การเข้าใกล้พระเจ้าช่วยดิฉันให้รับมือได้
ดิฉันไม่เคยมีความสนใจในเรื่องศาสนา. สำหรับดิฉันแล้วองค์การศาสนาทั้งหมดดูเหมือนหน้าซื่อใจคด. ดิฉันไม่เห็นว่าศาสนาทำประโยชน์ต่อผู้คน มีแต่จะทำให้ไม่ยอมกัน. ตอนนั้นเป็นช่วงปลายทศวรรษปี 1960. ประธานาธิบดีท่านหนึ่งของสหรัฐเพิ่งถูกลอบสังหาร และผู้คนนับพัน ๆ กำลังตายไปเนื่องจากสงครามในเวียดนาม. โลกยุ่งเหยิงไปหมด. ตัวดิฉันเองกำลังประสบมรสุมชีวิต. เป็นไปได้อย่างไรว่าจะมีพระเจ้าผู้ซึ่งห่วงใยดิฉันหรือมนุษยชาติ?
ตอนนั้นดิฉันอายุ 27 ปีแต่งงานแล้วและมีลูกเล็ก ๆ สองคน ทั้งยังทำงานเต็มเวลาในสถาบันบำบัดผู้ป่วยโรคจิต เมื่อเพื่อนบ้านคนหนึ่งเริ่มคุยเรื่องคัมภีร์ไบเบิลให้ฟัง. ดิฉันประหลาดใจที่ตัวเองรับฟัง. เธอพูดถึงเรื่องหนึ่งซึ่งเธอเรียกว่าสมัยสุดท้าย. เธอพูดไม่เหมือนคนอื่น ๆ และดิฉันเองก็ต้องการคำตอบ. เธอฝากหนังสือชื่อความจริงซึ่งนำไปสู่ชีวิตถาวรไว้ให้ดิฉันอ่าน. ดิฉันอ่านจบในคืนเดียว เปิดดูข้อคัมภีร์ทุกข้อ และนึกอยู่ในใจว่า ‘ฉันได้พบความจริงแล้ว จริง ๆ หรือนี่?’
ถ้าเป็นจริงดังว่า ก็จะเป็นปัญหาสำหรับดิฉัน. ดิฉันเกิดมาในครอบครัวคนยิว มีสามียิวและลูกเล็ก ๆ สองคน และมีญาติ ๆ เป็นยิว. ดิฉันทราบดีว่าพวกเขาจะต้องไม่พอใจแน่ ๆ หากจะมาเป็นพยานพระยะโฮวาคนหนึ่ง. ดิฉันเองไม่ต้องการทำลายจิตใจของคนในครอบครัวโดยใช่เหตุ จึงต้องแน่ใจจริง ๆ. ดิฉันก็เลยเริ่มต้นอ่านสรรพหนังสือด้านคัมภีร์ไบเบิลอย่างตะกรุมตะกราม. ภายในหนึ่งสัปดาห์จึงมั่นใจว่านี่คือความจริง. นั่นเป็นสิ่งที่ดิฉันจะต้องเรียนรู้. ดิฉันจึงเริ่มศึกษากับพยานพระยะโฮวา. ภายในไม่กี่สัปดาห์ก็เริ่มให้คำพยานแก่ทุกคน. ดิฉันตื่นเต้นที่ได้มารู้ว่าพระนามของพระเจ้าคือยะโฮวา, ที่ว่าพระองค์ทรงใฝ่พระทัยในตัวดิฉันและมวลมนุษยชาติ, และที่ว่าชีวิตนิรันดร์ในอุทยานบนแผ่นดินโลกนั้นเป็นไปได้. ดิฉันได้รับบัพติสมาในวันที่ 12 มิถุนายน 1970.
