หนุ่มสาวถามว่า . . .
จะว่าอย่างไรถ้าฉันหลงรักผู้ไม่มีความเชื่อ?
“ฉันมีปัญหา” เด็กสาวคริสเตียนคนหนึ่งรับสารภาพ. “ฉันหลงรักคนข้างบ้าน. เขาเป็นคนใจดี, สุภาพ, และเห็นอกเห็นใจ แต่มีสิ่งหนึ่งที่เขาไม่ได้เป็น—นั่นคือ ผู้ที่รักพระยะโฮวา. ฉันรู้ว่าผิดที่ไปชอบเขา แต่ฉันไม่แน่ใจว่าจะจัดการอย่างไรกับความรู้สึกที่มีต่อเขา.”
มาร์กอายุ 14 ปีตอนที่เขาพบว่าตนเองก็อยู่ในสภาพการณ์คล้ายคลึงกัน.a เขาหลงรักเด็กสาวคนหนึ่งซึ่งมีความเชื่อทางศาสนาไม่เหมือนกับเขา.เขาบอกว่า “ผมมักจะนึกฝันว่าจะเป็นเช่นไรถ้าได้แต่งงานกัน. แต่ผมก็รู้ว่าผิด.”
การหลงรักใครสักคนเป็นเรื่องปกติในช่วงวัยรุ่น เมื่อพลังกระตุ้นในเรื่องรัก ๆ ใคร่ ๆ รุนแรง. (เทียบกับ 1 โกรินโธ 7:36.) เพราะไม่มีทางระบายความรู้สึกเช่นนั้นได้อย่างถูกต้อง เยาวชนจึงมีแนวโน้มที่จะหลงรักครู, ศิลปิน, และคนอื่น ๆ ที่ตนโปรด. เนื่องจากสายสัมพันธ์ส่วนตัวกับผู้ใหญ่ดังกล่าว ส่วนใหญ่แล้วไม่อาจเป็นไปได้ การหลงรักเช่นนั้นจึงมักเกิดขึ้นเพียงชั่วเวลาสั้น ๆ และไม่ค่อยมีผลเสีย.b กระนั้น จะว่าอย่างไรหากคุณพัฒนาความรู้สึกแรงกล้าต่อเพื่อนวัยเดียวกัน—ซึ่งเป็นผู้ที่เต็มใจและสามารถมีสายสัมพันธ์กันได้—แต่ผู้นั้นไม่มีความเชื่อในศาสนาเดียวกันกับคุณ?
บางคนอาจไม่มองสิ่งนี้ว่าเป็นปัญหา. ประการหนึ่งก็คือ เยาวชนจำนวนมากไม่ค่อยสนใจศาสนา. และแม้แต่ในพวกที่สนใจศาสนา ก็อาจไม่มองการนัดพบกับผู้ต่างความเชื่อว่าเป็นเรื่องเสียหาย. คนที่มีความคิดเสรีอาจถึงกับเห็นชอบเสียด้วยซ้ำ. กระนั้น ผู้ใหญ่จำนวนมากมองเห็นปัญหาที่อาจเกิดขึ้นได้ในสายสัมพันธ์เช่นนั้น โดยเฉพาะอย่างยิ่งเนื่องจากความสัมพันธ์ดังกล่าวมักนำไปสู่การสมรส. นักเขียนชื่อแอนเดรีย อีแกน แนะนำหนุ่มสาวอย่างนี้: “การมีพื้นเพทางศาสนาเหมือนกันไม่ใช่เรื่องสำคัญหากทั้งคู่ไม่เคร่งศาสนา. แต่ถ้ากิจปฏิบัติทางศาสนาเป็นเรื่องสำคัญสำหรับฝ่ายใดฝ่ายหนึ่งหรือทั้งสองฝ่าย เมื่อนั้นความแตกต่างทางศาสนาจะต้องนำมาพิจารณา. . . . คุณไม่จำเป็นต้องเหมือนกัน เมื่อเป็นเรื่องศาสนา . . . , แต่คุณจะต้องสามารถอยู่ด้วยกันได้.”
