ์ตระกูลของพวกเขาประกอบด้วยวงศ์ตระกูลของเกอร์โชน วงศ์ตระกูลของโคฮาท+ และวงศ์ตระกูลของเมรารี 58 วงศ์ตระกูลต่อไปนี้ก็อยู่ในตระกูลเลวีด้วย คือ วงศ์ตระกูลของลิบนี+ วงศ์ตระกูลของเฮโบรน+ วงศ์ตระกูลของมาห์ลี+ วงศ์ตระกูลของมูชี+ และวงศ์ตระกูลของโคราห์+
โคฮาทเป็นพ่ออัมราม+ 59 อัมรามมีภรรยาชื่อโยเคเบด+ เธอเป็นลูกสาวของเลวีและเกิดในอียิปต์ ต่อมาเธอกับอัมรามมีลูกด้วยกันชื่อ อาโรน โมเสส รวมทั้งมิเรียมพี่สาวของเขาทั้งสอง+ 60 อาโรนมีลูกชายชื่อ นาดับ อาบีฮู เอเลอาซาร์ และอิธามาร์+ 61 แต่นาดับกับอาบีฮูตายเพราะพวกเขาเผาเครื่องหอมถวายพระยะโฮวาโดยใช้ไฟที่ไม่ได้เป็นไปตามข้อกำหนด+
62 ผู้ชายทั้งหมดซึ่งมีอายุตั้งแต่ 1 เดือนขึ้นไปที่มาขึ้นทะเบียนมีจำนวน 23,000 คน+ แต่เนื่องจากพวกเขาไม่ได้มรดกที่ดินในอิสราเอล+ จึงไม่ได้ขึ้นทะเบียนพวกเขา+รวมกับตระกูลอื่น ๆ ของชาวอิสราเอล
63 คนพวกนี้คือคนที่มาขึ้นทะเบียนกับโมเสสและปุโรหิตเอเลอาซาร์ ตอนที่ทั้งสองทำบัญชีรายชื่อชาวอิสราเอลในที่ราบกันดารโมอับริมแม่น้ำจอร์แดนซึ่งอยู่ฝั่งตรงข้ามกับเมืองเยรีโค 64 คนในรายชื่อทั้งหมดนี้ไม่มีสักคนเดียวที่เคยมาขึ้นทะเบียนกับโมเสสและปุโรหิตอาโรนในที่กันดารซีนาย ตอนที่มีการนับจำนวนชาวอิสราเอล+ 65 เพราะพระยะโฮวาพูดเกี่ยวกับคนพวกนั้นว่า “พวกเขาจะล้มตายอยู่ในที่กันดาร”+ จึงไม่มีใครเหลือรอดอยู่ยกเว้นคาเลบลูกชายของเยฟุนเนห์ และโยชูวาลูกชายของนูน+
27 มาลาห์ โนอาห์ โฮกลาห์ มิลคาห์ และทีร์ซาห์เข้ามาหาโมเสส พวกเธอเป็นลูกสาวของเศโลเฟหัด+ เศโลเฟหัดเป็นลูกชายของเฮเฟอร์ เฮเฟอร์เป็นลูกชายของกิเลอาด กิเลอาดเป็นลูกชายของมาคีร์ มาคีร์เป็นลูกชายของมนัสเสห์ พวกเธออยู่ในวงศ์ตระกูลของมนัสเสห์ลูกชายของโยเซฟ 2 พวกเธอมายืนตรงทางเข้าเต็นท์เข้าเฝ้าต่อหน้าโมเสส ปุโรหิตเอเลอาซาร์ พวกหัวหน้า+ และชาวอิสราเอล พวกเธอพูดว่า 3 “พ่อของพวกเราตายในที่กันดาร แต่พ่อไม่ได้อยู่ในกลุ่มคนที่ร่วมกันต่อต้านพระยะโฮวาซึ่งเป็นพรรคพวกของโคราห์+ พ่อตายเพราะบาปของตัวเอง และพ่อไม่มีลูกชายสักคน 4 ทำไมถึงลบชื่อพ่อของเราออกจากวงศ์ตระกูลเพียงเพราะไม่มีลูกชาย? ขอให้เราได้รับมรดกที่ดินด้วยกันกับญาติพี่น้องของพ่อด้วยเถอะ” 5 โมเสสก็นำเรื่องนี้ไปถามพระยะโฮวา+
6 พระยะโฮวาพูดกับโมเสสว่า 7 “ลูกสาวของเศโลเฟหัดพูดถูกแล้ว เจ้าต้องให้พวกเธอได้รับมรดกที่ดินด้วยกันกับญาติพี่น้องของพ่อ ให้โอนมรดกที่ดินของพ่อให้พวกเธอ+ 8 และให้บอกชาวอิสราเอลว่า ‘ถ้าผู้ชายคนไหนตายโดยไม่มีลูกชาย มรดกที่ดินของเขาจะตกเป็นของลูกสาว 9 ถ้าเขาไม่มีลูกสาว มรดกที่ดินจะตกเป็นของพี่ชายหรือน้องชายของเขา 10 แต่ถ้าไม่มีพี่ชายหรือน้องชาย มรดกที่ดินจะตกเป็นของพี่ชายหรือน้องชายของพ่อคนตาย 11 แต่ถ้าพ่อของเขาไม่มีพี่ชายหรือน้องชาย มรดกที่ดินก็จะตกเป็นของญาติที่ใกล้ชิดที่สุดที่มีสายเลือดเดียวกันในตระกูลของเขา ญาติคนนั้นจะได้รับมรดกที่ดิน และนี่จะเป็นข้อกำหนดสำหรับชาวอิสราเอลตามการตัดสินของพระยะโฮวาที่สั่งโมเสสไว้’”
12 พระยะโฮวาพูดกับโมเสสว่า “ขึ้นไปบนภูเขานี้ในเขตอาบาริม+ และมองดูแผ่นดินที่เราจะให้ชาวอิสราเอล+ 13 เมื่อเจ้าเห็นแล้ว เจ้าจะได้อยู่กับบรรพบุรุษของเจ้า*+เหมือนกับอาโรนพี่ชายของเจ้า+ 14 เพราะเมื่อชาวอิสราเอลต่อว่าเราในที่กันดารซิน พวกเจ้าขัดคำสั่งของเรา ไม่ได้ให้เกียรติเราตอนที่เราเอาน้ำให้พวกเขากิน+ คือน้ำเมรีบาห์+ที่คาเดช+ในที่กันดารซิน”+
15 โมเสสพูดกับพระยะโฮวาว่า 16 “ขอพระยะโฮวาพระเจ้าผู้ให้ชีวิตมนุษย์ทุกคน แต่งตั้งผู้ชายคนหนึ่งให้ดูแลชาวอิสราเอล 17 ผู้ชายคนนั้นจะเป็นคนที่คอยนำพวกเขาให้ทำสิ่งต่าง ๆ และเป็นคนชี้แนะพวกเขาทุกเรื่อง ประชาชนของพระยะโฮวาจะได้ไม่เป็นเหมือนแกะที่ไม่มีผู้เลี้ยง” 18 พระยะโฮวาจึงพูดกับโมเสสว่า “ไปพาโยชูวาลูกชายของนูนมา เขาเป็นคนที่มีความสามารถและมีคุณสมบัติที่จะเป็นผู้นำ แล้ววางมือบนเขา+ 19 ให้เขามายืนต่อหน้าปุโรหิตเอเลอาซาร์และต่อหน้าชาวอิสราเอล แล้วให้เจ้าแต่งตั้งเขาเป็นผู้นำต่อหน้าคนทั้งหมดนี้+ 20 เจ้าต้องให้เขามีอำนาจบางอย่าง+ ชาวอิสราเอลจะได้เชื่อฟังเขา+ 21 ถ้าเขาจะถามพระยะโฮวาเขาจะไปยืนต่อหน้าปุโรหิตเอเลอาซาร์ และเอเลอาซาร์จะถามแทนเขาโดยอาศัยอูริม+เพื่อจะได้คำตัดสิน แล้วทุกคนจะทำตามคำตัดสินนั้น ทั้งโยชูวาและชาวอิสราเอลทั้งหมด”
22 โมเสสทำตามที่พระยะโฮวาสั่ง เขาพาโยชูวามายืนต่อหน้าปุโรหิตเอเลอาซาร์ และต่อหน้าชาวอิสราเอล 23 แล้ววางมือบนโยชูวาเพื่อแต่งตั้งให้เป็นผู้นำ+ตามที่พระยะโฮวาสั่งผ่านทางโมเสส+
28 พระยะโฮวาพูดกับโมเสสอีกว่า 2 “ให้บอกชาวอิสราเอลอย่างนี้ ‘พวกเจ้าต้องเอาใจใส่ในการถวายเครื่องบูชาซึ่งเป็นอาหารของเรา และถวายด้วยการเผาซึ่งมีกลิ่นหอมที่ทำให้เราพอใจ ตามเวลาที่กำหนดไว้’+
3 “และให้บอกพวกเขาว่า ‘เครื่องบูชาที่ถวายด้วยการเผาที่ต้องนำมาถวายพระยะโฮวานั้นได้แก่ ลูกแกะตัวผู้ที่สมบูรณ์แข็งแรงอายุ 1 ปีวันละ 2 ตัวเป็นเครื่องบูชาเผาที่ถวายเป็นประจำ+ 4 ให้ถวายลูกแกะตัวผู้ตัวหนึ่งในตอนเช้า และอีกตัวหนึ่งในตอนพลบค่ำ*+ 5 โดยแต่ละครั้งให้ถวายพร้อมกับแป้งเนื้อละเอียด 1 ใน 10 เอฟาห์*ที่นวดกับน้ำมัน 1 ใน 4 ฮิน*ซึ่งเป็นเครื่องบูชาที่ทำจากเมล็ดข้าว+ 6 นี่คือเครื่องบูชาเผาที่ถวายเป็นประจำ+ตามที่กำหนดไว้ที่ภูเขาซีนาย เป็นเครื่องบูชาที่ถวายพระยะโฮวาด้วยการเผาซึ่งมีกลิ่นหอมที่ทำให้พระองค์พอใจ 7 ลูกแกะตัวผู้ตัวหนึ่งจะต้องถวายพร้อมกับเครื่องบูชาดื่ม 1 ใน 4 ฮิน*+ เจ้าต้องเทเหล้าซึ่งเป็นเครื่องบูชาดื่มนี้ถวายพระยะโฮวาในสถานบริสุทธิ์ 8 และลูกแกะตัวผู้อีกตัวหนึ่งให้เจ้าถวายในตอนพลบค่ำ* เจ้าต้องถวายเครื่องบูชานี้พร้อมกับเครื่องบูชาที่ทำจากเมล็ดข้าวและเครื่องบูชาดื่มเหมือนกับที่ถวายในตอนเช้า และให้ถวายด้วยการเผาซึ่งมีกลิ่นหอมที่ทำให้พระยะโฮวาพอใจ+
9 “‘แต่ในวันสะบาโต+จะต้องถวายลูกแกะตัวผู้ที่สมบูรณ์แข็งแรงอายุ 1 ปีอีก 2 ตัว โดยถวายพร้อมกับแป้งเนื้อละเอียดที่เป็นเครื่องบูชาที่ทำจากเมล็ดข้าว 2 ใน 10 เอฟาห์*ซึ่งนวดกับน้ำมัน และถวายพร้อมกับเครื่องบูชาดื่มด้วย 10 นี่เป็นเครื่องบูชาเผาสำหรับวันสะบาโต ซึ่งจะต้องถวายควบคู่กับเครื่องบูชาเผาที่ถวายเป็นประจำพร้อมกับเครื่องบูชาดื่ม+