เป็นไปดังคาด ครอบครัวดิฉันรวมทั้งญาติฝ่ายสามีไม่พอใจอย่างยิ่ง และบางคนก็ได้ปฏิเสธดิฉัน. สามีก็ศึกษาบ้างหยุดบ้างเป็นเวลาหลายปีแต่ไม่ได้เข้ามาเป็นผู้เชื่อถือ. อย่างไรก็ตาม ลูก ๆ ของดิฉันได้เข้ามาเป็นพยานพระยะโฮวา. ตั้งแต่ต้น ดิฉันต้องการเป็นผู้เผยแพร่เต็มเวลา ประกาศข่าวดีเรื่องราชอาณาจักรของพระเจ้าไปตามบ้าน. แต่ดิฉันมีครอบครัวที่กำลังเติบโตอีกทั้งสามีที่ไม่เชื่อถือ. แม้ดิฉันจะทำงานทั้งวันเราก็ไม่วายสูญเสียบ้านไปสองหลังเพราะผ่อนส่งไม่ทัน และหลายครั้งเราไม่มีที่อาศัย. ชีวิตตอนนั้นลำเค็ญจริง ๆ.
ครั้งหนึ่งบ้านของเราที่นำไปจำนองถูกยึด. เราต้องออกจากบ้านนั้นภายในเที่ยงวันของวันอาทิตย์ และเราไม่มีที่ ๆ จะไป. ดิฉันทำทุกสิ่งที่ทำได้ และในที่สุดเช้าวันเสาร์ หนึ่งวันก่อนถึงกำหนดออก ดิฉันตัดสินใจทำตามคำตรัสของพระเยซูที่มัดธาย 6:33—คือแสวงหาราชอาณาจักรเป็นอันดับแรกและคอยท่าพระยะโฮวาที่จะประทานสิ่งต่าง ๆ อันจำเป็นให้. ดิฉันออกไปเผยแพร่. ดิฉันจำได้ว่าร้องไห้เพราะความกดดันเนื่องจากสภาพการณ์ในครั้งนั้น แต่ภายในห้านาทีก็รู้สึกดีขึ้น. ดิฉันพบเสมอมาว่างานประกาศก่อผลดี ช่วยยกชูดิฉันขึ้นเหนือปัญหาต่าง ๆ ของตัวเอง และพระวิญญาณของพระยะโฮวาช่วยให้ดิฉันเป็นสุขและบังเกิดผลและทำให้ชีวิตมีความหมาย. อย่างไรก็ตาม เมื่อกลับถึงบ้านวันนั้น เราก็ยังไม่มีที่ ๆ จะไป แต่ดิฉันรู้สึกสบายขึ้น.
เย็นวันนั้นเราได้รับโทรศัพท์จากบริษัทบ้านและที่ดินซึ่งกำลังช่วยจัดการตามความต้องการของเรา. ตอนนั้นเป็นเวลาห้าทุ่มครึ่ง และเขารู้สึกเป็นห่วงพวกเรามากที่ไม่มีที่จะไป เขาจึงหาที่อยู่ชั่วคราวให้เราจนกว่าบ้านที่เราคาดว่าจะได้นั้นแล้วเสร็จ. ดังนั้นเพื่อนพยานฯ ของดิฉันจึงช่วยกันขนย้ายครอบครัวเราไปยังบ้านนั้นในวันอาทิตย์. เราอยู่ที่บ้านนี้เป็นเวลาสามสัปดาห์โดยข้าวของยังอยู่ในกล่อง และในที่สุดย้ายเข้าบ้านของเราเมื่อบ้านนั้นแล้วเสร็จ. มันไม่ง่ายนักหรอก แต่พระยะโฮวาทรงจัดหาสิ่งจำเป็นให้เรา. การจัดเตรียมนี้เกื้อหนุนมากและเสริมสร้างความเชื่อของดิฉัน. เป็นดังที่กษัตริย์ดาวิดได้กล่าวไว้ในบทเพลงสรรเสริญ 37:25 ที่ว่า “ตั้งแต่ข้าพเจ้าเป็นคนหนุ่ม จนบัดนี้เป็นคนชราแล้ว ข้าพเจ้าก็ยังไม่เคยเห็นคนสัตย์ธรรมต้องถูกละทิ้งเสีย ไม่เคยเห็นพงศ์พันธุ์ของเขาขอทาน.”
