แอโลพีเซียเก็บตัวเงียบเพราะผมร่วงหมดศีรษะ
เล่าโดยผู้ป่วยเป็นโรคแอโลพีเซีย
‘แอโลพีเซียหรือ?’ คุณสงสัย. ‘ฉันจำไม่ได้ว่าเคยได้ยินถึงโรคนี้.’ ผู้คนที่เป็นโรคนี้อาจกระดากเกินไปที่จะบอกคุณ. พวกเขาเก็บเรื่องนั้นไว้เป็นความลับ. ผมเป็นโรคแอโลพีเซีย ดังนั้น ขอให้ผมเล่าให้คุณทราบเกี่ยวกับโรคนี้บ้าง.
ลองนึกดูว่าคุณจะรู้สึกตกตะลึงขนาดไหนถ้าคุณเห็นว่าจู่ ๆ ผมคุณเริ่มร่วง. ‘นี่มันเกิดขึ้นได้อย่างไร? เป็นไปไม่ได้.’ คุณอาจพูดอย่างไม่อยากเชื่อ.
ภายหลัง คุณก็ทราบว่าไม่ใช่คุณคนเดียวที่เป็นโรคแอโลพีเซีย. ประมาณทุก ๆ หนึ่งในร้อยคนเป็นโรคนี้ และโรคนี้เป็นกันทั้งชายและหญิง. น่าเสียใจ ที่การรักษาความผิดปกตินี้ส่วนใหญ่จะไม่ประสบผลสำเร็จ.
บางคนบอกผมว่า “ถึงอย่างไร มันก็แค่เส้นผม.” ก็จริง. แต่แอโลพีเซียมีผลกระทบต่อชีวิตทั้งสิ้นของผม และเพิ่มความลำบากใจยิ่งขึ้น เพราะยากที่จะอธิบายเรื่องนี้แก่คนอื่น. ทำไมล่ะ? ก็เนื่องจากว่าโรคนี้ถูกปกคลุมด้วยบรรยากาศแห่งความคลุมเครือไม่กระจ่างชัด.
ตัวอย่างเช่น ตามปกติแล้วเมื่อใครสักคนบอกชื่อโรคหนึ่งขึ้นมา คุณก็นึกภาพออกทันทีว่าโรคนั้นเป็นอย่างไร. แต่ไม่เป็นเช่นนั้นกับโรคแอโลพีเซีย. สาเหตุของโรคนี้ไม่อาจบอกได้อย่างรวบรัดชัดเจน. และเมื่อพิจารณาวิธีที่โรคแอโลพีเซียจู่โจม—อย่างรวดเร็วและไม่มีการเตือนล่วงหน้า—ผู้ที่ตกเป็นเหยื่อมักพบว่าตนเองไม่พร้อมจะพูดคุยถึงเรื่องนั้น. ด้วยเหตุนี้ บุคคลนั้นอาจสูญเสียไม่เพียงผมเท่านั้นแต่ยังสูญเสียความสง่าภาคภูมิอีกด้วย.
โรคนี้คืออะไร?
แอโลพีเซียเป็นโรคอย่างหนึ่งซึ่งผู้ที่เป็นโรคนี้ไม่อาจควบคุมได้. มันไม่ใช่โรคติดต่อ และดังนั้นคนอื่นจึงไม่อาจติดโรคนี้จากเราได้. คนที่เป็นแอโลพีเซียจะไม่เสียชีวิตด้วยโรคนี้ แต่ความเจ็บปวดทางด้านอารมณ์ของความรู้สึกขายหน้า, ผิดหวัง, และอึดอัด อาจกลายเป็นประสบการณ์ที่ท้าทายได้.
ไม่ควรเอาแอโลพีเซียไปปะปนกับการมีศีรษะล้านแบบธรรมดาของผู้ชาย. ฉะนั้น เมื่ออธิบายถึงแอโลพีเซีย พวกเราบางคนจึงใช้คำ “ผมร่วง” แทนคำ “ศีรษะล้าน.”
