ตอน 6
วิทยาศาสตร์—มนุษยชาติแสวงหาความจริงไม่หยุดยั้ง
การรับมือกับ ข้อท้าทายแห่งศตวรรษที่ 21
เก้า, แปด, เจ็ด, และนับไปเรื่อย ๆ! นับถอยหลังเพื่อการปล่อยจรวดหรือ? เปล่า แต่เป็นการนับถอยหลังจำนวนปีที่ยังเหลืออยู่ก่อนมนุษยชาติจะก้าวสู่ความไม่แน่นอนแห่งศตวรรษที่21.a
โดยอาศัยความสำเร็จทางวิทยาศาสตร์แห่งศตวรรษที่ผ่านมา หลายคนอาจเชื่ออย่างจริงใจว่าวิทยาศาสตร์สามารถรับมือกับข้อท้าทายใด ๆ ซึ่งศตวรรษที่ 21อาจจะนำมา.b พวกเขาอาจรู้สึกอย่างที่นักประพันธ์ชาวฝรั่งเศสผู้หนึ่งรู้สึกเมื่อเริ่มศตวรรษที่ 20 ก็ได้. นักประพันธ์ผู้นั้นเขียนว่า “วิทยาศาสตร์ปัจจุบันถูกกำหนดให้ครองโลก. ตั้งแต่นี้ไปการปกครองโลกไม่ใช่เป็นของพระเจ้า แต่เป็นของวิทยาศาสตร์ ของวิทยาศาสตร์ในฐานะผู้ทำประโยชน์ให้ประชาชนและปลดปล่อยมนุษยชาติ.”
เพื่อวิทยาศาสตร์จะทำให้ความคาดหมายนี้บรรลุผล วิทยาศาสตร์คงต้องแก้ปัญหาหลายอย่างที่ตนเองได้ช่วยก่อขึ้น.
ความย่อยยับของสภาพแวดล้อมซึ่งวิทยาศาสตร์ต้องรับผิดชอบนั้นมีมหาศาล. หนังสือ 5,000 วันเพื่อช่วยดาวเคราะห์นี้ให้รอด (ภาษาอังกฤษ) แถลงดังนี้: “ถ้าเรายังคงดำเนินในแนวทางแห่งการแสวงผลประโยชน์อย่างเห็นแก่ตัวจากสิ่งแวดล้อมเช่นที่เป็นอยู่แล้วละก็ ปัญหาไม่ใช่อยู่ที่ว่าสังคมสมัยใหม่จะรอดหรือไม่ในศตวรรษหน้า แต่สังคมนี้จะสาบสูญอย่างฉับพลัน หรืออย่างค่อยเป็นค่อยไปต่างหาก?”
สิ่งนี้ดูเหมือนเป็นทางเลือกที่ยากยิ่งต่อการยอมรับ.
ข้อจำกัดของวิทยาศาสตร์
หนังสือ นักวิทยาศาสตร์ (ภาษาอังกฤษ) กล่าวว่า “นักวิทยาศาสตร์จำนวนมากแห่งศตวรรษที่ 19 . . . มักจะรู้สึกบ่อย ๆ ว่าสักวันหนึ่งพวกเขาคงจะบรรลุความจริงสัมบูรณ์และความเข้าใจขั้นสุดยอด.” หนังสือนี้กล่าวต่อไปว่า “เหล่าผู้สืบทอดของพวกเขาพูดถึงการบรรลุ ‘ความเข้าใจส่วนหนึ่ง’ การเข้าไปใกล้ความจริงเรื่อย ๆ แต่ไม่เคยคว้าเอาความจริงได้อย่างครบถ้วนสักที.” การขาดความรู้สัมบูรณ์เช่นนี้จำกัดสิ่งที่วิทยาศาสตร์สามารถทำได้.
