ได้ยินได้ฟังแต่ครั้งเยาว์วัย
วันหนึ่ง ตอนที่ฉันเป็นเด็กหญิงเล็ก ๆ มีสุภาพบุรุษคนหนึ่งได้แวะมาที่บ้านของเราในเมืองโคเบิร์น รัฐเวอร์จิเนีย สหรัฐอเมริกา และขณะที่เขาสนทนากับพ่อ เพื่อนที่มาด้วยได้ชวนฉันพูดคุยไปให้เพลิน ๆ. เขาพรรณนาให้เห็นภาพแผ่นดินโลกที่เป็นอุทยาน ที่ซึ่งฉันสามารถเล่นกับสัตว์ป่าซึ่งจะไม่ทำอันตรายใด ๆ. (ยะซายา 11:6-9) เขาอธิบายว่าฉันจะไม่ต้องตายเสียด้วยซ้ำ แต่จะดำรงชีวิตอยู่บนแผ่นดินโลกนี้ตลอดไป. ฟังดูอนาคตช่างวิเศษเสียนี่กระไร! ที่ชายผู้นั้นพูดถึงเรื่องการมีชีวิตบนแผ่นดินโลกได้กลายเป็นสิ่งที่ฝังใจฉันอย่างลึกซึ้ง.—ยะซายา 25:8; วิวรณ์ 21:3, 4.
ใฝ่หาศาสนา
พ่อแม่ของฉันซึ่งมีปัญหามากมายในชีวิตสมรสได้หย่าขาดกันในไม่กี่ปีต่อมา และฉันได้อยู่กับแม่. แม่เป็นคนไม่สนใจศาสนาเลย. ดังนั้น ฉันจึงไปโรงเรียนรวีวารศึกษาด้วยตัวเองที่โบสถ์ไหนก็ได้ซึ่งอยู่ไม่ไกลจากบ้าน พอจะเดินไปได้. ไม่นานแม่แต่งงานใหม่ และเราได้ย้ายไปอยู่ในรัฐอินเดียนาพร้อมกับพ่อเลี้ยง. อย่างไรก็ตาม ฉันกลับไปเยี่ยมพ่อที่รัฐเวอร์จิเนียทุก ๆ ฤดูร้อน.
หลังการหย่าได้ไม่นาน พ่อก็หันไปเชื่อลัทธิมอรมอน และท่านพยายามจะปลูกฝังศาสนาที่ท่านเพิ่งพบไว้ในตัวฉัน. ช่วงฤดูร้อนปี 1960 เมื่อฉันอายุแปดขวบ พ่อเป็นผู้ให้บัพติสมาแก่ฉัน. แต่เมื่อฉันอยู่ที่รัฐอินเดียนา ฉันได้เข้าร่วมโบสถ์ไหนก็ได้ที่อยู่ใกล้บ้าน. คริสตจักรทุกแห่งสอนว่าหากเราสร้างคุณความดี เราจะได้ไปสวรรค์ และถ้าเราประพฤติชั่ว เราจะตกนรกแล้วถูกทรมาน. เนื่องจากฉันไม่คิดว่าจะมีใครเข้าใจความรู้สึกของฉันที่ต้องการจะอยู่บนแผ่นดินโลกมากกว่าจะอยู่ในสวรรค์ ฉันจึงไม่ได้บอกให้ใครรู้.
เมื่อฉันอายุ 11 ขวบ พ่อได้ย้ายไปอยู่รัฐออริกอน. ฉันรู้สึกถูกบั่นทอนจิตใจและขุ่นเคืองมาก. พ่อเลี้ยงของฉันเป็นนักอเทวนิยม แถมติดเหล้าด้วย และเขามักจะทำให้ฉันอึดอัดไม่สบายใจเรื่องความเชื่อของฉัน. เขาเรียกฉันอย่างเยาะเย้ยว่าแม่พระน้อยผู้ใจบุญ ครั้นฉันเริ่มร้องไห้ เขาก็ว่า “ทำไมไม่เรียกพระเจ้าของเธอลงมาช่วยล่ะ?” ดูเหมือนไม่มีใครในบ้านสนใจเรื่องพระเจ้า. ชีวิตช่วงนั้นมืดมนยากลำบาก. ฉันถูกทำร้ายทางกาย, ทางวาจา, และทางเพศ. ฉันได้การชูใจเมื่อทูลต่อพระเจ้า เพราะหลายต่อหลายครั้งฉันรู้สึกว่าพระองค์แต่ผู้เดียวทรงใฝ่พระทัยฉัน.