11 “‘ในวันแรกของแต่ละเดือน พวกเจ้าจะต้องถวายวัวหนุ่ม 2 ตัว แกะตัวผู้ 1 ตัว และลูกแกะตัวผู้ที่สมบูรณ์แข็งแรงอายุ 1 ปี 7 ตัว เพื่อเป็นเครื่องบูชาเผาให้พระยะโฮวา+ 12 โดยวัวแต่ละตัวให้ถวายพร้อมกับแป้งเนื้อละเอียดที่เป็นเครื่องบูชาที่ทำจากเมล็ดข้าว+ 3 ใน 10 เอฟาห์*ซึ่งนวดกับน้ำมัน และแกะตัวผู้ให้ถวายพร้อมกับแป้งเนื้อละเอียดที่เป็นเครื่องบูชาที่ทำจากเมล็ดข้าว 2 ใน 10 เอฟาห์*ซึ่งนวดกับน้ำมัน+ 13 ส่วนลูกแกะตัวผู้แต่ละตัวให้ถวายพร้อมกับแป้งเนื้อละเอียดที่เป็นเครื่องบูชาที่ทำจากเมล็ดข้าว 1 ใน 10 เอฟาห์*ซึ่งนวดกับน้ำมัน เพื่อเป็นเครื่องบูชาเผาที่ถวายพระยะโฮวาด้วยการเผาซึ่งมีกลิ่นหอมที่ทำให้พระองค์พอใจ+ 14 และวัวแต่ละตัวให้ถวายพร้อมกับเหล้าองุ่นซึ่งเป็นเครื่องบูชาดื่มครึ่งฮิน*+ และแกะตัวผู้ให้ถวายพร้อมกับเหล้าองุ่น 1 ใน 3 ฮิน*+ ส่วนลูกแกะตัวผู้แต่ละตัวให้ถวายพร้อมกับเหล้าองุ่น 1 ใน 4 ฮิน*+ นี่คือเครื่องบูชาเผาที่ถวายในแต่ละเดือนตลอดทั้งปี 15 และต้องถวายลูกแพะตัวหนึ่งให้พระยะโฮวาเป็นเครื่องบูชาไถ่บาปด้วย นอกเหนือจากเครื่องบูชาเผาที่ถวายเป็นประจำพร้อมกับเครื่องบูชาดื่ม
16 “‘ในวันที่ 14 เดือน 1 จะเป็นปัสกาของพระยะโฮวา+ 17 และวันที่ 15 ของเดือนเดียวกันนี้จะเป็นเทศกาลฉลอง จะต้องกินขนมปังไม่ใส่เชื้อเป็นเวลา 7 วัน+ 18 ในวันแรกจะมีการประชุมเพื่อนมัสการพระเจ้า พวกเจ้าอย่าทำงานหนักในวันนั้น 19 พวกเจ้าต้องถวายวัวหนุ่ม 2 ตัว แกะตัวผู้ 1 ตัว และลูกแกะตัวผู้อายุ 1 ปี 7 ตัว เป็นเครื่องบูชาเผาให้พระยะโฮวาโดยถวายด้วยการเผา พวกเจ้าต้องถวายสัตว์ที่สมบูรณ์แข็งแรง+ 20 ให้พวกเจ้าถวายแป้งเนื้อละเอียดที่นวดกับน้ำมันเป็นเครื่องบูชาที่ทำจากเมล็ดข้าวควบคู่ไปด้วย+ โดยถวายแป้ง 3 ใน 10 เอฟาห์*พร้อมกับวัวแต่ละตัว แป้ง 2 ใน 10 เอฟาห์*พร้อมกับแกะตัวผู้ 21 และแป้ง 1 ใน 10 เอฟาห์*พร้อมกับลูกแกะตัวผู้แต่ละตัวซึ่งมี 7 ตัวนั้น 22 และต้องถวายแพะตัวหนึ่งเป็นเครื่องบูชาไถ่บาปเพื่อใช้ไถ่บาปพวกเจ้า 23 พวกเจ้าต้องถวายเครื่องบูชาต่าง ๆ นี้นอกเหนือจากเครื่องบูชาเผาที่ถวายเป็นประจำในตอนเช้า 24 ให้พวกเจ้าถวายเครื่องบูชาแบบเดียวกันนี้ทุกวันตลอดทั้ง 7 วันเป็นอาหารให้พระยะโฮวา โดยถวายด้วยการเผาซึ่งมีกลิ่นหอมที่ทำให้พระองค์พอใจ ให้ถวายเครื่องบูชานี้ควบคู่กับเครื่องบูชาเผาที่ถวายเป็นประจำพร้อมกับเครื่องบูชาดื่ม 25 และในวันที่เจ็ด พวกเจ้าจะต้องจัดให้มีการประชุมเพื่อนมัสการพระเจ้าอีก+ พวกเจ้าอย่าทำงานหนักในวันนั้น+
26 “‘ในวันที่ถวายผลแรก+ คือวันที่พวกเจ้าถวายเครื่องบูชาที่ทำจากเมล็ดข้าวที่เป็นข้าวใหม่ให้พระยะโฮวา+ในเทศกาลเก็บเกี่ยวนั้น+ พวกเจ้าจะต้องจัดให้มีการประชุมเพื่อนมัสการพระเจ้า อย่าทำงานหนักในวันนั้น+ 27 พวกเจ้าจะต้องถวายวัวหนุ่ม 2 ตัว แกะตัวผู้ 1 ตัว และลูกแกะตัวผู้อายุ 1 ปี 7 ตัวเป็นเครื่องบูชาเผาให้พระยะโฮวาซึ่งมีกลิ่นหอมที่ทำให้พระองค์พอใจ+ 28 และต้องถวายแป้งเนื้อละเอียดที่นวดกับน้ำมันเป็นเครื่องบูชาที่ทำจากเมล็ดข้าวควบคู่ไปด้วย โดยถวายแป้ง 3 ใน 10 เอฟาห์*พร้อมกับวัวแต่ละตัว แป้ง 2 ใน 10 เอฟาห์*พร้อมกับแกะตัวผู้ 29 และแป้ง 1 ใน 10 เอฟาห์*พร้อมกับลูกแกะตัวผู้แต่ละตัวซึ่งมี 7 ตัวนั้น 30 และต้องถวายลูกแพะตัวหนึ่งเพื่อใช้ไถ่บาปพวกเจ้า+ 31 สัตว์พวกนี้ต้องสมบูรณ์แข็งแรง+ พวกเจ้าต้องถวายสัตว์พวกนี้ควบคู่กับเครื่องบูชาดื่ม นอกเหนือจากเครื่องบูชาเผาที่ถวายเป็นประจำซึ่งถวายควบคู่กับเครื่องบูชาที่ทำจากเมล็ดข้าว
29 “‘ในวันที่ 1 เดือน 7 พวกเจ้าต้องจัดให้มีการประชุมเพื่อนมัสการพระเจ้า พวกเจ้าอย่าทำงานหนักในวันนั้น+ นี่เป็นวันที่พวกเจ้าต้องเป่าแตร+ 2 พวกเจ้าจะต้องถวายวัวหนุ่ม 1 ตัว แกะตัวผู้ 1 ตัว และลูกแกะตัวผู้อายุ 1 ปี 7 ตัวเป็นเครื่องบูชาเผาให้พระยะโฮวาซึ่งมีกลิ่นหอมที่ทำให้พระองค์พอใจ สัตว์ทุกตัวต้องสมบูรณ์แข็งแรง 3 และต้องถวายแป้งเนื้อละเอียดที่นวดกับน้ำมันเป็นเครื่องบูชาที่ทำจากเมล็ดข้าวควบคู่ไปด้วย โดยถวายแป้ง 3 ใน 10 เอฟาห์*พร้อมกับวัว แป้ง 2 ใน 10 เอฟาห์*พร้อมกับแกะตัวผู้ 4 และแป้ง 1 ใน 10 เอฟาห์*พร้อมกับลูกแกะตัวผู้แต่ละตัวซึ่งมี 7 ตัวนั้น 5 และต้องถวายลูกแพะตัวผู้ตัวหนึ่งเป็นเครื่องบูชาไถ่บาปเพื่อใช้ไถ่บาปพวกเจ้า 6 พวกเจ้าต้องถวายเครื่องบูชาทั้งหมดนี้นอกเหนือจากเครื่องบูชาเผาที่กำหนดให้ถวายทุกเดือนพร้อมกับเครื่องบูชาที่ทำจากเมล็ดข้าว+และเครื่องบูชาดื่ม และนอกเหนือจากเครื่องบูชาเผาที่กำหนดให้ถวายเป็นประจำทุกวันพร้อมกับเครื่องบูชาที่ทำจากเมล็ดข้าว+และเครื่องบูชาดื่ม+ พวกเจ้าต้องถวายตามขั้นตอนที่ทำเป็นประจำ ให้ถวายพระยะโฮวาด้วยการเผาซึ่งมีกลิ่นหอมที่ทำให้พระองค์พอใจ
7 “‘ในวันที่ 10 เดือน 7 นี้ พวกเจ้าจะต้องจัดให้มีการประชุมเพื่อนมัสการพระเจ้า+ และต้องแสดงความเสียใจต่อบาปของตัวเอง* อย่าทำงานในวันนั้น+ 8 พวกเจ้าจะต้องถวายวัวหนุ่ม 1 ตัว แกะตัวผู้ 1 ตัว และลูกแกะตัวผู้อายุ 1 ปี 7 ตัวเป็นเครื่องบูชาเผาให้พระยะโฮวาซึ่งมีกลิ่นหอมที่ทำให้พระองค์พอใจ สัตว์ทุกตัวต้องสมบูรณ์แข็งแรง+ 9 และพวกเจ้าต้องถวายแป้งเนื้อละเอียดที่นวดกับน้ำมันเป็นเครื่องบูชาที่ทำจากเมล็ดข้าวควบคู่ไปด้วย โดยถวายแป้ง 3 ใน 10 เอฟาห์*พร้อมกับวัว แป้ง 2 ใน 10 เอฟาห์*พร้อมกับแกะตัวผู้ 10 และแป้ง 1 ใน 10 เอฟาห์*พร้อมกับลูกแกะตัวผู้แต่ละตัวซึ่งมี 7 ตัวนั้น 11 และต้องถวายลูกแพะตัวหนึ่งเป็นเครื่องบูชาไถ่บาป นอกเหนือจากเครื่องบูชาไถ่บาปที่ถวายในวันไถ่บาป+พร้อมกับเครื่องบูชาดื่ม และนอกเหนือจากเครื่องบูชาเผาที่ถวายเป็นประจำพร้อมกับเครื่องบูชาที่ทำจากเมล็ดข้าวและเครื่องบูชาดื่ม
12 “‘ในวันที่ 15 เดือน 7 พวกเจ้าจะต้องจัดให้มีการประชุมเพื่อนมัสการพระเจ้า พวกเจ้าอย่าทำงานหนักในวันนั้น แต่ต้องฉลองเทศกาลให้พระยะโฮวา 7 วัน+ 13 พวกเจ้าต้องถวายวัวหนุ่ม 13 ตัว แกะตัวผู้ 2 ตัว และลูกแกะตัวผู้อายุ 1 ปี 14 ตัวเป็นเครื่องบูชาเผา+ โดยถวายให้พระยะโฮวาด้วยการเผาซึ่งมีกลิ่นหอมที่ทำให้พระองค์พอใจ สัตว์ทุกตัวต้องสมบูรณ์แข็งแรง+ 14 และพวกเจ้าต้องถวายแป้งเนื้อละเอียดที่นวดกับน้ำมันเป็นเครื่องบูชาที่ทำจากเมล็ดข้าวควบคู่ไปด้วย โดยถวายแป้ง 3 ใน 10 เอฟาห์*พร้อมกับวัวแต่ละตัวซึ่งมี 13 ตัว แป้ง 2 ใน 10 เอฟาห์*พร้อมกับแกะตัวผู้แต่ละตัวซึ่งมี 2 ตัว 15 และแป้ง 1 ใน 10 เอฟาห์*พร้อมกับลูกแกะตัวผู้แต่ละตัวซึ่งมี 14 ตัวนั้น 16 และต้องถวายลูกแพะตัวหนึ่งเป็นเครื่องบูชาไถ่บาป นอกเหนือจากเครื่องบูชาเผาที่ถวายเป็นประจำพร้อมกับเครื่องบูชาที่ทำจากเมล็ดข้าวและเครื่องบูชาดื่ม+
17 “‘ในวันที่สอง จะต้องถวายวัวหนุ่ม 12 ตัว แกะตัวผู้ 2 ตัว และลูกแกะตัวผู้อายุ 1 ปี 14 ตัว สัตว์ทุกตัวต้องสมบูรณ์แข็งแรง+ 18 และต้องถวายเครื่องบูชาที่ทำจากเมล็ดข้าวกับเครื่องบูชาดื่มควบคู่ไปกับวัว แกะตัวผู้ และลูกแกะตัวผู้ ตามจำนวนสัตว์นั้น และตามขั้นตอนที่ทำเป็นประจำ 19 และต้องถวายลูกแพะตัวหนึ่งเป็นเครื่องบูชาไถ่บาป นอกเหนือจากเครื่องบูชาเผาที่ถวายเป็นประจำพร้อมกับเครื่องบูชาที่ทำจากเมล็ดข้าวและเครื่องบูชาดื่ม+
