‘แม่ครับ ขอบคุณที่พาผมกลับบ้าน’
ดิฉันใจคอไม่ดีทุกครั้งเมื่อ เกล็น สามีดิฉันออกไปขับเครื่องบิน และดิฉันแทบจะรอไม่ไหวจนกระทั่งเขากลับบ้าน. ตามปกติเขาจะขับเครื่องบินเพื่อความเพลิดเพลิน. มาครั้งนี้เขาได้รับการว่าจ้างให้ถ่ายรูปทางอากาศ. ท็อดลูกชายคนเล็กของเราได้ตามเขาไปด้วย. เกล็นเป็นนักบินที่รอบคอบเสมอและไม่เคยเข้าไปเสี่ยงกับอันตรายโดยไม่จำเป็น.
เมื่อเสียงโทรศัพท์ดังขึ้นในบ่ายวันอาทิตย์ที่ 25 เมษายน 1982 นั้น ดิฉันรับสายด้วยความรู้สึกว่าจะต้องมีเหตุร้าย. น้องชายของเกล็นโทรมา. “เกล็นและท็อดประสบอุบัติเหตุทางเครื่องบิน” เขาบอก. “เราจะไปพบพี่ที่โรงพยาบาลนะ.”
สก็อต ลูกชายวัย 13 ปี และดิฉันอธิษฐานด้วยกันและรีบรุดไปโรงพยาบาล. เมื่อไปถึง เราได้ทราบว่าเครื่องบินของเกล็นตกห่างกรุงนิวยอร์กไปทางเหนือราว 100 กิโลเมตร. (สาเหตุที่แท้จริงของการตกไม่สามารถระบุได้.) เกล็นและท็อดยังมีชีวิตอยู่แต่อาการสาหัสมาก.
ดิฉันเซ็นชื่อในแบบฟอร์มทางกฎหมายซึ่งยินยอมให้โรงพยาบาลดำเนินการรักษาที่จำเป็น. แต่ในฐานะพยานพระยะโฮวาคนหนึ่ง ดิฉันไม่ยินยอมให้ใช้การถ่ายเลือด. การทำเช่นนั้นถือว่าละเมิดคำสั่งจากคัมภีร์ไบเบิลที่ให้ ‘ละเว้นจากเลือด.’ (กิจการ 15:28, 29, ล.ม.) เกล็นพกเอกสารทางการแพทย์ซึ่งกล่าวอย่างชัดเจนถึงความเชื่อของเขาในเรื่องนี้. อย่างไรก็ดี เรายินยอมให้แพทย์ใช้สารขยายปริมาตรเลือดที่ไม่มีส่วนประกอบของเลือด.a
เกล็นมีบาดแผลฉกรรจ์ที่ศีรษะและหน้าอก. เขาเสียชีวิตภายในไม่กี่ชั่วโมง. สิ่งที่ยากที่สุดเท่าที่ดิฉันเคยทำในชีวิตก็คือการเดินไปที่ห้องนั่งรอและบอกสก็อตลูกชายว่า พ่อของเขาเสียชีวิตแล้ว. เขาได้แต่เกาะดิฉันและพูดว่า “ผมจะทำยังไงดี? ผมเพิ่งเสียเพื่อนที่ดีที่สุดไป!” ใช่ เกล็นเป็นเพื่อนที่ดีที่สุดของลูกทั้งสอง ผู้ซึ่งใช้เวลาอยู่กับพวกเขาในนันทนาการและการนมัสการ. เขาเป็นสามีและเพื่อนที่ดีที่สุดของดิฉันเช่นกัน. ความตายของเขาเป็นการสูญเสียมหันต์.
การยึดมั่นในความเชื่อของเรา
ท็อด ขาและนิ้วหัก, กระดูกโหนกแก้มแตก, และสมองฟกช้ำอย่างหนัก. เขาอยู่ในขั้นโคม่า. เป็นเรื่องทรมานใจเพียงไรที่จะมองดูลูกชายวัยเก้าขวบ ผู้ซึ่งเมื่อไม่กี่ชั่วโมงที่ผ่านมายังเปี่ยมด้วยชีวิตชีวา! ท็อดเป็นเด็กน้อยที่กระฉับกระเฉงร่าเริงเสมอ. เขาเป็นคนช่างพูดอีกทั้งชอบร้องเพลงและชอบเล่น. ตอนนี้เขาไม่รู้ด้วยซ้ำว่าเราอยู่กับเขา.