แม่ได้ทิ้งพ่อเลี้ยงไป แล้วการทำร้ายก็เป็นอันยุติลง. แต่เรามีชีวิตอย่างแร้นแค้น และไม่ง่ายที่แม่จะหารายได้ให้พอกับรายจ่ายในการเลี้ยงดูพวกเรา. เมื่อฉันอายุ 13 ปี เราพากันกลับไปหาป้าที่รัฐเวอร์จิเนีย. ป้าเป็นคนใจดี เคร่งศาสนานิกายแบพติสต์. ฉันรักป้ามาก. เมื่อป้าชวนฉันเป็นเพื่อนไปโบสถ์ด้วย ฉันตอบรับ. แม่ก็ยังเคยไปด้วยกัน และฉันจำความรู้สึกตอนนั้นได้ว่าช่างวิเศษเสียจริงที่คนในครอบครัวอยู่กับฉันที่โบสถ์. เมื่อถึงตอนสิ้นสุดของการเยี่ยมเยียน ฉันกลัวจะต้องกลับบ้าน. ฉันหวาดหวั่นว่าถ้าฉันกลับ ฉันอาจจะเข้าไปพัวพันการประพฤติผิดศีลธรรม. ดังนั้น ฉันจึงอ้อนวอนขอป้ารับฉันไว้อยู่ต่อ และแม่ก็ยินยอม.
ป้าซื้อคัมภีร์ไบเบิลฉบับแปลคิง เจมส์ให้ฉันเล่มหนึ่ง. ฉันภูมิใจมากที่ได้เป็นเจ้าของ และทุกคืนฉันจะอ่านส่วนหนึ่งเป็นประจำ. ฉันอ่านในบทสุดท้ายของคัมภีร์ไบเบิลที่ว่า “ถ้าผู้ใดเพิ่มเติมลงในสิ่งเหล่านี้ พระเจ้าจะเพิ่มเติมภัยพิบัติต่าง ๆ ที่เขียนไว้ในหนังสือม้วนนี้แก่เขา.” (วิวรณ์ 22:18, 19, ล.ม.) ดังนั้น ฉันจึงหาเหตุผลว่า “ฉันจะเชื่อได้อย่างไรว่าพระคัมภีร์มอรมอนเป็นส่วนหนึ่งของพระคัมภีร์ศักดิ์สิทธิ์?” ด้วยเหตุนี้ ฉันจึงตัดสินใจถือนิกายแบพติสต์.
แม้ฉันแน่ใจว่าฉันได้ทำร้ายจิตใจของพ่อ ตอนที่ฉันเขียนเล่าให้พ่อฟังถึงการตัดสินใจของฉัน ความคิดเห็นประการเดียวของท่านคือท่านดีใจที่ฉันไปโบสถ์. บ่อยครั้งฉันไปเยี่ยมตามบ้านเรือนกับผู้สอนศาสนานิกายแบพติสต์ เชิญชวนประชาชนมาที่ปะรำการฟื้นฟูความเลื่อมใส. ฉันมีความรู้สึกว่าได้ทำตามพระประสงค์ของพระเจ้าแล้วโดยการออกไปเยี่ยมถึงบ้านประชาชน และสนทนากับเขาดังที่พระเยซูได้กระทำ.