20 “‘ในวันที่สาม จะต้องถวายวัวหนุ่ม 11 ตัว แกะตัวผู้ 2 ตัว ลูกแกะตัวผู้อายุ 1 ปี 14 ตัว สัตว์ทุกตัวต้องสมบูรณ์แข็งแรง+ 21 และต้องถวายเครื่องบูชาที่ทำจากเมล็ดข้าวและเครื่องบูชาดื่มควบคู่ไปกับวัว แกะตัวผู้ และลูกแกะตัวผู้ ตามจำนวนสัตว์พวกนั้น และตามขั้นตอนที่ทำเป็นประจำ 22 และต้องถวายแพะตัวหนึ่งเป็นเครื่องบูชาไถ่บาป นอกเหนือจากเครื่องบูชาเผาที่ถวายเป็นประจำพร้อมกับเครื่องบูชาที่ทำจากเมล็ดข้าวและเครื่องบูชาดื่ม+
23 “‘ในวันที่สี่ จะต้องถวายวัวหนุ่ม 10 ตัว แกะตัวผู้ 2 ตัว ลูกแกะตัวผู้อายุ 1 ปี 14 ตัว สัตว์ทุกตัวต้องสมบูรณ์แข็งแรง+ 24 และต้องถวายเครื่องบูชาที่ทำจากเมล็ดข้าวและเครื่องบูชาดื่มควบคู่ไปกับวัว แกะตัวผู้ และลูกแกะตัวผู้ ตามจำนวนสัตว์พวกนั้น และตามขั้นตอนที่ทำเป็นประจำ 25 และต้องถวายลูกแพะตัวหนึ่งเป็นเครื่องบูชาไถ่บาป นอกเหนือจากเครื่องบูชาเผาที่ถวายเป็นประจำพร้อมกับเครื่องบูชาที่ทำจากเมล็ดข้าวและเครื่องบูชาดื่ม+
26 “‘ในวันที่ห้า จะต้องถวายวัว 9 ตัว แกะตัวผู้ 2 ตัว ลูกแกะตัวผู้อายุ 1 ปี 14 ตัว สัตว์ทุกตัวต้องสมบูรณ์แข็งแรง+ 27 และต้องถวายเครื่องบูชาที่ทำจากเมล็ดข้าวและเครื่องบูชาดื่มควบคู่ไปกับวัว แกะตัวผู้ และลูกแกะตัวผู้ ตามจำนวนสัตว์พวกนั้น และตามขั้นตอนที่ทำเป็นประจำ 28 และต้องถวายแพะตัวหนึ่งเป็นเครื่องบูชาไถ่บาป นอกเหนือจากเครื่องบูชาเผาที่ถวายเป็นประจำพร้อมกับเครื่องบูชาที่ทำจากเมล็ดข้าวและเครื่องบูชาดื่ม+
29 “‘ในวันที่หก จะต้องถวายวัว 8 ตัว แกะตัวผู้ 2 ตัว ลูกแกะตัวผู้อายุ 1 ปี 14 ตัว สัตว์ทุกตัวต้องสมบูรณ์แข็งแรง+ 30 และต้องถวายเครื่องบูชาที่ทำจากเมล็ดข้าวและเครื่องบูชาดื่มควบคู่ไปกับวัว แกะตัวผู้ และลูกแกะตัวผู้ ตามจำนวนสัตว์พวกนั้น และตามขั้นตอนที่ทำเป็นประจำ 31 และต้องถวายแพะตัวหนึ่งเป็นเครื่องบูชาไถ่บาป นอกเหนือจากเครื่องบูชาเผาที่ถวายเป็นประจำพร้อมกับเครื่องบูชาที่ทำจากเมล็ดข้าวและเครื่องบูชาดื่ม+
32 “‘ในวันที่เจ็ด จะต้องถวายวัว 7 ตัว แกะตัวผู้ 2 ตัว ลูกแกะตัวผู้อายุ 1 ปี 14 ตัว สัตว์ทุกตัวต้องสมบูรณ์แข็งแรง+ 33 และต้องถวายเครื่องบูชาที่ทำจากเมล็ดข้าวและเครื่องบูชาดื่มควบคู่ไปกับวัว แกะตัวผู้ และลูกแกะตัวผู้ ตามจำนวนสัตว์พวกนั้น และตามขั้นตอนที่ทำเป็นประจำ 34 และต้องถวายแพะตัวหนึ่งเป็นเครื่องบูชาไถ่บาป นอกเหนือจากเครื่องบูชาเผาที่ถวายเป็นประจำพร้อมกับเครื่องบูชาที่ทำจากเมล็ดข้าวและเครื่องบูชาดื่ม+
35 “‘ในวันที่แปด พวกเจ้าจะต้องจัดให้มีการประชุมศักดิ์สิทธิ์ อย่าทำงานหนักในวันนั้น+ 36 พวกเจ้าจะต้องถวายวัว 1 ตัว แกะตัวผู้ 1 ตัว และลูกแกะตัวผู้อายุ 1 ปี 7 ตัวเป็นเครื่องบูชาเผา โดยถวายพระยะโฮวาด้วยการเผาซึ่งมีกลิ่นหอมที่ทำให้พระองค์พอใจ สัตว์ทุกตัวต้องสมบูรณ์แข็งแรง+ 37 และต้องถวายเครื่องบูชาที่ทำจากเมล็ดข้าวและเครื่องบูชาดื่มควบคู่ไปกับวัว แกะตัวผู้ และลูกแกะตัวผู้ ตามจำนวนสัตว์พวกนั้น และตามขั้นตอนที่ทำเป็นประจำ 38 และต้องถวายแพะตัวหนึ่งเป็นเครื่องบูชาไถ่บาป นอกเหนือจากเครื่องบูชาเผาที่ถวายเป็นประจำพร้อมกับเครื่องบูชาที่ทำจากเมล็ดข้าวและเครื่องบูชาดื่ม+
39 “‘พวกเจ้าจะต้องถวายสิ่งต่าง ๆ นี้เป็นเครื่องบูชาเผา+ เครื่องบูชาที่ทำจากเมล็ดข้าว+ เครื่องบูชาดื่ม+ และเครื่องบูชาผูกมิตร+ให้พระยะโฮวาในเทศกาลฉลอง+ นอกเหนือจากเครื่องบูชาสำหรับคำปฏิญาณ+และเครื่องบูชาที่ถวายด้วยความสมัครใจ’”+ 40 โมเสสก็บอกทุกสิ่งกับชาวอิสราเอลตามที่พระยะโฮวาสั่งเขาไว้
30 โมเสสพูดกับพวกหัวหน้า+ตระกูลต่าง ๆ ของชาวอิสราเอลว่า “พระยะโฮวามีคำสั่งดังต่อไปนี้ 2 ถ้าผู้ชายคนไหนปฏิญาณ+หรือสาบานต่อพระยะโฮวา+ว่าจะทำหรือไม่ทำอะไร เขาจะละเมิดคำปฏิญาณไม่ได้+ เขาต้องทำตามที่ปฏิญาณไว้ทุกอย่าง+
3 “ถ้าผู้หญิงคนไหนที่ยังเป็นสาวและอาศัยอยู่กับพ่อปฏิญาณต่อพระยะโฮวาว่าจะทำหรือไม่ทำอะไร 4 และพ่อก็ได้ยินคำปฏิญาณนั้น แต่ไม่ได้คัดค้าน เธอจะต้องทำตามคำปฏิญาณที่เธอบอกว่าจะทำหรือไม่ทำอะไร 5 แต่ถ้าพ่อห้ามไว้ตอนที่ได้ยินเธอปฏิญาณว่าจะทำหรือไม่ทำอะไร คำปฏิญาณนั้นจะเป็นโมฆะ และพระยะโฮวาจะให้อภัยเธอเพราะพ่อของเธอห้ามไว้+
6 “แต่ถ้าเธอมีสามี แล้วเธอปฏิญาณหรือสัญญาอะไรโดยไม่ยั้งคิด 7 และสามีได้ยินคำปฏิญาณนั้น แต่ไม่ได้คัดค้านในวันที่เขาได้ยิน เธอจะต้องทำตามคำปฏิญาณนั้น 8 แต่ถ้าสามีของเธอห้ามไว้ในวันที่เขาได้ยิน เขาก็ทำให้คำปฏิญาณหรือคำสัญญาที่เธอพูดโดยไม่ยั้งคิดนั้นเป็นโมฆะ+ และพระยะโฮวาจะให้อภัยเธอ
9 “ถ้าผู้หญิงคนไหนที่เป็นม่ายหรือหย่ากับสามีปฏิญาณอะไร เธอจะต้องทำตามคำปฏิญาณนั้นทุกอย่าง
10 “ถ้าผู้หญิงคนไหนแต่งงานอยู่กินกับสามีแล้ว และปฏิญาณว่าจะทำหรือไม่ทำอะไร 11 และสามีได้ยินคำปฏิญาณของเธอแต่ไม่ได้คัดค้านหรือทักท้วง เธอจะต้องทำตามคำปฏิญาณนั้น 12 แต่ถ้าสามีทำให้คำปฏิญาณนั้นเป็นโมฆะในวันที่เขาได้ยินเธอปฏิญาณ เธอก็ไม่ต้องทำตามคำปฏิญาณนั้น+ เพราะสามีทำให้คำปฏิญาณนั้นเป็นโมฆะแล้ว และพระยะโฮวาจะให้อภัยเธอ 13 ไม่ว่าเธอจะปฏิญาณหรือสาบานว่าจะทำหรือไม่ทำอะไร หรือปฏิญาณว่าจะไม่ทำตามความต้องการของตัวเอง สามีของเธอจะเป็นคนทำให้มีผลหรือเป็นโมฆะได้ 14 ถ้าสามีของเธอไม่คัดค้านอะไรเลยเมื่อเวลาผ่านไป ก็ถือว่าเขารับรองคำปฏิญาณทุกอย่างที่เธอบอกว่าจะทำหรือไม่ทำ เขาทำให้คำปฏิญาณนั้นมีผล เพราะเขาไม่ได้คัดค้านในวันที่เขาได้ยินเธอปฏิญาณ 15 แต่ถ้าเขาปล่อยให้เวลาผ่านไประยะหนึ่งแล้วค่อยมาทำให้คำปฏิญาณนั้นเป็นโมฆะ เขาจะต้องรับผลที่เกิดจากความผิดของเธอ”+
16 นี่คือข้อกำหนดที่พระยะโฮวาสั่งโมเสสเกี่ยวกับสามีและภรรยาในกรณีที่ภรรยาปฏิญาณ และเกี่ยวกับพ่อและลูกสาวในกรณีที่ลูกสาวปฏิญาณขณะที่ยังอาศัยอยู่กับพ่อของเธอ
31 พระยะโฮวาพูดกับโมเสสว่า 2 “ไปแก้แค้น+พวกมีเดียน+ให้ชาวอิสราเอล หลังจากนั้นเจ้าจะได้อยู่กับบรรพบุรุษของเจ้า”*+
3 โมเสสจึงพูดกับประชาชนว่า “เตรียมพวกผู้ชายให้พร้อมสู้รบกับชาวมีเดียน เพื่อแก้แค้นพวกเขาตามคำพิพากษาของพระยะโฮวา 4 พวกเจ้าต้องส่งผู้ชายจากทุกตระกูลของอิสราเอลมาตระกูลละ 1,000 คนเพื่อออกไปสู้รบ” 5 พวกเขาก็เลือกผู้ชาย 12,000 คนที่พร้อมสู้รบ โดยเลือกมาตระกูลละ 1,000 คนจากชาวอิสราเอลนับหมื่นนับแสนนั้น+
