“อย่าทำอะไรโง่ ๆ ไม่งั้นผมจะฆ่าคุณ”
ปากกระบอกปืนจ่อทะลุช่องแคบ ๆ ของกระจกรถยนต์ที่เปิดอ้าไว้และเล็งมา ที่ศีรษะของฉัน. มีเสียงพูดว่า:
“อย่ามองมาทางผม คุณสุภาพสตรี. ปลดล็อกประตูออก. ย้ายไปนั่งที่นั่งข้างคนขับ.” ดิฉันทำตามที่เขาบอก. ชายคนนั้นเลื่อนตัวเข้ามานั่งหลังพวงมาลัย ปืนยังคงเล็งมาที่ฉัน.
“คุณมีกุญแจเปิดธนาคารไหม?”
“ฉันไม่มีกุญแจ. จะมีคนมาเปิดให้ในอีกไม่กี่นาที.”
“อย่าทำอะไรโง่ ๆ” เขาเตือน “ไม่งั้นผมจะฆ่าคุณ.” เขาติดเครื่องรถและขับออกไป.
นี่ไม่ใช่ครั้งแรกที่ฉันประสบเหตุการณ์แบบนี้. ดิฉันเคยเป็นพนักงานรับและจ่ายเงินในสาขาหนึ่งของธนาคารบริษัทหลักทรัพย์. เมื่อเดือนเมษายนที่แล้วผู้หญิงคนหนึ่งเล็งกระเป๋าสตางค์ของเธอมาที่ฉันและบอกว่า “มีปืนอยู่ในนี้. ส่งเงินมา.” ฉันก็ทำตาม.
ไม่กี่สัปดาห์ต่อมา ผู้ชายคนหนึ่งมาที่ช่องกระจก. ปืนของเขาไม่มีอะไรปิดหุ้มไว้. “เอาเงินมาให้ผม.” ฉันผลักกองธนบัตรไปให้เขา.
ดิฉันทนไม่ไหวอีกต่อไป จึงขอย้ายไปยังสาขาอื่น. คำร้องขอได้รับการอนุมัติ. ดังนั้น ในตอนเช้าของวันพฤหัสบดีที่ 23 พฤษภาคม ฉันกำลังนั่งอยู่ในรถส่วนตัวซึ่งจอดอยู่ในลานจอดรถของสาขาใหม่ สาขาพีชทรี มอล ในโคลัมบัส จอร์เจีย. ฉันกำลังนั่งรอธนาคารเปิด. เป็นเวลา 8:25 น. ฉันมักจะมาถึงที่ทำงานก่อนเวลาเล็กน้อยและอ่านข้อคัมภีร์ประจำวัน. ในเช้านี้ข้อคัมภีร์อยู่ที่มัดธาย 6:13 ที่ว่า “ขอทรงช่วยข้าพเจ้าทั้งหลายให้พ้นจากผู้ชั่วร้าย.” ฉันไม่ได้ตระหนักอะไรในตอนนั้น แต่ข้อคัมภีร์นี้จะกลายเป็นสิ่งสำคัญมากต่อฉันสำหรับช่วงสองวันต่อไป.
ดิฉันทำงานที่สาขาใหม่นี้ได้เพียงสองสัปดาห์และยังไม่ได้รับมอบกุญแจ. ฉันหมุนกระจกรถลงเล็กน้อย และนั่งทบทวนข้อคัมภีร์ซึ่งฉันเพิ่งอ่านไป เมื่อปากกระบอกปืนโผล่เข้ามาทางหน้าต่าง. ในสองครั้งก่อน ขโมยได้หลบหนีไปพร้อมกับเงินของธนาคาร. แต่ครั้งนี้เขาเอาฉันไปด้วย.
เมื่อเขาขับรถออกไป ฉันเริ่มอธิษฐานด้วยเสียงดัง:
“โอ พระยะโฮวา ขอโปรดช่วยข้าพเจ้า!”