มีปัญหาหลายอย่างในการบริหารการเงินของครอบครัว. บางครั้งดิฉันต้องเป็นฝ่ายจัดการด้านการเงินจนทุกสิ่งเรียบร้อย. ในช่วงเวลาหลายปีเหล่านี้ดิฉันพยายามสุดชีวิตที่จะไม่ให้การสมรสเกิดแตกแยก โดยเฉพาะอย่างยิ่งเนื่องจากความรักที่ดิฉันมีต่อพระยะโฮวา และการที่พระองค์ทรงมองการจัดเตรียมเรื่องการสมรสว่าสำคัญ และในส่วนลึกดิฉันมีความหวังว่าสามีจะทำการเปลี่ยนแปลงและเข้ามาในความจริง.
ดิฉันอธิษฐานเสมอเรื่องการเป็นไพโอเนียร์ประจำ และจะสมัครเป็นไพโอเนียร์สมทบทุกครั้งที่สบโอกาส.a ดิฉันรู้ว่างานประกาศเป็นงานที่ดีที่สุดและสำคัญที่สุดที่ควรจะใช้ชีวิตในทางนั้น. ดิฉันรักพระยะโฮวาและต้องการจะรับใช้พระองค์สุดจิตวิญญาณ. ดิฉันรักผู้คนเช่นกันและอยากช่วยพวกเขา. ชีวิตที่ยากลำบากของดิฉันทำให้หยั่งรู้ว่าหลักการต่าง ๆ แห่งคัมภีร์ไบเบิลมีประโยชน์เพียงไรและทราบดีว่าผู้คนต้องการความหวังที่ราชอาณาจักรเสนอให้. แต่ดิฉันก็กลัวว่าครอบครัวจะไปไม่รอดถ้าดิฉันเลิกทำงาน. ทั้ง ๆ ที่สภาพในขณะนั้นเกือบไม่รอดอยู่แล้ว.
ดิฉันกรีดร้อง คนข่มขืนหนี
ครั้นแล้วมีบางสิ่งเกิดขึ้นในชีวิตที่ทำให้มีความเชื่อมั่นว่าพระยะโฮวาจะทรงดูแลเอาใจใส่ดิฉันเสมอ. มีคนบุกรุกเข้ามาในบ้านและพยายามจะข่มขืนดิฉัน. เขาจู่โจมขณะที่ดิฉันนอนหลับ และเมื่อดิฉันตกใจตื่น เขาขู่ว่าจะฆ่าหากร้องหรือกระดิกตัว. แม้จะตกใจสุดขีด พระยะโฮวาก็ทรงช่วยให้ดิฉันสงบอารมณ์และตั้งสติที่จะอธิษฐานและใคร่ครวญทางเลือกทุกอย่าง. ดิฉันทราบว่าคัมภีร์ไบเบิลพูดอย่างไรเรื่องการกรีดร้อง แต่ก็มีความรู้สึกเช่นกันว่าเขาคงจะฆ่าดิฉันหากกรีดร้องออกมา และลูก ๆ ก็จะตื่นและถูกฆ่าเช่นกัน. ดิฉันแวบเห็นชื่อตัวเองในข่าวมรณกรรมและอธิษฐานขอพระยะโฮวาคุ้มครองลูก ๆ หากดิฉันตายไป. แต่ถึงจะต้องตาย ดิฉันก็ได้ทำตามที่คัมภีร์ไบเบิลกล่าวแนะไว้—ดิฉันกรีดร้อง. (พระบัญญัติ 22:26,27) คนข่มขืนได้วิ่งหนีไป. ดิฉันคิดจริง ๆ ว่าคืนนั้นคงตายแน่. ดิฉันเข้าใกล้ชิดยิ่งขึ้นกับพระยะโฮวา.
