การเพ่งดูโลก
ความรุนแรงเสื่อมลงไปอีก
สำหรับผู้ที่รู้สึกว่าการแข่งขันกีฬาประเภทชกมวยหรือการประลองศิลปะการป้องกันตัวยังรุนแรงไม่พอ ผู้จัดการแข่งขันในสหรัฐได้คิดทางเลือกใหม่ขึ้นที่เรียกว่า “การต่อสู้แบบสุด ๆ.” ตามรายงานในหนังสือพิมพ์เดอะ นิวยอร์ก ไทมส์ แนวความคิดสำหรับการต่อสู้เป็นแบบง่าย ๆ คือ: “ชายสองคนต่อยกันจนคนหนึ่งยอมแพ้หรือถูกต่อยจนสลบ.” ทั้งสองไม่สวมนวมเพื่อให้การต่อยนุ่มนวลขึ้น ไม่มีการพักยกหรือเวลานอก และมีกฎไม่กี่อย่างนอกจากห้ามกัดหรือทิ่มลูกตา. คู่ต่อสู้ใช้เทคนิคจากการชกมวย, ยูโด, คาราเต้, มวยปล้ำ, หรือการตีกันตามข้างถนน—บ่อยครั้งผลคือเลือดตกยางออก. การประลองกันจัดขึ้นต่อหน้าบรรดาแฟนมวยที่เชียร์กันอย่างอึกทึกครึกโครม ซึ่งจ่ายถึง 5,000 บาทสำหรับค่าตั๋ว อนึ่ง การต่อสู้เหล่านี้ยังเป็นที่นิยมทางเคเบิลทีวีและตลับเทปบันทึกเสียงให้เช่า. แต่หลายรัฐได้ห้ามการประลองดังกล่าวไปแล้ว.
สตรีมีภาระการงานที่หนักเป็นพิเศษ
ผู้ชายและผู้หญิงแบ่งงานเท่า ๆ กันในบ้านไหม? ไม่เป็นเช่นนั้น ตามการสำรวจที่ดำเนินโดยสำนักสถิติแห่งสหพันธ์เยอรมัน. นักเศรษฐศาสตร์ นอร์เบิร์ท ชวาร์ซ และดีเทอร์ แชฟเฟอร์ ได้ขอให้ 7,200 ครัวเรือนวิเคราะห์และบันทึกจำนวนเวลาที่ใช้ในการทำงานในบ้าน. การสำรวจรวมเอางานต่าง ๆ เช่น การล้างชาม, การจับจ่าย, การดูแลญาติที่ป่วย, และการซ่อมแต่งรถ. “ไม่ว่าพวกเธอจะมีงานอาชีพหรือไม่ก็ตาม พวกผู้หญิงใช้เวลาทำงานที่ไม่มีค่าจ้างประมาณสองเท่าของผู้ชาย” เป็นรายงานของหนังสือพิมพ์ซืดดอยท์เช ไซตุง.
ดอกไม้ที่เหม็นจริง ๆ ใหญ่จริง ๆ
ดอกไม้ใหญ่ที่สุดในโลกเป็นผลแห่งการทรงสร้างที่ประหลาดโดยแท้. ดอกไม้นี้ซึ่งเรียกว่า แรฟฟลีเซีย มีขนาดพอ ๆ กับยางรถประจำทางและใช้เวลาบานนานเท่ากับเวลาที่มนุษย์ใช้ในการเติบโตตั้งแต่ปฏิสนธิจนเกิด. และขนาดของดอกไม้นี้ใช่ว่าจะเป็นเหตุผลอย่างเดียวที่ไม่เหมาะสำหรับจัดไว้ในช่อดอกไม้. มันเหม็น. เพื่อจะดึงดูดแมลงวันที่มันต้องอาศัยสำหรับการผสมเกสร ดอกแรฟฟลีเซียมีกลิ่นเหมือนเนื้อเน่า. ในอดีตชาวบ้านในมาเลเซียซึ่งอยู่ในป่าดิบ ที่ซึ่งดอกแรฟฟลีเซียขึ้น ได้ตั้งฉายาดอกไม้นี้ว่าขันพญามารและตัดทิ้งเมื่อพบเห็น. อย่างไรก็ดี ตามข่าวของหนังสือพิมพ์เซาท์ ไชน่า มอร์นิง โพสต์ คินาบาลู วนอุทยานแห่งรัฐของมาเลเซียได้ดำเนินการพิทักษ์ดอกไม้นี้ที่หาดูได้ยาก เพื่อนักวิทยาศาสตร์จะได้ศึกษาต่อไป. เดี๋ยวนี้ชาวบ้านท้องถิ่นได้เงินพิเศษโดยนำนักท่องเที่ยวไปยังป่านั้นเพื่อถ่ายรูปดอกแรฟฟลีเซีย. ไม่ต้องสงสัย คนส่วนใหญ่คงไม่เข้าใกล้.
ลัวดส์แห่งอิตาลีหรือ?