แต่ฉันยังคงไม่วายปรารถนาอย่างแรงกล้าที่จะอาศัยในอุทยานบนแผ่นดินโลก ไม่ใช่ในสวรรค์. แต่แล้วฉันได้อ่านข้อความต่อไปนี้ในคัมภีร์ไบเบิลซึ่งให้ความหวังแก่ฉันดังนี้: “จงขอแล้วจะได้, จงหาแล้วจะพบ, จงเคาะแล้วจะเปิดให้แก่ท่าน. เพราะว่าทุกคนที่ขอก็จะได้, ทุกคนที่แสวงหาก็จะพบ, ทุกคนที่เคาะก็จะเปิดให้เขา.”—มัดธาย 7:7, 8.
ชีวิตสมรสและครอบครัว
ปีต่อมาฉันย้ายกลับไปอยู่กับแม่ในรัฐอินเดียนา. เมื่อฉันมีอายุแค่ 15 ปี ฉันก็แต่งงานแล้วตั้งครรภ์ และเดินทางโดยรถประจำทางมุ่งไปสู่แคลิฟอร์เนียตอนใต้. ฉันไม่คุ้นเคยกับครอบครัวของสามี แต่ก็อยากได้รับการยอมรับจากครอบครัวของเขา. พวกเขาถือนิกายเพนเตคอส และพี่สาวของสามีเล่าให้ฉันฟังเรื่องของประทานเรื่องการพูดภาษาแปลก ๆ ได้. ดังนั้น คืนวันหนึ่งเมื่อฉันไปกับพวกเขาเพื่อประชุมอธิษฐาน ฉันอธิษฐานขอเพื่อตัวเองจะสามารถพูดภาษาแปลก ๆ ได้.
ทันใดนั้นเอง ระหว่างที่ประชุมอยู่ ฉันรู้สึกแปลก ๆ เหมือนมีอะไรบางอย่างครอบงำ. ฉันเริ่มสั่นสะท้านทั่วสรรพางค์ และเริ่มเปล่งเสียงอ้อแอ้ไม่เป็นส่ำโดยไม่อาจหักห้ามลิ้นได้. นักเทศน์ตะโกนลั่นว่าวิญญาณเข้าสวมร่างของฉัน แล้วเขาก็เริ่มตบหลังฉัน. หลังจากนั้น ทุกคนพากันเข้ามาโอบกอดแถมพูดว่าเป็นสิ่งวิเศษปานใดที่พระเจ้าได้ทรงใช้ฉันในทางนี้. แต่ฉันรู้สึกสับสนและหวั่นกลัว. ฉันไม่รู้เลยว่าได้พูดอะไรไปบ้าง.
จากนั้นไม่นาน ระหว่างที่ฉันเจ็บครรภ์จะคลอดลูกคนแรกก็เกิดมีอาการแทรกซ้อนขึ้น. ศิษยาภิบาลแห่งคริสตจักรกล่าวกับสามีของฉันว่าพระเจ้าเพิ่มความเจ็บปวดยามคลอดลูกให้ก็เพราะตัวเขาเองไม่ได้เป็นคริสเตียน. สามีเข้ามาหาฉันด้วยน้ำตาคลอเบ้าแล้วพูดว่า ถ้าฉันคิดว่าการทำเช่นนั้นจะช่วยได้ เขาจะยอมรับศีลจุ่ม. ฉันบอกเขาว่า ฉันเชื่อแน่นอนพระเจ้าไม่ข่มขู่ผู้คนให้ทำการปฏิบัติพระองค์.