ดิฉันลาออกจากงานและเริ่มเป็นไพโอเนียร์ประจำในปี 1975. ดิฉันเป็นไพโอเนียร์อยู่หกปี และสามีเป็นคนหาเงินค่าใช้จ่าย. อย่างไม่น่ายินดี ดิฉันเกิดเป็นโรคเบาหวานขึ้นมาขณะอายุยังไม่มาก และมีช่วงหนึ่งที่เจ็บป่วยอย่างหนัก. เพื่อที่จะรับมือต่อไปดิฉันได้หมายพึ่งพระยะโฮวายิ่งขึ้น. แม้ว่าสภาพการณ์จะเป็นเช่นนี้ก็ตาม ช่วงเวลานั้นนับได้ว่าดิฉันเป็นสุขที่สุดและบังเกิดผลมากที่สุดเท่าที่ได้ประสบจนกระทั่งเวลานั้น. พระยะโฮวาทรงอวยพระพรให้ดิฉันมีนักศึกษาคัมภีร์ไบเบิลหลายรายที่ได้ก้าวหน้าถึงขั้นรับบัพติสมา. บางคนได้ก้าวหน้าต่อไปถึงขั้นเป็นไพโอเนียร์.
และแล้วในปี 1980 ชีวิตคู่ของเราก็จบสิ้น. การแตกแยกเกิดขึ้นระหว่างสามีกับดิฉัน. ลูก ๆ ว้าวุ่นใจมาก ดังนั้นดิฉันจึงพยายามที่จะกู้การสมรสของเราเพื่อเห็นแก่ลูก ๆ แต่สามีไม่ตอบสนองความพยายามนั้น. ณ จุดนี้ ดิฉันก็ได้รู้ว่าถึงเวลาที่จะหย่ากับเขาตามหลักการในคัมภีร์ไบเบิล. การจากไปของเขาก่อความเสียหายอย่างหนักต่อลูก ๆ ของดิฉัน.
ในสภาวะนี้ดิฉันยังคงตะเกียกตะกายเป็นไพโอเนียร์ต่อไปและสามารถยึดงานนี้ไว้ได้ประมาณหนึ่งปี. อย่างไรก็ตาม เนื่องจากไม่อาจรับมือกับสถานการณ์นั้น ลูกสาวดิฉันจึงเริ่มคัดค้านทุกสิ่ง รวมทั้งตัวดิฉันและความจริง. ดิฉันได้เลิกเป็นไพโอเนียร์ในช่วงนี้เพราะความประพฤติของเธอ. สิ่งนี้ทำให้ดิฉันชอกช้ำใจ เสมือนหนึ่งสายใยชีวิตถูกตัดขาด. ดิฉันรู้สึกเดียวดายเหลือเกิน เหมือนกับสูญสิ้นทุกอย่างนอกจากพระยะโฮวา.
ประมาณช่วงเวลานี้พระยะโฮวาทรงประทานพี่น้องฝ่ายชายสองคนผู้เปี่ยมด้วยความรักผู้ซึ่งช่วยดิฉันมากเกินกว่าที่เขาจะมีทางรู้ได้. คนหนึ่งเป็นผู้ดูแลเดินทาง และอีกคนเป็นผู้ปกครองจากอีกประชาคมหนึ่งซึ่งรู้จักสภาพการณ์ของเราเป็นอย่างดี เนื่องจากเคยศึกษากับสามีดิฉัน. ดิฉันขอบพระคุณพระยะโฮวาไม่หยุดหย่อนสำหรับพี่น้องเหล่านี้ซึ่งเป็นของประทานในลักษณะมนุษย์. พวกเขาจะเป็นที่รักยิ่งของดิฉันเสมอ.