คำแนะนำเช่นนี้อาจฟังดูมีเหตุผล. แต่ในความเป็นจริงแล้ว คำแนะนำนี้สะท้อนถึง “ปัญญาของโลกนี้.” (1 โกรินโธ 3:19) คัมภีร์ไบเบิลแสดงให้เห็นว่า เรื่องรัก ๆ ใคร่ ๆ ระหว่างผู้ที่มีความเชื่อกับผู้ที่ไม่มีความเชื่อนั้นก่อให้เกิดประเด็นซึ่งสำคัญยิ่งกว่าการเข้ากันได้ในชีวิตสมรส. หนุ่มสาวพยานพระยะโฮวารู้ว่า นี่เป็นเรื่องการเชื่อฟังพระวจนะของพระเจ้า ซึ่งกระตุ้นให้คริสเตียนสมรสกับ “ผู้ที่เชื่อถือองค์พระผู้เป็นเจ้า.” (1 โกรินโธ 7:39) เนื่องจากการนัดพบไม่ใช่เป็นเพียงเรื่องสราญใจ แต่เป็นการเริ่มปูทางสู่การสมรส พระเจ้าจะไม่พอพระทัยผู้รับใช้ของพระองค์ที่เข้าไปพัวพันเชิงรัก ๆ ใคร่ ๆ กับผู้ที่ไม่ได้อุทิศชีวิตของตนแด่พระยะโฮวา.
ถึงกระนั้น หนุ่มสาวพยานฯ บางคนพบว่าตนเองไปหลงเสน่ห์ผู้ที่ไม่มีความเชื่อ. สิ่งนี้เกิดขึ้นได้อย่างไร? คุณควรทำอย่างไรหากพบว่าตนเองตกอยู่ในสภาพเช่นนั้น?
วิธีที่สิ่งนี้เกิดขึ้น
ก่อนอื่น ขอให้ตระหนักว่า มนุษย์ทุกคนมีแนวโน้มที่จะทำผิด. ผู้ประพันธ์เพลงสรรเสริญถามว่า “ความผิดพลั้งของตน ใครอาจจะรู้ได้?” (บทเพลงสรรเสริญ 19:12) หนุ่มสาวมีแนวโน้มเป็นพิเศษที่จะพลั้งผิดในเรื่องรัก ๆ ใคร่ ๆ. เพราะเหตุใด? เหตุผลง่าย ๆ ก็คือพวกเขาขาดความหยั่งเห็นซึ่งมากับประสบการณ์และอายุ. (สุภาษิต 1:4) เนื่องจากมีประสบการณ์น้อยในการติดต่อกับเพศตรงข้าม หนุ่มสาวคริสเตียนอาจไม่รู้ว่าจะรับมืออย่างไรเมื่อไปหลงเสน่ห์ หรือเป็นที่ต้องตาต้องใจของเพศตรงข้าม.
นี่เป็นกรณีที่เกิดกับชีลาเมื่อเธอมารู้ตัวว่าเพื่อนนักเรียนคนหนึ่งหลงรักเธอ. ชีลาบอกว่า “ฉันบอกได้เลยว่าเขาชอบฉัน. ในช่วงพักเที่ยง เขาจะมารับประทานอาหารกับฉัน. ในชั่วโมงศึกษาด้วยตนเอง ณ ห้องสมุด เขาจะหาฉันจนพบ.” ชีลาเริ่มมีความรู้สึกต่อเด็กหนุ่มคนนั้นมากขึ้นเรื่อย ๆ. มาร์กซึ่งกล่าวถึงในตอนต้นก็เล่าทำนองเดียวกันว่า “ผมจะเห็นเด็กสาวคนนี้ในชั่วโมงพลศึกษาเสมอ. เธอพยายามเป็นพิเศษที่จะเข้ามาหาผม แล้วพูดคุยด้วย. ไม่ยากที่จะพัฒนามิตรภาพต่อกัน.” ในกรณีของแพมวัย 14 ปี เด็กหนุ่มที่อยู่ในละแวกบ้านก้าวไกลถึงขั้นให้แหวนอันเป็นการแสดงความเสน่หาต่อเธอ.
ต้องยอมรับว่า ไม่ใช่พยานฯ เสมอไปที่ตกเป็นเหยื่อการหลงเสน่ห์โดยไม่รู้ตัว. เด็กสาวคนหนึ่งก็แค่ตอบสนองต่อความสนใจอันเห็นได้ชัดที่เด็กหนุ่มคริสเตียนชื่อจิมแสดงออก. แต่ เรื่องก็เผยออกมาเมื่อวันหนึ่งเธอปรากฏตัวที่หอประชุมของพยานพระยะโฮวา ตามมาหาเขา!
