จากหยาดเหงื่อของเด็ก ๆ
“เด็ก ๆ ซึ่งตอนนี้เป็นส่วนของกระบวนการผลิต ได้รับการปฏิบัติเสมือนสินค้าเศรษฐกิจแทนที่จะเป็นอนาคตของสังคม.”—จีระ หงส์ลดารมภ์ ผู้อำนวยการสถาบันทรัพยากรมนุษย์ ประเทศไทย.
ครั้งต่อไปเมื่อคุณซื้อตุ๊กตาให้ลูกสาว จำไว้ว่าตุ๊กตาตัวนั้นอาจผลิตโดยเด็กตัวน้อย ๆ ในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้. ครั้งต่อไปเมื่อลูกชายของคุณเตะลูกฟุตบอล ขอให้คิดถึงความจริงที่ว่าลูกฟุตบอลนั้นอาจเย็บโดยเด็กผู้หญิงวัยสามขวบ ซึ่งพร้อมกับคุณแม่และพี่สาวอีกสี่คน หาเงินได้วันละ 30 บาท. ครั้งต่อไปเมื่อคุณซื้อพรม ขอให้คิดว่าพรมผืนนั้นอาจถูกทอโดยนิ้วมือที่ว่องไวของเด็กชายวัยหกขวบที่ทำงานนานหลายชั่วโมงวันแล้ววันเล่าในสภาพที่ถูกกดขี่.
แรงงานเด็กมีแพร่หลายขนาดไหน? จะก่อผลกระทบอะไรต่อเด็ก? จะแก้ไขปัญหานี้ได้อย่างไร?
ขอบเขตของปัญหา
ตามข้อมูลจากองค์การแรงงานระหว่างประเทศ (ไอแอลโอ) เด็กที่ทำงานซึ่งมีอายุระหว่าง 5 ถึง 14 ปี ในประเทศกำลังพัฒนาประมาณว่ามีถึง 250 ล้านคน.a เชื่อกันว่า 61 เปอร์เซ็นต์อยู่ในเอเชีย, 32 เปอร์เซ็นต์อยู่ในแอฟริกา, และ 7 เปอร์เซ็นต์อยู่ในลาตินอเมริกา. แรงงานเด็กมีอยู่ในประเทศอุตสาหกรรมด้วย.
ในยุโรปตอนใต้ เด็กจำนวนมากทำงานรับจ้าง โดยเฉพาะงานตามฤดูกาล เช่น การทำไร่ทำนา และการทำงานในโรงงานเล็ก ๆ. ไม่นานมานี้ แรงงานเด็กได้เพิ่มขึ้นในยุโรปกลางและยุโรปตะวันออกหลังจากที่เปลี่ยนจากระบอบคอมมิวนิสต์มาเป็นทุนนิยม. ในสหรัฐ ตัวเลขแรงงานเด็กของทางการคือ 5.5 ล้านคน แต่นั่นไม่ได้รวมเอาเด็กหลายคนที่อายุต่ำกว่า 12 ปีซึ่งรับจ้างอย่างผิดกฎหมายในโรงงานที่มีสภาพต่ำกว่ามาตรฐาน หรือในฐานะคนงานตามฤดูกาลและคนงานย้ายถิ่นในฟาร์มขนาดใหญ่. เด็กจำนวนหลายล้านคนเหล่านี้กลายมาเป็นส่วนของแรงงานได้อย่างไร?