ไม่นานหลังจากนั้น ลูกสาวดิฉันก็ได้สมรสกับผู้ที่ไม่อยู่ในความจริงขณะอายุยังน้อยมาก. สิ่งนี้ทำให้ครอบครัวเราแตกสลาย และก่อความสิ้นหวังสุดแสน. จากนั้นไม่นานลูกชายก็ได้แยกออกไปอาศัยอยู่ต่างหาก. ดิฉันอธิษฐานเสมอขอพระยะโฮวาทรงช่วยครอบครัวเราให้อยู่ในความจริงตลอดรอดฝั่ง. พวกเขามีค่ามากต่อดิฉัน และสิ่งเดียวที่ดิฉันปรารถนาจนใจจะขาดคือที่พวกเขาจะคงอยู่กับพระยะโฮวา. ตลอดชีวิตที่อยู่ในความจริงดิฉันทูลขอเพื่อสิ่งนี้เสมอ. ช่วงเวลาตอนนั้นแย่ยิ่งกว่าตลอด 20 ปีที่อยู่กินกับสามี—ซึ่งปีเหล่านั้นก็แย่มากอยู่แล้ว. อย่างไรก็ตาม ดิฉันทราบว่าถึงอย่างไรพระยะโฮวาจะช่วยเราไม่ทางใดก็ทางหนึ่งให้ผ่านเหตุการณ์เหล่านี้ และแม้จะต้องสูญเสียอะไรไปก็ตาม ดิฉันจะต้องทำตามพระทัยประสงค์ของพระองค์.
ดิฉันจำเหตุการณ์ครั้งหนึ่งได้ดี. ตอนนั้นยังเป็นไพโอเนียร์อยู่ และเราไม่มีเงินเลย แต่จำเป็นต้องใช้เงินราว 1,750 บาทเพื่อเป็นค่ายังชีพตลอดสัปดาห์นั้น และเป็นค่ารถเดินทางไปทำงานสำหรับสัปดาห์ถัดไป. ดิฉันได้ทำงานเป็นลูกจ้างชั่วคราวอยู่สองวัน. ปกติดิฉันต้องรอราวหนึ่งสัปดาห์ก่อนที่จะได้ค่าจ้าง—ประมาณ 1,000 บาท. ดิฉันไม่มีเงินค่าอาหาร ค่าเดินทางยิ่งไม่ต้องพูดถึง. คืนต่อมาดิฉันไปสอนพระคัมภีร์หญิงคนหนึ่งซึ่งเธอก็ได้ช่วยออกค่าโดยสารรถไฟใต้ดินให้.
วันรุ่งขึ้นเป็นวันศุกร์. ดิฉันออกไปเปิดตู้จดหมาย และพบจดหมายสองฉบับ. ฉบับหนึ่งบรรจุเช็คเงินที่ดิฉันคาดว่าจะได้รับสัปดาห์ถัดไป. เช็คใบนี้ส่งถึงธนาคารในเมืองและทางธนาคารได้เข้าบัญชีให้ภายในไม่ถึงสามวัน. ดิฉันตะลึงงันไปหมด. แต่ก็ยังต้องมีอีก 725 ถึง 750 บาทจึงจะไปรอด. ในอีกซองหนึ่งมีเช็คมูลค่า 725 บาท พอดีกับความต้องการของดิฉัน. สิ่งที่น่าแปลกจริง ๆ ก็คือในเดือนกุมภาพันธ์ของปีนั้นทางรัฐบาลได้จ่ายเงินช่วยค่าน้ำมันทำความอบอุ่นบ้านให้แก่ดิฉัน. ตอนนี้เป็นเดือนสิงหาคม และทางการได้ตกลงว่าเขาเป็นหนี้ดิฉัน 725 บาท—ในเดือนสิงหาคม สำหรับการทำความอบอุ่นบ้านหรือ? ทำไมพวกเขาจึงคิดว่าเขาเป็นหนี้สิ่งใด ๆ แถมยังเป็นค่าน้ำมันในเดือนสิงหาคมด้วยซ้ำ? ช่างเป็นการเสริมสร้างความเชื่ออะไรเช่นนี้!