ไม่ว่าสภาพการณ์จะเป็นเช่นไร คุณก็คงทราบอยู่แล้วว่าผิดที่จะเข้าไปพัวพันกับเรื่องเช่นนั้น. แต่บางครั้ง เป็นการยากที่จะต้านทานความสนใจจากเพศตรงข้าม. ลองพิจารณากรณีของแอนดรูว์. ช่วงปีแรกในโรงเรียนมัธยมศึกษา บิดามารดาของเขากำลังจะหย่ากัน. เขาหวนระลึกว่า “ผมต้องการใครสักคนที่จะคุยด้วย.” เด็กสาวคนหนึ่งที่โรงเรียนดูเหมือนจะมีคำหนุนใจที่เหมาะสำหรับเขาเสมอ. ไม่ช้า ความรู้สึกรักใคร่ชอบพอต่อกันก็เกิดขึ้น.
อันตรายต่าง ๆ
หากปล่อยไว้โดยไม่ยับยั้ง ความรู้สึกเช่นนั้นจะทำให้คุณตกเข้าสู่ความยุ่งยากลำบากอย่างแท้จริง. พระธรรมสุภาษิต 6:27 กล่าวว่า “บุรุษใดเล่าเมื่อเอาไฟใส่ที่หน้าอกของตน, เสื้อผ้าของเขาจะไม่ไหม้หรือ?” เพื่อเป็นตัวอย่าง ขอพิจารณาประสบการณ์ของเด็กสาวที่ชื่อคิม. แม้ได้รับการเลี้ยงดูฐานะเป็นคริสเตียน แต่เธอก็ปล่อยตัวเข้าไปพัวพันทางอารมณ์กับเด็กหนุ่มคนหนึ่งที่โรงเรียน. คิมจำได้ว่า “เขาเป็นคนดังและเป็นคนน่าเร้าใจที่สุดคนหนึ่งในโรงเรียน.” ไม่ช้า เธอก็แอบไปร่วมงานเลี้ยงที่มีการใช้ยาเสพย์ติดอย่างเปิดเผย. “ฉันกลัวมาก แต่ฉันรักเขา. แล้วฉันก็ท้อง.” คิมแต่งงานกับแฟนหนุ่มของเธอ แต่เขาลงเอยในคุกจากข้อหาปล้นด้วยอาวุธ. อีกครั้งหนึ่ง คำเตือนในคัมภีร์ไบเบิลได้พิสูจน์ให้เห็นความจริงที่ว่า “การคบหาสมาคมที่ไม่ดีย่อมทำให้นิสัยดีเสียไป.”—1 โกรินโธ 15:33, ล.ม.
ทั้งนี้ไม่ได้หมายความว่า หนุ่มสาวที่ไม่ใช่พยานพระยะโฮวา ไม่มีศีลธรรมหรือใช้ยาเสพย์ติดทุกคนไป. แต่อย่างน้อย หนุ่มสาวเหล่านั้นไม่ได้มีค่านิยม, ทัศนะ, หรือเป้าหมายอย่างเดียวกับหนุ่มสาวพยานฯ. หนึ่งโกรินโธ 2:14 อธิบายว่า ผู้ที่ไม่มีความเชื่อ “จะรับสิ่งเหล่านั้นซึ่งเป็นของพระวิญญาณแห่งพระเจ้าไม่ได้ ด้วยสิ่งเหล่านั้นเขาเห็นเป็นความโง่ และเขาเข้าใจไม่ได้, เพราะว่าซึ่งจะเข้าใจสิ่งเหล่านั้นต้องสังเกตโดยวิญญาณ.” ลองคิดดูซิว่า ค่านิยมทางศาสนาได้นวดปั้นอารมณ์ความรู้สึกของคุณมากน้อยเพียงใด เช่น ความปีติยินดีที่คุณได้รับ ณ การประชุมคริสเตียน, ความตื่นเต้นที่ได้แบ่งปันข่าวสารจากคัมภีร์ไบเบิลให้แก่ผู้ที่มีใจตอบรับ, ความชื่นชมที่ได้ศึกษาคัมภีร์ไบเบิล. เป็นไปได้ไหมที่ผู้ไม่มีความเชื่อจะเข้าใจ—อย่าว่าแต่มีส่วนร่วม—ในความรู้สึกเช่นนั้น? คงเป็นไปไม่ได้.
