คริสตจักรคาทอลิกในแอฟริกา
โดยผู้สื่อข่าว ตื่นเถิด! ในประเทศอิตาลี
คริสตจักรคาทอลิกมีผู้นับถือหลายสิบล้านคนในแอฟริกา และปัญหาของคาทอลิกที่นั่นก็หนักเอาการทีเดียว. ผู้นำคริสตจักรมากกว่า 300 คนได้มาชุมนุมกันเมื่อต้นปีที่แล้ว ณ วาติกัน ในกรุงโรมเพื่อหารือถึงปัญหาเหล่านี้บางอย่างระหว่างการประชุมสังฆสภาครั้งพิเศษนานหนึ่งเดือน.
โปปกล่าวตอนเปิดการประชุม ตามรายงานใน ลอสเซร์วาโตเร โรมาโน ดังนี้: “วันนี้เป็นครั้งแรกที่ได้จัดประชุมสังฆสภาแห่งคริสตจักรแอฟริกาซึ่งเกี่ยวข้องกับทวีปนี้ทั้งทวีป. . . . ตัวแทนจากทั่วแอฟริกาอยู่พร้อมหน้ากันวันนี้ใน เซนต์ ปีเตอร์ส บาซิลิกา. บิชอปแห่งโรมกล่าวทักทายแอฟริกาด้วยความรักอย่างสุดซึ้ง.”
สงครามเผ่า
ดังที่หลายคนตระหนัก ปัญหาของคริสตจักรคาทอลิกใหญ่หลวงเป็นพิเศษในประเทศบุรุนดีและรวันดาแห่งแอฟริกา ซึ่งส่วนใหญ่นับถือคาทอลิก. สงครามเผ่าที่นั่นกลายเป็นข่าวระดับนานาชาติในฤดูใบไม้ผลิปีที่แล้ว เมื่อผู้คนหลายแสนถูกสังหารด้วยน้ำมือเพื่อนบ้านของเขาเอง. ประจักษ์พยานคนหนึ่งรายงานว่า “เราเห็นพวกผู้หญิงที่สะพายลูกไว้ข้างหลังกำลังฆ่าคน. เราเห็นเด็กฆ่าเด็กด้วยกัน.”
หนังสือพิมพ์แนชันแนล คาทอลิก รีพอร์เตอร์ เล่าถึงความเจ็บปวดรวดร้าวของผู้นำคาทอลิก. วารสารนั้นกล่าวว่า โปป “รู้สึก ‘เจ็บปวดสุดแสน’ ต่อรายงานที่เพิ่งได้รับหมาด ๆ เรื่องความขัดแย้งในประเทศเล็ก ๆ ของแอฟริกา [บุรุนดี] ซึ่งประชากรส่วนใหญ่เป็นคาทอลิก.”
การสังหารหมู่ในรวันดายังความเสียหายต่อผู้นำของคาทอลิกมากยิ่งกว่านั้นอีก. “โปปตำหนิการฆ่าล้างเผ่าพันธุ์ในชาติซึ่ง 70 เปอร์เซ็นต์นับถือคาทอลิก” เป็นพาดหัวข่าวของหนังสือพิมพ์ฉบับเดียวกัน. บทความนั้นให้ข้อสังเกตว่า “การสู้รบในประเทศแถบแอฟริกา ‘เป็นการฆ่าล้างเผ่าพันธุ์โดยแท้ ซึ่งโชคร้ายที่ชาวคาทอลิกเองมีส่วนรับผิดชอบด้วย’ โปปกล่าว.”
เนื่องจากความโหดร้ายต่าง ๆ ในรวันดากระทำกันในเวลาเดียวกับที่สังฆสภาคาทอลิกได้ประชุมกันเป็นครั้งประวัติศาสตร์ในกรุงโรม จึงเห็นได้ชัดว่าบรรดาบิชอปมุ่งความสนใจไปยังสถานการณ์ในรวันดา. แนชันแนล คาทอลิก รีพอร์เตอร์ ตั้งข้อสังเกตว่า “ความขัดแย้งในรวันดาเผยให้เห็นสิ่งที่น่าตกใจบางอย่าง: ความเชื่อฝ่ายคริสเตียนในแอฟริกาไม่ได้หยั่งรากลึกพอที่จะเอาชนะคตินิยมเผ่าได้.”