ข้อเท็จจริงทางวิทยาศาสตร์ไม่เคยเปลี่ยนแปลงมาตลอดหลายปี แต่ทฤษฎีทางวิทยาศาสตร์เปลี่ยนแปลง—และเป็นเช่นนี้ครั้งแล้วครั้งเล่า. อันที่จริง บางครั้งทฤษฎีต่าง ๆ ได้เปลี่ยนอย่างฉับพลันจากหน้ามือเป็นหลังมือ. ยกตัวอย่าง ครั้งหนึ่งบรรดานักวิทยาศาสตร์การแพทย์คิดกันว่าการเอาเลือดออกจากร่างกายผู้ซึ่งป่วยหนักเป็นวิธีทางวิทยาศาสตร์ที่พึงกระทำ. ต่อมาพวกเขาก็คิดว่าการให้เลือดคือวิธีแก้. เดี๋ยวนี้มีบางคนเริ่มยอมรับว่าการไม่ทำทั้งสองอย่างและการหาทางรักษาด้วยวิธีอื่นที่มีอันตรายน้อยกว่าเป็นการฉลาดสุขุม.
ปรากฏชัดว่าสิ่งที่บรรดานักวิทยาศาสตร์รู้นั้นมีน้อยกว่าอย่างลิบลับเมื่อเทียบกับสิ่งที่พวกเขาไม่รู้. เดอะ เวิลด์ บุ๊ก เอ็นไซโคลพีเดีย ชี้แจงว่า “นักพฤกษศาสตร์ยังคงไม่ทราบแน่ชัดว่ากระบวนการสังเคราะห์แสงดำเนินงานอย่างไร. นักชีววิทยาและนักชีวเคมียังไม่พบคำตอบสำหรับคำถามที่ว่าชีวิตเกิดขึ้นมาอย่างไร. นักดาราศาสตร์ยังไม่มีคำอธิบายที่น่าพอใจเกี่ยวกับการกำเนิดของเอกภพ. นักวิทยาศาสตร์การแพทย์และนักสรีรวิทยาก็ไม่รู้สาเหตุหรือวิธีรักษามะเร็งหรือวิธีรักษาโรคหลายหลากที่เกิดจากไวรัส. . . . นักจิตวิทยาก็ไม่ทราบสาเหตุทั้งหมดของความเจ็บป่วยทางจิต.”
นอกจากนั้น วิทยาศาสตร์ยังถูกจำกัดในความหมายที่ว่าความรู้ทางวิทยาศาสตร์ไม่อาจดีไปกว่าผู้คนที่เป็นนักวิทยาศาสตร์เอง. พูดอีกอย่าง การขาดความรู้ของนักวิทยาศาสตร์นั้นมีความไม่สมบูรณ์ของพวกเขาเป็นองค์ประกอบด้วย. ผู้ประพันธ์หนังสือ 5,000 วันเพื่อช่วยดาวเคราะห์นี้ให้รอด ค้นพบว่า “ครั้งแล้วครั้งเล่า . . . องค์การต่าง ๆ เพื่อวัตถุประสงค์พิเศษได้เข้าควบคุมการค้นคว้า ทำให้การวิเคราะห์เรื่องผลได้-ผลเสียบิดเบือน และปิดบังข้อมูลเพื่อจะขายสินค้าที่มีอันตรายหรือเพื่อดำเนินกิจการซึ่งเป็นอันตรายต่อสภาพแวดล้อม.”