6 แล้วโมเสสก็ส่งพวกเขาออกไปสู้รบตระกูลละ 1,000 คนพร้อมกับฟีเนหัส+ซึ่งเป็นลูกชายของเอเลอาซาร์ และเป็นปุโรหิตของกองทัพ ฟีเนหัสถือสิ่งของเครื่องใช้อันบริสุทธิ์และแตรเป่าให้สัญญาณทำศึก+ไปด้วย 7 พวกเขาออกไปทำสงครามกับชาวมีเดียนตามที่พระยะโฮวาสั่งโมเสส และฆ่าฟันผู้ชายทุกคน 8 พวกเขาฆ่ากษัตริย์ทั้งห้าของชาวมีเดียน คือ เอวี เรเคม ศูร์ เฮอร์ และเรบา รวมทั้งคนอื่น ๆ ด้วย และพวกเขาฆ่าบาลาอัม+ลูกชายของเบโอร์ด้วยดาบ 9 แต่ชาวอิสราเอลจับพวกผู้หญิงชาวมีเดียนและเด็กมาเป็นเชลย และปล้นเอาสัตว์เลี้ยง ฝูงสัตว์ทั้งหมด รวมทั้งทรัพย์สมบัติทั้งหมดของพวกเขามา 10 และเผาเมืองทุกเมืองที่พวกเขาอยู่ เผาค่ายพักต่าง ๆ ของพวกเขาด้วย 11 ชาวอิสราเอลกวาดเอาของริบและของปล้นทั้งหมด ไม่ว่าจะเป็นคนหรือสัตว์ 12 พวกเขาเอาเชลย ของปล้น และของริบมาให้โมเสสกับปุโรหิตเอเลอาซาร์และชาวอิสราเอลซึ่งอยู่ที่ค่ายพักในที่ราบกันดารโมอับ+ ริมแม่น้ำจอร์แดนฝั่งตรงข้ามกับเมืองเยรีโค
13 แล้วโมเสสกับปุโรหิตเอเลอาซาร์รวมทั้งหัวหน้าทุกคนของชาวอิสราเอลก็ออกไปพบพวกเขาข้างนอกค่ายพัก 14 แต่โมเสสโกรธพวกนายทหารซึ่งถูกแต่งตั้งให้ดูแลกองทัพ คือพวกนายพันและนายร้อยที่กลับมาจากการสู้รบนั้น 15 โมเสสพูดกับพวกเขาว่า “พวกคุณไว้ชีวิตผู้หญิงทั้งหมดเลยหรือ? 16 คนพวกนี้แหละที่มาล่อลวงชาวอิสราเอลในเรื่องที่เกี่ยวข้องกับเปโอร์+ตามคำแนะนำของบาลาอัม จนทำให้ประชาชนของพระยะโฮวาไม่ซื่อสัตย์+ต่อพระยะโฮวา และต้องเจอกับภัยพิบัติ+ 17 ตอนนี้ให้ไปฆ่าเด็กผู้ชายทุกคน และผู้หญิงทุกคนที่เคยมีเพศสัมพันธ์กับผู้ชาย 18 แต่ไว้ชีวิตเด็กสาวที่ยังไม่เคยมีเพศสัมพันธ์กับผู้ชาย+ 19 ส่วนพวกคุณต้องไปอยู่ข้างนอกค่ายพัก 7 วัน ทุกคนที่ฆ่าคนและไปสัมผัสคนที่ถูกฆ่า+จะต้องชำระตัว+ในวันที่สามและวันที่เจ็ด ทั้งพวกคุณและเชลยที่จับมาด้วย 20 และให้พวกคุณชำระเสื้อผ้าทั้งหมดที่ใส่ รวมทั้งสิ่งของเครื่องใช้ทั้งหมดที่ทำด้วยหนังสัตว์ ทุกสิ่งที่ทำจากขนแพะ และสิ่งของเครื่องใช้ทั้งหมดที่ทำด้วยไม้”
21 แล้วปุโรหิตเอเลอาซาร์ก็พูดกับพวกผู้ชายที่ออกไปสู้รบว่า “ข้อบัญญัติที่พระยะโฮวาสั่งโมเสสเป็นอย่างนี้ 22 ‘ทองคำ เงิน ทองแดง เหล็ก ดีบุก ตะกั่ว 23 และทุกสิ่งที่ทนไฟได้ ให้พวกเจ้าเอาไปเผาไฟถึงจะสะอาด และต้องเอาน้ำที่ใช้สำหรับการชำระมาประพรมของพวกนั้นให้สะอาดด้วย+ แต่ทุกสิ่งที่ไม่ทนไฟ ให้พวกเจ้าซักล้างด้วยน้ำ 24 และพวกเจ้าต้องซักเสื้อผ้าของตัวเองในวันที่เจ็ดจึงจะถือว่าสะอาด หลังจากนั้นถึงจะเข้ามาในค่ายพักได้’”+
25 พระยะโฮวาพูดกับโมเสสว่า 26 “ให้เจ้ากับปุโรหิตเอเลอาซาร์และพวกหัวหน้าวงศ์ตระกูลต่าง ๆ ของอิสราเอลทำรายการสิ่งของที่ปล้นมา พวกเจ้าต้องนับทั้งจำนวนคนและสัตว์ที่กวาดเอามา 27 แล้วแบ่งของปล้นเป็น 2 ส่วน ส่วนหนึ่งมอบให้ทหารที่ออกไปสู้รบ อีกส่วนหนึ่งมอบให้ประชาชน+ 28 และให้เอาส่วน 1 ใน 500 จากส่วนแบ่งที่ทหารซึ่งออกไปสู้รบได้รับ ไม่ว่าจะเป็นคน วัว ลา แกะ หรือแพะ ถวายพระยะโฮวา 29 ให้เจ้าเอาส่วนที่ได้จากส่วนแบ่งที่ทหารได้รับนี้มอบให้ปุโรหิตเอเลอาซาร์ ให้เป็นของถวายพระยะโฮวา+ 30 และให้เอาส่วน 1 ใน 50 จากส่วนแบ่งที่ประชาชนได้รับ ไม่ว่าจะเป็นคน วัว ลา แกะ แพะ หรือสัตว์เลี้ยงอะไรก็ตาม มอบให้คนเลวี+ซึ่งทำหน้าที่ที่เกี่ยวข้องกับเต็นท์ศักดิ์สิทธิ์ของพระยะโฮวา”+
31 โมเสสกับปุโรหิตเอเลอาซาร์ก็ทำตามที่พระยะโฮวาสั่งโมเสสไว้ 32 สัตว์ต่าง ๆ ที่คนซึ่งออกไปสู้รบกวาดมาเป็นของปล้นที่เหลืออยู่มีจำนวนดังนี้ แกะกับแพะ 675,000 ตัว 33 วัว 72,000 ตัว 34 ลา 61,000 ตัว 35 ผู้หญิงที่ยังไม่เคยมีเพศสัมพันธ์กับผู้ชาย+ 32,000 คน 36 และครึ่งหนึ่งที่เป็นส่วนแบ่งของคนที่ออกไปสู้รบ มีดังนี้ แกะกับแพะ 337,500 ตัว 37 ส่วนที่ต้องถวายพระยะโฮวามี 675 ตัว 38 วัว 36,000 ตัว ส่วนที่ต้องถวายพระยะโฮวามี 72 ตัว 39 ลา 30,500 ตัว ส่วนที่ต้องถวายพระยะโฮวามี 61 ตัว 40 และคน 16,000 คน ส่วนที่ต้องถวายพระยะโฮวามี 32 คน 41 โมเสสก็มอบส่วนซึ่งเป็นของถวายพระยะโฮวาให้กับปุโรหิตเอเลอาซาร์+ ตามที่พระยะโฮวาสั่งโมเสสไว้
42 อีกครึ่งหนึ่งซึ่งเป็นส่วนที่ประชาชนได้รับหลังจากโมเสสแบ่งให้ทหารแล้ว มีดังนี้ 43 แกะกับแพะ 337,500 ตัว 44 วัว 36,000 ตัว 45 ลา 30,500 ตัว 46 และคน 16,000 คน 47 และโมเสสได้เอาส่วน 1 ใน 50 จากส่วนแบ่งที่ประชาชนได้รับ ไม่ว่าจะเป็นคนหรือสัตว์ มอบให้คนเลวี+ซึ่งทำหน้าที่ที่เกี่ยวข้องกับเต็นท์ศักดิ์สิทธิ์ของพระยะโฮวา+ ตามที่พระยะโฮวาสั่งโมเสสไว้
48 และนายทหารที่ถูกแต่งตั้งให้ดูแลกอง*ต่าง ๆ ในกองทัพ+ คือ พวกนายพันและนายร้อยได้เข้ามาหาโมเสส 49 พวกเขาพูดกับโมเสสว่า “ผู้รับใช้ของคุณนับจำนวนทหารที่อยู่ใต้บังคับบัญชาแล้ว ไม่มีใครหายไปเลยสักคน+ 50 ดังนั้น ขอให้เราแต่ละคนถวายสิ่งที่พวกเราได้มาเพื่อเป็นของถวายพระยะโฮวา คือสิ่งของที่ทำด้วยทองคำ สร้อยข้อเท้า กำไล แหวนตรา ตุ้มหู และเครื่องประดับอื่น ๆ เพื่อเป็นการไถ่บาปของพวกเราต่อหน้าพระยะโฮวา”
51 โมเสสกับปุโรหิตเอเลอาซาร์ก็รับทองคำจากพวกเขาซึ่งล้วนเป็นเครื่องประดับทั้งนั้น 52 ทองคำทั้งหมดที่ได้รับจากพวกนายพันและนายร้อยที่ถวายเป็นของถวายพระยะโฮวา รวมแล้วหนักประมาณ 16,750 เชเขล* 53 ทหารแต่ละคนปล้นเอาของพวกนี้มา 54 โมเสสกับปุโรหิตเอเลอาซาร์ก็รับทองคำจากพวกนายพันและนายร้อยนั้น และเอาไปเก็บไว้ในเต็นท์เข้าเฝ้า เพื่อพระยะโฮวาจะระลึกถึงชาวอิสราเอล
32 ตระกูลรูเบน+และตระกูลกาด+มีฝูงสัตว์จำนวนมาก และพวกเขาเห็นว่าที่ยาเซอร์+กับกิเลอาดมีพื้นที่เหมาะสำหรับฝูงสัตว์ 2 คนในตระกูลกาดและคนในตระกูลรูเบนจึงมาหาโมเสส ปุโรหิตเอเลอาซาร์ และพวกหัวหน้าของชาวอิสราเอล พวกเขาพูดว่า 3 “เมืองอาทาโรท ดีโบน ยาเซอร์ นิมราห์ เฮชโบน+ เอเลอาเลห์ เสบาม เนโบ+ และเบโอน+ 4 ดินแดนทั้งหมดนี้ที่พระยะโฮวาเอาชนะต่อหน้าชาวอิสราเอล+มีพื้นที่เหมาะสำหรับฝูงสัตว์ และผู้รับใช้ของคุณก็มีฝูงสัตว์จำนวนมาก”+ 5 พวกเขาพูดต่อไปว่า “ถ้าเห็นแก่พวกเรา ขอยกพื้นที่ส่วนนี้ให้ผู้รับใช้ของคุณด้วยเถอะ อย่าให้พวกเราข้ามแม่น้ำจอร์แดนเลย”
6 โมเสสก็พูดกับคนในตระกูลกาดและคนในตระกูลรูเบนว่า “พวกคุณจะอยู่กันที่นี่แล้วปล่อยให้พวกพี่น้องไปสู้รบหรือ? 7 ทำไมถึงทำให้ชาวอิสราเอลท้อใจจนไม่อยากข้ามไปแผ่นดินที่พระยะโฮวาจะยกให้พวกเขาล่ะ? 8 บรรพบุรุษของคุณก็ทำแบบนี้ตอนที่ผมส่งพวกเขาจากคาเดชบาร์เนียไปดูแผ่นดินนั้น+ 9 ตอนที่พวกเขาขึ้นไปที่หุบเขาเอชโคล์+และเห็นแผ่นดินนั้น พวกเขาทำให้ชาวอิสราเอลท้อใจจนไม่อยากเข้าไปในแผ่นดินที่พระยะโฮวาจะให้+ 10 พระยะโฮวาจึงโกรธพวกเขาในวันนั้น และพระองค์สาบานว่า+ 11 ‘ผู้ชายที่ออกมาจากอียิปต์ซึ่งมีอายุตั้งแต่ 20 ปีขึ้นไปจะไม่เห็นแผ่นดิน+ที่เราสาบานไว้กับอับราฮัม อิสอัค และยาโคบ+ เพราะพวกเขาไม่เชื่อฟังเราอย่างสุดหัวใจ 12 ยกเว้นคาเลบ+ลูกชายของเยฟุนเนห์เชื้อสายของเคนัส และโยชูวา+ลูกชายของนูน เขาสองคนเชื่อฟังพระยะโฮวาอย่างสุดหัวใจ’+ 13 ดังนั้น พระยะโฮวาจึงโกรธชาวอิสราเอล และทำให้พวกเขาร่อนเร่อยู่ในที่กันดาร 40 ปี+ จนคนรุ่นที่ทำสิ่งชั่วร้ายในสายตาพระยะโฮวานั้นตายกันหมด+ 14 พวกคนบาป พวกคุณกำลังเดินตามรอยบรรพบุรุษของคุณ ซึ่งจะทำให้พระยะโฮวาโกรธชาวอิสราเอลมากขึ้น 15 ถ้าพวกคุณไม่เชื่อฟังพระองค์ พระองค์ก็จะปล่อยชาวอิสราเอลให้อยู่ในที่กันดารอีก พวกคุณจะเป็นต้นเหตุทำให้ประชาชนทั้งหมดนี้เจอกับความหายนะ”
