ความตายที่มากับปีกอันบอบบาง
สิ่งนี้ไม่ใช่สงครามที่เด่นจนเป็น พาดหัวข่าวหนังสือพิมพ์ กระนั้น ก็ได้คร่าชีวิตมนุษย์หลายล้านสุดจะคณนา. ไม่ใช่สงครามที่ต่อสู้กันด้วยลูกระเบิดและลูกกระสุน แต่ เมื่อมองจากแง่ความทุกข์เดือดร้อนและชีวิตที่ต้องสูญเสียไปแล้วก็เทียบเท่าหรือร้ายกว่าสงครามจริง ๆ เสียอีก. ในสงครามนี้ ความตายไม่ได้มาจากท้องเครื่องบินทิ้งระเบิดขนาดหนักของศัตรู แต่มาพร้อมกับปีกอันบอบบางของยุงตัวเมีย.
โดยผู้สื่อข่าว ตื่นเถิด ในประเทศไนจีเรีย
ในยามค่ำคืน คนทั้งบ้านกำลังหลับ. ยุงตัวเมียบินหวือเข้าไปในห้องนอน ปีกของมันกระพือ 200 ถึง 500 ครั้งต่อวินาที. ยุงกระหายเลือดมนุษย์. มันร่อนลงบนแขนของเด็กชายคนหนึ่งอย่างแผ่วเบา. เนื่องจากน้ำหนักยุงเพียง 3/1,000 กรัม เด็กชายคนนั้นจึงไม่รู้ตัว. จากนั้น มันก็ยื่นเข็มเรียวแหลมคมประดุจฟันเลื่อยออกจากปลายปากของมัน แทงผิวหนังของเด็กคนนั้นเข้าไปถึงเส้นโลหิตฝอย. สูบสองอันที่หัวทำหน้าที่ดูดเลือดออกมา. ในเวลาเดียวกัน ปรสิตมาลาเรียจากต่อมน้ำลายยุงก็ผ่านเข้าไปในกระแสเลือดของเด็กชายคนนั้น. การปฏิบัติภารกิจเสร็จสิ้นในเวลาอันรวดเร็ว เด็กชายไม่รู้สึกแต่อย่างใด. แล้วยุงตัวนั้นก็บินจากไป ท้องเป่งไปด้วยเลือด ซึ่งอาจหนักถึงสามเท่าของน้ำหนักตัว. ไม่กี่วันต่อมา เด็กชายคนนั้นก็ป่วยถึงขั้นที่จะเสียชีวิต. เขาเป็นไข้มาลาเรีย.
นี่เป็นฉากเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นซ้ำแล้วซ้ำเล่าหลายพันล้านครั้ง. ยังผลเป็นความทุกข์เดือดร้อนและความตายในขอบข่ายมหาศาล. ไม่ต้องสงสัย โรคมาลาเรียเป็นศัตรูที่โหดร้ายและไร้ความปรานีต่อมนุษยชาติ.
เสาะหาศัตรูด้วยความอดทน
การค้นพบที่สำคัญยิ่งอย่างหนึ่งในการต่อสู้กับโรคมาลาเรียได้อุบัติขึ้น ไม่ใช่โดยนักวิทยาศาสตร์ที่เรืองนามในยุโรป แต่โดยศัลยแพทย์ประจำกองทหารอังกฤษ ซึ่งประจำการอยู่ในอินเดีย. บรรดานักวิทยาศาสตร์และแพทย์ในศตวรรษที่ 19 ซึ่งมีความเห็นลงรอยกับความคิดตลอดสองพันปีที่ผ่านมานั้นสันนิษฐานว่าคนเราเป็นโรคนี้เนื่องจากหายใจเอาอากาศที่เหม็นเน่าของหนองน้ำเข้าไป.a ในทางตรงข้าม ดร. โรนัลด์ รอสส์ เชื่อว่าเชื้อโรคแพร่จากคนหนึ่งไปยังอีกคนหนึ่งโดยทางยุง. แม้แต่ภายหลังที่ทราบว่าโรคมาลาเรียเกี่ยวข้องกับปรสิตในสายเลือดของมนุษย์ นักวิจัยหลายคนก็ยังคงเสาะหาเงื่อนงำในอากาศและน้ำตามหนองน้ำ. ในขณะเดียวกัน รอสส์ ตรวจวิจัยท้องของยุง.
