ทอดข้ามช่องแคบเกรตเบลต์ของเดนมาร์ก
โดยผู้สื่อข่าว ตื่นเถิด! ในเดนมาร์ก
ถ้าดูประเทศเดนมาร์กในแผนที่ เราจะเข้าใจได้ง่ายว่า ทำไมชาวเดนมาร์กจึงเป็นนักเดินเรือ และนักสร้างสะพานมานานแล้ว. ประเทศเดนมาร์กประกอบด้วยเกาะต่าง ๆ 483 เกาะและมีคาบสมุทรที่ยื่นจากแผ่นดินใหญ่ยุโรปออกไปในทะเล. การเดินทางไปมาในเดนมาร์กจึงต้องมีการข้ามน้ำอยู่ตลอด.
ชาวไวกิ้งบรรพบุรุษของชาวเดนมาร์กรู้วิธีที่จะสร้างเรือที่เหมาะกับการเดินทางในทะเลเป็นอย่างดี. และดูเหมือนว่าตลอดยุคสมัยที่ผ่านมา เมืองเล็กเมืองน้อยตามชายฝั่งของเดนมาร์กทุกเมืองจะมีเรือข้ามฟากบริการรับส่งจากเมืองหนึ่งไปยังอีกเมืองที่อยู่บนเกาะใกล้เคียง.
ข้ามช่องแคบเกรตเบลต์
อย่างไรก็ตาม การเดินทางโดยเรือเป็นเรื่องที่เสี่ยงอันตรายเสมอ. นี่เป็นจริงกับการข้ามน่านน้ำเปิดอันกว้างใหญ่ซึ่งอยู่ระหว่างเกาะที่ใหญ่ที่สุดสองเกาะของเดนมาร์ก คือเกาะสเยลแลนด์และเกาะฟีน. นี่คือช่องแคบสโตร์ ช่องแคบนี้เป็นแถบน้ำกว้างซึ่งทอดยาวจากเหนือจดใต้; และถูกเรียกบ่อย ๆ ว่า เกรตเบลต์.
ที่จะเดินทางระหว่างตะวันตกของเดนมาร์กกับเกาะสเยลแลนด์ ซึ่งมีกรุงโคเปนเฮเกน เมืองหลวงของประเทศตั้งอยู่ เราต้องข้ามช่องแคบเกรตเบลต์. ในสมัยก่อน อาจจะต้องใช้เวลาเป็นวัน ๆ รอให้ลมเปลี่ยนทิศ, รอให้พายุสงบ, หรือรอให้น้ำแข็งแตกสลาย. การข้ามช่องแคบนี้อาจใช้เวลานานและเสี่ยงอันตราย. ในศตวรรษที่ 16 เนื่องจากน้ำแข็ง เชื้อพระวงศ์กลุ่มหนึ่งได้ติดอยู่บนเกาะเล็ก ๆ ที่ชื่อสโปรเออซึ่งอยู่ตรงกลางระหว่างชายฝั่งทั้งสองเป็นเวลาหนึ่งสัปดาห์.
ดังนั้น จึงไม่แปลกที่ความคิดที่จะสร้างสะพาน ณ จุดนี้เป็นที่ดึงดูดใจชาวเดนมาร์กมานานแล้ว. แต่จะมีสิ่งก่อสร้างใดของมนุษย์ที่สามารถทอดข้ามท้องน้ำที่กว้างใหญ่อย่างช่องแคบเกรตเบลต์ได้หรือ? มันจะต้องยาวอย่างน้อย 18 กิโลเมตร รวมทั้งส่วนที่สร้างขึ้นบนเกาะสโปรเออด้วย. มันจะทอดตัวออกไปไกลกว่าที่ตาเปล่าจะมองเห็นได้ในภูมิอากาศปกติ—และข้ามทะเลเปิด. ถ้าเทียบกันแล้ว สะพานโกลเดนเกตของนครซานฟรานซิสโกมีความยาวไม่ถึงสามกิโลเมตร.