ถอนตัวจากคริสตจักร
วันอาทิตย์วันหนึ่ง หลังจากเทศน์จบแล้ว ศิษยาภิบาลได้ขอให้พวกผู้เข้าร่วมชุมนุมที่โบสถ์บริจาค. เนื่องจากแผ่นดินไหวที่เกิดขึ้นไม่นานก่อนหน้านั้นทำให้โบสถ์ได้รับความเสียหายและจำเป็นต้องซ่อมแซม. เมื่อถาดเรี่ยไรผ่านมาถึง ฉันมีเท่าไรก็ได้บริจาคทั้งหมด. หลังจากศิษยาภิบาลได้นับเงินแล้ว แทนที่จะขอบคุณประชาคม เขากลับพูดเตือนสติพวกเขาให้เปิดกระเป๋าและเปิดใจกว้างยิ่งขึ้นเพื่อเหตุอันสมควรครั้งนี้. แล้วเขาก็ส่งผ่านถาดเรี่ยไรอีกครั้งหนึ่ง. ฉันไม่มีเงินเหลือเลย ดังนั้น ด้วยความรู้สึกเขิน ฉันรีบส่งผ่านถาดเรี่ยไรให้คนถัดไป. ศิษยาภิบาลนับเงินอีกครั้งหนึ่ง และก็เหมือนเดิม ไม่ได้กล่าวขอบคุณพวกเขาเลย เพียงแต่บอกว่าได้ไม่พอ. “แน่นอน คงไม่มีใครออกไปจากที่นี่จนกว่าเราได้เงินตามจำนวนที่ต้องการเพื่อนำไปใช้ในงานของพระเจ้า” เขาพูด.
สามีคอยฉันอยู่ข้างนอก และฉันรู้ว่าเขากำลังจะหมดความอดทน. ไม่ใช่มีแต่เขาคนเดียว. ฉันเองก็สุดจะอดกลั้นกับการขาดน้ำใจหยั่งรู้คุณค่าของศิษยาภิบาล. ดังนั้น พร้อมด้วยลูกน้อยในวงแขนและน้ำตาไหลพราก ฉันเดินออกจากโบสถ์ต่อหน้าต่อตาทุกคนที่จ้องมอง. แล้วฉันปฏิญาณว่าจะไม่เกี่ยวข้องกับคริสตจักรอีกต่อไป. ถึงแม้ฉันเลิกไปโบสถ์ แต่ก็ไม่ได้เลิกเชื่อถือพระเจ้า. ฉันยังคงอ่านคัมภีร์ไบเบิลและพยายามประพฤติตนเป็นภรรยาที่ดี.
เรียนรู้ความจริงของคัมภีร์ไบเบิล
หลังจากได้ลูกคนที่สอง เพื่อนของเราซึ่งกำลังจะย้ายไปเท็กซัสได้พูดโน้มน้าวเจ้าของบ้านให้เราเช่าบ้านต่อในหลังที่เขาเคยอยู่. ตอนที่แพตเพื่อนของฉันจะจากไป เธอบอกว่าผู้หญิงคนหนึ่งติดหนี้เธอและจะนำเงินมาชำระภายหลัง. แพตได้ขอให้ฉันจัดการส่งเงินไปให้ที่เท็กซัส. สองสามวันต่อมา สตรีสองคนได้มาเคาะประตูบ้าน. ฉันนึกว่าเป็นคนที่เอาเงินมาใช้หนี้แพต ฉันจึงเชิญเขาเข้ามาในบ้านทันที และชี้แจงว่าแพตย้ายไปแล้ว แต่เธอยังบอกไว้ว่าจะมีคนแวะมา. ชาร์ลีน เพอร์ริน หนึ่งในสองคนนั้นพูดว่า “น่ารักจัง. อันที่จริง เราชอบมากที่ได้ศึกษากับเธอ.”
“อะไรนะคะ?” ฉันถาม. “ศึกษาอะไรกัน? คุณคงต้องเข้าใจผิดเสียแล้ว.” ชาร์ลีนชี้แจงว่าเธอกับเพื่อนได้เริ่มการศึกษาคัมภีร์ไบเบิลกับแพต. ครั้นรู้ว่าแพตได้ย้ายไปแล้ว ชาร์ลีนจึงถามฉันว่าอยากศึกษาคัมภีร์ไบเบิลหรือไม่. “แน่นอน” ฉันตอบอย่างมั่นใจ. “คุณอยากรู้อะไร ฉันสอนได้ทั้งนั้น.” ฉันนึกกระหยิ่มใจที่ได้อ่านคัมภีร์ไบเบิล และมีความรู้สึกว่าฉันจะหนุนกำลังใจเขาได้.