สาเหตุของแรงงานเด็ก
การแสวงประโยชน์จากความยากจน. สถานภาพเด็กในโลกปี 1997 กล่าวว่า “สิ่งที่มีพลังมากที่สุดที่บีบเด็กให้เข้าสู่การใช้แรงงานที่เป็นอันตรายและบั่นทอนกำลังก็คือการแสวงประโยชน์จากความยากจน. สำหรับครอบครัวที่ยากจน การที่เด็กมีรายได้มาเสริมหรือให้การช่วยเหลือเล็ก ๆ น้อย ๆ ในบ้านซึ่งทำให้พ่อแม่ไปทำงานได้ ช่วยให้พอจะมีกิน ไม่ถึงกับต้องอด.” พ่อแม่ของคนงานเด็กมักว่างงานหรือทำงานต่ำระดับ. พวกเขาหมดหวังที่จะได้รายได้ที่มั่นคง. แล้วทำไมลูก ๆ ของพวกเขากลับได้งานทำ? เพราะว่าค่าจ้างเด็กถูกกว่าผู้ใหญ่. เพราะว่าเด็กสอนง่ายและปรับตัวง่าย—หลายคนจะทำตามที่สั่งทุกอย่าง โดยแทบจะไม่ปริปากถาม. เพราะว่าเด็กไม่ค่อยจะต่อต้านการกดขี่. และเพราะว่าพวกเขาไม่ตอบโต้เมื่อถูกทำร้ายร่างกาย.
ขาดการศึกษา. ซุดฮีร์ เด็กชายวัย 11 ปีในประเทศอินเดีย เป็นเด็กคนหนึ่งในจำนวนหลายล้านคนที่ออกจากโรงเรียนและเริ่มทำงาน. ทำไม? เขาตอบว่า “ในโรงเรียน คุณครูสอนไม่ดีครับ. ถ้าพวกเราขอให้คุณครูสอนเรื่องพยัญชนะ คุณครูก็จะตีพวกเรา. คุณครูหลับในชั้นเรียน. . . . ถ้าพวกเราไม่เข้าใจ คุณครูก็จะไม่สอนเรา.” น่าเศร้า ซุดฮีร์ประเมินค่าโรงเรียนได้อย่างถูกต้อง. ในประเทศกำลังพัฒนา การตัดทอนงบประมาณทางสังคมส่งผลกระทบต่อการศึกษาอย่างหนัก. การสำรวจของสหประชาชาติที่มีขึ้นในปี 1994 ในประเทศที่ด้อยพัฒนาที่สุด 14 ประเทศเปิดเผยข้อเท็จจริงที่น่าสนใจบางอย่าง. ตัวอย่างเช่น ในครึ่งหนึ่งของประเทศเหล่านั้น ห้องเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ 1 มีเก้าอี้สำหรับนักเรียนเพียง 4 ใน 10 คน. นักเรียนจำนวนครึ่งหนึ่งไม่มีหนังสือแบบเรียน และชั้นเรียนจำนวนครึ่งหนึ่งไม่มีกระดานดำ. ไม่น่าแปลกใจ เด็กหลายคนที่เข้าโรงเรียนแบบนี้สุดท้ายก็ออกไปทำงาน.
สิ่งที่คาดหมายสืบต่อกันมา. ยิ่งงานนั้นอันตรายและหนักมากเท่าใด งานนั้นก็ยิ่งมีไว้สำหรับชนกลุ่มน้อยทางชาติพันธุ์, ชนชั้นต่ำ, ผู้ด้อยโอกาส, และคนจนมากเท่านั้น. เกี่ยวกับประเทศแถบเอเชียประเทศหนึ่ง องค์การทุนเพื่อเด็กแห่งสหประชาชาติสังเกตว่า “ผู้คนมีทัศนะว่า บางคนเกิดมาเพื่อเป็นใหญ่และทำงานโดยใช้ความคิด ขณะที่คนส่วนใหญ่เกิดมาเพื่อทำงานด้วยแรงกาย.” ในประเทศแถบตะวันตก ทัศนะของผู้คนก็ไม่ได้ดีไปกว่านี้เท่าไร. กลุ่มที่มีอำนาจอาจไม่ต้องการให้ลูกของตนทำงานอันตราย แต่พวกเขาไม่ตะขิดตะขวงใจเลยเมื่อเด็กจากชนกลุ่มน้อยทางเชื้อชาติ, ทางชาติพันธุ์, หรือทางเศรษฐกิจทำงานนั้น. ตัวอย่างเช่น ในยุโรปเหนือ คนงานเด็กมักเป็นชาวตุรกีหรือแอฟริกา; ในสหรัฐ พวกเขาอาจเป็นชาวเอเชียหรือลาตินอเมริกา. แรงงานเด็กถูกซ้ำเติมโดยสังคมสมัยใหม่ที่เต็มไปด้วยทัศนะแบบบริโภคนิยม. ความต้องการผลิตภัณฑ์ราคาต่ำนั้นมีสูง. ดูเหมือนว่า มีไม่กี่คนที่สนใจว่าสินค้าเหล่านี้อาจผลิตโดยเด็ก ๆ หลายล้านคนที่เขาไม่รู้จักและถูกแสวงประโยชน์.