เรื่องปวดหัวของนักวางแผน
จริง ๆ แล้ว สภาผู้แทนราษฎรของเดนมาร์กเริ่มถกกันเรื่องการสร้างสะพานเช่นนี้ตั้งแต่ศตวรรษที่ 19. ตลอดเวลาหลายปี นักวางแผนต้องขบคิดคำถามต่าง ๆ เช่น เราต้องการสะพานหรืออุโมงค์? ควรใช้การคมนาคมทางรถไฟ รถยนต์ หรือทั้งสองอย่าง? การใช้เรือข้ามฟากมีข้อเสียตรงไหน?
มีการคำนวณเป็นหมื่นเป็นแสนครั้ง และมีการพูดกันเป็นล้าน ๆ คำ. สำนวน “การถกเถียงเรื่องเกรตเบลต์” กลายเป็นสำนวนที่รู้กันในเดนมาร์กว่าหมายถึงเรื่องที่ถกกันไม่มีวันจบสิ้น. แต่ในที่สุดก็มีการบรรลุข้อตกลงในปี 1987. การเชื่อมเกาะใหญ่ทั้งสองจะเชื่อม ณ จุดที่ใกล้กันที่สุด สำหรับรถไฟและ รถยนต์. โครงการนี้จะประกอบด้วยสะพานสองสะพานและอุโมงค์อีกหนึ่งอุโมงค์—ซึ่งรวมกันแล้วยาว 18 กิโลเมตร—เรียกทางทั้งหมดรวมกันว่า ทางเชื่อมเกรตเบลต์.
สะพานฝั่งตะวันตก
จากเกาะฟีน—ซึ่งเป็นบ้านเกิดของนักเล่านิทานชาวเดนมาร์กชื่อ ฮันส์ คริสเตียน แอนเดอร์เซน—มีสะพานคอนกรีตเสริมเหล็กที่รวมทั้งทางรถไฟและทางรถยนต์เป็นส่วนแรกของโครงการ. ส่วนนี้สร้างเสร็จในเดือนมกราคมปี 1994 และเป็นครึ่งหนึ่งของทางเชื่อมฝั่งตะวันตก. ในปัจจุบัน สะพานนี้เป็นสะพานที่ยาวที่สุดในยุโรปซึ่งมีทางรถไฟร่วมกับทางรถยนต์. สะพานนี้อยู่สูงจากระดับน้ำทะเล 18 เมตรและทอดไปทางตะวันออกหกกิโลเมตรจากเกาะฟีนถึงเกาะสโปรเออ.
สะพานฝั่งตะวันตกนี้ซึ่งตั้งอยู่บนเสาคอนกรีตในทะเล ประกอบด้วยถนนเป็นช่วง ๆ หลายสิบช่วง ส่วนใหญ่ยาว 110 เมตร. ถนนแต่ละช่วงที่เป็นคอนกรีตถูกเทและแต่งให้เรียบบนฝั่ง. แต่จะเอาถนนแต่ละช่วงออกไปในทะเลได้อย่างไรเพื่อต่อกับช่วงอื่น ๆ? เพื่อจะทำอย่างนั้น มีการใช้ปั้นจั่นลอยน้ำที่ใหญ่ที่สุดเครื่องหนึ่งในโลก. เครื่องยกขนาดมหึมานี้ยาวกว่า 90 เมตรและสามารถยกของหนัก 7,100 ตันและนำออกไปในทะเลได้. นั่นหนักกว่าเรือบรรทุกรถยนต์ข้ามฟากลำใหญ่รวมกับรถยนต์อีก 1,000 คันทีเดียว!
แต่การสร้างทางรถไฟคู่และทางหลวงสี่เลนไปยังเกาะประภาคารเล็ก ๆ ที่ชื่อสโปรเออนั้นยังไม่พอ. จากที่นั่นจะต้องมีการเชื่อมกับอีกสองส่วนของโครงการ. ที่ปลายสะพานฝั่งตะวันตก ทางหลวงแยกออกจากทางรถไฟและมุ่งต่อไปทางตะวันออกบนสะพานอีกสะพานหนึ่ง. อย่างไรก็ตาม ทางรถไฟจะลอดเข้าไปในอุโมงค์คู่และมุ่งสู่จุดหมายผ่านใต้ทะเล.