ชาร์ลีนให้ฉันดูหนังสือความจริงซึ่งนำไปสู่ชีวิตถาวร และเราอ่านบทเพลงสรรเสริญ 37:9 ที่ว่า “คนที่กระทำชั่วจะต้องถูกตัดขาด; แต่ว่าเหล่าคนที่คอยท่าพระยะโฮวาอยู่ เขาจะได้แผ่นดินเป็นมฤดก.” ฉันรู้สึกประหลาดใจมาก. ในคัมภีร์ไบเบิลเล่มส่วนตัวของฉันเองที่บอกว่าคนเราจะได้แผ่นดินเป็นมรดก. หลังจากนั้นฉันถามปัญหาต่าง ๆ รวดเดียวหลายข้อ. ชาร์ลีนยิ้มพร้อมกับพูดว่า “เอาล่ะ ช้า ๆ หน่อย! เราจะตอบทีละคำถามนะ.” เธออธิบายถึงความจำเป็นที่ต้องศึกษาคัมภีร์ไบเบิลอย่างเป็นระบบและสม่ำเสมอ. โดยไม่รอช้า ชาร์ลีนชวนฉันไปหอประชุมราชอาณาจักร ซึ่งเป็นชื่อเรียกสถานที่ประชุมสำหรับพยานพระยะโฮวา.
ฉันเล่าประสบการณ์เกี่ยวกับเรื่องถาดเรี่ยไรเงินให้ชาร์ลีนฟัง และบอกว่าฉันไม่อยากกลับไปที่โบสถ์อีก. เธอเปิดพระธรรมมัดธาย 10:8 ให้ฉันอ่านดังนี้: “ท่านทั้งหลายได้รับเปล่า ๆ จงให้เปล่า ๆ.” เธออธิบายว่าที่ประชุมของพยานพระยะโฮวาไม่มีการผ่านถาดเรี่ยไรแต่อย่างใด และการบริจาคทุกอย่างก็เป็นตามความสมัครใจ. เธอพูดด้วยว่า ที่หอประชุมมีการตั้งหีบบริจาคไว้ และผู้ใดประสงค์จะบริจาคก็จะใส่เงินลงในหีบนั้น. ฉันตัดสินใจจะลองดูศาสนาอีกสักครั้ง.
ระหว่างที่ศึกษาค้นคว้า ฉันเรียนรู้สาเหตุของความอึดอัดไม่สบายใจเมื่อฉันเองได้พูดภาษาแปลก ๆ ณ โบสถ์เพนเตคอส. ของประทานจากพระเจ้าที่ให้พูดภาษาต่าง ๆ นั้น ได้โปรดแก่คริสเตียนรุ่นแรก เพื่อให้เป็นหลักฐานว่าคริสเตียนสมัยนั้นมีพระวิญญาณบริสุทธิ์ของพระองค์. อนึ่ง ของประทานอัศจรรย์นี้ยังเป็นประโยชน์ในทางปฏิบัติ โดยจัดเตรียมความจริงแห่งคัมภีร์ไบเบิลไว้สำหรับชาวประเทศทั้งปวงผู้ซึ่งมาร่วมชุมนุมกันในเทศกาลเพนเตคอสเตปีสากลศักราช 33. (กิจการ 2:5-11) อย่างไรก็ตาม คัมภีร์ไบเบิลระบุว่าของประทานจากพระเจ้าว่าด้วยการพูดภาษาแปลก ๆ นั้นจะมีวันเสื่อมสูญไป ซึ่งก็ปรากฏชัดหลังจากเหล่าอัครสาวกได้สิ้นชีวิตไปแล้ว. (1 โกรินโธ 13:8) แต่เพื่อทำให้ตาใจของผู้คนมืดบอดไป ซาตานและพวกผีปิศาจจึงเป็นต้นเหตุให้บางคนพูดอ้อแอ้ไม่ได้ศัพท์ ในลักษณะที่ทำให้หลายคนหลงเชื่อว่าพวกเขามีพระวิญญาณบริสุทธิ์ของพระเจ้า.—2 โกรินโธ 4:4.