เมื่อคำนึงถึงอุปกรณ์ล้าสมัยในห้องปฏิบัติการที่เขาใช้เพื่อส่องดูท้องของยุง การทำงานนี้ไม่ใช่สิ่งที่ง่ายเลย. ขณะที่เขาทำงาน ฝูงยุงและริ้นก็รุมล้อมตัวเขา มุ่งมั่นที่จะแก้แค้น “แทนเพื่อนที่ตายไป” ตามที่รอสส์บอก.
ในที่สุด วันที่ 16 สิงหาคม 1897 รอสส์ค้นพบอินทรีย์ทรงกลมที่เจริญใหญ่ขึ้นชั่วข้ามคืนในผนังท้องของยุงที่มีเชื้อมาลาเรีย. ปรสิตมาลาเรียนั่นเอง!
ด้วยความปีติยินดีเป็นล้นพ้น รอสส์เขียนในสมุดบันทึกว่า เขาได้ไขข้อลับลึกซึ่งจะช่วยชีวิต “ผู้คนมากมายนับไม่ถ้วน.” เขายังเขียนข้อคัมภีร์จากพระธรรมโกรินโธที่ว่า “โอ ความตาย ชัยชนะของเจ้าอยู่ที่ไหน? โอ ความตาย เหล็กไนของเจ้าอยู่ที่ไหน?”—เทียบ 1โกรินโธ 15:55.
ความร้ายกาจของมาลาเรีย
การค้นพบของรอสส์เป็นเหตุการณ์สำคัญในการต่อสู้กับมาลาเรีย เป็นการค้นพบที่ช่วยเปิดทางให้มนุษยชาติได้มีโอกาสรุกอย่างขนานใหญ่เป็นครั้งแรกต่อโรคนี้และแมลงที่เป็นพาหะ.
ตลอดประวัติศาสตร์ส่วนใหญ่ การพ่ายแพ้ของมนุษยชาติต่อโรคมาลาเรียนั้นก่อความเสียหายอย่างหนักและต่อเนื่อง. อักษรภาพและพาไพรัสของชาวอียิปต์เป็นหลักฐานยืนยันถึงการคร่าชีวิตครั้งมโหฬารของมาลาเรียเมื่อ 1,500 ปีก่อนพระคริสต์เสด็จมาบนโลก. โรคนี้ได้ทำให้เมืองต่าง ๆ อันงดงามในแถบที่ลุ่มของประเทศกรีซโบราณร้างเปล่า และปลิดชีวิตของอะเล็กซานเดอร์มหาราชในวัยหนุ่มแน่น. โรคนี้ทำให้ผู้คนตายเป็นเบือในเมืองต่าง ๆ ของโรม และเสือกไสคนมั่งมีให้ขึ้นไปยังที่ราบสูง. ในสงครามครูเสด, สงครามกลางเมืองในอเมริกา, และสงครามโลกทั้งสองครั้ง โรคนี้สังหารชีวิตผู้คนมากกว่าที่การสู้รบครั้งใหญ่ ๆ สังหารเสียอีก.
ในทวีปแอฟริกา มาลาเรียทำให้แอฟริกาตะวันตกได้รับสมญานามว่า “สุสานของคนขาว.” แท้ที่จริง โรคนี้ได้ขัดขวางการแย่งชิงของชาวยุโรปเพื่อจะยึดแอฟริกาเป็นอาณานิคมถึงขนาดที่มหาวิทยาลัยแห่งหนึ่งในแอฟริกาตะวันตกได้ประกาศว่ายุงเป็นวีรบุรุษของชาติ! ในทวีปอเมริกากลาง มาลาเรียทำให้ความพยายามของฝรั่งเศสที่จะสร้างคลองปานามาล้มเหลว. ในทวีปอเมริกาใต้ ในการสร้างทางรถไฟสายมาโมเร-มาเดราในประเทศบราซิลนั้น กล่าวกันว่ามาลาเรียคร่าชีวิตมนุษย์หนึ่งชีวิตต่อไม้หมอนทุกท่อนที่ใช้วางรางรถไฟ.