จากการสังเกตความห่วงใยของบิชอปที่มาชุมนุมกันแนชันแนล คาทอลิก รีพอร์เตอร์ กล่าวต่อไปว่า “หัวข้อนี้ [คตินิยมเผ่า] ได้รับการชี้แจงโดย อัลเบิร์ต คาเนเน โอบีฟูนา บิชอปแห่งเมืองออกา ไนจีเรีย ซึ่งได้กล่าวต่อสังฆสภา.” ในคำกล่าวของเขา โอบีฟูนาอธิบายว่า “ชาวแอฟริกาทั่วไปดำเนินชีวิตครอบครัวและชีวิตคริสเตียนของเขาโดยรวมจุดความสนใจอยู่ที่เรื่องเผ่า.”
ครั้นแล้ว โดยหมายถึงรวันดาอย่างไม่ต้องสงสัย โอบีฟูนากล่าวต่อสังฆสภาต่อไปว่า “ทัศนคติแบบนี้แผ่ซ่านไปทั่วจนมีการพูดท่ามกลางชาวแอฟริกาว่า เมื่อถึงคราวที่ต้องตัดสินใจ สิ่งที่ครอบงำความคิดไม่ใช่แนวคิดแบบคริสเตียนของคริสตจักรในฐานะเป็นครอบครัวแต่กลับเป็นภาษิตที่ว่า ‘เลือดข้นกว่าน้ำ.’ และน้ำที่กล่าวถึงในที่นี้คนเราอาจเหมารวมถึงน้ำบัพติสมาซึ่งเขาได้ถือกำเนิดเป็นสมาชิกคริสตจักรโดยทางน้ำนั้น. ความสัมพันธ์ทางสายเลือดสำคัญมากกว่าแม้สำหรับชาวแอฟริกาที่เข้ามาเป็นคริสเตียน.”
ด้วยเหตุนี้ บิชอปจึงยอมรับว่าในแอฟริกาศาสนาคาทอลิกไม่เคยประสบผลสำเร็จในการสร้างภราดรภาพคริสเตียนที่ซึ่งผู้เชื่อถือรักกันและกันอย่างแท้จริงดังพระเยซูคริสต์สอนว่าพวกเขาควรทำ. (โยฮัน 13:35) แต่ “ความสัมพันธ์ทางสายเลือดสำคัญกว่า” สำหรับชาวแอฟริกาคาทอลิก. สิ่งนี้ยังผลให้พวกเขาถือเอาความเกลียดชังระหว่างเผ่าขึ้นหน้าสิ่งอื่นใด. ดังที่โปปยอมรับ ชาวคาทอลิกในแอฟริกาต้องรับผิดชอบต่อความโหดร้ายทารุณที่สุดในความทรงจำเมื่อไม่นานมานี้.
ความอยู่รอดอยู่ในระหว่างเสี่ยง
บิชอปชาวแอฟริกาในการประชุมสังฆสภาแสดงความวิตกกลัวเกี่ยวกับความอยู่รอดของลัทธิคาทอลิกในแอฟริกา. “ถ้าพวกเราต้องการให้คริสตจักรดำรงอยู่ต่อไปในประเทศของผม เราต้องพิจารณาอย่างจริงจังมาก ๆ เกี่ยวกับปัญหาเรื่องการผสานวัฒนธรรม” โบนิฟาเชียส เฮาชิคุ บิชอปชาวนามิเบียกล่าว.
สำนักงานหนังสือพิมพ์คาทอลิกอิตาเลียน อดิสตา แสดงออกถึงความรู้สึกคล้ายคลึงกันโดยกล่าวว่า “ที่จะพูดถึง ‘การผสานวัฒนธรรม’ ของกิตติคุณในแอฟริกาหมายถึงการพูดเกี่ยวกับชะตากรรมของคริสตจักรคาทอลิกในทวีปนั้นทีเดียว คือโอกาสที่จะอยู่รอดหรือจะไป.”
บิชอปหมายถึงอะไรเกี่ยวกับ “การผสานวัฒนธรรม”?
