การต่อสู้อันยาวนานอย่างทรหดเพื่อพบความเชื่อแท้
ดิฉันมักกลัวเสมอว่าจะตกนรก ดิฉันทราบว่าตนเองไม่ดีพอที่จะขึ้นสวรรค์. ดิฉันรู้สึกว่าคงจะโชคดีหากได้ไปสู่ไฟชำระ ดังนั้นดิฉันจึงอธิษฐานอย่างแรงกล้าและจุดเทียน เพื่อหลีกหนีจากการตกนรก.
ขณะที่ยางรถยนต์ของดิฉันลื่นและไถลไปบนถนนที่เป็นน้ำแข็งซึ่งตัดผ่านช่องเขาในรัฐออเรกอน สหรัฐอเมริกา ดิฉันสงสัยว่าได้ทำให้ตนเองตกในความยุ่งยากอะไร. นี่เป็นประสบการณ์ครั้งแรกที่ขับรถในหิมะ และที่นี่ดิฉันอยู่ท่ามกลางพายุหิมะบนถนนที่ไม่คุ้นเคย มีหุบเหวลึกอยู่สองข้างทาง แทบจะมองไม่เห็นอะไรที่เลยฝากระโปรงหน้ารถไป. ดิฉันคิดว่าเราคงต้องตาย ฉะนั้นดิฉันจึงอธิษฐานถึงพระเจ้าให้ช่วยชีวิตของดิฉันและคนที่นั่งมาในรถ และดิฉันจะตอบแทนพระองค์โดยการกลับไปเข้าโบสถ์อีก.
ในที่สุด พวกเราก็รอดมาได้ และดิฉันได้รักษาคำปฏิญาณที่ว่าจะกลับไปโบสถ์อีก. ดิฉันพบโบสถ์ประจำท้องถิ่นแห่งหนึ่งในซีแอตเติลโดยการค้นดูในสมุดโทรศัพท์หน้าเหลืองและไปที่นั่นในวันอาทิตย์ถัดมา. โบสถ์แห่งนั้นให้ความรู้สึกว่างเปล่าแบบเดียวกับที่ดิฉันเคยประสบมาก่อน. โบสถ์นั้นเน้นสิ่งเดียวกับคริสตจักรเดิมของดิฉันคือ เงิน. ตะกร้าใส่เงินบริจาคถูกส่งผ่านมาถึงสามครั้ง! ดิฉันจำสิ่งที่ได้ทูลต่อพระเจ้าที่ว่าดิฉันจำต้องหาหนทางอื่นในการนมัสการพระองค์.
ตอนเป็นเด็ก ดิฉันได้รับการเลี้ยงดูให้เป็นคาทอลิกที่เคร่งครัดในครอบครัวทหาร. ดิฉันเข้าเรียนในโรงเรียนคาทอลิก. ดิฉันยังจำได้ถึงตอนเรียนหนังสือคู่มือถามตอบคำสอนศาสนาคาทอลิกและถามแม่ชีว่า “ทำไมเราไม่เคยใช้คัมภีร์ไบเบิลเลยคะ?” เธอบอกว่าดิฉันอ่อนในความเชื่อ และหลายครั้งที่คุณพ่อคุณแม่ดิฉันได้รับแจ้งเกี่ยวกับความอ่อนแอของดิฉัน.