ถึงแม้ว่านักวิทยาศาสตร์ส่วนใหญ่เป็นคนซื่อตรง ข้อนี้ก็ยังไม่มีเหตุผลอยู่ดีที่จะยกย่องตัวเขาหรือการกระทำของเขาอย่างเลิศลอย. เอ็ดวาร์ด โบเว็น ชาวอังกฤษโดยกำเนิด ซึ่งเขาเองก็เป็นนักวิทยาศาสตร์ ให้เหตุผลว่า “พวกเขาก็เหมือนกับคนอื่น ๆ. พวกเขาล้วนแต่มีข้อบกพร่อง. บ้างก็เป็นผู้ที่อุทิศตัวเอง, บ้างก็ไร้ยางอาย, บางคนปราดเปรื่องเฉียบแหลม, บางคนก็ไม่มีน้ำยา. ผมเคยรู้จักบางคนที่มีชื่อเสียงโด่งดังด้านวิทยาศาสตร์ คนที่ได้ทำความดีแก่โลกอย่างมหาศาล. และแม้ผมไม่รู้จักนักวิทยาศาสตร์คนใดที่ถูกจำคุก ผมก็เคยรู้จักบางคนที่สมควรจะถูกจำคุกอย่างยิ่ง.”
เป็นที่ชัดแจ้ง เนื่องจากข้อจำกัดหลายอย่าง วิทยาศาสตร์สมัยใหม่ไม่อาจจัดการกับข้อท้าทายต่าง ๆ แห่งศตวรรษที่21ได้อย่างเป็นที่น่าพอใจ. โดยเฉพาะอย่างยิ่ง วิทยาศาสตร์ล้มเหลวในการปกป้องสภาพแวดล้อม และแทนที่จะช่วยขจัดสงครามให้หมดไปจากแผ่นดินโลก วิทยาศาสตร์กลับช่วยประดิษฐ์คิดค้นอาวุธที่มีอานุภาพทำลายล้างอย่างกว้างขวาง.
จำเป็นต้องปฏิบัติอย่างรีบด่วน
ทุกคนต่างเห็นพ้องกันว่าต้องทำอะไรบางอย่างเร็ว ๆ นี้. เมื่อเดือนพฤศจิกายนปีที่แล้ว กลุ่มนักวิทยาศาสตร์ 1,575คน ซึ่งนับรวมผู้ได้รับรางวัลโนเบล 99คน ได้ออกคำแถลงชื่อว่า “คำเตือนต่อมนุษยชาติจากนักวิทยาศาสตร์ของโลก” โดยพวกเขาเขียนดังนี้: “มีเวลาเหลืออยู่ไม่เกินหนึ่งหรือสองทศวรรษก่อนที่โอกาสในการปัดป้องอันตรายซึ่งเราเผชิญอยู่ขณะนี้จะหมดไป และความคาดหวังต่าง ๆ ในอนาคตสำหรับมนุษยชาติก็แทบไม่เหลืออะไรให้เห็น.” พวกเขายืนยันว่า “มนุษย์กับโลกธรรมชาติกำลังจะประสานงากัน.”
เคยมีการกล่าวคำเตือนคล้ายกันก่อนหน้านี้. ที่จริง ในปี 1952 เบอร์แทร็นด์ รัสเซลล์ ปรัชญาเมธีชาวอังกฤษแห่งศตวรรษที่ 20 และเขาเองก็เป็นผู้หนึ่งที่สนับสนุนวิทยาศาสตร์ ได้กล่าวว่า “ถ้าชีวิตมนุษย์จะอยู่ ต่อไปทั้ง ๆ ที่มีวิทยาศาสตร์ มนุษย์จะต้องเรียนรู้การควบคุมอารมณ์ซึ่งในอดีตไม่ใช่สิ่งจำเป็น. คนเราจะต้องยอมอยู่ใต้กฎหมาย แม้เมื่อเขาคิดว่ากฎหมายไม่เที่ยงธรรมและไม่ยุติธรรม . . . หากไม่เป็นดังกล่าว เผ่าพันธุ์มนุษย์ก็จะพินาศสิ้น และจะพินาศสิ้นด้วยฝีมือของวิทยาศาสตร์. จะต้องทำการเลือกที่แน่ชัดภายในห้าสิบปี ทางเลือกระหว่างเหตุผลกับความตาย. และโดย ‘เหตุผล’ ข้าพเจ้าหมายถึงความเต็มใจที่จะยอมอยู่ใต้กฎหมายดังอำนาจสากลแถลงไว้. ข้าพเจ้าเกรงว่ามนุษยชาติอาจเลือกเอาความตาย. ข้าพเจ้าหวังให้ตนเองเป็นฝ่ายผิด.”