สู้เพื่อชัยชนะ
การต่อต้านยุง แต่ไม่ใช่ต่อต้านมาลาเรียโดยเจตนา ทอดคลุมระยะเวลาหลายพันปี. ในศตวรรษที่ 16 ก่อนสากลศักราช ชาวอียิปต์ใช้น้ำมันของต้น Balanites wilsoniana เป็นยากันยุง. หนึ่งพันปีต่อมา ฮีโรโดตุสเขียนว่าชาวประมงอียิปต์พันอวนของพวกเขาไว้รอบเตียงในตอนกลางคืนเพื่อกันแมลง. สิบเจ็ดศตวรรษหลังจากนั้น มาร์โค โปโล รายงานว่าผู้มีอันจะกินในประเทศอินเดียนอนบนเตียงที่มีม่านป้องกันซึ่งสามารถปิดได้ในตอนกลางคืน.
ส่วนที่อื่น ๆ มนุษย์ค้นพบยาจากธรรมชาติซึ่งมีคุณค่าอย่างแท้จริง. ในประเทศจีนเคยมีการรักษาโรคมาลาเรียอย่างประสบผลสำเร็จเป็นเวลากว่า 2,000 ปี ด้วยพืชที่มีชื่อเรียกว่า ชิงเฮาซู ซึ่งเป็นยาสมุนไพรที่ค้นพบอีกครั้งเมื่อไม่กี่ปีมานี้. ในทวีปอเมริกาใต้ ชาวอินเดียนแดงในประเทศเปรูใช้เปลือกของต้นซิงโคนา. ในศตวรรษที่ 17 มีการนำต้นซิงโคนาเข้าไปในทวีปยุโรป และในปี 1820 จากเปลือกของต้นนี้เภสัชกรสองคนในกรุงปารีสได้สกัดแอลคาลอยด์ออกมา ซึ่งมีชื่อเรียกว่าควินิน.
อาวุธใหม่
การหยั่งรู้คุณค่าควินินว่ามีสรรพคุณป้องกันและรักษาโรคมาลาเรียเป็นไปอย่างช้า ๆ แต่ครั้นเห็นคุณค่าแล้ว ควินินได้กลายเป็นยาที่มีการแนะนำให้ใช้เป็นเวลานานถึงหนึ่งร้อยปี. ครั้นแล้ว ในตอนต้นของสงครามโลกครั้งที่สอง กองทหารของญี่ปุ่นได้ยึดไร่ซิงโคนาสำคัญ ๆ ทางตะวันออกไกล. การขาดแคลนควินินอย่างหนักในสหรัฐ อันเป็นผลสืบเนื่องจากเหตุการณ์นั้น ก่อให้มีการวิจัยอย่างเร่งด่วน เพื่อคิดค้นยาสังเคราะห์ต่อต้านโรคมาลาเรีย. ผลที่ได้ก็คือคลอโรควิน เป็นยาที่ปลอดภัย, มีประสิทธิภาพสูง, และต้นทุนการผลิตไม่แพง.