อุโมงค์คู่
อุโมงค์ ซึ่งเป็นส่วนที่สองของโครงการ คือความสำเร็จอันยิ่งใหญ่ในตัวของมันเอง. อุโมงค์คู่ที่มีเส้นผ่าศูนย์กลางอุโมงค์ละ 8 เมตรนี้ถูกสร้างขึ้นสำหรับรถไฟ. มีการเจาะอุโมงค์ยาว 7.4 กิโลเมตรผ่านดิน, หิน, และตะกอนที่ทับถมกันใต้ทะเล. ผู้สร้างอุโมงค์ไม่สามารถรู้รายละเอียดเกี่ยวกับลักษณะของชั้นใต้ดินนี้ก่อนที่พวกเขาจะเริ่มเจาะลงไปจริง ๆ.
อุโมงค์อยู่ลึกลงไประหว่าง 10 ถึง 40 เมตรใต้ก้นทะเล ขึ้นอยู่กับลักษณะพื้นดินใต้ทะเล—ช่วงที่ลึกที่สุดอยู่ใต้ผิวน้ำ 75 เมตร. เครื่องเจาะอุโมงค์ที่ใช้แต่ละเครื่องมีความยาวประมาณ 200 เมตร ซึ่งรวมทั้งรถไฟที่ช่วยลำเลียงของ. อุโมงค์ที่เจาะเสร็จแล้วจะบุด้วยชิ้นส่วนคอนกรีตโค้ง 60,000 ชิ้นซึ่งแต่ละชิ้นหนักเกือบแปดตัน.
โดยเริ่มจากปลายทั้งสองพร้อม ๆ กัน ผู้สร้างประสบความสำเร็จอย่างยอดเยี่ยมเมื่อเจาะมาพบกันตรงกลางโดยมีความคลาดเคลื่อนไม่ถึงสี่เซนติเมตร. ในวันที่ 15 ตุลาคม 1994 เป็นโอกาสพิเศษที่รอคอยกันมานาน เมื่อเจ้าชายโยอาคิมแห่งเดนมาร์กทรงเชื่อมอุโมงค์ทั้งสองฝั่งเข้าด้วยกันอย่างเป็นทางการโดยทรงก้าวจากเครื่องเจาะเครื่องหนึ่งไปยังอีกเครื่องหนึ่งซึ่งเจาะอุโมงค์เข้ามาหา. จากเกาะสโปรเออกลางช่องแคบเกรตเบลต์ ตอนนี้อุโมงค์ที่เจาะเสร็จทั้งสองอุโมงค์ทอดตัวไปทางทิศตะวันออกถึงชายฝั่งบนเกาะสเยลแลนด์. ตั้งแต่กลางปี 1997 รถไฟได้ทะยานข้ามช่องแคบเกรตเบลต์อย่างรวดเร็วเป็นประจำ.
ประสบปัญหา
การเจาะอุโมงค์คู่ใต้ก้นทะเลกำลังก้าวหน้าไปอย่างดีแล้วจู่ ๆ สิ่งที่บรรดาคนงานเจาะอุโมงค์กลัวกันนักหนาก็เกิดขึ้นจริง—น้ำเริ่มเข้าไปในอุโมงค์. คนงานเจาะอุโมงค์หนีออกมาได้อย่างปลอดภัยแม้ว่าจะรอดอย่างหวุดหวิด. อย่างไรก็ตาม น้ำทะเลก็เข้าไปในอุโมงค์ทั้งสองจนเต็ม และเครื่องมือหลายอย่างสูญหาย. เกิดอะไรขึ้น? เครื่องเจาะเจาะเข้าไปเจอหลุมก้นทะเลที่ไม่ได้คาดคิดล่วงหน้า. เป็นธรรมดาอยู่เองที่ประสบการณ์ซึ่งก่อความท้อแท้นี้ทำให้ทั้งโครงการล่าช้า และจำต้องใช้เทคนิคใหม่เพื่อแก้ปัญหา.