ความจริงก็คือ ผู้คนที่เต็มใจรักษามาตรฐานอันชอบธรรมในทุกวันนี้หายาก. มาร์ติน ลูเทอร์ คิง ผู้นำด้านการเรียกร้องสิทธิพลเรือนซึ่งล่วงลับไปแล้วเคยชี้แจงอย่างถูกต้องว่า “พลังทางวิทยาศาสตร์ของเราเหนือกว่าพลังทางศาสนา. เรามีขีปนาวุธนำวิถี และมีมนุษย์ถูกนำผิดวิถี.” กระนั้น รัสเซลล์ค้นพบวิธีแก้ปัญหาของโลกโดยไม่รู้ตัว เมื่อเขาบอกว่ามนุษยชาติจะต้อง “ยอมอยู่ใต้กฎหมายดังอำนาจสากลแถลงไว้.”
ใครจะแก้ปัญหาได้
จริงอยู่ เบอร์แทร็นด์ รัสเซลล์ไม่ได้อ้างถึงอำนาจของพระเจ้าเมื่อเขาพูดถึงกฎหมายดังอำนาจสากลแถลงไว้. กระนั้น การเชื่อฟังกฎหมายของอำนาจดังกล่าวนั่นแหละคือสิ่งจำเป็น. กฎหมายของมนุษย์และผู้มีอำนาจที่เป็นมนุษย์ไม่ใช่ทางแก้ปัญหาอย่างแน่นอน. พวกเขาไม่มีทางเปลี่ยนโลกได้เลย และฉะนั้นจึงไม่อาจป้องกันความหายนะได้. บันทึกอันน่าหดหู่ทางประวัติศาสตร์พิสูจน์ว่ามนุษย์จำเป็นต้องมีการปกครองจากพระเจ้า.c
แท้จริง เฉพาะพระเจ้าองค์ทรงฤทธานุภาพทุกประการผู้ทรงพระนามยะโฮวาเท่านั้นที่สามารถประทานอำนาจสากลพร้อมด้วยพลังและความปรีชาสามารถเพื่อรับมือกับข้อท้าทายแห่งศตวรรษที่21. (บทเพลงสรรเสริญ 83:18) อำนาจที่ทุกคนต้องยอมเชื่อฟังหากเขาอยากได้ชีวิตก็คือราชอาณาจักรของพระเจ้า อันได้แก่รัฐบาลโลกซึ่งถูกตั้งขึ้นในสวรรค์โดยพระเจ้ายะโฮวาพระผู้สร้าง.
คัมภีร์ไบเบิลบอกล่วงหน้าเกี่ยวกับรัฐบาลนี้นานมาแล้วว่า “ด้วยว่าจะมีบุตรคนหนึ่งเกิดขึ้นในพวกเรา คือทรงประทานบุตราคนหนึ่งให้แก่พวกเรา และท่านได้แบกการปกครองไว้เหนือบ่าของท่าน และจะขนานนามของท่านว่า . . . องค์สันติราช. ความจำเริญรุ่งเรืองแห่งรัฐบาลของท่านและสันติสุขจะไม่รู้สิ้นสุด.” (ยะซายา 9:6,7) บุตรผู้ซึ่งมีการบอกไว้ล่วงหน้านี้ คือพระเยซูคริสต์ มาเรียหญิงพรหมจารีตั้งครรภ์พระองค์โดยการอัศจรรย์และพระองค์ประสูติที่บ้านเบ็ธเลเฮม มณฑลยูดา.—ลูกา 1:30-33.