ในเมืองชีวิตาเวกเกียแห่งอิตาลี กล่าวกันว่า ไม่นานมานี้รูปปั้นของพระแม่เจ้ารูปหนึ่งหลั่งน้ำตาเป็นเลือด เป็นเหตุให้ผู้ชมที่อยากรู้อยากเห็นและผู้แสวงบุญหลายหมื่นคนหลั่งไหลเข้ามา. ด้วยเหตุนี้นายกเทศมนตรี ปีเอ เดย์ ซึ่งเรียกตัวเองว่าเป็นคนที่ไม่เชื่อ ได้เดินทางไปยังประเทศฝรั่งเศสกับบาทหลวงคาทอลิกคนหนึ่ง. เขาไปเยือนเมืองลัวดส์อันลือชื่อ ที่โด่งดังเนื่องจากว่ากันว่ามี “สิ่งมหัศจรรย์” เกิดขึ้นในสถานอันศักดิ์สิทธิ์ของคาทอลิก. การไปเยือนไม่ใช่การแสวงบุญ. ที่แท้ เป้าประสงค์คือการศึกษา “สิ่งมหัศจรรย์ทางเศรษฐกิจ” แห่งลัวดส์ ซึ่งเป็นที่ประจักษ์ว่า เพื่อจะได้แนวความคิดเกี่ยวกับวิธีจัดการและบริหารเมืองชีวิตาเวกเกียให้เป็นเมืองเมกกะสำหรับนักท่องเที่ยวและนักแสวงบุญ ซึ่งทำเงินให้ในแบบที่คล้ายคลึงกัน.
“สงครามศักดิ์สิทธิ์” แห่งบราซิล
นักเทศน์นิกายเพนเตคอสในบราซิลเมื่อไม่นานมานี้ได้ก่อให้เกิดสิ่งที่สื่อมวลชนของประเทศให้ฉายาว่า สงครามศักดิ์สิทธิ์. ในการถ่ายทอดทางทีวีทั่วประเทศ นักเทศน์เซร์ชีโอ ฟอน เฮลเด ได้คัดค้านการที่คริสตจักรคาทอลิกบูชารูปเคารพ. เพื่อให้เป็นที่ประจักษ์ชัด เขาโชว์รูปปั้นเซรามิกของพระแม่แห่งอะปาเรซีดา รูปปั้นสีดำของพระแม่มารีเทพเจ้าผู้ให้การคุ้มครองแก่ชาวคาทอลิก 110,000,000 คนแห่งบราซิล. ฟอน เฮลเด เรียกรูปปั้นนั้นว่า “ตุ๊กตาอัปยศ น่ารังเกียจ” ขณะที่ตบและเตะรูปปั้นนั้นซ้ำแล้วซ้ำอีก. ชาวคาทอลิกเป็นพัน ๆ คนประท้วงโดยแห่รูปเทพเจ้าคุ้มครองนี้ไปตามถนนสายต่าง ๆ. ฝูงชนที่กรีดร้องและปาก้อนหินได้ล้อมโบสถ์บางแห่งของนิกายเพนเตคอสของฟอน เฮลเด ซึ่งมีชื่อเรียกว่าคริสตจักรสากลแห่งราชอาณาจักรของพระเจ้า. ฟอน เฮลเด ซึ่งหลังจากถูกหัวหน้าคริสตจักรนี้สั่งพักชั่วคราวจากตำแหน่งของเขา ตำหนิสื่อมวลชนที่แพร่ภาพการโจมตีของเขาซ้ำแล้วซ้ำอีก. “ทีวี โกลโบ [เครือข่ายทีวีใหญ่ที่สุดของประเทศ] แปลงโฉมผมให้เป็นตัวประหลาด” นักเทศน์คนนั้นกล่าว.
ถูกฆ่าโดยชมรมรักษาความสงบ
ในประเทศแอฟริกาใต้ กลุ่มที่ถูกสงสัยว่าเป็นนักจี้รถยนต์ถูกพาไปจากบ้านของตนโดยฝูงชนที่โกรธแค้น ถูกฟันตายแล้วถูกทาสีที่ตัว. หนังสือพิมพ์แซตเทอร์เดย์ สตาร์ ให้ความเห็นว่า การเพิ่มทวีของเหตุการณ์ดังกล่าว “เป็นอาการของสังคมซึ่งสูญเสียความเชื่อถือในตำรวจและฝังใจกับเรื่องอาชญากรรมอีกทั้งกลัวแบบควบคุมไม่ได้.” แม้ว่านักอาชญาวิทยาไม่ได้ถือว่าพฤติกรรมดังกล่าวปราศจากการตำหนิ พวกเขาถือว่า การทาสีผู้ที่ตกเป็นเหยื่อหลังจากการฆ่านั้นมีนัยสำคัญ. จุดมุ่งหมายคือเตือนผู้อื่นที่คิดจะเป็นอาชญากร. นักอาชญาวิทยาคนหนึ่งให้ความเห็นว่า “ทุกสิ่งบ่งชี้ว่าสถานการณ์ไม่อาจควบคุมได้เลย และประชาชนควบคุมความสามารถของตนไม่อยู่ในการรับมือกับแนวความคิดที่ว่าตนตกอยู่ภายใต้การจู่โจมของอาชญากร.”