สิ่งฝ่ายวัตถุไม่ใช่ทางแก้
ดิฉันเริ่มทำงานอาชีพเต็มเวลาและเรียนใช้คอมพิวเตอร์ในงานที่ทำ. หลายปีที่ดิฉันไม่ได้เป็นไพโอเนียร์เป็นช่วงที่ยากลำบากจริง ๆ. แม้ว่ามีหน้าที่การงานดีเยี่ยมและมีความมั่นคงทางการเงินและสิ่งต่าง ๆ ฝ่ายวัตถุ ดิฉันก็ยังขาดความสุข. ลูก ๆ ต่างคนต่างอยู่และกำลังเผชิญปัญหาต่าง ๆ ที่ยุ่งยากมาก. ลูกสาวดิฉันเริ่มกลับมาหาความจริงแต่ก็ยังมีปัญหาหลายอย่าง. ลูกชายดิฉันก็เผชิญปัญหาเช่นกัน. หลังจากระยะเวลาหนึ่ง ดิฉันมีความรู้สึกว่ากำลังสูญเสียสายสัมพันธ์ที่แนบแน่นกับพระยะโฮวาซึ่งดิฉันเฝ้าถนอมที่สุด. ดิฉันรู้ตัวว่ากำลังลอยห่างออกไปจากพระยะโฮวาแม้คนอื่น ๆ จะไม่สังเกต. ดิฉันเข้าร่วมประชุมทุกรายการ, ทำการศึกษาค้นคว้า, ออกเผยแพร่ แต่ยังไม่เพียงพอ. ดิฉันพยายามสมาคมคบหากับเพื่อน ๆ ให้มากขึ้น แต่นั่นก็ไม่ได้ช่วยอะไร.
ดิฉันเริ่มรู้สึกสงสารตัวเอง. ดิฉันหันมาสนใจและคิดนึกถึงตัวเอง. ฉันน่าจะได้อะไร ๆ ดีกว่านี้มิใช่หรือ? ประจักษ์ชัดว่านี่เป็นความคิดแบบที่ซาตานต้องการทีเดียว. เป็นครั้งแรกที่ดิฉันเริ่มรู้สึกอยากจะคลุกคลีตีโมงกับเพื่อนร่วมงาน. ดิฉันคิดว่า ‘ไม่เป็นไรฉันจะประกาศกับพวกเขา.’ และดิฉันก็ได้ทำ. แต่ในส่วนลึกดิฉันสำนึกว่าจิตใจเริ่มมองข้ามบางสิ่งซึ่งไม่ควรมองข้าม. ปัญหาไม่ได้มาจากภายนอก. เป็นที่ตัวดิฉันเอง. ดิฉันไม่อาจหลบหลีกสติรู้สึกผิดชอบที่ได้รับการฝึกฝนตามหลักการในคัมภีร์ไบเบิล. ดิฉันจึงอธิษฐานถึงพระยะโฮวา.
ดิฉันยังคงทำงานอาชีพเต็มเวลา. ดิฉันคิดว่าจะต้องสละทิ้งความมั่นคงฝ่ายวัตถุที่ตัวเองได้สร้างมา. ดิฉันใช้เวลาเดินทางไปกลับสามชั่วโมงทุกวันจาก ลอง ไอแลนด์ ถึงวอลสตรีท. ใช้เวลามากเกินไป! การเกี่ยวข้องกับชาวโลกเป็นจำนวนมากที่โดยสารรถไฟในแต่ละวันไม่ได้ช่วยอะไรเช่นกัน. ดิฉันเริ่มสนทนากับพวกผู้ปกครองและเข้าร่วมการประชุมใหญ่ ๆ ช่วงสุดสัปดาห์เพื่อช่วยให้สำรวมจิตใจในสิ่งที่สำคัญกว่า. เป็นครั้งแรกในชีวิตที่ดิฉันหมดห่วงเกี่ยวกับสิ่งฝ่ายวัตถุ ดังนั้น ตอนนี้จะต้องไปดิ้นรนอีกทำไมเล่า? หลังจากอธิษฐานอยู่หนึ่งปี และใคร่ครวญอย่างระมัดระวังว่าควรจะทำการเปลี่ยนแปลงหรือไม่ ดิฉันก็ได้ลงมือเปลี่ยนแปลง.