ดิฉันได้รับการเลี้ยงดูให้ยำเกรงพระเจ้าเสมอมา. ดิฉันมีแนวคิดไม่แจ่มชัดนักเกี่ยวกับพระองค์. พระองค์เป็นพระเจ้าผู้ซึ่งคู่ควรแก่การนมัสการแต่กลับทรมานคุณหากคุณไม่นมัสการพระองค์อย่างถูกต้อง. พอดิฉันอายุ 17 ปี ดิฉันบอกกับคุณพ่อคุณแม่ว่าจะไม่ไปโบสถ์อีกต่อไป. ดิฉันรู้สึกใกล้ชิดพระเจ้ามากขึ้น ณ ที่ใด ๆ ก็ตามที่ไม่ใช่โบสถ์. ดิฉันชอบไปเดินบนชายหาด และถ้ามีอะไรที่รบกวนใจ ดิฉันจะพูดกับพระเจ้าเกี่ยวกับสิ่งนั้น. ดิฉันขออภัยต่อพระองค์ที่พูดกับพระองค์โดยไม่ผ่านบาทหลวง บอกให้พระองค์ทราบว่าดิฉันจำต้องบอกพระองค์ถึงสิ่งที่อยู่ในใจของดิฉัน. ดิฉันเกิดความรู้สึกผิดหวังเนื่องจากทุกสิ่งที่ดิฉันได้พบเห็นซึ่งกำลังเกิดขึ้นในโลกด้วย. นี่เป็นยุคฮิปปี้ และเพื่อน ๆ ดิฉันต่างก็พัวพันกับการปล่อยตัวตามอำเภอใจในเรื่องเพศและยาเสพย์ติด. ดิฉันเห็นถึงผลต่าง ๆ ที่น่าเศร้าใจไม่ว่าจะเป็นการตั้งครรภ์อันไม่พึงปรารถนา, การทำแท้ง, การเสพยาเกินขนาด—ดิฉันไม่ต้องการมีส่วนร่วมกับสิ่งเหล่านั้น!
การแสวงหาเริ่มต้น
เบ็กกี เพื่อนสนิทคนหนึ่ง และดิฉันตัดสินใจออกจากวิทยาลัยเพื่อแสวงหาสิ่งที่ดีกว่า. ต้องมีอะไรที่ดีกว่านี้! เราตกลงกันว่าจะไปเยี่ยมคุณแม่ของเธอในรัฐวอชิงตัน. ดิฉันบอกคุณพ่อคุณแม่ว่าดิฉันต้องจากไป เพื่อพยายามลืมปัญหาต่าง ๆ ที่รบกวนใจดิฉันอยู่. นั่นเป็นคราวที่เราขับรถฝ่าพายุหิมะในออเรกอน. หลังจากออกจากโบสถ์ในซีแอตเติลในวันอาทิตย์นั้นด้วยความรังเกียจ ดิฉันก็กลับบ้านและได้พูดกับเอ็ดนา คุณแม่ของเบ็กกี เกี่ยวกับความรู้สึกของดิฉัน. เธอบอกดิฉันว่าเธอรู้จักคนหนึ่งที่สามารถตอบคำถามต่าง ๆ ของดิฉันได้. เธอโทรศัพท์ไปหาพยานพระยะโฮวาที่หอประชุม.
ดิฉันจดจำการรอคอยพวกเขาได้ดี. ต้องรอถึงสามวัน. แต่เมื่อพวกเขามาถึง ดิฉันคิดในใจว่าพวกเขาดูสมกับเป็นคริสเตียนมากที่สุดเท่าที่ดิฉันเคยเห็นมาในชีวิต. เขาทั้งสองคือแคลเร็นซ์และอีดิท เมินเยร์. แคลเร็นซ์จบการศึกษาจากโรงเรียนว็อชเทาเวอร์ไบเบิลแห่งกิเลียดและคุ้นเคยกับข้อคัมภีร์ต่าง ๆ อย่างทะลุปุโปร่ง. ดิฉันเกิดความประทับใจทันทีเมื่อเขาทั้งสองอธิบายว่าพระเจ้าทรงมีพระนาม—ยะโฮวา. ดิฉันรู้สึกเหมือนกับมีแสงสว่างขึ้นในความคิดของดิฉัน. การศึกษาครั้งแรกใช้เวลาร่วมสามชั่วโมง และพวกเขากลับมาในอีกสองวันต่อมาเพื่อศึกษาอีกครั้ง.
ดิฉันตื่นเต้นมาก. ดิฉันรีบโทรศัพท์ไปหาคุณพ่อคุณแม่ทันทีและบอกท่านว่าดิฉันได้พบความจริงแล้ว. ดิฉันบอกท่านว่าพระเจ้าทรงมีพระนาม ยะโฮวา และพยานพระยะโฮวาสอนความจริงจากคัมภีร์ไบเบิล. ดิฉันทราบว่าท่านไม่เคยได้ยินเรื่องของพยานพระยะโฮวาและคงจะตื่นเต้นพอ ๆ กันที่ได้เรียนรู้ในสิ่งที่ดิฉันรู้. อย่างไรก็ดี ท่านรู้จักพยานพระยะโฮวาและหัวเสียมากทีเดียว. ท่านมาพาตัวดิฉันกลับแคลิฟอร์เนีย.