คริสตจักรกับ “การผสานวัฒนธรรม”
จอห์น เอ็ม. วาลิกโก อธิบายว่า “การดัดแปลง (ตาม) เป็นคำที่ใช้กันมานานเพื่อแสดงถึงสภาพความเป็นจริงอย่างเดียวกัน.” เพื่อให้ง่ายขึ้น “การผสานวัฒนธรรม” หมายถึงการรับเอาประเพณีและแนวคิดจากศาสนาประจำเผ่าเข้าไว้ในพิธีกรรมและการนมัสการของคาทอลิก โดยให้ชื่อใหม่และความหมายใหม่กับสิ่งที่มีมาแต่โบราณเช่น พิธี, วัตถุ, กิริยาท่าทาง, และสถานที่ต่าง ๆ.
การผสานวัฒนธรรมยอมให้ชาวแอฟริกาเป็นคาทอลิกที่มีชื่อเสียงดีและกระนั้นยังคงยึดอยู่กับการปฏิบัติ, พิธีรีตอง, และยึดถือศาสนาประจำเผ่าของพวกเขาได้. ควรมีข้อคัดค้านในเรื่องนี้ไหม? ยกตัวอย่างเช่น หนังสือพิมพ์ภาษาอิตาลีชื่อ ลา รีปุบบลิกา ถามว่า “ไม่เป็นความจริงหรือที่ในยุโรปคริสต์มาสฝังยึดอยู่กับเทศกาล โซลิส อินวิคติ ซึ่งตกในวันที่ 25 ธันวาคม?”
ที่จริงแล้ว ตามที่โยเซฟ คาร์ดินัล ทอมโก ซึ่งเป็นคาร์ดินัลแห่งคริสตจักรเผยแพร่กิตติคุณแก่ประชาชนให้ข้อสังเกตว่า “คริสตจักรที่ทำการเผยแพร่ ได้ปฏิบัติงานผสานวัฒนธรรมมานานแล้วก่อนจะมีการใช้คำนี้.” การฉลองคริสต์มาสช่วยให้เห็นภาพนี้ได้อย่างดี ดังที่ ลา รีปุบบลิกา ให้ข้อสังเกตไว้. ต้นกำเนิดของคริสต์มาสมาจากการฉลองแบบนอกรีต. สารานุกรม นิว คาทอลิก ยอมรับเรื่องนี้ว่า “วันที่ 25 ธันวาคม มิได้ตรงกับประสูติกาลของพระคริสต์ แต่ตรงกับงานเลี้ยงฉลองของนาทาลิส โซลิส อินวิคติ วันเฉลิมฉลองพระอาทิตย์ของชาวโรมัน ณ วันที่ดวงอาทิตย์อยู่ไกลที่สุด.”
คริสต์มาสเป็นเพียงหนึ่งในหลาย ๆ ธรรมเนียมประเพณีของคริสตจักรที่ยึดติดกับลัทธินอกรีต. ความเชื่ออื่น ๆ ต่อไปนี้ก็มาจากลัทธินอกรีตเช่นกันคือตรีเอกานุภาพ, จิตวิญญาณอมตะ, และจิตวิญญาณมนุษย์ได้รับการทรมานชั่วนิรันดร์หลังจากตาย. จอห์น เฮนรี คาร์ดินัล นิวแมน แห่งศตวรรษที่ 19 เขียนว่า “ชนชั้นปกครองของคริสตจักรตั้งแต่ยุคต้นเตรียมพร้อมอยู่แล้วถ้าโอกาสเปิดให้ที่จะรับเอามาใช้, หรือลอกเลียน, หรืออนุมัติพิธีและธรรมเนียมประเพณีที่มีอยู่ของสามัญชน.” โดยจัดรายชื่อกิจปฏิบัติและวันหยุดต่าง ๆ หลายอย่างของคริสตจักร เขากล่าวว่า กิจปฏิบัติเหล่านั้น “ล้วนมาจากนอกรีต และทำให้ศักดิ์สิทธิ์โดยการรับเข้ามาใช้ในคริสตจักร.”