“ใครคือยะโฮวา?” ผู้ลักพาตัวดิฉันตวาด.
“พระองค์คือพระเจ้าที่ฉันนมัสการ.”
“อย่ามองมาที่ผม! มองออกไปทางหน้าต่างด้านคุณ! ยะโฮวา . . . นั่นคือหอสังเกตการณ์ พยานพระยะโฮวา ใช่ไหม?”
“ใช่.”
“ผมรู้จักพวกเขาเมื่อผมอยู่ที่นครนิวยอร์ก. ผมเองเป็นคาทอลิก. จะอย่างไรก็ตาม คุณอธิษฐานของคุณไปอย่างเงียบ ๆ. ผมไม่ต้องการฟัง.” แต่เขาเสริมว่า “ฟังนะ ผมจะไม่ทำอันตรายคุณ. ผมต้องการเงิน ไม่ใช่คุณ. อย่าทำอะไรโง่ ๆ แล้วคุณจะไม่เจ็บตัว.”
ตลอดเวลาที่ขับรถ เขาถามฉันเกี่ยวกับธนาคารนั้น. ใครจะมาเปิดประตู? เวลาเท่าไรที่จะเปิดให้คนทั่วไป? มีเงินมากเท่าไรในธนาคาร? คำถามมากมายเกี่ยวกับธนาคาร. ฉันตอบคำถามเหล่านั้นดีที่สุดเท่าที่สามารถทำได้และในเวลาเดียวกันก็อธิษฐานอย่างเงียบ ๆ. ดิฉันอ้อนวอนพระยะโฮวาให้ช่วยผ่านเหตุการณ์นี้อย่างปลอดภัย.
ประมาณสิบนาทีต่อมา เขาขับไปตามถนนดินเข้าไปในป่าแห่งหนึ่ง. ดูเหมือนเขาคาดว่าจะพบใครสักคนหนึ่ง เพราะเขาเริ่มพึมพำกับตัวเอง: “มันอยู่ไหนนะ? มันอยู่ไหน?” เขาหยุดและลงจากรถและทำให้ฉันเลื่อนข้ามเบาะออกมาทางด้านคนขับ โดยหันหลังให้เขาตลอดเวลา. เขาพาฉันลึกเข้าไปในป่าพร้อมด้วยปืนจ่ออยู่ด้านข้าง ตาของฉันจ้องอยู่ที่พื้นตลอด เพื่อจะมองไม่เห็นเขา. เป็นการยากที่จะเดินผ่านป่าละเมาะอันหนาทึบในชุดกระโปรงและรองเท้าส้นสูง. เขาพาฉันไปยังต้นไม้ต้นหนึ่ง ให้หันหน้าเข้าหาต้นไม้ และใช้ผ้าเทปปิดตาและปากของฉัน. เขามัดมือฉันเข้าด้วยกันไพล่ไว้ข้างหลังแล้วผูกฉันติดกับต้นไม้ด้วยผ้าเทปพันรอบทั้งเอวและลำต้นของต้นไม้.
ในตอนนี้ฉันสั่นอย่างหนัก. เขาสั่งให้ฉันหยุดสั่น. ฉันพึมพำผ่านผ้าเทปว่าฉันทำไม่ได้. “เอาละ อยู่นิ่ง ๆ. มีคนเฝ้าดูคุณอยู่และถ้าคุณดิ้นเพื่อหลุดออกเขาจะฆ่าคุณ.” แล้วเขาก็ผละฉันไป. ฉันกำลังนึกถึงข้อคัมภีร์ประจำวันข้อนั้นซึ่งบอกว่า “ขอทรงช่วยข้าพเจ้าทั้งหลายให้พ้นจากผู้ชั่วร้าย” และคิดว่าช่างเหมาะเจาะกับฉันเสียจริง ๆ ในเวลานี้.