ภายในเวลาที่รวดเร็วคลอโรควินก็ได้กลายเป็นอาวุธสำคัญในการต่อต้านโรคมาลาเรีย. ในช่วงทศวรรษปี 1940 ได้มีการนำยาฆ่าแมลง ดีดีที เข้ามาใช้อีกด้วย ซึ่งฆ่ายุงได้ผลชะงัดนัก. แม้ว่า ดีดีที จะย่อมาจากศัพท์ทางเคมีที่ฟังดูน่าครั่นคร้ามว่า ไดโคลโรไดเฟนิลไตรโคลโรอีเทน แต่คนที่พูดภาษาอังกฤษเป็นจำนวนมากจำอักษรย่อดังกล่าวจากวลีที่ว่า “drop dead twice” (ตายสองต่อ) ซึ่งเป็นเครื่องช่วยจำที่เข้าท่าดี เนื่องจาก ดีดีที ไม่เพียงแต่ฆ่ายุงในตอนที่มีการฉีดเท่านั้น แต่ในเวลาต่อมา สารที่ยังตกค้างอยู่บนผนังที่มีการฉีดยาไว้ยังฆ่าแมลงต่าง ๆ ได้อีกด้วย.b
การตีโต้ที่มั่นใจเกินไป
ภายหลังสงครามโลกครั้งที่สอง นักวิทยาศาสตร์ซึ่งมี ดีดีที และ คลอโรควิน เป็นอาวุธ ได้ผนึกกำลังระดับโลกเพื่อตีโต้โรคมาลาเรียและยุง. การต่อสู้ต้องกระทำสองแนวด้วยกัน—จะใช้ยาในการฆ่าปรสิตในร่างกายมนุษย์ ในขณะที่การฉีดยาฆ่าแมลงเป็นจำนวนมหาศาลจะล้างผลาญยุงให้สิ้นซาก.
เป้าหมายคือชัยชนะขั้นแตกหัก. โรคมาลาเรียจะต้องถูกกวาดให้เกลี้ยง. ผู้ที่เป็นแกนนำในการโจมตีครั้งนี้ก็คือองค์การอนามัยโลก ซึ่งเพิ่งก่อตั้งขึ้นและได้จัดให้โครงการขจัดโรคมาลาเรียอยู่ในอันดับแรกสุด. ความมุ่งมั่นนี้ได้รับการสนับสนุนทางการเงิน. ระหว่างปี 1957 และ 1967 ชาติต่าง ๆ ได้ใช้เงิน 35,000 ล้านบาทในการรณรงค์ทั่วโลก. ผลที่ได้ในตอนแรกเริ่มนั้นน่าตื่นเต้นทีเดียว. โรคนี้ถูกพิชิตราบคาบในทวีปยุโรป, อเมริกาเหนือ, สหภาพโซเวียต, ออสเตรเลีย, และบางประเทศในอเมริกาใต้. ศาสตราจารย์ แอล. เจ. บรูซ-ชวาต ผู้ที่ผ่านศึกพิชิตโรคมาลาเรียระลึกได้ว่า “คงยากที่จะอธิบายในปัจจุบันถึงความกระตือรือร้นอย่างลิงโลด ซึ่งความคิดในการขจัดโรคนี้ให้สิ้นซากได้ปลุกเร้าให้เกิดขึ้นทั่วโลกในช่วงเวลาอันสุขสงบของสมัยนั้น.” โรคมาลาเรียกำลังง่อนแง่น! องค์การอนามัยโลกคุยโวว่า “การขจัดโรคมาลาเรียให้สิ้นซากได้กลายเป็นความจริงที่อยู่แค่เอื้อมเท่านั้น.”
มาลาเรียโต้กลับ
แต่ก็หาเป็นชัยชนะไม่. ยุงรุ่นที่รอดจากการสังหารทางเคมีสามารถต้านทานยาฆ่าแมลงได้. ดีดีที ไม่อาจฆ่ายุงได้ง่ายดายเหมือนแต่ก่อนเสียแล้ว. ในทำนองเดียวกัน ปรสิตมาลาเรียในคนก็ต้านทานคลอโรควินได้. สิ่งเหล่านี้และปัญหาอื่น ๆ ได้ก่อผลกลับตาลปัตรอย่างน่าสยดสยองในบางดินแดน ที่ซึ่งชัยชนะดูเหมือนจะอยู่แค่เอื้อม. ตัวอย่างเช่น ศรีลังกา ที่ซึ่งคิดกันว่ามาลาเรียเกือบถูกกวาดล้างจนราบคาบในปี 1963 นั้น เพียงห้าปีให้หลังก็ได้ประสบกับการระบาดของโรคนี้ซึ่งก่อผลกระทบต่อผู้คนหลายล้าน.