แรงงานเด็กแบบต่าง ๆ
แรงงานเด็กมีประเภทไหนบ้าง? โดยทั่วไป คนงานเด็กส่วนใหญ่ทำงานรับใช้ในบ้าน. ผู้ใช้แรงงานเหล่านี้ถูกขนานนามว่า “เด็กที่โลกลืมมากที่สุด.” งานรับใช้ในบ้านไม่จำต้องเป็นอันตราย แต่บ่อยครั้งมักเป็นเช่นนั้น. เด็กที่เป็นทาสรับใช้ในบ้านมีแนวโน้มจะได้ค่าแรงต่ำ หรือไม่ได้ค่าแรงเลย. เงื่อนไขของงานขึ้นอยู่กับนายจ้างโดยสิ้นเชิง. พวกเขาถูกพรากเอาความรัก, การศึกษา, การเล่นสนุกสนาน, และกิจกรรมทางสังคม. พวกเขาอาจถูกทำร้ายทางกายและทางเพศได้ง่ายอีกด้วย.
เด็กคนอื่น ๆ กลายเป็นผู้ใช้แรงงานที่ถูกบังคับให้ใช้หนี้. ในเอเชียใต้ รวมทั้งในแถบอื่น ๆ เด็กซึ่งบ่อยครั้งอายุเพียงแปดหรือเก้าปี ถูกพ่อแม่นำตัวไปประกันกับเจ้าของโรงงานหรือนายหน้าเพื่อจะกู้ยืมเงินเพียงเล็กน้อย. แม้เด็กจะเป็นทาสรับใช้ไปชั่วชีวิตก็ไม่เคยทำให้หนี้ลดลงแม้แต่น้อย.
แล้วการแสวงประโยชน์ด้านการค้าประเวณี กับเด็กล่ะ? มีการประมาณว่า ทุกปีมีเด็กผู้หญิงอย่างน้อยหนึ่งล้านคนทั่วโลกถูกล่อลวงไปค้าประเวณี. เด็กผู้ชายก็มักถูกแสวงประโยชน์ทางเพศด้วย. ความเสียหายทางร่างกายและทางอารมณ์ที่เกิดจากการทำร้ายทางเพศทำให้สิ่งนี้เป็นหนึ่งในรูปแบบแรงงานเด็กที่เป็นอันตรายที่สุด โดยยังไม่ต้องพูดถึงการติดเชื้อเอชไอวี. โสเภณีวัย 15 ปีคนหนึ่งในเซเนกัลบอกว่า “พวกเราตกอยู่ในฐานะเดียวกับคนพเนจรในสังคม. ไม่มีใครอยากรู้จักพวกเราหรืออยากให้คนอื่นเห็นว่าอยู่กับพวกเรา.”b
คนงานเด็กจำนวนมากถูกแสวงประโยชน์ในภาคอุตสาหกรรมและเกษตรกรรม. เด็กเหล่านี้ตรากตรำทำงานในเหมืองที่ถือกันว่าอันตรายเกินไปสำหรับผู้ใหญ่. เด็กหลายคนเป็นวัณโรค, หลอดลมอักเสบ, และโรคหอบหืด. คนงานเด็กในภาคเกษตรกรรมเผชิญกับยาฆ่าแมลง, การถูกงูกัด, การถูกแมลงกัดต่อย. บางคนถูกมีดพร้าตัดอวัยวะขาดขณะตัดอ้อย. เด็กคนอื่น ๆ อีกหลายล้านคนมีถนน