ไม่นานเขาก็กลับมาแต่ด้วยรถอีกคันหนึ่ง—ฉันจำเสียงเครื่องยนต์ของฉันได้. เขาอาจเปลี่ยนไปใช้รถของเขาเอง. เขาแกะผ้าเทปออกจากรอบเอวของฉันกับต้นไม้ แต่ยังคงปิดตาและปากอยู่ และข้อมือยังคงถูกมัดไพล่หลัง. เขาพาฉันผ่านพุ่มไม้กลับไปที่รถ. เขาเปิดฝากระโปรงท้ายรถ ยัดฉันเข้าไปแล้วกระแทกปิดฝา และขับออกไป.
ฉันเริ่มอธิษฐานอีก. ฉันอธิษฐานเกือบทั้งวันและขอกำลังจากพระยะโฮวาเพื่อช่วยฉันอดทนได้กับอะไรก็ตามที่รออยู่ข้างหน้า. เขาขับไปสัก 15 หรือ 20 นาที ก่อนที่จะหยุดรถและเปิดฝากระโปรงท้ายรถ แกะเทปออกจากปากของฉัน และถามฉันว่าโทรศัพท์ของธนาคารหมายเลขอะไร. ฉันให้หมายเลขโทรศัพท์กับเขา. เขาถามว่าใครเป็นหัวหน้าของฉัน. ฉันบอกเขาแล้วเขาก็ปิดปากฉันด้วยเทปอีก. เมื่อนั้นเขาโทรศัพท์ไปที่ธนาคารและเรียกร้องเงิน—3,750,000 บาท ซึ่งฉันทราบภายหลัง.
เขาบอกจอร์ช—เป็นชื่อพนักงานของธนาคารในวันนั้น—ให้ไปที่ตู้โทรศัพท์แห่งหนึ่งทางตอนใต้ของแอตแลนตาเวลาบ่ายสองโมงพร้อมกับเงิน แล้วเขาจะได้รับการบอกเพิ่มเติมว่าต้องทำอะไร. เขาบอกให้ฉันทราบความคืบหน้า และให้ความมั่นใจว่าฉันจะเป็นอิสระในไม่ช้า. อย่างไรก็ตาม ยังอีกนานจึงจะบ่ายสองโมง และฉันยังคงคุดคู้และถูกมัดอยู่ในที่เก็บของท้ายรถและเริ่มร้อนขึ้นเรื่อย ๆ. เวลาผ่านไปอย่างเชื่องช้า. หนึ่งหรือสองครั้งที่เขาเปิดดูว่าฉันเป็นอย่างไรบ้าง. “พระเจ้ายะโฮวาของคุณกำลังดูแลคุณอยู่” เขาออกความเห็น. เขาจำคำอธิษฐานของฉันต่อพระยะโฮวาในตอนเช้าได้.
ฉันสงสัยเรื่องครอบครัวของฉัน. พวกเขารู้หรือไม่ว่าฉันหายไป? ถ้าพวกเขารู้ เขามีปฏิกิริยาอย่างไร? ฉันกังวลถึงพวกเขามากกว่ากังวลถึงตัวเอง. ฉันคิดถึงข้อคัมภีร์ต่าง ๆ ข้อหนึ่งเกี่ยวกับพระนามของพระยะโฮวาเป็น ‘ป้อมอันเข้มแข็งและผู้ชอบธรรมวิ่งเข้าไปก็พ้นภัย.’ และ ‘ถ้าท่านร้องออกพระนามพระยะโฮวาท่านจะรอด.’ และแน่นอนดิฉันกำลังนำคำแนะนำของอัครสาวกเปาโลมาใช้ที่ให้ “อธิษฐานเสมออย่าเว้น.” (สุภาษิต 18:10; โรม 10:13; 1 เธซะโลนิเก 5:17) นอกจากข้อคัมภีร์ ก็มีเนื้อร้องและทำนองเพลงราชอาณาจักรวนเวียนอยู่ในใจของฉัน เช่น ‘พระยะโฮวา ศิลาของข้าพเจ้า เป็นกำลังข้าพเจ้าและเป็นความเข้มแข็งของข้าพเจ้า’ และ ‘พระยะโฮวาเป็นผู้คุ้มภัย.’