คำแอโลพีเซีย อะเรอาตาใช้กับสภาพที่ผมร่วงเป็นหย่อม ๆ. นี่เป็นแบบที่ผมเป็น. ถ้าผมทั้งศีรษะร่วงหมด อาการผิดปกตินี้จะใช้คำ แอโลพีเซีย โตตาลิส. และถ้าอาการผิดปกตินี้รวมถึงการร่วงของขนทั้งตัวด้วย จะเรียกว่า แอโลพีเซีย ยูนิเวอร์ซาลิส. สำหรับบางคนที่เป็นโรคนี้ โรคจะไม่ลุกลามมากไปกว่า แอโลพีเซีย อะเรอาตา. ส่วนคนอื่นมีผมงอกขึ้นใหม่เองโดยไม่ต้องรับการรักษาอะไรเลย. แต่อย่างไรก็ตาม อีกบางคน ทั้งขนคิ้วและขนตาร่วงหมด. นี้อาจทำให้นัยน์ตาติดเชื้อได้เพราะไม่มีขนที่คอยป้องกันนัยน์ตาจากฝุ่นและเหงื่อ.
อะไรคือสาเหตุ?
การค้นคว้าทางแพทย์ชี้ให้เห็นว่าแอโลพีเซียอาจเป็นการทำงานผิดปกติของระบบภูมิคุ้มกันที่ต่อต้านร่างกาย นั่นคือ ปฏิกิริยาภูมิแพ้ต่อบางส่วนของร่างกายคุณ. ความผิดปกติของภูมิคุ้มกันตนเองชนิดอื่นซึ่งคุณอาจคุ้นเคยก็คือโรคลูปัส. ระบบภูมิคุ้มกันของคนที่เป็นโรคแอโลพีเซียสำคัญผิดไปว่าผมเป็นสิ่งแปลกปลอม. ระบบภูมิคุ้มกันจึงตอบสนองโดยการส่ง ที–เซลล์ (ลิมโฟไซท์) ตัวกำจัดสิ่งแปลกปลอมมายังบริเวณนั้น. ที–เซลล์เหล่านั้นจะจับกลุ่มล้อมรอบต่อมรากผมและโจมตีทำลายต่อมนั้นเสีย. สักช่วงเวลาหนึ่งซึ่งไม่ทราบแน่นอน ต่อมรากผมก็ถูกขัดขวางไว้จากการผลิตเส้นผมตามปกติ.
การรักษาทางแพทย์มีหลายหลาก. อย่างดีที่สุด ก็ใช้เวลานานเพื่อจะได้ผล และผลที่ได้ก็มักไม่ใช่ในแบบที่หวังไว้. ตัวอย่างเช่น เส้นผมอาจงอกขึ้นมาใหม่ แต่อาจเป็นเส้นเล็กมากและสีอ่อน. อาจมีความผิดหวังท้อแท้ขึ้นได้ถ้าเกิดเป็นโรคแอโลพีเซียอีกและการรักษาที่เคยได้ผลครั้งหนึ่งนั้นใช้ไม่ได้ผลอีก. ดังนั้น คนที่เป็นโรคนี้ก็เลยไปหาแพทย์คนแล้วคนเล่า ลองรักษาด้วยวิธีการต่าง ๆ กัน. ครั้นแล้วแอโลพีเซียก็อาจกลายเป็นโรคที่สร้างภาระทางการเงินและทางอารมณ์ด้วย.
วงการแพทย์เคยระบุว่าความเครียดเป็นตัวก่อเหตุ. พวกเขาบอกว่า กำจัดความเครียด แล้วผมจะกลับมาอีก. ดังนั้นคนที่เป็นโรคจึงอาจเชื่อผิด ๆ ว่าเขาได้ทำให้ผมของตนเองร่วง หรือดังที่แพทย์บางคนออกความเห็นว่า คู่สมรสอาจเป็นผู้ที่ก่อความเครียด. แต่บัดนี้ มีการเข้าใจกันว่าความเครียดไม่ใช่สาเหตุ. ผู้ที่เป็นโรคแอโลพีเซียไม่มีเหตุผลอะไรจะรู้สึกผิดหรือตำหนิตัวเองเพราะสภาพของเขา.