เนื่องจากเกรงว่าท็อดต้องได้รับการผ่าตัด แพทย์จึงเรียกร้องให้ดิฉันยินยอมกับการถ่ายเลือด. ดิฉันปฏิเสธ. เขาโต้ตอบโดยขอคำสั่งศาลเพื่ออนุญาตให้พวกเขาใช้เลือด. แต่ปรากฏว่าการผ่าตัดไม่จำเป็น และท็อดก็ไม่มีอาการเลือดตกภายใน. อย่างไรก็ตาม สองสามวันต่อมาแพทย์บอกกับดิฉันว่ายังไง ๆ พวกเขาก็จะให้เลือดกับท็อด. พวกเราตะลึงงัน! คำอธิบายเพียงอย่างเดียวที่แพทย์ให้กับเราคือ “เราจำเป็นต้องทำจริง ๆ!” พวกเขาปัดความเชื่อทางศาสนาของเราทิ้งไปและให้เลือดสามยูนิตแก่ท็อด. ดิฉันรู้สึกจนใจอย่างที่สุด.
ตลอดหลายวันหลังจากอุบัติเหตุ พวกเรากลายเป็นข่าวหน้าหนึ่ง. หนังสือพิมพ์ท้องถิ่นชักนำให้ผู้อ่านเชื่อว่าเกล็นเสียชีวิตเนื่องจากเขาไม่รับเลือดและยังอ้างถึงแพทย์ประจำท้องถิ่นที่แสดงความคิดเห็นนั้นด้วยซ้ำ! นั่นไม่ เป็นความจริง. เจ้าหน้าที่ชันสูตรศพได้ยืนยันในเวลาต่อมาว่าเกล็นไม่มีทางรอดจากบาดแผลฉกรรจ์ที่ศีรษะและหน้าอกอยู่แล้ว. ยังดีที่พยานฯ หลายคนได้รับการเชิญจากสถานีวิทยุท้องถิ่นให้อธิบายถึงจุดยืนซึ่งอาศัยคัมภีร์ไบเบิลเป็นหลัก. สิ่งนี้ยังผลให้มีการแพร่ข่าวในแง่ดี และจุดยืนของพยานพระยะโฮวาในเรื่องเลือดได้กลายเป็นหัวข้อปกติประจำสำหรับการสนทนาในงานรับใช้ตามบ้านของเรา.
ความพยายามที่จะฟื้นสติท็อด
ท็อดยังคงอยู่ในขั้นโคม่า. และแล้วในวันที่ 13 พฤษภาคม พยาบาลคนหนึ่งได้พลิกตัวเขา และในที่สุดเขาก็ลืมตา! ดิฉันเข้าไปโอบกอดและลองพูดกับเขา แต่ไม่มีการสนองตอบใด ๆ. เขาไม่สามารถกระทั่งกะพริบตาหรือบีบมือดิฉันได้ด้วยซ้ำ. ทว่าตั้งแต่วันนั้นเขาก็เริ่มดีขึ้นเรื่อย ๆ. เมื่อเราเดินเข้าไปในห้อง เขาจะหันศีรษะมาทางประตู. เมื่อเราพูดกับเขา เขาจะมองมายังเรา. ท็อดรู้จริง ๆ หรือเปล่าว่าเราอยู่ที่นั่น? เราไม่ทราบ. ฉะนั้นเราจึงเริ่มทำการกระตุ้นเขาทางด้านจิตใจและร่างกาย. นับตั้งแต่วันแรกเราพูดกับเขา, อ่านหนังสือ, รวมทั้งเปิดเทปดนตรีและเรื่องเกี่ยวกับคัมภีร์ไบเบิลให้เขาฟัง. ดิฉันถึงกับเล่นกีตาร์ให้เขาฟังด้วยซ้ำ สิ่งนั้นเป็นการเยียวยาแก่ทั้งสองฝ่าย.
เราได้รับความช่วยเหลืออย่างมากจากประชาคมพยานพระยะโฮวาในท้องถิ่น. สก็อต ลูกชายคนโต เล่าเมื่อเร็ว ๆ นี้ว่า “สองครอบครัวปฏิบัติต่อผมราวกับผมเป็นลูกชายของเขาเอง พาผมไปเที่ยวพักร้อนกับครอบครัวของพวกเขา.” นอกจากนั้น บางคนตัดหญ้าในสนาม, ซักรีดเสื้อผ้า, และทำอาหารให้เรา. เพื่อน ๆ และสมาชิกครอบครัวผลัดเปลี่ยนกันอยู่เป็นเพื่อนท็อดที่โรงพยาบาลตลอดคืน.