ขณะอยู่บนแผ่นดินโลก พระเยซูทรงสอนเหล่าสาวกของพระองค์ให้อธิษฐานขอรัฐบาลของพระเจ้าเมื่อพระองค์ตรัสว่า “ท่านทั้งหลายจงอธิษฐานตามอย่างนี้ว่า . . . ขอให้ราชอาณาจักรของพระองค์มาเถิด. พระทัยประสงค์ของพระองค์สำเร็จแล้วในสวรรค์อย่างไร ก็ขอให้สำเร็จบนแผ่นดินโลกอย่างนั้น.” (มัดธาย. 6:9,10, ล.ม.) เฉพาะแต่พระวิญญาณบริสุทธิ์อันทรงฤทธิ์หรือพลังปฏิบัติการของพระเจ้ายะโฮวาเท่านั้นสามารถช่วยคนผู้เต็มใจทำการเปลี่ยนแปลงที่จำเป็นในชีวิตของเขาเพื่อให้ประสานลงรอยกับกฎหมายอันชอบธรรมแห่งรัฐบาลของพระองค์. วิทยาศาสตร์ทำไม่ได้. ความขัดแย้งและความสับสนวุ่นวายหลายพันปีเป็นข้อพิสูจน์ว่าไม่มีทางทำได้.
พระเจ้ายะโฮวา ผู้ทรงความรู้ทางวิทยาศาสตร์อย่างถ่องแท้ไร้ข้อจำกัดใด ๆ จะทรงคอยดูแลแผ่นดินโลกให้อยู่ในสภาพอุทยาน เช่นเดียวกับที่เคยเป็นไปในสวนเอเดนเมื่อพระองค์ทรงสร้างมนุษย์คู่แรก. ในคราวนั้น พระองค์ทรงบัญชาเขาทั้งสองว่า “จงบังเกิดทวีมากขึ้นทั่วทั้งแผ่นดิน จงมีอำนาจเหนือแผ่นดิน.” (เยเนซิศ 1:28) แม้ว่าพวกเขาไม่เชื่อฟังและไม่ได้ทำงานที่รับมอบหมายให้สำเร็จ พระเจ้ายะโฮวาก็จะทรงดูแลให้พระประสงค์ดั้งเดิมของพระองค์เกี่ยวกับแผ่นดินโลกที่เป็นอุทยานสำเร็จเป็นจริง. “เราได้วางโครงการไว้แล้ว และเราจะทำให้สำเร็จ.” (ยะซายา 46:11) แต่เมื่อไรล่ะพระประสงค์ดั้งเดิมที่พระเจ้าทรงมีต่อแผ่นดินโลกจะสำเร็จเป็นจริง?
พระเยซูคริสต์และพวกอัครสาวกของพระองค์พรรณนาสภาพการณ์ซึ่งจะมีบนแผ่นดินโลกใน “สมัยสุดท้าย” ก่อนหน้าที่ราชอาณาจักรของพระเจ้าจะเข้ามาแทนที่รัฐบาลทั้งสิ้นของมนุษย์. (2ติโมเธียว 3:1-5; มัดธาย 24:3-14,37-39; 2เปโตร 3:3,4) เมื่อใคร ๆ อ่านคำพยากรณ์ในข้อคัมภีร์ไบเบิลเหล่านี้และเปรียบเทียบกับเหตุการณ์ต่าง ๆ ในโลก ก็คงเข้าใจชัดแจ้งว่าเรากำลังมีชีวิตอยู่ในเวลาที่ราชอาณาจักรของพระเจ้าจะลงมือปฏิบัติการดังพรรณนาไว้ในคัมภีร์ไบเบิลที่ดานิเอล 2:44 ที่ว่า “ในสมัยเมื่อกษัตริย์เหล่านั้นกำลังเสวยราชย์อยู่ พระเจ้าแห่งสรวงสวรรค์จะทรงตั้งอาณาจักรหนึ่งขึ้น ซึ่งจะไม่มีวันทำลายเสียได้ หรือผู้ใดจะชิงเอาอาณาจักรนี้ไปก็หาได้ไม่ แต่อาณาจักรนี้จะทำลายอาณาจักรอื่น ๆ ลงให้ย่อยยับและเผาผลาญเสียสิ้น และอาณาจักรนี้จะดำรงอยู่เป็นนิจ.”
