10 คำว่า “พันธสัญญาเดิม” และ “พันธสัญญาใหม่”
2 โครินท์ 3:14—คำภาษากรีก ἐπὶ τῇ ἀναγνώσει τῆς παλαιᾶς διαθήκης (เอพี เท อานากโนเซ เทส พาไลอัส ดิอาเทเคส) คำภาษาลาติน in lectione veteris testamenti (อิน เล็กทีโอเน เวเทริส เทสทาเมนที)
ปี 1869 |
|
พันธสัญญาใหม่ แปลจากฉบับภาษากรีกของทิสเชนดอร์ฟ (The New Testament: Translated From the Greek Text of Tischendorf), โดยจอร์จ อาร์. นอยเยส, เมืองบอสตัน. |
ปี 1940 |
|
พระคริสตธรรมคัมภีร์, พิมพ์โดยสมาคมพระคริสตธรรมไทย, กรุงเทพฯ. |
ปี 1950 |
|
พระคัมภีร์คริสเตียนภาคภาษากรีกฉบับแปลโลกใหม่ (New World Translation of the Christian Greek Scriptures), บรุกลิน. |
ปี 1971 |
|
พระคริสตธรรมคัมภีร์ภาคพันธสัญญาเดิมและพันธสัญญาใหม่, พิมพ์โดยสมาคมพระคริสตธรรมไทย, กรุงเทพฯ. |
ปี 1972 |
|
ฉบับแปลเดอะ นิว อิงลิช ไบเบิล (The New English Bible), เมืองออกซ์ฟอร์ดและเมืองเคมบริดจ์. |
ทุกวันนี้ มีการเรียกพระคัมภีร์ที่เขียนในภาษาฮีบรูและภาษาอาระเมอิกว่า “พันธสัญญาเดิม.” ที่เป็นเช่นนี้ก็เนื่องมาจาก 2 โครินท์ 3:14 ซึ่งอ่านว่า “แต่จิตใจพวกเขาด้านชา. เพราะเมื่อพวกเขาอ่านสัญญาเดิมนั้น ผ้าคลุมนั้นก็ยังอยู่จนถึงทุกวันนี้ ไม่ได้ถูกเอาออก เพราะจะต้องให้พระคริสต์เป็นผู้เอาผ้าคลุมนั้นออก.”
แต่ในข้อนี้อัครสาวกเปาโลไม่ได้หมายถึงพระคัมภีร์ภาคภาษาฮีบรูและภาษาอาระเมอิกทั้งหมด ทั้งไม่ได้หมายความว่าพระคัมภีร์คริสเตียนที่มีขึ้นโดยการดลใจจะเป็น “พันธสัญญาใหม่.” ท่านกำลังพูดถึงเรื่องสัญญาเดิมเกี่ยวกับพระบัญญัติซึ่งโมเซได้บันทึกไว้ในหนังสือห้าเล่มแรกและเป็นเพียงส่วนหนึ่งของพระคัมภีร์ก่อนยุคคริสเตียน. ด้วยเหตุนี้ ท่านจึงบอกในข้อถัดไปว่า “เมื่อใดที่มีการอ่านหนังสือของโมเซ.”
ฉะนั้น ไม่มีเหตุผลที่จะเรียกพระคัมภีร์ภาคภาษาฮีบรูและภาษาอาระเมอิกว่า “พันธสัญญาเดิม” และเรียกพระคัมภีร์คริสเตียนภาคภาษากรีกว่า “พันธสัญญาใหม่.” พระเยซูคริสต์เองทรงเรียกหนังสือศักดิ์สิทธิ์ทั้งหมดว่าเป็น “พระคัมภีร์.” (มัดธาย 21:42; มาระโก 14:49; โยฮัน 5:39) อัครสาวกเปาโลก็เรียกหนังสือเหล่านั้นว่าเป็น “พระคัมภีร์บริสุทธิ์” “พระคัมภีร์” และ “หนังสือบริสุทธิ์.” (โรม 1:2; 15:4; 2 ติโมเธียว 3:15) ดังนั้น จึงมีเหตุผลที่จะใช้คำที่เหมาะสมกว่าคือ “พระคัมภีร์ภาคภาษาฮีบรู” และ “พระคัมภีร์คริสเตียนภาคภาษากรีก.”