เมื่อกลับถึงบ้าน ดิฉันทราบว่าต้องติดต่อกับประชาคมท้องถิ่นทันที. ดิฉันหาที่อยู่ของหอประชุมได้และไปร่วมการประชุมนัดถัดมาและนั่งฟัง. พี่น้องหญิงคนหนึ่งมองมาที่ดิฉันและยิ้มให้ ดิฉันจึงถามเธอว่าจะศึกษาพระคัมภีร์กับดิฉันได้ไหม. เธอประหลาดใจมากและตอบรับอย่างรวดเร็ว. ดิฉันดีใจมากที่ได้ร่วมสมทบกับประชาคมอีกเพราะดิฉันเริ่มรู้สึกโดดเดี่ยว. ดิฉันต้องการการคบหาสมาคม.—เฮ็บราย 10:24, 25.
การข่มเหงจากครอบครัวเริ่มต้น
คุณพ่อคุณแม่ยังคงคัดค้านศาสนาใหม่ของดิฉันต่อไปและส่งตัวดิฉันไปพบจิตแพทย์. เมื่อคุณพ่อคุณแม่ขอทราบผล เขาบอกท่านว่าดิฉันเป็นคนขัดขืน. ดิฉันบอกท่านว่าดิฉันไม่ได้เป็นเช่นนั้น. นับเป็นครั้งแรกในชีวิตที่ดิฉันได้พบอะไรบางอย่างซึ่งให้คำตอบดิฉัน ทั้งให้เหตุผลสำหรับการดำรงชีวิตอยู่.
ตั้งแต่นั้นมา ยามใดที่ดิฉันไปหอประชุม คุณพ่อคุณแม่จะโกรธมาก. ท่านบอกกับดิฉันว่าดิฉันสามารถไปเข้าวิทยาลัยแห่งใดก็ได้ที่ต้องการ มุ่งศึกษาต่อในสาขาวิชาใดก็ได้ที่ต้องการ และท่านจะออกค่าใช้จ่ายให้ แต่ดิฉันต้องเลิกข้องแวะกับพวกพยานพระยะโฮวา. สิ่งที่ทำให้เรื่องนี้รับมือยากเป็นพิเศษก็คือความรักที่ดิฉันมีต่อครอบครัว. วันที่แสนจะขมขื่นอย่างยิ่งวันหนึ่ง คุณแม่บอกดิฉันว่าท่านอยากจะเห็นดิฉันเป็นโสเภณีแทนที่จะเป็นพยานพระยะโฮวาคนหนึ่ง. ดิฉันจะเป็นอะไรก็ได้ แต่ต้องไม่ใช่พยานพระยะโฮวา. คุณพ่อคุณแม่บอกดิฉันว่าดิฉันต้องออกจากบ้าน. บทเพลงสรรเสริญ 27:10 ผุดขึ้นในใจดิฉัน “เมื่อบิดามารดาละทิ้งข้าพเจ้าแล้ว, พระยะโฮวาจะทรงรับข้าพเจ้าไว้.” พี่น้องหญิงคนหนึ่งในประชาคมมีบ้านว่างหลังหนึ่ง และเธอให้ดิฉันไปอยู่.
ดิฉันพบพี่น้องหญิงคนหนึ่งในหอประชุม ผู้ซึ่งอยู่ในสภาพเช่นเดียวกับดิฉัน คือยังใหม่มากในความจริง. เธอชื่อคริส เค็มป์ และเราทั้งสองกลายเป็นเพื่อนที่ดีมากและเริ่มอยู่ด้วยกัน. เรารับบัพติสมาในวันที่ 18 กรกฎาคม 1969 ณ ดอดเจอร์ สเตเดียม ในลอสแอนเจลิส.
ณ การประชุมประจำประชาคม เรามักจะเฝ้าสังเกตพี่น้องหญิงคนหนึ่งซึ่งเป็นไพโอเนียร์ที่รับใช้เต็มเวลา ดานา วอล์ฟ. เธอเป็นมนุษย์ฝ่ายวิญญาณจริง ๆ. เราทราบมาว่าเธอต้องการที่พักอาศัย ดังนั้นเราจึงได้เพื่อนร่วมห้องที่วิเศษอีกคนหนึ่ง.