16 หลังจากนั้น พวกเขาเข้ามาหาโมเสสและพูดว่า “ขอให้พวกเราสร้างคอก*สำหรับฝูงสัตว์และสร้างเมืองสำหรับลูก ๆ ของเราที่นี่เถอะ 17 ส่วนพวกเรานั้นพร้อมสำหรับศึกสงคราม+ พวกเราจะนำหน้าชาวอิสราเอลออกรบจนกว่าจะนำพวกเขาเข้าไปอยู่ในที่ของตัวเอง ขณะที่ลูก ๆ ของพวกเราอยู่ในเมืองที่มีป้อมปราการซึ่งปลอดภัยจากผู้คนในแผ่นดินนี้ 18 พวกเราจะไม่กลับบ้านจนกว่าชาวอิสราเอลแต่ละคนจะได้รับมรดกที่ดินของตัวเองแล้ว+ 19 เราจะไม่เอามรดกที่ดินที่อยู่อีกฝั่งหนึ่งของแม่น้ำจอร์แดน เพราะพวกเราได้รับมรดกที่ดินทางฝั่งตะวันออกของแม่น้ำจอร์แดนนี้แล้ว”+
20 โมเสสพูดกับพวกเขาว่า “ถ้าพวกคุณทำอย่างนี้ คือ ถืออาวุธออกไปสู้รบต่อหน้าพระยะโฮวา+ 21 ข้ามแม่น้ำจอร์แดนไปสู้รบต่อหน้าพระยะโฮวาจนกว่าพระองค์จะขับไล่ศัตรูทั้งหมดไปต่อหน้าพระองค์+ 22 หลังจากที่แผ่นดินทั้งหมดถูกยึดครองต่อหน้าพระยะโฮวาแล้ว+ พวกคุณก็กลับมาได้+และถือว่าไม่ได้ทำผิดต่อพระยะโฮวาและต่อชาวอิสราเอล และแผ่นดินนี้จะเป็นของพวกคุณต่อหน้าพระยะโฮวา+ 23 แต่ถ้าพวกคุณไม่ทำอย่างนี้ พวกคุณก็ทำบาปต่อพระยะโฮวา และจะต้องถูกลงโทษเพราะบาปที่ทำ 24 สร้างเมืองสำหรับลูก ๆ ของคุณเถอะ และสร้างคอกสำหรับฝูงสัตว์ด้วย+ แต่พวกคุณต้องทำตามที่สัญญาไว้”
25 คนในตระกูลกาดกับคนในตระกูลรูเบนพูดกับโมเสสว่า “เราเป็นผู้รับใช้ของนายท่าน เราจะทำตามคำสั่งของนายท่านครับ 26 ลูก ๆ ภรรยา ฝูงสัตว์ และสัตว์เลี้ยงทั้งหมดของพวกเราจะอยู่ตามเมืองต่าง ๆ ในกิเลอาดนี้+ 27 แต่ผู้รับใช้ของนายท่านจะถืออาวุธข้ามไปสู้รบต่อหน้าพระยะโฮวา+ ตามคำสั่งของนายท่าน”
28 แล้วโมเสสก็สั่งปุโรหิตเอเลอาซาร์และโยชูวาลูกชายของนูนกับพวกหัวหน้าวงศ์ตระกูลต่าง ๆ ของชาวอิสราเอลเกี่ยวกับคนพวกนี้ 29 โมเสสพูดกับพวกเขาว่า “ถ้าคนในตระกูลกาดและคนในตระกูลรูเบนที่ถืออาวุธทุกคนข้ามแม่น้ำจอร์แดนไปกับพวกคุณเพื่อสู้รบต่อหน้าพระยะโฮวา และแผ่นดินนั้นถูกยึดครองต่อหน้าพวกคุณแล้ว คุณจะต้องมอบแผ่นดินกิเลอาดให้พวกเขาครอบครอง+ 30 แต่ถ้าพวกเขาไม่ถืออาวุธข้ามไปด้วยกันกับพวกคุณ จะต้องให้พวกเขาอยู่กับพวกคุณในแผ่นดินคานาอัน”
31 คนในตระกูลกาดและคนในตระกูลรูเบนก็ตอบว่า “พระยะโฮวาบอกผู้รับใช้ของคุณยังไง พวกเราจะทำอย่างนั้น 32 พวกเราจะถืออาวุธข้ามไปแผ่นดินคานาอันต่อหน้าพระยะโฮวา+ แต่มรดกที่ดินของเราจะอยู่ที่ฝั่งนี้ของแม่น้ำจอร์แดน” 33 โมเสสก็ยกอาณาจักรของสิโหน+กษัตริย์ของชาวอาโมไรต์ และอาณาจักรของโอก+กษัตริย์แห่งบาชาน ซึ่งประกอบด้วยเมืองใหญ่และเมืองเล็ก ๆ ที่อยู่รายรอบให้ตระกูลกาด ตระกูลรูเบน+ และตระกูลมนัสเสห์ครึ่งตระกูล+ มนัสเสห์เป็นลูกชายของโยเซฟ
34 คนในตระกูลกาดก็บูรณะ*เมืองดีโบน+ อาทาโรท+ อาโรเออร์+ 35 อัทโรทโชฟาน ยาเซอร์+ โยกเบฮาห์+ 36 เบธนิมราห์+ และเบธฮาราน+ พวกเขาทำให้เมืองทั้งหมดนี้เป็นเมืองที่มีป้อมปราการ และเอาหินมาสร้างคอกสำหรับฝูงสัตว์ 37 คนในตระกูลรูเบนบูรณะเมืองเฮชโบน+ เอเลอาเลห์+ คีริยาธาอิม+ 38 เนโบ+ และบาอัลเมโอน+ พวกเขาเปลี่ยนชื่อเมืองพวกนี้และบูรณะเมืองสิบมาห์ด้วย เมืองต่าง ๆ ที่พวกเขาบูรณะขึ้นนี้พวกเขาได้ตั้งชื่อให้ใหม่
39 ส่วนลูกหลานของมาคีร์+ลูกชายมนัสเสห์ได้ออกไปตีแผ่นดินกิเลอาดแล้วยึดเอาแผ่นดินนั้น และขับไล่ชาวอาโมไรต์ที่อาศัยอยู่ออกไป 40 โมเสสจึงยกแผ่นดินกิเลอาดให้ลูกหลานของมาคีร์ลูกชายของมนัสเสห์ พวกเขาเข้าไปอาศัยอยู่ที่นั่น+ 41 ยาอีร์คนในตระกูลมนัสเสห์ได้ออกไปตีและยึดเอาเมืองเล็ก ๆ ในแถบนั้น แล้วเรียกว่าฮัฟโวทยาอีร์*+ 42 ส่วนโนบาห์ได้ออกไปตีและยึดเคนาทและเมืองเล็ก ๆ ที่อยู่รายรอบ แล้วเรียกว่าโนบาห์ตามชื่อของเขา
33 ต่อไปนี้คือการเดินทางจากที่หนึ่งไปอีกที่หนึ่งของชาวอิสราเอลเมื่อพวกเขาออกจากอียิปต์+โดยเดินทางเป็นหมู่เหล่า+ภายใต้การนำของโมเสสกับอาโรน+ 2 ในการเดินทางจากที่หนึ่งไปอีกที่หนึ่งนั้น โมเสสจดบันทึกจุดออกเดินแต่ละจุดไว้ตามที่พระยะโฮวาสั่ง การเดินทางของพวกเขาจากที่หนึ่งไปอีกที่หนึ่งเป็นอย่างนี้+ 3 ชาวอิสราเอลออกเดินทางจากเมืองราเมเสส+ในวันที่ 15 เดือน 1+ วันนั้นเป็นวันถัดจากวันปัสกา+ พวกเขาเดินออกมาอย่างองอาจต่อหน้าชาวอียิปต์ทั้งหมด 4 ตอนนั้น ชาวอียิปต์กำลังฝังศพลูกชายคนโตทุกคนของพวกเขาที่ถูกพระยะโฮวาประหารชีวิต+ และพระยะโฮวาลงโทษพวกเทพเจ้าของเขาตามที่พระองค์พิพากษาไว้+
5 ชาวอิสราเอลเดินทางจากเมืองราเมเสสไปตั้งค่ายพักที่สุคคท+ 6 จากสุคคท พวกเขาเดินทางไปตั้งค่ายพักที่เอธาม+ซึ่งอยู่ริมเขตแดนที่กันดาร 7 จากเอธาม พวกเขาวกกลับไปที่ปีหะหิโรทซึ่งอยู่ใกล้พอที่จะมองเห็นบาอัลเซโฟน+ และตั้งค่ายพักตรงข้ามมิกดล+ 8 แล้วพวกเขาก็เดินทางจากปีหะหิโรทข้ามทะเล+ไปที่กันดาร+ และเดินอยู่ในที่กันดารเอธาม+ 3 วัน แล้วไปตั้งค่ายพักที่มาราห์+
9 จากมาราห์ พวกเขาเดินทางไปเอลิม ที่เอลิมมีบ่อน้ำพุ 12 บ่อ และมีต้นปาล์ม 70 ต้น พวกเขาจึงตั้งค่ายพักที่นั่น+ 10 จากเอลิม พวกเขาเดินทางไปตั้งค่ายพักที่ริมทะเลแดง 11 จากทะเลแดง พวกเขาเดินทางไปตั้งค่ายพักอยู่ในที่กันดารสีน+ 12 จากที่กันดารสีน พวกเขาเดินทางไปตั้งค่ายพักที่โดฟคาห์ 13 จากโดฟคาห์ พวกเขาเดินทางไปตั้งค่ายพักที่อาลูช 14 จากอาลูช พวกเขาเดินทางไปตั้งค่ายพักที่เรฟีดิม+ ที่นั่นไม่มีน้ำให้ประชาชนดื่ม 15 จากเรฟีดิม พวกเขาเดินทางไปตั้งค่ายพักในที่กันดารซีนาย+
16 แล้วพวกเขาก็เดินทางจากที่กันดารซีนายไปตั้งค่ายพักที่ขิบโรทหัทธาอาวาห์+ 17 จากขิบโรทหัทธาอาวาห์ พวกเขาเดินทางไปตั้งค่ายพักที่ฮาเซโรท+ 18 จากฮาเซโรท พวกเขาเดินทางไปตั้งค่ายพักที่ริทมาห์ 19 จากริทมาห์ พวกเขาเดินทางไปตั้งค่ายพักที่ริมโมนเปเรศ 20 จากริมโมนเปเรศ พวกเขาเดินทางไปตั้งค่ายพักที่ลิบนาห์ 21 จากลิบนาห์ พวกเขาเดินทางไปตั้งค่ายพักที่ริสสาห์ 22 จากริสสาห์ พวกเขาเดินทางไปตั้งค่ายพักที่เคเฮลาธาห์ 23 จากเคเฮลาธาห์ พวกเขาเดินทางไปตั้งค่ายพักในแถบภูเขาเชเฟอร์