เป็นที่ทำงานของตน. ตัวอย่างเช่น ชิรีนวัยสิบขวบ ซึ่งคุ้ยขยะเป็นอาชีพ. เธอไม่เคยไปโรงเรียน แต่เธอชำนาญวิชาเอาตัวรอด. ถ้าเธอขายเศษกระดาษและถุงพลาสติกได้ 12 ถึง 20 บาท เธอก็ได้กินข้าวกลางวัน. ถ้าเธอหาเงินได้น้อยกว่านั้น เธอก็จะอด. เด็กข้างถนน ซึ่งมักจะหนีออกจากบ้านที่มีการทำร้ายหรือการละเลย กลับต้องทนกับการทำร้ายและการแสวงประโยชน์มากขึ้นไปอีกบนถนน. โจซีวัยสิบขวบ ซึ่งขายลูกกวาดบนถนนสายหลักในเมืองหนึ่งในเอเชียพูดว่า “ทุกวัน หนูภาวนาไม่ให้หนูตกอยู่ในมือของคนชั่ว.”
วัยเด็กถูกทำลาย
เนื่องจากมีการใช้แรงงานเด็กในรูปแบบต่าง ๆ เหล่านี้ เด็กหลายสิบล้านคนจึงตกอยู่ในอันตรายร้ายแรง. อันตรายเหล่านี้อาจเนื่องมาจากลักษณะของงานที่ทำหรือจากสภาพการทำงานอันเลวร้าย. คนงานเด็กและเยาวชนมีแนวโน้มจะประสบอุบัติเหตุที่ร้ายแรงจากงานอาชีพมากกว่าผู้ใหญ่. นี่เป็นเพราะว่าอวัยวะของเด็กแตกต่างไปจากของผู้ใหญ่. กระดูกสันหลังหรือกระดูกเชิงกรานของเด็กเสียรูปได้ง่ายจากการทำงานหนัก. เด็กยังได้รับความเสียหายมากกว่าผู้ใหญ่เมื่อได้รับสารเคมีที่เป็นอันตรายหรือรังสี. นอกจากนั้น ร่างกายของเด็กไม่เหมาะกับการทำงานหนักและซ้ำซากเป็นเวลานาน ๆ ซึ่งส่วนใหญ่พวกเขาต้องอยู่ในสภาพชีวิตแบบนี้. พวกเขามักไม่ตระหนักถึงอันตราย และไม่มีความรู้มากนักเกี่ยวกับข้อควรระวังที่น่าจะใส่ใจไว้.
ผลกระทบของแรงงานเด็กที่มีต่อการเติบโตทางจิตใจ, ทางอารมณ์, และทางปัญญาของเด็กก็ร้ายแรงด้วย. เด็กเหล่านี้ขาดความรัก. ส่วนการตบตี, การเหยียดหยาม, การทำโทษโดยให้อดอาหาร, และการทำร้ายทางเพศเป็นเรื่องธรรมดามาก. ตามการศึกษาวิจัยหนึ่ง เกือบครึ่งหนึ่งของเด็กประมาณ 250 ล้านคนที่ใช้แรงงานได้ออกจากโรงเรียน. ยิ่งกว่านั้น มีการสังเกตว่าความสามารถในการเรียนรู้ของเด็กที่ทำงานหลายชั่วโมงอาจเสียหายได้.