ดิฉันยังจำได้ที่มีส่วนครั้งแรกในการประชุม. ดิฉันมีการสาธิตเรื่องหนึ่ง และดิฉันฝึกซ้อมส่วนนั้นซ้ำแล้วซ้ำอีก. เป็นการสาธิตวิธีเสนอหนังสือปกแข็ง และดิฉันจำจนขึ้นใจ. อย่างไรก็ดี ในนาทีสุดท้าย ดิฉันจดข้อความนั้นและเก็บใส่กระเป๋าเสื้อ. ดิฉันขึ้นบนเวทีแล้วก็นึกอะไรไม่ออกเลย. ดิฉันพูดว่า “สวัสดีค่ะ . . . สวัสดีค่ะ . . . สวัสดีค่ะ.” ดิฉันพูดคำว่าสวัสดีราว ๆ ห้าครั้ง. ดิฉันจำอะไรไม่ได้เลย. ดิฉันจึงมองไปยังผู้ฟังและพูดว่า “ตามปกติ ดิฉันไม่ได้ทำแบบนี้ที่ประตูบ้าน.” แล้วดิฉันก็หยิบกระดาษบันทึกที่ยับยู่ยี่ออกมาและอ่านสิ่งที่ดิฉันควรพูดคำต่อคำ. เมื่อจบการสาธิต ดิฉันกลับไปที่นั่งของตนและร้องไห้.
พี่น้องชายคนที่ขอให้ดิฉันทำส่วนนี้ถามผู้ฟังว่า “เราได้เรียนอะไรจากการเสนอครั้งนี้?” ทั้งหอประชุมเงียบกริบ. แล้วดิฉันก็ยืนขึ้น หันหน้าไปยังผู้ฟัง และพูดว่า “พวกเขาจะเรียนอะไรได้ล่ะ? ฉันมันไม่ได้เรื่องเลย! พวกเขาไม่ได้เรียนรู้อะไรแน่ ๆ!” แล้วดิฉันก็นั่งลงตามเดิมและร้องไห้ต่อ. ดิฉันรู้ว่าส่วนต่าง ๆ ของดิฉันในการประชุมดีขึ้นบ้างในเวลานี้—คงจะไม่มีอะไรแย่กว่านี้แล้ว.
ไม่นานหลังจากนั้น ดานาเริ่มพูดถึงความต้องการที่จะหาใครสักคนซึ่งจะย้ายไปยังที่ที่มีความต้องการมากกว่าและเป็นไพโอเนียร์ร่วมกับเธอ. คืนนั้นคริสและดิฉันเข้าไปที่ห้องของเราและคุยกันถึงเรื่องนั้น. วันรุ่งขึ้นเรากลับไปถามดานาว่า “แล้วพวกเราไปได้ไหมล่ะ?” ดานาประหลาดใจมาก. เรายังใหม่ เรายังรับบัพติสมาได้ไม่นานพอที่จะเป็นไพโอเนียร์ประจำ! เราไม่มีคุณสมบัติตามที่เธอคิดไว้ในใจเลยสำหรับการเป็นผู้ร่วมงาน. แต่ถึงอย่างไรเธอก็ได้เขียนไปถึงสมาคมว็อชเทาเวอร์ และสมาคมฯ ได้มอบหมายเราทั้งสามให้ไปที่มิดเดิลสเบรอ เคนทักกี.