ด้วยเหตุนี้ เปาโลจึงเตือนคริสเตียนว่า “อย่าเข้าเทียมแอกด้วยกันกับคนที่ไม่เชื่อ เพราะว่าความชอบธรรมจะมีหุ้นส่วนอะไรกับความชั่ว? และความสว่างจะเข้าสนิทกันกับความมืดได้อย่างไร? พระคริสต์กับเบลิอาลจะมีเสียงเข้ากันอย่างไรได้? หรือคนที่เชื่อจะมีส่วนอะไรกับคนที่ไม่เชื่อ?” (2 โกรินโธ 6:14, 15) เด็กสาวชื่อซอนยาได้รับบทเรียนนี้ด้วยตนเอง เมื่อเธอเข้าไปมีส่วนพัวพันทางอารมณ์กับผู้ที่ไม่มีความเชื่อ. เธอยอมรับว่า “การมีเพื่อนซึ่งคุณไม่สามารถมีส่วนร่วมในความกระตือรือร้นและความรักที่มีต่อพระยะโฮวาเป็นความเปล่าเปลี่ยวที่เลวร้ายที่สุดเท่าที่นึกภาพได้. เป็นความบอบช้ำทางอารมณ์. เมื่อความจริงเป็นพลังกระตุ้นในชีวิตของคุณ คุณจำต้องแบ่งปันให้ผู้อื่น—คุณต้องทำแน่ ๆ! เป็นความรู้สึกที่ว่างเปล่าจริง ๆ เมื่อคุณไม่สามารถแบ่งปันความจริงกับคู่ของคุณเพราะคุณอยู่กับผู้ที่ไม่มีความเชื่อ.”
ฉะนั้น ในสายสัมพันธ์ดังกล่าว ศาสนาอาจกลายเป็นเรื่องหลักที่โต้แย้งกัน ไม่ใช่เรื่องที่เห็นพ้องต้องกัน. คุณอาจรู้สึกถูกบีบคั้นได้อย่างง่ายดายให้ลดความสนใจฝ่ายวิญญาณของคุณลง เพื่อรักษาความสงบไว้. แต่การทำเช่นนั้นรังแต่จะทำลายสภาพฝ่ายวิญญาณของคุณ. หญิงสาวคนหนึ่งเล่าว่า “ดิฉันไปสนิทกับผู้ชายคนหนึ่งซึ่งไม่ใช่พยานฯ. แต่ขณะที่มิตรภาพของเราแน่นแฟ้นยิ่งขึ้น ดิฉันก็ได้ตระหนักว่าหลงรักเขาเข้าแล้ว. ทีละเล็กทีละน้อย สัมพันธภาพของดิฉันกับพระยะโฮวาเริ่มมีความสำคัญน้อยลงสำหรับดิฉัน ส่วนสัมพันธภาพของดิฉันกับเด็กหนุ่มคนนี้กลับกลายเป็นสิ่งที่สำคัญที่สุดต่อดิฉัน. ดิฉันไม่อยากไปประชุม, ไม่อยากคบหากับพี่น้องคริสเตียน, หรือออกประกาศอีกต่อไป. สิ่งเดียวที่ดิฉันต้องการคืออยู่กับเขา. ดิฉันเลิกปฏิบัติกิจกรรมฐานะพยานฯ เป็นเวลาสองปีต่อจากนั้น. และตลอดระยะเวลานั้น ‘เพื่อน’ คนนี้ไม่เคยตอบสนองความรักที่ดิฉันมีต่อเขาเลย. ดิฉันได้แต่คิดว่า สักวันหนึ่งเขาจะรักดิฉันบ้าง แต่เหตุการณ์นั้นไม่เกิดขึ้นเลย.”
ใช่แล้ว การเข้าไปพัวพันกับใครสักคนที่ไม่มีค่านิยมทางศาสนาและทางศีลธรรมเหมือนกับคุณย่อมนำความเสียใจและความทุกข์มาสู่คุณอย่างแน่นอน. แนวทางแห่งปัญญาคือถอนตัวจากการเข้าเทียมแอกที่ไม่เสมอกัน.
[เชิงอรรถ]
a บางชื่อได้รับการเปลี่ยน.
b ดูบท 28 ของหนังสือปัญหาที่หนุ่มสาวถาม—คำตอบซึ่งใช้การได้ (ภาษาอังกฤษ) จัดพิมพ์โดยสมาคมว็อชเทาเวอร์ ไบเบิล แอนด์ แทร็กต์ แห่งนิวยอร์ก.
[รูปภาพหน้า 21]
ผู้ไม่มีความเชื่อจะร่วมในความกระตือรือร้นของคุณต่อสิ่งฝ่ายวิญญาณไหม?