แล้ววันหนึ่งเกิดไฟไหม้ลุกลามอย่างฉับพลัน และอุโมงค์หนึ่งก็เต็มไปด้วยควันอย่างรวดเร็ว. ผู้คุมงานคนหนึ่งบอกว่า “ควันหนาทึบเสียจนพีนอกคีโอคงมองไม่เห็นจมูกของตัวเอง.” มีการย้ายคนงานและเครื่องมือออกไปจากบริเวณก่อสร้างนั้น, ดับไฟ, และงานก็ต้องหยุดชะงักจนกว่าจะตรวจพบสาเหตุ ซึ่งก็คือน้ำมันไฮดรอลิกติดไฟ. ปัญหานี้และอื่น ๆ ทำให้ทั้งโครงการล่าช้าไปครั้งแล้วครั้งเล่า.
สะพานแขวน
ส่วนที่สามและเป็นงานชิ้นเอกของทางเชื่อมเกรตเบลต์คือสะพานแขวนทางรถยนต์อันสวยงามยาว 6.8 กิโลเมตร. สะพานนี้มีช่วงระหว่างเสารองรับทั้งสองยาวกว่าหนึ่งกิโลเมตรครึ่ง ทำให้มันเป็นหนึ่งในสะพานแขวนที่ยาวที่สุดในโลก. ถนนของทางเชื่อมเกรตเบลต์ฝั่งตะวันออกนี้แขวนอยู่ 67 เมตรเหนือทะเล. ที่ต้องสูงเช่นนี้เพราะช่องแคบเกรตเบลต์ ซึ่งเป็นหนึ่งในเส้นทางเดินเรือนานาชาติที่คึกคักที่สุดในโลก จะต้องเปิดให้เรือเดินสมุทรผ่านได้เสมอ.
เสารองรับสะพานขนาดมหึมาสองต้นสูงต้นละ 254 เมตร ตอนนี้เป็นสิ่งปลูกสร้างที่สูงที่สุดในเดนมาร์ก. เมื่อเทียบกันแล้ว อนุสาวรีย์เสรีภาพในท่าเรือนิวยอร์กสูง 46 เมตรไม่รวมฐาน. เป็นธรรมดาอยู่เองที่เสาขนาดมหึมาทั้งสองซึ่งตั้งอยู่ในทะเลนี้จำเป็นต้องมีฐานรากที่แข็งแกร่ง. เพื่อจะทำฐานรากนี้ มีการเกลี่ยพื้นก้นทะเลให้เสมอกันแล้วปูทับด้วย “เบาะ” หินซึ่งทำหน้าที่เป็นฐานของฐานรากแบบปล่อง ซึ่งเป็นกล่องคอนกรีตขนาดมหึมาที่รองรับนั้น. ฐานรากแบบปล่องแต่ละฐานยาว 78 เมตร, กว้าง 35 เมตร, และสูง 19 เมตรและหนัก 35,000 ตัน.
เพื่อจะสร้างเสารองรับสะพาน มีการใช้แบบหล่อพิเศษซึ่งเลื่อนขึ้นได้พร้อมทั้งนั่งร้าน. มีการเทคอนกรีตลงไปเป็นช่วง ๆ—ครั้งละสี่เมตร. เมื่อทำเสร็จช่วงหนึ่งก็จะขยับแบบขึ้นไปแล้วเททับอีกสี่เมตร. เพื่อจะสร้างเสาแต่ละต้นเสร็จต้องทำถึง 58 ครั้ง.