การต่อต้านจากครอบครัวดิฉันล้มเหลว
เรากำลังเก็บข้าวของเตรียมจะไปเมื่อคุณพ่อคุณแม่โทรศัพท์มาบอกดิฉันว่าดิฉันจะนำรถยนต์ของดิฉันออกจากรัฐแคลิฟอร์เนียไม่ได้. ท่านทั้งสองเป็นผู้ร่วมเซ็นสัญญาผ่อนรถของดิฉันและบอกดิฉันว่าท่านจะเรียกตำรวจหากดิฉันพยายามนำรถออกนอกรัฐ. พวกเราจึงตัดสินใจว่าจะใช้รถโดยสาร. ในงานเลี้ยงส่งพวกเรา พี่น้องชายที่ดิฉันเคยพบครั้งหนึ่งเข้ามาหาและพูดว่า “ผมเข้าใจว่าคุณเป็นหนี้อยู่ 3,000 เหรียญสำหรับรถของคุณใช่ไหมครับ.” ดิฉันตอบว่าใช่. เขาพูดว่าเขาอยากจะช่วยชำระส่วนนั้น. ดิฉันบอกว่าดิฉันไม่อาจจะให้เขาทำเช่นนั้นได้. เขาได้จัดการเพื่อให้ดิฉันได้พบกับพี่น้องในประชาคมของเรา. พี่น้องเหล่านั้นพูดว่า “ถ้าเขาต้องการ ก็ให้เขาทำเถอะ. อย่าต่อสู้พระวิญญาณของพระยะโฮวา.” ดังนั้นรถคันนั้นจึงได้รับการชำระหนี้จนหมด. คุณพ่อคุณแม่ดิฉันหัวเสียมากกระนั้นก็ยังทึ่งที่มีใครคนหนึ่งได้ทำเช่นนั้น. เรามุ่งสู่เคนทักกีในวันรุ่งขึ้น.
เมื่อเราไปถึงมิดเดิลสเบรอ เราได้รับห้องพักอาศัยซึ่งอยู่ด้านหลังหอประชุมเก่า. ห้องไม่มีฉนวนกันความเย็น. ทำให้อากาศหนาวเย็นมากในฤดูหนาว. ห้องนั้นยังคงหนาวเย็นแม้แต่ในช่วงฤดูร้อน แต่พวกเราก็ดีใจที่มีห้องพักเนื่องจากเราไม่สามารถจ่ายค่าเช่าได้. เรามีเพียงเครื่องทำความร้อนขนาดเล็ก ๆ เครื่องหนึ่ง. ในช่วงฤดูหนาวเราใส่เสื้อผ้าหลายชั้น กระทั่งตอนเข้านอน. บางครั้งในตอนเช้ามีแผ่นน้ำแข็งเกาะเต็มพื้นห้อง และถุงเท้าเราก็จะติดกับแผ่นน้ำแข็ง. เรามักจะมีค้อนอันหนึ่งในห้องน้ำเอาไว้ทุบน้ำแข็งบนผิวน้ำในโถส้วมเพราะน้ำจะเป็นน้ำแข็งแค่ชั่วข้ามคืน.
คริสกับดิฉันเป็นผู้รับใช้เต็มเวลาได้เพียงห้าเดือน แต่เราก็ได้นำการศึกษาคัมภีร์ไบเบิลหลายรายแล้ว และช่างน่าตื่นเต้นที่ได้อยู่ที่นั่น. พวกเราดีใจมากที่เวลาโดยเฉลี่ยของเราทุกคนเกิน 150 ชั่วโมงต่อเดือนในระหว่างเดือนแรก ๆ ของการเป็นไพโอเนียร์. ดานาต้องการเป็นไพโอเนียร์พิเศษชั่วคราวในช่วงฤดูร้อน ดังนั้นเธอจึงตัดสินใจที่จะไปสำนักงานใหญ่ของพยานฯ ในนิวยอร์ก. เราไม่เคยไปที่นั่นมาก่อน ดังนั้นเราตัดสินใจจะร่วมเดินทางไปกับเธอ. ระหว่างที่เราอยู่ที่นั่น ดานาไปที่แผนกการรับใช้ และเราก็ไปกับเธอ. ด้วยความประหลาดใจ พวกเขามอบหมายให้เราทั้งสามเป็นไพโอเนียร์พิเศษ.