ทั้งหมดนี้หมายความว่าอย่างไร? หมายความว่าเด็กส่วนใหญ่ที่ใช้แรงงานต้องจมอยู่กับความยากจน, ความทุกข์, ความเจ็บป่วย, ความไม่รู้หนังสือ, และการเข้ากับคนอื่นไม่ได้ไปตลอดชีวิต. หรือดังที่โรบิน ไรท์ นักหนังสือพิมพ์กล่าวว่า “แม้ว่ามีความก้าวหน้าทางวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี โลกในตอนปลายศตวรรษที่ 20 กำลังผลิตเด็กหลายล้านคนที่มีความหวังน้อยมากที่จะมีชีวิตอย่างปกติธรรมดา ยังไม่ต้องพูดถึงการนำโลกเข้าสู่ศตวรรษที่ 21.” แง่คิดที่ให้สติเหล่านี้ก่อให้เกิดคำถามว่า เด็ก ๆ ควรได้รับการปฏิบัติเช่นไร? พอจะมองเห็นวิธีแก้ใด ๆ ไหมสำหรับปัญหาแรงงานเด็กที่ถูกกดขี่?
[เชิงอรรถ]
a โดยทั่วไป ไอแอลโอกำหนดไว้ว่า เด็กต้องมีอายุไม่ต่ำกว่า 15 ปีจึงจะได้รับอนุญาตให้ทำงานได้ ถ้าอายุ 15 ปีนั้นไม่ต่ำกว่าอายุที่จะจบการศึกษาภาคบังคับ. นี่เป็นมาตรฐานที่ยึดถือกันทั่วไปเมื่อกำหนดว่าในปัจจุบันมีเด็กจำนวนเท่าไรกำลังทำงานอยู่ทั่วโลก.
b สำหรับข้อมูลเพิ่มเติมเกี่ยวกับการแสวงประโยชน์ทางเพศกับเด็ก ดูตื่นเถิด! ฉบับ 8 เมษายน 1997 หน้า 11-15.
[กรอบหน้า 5]
แรงงานเด็กคืออะไร?
เด็กส่วนใหญ่ในทุก ๆ สังคมทำงานไม่อย่างใดก็อย่างหนึ่ง. ชนิดของงานที่พวกเขาทำแตกต่างกันไปตามสภาพสังคมและยุคสมัย. งานอาจเป็นส่วนสำคัญของการศึกษาของเด็กและเป็นวิธีถ่ายทอดทักษะที่จำเป็นอย่างยิ่งจากพ่อแม่ไปสู่ลูกหลาน. ในบางประเทศ เด็กมักเข้าไปทำงานในโรงงานเล็ก ๆ และทำงานด้านบริการระดับเล็ก ๆ และค่อย ๆ กลายเป็นคนงานเต็มตัวในเวลาต่อมา. ในบางประเทศ เด็กวัยรุ่นทำงานไม่กี่ชั่วโมงต่อสัปดาห์เพื่อหาเงินใช้จ่ายส่วนตัว. องค์การทุนเพื่อเด็กแห่งสหประชาชาติยืนยันว่างานเช่นนี้ “เป็นประโยชน์ เสริมสร้างพัฒนาการทางด้านร่างกาย, จิตใจ, ความคิด, ศีลธรรมหรือสังคมโดยไม่ขัดขวางการเรียนในโรงเรียน, การนันทนาการ, และการพักผ่อน.”
ในทางตรงกันข้าม เด็กที่ใช้แรงงานหมายถึงเด็กที่ทำงานนานหลายชั่วโมงแต่ได้ค่าจ้างเพียงเล็กน้อย บ่อยครั้งอยู่ในสภาพการทำงานที่เป็นอันตรายต่อสุขภาพ. หนังสือสถานภาพเด็กในโลกปี 1997 ให้ความเห็นว่า งานชนิดนี้ “เห็นได้ชัดว่าก่ออันตรายหรือเป็นการเอาเปรียบ. คงไม่มีใครสนับสนุนอย่างเปิดเผยว่าการแสวงประโยชน์จากเด็กโดยให้เป็นโสเภณีนั้นเป็นสิ่งที่ยอมรับได้ไม่ว่าสภาพการณ์จะเป็นเช่นไร. อาจกล่าวได้เช่นเดียวกันกับ ‘แรงงานเด็กใช้หนี้’ ซึ่งเป็นสำนวนที่ใช้กันอย่างกว้างขวางสำหรับสภาพเหมือนทาสของเด็กที่ต้องใช้หนี้ที่พ่อแม่หรือปู่ย่าตายายของตนก่อไว้. คำนี้ยังอาจใช้กับอุตสาหกรรมที่ขึ้นชื่อว่าเป็นอันตรายต่อสุขภาพและความปลอดภัย . . . เป็นเรื่องที่ไม่อาจยอมให้ได้เลยที่เด็ก ๆ จะทำงานที่เป็นอันตราย.”