ฉันนึกถึงประสบการณ์ต่าง ๆ ที่ได้อ่านจากหอสังเกตการณ์ที่พระยะโฮวาทรงช่วยคนอื่น ๆ อดทนต่อการทดลองแบบผิดธรรมดา. เรื่องหนึ่งจากตื่นเถิดซึ่งฝังใจฉันคือที่พยานฯคนหนึ่งถูกจับเป็นตัวประกันในการปล้นธนาคาร.a เธอถูกล็อกคอไว้แน่นขณะที่โจรควงระเบิดมือและขู่เธอ. ประสบการณ์ที่ยากลำบากของเธอใช้เวลาหลายชั่วโมง เธอและโจรถูกกักตัวอยู่ข้างใน ส่วนตำรวจอยู่ข้างนอก. เธอทนเหตุการณ์ยากลำบากของเธอด้วยการอธิษฐานถึงพระยะโฮวาและนึกถึงข้อคัมภีร์ต่าง ๆ แล้วความกล้าหาญของเธอก็ได้รับการตอบแทนโดยได้กลับไปอยู่กับครอบครัวของเธออย่างปลอดภัย.
ในที่สุดรถก็หยุดและคนขับลงจากรถ. ฉันไม่สามารถเห็นนาฬิกาของตัวเองเพราะมันอยู่บนข้อมือที่ถูกมัดไพล่หลัง แต่ก็เดาได้อย่างถูกต้องว่าเป็นเวลาบ่ายสองโมง และเขาลงไปเพื่อติดต่อกับจอร์ชจากธนาคาร. ฉันหวังว่าการปล่อยตัวคงมาถึงในไม่ช้า. แต่ไม่เป็นเช่นนั้น. เห็นได้ชัดว่าแผนของเขาไม่ราบรื่น และเขาก็ขับรถออกไปอีก.
ในทันใดเครื่องยนต์ก็เร่งแรงขึ้น และรถพุ่งไปข้างหน้าเต็มแรง! เขาไม่เพียงขับด้วยความเร็วสูงเท่านั้นแต่ยังหักซ้ายขวาราวกับหลบหลีกการจราจร. ฉันถูกเหวี่ยงไปมาในที่เก็บของท้ายรถ. ร่างดิฉันเด้งขึ้นจากพื้น หัวกระแทกกับด้านข้างที่เก็บของ. เนื่องจากมือและแขนถูกมัดไพล่หลังฉันจึงไม่สามารถยึดตัวเองหรือป้องกันตัวเองจากการกระแทกขณะถูกเหวี่ยงไปมาในทุกทิศทาง. เป็นเช่นนี้อยู่ประมาณ 10 นาที แต่ราวกับว่านานกว่านั้นมาก.
ไม่นานหลังจากนั้นรถก็หยุด และเขาเปิดฝากระโปรงท้ายรถเพื่อดูว่าฉันเป็นเช่นไร. แน่ละ ฉันอกสั่นขวัญแขวนและระบมไปหมดเนื่องจากถูกกระแทก. หัวใจเต้นถี่และหายใจลำบากมาก. เหงื่อท่วมตัวดิฉันและไม่สามารถเช็ดออกได้เพราะมือทั้งสองถูกมัดไพล่หลัง. การหายใจลำบากมากเป็นพิเศษเพราะเพียงจมูกเท่านั้นปรากฏระหว่างผ้าเทปที่ปิดตาและอีกอันหนึ่งที่ปิดปาก. เขาแกะเทปที่ปิดปากฉันออกชั่วคราวเพื่อจะหายใจได้สะดวกขึ้นและพูดได้ถ้าฉันต้องการ.