แต่ตลอดหลายสัปดาห์ ท็อดก็ยังไม่สามารถตอบสนองต่อการเอาใจใส่เหล่านั้น—ไม่มีแม้แต่รอยยิ้ม. แล้วเขาก็เกิดอาการปอดบวม. แพทย์ได้ขออนุญาตดิฉันเพื่อจะใส่เครื่องช่วยหายใจให้ท็อดอีกครั้ง. อันตรายก็คือการที่เขาต้องพึ่งมันไปตลอดชีวิต. นึกภาพดูสิ การตัดสินใจเรื่องความเป็นความตายนี้ตกอยู่ในมือดิฉัน! กระนั้นเมื่อมาถึงเรื่องการถ่ายเลือด ความปรารถนาของดิฉันกลับถูกมองข้ามไปโดยสิ้นเชิง! ถึงอย่างไร เราก็เลือกใช้เครื่องช่วยหายใจและหวังว่าทุกอย่างจะเรียบร้อย.
บ่ายวันนั้นดิฉันกลับบ้านเพื่อทำให้ร่างกายสดชื่น. เจ้าหน้าที่คนหนึ่งกำลังยืนอยู่ที่สนามหญ้าหน้าบ้านดิฉัน. เขาแจ้งให้เราทราบว่าเราต้องขายบ้านเพื่อเปิดทางสำหรับการขยายถนน. ตอนนี้เรามีเรื่องคับขันสำคัญอีกเรื่องหนึ่งที่ต้องต่อสู้. ดิฉันบอกคนอื่น ๆ เสมอว่าพระยะโฮวาจะไม่ปล่อยให้เราทนเกินกว่าที่เราจะรับมือได้. ดิฉันจะอ้างถึงถ้อยคำใน 1 เปโตร 5:6, 7 ดังนี้: “เหตุฉะนั้นท่านทั้งหลายจงถ่อมใจลงใต้พระหัตถ์อันทรงฤทธิ์ของพระเจ้า, เพื่อพระองค์จะได้ทรงยกท่านขึ้นในเวลาอันควร. บรรดาความกระวนกระวายของท่านจงฝากไว้กับพระองค์, เพราะว่าพระองค์ย่อมทรงระลึกถึงและรักษาท่านทั้งหลาย.” ตอนนี้ความเชื่อและความวางใจในพระเจ้าของดิฉันกำลังถูกทดสอบอย่างไม่เคยประสบมาก่อนเลย.
หลายสัปดาห์ได้ผ่านไป ท็อดยังติดเชื้อตัวแล้วตัวเล่า. วันหนึ่ง ๆ มีแต่การตรวจเลือด, การเจาะไขสันหลัง, การสแกนกระดูกและสมอง, เจาะปอด, และการเอกซเรย์ที่ไม่รู้จบสิ้น. พอถึงเดือนสิงหาคม อุณหภูมิร่างกายของท็อดก็กลับสู่ปกติในที่สุด. ในเดือนสิงหาคมพวกแพทย์ถอดสายให้อาหารและท่อใส่หลอดลมของท็อด! ตอนนี้เราเผชิญการท้าทายครั้งสำคัญที่สุด.
กลับบ้าน
พวกแพทย์บอกกับเราว่าสถานพยาบาลสำหรับดูแลผู้ป่วยเฉพาะ เหมาะสมกับท็อดมากที่สุด. แพทย์คนหนึ่งเตือนเราว่า สก็อตและดิฉันมีชีวิตของตนเองที่ต้องดำเนิน. แม้แต่เพื่อน ๆ ที่มีเจตนาดีก็ยังหาเหตุผลในทำนองคล้ายกัน. แต่สิ่งที่พวกเขาไม่ได้ตระหนักถึงก็คือท็อดเป็นส่วนสำคัญในชีวิตของเรา! และหากเราสามารถดูแลเขาได้ที่บ้าน เขาก็จะมีผู้ที่รักเขาและร่วมในความเชื่อเดียวกันแวดล้อมเขา.