เผชิญการท้าทาย
การสูญเสียผมทำให้การปรากฏตัวเปลี่ยนไป และดังนั้น ในบางครั้งผู้ที่เป็นโรคแอโลพีเซียจึงถูกจัดให้อยู่ในคนบางกลุ่ม. หากบุคคลใดไม่มีผม หรือคนอื่นสังเกตเห็นว่ามีผมน้อยเกินไป และไว้ผมสั้นอย่างที่ผมทำ ผู้ที่สังเกตเห็นอาจด่วนลงความเห็นว่าคนที่เป็นโรคแอโลพีเซียกำลังประท้วงสังคมหรือการเมือง.
การหางานทำเป็นสิ่งท้าทายเสมอ แต่มักท้าทายเป็นพิเศษสำหรับผู้ที่เป็นโรคแอโลพีเซีย. สมัยนี้ผู้ที่เป็นนายจ้างบางคนระแวดระวังเพราะความกลัวโรคเอดส์. เนื่องจากผู้ที่เป็นโรคแอโลพีเซียมีผมน้อยหรือไม่มีเลย นายจ้างอาจสงสัยว่าเขาเป็นโรคเอดส์ หรือเปล่า. แน่นอน แอโลพีเซียไม่ใช่ความผิดปกติแบบเดียวกับเอดส์. ส่วนคนอื่น ๆ นึกไปเองว่าคนที่เป็นโรคแอโลพีเซียกำลังรับการรักษาทางเคมีบำบัด.
บางครั้ง คำพูดที่ขาดการไตร่ตรองอาจก่อผลเสียหายถึงขนาดที่ว่าพวกเราซึ่งเป็นโรคแอโลพีเซียกลัวการออกไปนอกชายคาบ้านของเรา. คำแนะนำโดยไม่ยั้งคิดจากผู้หวังดีก็อาจสร้างความเจ็บปวดอย่างยิ่งด้วยเช่นกัน. พวกเขาอาจพูดว่า: “ถ้าฉันเป็นคุณ ฉันจะไม่กังวลอะไรกับมันหรอก. ฉันก็แค่ไม่ต้องสนใจมันเสียก็สิ้นเรื่อง.” พูดง่ายแต่ทำยาก. กษัตริย์ซะโลโมผู้ชาญฉลาดตระหนักว่า “แม้ในขณะที่แสดงอาการเบิกบานใจก็ยังโศกเศร้า.” (สุภาษิต 14:13) เนื่องจากโรคแอโลพีเซียอาจเปลี่ยนการปรากฏตัวของเราอย่างมาก และอย่างฉับพลัน เราหยั่งรู้ค่า เมื่อเราไม่ได้ถูกตอกย้ำเกี่ยวกับรูปโฉมของเรา.
ทำไมไม่สวมวิกล่ะ?
ผู้คนอาจแนะว่า “ทำไมคุณไม่สวมวิกล่ะ? ถ้าเป็นผม ผมจะใส่.” แต่วิกผมส่วนใหญ่มีการออกแบบเพื่อผู้หญิงซึ่งต้องการเปลี่ยนแบบผมตามแฟชั่น. วิกเหล่านั้นไม่ได้ถูกทำขึ้นเพื่อสวมใส่ศีรษะที่ไม่มีผม. วิกที่ออกแบบโดยเฉพาะเพื่อผู้เป็นโรคแอโลพีเซียนั้นปกติแล้วมีราคาสูงกว่า และไม่ใช่ผู้เป็นโรคนี้ทุกคนสามารถซื้อและเก็บรักษาอย่างถูกต้องได้.
ผู้หญิงที่เป็นโรคแอโลพีเซียประสบความสำเร็จในการหาวิกที่เหมาะมากกว่าผู้ชายและเด็ก ๆ. เนื่องจากผู้หญิงมีแบบผมให้เลือกมากกว่า. แต่ผู้หญิงบางคนกลับชอบใช้ผ้าโพกศีรษะ. วิกส่วนใหญ่ที่มีการออกแบบสำหรับผู้ชายนั้น ดูจะไม่เป็นธรรมชาติ. และอาจมีคำถามขึ้นมาว่า: ‘คุณใส่วิกเมื่อไร? ตลอดเวลาไหม? คุณใส่วิกตอนอยู่บ้านคนเดียวเผื่อว่าจะมีบางคนมาเยี่ยมโดยไม่ได้คาดคิดไหม?’ ฉะนั้น เนื่องด้วยเหตุผลนานาประการ ผู้เป็นโรคแอโลพีเซียจึงอาจไม่ใส่วิก. อนึ่ง ผู้เป็นโรคนี้ส่วนมากมีผมร่วงในบางส่วนเท่านั้นซึ่งอาจปิดได้โดยผมที่มีอยู่รอบ ๆ และไม่มีเหตุผลจะไปนึกถึงเรื่องวิก.