เขาบอกฉันว่าตำรวจเห็นรถของเขา บางทีอาจจะจากจุดที่พวกเขาถูกตำรวจประกบ และไล่กวด. นั่นคือสาเหตุที่เขาขับเร็วมากและหักกลับไปมาเพื่อไม่ชนกับรถคันอื่น. เขาหนีตำรวจได้สำเร็จ. เขาอธิบายว่าเขายังไม่ได้รับเงิน แต่เขาจะหาทางอื่น ซึ่งต้องใช้เวลานานกว่านี้สักหน่อย แต่สำหรับฉันแล้วไม่ต้องกังวล. เขาให้คำรับรองกับฉันอีกครั้งว่าเขาจะไม่ทำร้ายร่างกายฉันซึ่งการทำเช่นนั้นไม่ใช่เจตนาของเขา. เขาต้องการเงินและฉันเป็นกุญแจที่จะทำให้เขาได้เงินนั้น. เมื่อเขาพูดเช่นนี้ ทำให้ฉันสงบลง เนื่องจากฉันได้อธิษฐานว่า ถ้าเขาเริ่มลงมือทำร้ายฉัน ขอพระยะโฮวาโปรดช่วยฉันให้ปฏิบัติในทางที่ถูกต้อง.
เวลาผ่านไปอย่างเชื่องช้า. เขาหยุดชั่วครู่ สองสามครั้ง อาจเพื่อโทรศัพท์หรือพยายามแวะรับเงิน. ครั้งหนึ่งเมื่อเขาหยุดรถ ฉันได้ยินเขาเติมน้ำมัน. ฉันอึดอัดมากจึงพยายามเปลี่ยนท่าไปมาอย่างดีที่สุดเท่าที่ทำได้และทำให้เกิดเสียงดังขึ้นบ้าง. เขาเปิดฝากระโปรงท้ายรถในทันทีและเตือนฉันไม่ให้ทำเสียงดัง. ฉันสงสัยว่าตอนนี้เวลากี่โมง. เขาไม่เคยบอกฉันอีกเลยนอกจากที่บอกครั้งแรกตอนบ่ายสองโมง. ฉันรู้ว่ายังอยู่ในเขตแอตแลนตาเพราะฉันได้ยินเสียงเครื่องบินขึ้นลงที่สนามบิน.
หลังจากนั้น เขาเปิดฝากระโปรงท้ายรถขึ้นอีกและพูดว่า ‘คงจะอีกชั่วโมงหนึ่ง. อีกชั่วโมงหนึ่งเท่านั้นคุณก็จะเป็นอิสระ.’ เขาพูดเช่นนี้หลายครั้ง. ฉันไม่เชื่อเขาอีกต่อไป. ฉันได้แต่เพียงหวัง. วันนั้นภายนอกมีอากาศไม่ร้อนจัด แต่ในที่เก็บของท้ายรถนี้ซิ อากาศร้อนขึ้น ๆ เพราะปิดมิดชิดและคับแคบ. เหงื่อฉันออกมาก และหายใจลำบากมากขึ้น. ฉันเริ่มอธิษฐานถึงการกลับเป็นขึ้นจากตายเพราะไม่แน่ใจว่ายังหายใจได้อีกนานเท่าไร.
ถ้าฉันตายจริง ๆ ฉันก็หวังว่าพระยะโฮวาจะช่วยครอบครัวของฉันให้รับมือได้. ฉันเป็นห่วงครอบครัวของฉันเช่นเดียวกับตัวเอง. ฉันรู้ว่าถ้าฉันตายจริง พระยะโฮวาจะนำฉันกลับมาในคราวการกลับเป็นขึ้นจากตายและจะได้อยู่ร่วมกับครอบครัวของฉันในโลกใหม่แห่งความชอบธรรมที่พระองค์ทรงสัญญาไว้. (โยฮัน 5:28,29; 2 เปโตร 3:13) ความคิดของฉันเกี่ยวกับพระยะโฮวาและคำทรงสัญญาของพระองค์เป็นสิ่งช่วยค้ำจุนฉัน.