เราได้หาซื้อเก้าอี้ล้อและเตียงพยาบาล. ด้วยความช่วยเหลือจากเพื่อนบางคน เรารื้อผนังห้องนอนของดิฉันออก, ติดประตูกระจกบานเลื่อน, รวมทั้งสร้างระเบียงนอกชายคาบ้านและสร้างทางลาดซึ่งเปิดโอกาสให้เข็นท็อดเข้าห้องนอนของเขาได้โดยตรง.
เช้าวันที่ 19 สิงหาคม ก็ถึงเวลาพาลูกชายที่ยังมีอาการกึ่ง ๆ โคม่ากลับบ้าน. ท็อดลืมตาและขยับแขนขวากับขาขวาได้บ้าง แต่แพทย์ของเขาทำนายว่าเขาคงจะไม่ดีไปกว่านี้อีกแล้ว. ไม่กี่สัปดาห์ต่อมา เราพาท็อดไปพบผู้เชี่ยวชาญด้านประสาทวิทยาคนหนึ่งซึ่งถูกกล่าวขวัญถึงอย่างมาก แต่ก็ได้ยินเพียงถ้อยคำเดิม ๆ เท่านั้น. ถึงกระนั้น ช่างเป็นความรู้สึกที่วิเศษเสียจริง ๆ ที่ได้พาเขากลับบ้าน! คุณแม่ดิฉันกับเพื่อนสนิทบางคนรอเราอยู่ที่นั่น. เย็นวันนั้น เรากระทั่งได้ไปหอประชุมด้วยกัน. นี่เป็นครั้งแรกที่เราได้ลิ้มรสความบากบั่นพยายามมหาศาลซึ่งเกี่ยวข้องกับการดูแลท็อด.
การดูแลท็อดที่บ้าน
การดูแลผู้ทุพพลภาพปรากฏว่าใช้เวลามากอย่างไม่อาจมโนภาพได้. ต้องใช้เวลามากกว่าหนึ่งชั่วโมงในการป้อนอาหารท็อดแต่ละมื้อ. และยังคงต้องใช้เวลาร่วมชั่วโมงในการอาบน้ำถูตัว, ใส่เสื้อผ้า, และสระผมให้เขา. การช่วยเขาอาบน้ำวนเพื่อบำบัดอาจใช้เวลาถึงสองชั่วโมงเต็มเลยทีเดียว. การเดินทางเป็นภาระหนักซึ่งเรียกร้องการใช้แรงกายไม่น้อย. แม้เขาจะดีขึ้นมากในช่วงหลังนี้ แต่ท็อดก็ยังมีความลำบากในการนั่งตัวตรง ถึงแม้จะมีเก้าอี้ล้อที่ปรับได้คอยช่วยอยู่ก็ตาม แต่ปกติเขาจะนอนเหยียดกับพื้น. ตลอดเวลาหลายปีดิฉันต้องนั่งกับเขาบนพื้นด้านหลังหอประชุม. กระนั้น เราไม่ปล่อยให้สิ่งนี้หยุดยั้งเราไว้จากการเข้าร่วมประชุมคริสเตียน และโดยทั่วไปเราจะไปทันเวลา.
ความมานะพยายามของเราบังเกิดผล. มีอยู่ช่วงหนึ่งที่แพทย์คิดว่าอุบัติเหตุครั้งนั้นคงทำให้ท็อดหูหนวกและตาบอด. อย่างไรก็ดี ก่อนเกิดอุบัติเหตุดิฉันได้เริ่มสอนภาษามือกับลูกชาย. ในระหว่างสัปดาห์แรกที่บ้าน ท็อดเริ่มทำมือตอบว่าใช่หรือไม่ใช่ต่อคำถามของเรา. หลังจากนั้นเขาได้พัฒนาความสามารถในการชี้. เราจะแสดงภาพเพื่อน ๆ ให้เขาและขอให้เขาชี้ตัวบางคนตามที่ระบุ และเขาทำได้อย่างแม่นยำ. เขายังระบุตัวเลขและตัวอักษรได้อย่างถูกต้องอีกด้วย. ต่อมาเราได้ก้าวหน้าไปสู่คำ. ทักษะการรับรู้ของเขาไม่เสียหาย! ในเดือนพฤศจิกายน เพียงเจ็ดเดือนหลังจากอุบัติเหตุ เหตุการณ์ที่รอคอยมานานก็อุบัติขึ้น.
ท็อดยิ้ม. พอถึงเดือนมกราคมการยิ้มของเขาเคล้าด้วยเสียงหัวเราะ.