ชีวิตในอนาคตอันใกล้นี้
ลองมโนภาพสิ่งซึ่งจะเกิดขึ้นในอนาคตอันใกล้นี้ดูสิ! ช่างเป็นสิ่งมหัศจรรย์อะไรเช่นนี้ที่รอท่ามนุษยชาติในช่วงศตวรรษที่กำลังมาถึง หรืออาจจะก่อนหน้านั้นด้วยซ้ำ! ผลกระทบในทางไม่ดีตลอดหลายพันปีแห่งการปกครองโดยมนุษย์ผู้ไม่สมบูรณ์, ศาสนาที่หน้าซื่อใจคด, การค้าที่ละโมบ, และวิทยาศาสตร์ของโลกนี้จะถูกแทนที่ด้วยการปกครองของพระเจ้า ซึ่งจะเป็นพระพรต่อมนุษย์เกินความคาดหมายใด ๆ ที่ยิ่งใหญ่ที่สุดของพวกเขาด้วยซ้ำ.
นี่คือวิธีที่คัมภีร์ไบเบิลพรรณนาถึงเหตุการณ์ต่าง ๆ ซึ่งจะเกิดขึ้นอย่างแน่นอนในโลกใหม่อันชอบธรรมของพระเจ้า: “ดูเถิด! พลับพลาของพระเจ้าอยู่กับมนุษยชาติ และพระองค์จะสถิตกับเขา และพวกเขาจะเป็นชนชาติต่าง ๆ ของพระองค์. และพระเจ้าเองจะทรงอยู่กับเขา. และพระองค์จะทรงเช็ดน้ำตาทุกหยดจากตาของพวกเขา และความตายจะไม่มีอีกต่อไป ทั้งความทุกข์โศกหรือเสียงร้องหรือความเจ็บปวดจะไม่มีอีกเลย. สิ่งที่เคยมีอยู่เดิมนั้นผ่านพ้นไปแล้ว.”—วิวรณ์ 21:3,4, ล.ม..
เพราะฉะนั้น สิ่งสำคัญอันดับแรกสำหรับคุณก็คือพึงสำนึกถึงการนับถอยหลังซึ่งจะจบลงอย่างรวดเร็ว ณ ความพินาศของระบบโลกนี้ที่อยู่ภายใต้การควบคุมของซาตานพญามาร ผู้ปกครองโลกที่มีอำนาจและไม่ประจักษ์แก่ตา. (โยฮัน 12:31; 2โกรินโธ 4:3,4) เป็นสิ่งสำคัญยิ่งที่คุณจะเรียนรู้พระทัยประสงค์ของพระเจ้าและทำตาม เพราะคัมภีร์ไบเบิลสัญญาว่า “โลกกับความปรารถนาของโลกกำลังผ่านพ้นไป แต่ผู้ที่กระทำตามพระทัยประสงค์ของพระเจ้าจะดำรงอยู่ตลอดไปเป็นนิตย์.”—1โยฮัน 2:17, ล.ม.
ดังนั้น ตราบเท่าที่เวลายังเหลืออยู่ ขอให้คุณใช้ประโยชน์อย่างฉลาดสุขุมจากการจัดเตรียมของพระยะโฮวาเพื่อความรอด. แล้วคุณก็จะได้รับสิทธิพิเศษเพลิดเพลินกับชีวิตในอนาคต ใช่แล้ว ในระหว่างศตวรรษที่21ซึ่งกำลังมาถึง—รวมทั้งศตวรรษที่ 22,23, และศตวรรษอื่น ๆ เรื่อยไปไม่มีสิ้นสุด.