วิธีที่ผมรับมือ
บางครั้งผู้ป่วยเป็นโรคแอโลพีเซียอาจอยู่แต่ในบ้านเงียบ ๆ และกลายเป็นคนเก็บตัว รู้สึกไม่สบายใจเนื่องจากวิธีที่คนอื่น ๆ มองดูเขา. ในช่วงที่ยุ่งยากนั้น เป็นสิ่งสำคัญที่จะมีความเข้าใจกระจ่างชัดต่อสิ่งที่อยู่ในอันดับแรกของชีวิตและที่จะจดจำไว้ว่าสิ่งภายในต่างหากซึ่งจะทำให้ได้การยอมรับนับถือจากคนอื่น ๆ.
ฉะนั้น ผมจึงอยู่วันต่อวันและพยายามไม่คิดกังวลวุ่นวายเกี่ยวกับวันต่อไปเพื่อว่าปัญหาของผมจะไม่กลายเป็นสิ่งที่ต้องคิดถึงอยู่ตลอดเวลา. ผมพบสุภาษิตในคัมภีร์ไบเบิลที่ช่วยได้มากข้อหนึ่งที่ว่า: “อย่ากระวนกระวายถึงพรุ่งนี้ เพราะว่าพรุ่งนี้คงมีการกระวนกระวายสำหรับพรุ่งนี้เอง.”—มัดธาย 6:34.
เป็นความจริงที่ว่ามีคนอื่นอีกมากมายที่มีปัญหาที่ย่ำแย่กว่านี้. กระนั้น สำหรับคนเหล่านั้นซึ่งเป็นโรคแอโลพีเซีย การช่วยเหลือและความเข้าใจจากคนอื่น ๆ มักจะขาดไป. จนกระทั่งเมื่อไม่กี่ปีมานี้ พวกเขาก็ได้มีโอกาสเล็กน้อยในการอธิบายถึงความรู้สึกของพวกเขากับคนอื่น ๆ ซึ่งเป็นโรคแอโลพีเซียด้วยกัน แต่เดี๋ยวนี้มีเครือข่ายของกลุ่มให้การช่วยเหลือตลอดทั่วสหรัฐอเมริกา. โดยทางกลุ่มเหล่านี้เองที่คนเหล่านั้นซึ่งเป็นโรคแอโลพีเซียสามารถได้รับความช่วยเหลือจากแพทย์ที่มีคุณวุฒิและมีความรู้ที่ถูกต้องซึ่งมีส่วนในความก้าวหน้าใหม่ ๆ ทางการแพทย์และเปิดโปงความเชื่อถือเก่า ๆ ที่ไร้สาระ.
บางครั้งผมอดคิดไม่ได้ว่าชีวิตของผมอาจผิดแผกไปมากเพียงใด. แต่ผมก็ยินดีในสิทธิพิเศษที่ได้มาเป็นพยานของพระยะโฮวาคนหนึ่งและด้วยเหตุนี้จึงสามารถใช้ตัวเองในการช่วยคนอื่น ๆ ให้เรียนรู้เกี่ยวกับคำสัญญาอันงดงามของพระเจ้าสำหรับอนาคต. (วิวรณ์ 21:3, 4) อีกสิ่งหนึ่งที่ช่วยผมให้ดำเนินต่อไปคือถ้อยคำที่ชูกำลังใจซึ่งพบในคัมภีร์ไบเบิลที่บทเพลงสรรเสริญ 55:22: “จงทอดภาระของท่านไว้กับพระยะโฮวา และพระองค์จะทรงเป็นธุระให้.”