งานที่น่าอัศจรรย์อย่างหนึ่งของการสร้างสะพานแขวนก็คือการฟั่นสายเคเบิลที่แข็งแรงเพื่อรับน้ำหนัก. มัดสายเคเบิลเหล่านี้ประกอบด้วยสายเคเบิลเส้นเล็กกว่าจำนวน 169 เส้น ซึ่งแต่ละเส้นทำจากลวดเหล็ก 127 เส้นซึ่งมีขนาดเส้นผ่าศูนย์กลางครึ่งเซนติเมตร. มัดลวดที่หนักมากพวกนี้จะถูกยกขึ้นไปบนอากาศได้อย่างไร? มันไม่ได้ถูกยก! แต่มันถูกประกอบในที่ของมันเลย. มีการติดลวดเหล็กแต่ละเส้นเข้ากับลูกรอกพิเศษที่ดึงมันขึ้นไปบนยอดเสาและดึงลงมาอีกด้านหนึ่งแล้วก็ดึงขึ้นไปบนเสาอีกเสาหนึ่ง และในที่สุดก็ดึงลงมาที่ฐานยึด. วิธีนี้ทำให้สายเคเบิลหนาขึ้นเรื่อย ๆ ในแต่ละเที่ยว. หลังจากหนึ่งปีผ่านไปและมีการชักรอกแบบรถไฟเหาะนี้ประมาณ 20,000 เที่ยว สายเคเบิลก็เสร็จในที่สุด.
พิธีเปิด
ในที่สุด ในเดือนมิถุนายน 1998 ทุกส่วนของทางเชื่อมสายนี้ก็พร้อมจะเปิดอย่างเป็นทางการ. ทางเชื่อมเกรตเบลต์เป็นโครงการที่มีค่าใช้จ่ายสูงและต้องใช้ความกล้าหาญสำหรับประเทศเล็ก ๆ และชาวเดนมาร์กก็ติดตามข่าวการก่อสร้างด้วยความสนใจยิ่ง. ด้วยเหตุนี้ จึงมีการวางแผนให้พิธีเปิดเป็นงานเฉลิมฉลองสำหรับทุกคนที่ต้องการมีส่วนร่วมด้วย.
ก่อนที่สะพานนี้จะถูกมอบให้กับการจราจรทางรถยนต์ คนเดินเท้าและนักปั่นจักรยานมีโอกาสที่จะไม่มีอีกเป็นครั้งที่สองในการข้ามสะพานนี้. ในวันที่แจ่มใสวันหนึ่งในเดือนมิถุนายน กว่า 250,000 คน ซึ่งมีคนเดินเท้า, นักสเกตบอร์ด, นักโรลเลอร์สเกต, และนักปั่นจักรยานหลั่งไหลผ่าน ‘หมู่บ้านพิธีเปิด’ ที่เต็มไปด้วยสีสันที่มีแผงขายฮอตดอก, เวทีแสดงดนตรี, และร้านขายของที่ระลึกและมุ่งสู่สะพานเพื่อชื่นชมกับทัศนียภาพที่น่าตื่นตาตื่นใจของทะเลและชายฝั่ง.
ระหว่างงานเฉลิมฉลอง พระราชินีแห่งเดนมาร์กทรงชี้ให้เห็นในคำปราศรัยว่า คำ “นักสร้างสะพาน” เป็นคำที่ไพเราะที่สุดคำหนึ่งที่สามารถใช้เรียกใครคนใดคนหนึ่งก็ได้. เครื่องบินไอพ่นบินข้ามท้องฟ้าเหนือสะพานเป็นขบวนแถว. มีการเล่นเพลงที่แต่งขึ้นใหม่เอี่ยมที่ชื่อ “เพลงประสานเสียงแห่งสะพาน.” เพลงนี้รวมถึงการอำลาด้วยความเคารพจากเรือข้ามฟากลำหนึ่งด้วย. ในฐานะเป็นส่วนหนึ่งของดนตรี เมื่อวาทยกรชี้ไม้ให้จังหวะไปที่กล้องโทรทัศน์ตัวหนึ่ง เรือข้ามฟากลำหนึ่งที่รออยู่ในทะเลไกลออกไปหนึ่งกิโลเมตรได้รับสัญญาณและเปิดแตรหมอกเสียงดังลั่นเพื่อทุกคนจะได้ยิน.