การต่อต้านจากครอบครัว
ในไม่ช้า ฉันได้มาเข้าใจพระประสงค์ของพระเจ้าสำหรับแผ่นดินโลก ทั้งเข้าใจด้วยว่าฉันต้องไม่เป็นส่วนของโลกชั่ว. (โยฮัน 17:16; 18:36) นอกจากนี้ ฉันเรียนรู้ว่า ฉันต้องตัดขาดการเกี่ยวพันทุกอย่างกับบาบูโลนใหญ่ ซึ่งเป็นสัญลักษณ์ที่ใช้ในคัมภีร์ไบเบิลเล็งถึงจักรวรรดิโลกแห่งศาสนาเท็จ. (วิวรณ์ 18:2, 4) เมื่อฉันบอกพ่อว่าฉันจะรับบัพติสมา คราวนี้ในฐานะเป็นพยานพระยะโฮวา พ่อกลัดกลุ้มมาก. ท่านขอร้องฉันว่าอย่าได้เป็นพยานฯ เลย. นี้เป็นหนแรกที่ฉันเห็นพ่อร้องไห้. ฉันร้องไห้กับท่านด้วย เพราะจริง ๆ แล้วฉันไม่ต้องการทำร้ายจิตใจท่าน. แต่ฉันรู้ว่าได้พบความจริง และฉันก็ไม่อาจหันหลังให้พระยะโฮวา.
ทุกคนในครอบครัวต่างก็พากันต่อต้านฉันเมื่อเข้ามาเป็นพยานพระยะโฮวา. ฉันเลิกไม่เข้าร่วมประชุมอยู่พักหนึ่ง. ทั้งนี้ได้ช่วยลดการต่อต้านขัดขวางจากสมาชิกครอบครัวไปบ้าง แต่ฉันกลับรู้สึกเป็นทุกข์. ฉันรู้ว่าฉันจะไม่มีวันสุขใจจนกว่าจะได้ทำตามพระทัยประสงค์ของพระยะโฮวา. วันหนึ่ง ตอนพักรับประทานอาหารกลางวัน ฉันแวะไปที่บ้านชาร์ลีนและบอกเธอว่าฉันต้องการจะรับบัพติสมา. “คุณคิดหรือเปล่าว่า ก่อนอื่นคุณจำต้องเริ่มกลับมาร่วมประชุมอีก?” เธอถาม. ฉันบอกเธอว่าคราวนี้ฉันตัดสินใจเด็ดขาดแล้วว่าจะไม่มีสิ่งหนึ่งสิ่งใดขวางกั้นฉันไว้จากพระยะโฮวา. ฉันได้รับบัพติสมาเมื่อวันที่ 19 กันยายน 1973.
บัดนี้ เวลาล่วงผ่านมานานกว่า 23 ปีแล้ว. น่ายินดีจริง ๆ ที่ต่อมาคนในครอบครัวยอมรับนับถือการตัดสินใจของฉัน และไม่มีใครกดดันฉันให้ละทิ้งความจริง ซึ่งฉันหยั่งรู้ค่ามากเหลือเกิน. จวบจนบัดนี้ มีแต่คิม ลูกสาวคนโตเพียงคนเดียวที่เป็นพยานฯ. งานรับใช้พระยะโฮวาซึ่งเธอทำด้วยความซื่อสัตย์ภักดีนั้นเป็นแหล่งการชูใจฉันอย่างมากมายตลอดเวลาหลายปี.