คุณพ่อไม่รักษาคำพูดใช้ข้อคัมภีร์แบบผิด ๆ
ในเดือนที่ดิฉันเริ่มต้นเป็นไพโอเนียร์พิเศษ ซาตานได้เพิ่มความพยายามของมันในการทำให้ดิฉันอ่อนลง. ดิฉันได้รับใบแจ้งหนี้แสดงรายการจากธนาคารซึ่งแจ้งว่าดิฉันต้องเริ่มจ่ายเงิน 32.80 เหรียญต่อเดือนสำหรับค่าเล่าเรียนในวิทยาลัย. นี่เป็นสิ่งที่คาดไม่ถึง เพราะคุณพ่อคุณแม่เคยบอกดิฉันเสมอมาว่าท่านจะจ่ายค่าเล่าเรียนในวิทยาลัยให้หากดิฉันยังคงเรียนได้ในระดับที่ดีเยี่ยม ซึ่งดิฉันก็ได้ทำ. ดิฉันเขียนไปหาคุณพ่อและขอร้องท่านอย่ามองดูดิฉันในฐานะพยานพระยะโฮวาคนหนึ่งในเรื่องนี้แต่มองดูดิฉันในฐานะลูกสาวของท่าน. ดิฉันเตือนความจำท่านด้วยท่าทีที่แสดงความรักเกี่ยวกับข้อตกลงที่เราเคยทำเรื่องการศึกษาของดิฉัน ที่ว่าหากดิฉันทำคะแนนให้อยู่ในเกณฑ์ที่ท่านเรียกร้อง ท่านจะจ่ายค่าเล่าเรียนให้ดิฉันโดยตลอด. ดิฉันขอร้องว่าโปรดอย่าวางภาระหนักนี้ให้ดิฉันเพราะมันเป็นเรื่องยากมากสำหรับดิฉันที่จะชำระค่าเล่าเรียนต่อไป เนื่องจากดิฉันมีรายได้เพียงเดือนละ 50 เหรียญเท่านั้น ซึ่งเป็นเงินที่ดิฉันใช้ยังชีพ. การจ่ายเงิน 32.80 เหรียญต่อเดือนจะทำให้ดิฉันเหลือเพียง 17.20 เหรียญสำหรับการยังชีพเท่านั้น.
คุณพ่อตอบจดหมายดิฉันด้วยข้อพระคัมภีร์ข้อหนึ่ง. ท่านเขียนว่า “เนื่องจากลูกมักจะใช้คัมภีร์ไบเบิลเสมอ จะว่าอย่างไรกับข้อพระคัมภีร์นี้ล่ะ ‘ถ้าผู้หนึ่งผู้ใดไม่คิดจะทำการ ก็อย่าให้เขากิน.’ ลูกไม่ได้ใช้การศึกษาเล่าเรียนของลูกให้เป็นประโยชน์อะไรเลย เพราะฉะนั้นลูกก็ต้องจ่ายส่วนนี้ให้กับธนาคาร.”—2 เธซะโลนิเก 3:10.
เมื่อดิฉันได้รับจดหมายทั้งสั้นและห้วนนั้น ทำให้ดิฉันปวดร้าวมาก. ดิฉันเข้าไปในรถ ขับไปยังที่แห่งหนึ่งตามลำพัง และร้องไห้เพราะดิฉันไม่รู้จะทำอย่างไร. แล้วดิฉันก็หยุดร้องและรู้สึกโกรธ. ดิฉันตระหนักว่าไม่ใช่คุณพ่อคุณแม่ที่ได้ต่อต้านดิฉันแต่เป็นซาตานต่างหาก. ดิฉันตะโกนใส่ซาตานไล่มันไปจากดิฉัน มันไม่มีทางชนะ มันไม่มีทางทำให้ดิฉันออกจากงานไพโอเนียร์ได้สำเร็จ.