มาถึงปี 1969 เป็นที่ยอมรับกันทั่วไปว่ามาลาเรียเป็นศัตรูที่ไม่อาจพิชิตได้. แทนที่จะใช้คำ “ขจัดให้สิ้นซาก” คำ “ควบคุม” กลับเป็นที่นิยมใช้กัน. “ควบคุม” หมายความว่าอย่างไร? ดร. ไบรอัน โดเบอร์สไตน์ หัวหน้าหน่วยมาลาเรียขององค์การอนามัยโลก อธิบายว่า “มีอยู่อย่างเดียวที่เราทำได้เดี๋ยวนี้คือ พยายามจำกัดจำนวนผู้เสียชีวิตและให้ความทุกข์ทรมานอยู่ในระดับที่พอจะรับได้.”
เจ้าหน้าที่องค์การอนามัยโลกอีกคนหนึ่งโอดครวญว่า “หลังจากความพยายามขจัดโรคมาลาเรียให้หมดสิ้นซึ่งกระทำในช่วงทศวรรษปี 1950 และการใช้ ดีดีที ต่อสู้แมลง ชุมชนนานาชาติก็ได้รามือ. ความยากจน, การขาดโครงสร้างพื้นฐาน, การดื้อยาและการต้านทานต่อยาฆ่าแมลงทำให้โรคนี้ยังคงอยู่ ที่จริง โรคนี้ชนะเรา.”
อีกปัจจัยหนึ่งก็คือ บริษัทยาถอนตัวจากงานวิจัย. นักวิทยาศาสตร์ว่าด้วยโรคมาลาเรียคนหนึ่งกล่าวว่า “ปัญหาก็คือต้องใช้เงินลงทุนเป็นจำนวนมาก แต่ผลตอบแทนเป็นศูนย์ และการสนับสนุนก็ไม่มีเลย.” ใช่แล้ว แม้ว่าได้ชัยชนะในการต่อสู้มาหลายยก แต่การทำสงครามกับโรคมาลาเรียยังไม่เลิกรา. อย่างไรก็ตาม คัมภีร์ไบเบิลชี้ถึงสมัยหนึ่งซึ่งใกล้เข้ามา ในตอนนั้น “จะไม่มีใครที่อาศัยอยู่ที่นั่นพูดว่า, ‘ข้าพเจ้าป่วยอยู่.’” (ยะซายา 33:24) กว่าจะถึงเวลานั้น โรคและความตายจะยังคงมากับปีกอันบอบบาง.
[เชิงอรรถ]
a คำว่า “มาลาเรีย” มาจากภาษาอิตาลีว่า มาลา (เลว) อาเรีย (อากาศ).
b ได้พบว่า ดีดีที เป็นอันตรายต่อสภาพแวดล้อม และมีการสั่งห้ามหรือจำกัดการใช้อย่างเข้มงวดใน 45 ประเทศ.
[กรอบหน้า 22]
ยุงโจมตีมนุษย์
โรคนี้คุกคามโดยตรงต่อมนุษยชาติถึงเกือบครึ่ง มากกว่าร้อยประเทศ ซึ่งส่วนใหญ่อยู่ในแถบร้อน. โดยเฉพาะอย่างยิ่งทวีปแอฟริกาถือเป็นที่มั่นแห่งหนึ่งเลยทีเดียว.
เป็นที่ทราบกันว่ายุงซึ่งติดไปกับเครื่องบินจากเขตร้อนได้แพร่เชื้อไปยังผู้คนที่อาศัยอยู่ใกล้สนามบินนานาชาติ.
ผู้เจ็บป่วยล้มตาย: โรคนี้โจมตีผู้คน 270 ล้านคนในแต่ละปี โดยมีผู้เสียชีวิตถึง 2 ล้านคน. ร้ายกาจโดยเฉพาะต่อสตรีมีครรภ์และเด็ก โดยเฉลี่ยแล้ว โรคนี้คร่าชีวิตเด็กสองคนทุกนาที.
โรคนี้โจมตีผู้ที่ไปเยือนเขตร้อน. แต่ละปี มีรายงานถึงผู้ที่ป่วยเป็นโรคมาลาเรียประเภท “นำเข้า” ถึง 10,000 รายในยุโรปและกว่า 1,000 รายในอเมริกาเหนือ.