คุณคงจำได้ เราถูกบีบบังคับให้ขายบ้าน. แต่นั่นเป็นพระพรแฝง เนื่องจากบ้านสองชั้นของเราเล็กและจำกัดการเคลื่อนที่ของท็อดอย่างมาก. ด้วยเงินเพียงเล็กน้อยที่เรามี จึงเป็นเรื่องยากที่จะได้บ้านตรงตามความต้องการ. แต่ตัวแทนอสังหาริมทรัพย์ที่กรุณาได้พบบ้านหลังหนึ่ง. บ้านหลังนั้นเป็นของพ่อม่ายซึ่งภรรยาของเขาใช้เก้าอี้ล้อ บ้านดังกล่าวได้รับการออกแบบโดยคำนึงถึงความต้องการของเธอ. ช่างเหมาะเจาะสำหรับท็อดจริง ๆ!
แน่นอน บ้านหลังนั้นจำเป็นต้องทำความสะอาดและทาสี. แต่เมื่อเราพร้อมจะทาสี พี่น้อง กว่า 25 คนจากประชาคมของเราก็มาถึง พร้อมกับลูกกลิ้งและแปรงทาสีในมือ.
การรับมือกับชีวิตประจำวัน
เกล็นเคยดูแลกิจธุระต่าง ๆ ในครอบครัว, ใบเก็บเงิน, และอื่น ๆ เสมอมา. ดิฉันสามารถทำหน้าที่แทนในแง่นี้ของชีวิตได้โดยไม่ยากเย็นนัก. อย่างไรก็ดี เกล็นไม่ได้คิดว่าเป็นเรื่องสำคัญที่จะทำพินัยกรรมหรือการประกันชีวิตที่เหมาะสม. เราคงจะไม่ต้องพบกับความยุ่งยากด้านการเงินมากมาย—ปัญหาซึ่งยืดเยื้อมาจนบัดนี้—หากเขาได้ให้เวลากับเรื่องดังกล่าว. หลังจากประสบการณ์ของเรา เพื่อนฝูงหลายคนก็เริ่มจัดกิจธุระของตนให้เรียบร้อย.
การท้าทายอีกอย่างหนึ่งเกี่ยวข้องกับการสนองความต้องการด้านอารมณ์และด้านวิญญาณ. ภายหลังท็อดกลับจากโรงพยาบาล บางคนทำราวกับว่าวิกฤติการณ์ได้ผ่านพ้นไปแล้ว. แต่สก็อตยังต้องการความช่วยเหลือและการหนุนกำลังใจต่อไป. การ์ด, จดหมาย, และโทรศัพท์ที่เราได้รับจะได้รับการทะนุถนอมไว้ในความทรงจำเสมอ. ดิฉันยังจำได้ถึงจดหมายของผู้หนึ่งซึ่งให้ความช่วยเหลือด้านการเงินแก่เรา. จดหมายนั้นมีข้อความว่า “ไม่ได้ลงชื่อในจดหมายฉบับนี้ เพราะไม่ต้องการให้คุณขอบคุณแต่ให้ขอบพระคุณพระยะโฮวา เนื่องจากพระองค์เป็นผู้ที่กระตุ้นเราให้ตีแผ่ความรักต่อกันและกัน.”
อย่างไรก็ตาม เราเรียนรู้ที่จะไม่เอาแต่พึ่งอาศัยการหนุนกำลังใจจากผู้อื่นแต่อยู่ด้วยลำแข้งของตนเองด้วย. เมื่อดิฉันรู้สึกหดหู่ท้อแท้ ดิฉันมักจะพยายามคิดถึงผู้อื่น. ดิฉันเพลิดเพลินกับการทำขนมและการทำกับข้าว และหลายครั้ง ดิฉันจะเลี้ยงเพื่อน ๆ หรืออาจจะทำขนมสองสามอย่างไปแจกพวกเขา. เมื่อดิฉันรู้สึกละเหี่ยใจจริง ๆ หรือต้องการพัก ดูเหมือนจะมีคำเชิญเสมอให้ไปร่วมรับประทานอาหารค่ำ, อาหารเที่ยง, หรือออกไปพักผ่อนช่วงสุดสัปดาห์กับเพื่อนฝูง. บางครั้งถึงกับมีคนเสนอตัวที่จะอยู่เป็นเพื่อนท็อดชั่วครู่เพื่อดิฉันจะไปธุระหรือไปซื้อของได้.