ความลำบากมากมาย พระพรมากล้น
ดิฉันรับงานที่ทำไม่เต็มเวลา ทำงาน 20 ชั่วโมงต่อสัปดาห์—11 ชั่วโมงในวันหนึ่งสลับกับ 9 ชั่วโมงในวันถัดมา—และดิฉันยังคงเป็นไพโอเนียร์พิเศษต่อไป. ดิฉันเรียนรู้วิธีใช้ร้านขายของเก่าให้เป็นประโยชน์อย่างรวดเร็ว. เสื้อผ้าอาภรณ์ของดิฉันสำหรับฤดูหนาวซึ่งประกอบด้วยกระโปรงสี่ตัวราคาหนึ่งเหรียญ. เสื้อคลุมกันหนาวราคา 1.50 เหรียญ. ดิฉันทำงานขัดถูพื้นเพื่อสามารถซื้อรองเท้าบูตราคา 20 เหรียญสักคู่หนึ่งได้. พวกเราทุกคนต่างต้องดิ้นรน. เพื่อพยายามสะสมเงิน ดิฉันจึงเปิดบัญชีออมทรัพย์. บางครั้งดิฉันจะฝากเงินไว้ 25 เซ็นต์แล้วก็ถอนออกมาสำหรับค่าน้ำมันรถ. ดิฉันคิดว่าพนักงานการเงินของธนาคารคงไม่ชอบนักที่เห็นดิฉันเข้ามาหา. ในที่สุดพวกเขาก็ปิดบัญชีของดิฉัน—มักจะมีเงินอยู่น้อยมากในบัญชี. ดิฉันจะเข้าปั๊มน้ำมันที่มีพนักงานบริการและเติมน้ำมัน 25 เซ็นต์. หลังจากนั้นสักระยะหนึ่งดิฉันคิดว่าพนักงานในปั๊มคงจะอิดหนาระอาใจทุกครั้งที่ดิฉันนำรถเข้าปั๊ม. บางครั้งเราไม่มีค่าน้ำมันรถเลย. หลายครั้งที่เราจะเข้าไปในรถ โดยรู้อยู่แก่ใจว่ามีน้ำมันในถังน้อยมากแต่ก็รู้ด้วยว่าเรามีการศึกษาคัมภีร์ไบเบิลที่ต้องไป. บางครั้งเมื่อเราไปยังที่ทำการไปรษณีย์ ในจดหมายของเรา เราจะพบเงินหนึ่งเหรียญจากใครคนหนึ่ง ซึ่งเพียงพอที่จะประทังอยู่ได้. ท่ามกลางปัญหาทั้งมวล เราสามารถเห็นการทรงนำของพระยะโฮวาในชีวิตของเรา. ช่างน่าประทับใจจริง ๆ.
ดิฉันจำได้ว่าเคยเก็บขวดเก่าขายเพียงเพื่อซื้อแสตมป์ติดจดหมาย. ดิฉันเก็บเงินอยู่สามเดือนเพื่อซื้อรองเท้าคู่หนึ่งราคา 8 เหรียญ. แล้วสิ่งที่เป็นเรื่องส่วนตัวมากที่สุดก็เกิดขึ้นกับดิฉัน. ดิฉันเหลือชุดชั้นในเพียงสองชุดเท่านั้น. ดิฉันอธิษฐานถึงพระยะโฮวาและทูลพระองค์ว่าดิฉันรู้สึกว่าไม่ค่อยเหมาะเท่าใดนักที่จะอธิษฐานถึงสิ่งนี้ แต่ดิฉันไม่ทราบว่าจะทำอย่างไรต่อไป. สองสัปดาห์ต่อมา ดิฉันได้รับห่อบรรจุกางเกงใน 17 ตัว, กระโปรงชั้นใน, เสื้อ, และรายการอื่น ๆ อีก! ทั้งหมดนี้มาจากผู้ที่ดิฉันไม่ได้ข่าวคราวมาร่วมปี.
ปัญหาหลักประการหนึ่งในท้องที่นั้นก็คือการขายเหล้าเถื่อน. เนื่องจากการกระทำผิดกฎหมายของพวกเขา ผู้คนในบางเขตทำงานจึงเป็นคนถือพวกพ้องและระแวงคนแปลกหน้า. ถึงกระนั้น ดิฉันก็มีรายศึกษาหลายราย และจบลงด้วยการทำงานรับใช้ตามบ้านโดยลำพังประมาณ 25 ชั่วโมงต่อสัปดาห์. ดิฉันไม่เคยรู้สึกใกล้ชิดพระยะโฮวามากเท่าเวลานั้นเลยเพราะดิฉันต้องวางใจในพระองค์โดยสิ้นเชิง. คุณเรียนรู้ว่าไม่ใช่สิ่งที่คุณมีอยู่หรอกแต่สัมพันธภาพของคุณกับพระยะโฮวาต่างหากที่มีความสำคัญ. คุณเรียนรู้ว่าสิ่งฝ่ายวัตถุไม่ได้ทำให้คุณมีความสุข พระยะโฮวาต่างหากที่ทำให้คุณมีความสุข.—ลูกา 12:15.