ดิฉันย้ายไปอยู่ในย่าน บรุกลิน ไฮท์ส. ดิฉันเคยเข้าร่วมการประชุมของประชาคมที่นี่และทราบว่าลักษณะทางฝ่ายวิญญาณที่นี่ตรงกับความต้องการของดิฉันพอดี. พยานฯ ผู้ซื่อสัตย์ซึ่งได้ทำงานเผยแพร่เต็มเวลามานานหลายปีมีจำนวนมาก—ทำให้ดิฉันรู้สึกเสมือนคืนสู่เหย้า. ภายในหกเดือนดิฉันก็พร้อมจะเลิกงานอาชีพและทำงานเป็นไพโอเนียร์. ดิฉันรับทำงานบางช่วงของเวลา และในปี 1984 ก็ได้รับการแต่งตั้งเป็นไพโอเนียร์ประจำอีกครั้งหนึ่ง.
ตลอดระยะเวลาหลายปีที่ผ่านไปพระยะโฮวาทรงประทานพระพรที่ดีวิเศษหลายอย่างให้ดิฉัน รวมทั้งบทเรียนหลากหลายอันมีค่า. ดิฉันพยายามคงไว้ซึ่งแง่คิดในทางบวกและมองหาบทเรียนจากทุก ๆ สภาพการณ์อันยากลำบาก. ไม่ใช่สิ่งน่าละอายที่เรามีปัญหาต่าง ๆ ความบาปเกิดขึ้นเพราะไม่เอาหลักการแห่งคัมภีร์ไบเบิลไปใช้เพื่อแก้ปัญหาเหล่านั้น. ที่บรุกลินนี้ ดิฉันไม่ประสบปัญหาเหมือนที่เคยมีตอนแรกเริ่มเข้ามาในความจริง. การเงินไม่เป็นปัญหาอีกต่อไป. สามีที่ไม่อยู่ในความเชื่อก็ไม่เป็นปัญหาอีกเลย. หัวใจของดิฉันได้รับการเยียวยารักษา. ดิฉันได้รับพระพรโดยมีบุตรฝ่ายวิญญาณหลายคน.
แต่ปัญหาและการท้าทายแบบใหม่ ๆ มีอยู่เสมอ. ในปี 1987 มาร์ค ลูกชายดิฉัน ล้มป่วยเป็นโรคประสาทและตรมทุกข์เนื่องจากความซึมเศร้าอย่างรุนแรง แต่พระยะโฮวาทรงชูช่วยเราผ่านเหตุการณ์นั้น. มาร์คกำลังก้าวหน้าอย่างดีในประชาคมของเขา. ส่วนแอนเดรีย ลูกสาวดิฉัน กลับมาหาความจริงและรับบัพติสมาและกำลังเลี้ยงดูบุตรของตนให้เติบโตในความจริง. เนื่องจากเราเข้าไปใกล้ความทุกข์ลำบากใหญ่ยิ่งอย่างรวดเร็ว ดิฉันคาดว่าปัญหาต่าง ๆ จะมีต่อไปและอาจร้ายแรงยิ่งขึ้นด้วยซ้ำ แต่พระยะโฮวาจะอยู่พร้อมเสมอเพื่อช่วยเราเอาชนะไม่ว่าจะเป็นอุปสรรคหรือการท้าทายประการใดก็ตามที่อาจเกิดขึ้น.
แท้จริง พระยะโฮวาทรงช่วยให้ดิฉันประสบชีวิตที่เป็นสุขและบังเกิดผลมาก. ดิฉันมุ่งหวังจะใช้ชีวิตที่ยังเหลืออยู่เฝ้าสนิทชิดใกล้กับพระองค์และทำตามพระทัยประสงค์ของพระองค์.—เล่าโดย มาร์ลีน ปาฟโลว์.
[เชิงอรรถ]
a “งานไพโอเนียร์” คืองานเผยแพร่เต็มเวลา.
[รูปภาพหน้า 19]
มาร์ลีน ปาฟโลว์ ผู้เผยแพร่ข่าวดีเรื่องราชอาณาจักรแบบเต็มเวลา