ยุทธวิธี: ยุงตัวเมียที่มีเชื้อมาลาเรียมักจะแพร่เชื้อให้มนุษย์ในตอนกลางคืนเป็นส่วนใหญ่. นอกจากนี้ มาลาเรียยังแพร่โดยการถ่ายเลือด และบางครั้งโดยเข็มที่ปนเปื้อน.
เพียงไม่กี่ปีมานี้เองที่มนุษยชาติมีความรู้และวิธีที่จะตอบโต้. ทั้ง ๆ ที่ 105 ชาติได้ผนึกกำลังกันเพื่อพิชิตภัยพิบัตินี้ แต่มนุษยชาติกำลังพ่ายแพ้.
[กรอบ/ภาพหน้า 23]
ป้องกันไม่ให้ยุงกัด
นอนกางมุ้ง. มุ้งที่อาบยาฆ่าแมลงดีที่สุด.
ใช้เครื่องปรับอากาศในตอนกลางคืนหากมี หรือนอนในห้องที่มีหน้าต่างและประตูมุ้งลวด. หากไม่มีมุ้งลวด ให้ปิดประตูและหน้าต่าง.
หลังจากดวงอาทิตย์ตก ควรสวมเสื้อแขนยาวและกางเกงขายาว. สีคล้ำจะล่อยุง.
ทายากันยุงในส่วนที่ไม่มีเสื้อผ้าปกปิด. เลือกชนิดที่มีตัวยา ไดเอทิลโทลูอาไมด์ (น้ำมันทากันแมลงชนิดไม่มีสี) หรือ ไดเมทิล ทาเลท.
ใช้ยาฉีดกันยุง, เครื่องพ่นยาฆ่าแมลง, หรือขดยากันยุง.
แหล่ง: องค์การอนามัยโลก.
[ที่มาของภาพ]
H. Armstrong Roberts
[กรอบหน้า 24]
“ไม่มี ‘กระสุนวิเศษ’”
การต่อสู้โรคมาลาเรียยังคงดำเนินต่อไปขณะที่ความหวังสำหรับชัยชนะขั้นเด็ดขาดดูเหมือนอยู่ห่างไกล. ณ การประชุมนานาชาติเกี่ยวกับโรคมาลาเรียในเมืองบราซซาวิล ประเทศคองโก เดือนตุลาคม ปี 1991 ผู้แทนจากองค์การอนามัยโลกเรียกร้องให้ละทิ้ง “ความเชื่อในชะตากรรมที่มีอยู่ดาษดื่น” และแนะนำให้มีการผนึกกำลังทั่วโลกครั้งใหม่ เพื่อควบคุมโรคมาลาเรีย. ความเพียรพยายามเช่นนั้นจะประสบผลสำเร็จแค่ไหน?
“ไม่มี ‘กระสุนวิเศษ’ สำหรับโรคมาลาเรีย” ฮิโรชิ นากาจิมา ผู้อำนวยการองค์การอนามัยโลกกล่าวเมื่อเร็ว ๆ นี้. “เราจึงต้องต่อสู้กับโรคนี้ในหลายด้านด้วยกัน.” ต่อไปนี้คือแนวรบสามด้านซึ่งได้มีการกระจายข่าวอย่างมากเมื่อเร็ว ๆ นี้:
วัคซีน. นักวิทยาศาสตร์ได้ทำงานเป็นเวลาหลายปี เพื่อค้นหาวัคซีนป้องกันโรคมาลาเรีย และสื่อมวลชนรายงานถึง “ความสำเร็จ” ในการค้นคว้าเป็นครั้งคราว. เพื่อยับยั้งการมองแต่แง่ดีอันไม่พึงมี องค์การอนามัยโลกเตือนเกี่ยวกับ “ความเพ้อฝันว่าจะมีวัคซีนป้องกันโรคมาลาเรียในอนาคตอันใกล้.”