ดิฉันได้ครอบครัวใหม่ที่แสดงความรัก
เดือนที่ดิฉันชำระหนี้ค่าเล่าเรียนในวิทยาลัยหมดนั้นเองเป็นเดือนที่ดิฉันได้พบกับว่าที่สามีและเพื่อนที่ดีที่สุด เจ็ฟ มาโลน. เขาอยู่ในเบเธล และหนึ่งปีต่อมาเราก็แต่งงานกัน. เมื่อดิฉันแต่งงานกับเจ็ฟ ดิฉันไม่ได้แต่งงานกับเขาเท่านั้นแต่ยังได้คุณแม่, น้องสาว, และลุงของเขา ผู้ซึ่งดิฉันรักมาก. ความรักต่อพระยะโฮวาที่พวกเรามีร่วมกันทำให้เรากลมเกลียวกันยิ่งกว่าความผูกพันใด ๆ. เจ็ฟและดิฉันได้รับมอบหมายให้เป็นไพโอเนียร์พิเศษในเมืองยูเนียน รัฐเทนเนสซี. เราอยู่ที่นั่นเพียงสี่เดือนเมื่อเราสมัครเข้าเบเธลและได้รับการตอบรับ.
เราออกจากเบเธลในปี 1980 และ เมแกน ลูกสาวของเราก็เกิดปลายปีนั้น. ลูกชายของเรา เจ. ที. เกิดในปี 1983. เวลานี้เจ็ฟและดิฉันกำลังรับใช้ในฐานะไพโอเนียร์ประจำร่วมกับประชาคมฟอเรสต์ฮิลล์ในฟอร์ตเวิร์ธ รัฐเท็กซัส.
เราตัดสินใจว่าเราจะทำทุกสิ่งที่ทำได้เพื่อให้ลูก ๆ ของเราเติบโตขึ้นพร้อมด้วยความรักต่อพระยะโฮวา. แม้ว่าเจ็ฟรับใช้ในฐานะผู้ปกครอง เขาจัดผลประโยชน์ฝ่ายวิญญาณของครอบครัวเรามาเป็นอันดับแรกเสมอ. เราติดตามคำแนะนำของสมาคมฯ ในเรื่องการเข้าร่วมประชุมเป็นประจำ, การอ่านให้ลูก ๆ ฟัง, การเข้าส่วนในงานรับใช้ตามบ้าน, การพิจารณาข้อคัมภีร์ประจำวัน, และการไปร่วมโครงการก่อสร้างหอประชุมราชอาณาจักร. เราทั้งสองมักจะใช้เวลากว่าชั่วโมงในการพาลูก ๆ เข้านอน—ร้องเพลงให้ฟัง, อ่านเรื่องราวจากคัมภีร์ไบเบิลให้ฟัง, กล่าวคำอธิษฐานกับเขาทีละคน. เป้าหมายของครอบครัวเราก็คือทุกคนอยู่ในงานรับใช้เต็มเวลาด้วยกัน. เรื่องหนึ่งที่เรามีความรู้สึกอันแรงกล้าตลอดหลายปีที่ผ่านมาก็คือ—การแนบสนิทกันฐานะเป็นครอบครัว, การทำสิ่งต่าง ๆ เป็นครอบครัว, ทั้งในการทำงานและการเล่น.
เมื่อมองย้อนกลับไป ดิฉันรับรองได้ว่าท่านดาวิดแสดงออกอย่างถูกต้องเมื่อท่านกล่าวว่า “ข้าพเจ้าจะสนองพระเดชพระคุณแก่พระยะโฮวา ตอบแทนคุณที่ทรงประทานแก่ข้าพเจ้านั้นอย่างไรได้?” (บทเพลงสรรเสริญ 116:12) ไม่มีอะไรที่ซาตานทำได้ซึ่งพระยะโฮวาไม่อาจแก้ไขได้. ดิฉันมีครอบครัวที่รักใคร่กลมเกลียวซึ่งมีเจ็ฟและเมแกนกับ เจ. ที. ทุกคนพร้อมเพรียงกันในการรับใช้พระยะโฮวา และนอกจากนั้น ดิฉันยังมีครอบครัวในระดับโลกอันวิเศษสุดเพราะการเป็นส่วนหนึ่งแห่งองค์การของพระยะโฮวา. นี่เป็นสิ่งที่ดิฉันจะรู้สึกขอบพระคุณตลอดไป.—เล่าโดย คาเร็น มาโลน.
[รูปภาพหน้า 23]
คาเร็นกับสามีและลูกสองคนของเธอ