ในเย็นนั้นหลังจากพิธีเปิด เรือข้ามฟากที่ตอนนี้กลายเป็นส่วนเกินได้รวมตัวกันใต้สะพานแขวนและเปิดแตรเพื่อจะคร่ำครวญว่าพวกมันเป็นสมาชิกของเผ่าพันธุ์ที่กำลังจะสูญไป.
สิ่งที่ได้จากทางเชื่อมนี้
ตอนนี้ความพยายามของผู้วางแผนและคนงานเป็นพัน ๆ คนก็สำเร็จสมประสงค์แล้ว ผลคืออะไร? แน่นอน เดนมาร์กได้มีสถานที่ดึงดูดนักท่องเที่ยวเพิ่มขึ้นอีกแห่งหนึ่ง เนื่องจากสะพานนี้เป็นทัศนียภาพที่สวยงามถ้ามองจากแผ่นดินหรือจากทะเล. โดยทางรถยนต์ ก็นับว่าเป็นประสบการณ์ที่น่าจดจำเมื่อได้ขับรถข้ามสะพานที่ใหญ่มากถึงขนาดที่ปลายด้านหนึ่งหรือทั้งสองด้านมักจะอยู่พ้นสายตาออกไป! และแน่นอน การข้ามช่องแคบนี้ใช้เวลาสั้นลงจริง ๆ. ขณะที่เรือข้ามฟากใช้เวลากว่าหนึ่งชั่วโมง ตอนนี้รถไฟพุ่งทะยานข้ามช่องแคบเพียงเจ็ดนาที!
ทางเชื่อมนี้ได้ทำให้วิถีชีวิตคนเปลี่ยนไปหลายรูปแบบ. มีชาวเดนมาร์กมากขึ้นไปเยี่ยมเพื่อนฝูง, ทำธุรกิจ, หรือหาความบันเทิงอีกฝั่งหนึ่งของช่องแคบ. การเปลี่ยนจากชนบทเป็นเมืองและการพัฒนาด้านธุรกิจกำลังได้รับผลกระทบเนื่องจากตอนนี้เป็นไปได้ที่คนจะมีงานทำอีกฝั่งหนึ่งของช่องแคบและมีบ้านอยู่อีกฝั่งหนึ่ง. สินค้าต่าง ๆ สามารถถูกเคลื่อนย้ายข้ามประเทศได้เร็วกว่าแต่ก่อนมาก.
แต่มีบางสิ่งสูญเสียไปด้วย. เรือข้ามฟากที่แล่นไปมาในน่านน้ำนี้เป็นตัวแทนของธรรมเนียมที่เก่าแก่นานนับศตวรรษ และนักเดินทางหลายคนค่อนข้างชอบเพราะการนั่งเรือข้ามฝากทำให้มีช่วงหยุดพัก. นักธุรกิจคนหนึ่งโอดครวญว่า “ผมคงจะคิดถึงเรือข้ามฟาก. ท้องน้ำและเรือลำใหญ่เป็นสิ่งที่ตรึงใจ. ผมชอบความรู้สึกตอนที่ถูกลมพัดขณะที่อยู่บนดาดฟ้าเรือ.” กระนั้น ไม่มีข้อสงสัยว่าทางเชื่อมใหม่นี้จะดึงส่วนต่าง ๆ แห่งอาณาจักรเกาะของเดนมาร์กให้มาใกล้กันมากขึ้นและทำให้การเดินทางจากยุโรปเหนือง่ายขึ้นมาก.
[แผนที่หน้า 25]
(ดูรายละเอียดจากวารสาร)
เดนมาร์ก
ฟีน
สเยลแลนด์
ฟีน
สโปรเออ
สะพานฝั่งตะวันตก
อุโมงค์
สะพานแขวน
สเยลแลนด์
ทางรถไฟ
ทางหลวง
[รูปภาพหน้า 26]
เย็นวันเปิดสะพานแขวนที่สร้างเสร็จแล้ว
[ที่มาของภาพ]
Nordfoto, Liselotte Sabroe