24 แล้วพวกเขาเดินทางจากแถบภูเขาเชเฟอร์ไปตั้งค่ายพักที่ฮาราดาห์ 25 จากฮาราดาห์ พวกเขาเดินทางไปตั้งค่ายพักที่มักเฮโลท 26 จากมักเฮโลท พวกเขาเดินทางไป+ตั้งค่ายพักที่ทาหัท 27 จากทาหัท พวกเขาเดินทางไปตั้งค่ายพักที่เทราห์ 28 จากเทราห์ พวกเขาเดินทางไปตั้งค่ายพักที่มิทคาห์ 29 จากมิทคาห์ พวกเขาเดินทางไปตั้งค่ายพักที่ฮัชโมนาห์ 30 จากฮัชโมนาห์ พวกเขาเดินทางไปตั้งค่ายพักที่โมเสโรท 31 จากโมเสโรท พวกเขาเดินทางไปตั้งค่ายพักที่เบเนยาอะคัน+ 32 จากเบเนยาอะคัน พวกเขาเดินทางไปตั้งค่ายพักที่โฮร์ฮักกีดกาด 33 จากโฮร์ฮักกีดกาด พวกเขาเดินทางไปตั้งค่ายพักที่โยทบาธาห์+ 34 จากโยทบาธาห์ พวกเขาเดินทางไปตั้งค่ายพักที่อับโรนาห์ 35 จากอับโรนาห์ พวกเขาเดินทางไปตั้งค่ายพักที่เอซีโอนเกเบอร์+ 36 จากเอซีโอนเกเบอร์ พวกเขาเดินทางไปตั้งค่ายพักในที่กันดารซิน+ คือที่คาเดช
37 แล้วพวกเขาเดินทางจากคาเดชไปตั้งค่ายพักในแถบภูเขาโฮร์+บริเวณชายแดนแผ่นดินเอโดม 38 ปุโรหิตอาโรนขึ้นไปบนภูเขาโฮร์ตามคำสั่งพระยะโฮวา แล้วตายที่นั่นในวันที่ 1 เดือน 5 ปีที่ 40 นับจากชาวอิสราเอลออกจากอียิปต์+ 39 อาโรนอายุ 123 ปีตอนที่ตายบนภูเขาโฮร์
40 ตอนนั้น กษัตริย์เมืองอาราด+ชาวคานาอันซึ่งอาศัยอยู่ในเขตเนเกบแผ่นดินคานาอันได้ยินข่าวว่าชาวอิสราเอลกำลังเดินทางมา
41 ต่อมา พวกเขาเดินทางจากภูเขาโฮร์+ไปตั้งค่ายพักที่ศัลโมนาห์ 42 จากศัลโมนาห์ พวกเขาเดินทางไปตั้งค่ายพักที่ปูโนน 43 จากปูโนน พวกเขาเดินทางไปตั้งค่ายพักที่โอโบท+ 44 จากโอโบท พวกเขาเดินทางไปตั้งค่ายพักที่อิเยอาบาริม ริมเขตแดนแผ่นดินโมอับ+ 45 จากอิเยอาบาริม พวกเขาเดินทางไปตั้งค่ายพักที่ดีโบนกาด+ 46 จากดีโบนกาด พวกเขาเดินทางไปตั้งค่ายพักที่อัลโมนดิบลาธาอิม 47 จากอัลโมนดิบลาธาอิม พวกเขาเดินทางไปตั้งค่ายพักที่แถบภูเขาในอาบาริม+ ตรงหน้าภูเขาเนโบ+ 48 จากแถบภูเขาในอาบาริม พวกเขาเดินทางไปตั้งค่ายพักในที่ราบกันดารโมอับ ริมฝั่งแม่น้ำจอร์แดนตรงข้ามกับเมืองเยรีโค+ 49 และพวกเขาตั้งค่ายพักอยู่ที่ริมฝั่งแม่น้ำจอร์แดนนั้น ตั้งแต่เบธเยชิโมทไปจนถึงอาเบลชิทธีม+ในที่ราบกันดารโมอับ
50 พระยะโฮวาพูดกับโมเสสในที่ราบกันดารโมอับ ริมฝั่งแม่น้ำจอร์แดนตรงข้ามกับเมืองเยรีโคว่า 51 “ให้พูดกับชาวอิสราเอลอย่างนี้ ‘พวกเจ้าจะต้องข้ามแม่น้ำจอร์แดนเข้าไปในแผ่นดินคานาอัน+ 52 และขับไล่ทุกคนที่อาศัยอยู่ในแผ่นดินนั้นออกไปต่อหน้าพวกเจ้า ให้ทำลายรูปสลักจากหิน+รวมทั้งรูปเคารพที่ทำจากโลหะหล่อ+ทั้งหมดของพวกเขา และทำลายสถานบูชาบนที่สูงของพวกเขาให้สิ้นซาก+ 53 พวกเจ้าต้องเข้าครอบครองแผ่นดินนั้นและอาศัยอยู่ที่นั่น เพราะเราจะยกแผ่นดินนั้นให้เป็นสมบัติของพวกเจ้า+ 54 ให้แบ่งที่ดินให้ตระกูลและวงศ์ตระกูลต่าง ๆ ของพวกเจ้าโดยการจับฉลาก+ ตระกูลไหนคนมากพวกเจ้าก็เพิ่มที่ดินให้เขา ตระกูลไหนคนน้อยก็ลดขนาดที่ดินลงมา+ มรดกที่ดินของแต่ละตระกูลจะเป็นไปตามที่เขาจับฉลากได้ พวกเจ้าจะได้มรดกที่ดินตามที่ตระกูลของพวกเจ้าได้+
55 “‘ถ้าพวกเจ้าไม่ไล่คนที่อาศัยอยู่ในแผ่นดินนั้นออกไปให้หมด+ คนที่เหลืออยู่ก็จะเป็นเหมือนเศษผงในตาของเจ้าและเป็นเหมือนเสี้ยนหนามที่ทิ่มแทงเจ้า พวกเขาจะคอยก่อกวนเจ้าในแผ่นดินที่เจ้าไปอาศัยอยู่นั้น+ 56 และเราตั้งใจจะลงโทษพวกเขายังไง เราก็จะลงโทษพวกเจ้าอย่างนั้นด้วย’”+
34 พระยะโฮวาพูดกับโมเสสอีกว่า 2 “ให้บอกชาวอิสราเอลอย่างนี้ ‘เมื่อพวกเจ้าเข้าไปในแผ่นดินคานาอัน+ซึ่งพวกเจ้าจะได้รับเป็นมรดกนั้น เขตแดนของแผ่นดินคานาอัน+จะเป็นดังนี้
3 “‘ด้านใต้จะเริ่มจากที่กันดารซินติดกับแผ่นดินเอโดม และเขตแดนด้านใต้ส่วนที่อยู่ทางทิศตะวันออกจะเริ่มจากปลายสุดของทะเลเกลือ*+ 4 ลงไปทางใต้ ผ่านเนินอัครับบิม+ ต่อไปถึงซิน และไปสุดที่คาเดชบาร์เนีย+ด้านใต้ จากนั้นเลี้ยวไปทางฮาซาร์อัดดาร์+ ต่อไปถึงอัสโมน 5 จากอัสโมนเลียบไปตามลำน้ำอียิปต์ และไปสุดที่ทะเล*+
6 “‘เขตแดนด้านตะวันตก คือแนวชายฝั่งของทะเลใหญ่* นี่คือเขตแดนทางทิศตะวันตกของพวกเจ้า+
7 “‘เขตแดนด้านเหนือ ให้พวกเจ้าทำเครื่องหมายเขตแดนจากทะเลใหญ่ไปทางภูเขาโฮร์* 8 จากภูเขาโฮร์ ให้พวกเจ้าทำเครื่องหมายเขตแดนไปถึงเลโบฮามัท*+ และต่อไปทางเศดัด+ 9 แล้วเลยไปศิโฟรน และไปสิ้นสุดที่ฮาซาเรนัน+ นี่คือเขตแดนทางทิศเหนือของพวกเจ้า
10 “‘และเขตแดนด้านตะวันออก ให้พวกเจ้าทำเครื่องหมายเขตแดนจากฮาซาเรนันไปถึงเชฟาม 11 จากเชฟามลงไปถึงริบลาห์ที่อยู่ทางตะวันออกของอายิน เรื่อยลงไปถึงเนินเขาทางตะวันออกของทะเลคินเนเรท*+ 12 แล้วเลียบไปตามแม่น้ำจอร์แดน และไปสิ้นสุดที่ทะเลเกลือ+ นี่คือแผ่นดินที่พวกเจ้าจะได้รับ+ซึ่งมีแนวเขตแดนโดยรอบตามที่บอกมานี้’”
13 โมเสสจึงสั่งชาวอิสราเอลว่า “นี่คือแผ่นดินที่พระยะโฮวาสั่งว่าจะยกให้เก้าตระกูลครึ่ง ซึ่งพวกเจ้าจะต้องแบ่งกันโดยการจับฉลาก+ 14 เพราะตระกูลรูเบนตามวงศ์ตระกูลของพวกเขา และตระกูลกาดตามวงศ์ตระกูลของพวกเขา รวมทั้งตระกูลมนัสเสห์อีกครึ่งตระกูลได้รับมรดกที่ดินของตัวเองไปแล้ว+ 15 สองตระกูลครึ่งนี้ได้รับมรดกที่ดินที่ฟากตะวันออกของแม่น้ำจอร์แดนคือฝั่งที่ดวงอาทิตย์ขึ้น ซึ่งเป็นฝั่งที่อยู่ตรงข้ามกับเมืองเยรีโค”+
16 และพระยะโฮวาพูดกับโมเสสอีกว่า 17 “คนที่จะแบ่งที่ดินให้พวกเจ้าครอบครองคือปุโรหิตเอเลอาซาร์+ และโยชูวา+ลูกชายของนูน 18 และให้เอาหัวหน้ามาตระกูลละคนเพื่อช่วยแบ่งที่ดินซึ่งเป็นมรดกของพวกเจ้านั้น+ 19 ต่อไปนี้คือชื่อของพวกเขา คาเลบ+ลูกชายของเยฟุนเนห์จากตระกูลยูดาห์+ 20 เชมูเอลลูกชายของอัมมีฮูดจากตระกูลสิเมโอน+ 21 เอลีดาดลูกชายของคิสโลนจากตระกูลเบนยามิน+ 22 บุคคีลูกชายของโยกลีหัวหน้าจากตระกูลดาน+ 23 ฮันนีเอลลูกชายของเอโฟดหัวหน้าจากตระกูลมนัสเสห์+ ซึ่งเป็นลูกหลานของโยเซฟ+ 24 เคมูเอลลูกชายของชิฟทานหัวหน้าจากตระกูลเอฟราอิม+ 25 เอลีซาฟานลูกชายของปาร์นาคหัวหน้าจากตระกูลเศบูลุน+ 26 ปัลทีเอลลูกชายของอัสซานหัวหน้าจากตระกูลอิสสาคาร์+ 27 อาหิฮูดลูกชายของเชโลมีหัวหน้าจากตระกูลอาเชอร์+ 28 และเปดาเฮลลูกชายของอัมมีฮูดหัวหน้าจากตระกูลนัฟทาลี”+ 29 นี่คือคนที่พระยะโฮวาสั่งให้แบ่งที่ดินในแผ่นดินคานาอันให้ชาวอิสราเอล+
35 พระยะโฮวาพูดกับโมเสสในที่ราบกันดารโมอับ ริมฝั่งแม่น้ำจอร์แดน+ตรงข้ามกับเมืองเยรีโคว่า 2 “สั่งชาวอิสราเอลให้ยกบางเมืองที่พวกเขาได้รับเป็นมรดกนั้นให้คนในตระกูลเลวีได้อยู่อาศัย+ และยกทุ่งหญ้าที่อยู่รอบตัวเมืองให้คนในตระกูลเลวีด้วย+ 3 พวกเขาจะอยู่ในเมืองต่าง ๆ นั้น และทุ่งหญ้าก็จะเป็นที่หากินของสัตว์เลี้ยง รวมทั้งสัตว์อื่น ๆ ทั้งหมดของพวกเขา และเป็นที่เก็บเสบียงอาหารสำหรับสัตว์ด้วย 4 บริเวณทุ่งหญ้ารอบตัวเมืองซึ่งพวกเจ้าจะให้คนในตระกูลเลวีนั้น ให้เริ่มจากกำแพงเมืองออกไป 1,000 ศอก*ทั้งสี่ด้าน 5 ดังนั้น ความยาวของทุ่งหญ้านอกตัวเมืองจะวัดได้ 2,000 ศอก*ทุกด้าน ทั้งด้านตะวันออก ด้านใต้ ด้านตะวันตก และด้านเหนือ โดยมีตัวเมืองอยู่ตรงกลาง