ปัญหากับเหยี่ยวที่ยังโตไม่เต็มที่
เหยี่ยวหัวล้านแคลิฟอร์เนีย [Gymnogyps californianus]—นกยักษ์ที่กินเนื้อเน่าซึ่งเกือบสูญพันธุ์ในศตวรรษนี้—ก่อการท้าทายพิเศษแก่นักอนุรักษ์นิยมที่พยายามปล่อยนกที่เพาะพันธุ์ในกรงไปสู่ป่า. นกที่ถูกปล่อยเมื่อยังโตไม่เต็มที่เป็น “วัยรุ่น, ชอบสำรวจ, อยากรู้อยากเห็น” นักอนุรักษ์นิยมคนหนึ่งกล่าวดังที่ยกมาอ้างในวารสารนิว ไซเยนติสต์. เนื่องจากไม่กลัวมนุษย์หรือสายไฟฟ้าแรงสูง เหยี่ยวหลายตัวจึงต้องเสียชีวิตหรือไม่ก็เสียอิสรภาพ. ดังนั้น นักอนุรักษ์นิยมได้คิดกลยุทธ์ใหม่ในการเลี้ยงลูกเหยี่ยว. พวกเขาใช้วิธีช็อคด้วยไฟฟ้าอ่อน ๆ สอนนกให้หลีกเลี่ยงสายไฟฟ้าแรงสูง. เมื่อสอนให้รังเกียจคน พวกเขาจะไปให้พ้นสายตาของเหยี่ยวเว้นแต่เมื่อบางครั้งหลายคนพรวดพราดเข้าหานก, จับมัน, แล้วกดหลังลงกับพื้น. “เหยี่ยวเกลียดการทำแบบนี้” นิว ไซเยนติสต์ให้ข้อสังเกต และดังนั้นนกเรียนที่จะเลี่ยงผู้คน. จนบัดนี้กลยุทธ์นี้ได้ผลในระดับหนึ่ง.
สมมุติฐานเรื่องความลึกลับของอุโมงค์
พวกนักโบราณคดีได้สงสัยกันมาเป็นเวลานานว่า เพราะเหตุใดอุโมงค์ของฮิศคียา ซึ่งขุดระหว่างศตวรรษที่แปดก่อนสากลศักราช เพื่อทำให้มั่นใจว่ากรุงยะรูซาเลมจะมีน้ำใช้ตอนที่ถูกล้อมโดยกองทัพอัสซีเรีย จึงมีเส้นทางคดเคี้ยวเหมือนไม่มีการวางแผน. เส้นทางตรงและมีประสิทธิภาพกว่าจะใช้ความยาวเพียง 320 เมตรแทนที่จะใช้ 533 เมตรที่อุโมงค์นี้. มีการพบคำจารึกเป็นภาษาฮีบรูโบราณบนผนังอุโมงค์ในปี 1837. คำจารึกนั้นอธิบายถึงวิธีที่คนงานสองทีมเริ่มจากปลายอุโมงค์คนละด้านที่ต้องขุดเจาะผ่านหินและมาพบกันตรงกลาง. สิ่งนี้ทำให้เกิดคำถามเพิ่มเติมว่า พวกเขาทำกันได้อย่างไรเมื่อคำนึงถึงเส้นทางคดเคี้ยวของอุโมงค์. เดี๋ยวนี้นักธรณีวิทยาคิดว่าตนมีคำตอบ. ตามคำกล่าวของแดน กิลล์ ประจำหน่วยสำรวจทางธรณีวิทยาแห่งอิสราเอล คนงานเหล่านี้ติดตามและขยายร่องที่มีตามธรรมชาติ ซึ่งเกิดจากน้ำที่ผ่านทะลุหินในที่ที่มีรอยแตกภายใต้ความเค้นที่เกิดจากแผ่นดินไหวหรือในที่ซึ่งชั้นหินต่าง ๆ มาบรรจบกัน. เมื่อเวลาผ่านไป ร่องเหล่านี้อาจกว้างทีเดียวในบางแห่ง ซึ่งอาจอธิบายได้ว่าเหตุใดความสูงของอุโมงค์จึงมีตั้งแต่ 1.7 เมตรไปจนถึง 5 เมตรและอธิบายอีกด้วยว่า คนงานมีอากาศเพียงพอได้อย่างไรขณะที่ใช้ตะเกียงน้ำมัน. อนึ่ง คนงานเหล่านี้ต้องเป็นผู้เชี่ยวชาญเพราะความสำเร็จผลของอุโมงค์อาศัยการเอียงลาดเพียงเล็กน้อย—แค่ 31.75 เซนติเมตร—ตลอดระยะทาง.