ปัญหาอย่างหนึ่งในการพัฒนาวัคซีนก็คือ ปรสิตมาลาเรียในคนหลบหลีกการพยายามทำลายโดยระบบภูมิคุ้มกันของมนุษย์ได้สำเร็จอย่างน่าทึ่ง. แม้หลังจากถูกโจมตีซ้ำแล้วซ้ำเล่าเป็นเวลาหลายปี คนเราสร้างภูมิคุ้มกันโรคนี้ได้เพียงในขอบเขตจำกัด. ดร. ฮันส์ โลเบล นักวิทยาโรคระบาดประจำศูนย์ควบคุมโรคของสหรัฐในเมืองแอตแลนตาให้ข้อสังเกตว่า “คุณไม่ได้สร้างภูมิคุ้มกันหลังจากถูกโจมตีเพียงไม่กี่ครั้ง. ดังนั้น [ในการพยายามพัฒนาวัคซีน] คุณก็กำลังพยายามทำให้ดีกว่าธรรมชาติ.”
ยา. เนื่องจากปรสิตมาลาเรียนับวันจะต้านทานฤทธิ์ยาที่มีอยู่ในเวลานี้มากขึ้นเรื่อย ๆ องค์การอนามัยโลกกำลังเผยแพร่ตัวยาใหม่ที่มีชื่อเรียกว่า อาร์ทีเทอร์ ซึ่งได้จาก ชิงเฮาซู สารสกัดจากสมุนไพรของจีน.c องค์การอนามัยโลกหวังว่า ชิงเฮาซู อาจเป็นแหล่งยาธรรมชาติชนิดใหม่อย่างสิ้นเชิง ซึ่งอาจมีสำหรับคนทั่วโลกภายในเวลาสิบปี.
มุ้ง. ที่ยังคงมีประสิทธิภาพในการป้องกันยุงก็คือสิ่งนี้ ซึ่งใช้กันมาสองพันปีแล้ว. ยุงที่มีเชื้อมาลาเรียมักจู่โจมตอนกลางคืน และมุ้งช่วยกันยุงได้. มุ้งที่มีประสิทธิภาพมากที่สุดก็คือมุ้งซึ่งอาบยาฆ่าแมลง เช่น เพอร์เมทริน. การศึกษาวิจัยในแอฟริกาแสดงให้เห็นว่า ในหมู่บ้านซึ่งมีการนำมุ้งที่อาบยาไปใช้ ผู้เสียชีวิตเนื่องจากโรคมาลาเรียลดลงถึงร้อยละ 60.
[เชิงอรรถ]
c ชิงเฮาซู เป็นสารสกัดจากพืชไม้ขม Artemisia annua.
[กรอบ/ภาพหน้า 25]
เดินทางไปเขตร้อนหรือ?
หากคุณวางแผนจะเดินทางไปบริเวณที่เสี่ยงต่อการเป็นโรคมาลาเรีย คุณควรทำสิ่งต่อไปนี้:
1. ปรึกษาแพทย์หรือศูนย์ฉีดวัคซีน.
2. ทำตามคำชี้แนะที่ได้รับทุกอย่าง และถ้ารับประทานยากันมาลาเรีย ให้รับประทานต่อไปอีกสี่สัปดาห์ภายหลังออกจากบริเวณที่มีโรคมาลาเรีย.
3. ป้องกันตัวเองไม่ให้ยุงกัด.
4. รู้อาการของโรคมาลาเรีย คือ มีไข้, ปวดศีรษะ, ปวดกล้ามเนื้อ, อาเจียน, และ/หรือท้องร่วง. โปรดจำไว้ว่าโรคมาลาเรียอาจสำแดงอาการออกมาได้ในระยะเวลาหนึ่งปีภายหลังออกจากบริเวณที่มีโรคมาลาเรีย แม้ว่าได้ใช้ยากันมาลาเรียแล้วก็ตาม.
5. ถ้าคุณมีอาการเหล่านี้ ควรไปพบแพทย์. โรคมาลาเรียอาจมีอาการเลวลงอย่างรวดเร็ว และอาจทำให้เสียชีวิตภายในเวลาไม่ถึง 48 ชั่วโมงหลังจากอาการขั้นแรก ๆ ปรากฏออกมา.
แหล่ง: องค์การอนามัยโลก.
[ที่มาของภาพหน้า 21]
H. Armstrong Roberts