การพบปะที่จะลืมเสียไม่ได้
เมื่อฉันกลับไปเยือนเมืองโคเบิร์น รัฐเวอร์จิเนีย ปี 1990 ฉันขอแม่แวะไปที่หอประชุมราชอาณาจักร เพื่อฉันจะรู้ได้ว่าการประชุมในวันอาทิตย์จะเริ่มเวลาใด. ขณะเลี้ยวรถเข้าทางแยกไปหอประชุม แม่บอกว่าเราเคยอยู่ที่บ้านด้านหลังหอประชุม อีกฟากหนึ่งของทางรถไฟ. ตัวบ้านถูกไฟไหม้ไปนานแล้ว คงเหลือแต่ซากปล่องไฟอิฐ. แม่พูดว่า “ลูกเป็นแค่เด็กตัวกะเปี๊ยก ไม่เกินสามหรือสี่ขวบกระมัง.”
ฉันได้รับการต้อนรับอย่างอบอุ่นที่หอประชุมในวันอาทิตย์นั้น. ขณะคุยกับสแตฟฟอร์ด จอร์แดน ฉันพูดขึ้นมาลอย ๆ ว่า ครั้งยังเป็นเด็ก ฉันเคยอยู่บ้านหลังนั้นซึ่งอยู่หลังหอประชุม. เขาจ้องหน้าฉันอย่างพินิจพิเคราะห์ แล้วอุทานออกมาว่า “ผมจำคุณได้! คุณคือเด็กตัวกะเปี๊ยกผมยุ่ง ๆ สูงเท่านี้ [เขาทำไม้ทำมือประกอบ]. เราเผยแพร่ในเขตนี้เมื่อเพื่อนของผมได้สนทนากับพ่อของคุณ. ผมพยายามชวนคุณคุยเรื่องอุทยานเพื่อให้คุณเพลิน.”
ฉันพูดไม่ออก. เสียงของฉันแหบพร่าขณะเล่าให้เขาฟังเรื่องที่ฉันเสาะหาความจริงในคัมภีร์ไบเบิล. ฉันพูดว่า “เมื่อฉันเป็นแค่เด็กเล็ก ๆ คุณได้หว่านเมล็ดความจริงลงในหัวใจน้อย ๆ ของฉัน!” แล้วเขาบอกว่า ฉันมีญาติคนหนึ่งฝ่ายคุณตาคือ สตีเฟน ดิงกัส เมื่อเขายังมีชีวิต เขาเป็นพยานฯ ที่ซื่อสัตย์. ครอบครัวของฉันไม่เคยเอ่ยถึงเขาเลย เพราะพวกเขาต่อต้านอย่างรุนแรง. บราเดอร์จอร์แดนพูดว่า “สตีเฟนคงจะต้องภูมิใจในตัวคุณเป็นแน่!”
เมื่อฉันมองย้อนช่วงเวลาหลายปีในองค์การของพระยะโฮวา ฉันสำนึกรู้คุณอย่างแท้จริงที่ฉันได้รับความรักและความกรุณา. จริงอยู่ มีบางครั้งเมื่อฉันอยู่ในหอประชุมและเห็นครอบครัวอื่น ๆ ร่วมรับใช้พระยะโฮวาด้วยกันทำให้ฉันรู้สึกเศร้าใจอยู่บ้าง เพราะฉันมักจะไปหอประชุมตามลำพัง. แต่ฉันพลันระลึกทันทีว่า พระยะโฮวาสถิตอยู่ด้วย. พระองค์ทรงเฝ้าดูแลตลอดเวลา และเมื่อหัวใจของฉันสามารถรับเอาความจริงซึ่งเด็กเล็ก ๆ คนหนึ่งได้ยินได้ฟังเมื่อนานหลายปีมาแล้ว พระองค์ทรงให้เมล็ดนั้นงอกรากกระทั่งเกิดดอกออกผล.
“ขอบคุณค่ะ บราเดอร์จอร์แดน ที่คุณได้ใช้เวลาเล่าเรื่องอุทยานให้แก่เด็กหญิงเล็ก ๆ ที่อยู่ไม่สุขคนนี้!” ฉันกล่าว.—เล่าโดย ลุยส์ ลอว์สัน.
[รูปภาพหน้า 13]
กับสแตฟฟอร์ด จอร์แดน เมื่อฉันพบเขาอีกครั้งหนึ่งในปี 1990