คนขับรถมาเปิดฝากระโปรงท้ายรถอีกครั้งหนึ่ง. ท้องฟ้ามืดมิด—มืดมาหลายชั่วโมงแล้ว. เขาได้โทรศัพท์อีกหลายครั้ง. ความพยายามทุกอย่างของเขาเพื่อรับค่าไถ่ไม่ประสบผล. เขาบอกว่าเขาเหนื่อยหน่ายที่จะพยายามต่อและจะพาฉันกลับไปยังโคลัมบัสและปล่อยฉันไป. ระหว่างที่เรากลับฉันหมดสิ้นเรี่ยวแรง. ฉันได้แต่นอนในที่เก็บของท้ายรถและอยากให้ทุกสิ่งจบลง. แต่ฉันรวบรวมกำลังของตัวเองและคิดว่า ‘ไม่ ฉันต้องรักษาสติไว้. ฉันต้องทำให้ตัวเองตื่นตัวอยู่. ไม่ช้าเรื่องทั้งหมดจะสิ้นสุด. เขายอมแพ้แล้ว และกำลังพาฉันกลับบ้าน.’
เขาตั้งใจจะปล่อยฉันลงที่รถของฉัน แต่รถไม่ได้จอดอยู่ในที่ซึ่งเขาคิดไว้. เขาพาฉันไปยังหอประชุมของพยานพระยะโฮวาแห่งหนึ่ง แต่ยังมีไฟเปิดอยู่ในห้องซึ่งตัวแทนเดินทางคนหนึ่งของเราพักอยู่. “ผมจะไม่ปล่อยคุณในที่ที่มีคนอยู่!” อย่างไรก็ตาม เขายอมให้ฉันออกมาจากที่เก็บของท้ายรถเป็นครั้งแรก. ฉันยังถูกปิดตาอยู่ มือทั้งสองยังถูกมัดไพล่หลัง แต่เขาแกะเทปออกจากปากของฉัน. ฉันรู้สึกเหมือนจะหมดสติและเดินแทบไม่ได้—ขาทั้งสองของฉันเป็นเหน็บชา. เขาจับฉันใส่กลับเข้าไปในที่เดิมแล้วขับลงไปตามถนนหน่อยหนึ่ง ทิ้งฉันไว้หลังโบสถ์แบพติสต์แห่งหนึ่ง แล้วขับออกไป. เป็นเวลา 01:30 น. ของเช้าวันศุกร์.
ฉันรู้สึกว่าจะเป็นลมจริง ๆ จึงนั่งลง และสิ้นสติไป. สิ่งสุดท้ายที่จำได้คือเสียงรถของเขาขับออกไป. เมื่อฉันตื่นขึ้นในสามชั่วโมงถัดมา ฉันพบตัวเองกำลังนอนอยู่บนหญ้าและโคลน. ฉันแกะผ้าเทปออกจากข้อมือและตาของฉัน. ฉันดูนาฬิกา. มันเป็นเวลาอีก 15 นาทีจะถึงตี 5. ฉันอยู่ในที่เก็บของท้ายรถเป็นเวลา 17 ชั่วโมงและหมดสติบนพื้นดินถึง 3 ชั่วโมง. ฉันเดินไปตามถนนด้วยขาที่สั่นและเป็นเหน็บชา. ชายคนหนึ่งกำลังถอยรถบรรทุกของเขาออกมายังถนน. ฉันบอกเขาว่าถูกลักพาตัวไปและต้องการโทรศัพท์หาครอบครัวและตำรวจ. ตำรวจมาถึงที่นั่นภายใน 10 นาที. ทุกอย่างยุติลงแล้ว.