[เชิงอรรถ]
a กล่าวตามหลักวิชาการ ศตวรรษที่ 21 จะเริ่มในวันที่ 1 มกราคม 2001. แต่หลักปฏิบัติที่นิยมกัน ถือว่าศตวรรษที่1เริ่มตั้งแต่ปี 1 ถึงปี 99 (ปี 0 ไม่มี); ศตวรรษที่ 2 ตั้งแต่ปี 100 ถึงปี 199; และตามหลักนี้ ศตวรรษที่ 21 จะเริ่มตั้งแต่ปี 2000 ถึงปี 2099.
b นี้เป็นตอนสุดท้ายของบทความชุดวิทยาศาสตร์หกตอน ในวารสาร ตื่นเถิด!
c ความไร้ประสิทธิภาพของรัฐบาลมนุษย์ได้รับการเน้นในบทความชุดของ ตื่นเถิด (ฉบับ 8 สิงหาคม 1990 และฉบับ 8 ตุลาคม 1990 ถึงฉบับ 8 มกราคม 1991) เรื่อง “การปกครองของมนุษย์นำขึ้นชั่งแล้ว”.
[กรอบหน้า14]
ข่าวดีท่ามกลางข่าวร้าย
ทั้ง ๆ ที่มีความก้าวหน้าทางวิทยาศาสตร์ ก็ยังมีการพบเห็นเด็ก ๆ หิวโหยตายและผู้ใหญ่ผอมโซจำนวนมากมาย. แต่ในไม่ช้า ภายใต้ราชอาณาจักรมาซีฮาของพระเจ้า “ธัญญาหารจะบริบูรณ์บนแผ่นดิน; ต้นไม้บนยอดเขาจะมีผลดก.”—บทเพลงสรรเสริญ 72:16, ล.ม.
ทั้ง ๆ ที่มีความก้าวหน้าทางวิทยาศาสตร์ การบีบคั้นกดขี่และความรุนแรงก็ยังเกิดขึ้นท่ามกลางคนหลายล้าน. แต่ในไม่ช้า พระมหากษัตริย์แห่งราชอาณาจักรมาซีฮาของพระเจ้า “จะทรงช่วยคนขัดสนเมื่อเขาร้องทุกข์ และจะทรงช่วยคนอนาถาที่ไม่มีผู้อุปถัมภ์. . . . พระองค์จะไถ่ชีวิตของเขาให้พ้นจากการข่มเหงและการร้ายกาจ.”—บทเพลงสรรเสริญ 72:12-14.
ทั้ง ๆ ที่มีความก้าวหน้าทางวิทยาศาสตร์ จำนวนคนจรจัด ไร้บ้านช่องและไม่มีอาหารในปริมาณที่เพียงพอ ก็ยังเพิ่มขึ้นเรื่อย ๆ ทั่วโลก. แต่ในไม่ช้า ภายใต้ราชอาณาจักรมาซีฮาของพระเจ้า ประชาชน “จะสร้างบ้านเรือนและจะได้อยู่เป็นแน่ . . . เขาจะไม่สร้างแล้วคนอื่นอยู่อาศัย; เขาจะไม่ปลูกแล้วคนอื่นได้กิน.”—ยะซายา 65:21,22, ล.ม.
ทั้ง ๆ ที่มีความก้าวหน้าทางการแพทย์ โรคต่าง ๆ ที่น่าจะป้องกันได้ก็ยังคงทำลายชีวิตผู้คนนับล้าน ๆ. แต่ในไม่ช้า ภายใต้ราชอาณาจักรมาซีฮาของพระเจ้า “จะไม่มีใครที่อาศัยอยู่ที่นั่นพูดว่า ‘ข้าพเจ้าป่วยอยู่.’”—ยะซายา 33:24.
[รูปภาพหน้า 15]
ทุกหนแห่งบนแผ่นดินโลกชีวิตจะเป็นที่เบิกบานยินดี
[ที่มาของภาพ 15]
Courtesy Hartebeespoortdam Snake and Animal Park