6 “เมืองที่พวกเจ้าจะให้คนในตระกูลเลวีนั้นจะมี 42 เมือง และมีอีก 6 เมืองเป็นเมืองลี้ภัย+เพื่อคนที่ทำให้คนตายโดยไม่เจตนาจะหนีไปที่นั่นได้+ 7 เมืองที่พวกเจ้าจะให้คนในตระกูลเลวีรวมแล้วมี 48 เมือง พร้อมทุ่งหญ้ารอบเมืองทั้งหมดนั้น+ 8 เมืองที่พวกเจ้าจะให้นั้น ให้เอาจากเมืองที่ชาวอิสราเอลได้รับเป็นมรดก+ ตระกูลไหนได้รับมากก็ให้เอามามาก ตระกูลไหนได้รับน้อยก็ให้เอามาน้อย+ แต่ละตระกูลจะให้เมืองต่าง ๆ กับคนในตระกูลเลวีตามสัดส่วนที่ตัวเองได้รับเป็นมรดก”
9 พระยะโฮวาพูดกับโมเสสต่อไปว่า 10 “ให้พูดกับชาวอิสราเอลอย่างนี้ ‘เมื่อพวกเจ้าข้ามแม่น้ำจอร์แดนไปแผ่นดินคานาอันแล้ว+ 11 ให้เลือกเมืองที่ไปถึงได้ง่ายเป็นเมืองลี้ภัยสำหรับพวกเจ้า เพื่อคนที่ทำให้คนตายโดยไม่เจตนาจะหนีไปที่นั่นได้+ 12 เมืองพวกนั้นจะเป็นเมืองที่พวกเจ้าใช้ลี้ภัย เพื่อคนที่ทำให้คนตายโดยไม่เจตนาจะไม่ถูกคนที่มีสิทธิ์แก้แค้น+ฆ่าก่อนที่จะได้รับการพิจารณาตัดสิน+ 13 เมืองลี้ภัย 6 เมืองนั้นจะใช้สำหรับจุดประสงค์นี้ 14 ให้เมืองลี้ภัยอยู่บนฝั่งนี้ของแม่น้ำจอร์แดน 3 เมือง+ และอยู่ในแผ่นดินคานาอัน 3 เมือง+ 15 เมือง 6 เมืองนี้จะเป็นเมืองที่ใช้ลี้ภัยสำหรับชาวอิสราเอล คนต่างชาติ+ และคนที่ย้ายมาอาศัยอยู่ในแผ่นดิน เพื่อใครก็ตามที่ทำให้คนตายโดยไม่เจตนาจะหนีไปที่นั่นได้+
16 “‘แต่ถ้าใครเอาสิ่งของที่ทำด้วยเหล็กตีคนอื่นจนตาย เขาก็เป็นฆาตกร และฆาตกรต้องถูกประหารชีวิต+ 17 ถ้าเขาเอาก้อนหินทุบคนอื่นจนตาย เขาก็เป็นฆาตกร และฆาตกรต้องถูกประหารชีวิต 18 ถ้าเขาเอาสิ่งของที่ทำด้วยไม้ตีคนอื่นจนตาย เขาก็เป็นฆาตกร และฆาตกรต้องถูกประหารชีวิต
19 “‘คนที่มีสิทธิ์แก้แค้นจะฆ่าคนที่เป็นฆาตกรได้เมื่อพบตัว 20 ถ้าใครผลักคนอื่นเพราะความเกลียดชัง หรือขว้างปาสิ่งของใส่เขาด้วยเจตนาที่มุ่งร้ายจนทำให้คนนั้นตาย+ 21 หรือถ้าเขาต่อยคนอื่นเพราะความเกลียดชังจนคนนั้นตาย คนที่ต่อยต้องถูกประหารชีวิต เขาเป็นฆาตกร คนที่มีสิทธิ์แก้แค้นจะฆ่าคนที่เป็นฆาตกรได้เมื่อพบตัว
22 “‘แต่ถ้าเขาผลักคนอื่นหรือขว้างปาสิ่งของไปโดนคนอื่นโดยไม่ตั้งใจและไม่ใช่เพราะความเกลียดชัง และไม่มีเจตนาที่มุ่งร้าย+ 23 หรือถ้าเขาทำให้หินตกใส่คนอื่นโดยที่เขามองไม่เห็นและไม่ได้เป็นศัตรูกันหรือไม่คิดจะทำร้ายคนนั้น และทำให้คนนั้นตาย 24 คณะผู้พิพากษาจะต้องตัดสินคดีระหว่างคนที่ทำให้คนตายและคนที่มีสิทธิ์แก้แค้นตามข้อกำหนดดังนี้+ 25 สำหรับคนที่ทำให้คนอื่นตายโดยไม่เจตนา คณะผู้พิพากษาจะต้องปกป้องเขาจากคนที่มีสิทธิ์แก้แค้น และส่งเขากลับไปเมืองลี้ภัยที่เขาหนีไปอาศัยอยู่ เขาต้องอยู่ในเมืองนั้นจนกว่ามหาปุโรหิตที่ได้รับการเจิมด้วยน้ำมันบริสุทธิ์+จะตาย
26 “‘แต่ถ้าคนที่ทำให้คนตายโดยไม่เจตนาออกไปนอกเขตเมืองลี้ภัยที่เขาหนีไปอาศัยอยู่ 27 และคนที่มีสิทธิ์แก้แค้นเจอเขานอกเขตเมืองลี้ภัยแล้วฆ่าเขา คนที่มีสิทธิ์แก้แค้นจะไม่มีความผิดฐานฆ่าคน 28 เพราะคนที่ทำให้คนตายโดยไม่เจตนาต้องอาศัยอยู่ในเมืองลี้ภัยจนกว่ามหาปุโรหิตจะตาย เมื่อมหาปุโรหิตตายแล้วเขาถึงจะกลับไปที่ดินของตัวเองได้+ 29 นี่คือข้อกำหนดที่พวกเจ้าต้องใช้สำหรับการพิพากษาตัดสินไปตลอดทุกยุคทุกสมัย ไม่ว่าพวกเจ้าจะอยู่ที่ไหนก็ตาม
30 “‘คนที่เจตนาฆ่าคนต้องถูกประหารชีวิตในฐานะฆาตกร+เมื่อมีพยานมากกว่าหนึ่งปาก+ พยานปากเดียวไม่เพียงพอที่จะตัดสินประหารชีวิตคนนั้นได้ 31 พวกเจ้าอย่ารับค่าไถ่สำหรับไถ่ชีวิตของฆาตกรเพราะเขาสมควรตาย เขาต้องถูกประหารชีวิต+ 32 และพวกเจ้าอย่ารับค่าไถ่ของคนที่หนีไปเมืองลี้ภัยซึ่งต้องการกลับไปที่ดินของตัวเองก่อนที่มหาปุโรหิตจะตาย
33 “‘พวกเจ้าอย่าทำให้แผ่นดินที่เจ้าอาศัยอยู่แปดเปื้อน เพราะเลือดทำให้แผ่นดินแปดเปื้อน+ และแผ่นดินจะชำระให้สะอาดจากเลือดของคนที่ถูกฆ่าไม่ได้ นอกจากจะชำระด้วยเลือดของคนที่ฆ่าเขาเท่านั้น+ 34 อย่าทำให้แผ่นดินที่พวกเจ้าอาศัยอยู่และที่เราอยู่ด้วยนั้นแปดเปื้อน เพราะเรายะโฮวาอยู่กับชาวอิสราเอล’”+
36 ในวงศ์ตระกูลต่าง ๆ ที่เป็นลูกหลานของโยเซฟ พวกหัวหน้าครอบครัวที่เป็นลูกหลานของกิเลอาดลูกชายของมาคีร์+ มาคีร์เป็นลูกชายของมนัสเสห์ พวกเขาเข้ามาพูดกับโมเสสและพวกหัวหน้าของชาวอิสราเอล 2 พวกเขาพูดว่า “พระยะโฮวาสั่งนายท่านแบ่งที่ดินมรดกให้ชาวอิสราเอลโดยการจับฉลาก+ และพระยะโฮวายังสั่งนายท่านให้ยกที่ดินมรดกของเศโลเฟหัดพี่น้องของเราให้ลูกสาวของเขา+ 3 ถ้าพวกเธอไปแต่งงานกับผู้ชายอิสราเอลตระกูลอื่น ที่ดินของพวกเธอซึ่งได้จากส่วนที่บรรพบุรุษของเราได้รับก็จะถูกดึงไปรวมกับที่ดินมรดกของตระกูลที่พวกเธอไปแต่งงานด้วย ที่ดินของพวกเราที่ได้จากการจับฉลากก็จะลดน้อยลง 4 และเมื่อถึงปีที่น่ายินดี+ของชาวอิสราเอล ที่ดินของพวกเธอจะถูกนับรวมตลอดไปกับที่ดินมรดกของตระกูลที่พวกเธอไปแต่งงานด้วย นี่ก็จะทำให้ที่ดินของพวกเธอถูกดึงไปจากที่ดินมรดกของตระกูลของบรรพบุรุษของเรา”
5 โมเสสสั่งชาวอิสราเอลตามที่พระยะโฮวาสั่งว่า “คนในตระกูลลูกหลานของโยเซฟพูดถูกแล้ว 6 พระยะโฮวาสั่งเกี่ยวกับลูกสาวของเศโลเฟหัดไว้อย่างนี้ ‘พวกเธอจะแต่งงานกับใครก็ได้ตามใจชอบ แต่ต้องเป็นคนที่อยู่ในตระกูลเดียวกับพ่อของพวกเธอ 7 อย่าให้ที่ดินมรดกของชาวอิสราเอลเปลี่ยนจากตระกูลหนึ่งไปเป็นของอีกตระกูลหนึ่ง เพราะชาวอิสราเอลจะต้องรักษาที่ดินมรดกให้อยู่กับตระกูลของบรรพบุรุษของตัวเอง 8 ผู้หญิงในตระกูลไหนก็ตามของชาวอิสราเอลซึ่งได้รับที่ดินมรดกจะต้องแต่งงานกับคนที่อยู่ในตระกูลเดียวกับพ่อของเธอ+ เพื่อชาวอิสราเอลจะรักษาที่ดินมรดกของบรรพบุรุษของตัวเองไว้ได้ 9 อย่าให้ที่ดินมรดกเปลี่ยนจากตระกูลหนึ่งไปเป็นของอีกตระกูลหนึ่ง เพราะตระกูลต่าง ๆ ของชาวอิสราเอลจะต้องรักษาที่ดินมรดกของตัวเองไว้’”
10 พวกลูกสาวของเศโลเฟหัดก็ทำตามที่พระยะโฮวาสั่งโมเสส+ 11 มาลาห์ ทีร์ซาห์ โฮกลาห์ มิลคาห์ และโนอาห์ ลูกสาวของเศโลเฟหัด+ก็แต่งงานกับลูกชายของญาติพี่น้องของพ่อ 12 พวกเธอแต่งงานกับคนในตระกูลมนัสเสห์ลูกชายของโยเซฟ ที่ดินซึ่งพวกเธอได้เป็นมรดกจึงยังอยู่กับตระกูลของพ่อ
13 นี่เป็นข้อบัญญัติและข้อกฎหมายที่พระยะโฮวาให้ชาวอิสราเอลผ่านทางโมเสสในที่ราบกันดารโมอับ ริมฝั่งแม่น้ำจอร์แดนตรงข้ามกับเมืองเยรีโค+
แปลตรงตัวว่า “คนแปลกหน้า” คือ คนที่ไม่ใช่คนเลวี
แปลตรงตัวว่า “คนแปลกหน้า” คือ คนที่ไม่ได้เป็นเชื้อสายของอาโรน
แปลตรงตัวว่า “คนแปลกหน้า” คือ คนที่ไม่ใช่คนเลวี
57 กรัม ดูภาคผนวก ข14
11.4 กรัม
15.56 กก.