เมื่อชาวคาทอลิกเข้าไปในดินแดนที่ไม่ใช่คริสเตียน เช่น ส่วนต่าง ๆ ของแอฟริกา พวกเขามักพบว่าประชาชนมีกิจปฏิบัติทางศาสนาและความเชื่ออยู่แล้ว ซึ่งคล้ายกับของคริสตจักร. ทั้งนี้ก็เพราะระหว่างหลายศตวรรษก่อนหน้านั้นคริสตจักรได้รับเอากิจปฏิบัติและคำสอนต่าง ๆ มาจากคนที่ไม่ใช่คริสเตียนและนำสิ่งเหล่านี้เข้าสู่ลัทธิคาทอลิก. คาร์ดินัล นิวแมน อ้างว่ากิจปฏิบัติและการสอนเช่นนั้นถูก “ทำให้ศักดิ์สิทธิ์โดยการรับเอามาใช้ในคริสตจักร.”
ดังนั้น เมื่อโปป จอห์น พอล ที่สอง เยี่ยมประชาชนที่ไม่ใช่คริสเตียนในแอฟริกาปีที่แล้ว ลอสเซร์วาโตเร โรมาโน ได้ยกคำพูดของเขาขึ้นมากล่าวดังนี้: “ใน โคโตเนา [ประเทศเบนิน, แอฟริกา] ข้าพเจ้าพบบรรดาผู้นับถือวูดู และเห็นได้ชัดจากวิธีการพูดของพวกเขาว่า พวกเขามีอะไรบางอย่างที่คริสตจักรต้องการจะเสนอให้อยู่แล้วในความคิด, พิธีกรรม, สัญลักษณ์, และแนวโน้มของพวกเขา. พวกเขาเพียงแต่กำลังรอเวลาที่ใครสักคนจะมาและยื่นมือช่วยพวกเขาข้ามธรณีประตูและหลังจากรับบัพติสมาก็ดำเนินชีวิตต่อไป ซึ่งในบางแง่พวกเขากำลังดำเนินชีวิตและมีประสบการณ์อย่างนั้นอยู่แล้วก่อนรับบัพติสมา.”
คุณควรจะทำอะไร?
ความล้มเหลวของคริสตจักรในอันที่จะสอนหลักการคริสเตียนแท้ โดยไม่มีสิ่งเจือปนให้กับชาวแอฟริกานั้นก่อผลเป็นความหายนะ. คตินิยมเผ่ายังคงมีอยู่ เช่นเดียวกับชาตินิยมที่มีอยู่ทุกหนแห่ง ยังผลให้ชาวคาทอลิกด้วยกันสังหารกัน. ช่างเป็นการหลู่เกียรติพระคริสต์เสียนี่กระไร! คัมภีร์ไบเบิลกล่าวว่าการฆ่าผู้อื่นอย่างผิดกฎหมายเช่นนั้นชี้ตัวพวกเขาว่าเป็น “ลูกของมาร” และพระเยซูกล่าวเกี่ยวกับคนเช่นนั้นว่า “เจ้าทั้งหลายผู้ประพฤติล่วงพระบัญญัติ จงถอยไปจากเรา.”—1 โยฮัน 3:10-12; มัดธาย 7:23.
เพราะฉะนั้นชาวคาทอลิกที่มีหัวใจสุจริตต้องทำเช่นไร? คัมภีร์ไบเบิลเตือนคริสเตียนให้ระวังการอะลุ้มอล่วยต่อกิจปฏิบัติหรือความเชื่อซึ่งจะทำให้การนมัสการของพวกเขาเป็นมลทินในสายพระเนตรของพระเจ้า. “อย่าเข้าเทียมแอกด้วยกันกับคนที่ไม่เชื่อ” คัมภีร์ไบเบิลกล่าวไว้. เพื่อจะได้รับความโปรดปรานจากพระเจ้า คุณต้อง ‘อยู่ต่างหาก อย่าถูกต้องสิ่งซึ่งเป็นมลทินในสายพระเนตรของพระเจ้า.’—2 โกรินโธ 6:14-17.
[รูปภาพหน้า 20]
‘สงครามในรวันดาเป็นการฆ่า ล้างเผ่าพันธุ์โดยแท้ซึ่งแม้แต่ชาวคาทอลิกเองต้องรับผิดชอบ’ โปปกล่าว
[ที่มาของภาพหน้า 18]
Photo: Jerden Bouman/Sipa Press