สก็อต ลูกชายคนโตของดิฉัน ก็เป็นพระพรอันวิเศษสุดเช่นกัน. ทุกครั้งที่มีโอกาส สก็อตพาท็อดไปในการสังสรรค์ด้วยกัน. เขาอยู่พร้อมเสมอเพื่อให้การช่วยเหลือดูแลในทางใดทางหนึ่งแก่ท็อด และไม่เคยบ่นว่ามีภาระหน้าที่มากเกินไป. คราวหนึ่งสก็อตบอกว่า “ในบางครั้งถ้าผมรู้สึกว่าอยากจะมีชีวิตแบบ ‘ปกติ’ มากกว่านี้ ผมจะรีบระลึกว่าประสบการณ์ของผมทำให้ผมใกล้ชิดพระเจ้ามากขึ้น.” ดิฉันขอบพระคุณพระยะโฮวาทุกวันที่ทรงให้ดิฉันมีลูกชายที่น่ารักและฝักใฝ่ในสิ่งฝ่ายวิญญาณเช่นนี้. เขารับใช้ในประชาคมที่เขาสมทบฐานะผู้รับใช้ที่ได้รับการแต่งตั้งและชื่นชมกับการเป็นผู้ประกาศกิตติคุณเต็มเวลากับภรรยา.
แล้วท็อดล่ะ? เขาดีขึ้นเรื่อย ๆ. ภายในสองปี เขาเริ่มพูดได้อีกครั้ง. ครั้งแรกเป็นเพียงคำสั้น ๆ แล้วก็เป็นประโยค. ตอนนี้ เขาออกความคิดเห็น ณ การประชุมคริสเตียนได้ด้วยซ้ำ. เขาพยายามอย่างหนักเพื่อจะพูดให้คล่องแคล่วยิ่งขึ้น และการบำบัดด้านการพูดก็มีส่วนช่วย. เขายังคงชอบร้องเพลง—โดยเฉพาะที่หอประชุม. นอกจากนั้นเขายังคงมองโลกในแง่ดีอยู่เสมอ. ตอนนี้เขาสามารถยืนได้โดยอาศัยเครื่องช่วยเดิน. ไม่นานมานี้ เรามีโอกาสเล่าประสบการณ์ของเรา ณ การประชุมใหญ่ของพยานพระยะโฮวา. เมื่อถามว่าเขาต้องการกล่าวอะไรกับมิตรสหายที่มาร่วมประชุมบ้าง ท็อดพูดว่า “ไม่ต้องเป็นห่วงนะครับ. ผมจะดีขึ้น.”
เรายกความดีทั้งสิ้นให้กับพระยะโฮวาสำหรับการค้ำจุนเราผ่านเหตุการณ์ทั้งหมดนี้. ที่จริง เราได้เรียนรู้ที่จะหมายพึ่งพระองค์อย่างไม่เคยเป็นมาก่อน. คืนเหล่านั้นที่ต้องอดตาหลับขับตานอน, งานหนักทั้งหลายที่ได้ทำไปในการเอาใจใส่ความต้องการและความสุขสบายเฉพาะตัวของท็อด, การเสียสละทั้งสิ้นที่เราได้ทำนับว่าคุ้มค่าทีเดียว. ครั้งหนึ่งเรากำลังเอร็ดอร่อยกับอาหารเช้า ดิฉันเงยหน้าขึ้นและเห็นท็อดกำลังจ้องมาที่ดิฉันพร้อมกับยิ้มแป้นบนใบหน้า. เขาพูดว่า “ผมรักแม่. ขอบคุณครับที่พาผมออกจากโรงพยาบาลมายังบ้าน.”—เล่าโดยโรส แมรี บอดดี.
[เชิงอรรถ]
a สำหรับรายละเอียดเกี่ยวกับทัศนะของคัมภีร์ไบเบิลในเรื่องการถ่ายเลือดและการใช้ผลิตภัณฑ์ที่ปราศจากเลือดนั้น ดูจากจุลสาร “เลือดจะช่วยชีวิตคุณได้อย่างไร?” จัดพิมพ์โดยสมาคม ว็อชเทาเวอร์ ไบเบิล แอนด์ แทร็กต์ แห่งนิวยอร์ก.
[จุดเด่นหน้า 21]
สิ่งที่ยากที่สุดก็คือการบอก สก็อต ลูกชายทั้งสองดิฉันว่า พ่อเขาเสียชีวิตแล้ว
[รูปภาพหน้า 23]
กับลูกชายทั้งสองของดิฉัน