หรือ “ขี้เถ้าที่ชุ่มด้วยมัน” คือ ขี้เถ้าที่ชุ่มด้วยมันของสัตว์ที่ถวายเป็นเครื่องบูชา
หรือ “ทำให้มีการคืนดี” แปลตรงตัวว่า “ปิดคลุมบาป”
2.2 ลิตร ดูภาคผนวก ข14
แปลตรงตัวว่า “ขอให้โคนขาของเธอลีบไป”
หรือ “ขอให้เป็นอย่างนั้น! ขอให้เป็นอย่างนั้น!”
หรือ “เป็นส่วนหนึ่งของเครื่องบูชาที่จะทำให้พระเจ้าคิดถึงของถวายทั้งหมด”
แปลว่า “คนที่ถูกเลือกออกมา” หรือ “คนที่อุทิศตัวไว้” หรือ “คนที่แยกตัวอยู่ต่างหาก”
แปลตรงตัวว่า “หัวของเขา” น่าจะเป็นการปล่อยให้ผมยาว
1.48 กก. ดูภาคผนวก ข14
798 กรัม
114 กรัม
1.48 กก.
798 กรัม
114 กรัม
1.48 กก.
798 กรัม
114 กรัม
1.48 กก.
798 กรัม
114 กรัม
1.48 กก.
798 กรัม
114 กรัม
1.48 กก.
798 กรัม
114 กรัม
1.48 กก.
798 กรัม
114 กรัม
1.48 กก.
798 กรัม
114 กรัม
1.48 กก.
798 กรัม
114 กรัม
1.48 กก.
798 กรัม
114 กรัม
1.48 กก.
798 กรัม
114 กรัม
1.48 กก.
798 กรัม
114 กรัม
1.48 กก.
798 กรัม
27.36 กก.
114 กรัม
1.37 กก.
แปลตรงตัวว่า “ระหว่างสองเวลาเย็น” อาจหมายถึงช่วงเวลาหลังดวงอาทิตย์ตกจนถึงช่วงที่เริ่มมืดจริง ๆ
แปลตรงตัวว่า “ระหว่างสองเวลาเย็น” อาจหมายถึงช่วงเวลาหลังดวงอาทิตย์ตกจนถึงช่วงที่เริ่มมืดจริง ๆ
แปลตรงตัวว่า “ระหว่างสองเวลาเย็น” อาจหมายถึงช่วงเวลาหลังดวงอาทิตย์ตกจนถึงช่วงที่เริ่มมืดจริง ๆ
คือ เยโธร
หรือ “เป็นตา”
แปลว่า “เผาไหม้” คือ ไฟที่ทำให้เกิดความเสียหายอย่างรุนแรง
น่าจะเป็นคนที่ไม่ใช่ชาวอิสราเอล
แปลตรงตัวว่า “ยางไม้หอมเดลเลียม” ซึ่งเป็นวัตถุโปร่งใส มีลักษณะคล้ายไข่มุก
แปลตรงตัวว่า “พวกผู้ชายสูงอายุ”
แปลตรงตัวว่า “พวกผู้ชายสูงอายุ”
89 ซม. ดูภาคผนวก ข14
2,200 ลิตร ดูภาคผนวก ข14
แปลว่า “สุสานฝังคนตะกละ”
หรือ “ถ่อมตัว (อ่อนโยน) ยิ่งกว่าใคร ๆ”
หรือ “สำรวจดู”
หรือ “เยโฮชูวา” แปลว่า “พระยะโฮวาเป็นความรอด”
หรือ “ริมเขตแดนฮามัท”
“อาหิมาน เชชัย ทัลมัย” อาจหมายถึงลูกหลานของพวกเขา
แปลว่า “พวงองุ่น”
ภาษาฮีบรูคือ เนฟิล
แปลตรงตัวว่า “พวกเขาเป็นขนมปังสำหรับเรา”
แปลตรงตัวว่า “การเป็นโสเภณี”
หรือ “มีเราเป็นศัตรู”
2.2 ลิตร ดูภาคผนวก ข14
0.92 ลิตร ดูภาคผนวก ข14
0.92 ลิตร
4.4 ลิตร
1.22 ลิตร
1.22 ลิตร
6.6 ลิตร
1.84 ลิตร
1.84 ลิตร
แปลตรงตัวว่า “ประชาคม”
แปลตรงตัวว่า “ขนมปัง”
แปลตรงตัวว่า “ประชาคม”
แปลตรงตัวว่า “คุณอยากควักลูกตาคนพวกนี้ออกไป”
แปลตรงตัวว่า “พวกผู้ชายสูงอายุ”
ดูคำว่า “หลุมศพ” ในส่วนอธิบายศัพท์
ดูคำว่า “หลุมศพ” ในส่วนอธิบายศัพท์
แปลตรงตัวว่า “ไม่ให้คนแปลกหน้า”
แปลตรงตัวว่า “คนแปลกหน้า” คือ คนที่ไม่ได้อยู่ในตระกูลของอาโรน
แปลตรงตัวว่า “คนแปลกหน้า” คือ คนที่ไม่ได้อยู่ในตระกูลของอาโรน
คือ ทุกสิ่งที่ถูกทำให้ศักดิ์สิทธิ์สำหรับพระเจ้าโดยการถวายพระองค์อย่างที่ไม่สามารถเอาคืนหรือไถ่กลับมาได้
57 กรัม ดูภาคผนวก ข14
11.4 กรัม
แปลตรงตัวว่า “สัญญาแห่งเกลือ”
แปลตรงตัวว่า “เราจะเป็นส่วนแบ่งของเจ้า”
แปลตรงตัวว่า “ที่ที่สะอาด”
แปลตรงตัวว่า “ถูกตัดจากประชาคม”
แปลตรงตัวว่า “ประชาคม”
แปลว่า “ต่อว่า”
เป็นสำนวนกวีหมายถึงตาย
แปลว่า “สิ่งที่ต้องทำลายจนสิ้นซาก”
หรืออาจแปลได้ว่า “ทะเลทราย” หรือ “ที่กันดาร”
แปลตรงตัวว่า “พวกผู้ชายสูงอายุ”
แปลตรงตัวว่า “พวกผู้ชายสูงอายุ”
หรือ “การทำนาย”
แปลตรงตัวว่า “ลาตัวเมีย”
หรืออาจแปลได้ว่า “ทะเลทราย” หรือ “ที่กันดาร”
คือ ชาติแรกที่ต่อต้านอิสราเอล
คือ ชาวเคไนต์
น่าจะหมายถึงพวกหัวโจกที่พูดถึงก่อนหน้านี้
เป็นสำนวนกวีหมายถึงตาย
แปลตรงตัวว่า “ระหว่างสองเวลาเย็น” อาจหมายถึงช่วงเวลาหลังดวงอาทิตย์ตกจนถึงช่วงที่เริ่มมืดจริง ๆ
2.2 ลิตร ดูภาคผนวก ข14
0.92 ลิตร ดูภาคผนวก ข14
0.92 ลิตร
แปลตรงตัวว่า “ระหว่างสองเวลาเย็น” อาจหมายถึงช่วงเวลาหลังดวงอาทิตย์ตกจนถึงช่วงที่เริ่มมืดจริง ๆ
4.4 ลิตร
6.6 ลิตร
4.4 ลิตร
2.2 ลิตร
1.84 ลิตร
1.22 ลิตร
0.92 ลิตร
6.6 ลิตร
4.4 ลิตร
2.2 ลิตร
6.6 ลิตร
4.4 ลิตร
2.2 ลิตร
6.6 ลิตร ดูภาคผนวก ข14
4.4 ลิตร
2.2 ลิตร
“การแสดงความเสียใจ” โดยทั่วไปแล้วเกี่ยวข้องกับการไม่ทำอะไรตามความต้องการของตัวเอง ซึ่งหมายรวมถึงการอดอาหาร
6.6 ลิตร
4.4 ลิตร
2.2 ลิตร
6.6 ลิตร
4.4 ลิตร
2.2 ลิตร
เป็นสำนวนกวีหมายถึงตาย
แปลตรงตัวว่า “กองพัน”
191 กก. ดูภาคผนวก ข14
หมายถึงคอกถาวรที่เอาหินมาล้อมเป็นกำแพง
หรือ “สร้าง”
แปลว่า “เมืองเล็ก ๆ ของยาอีร์”
คือ ทะเลเดดซี หรือ ทะเลตาย
คือ ทะเลใหญ่ หรือ ทะเลเมดิเตอร์เรเนียน
คือ ทะเลเมดิเตอร์เรเนียน
ไม่รู้ตำแหน่งแน่ชัด อาจเป็นยอดเขาสูงเด่นยอดหนึ่งของเทือกเขาเลบานอน
หรือ “ริมเขตแดนฮามัท”
คือ ทะเลสาบเยนเนซาเรท หรือ ทะเลสาบกาลิลี
445 เมตร ดูภาคผนวก ข14
890 เมตร อาจวัดจากเส้นรอบนอกของทุ่งหญ้า แต่ไม่รวมความยาวของตัวเมืองแต่ละด้าน