[กรอบหน้า 11]
ผู้เป็นโรคแอโลพีเซีย
นักแสดง ฮัมฟรีย์ โบการ์ทเป็นคนหนึ่ง. ภรรยาของเขา ลอเรน แบคอลเขียนว่า: “เขาสังเกตเห็นจุดหนึ่งที่ไม่มีขนบนแก้ม คือไม่มีเคราขึ้น. จุดเดียวนั้นได้เพิ่มขึ้นเป็นหลายจุด—แล้วเขาตื่นขึ้นในตอนเช้าและเห็นมีผมเป็นกระจุก ๆ บนหมอน. ทำให้เขาตกใจ. การที่ศีรษะล้านโดยมีผมรอบเป็นวง นักแสดงจะใส่ปอยผมแซมเข้าไปได้ แต่ถ้าไม่มีผมตามบริเวณรอบศีรษะก็จะต้องใช้วิกคลุมทั้งหมด. ยิ่งผมร่วงมากเท่าใด เขาก็จะกังวลมากเท่านั้น ยิ่งเขากังวลมากเท่าไร ผมก็ยิ่งจะร่วงมากเท่านั้น. ในฉากสุดท้ายของเรื่องดาร์ก พาสเสจ เขาสวมวิกคลุมทั้งศีรษะ. เขาตกใจมาก—การครองชีพของเขาอยู่ปลายหอกปลายดาบ. จำเป็นต้องไปหาหมอ. . . . การวินิจฉัยของแพทย์คือเขาเป็นโรคที่รู้จักกันว่าแอโลพีเซีย อะเรอาตา.”
[กรอบหน้า 12]
การรักษาอะไรที่ได้ผล?
แอโลพีเซียอาจรักษาได้โดยใช้การฉีดคอร์ติโซนเข้าไปเพื่อยับยั้งการจู่โจมของที–เซลล์. คอร์ติโซนเป็นยาซึ่งทำให้การบวมในบริเวณต่อมรากผมนั้นลดลงเพื่อต่อมรากผมจะสามารถรับเลือดและอาหารได้.
การรักษาอีกอย่างหนึ่งคือดีเอ็นซีบี (ไดไนโตรคลอโรเบนซีน). นี้คือกรดซึ่งใช้โดยตรงกับบริเวณที่เป็นโรคเพื่อพยายามจะทำให้เกิดปฏิกิริยาภูมิแพ้ขึ้นมา—ไม่ผิดแผกไปจากอาการผื่นคันร้ายแรง เนื่องจากพันธุ์ไม้ที่เป็นพิษ—โดยตั้งความหวังไว้ว่าจะทำให้ลิมโฟไซท์ (เม็ดเลือดขาว) หันเหไปทางอื่น. ผลจากการทำอย่างไม่รอบคอบอาจก่อความเจ็บปวดอย่างสุดขีดสำหรับบางคน.
ได้มีการชักชวนให้ใช้ยาที่เรียกว่าไมน็อกซิดิลกับเฉพาะแห่งด้วยเช่นกัน. แม้ว่าในตอนแรกนั้นยานี้มีการพัฒนาขึ้นเพื่อใช้รักษาอาการความดันโลหิตสูง แต่ผลข้างเคียง พบว่ายานี้ทำให้ผมงอกได้. กระนั้น เช่นเดียวกับวิธีรักษาโรคแอโลพีเซียส่วนใหญ่ อัตราส่วนความสำเร็จมีน้อยนัก. ข่าวคราวส่วนใหญ่มีแต่เรื่องเกี่ยวกับการใช้ยานี้ในการรักษาอาการศีรษะล้านธรรมดาของผู้ชาย ไม่ใช่แอโลพีเซีย.
มีการออกใบสั่งยาและวิธีการรักษามากกว่า 16 ชนิดต่าง ๆ กันเพื่อรักษาโรคแอโลพีเซีย และแต่ละชนิดก็ต้องใช้อย่างสม่ำเสมออย่างไม่มีกำหนดเวลาแน่นอน. เนื่องจากมักจะต้องใช้เวลาหกเดือนเพื่อระบุว่ายาใดยาหนึ่งจะใช้ได้ผล การรักษาจึงอาจกินเวลามากและอาจทำให้ท้อแท้ก็ได้. ดังนั้น ยังไม่มีการรักษาที่แท้จริงสำหรับโรคแอโลพีเซีย.