ฉันถูกพาไปยังศูนย์พยาบาลเพื่อทำการตรวจ. เป็นเวลา 20 ชั่วโมงที่ฉันไม่ได้ดื่มหรือทานอะไรเลยและไม่ได้เข้าห้องน้ำ และฉันหลับไปเพียงสามชั่วโมงสุดท้าย. ร่างกายของฉันฟกช้ำดำเขียว เสื้อผ้าเปรอะเปื้อนไปด้วยโคลน ผมเผ้ายุ่งเหยิง หน้าตาสกปรกและมีริ้วรอยของเทปกาวติดอยู่. แต่สิ่งเหล่านี้ทั้งหมดไม่อาจขัดขวางการกลับมาอยู่ร่วมกันอีกกับสามีของฉัน แบรด และแม่ของฉัน เกลนดา พร้อมทั้งญาติผู้เป็นที่รักหลายคนและเพื่อน ๆ ที่มารวมกันที่นั่นเพื่อต้อนรับฉันกลับมา. ความทุกข์ของพวกเขาที่เกิดจากการรอและความกังวลแตกต่างไปจากของฉันและบางทีในแง่หนึ่งจะทรมานมากกว่าด้วยซ้ำ.
จากศูนย์พยาบาล ฉันได้ไปยังสถานีตำรวจเพื่อตอบคำถามและให้การ. ดังรายงานในโคลัมบัส เลดเจอร์-เอนไควเรอร์ ฉบับ 25 พฤษภาคม 1991 ตำรวจกล่าวว่าโจรเรียกค่าไถ่ ซึ่งบัดนี้จับตัวได้แล้ว มีคดี “เกี่ยวข้องกับการข่มขืน และบังคับทำวิตถารทางเพศ ซึ่งเกิดขึ้นเมื่อสุดสัปดาห์ก่อน” ซึ่งเป็นรายก่อนหน้าที่เขาจะลักพาตัวฉัน. สิ่งที่รายงานไว้ในหนังสือพิมพ์นี้ด้วยคือคำอธิบายของสารวัตรใหญ่สถานีตำรวจเวทเธอริงตันเรื่องคำขอร้องของเขาให้ปิดข่าว: “เราเป็นกังวลจริง ๆ เกี่ยวกับชีวิตของลิซา.” ทั้งหมดนี้จูงใจให้ฉันเชื่อมากยิ่งขึ้นว่า ความไว้วางใจของฉันในพระยะโฮวาเป็นสิ่งที่ค้ำจุนฉันไว้.
ฉันกลับบ้านเพื่ออาบน้ำร้อนที่สดชื่นที่สุดในชีวิตของฉัน เพื่อนอนหลับอย่างหวานชื่น และเพื่อคิดรำพึงอย่างอบอุ่นหัวใจขณะฉันเคลิ้มหลับสนิท ความคิดนั้นคือ: ข้อคัมภีร์ของวันนั้นที่มัดธาย 6:13 ยังคงเป็นเครื่องค้ำจุนฉันและตามที่บทเพลงสรรเสริญ 146:7 ฉันได้ประสบกับ ‘การปลดปล่อยภายหลังจากถูกจำจอง.’—เล่าโดย ลิซา ดาเวนพอร์ท.
[เชิงอรรถ]
a ดูตื่นเถิด ฉบับวันที่ 8 ธันวาคม 1990 หน้า 27-29.
[รูปภาพหน้า 23]
“คุณอธิษฐานของคุณไปอย่างเงียบ ๆ. ผมไม่ต้องการฟัง”
[รูปภาพหน้า 23]
เขาเปิดฝากระโปรงท้ายรถ ยัดฉันเข้าไป แล้วกระแทก ปิดฝา และขับออกไป
[รูปภาพหน้า 24]
ร่างดิฉันเด้งขึ้นจากพื้น หัวกระแทกกับด้านข้างที่เก็บของ
[รูปภาพหน้า25]
ฉันได้แต่นอนในที่เก็บของท้ายรถอยากให้ทุกสิ่งจบลง
[รูปภาพหน้า26]
เมื่อฉันตื่นขึ้นในสามชั่วโมงถัดมา ฉันพบตัวเองกำลังนอนอยู่บนหญ้าและโคลน