[กรอบหน้า 8, 9]
“ยังมีอีกมากที่จะต้องทำ”
องค์การแรงงานระหว่างประเทศ (ไอแอลโอ) เป็นตัวจักรใหญ่ที่พยายามขจัดแรงงานเด็กรูปแบบต่าง ๆ ที่เลวร้ายที่สุดให้หมดไป. ไอแอลโอกระตุ้นรัฐบาลต่าง ๆ ให้ออกกฎหมายห้ามการใช้แรงงานเด็กอายุต่ำกว่า 15 ปี. องค์การนี้ยังสนับสนุนอนุสัญญาฉบับใหม่ ๆ ให้ห้ามมีคนงานเด็กอายุต่ำกว่า 12 ปีและให้ถือว่าการแสวงประโยชน์แบบที่อันตรายที่สุดเป็นการผิดกฎหมาย. เพื่อจะทราบมากขึ้นเกี่ยวกับความสำเร็จของความพยายามเช่นนี้ ตื่นเถิด! ได้ไปสัมภาษณ์โซเนีย โรเซน ผู้อำนวยการแผนงานแรงงานเด็กระหว่างประเทศ กระทรวงแรงงานสหรัฐ. เธอได้ทำงานอย่างใกล้ชิดกับแผนงานต่าง ๆ ของไอแอลโอ. ต่อไปนี้เป็นส่วนที่คัดมาจากการสนทนา.
ถาม: อะไรเป็นวิธีแก้ปัญหาแรงงานเด็กที่ดีที่สุด?
ตอบ: วิธีแก้ที่ถูกต้องไม่ได้มีวิธีเดียว. อย่างไรก็ตาม ในระดับสากลแล้ว ประเด็นที่เราได้พิจารณาเป็นประเด็นสำคัญ นั่นคือ การบังคับใช้กฎหมายให้มากพอ ร่วมกับการศึกษาเบื้องต้น จะดีถ้าเป็นภาคบังคับและไม่ต้องเสียค่าใช้จ่าย. แน่นอน การมีงานที่พอเพียงสำหรับพ่อแม่ก็สำคัญด้วย.
ถาม: คุณพอใจกับความก้าวหน้าที่มีในการแก้ไขปัญหาแรงงานเด็กไหม?
ตอบ: ดิฉันไม่เคยพอใจเลย. เราพูดกันว่าถ้ามีเด็กคนหนึ่งทำงานในสภาพที่ถูกกดขี่ นั่นก็มากเกินพอแล้ว. เราได้ทำความก้าวหน้าอย่างมากโดยทางแผนงานของไอแอลโอ. แต่ยังมีอีกมากที่จะต้องทำ.
ถาม: ประชาคมโลกตอบรับต่อความพยายามที่จะขจัดแรงงานเด็กอย่างไร?
ตอบ: ดิฉันไม่ทราบอีกต่อไปว่าจะตอบคำถามนี้อย่างไร. ทั่วโลกตอนนี้เราต่างเห็นพ้องต้องกันในระดับหนึ่งว่าแรงงานเด็กเป็นสิ่งที่จะต้องจัดการ. ดิฉันคิดว่า ณ จุดนี้สิ่งที่จะต้องถามจริง ๆ ก็คือ: จะจัดการอย่างไรและจัดการเร็วแค่ไหน? อะไรเป็นวิธีที่ดีที่สุดซึ่งเราจะใช้เพื่อรับมือกับแรงงานเด็กรูปแบบต่าง ๆ? ดิฉันคิดว่านั่นเป็นสิ่งที่ท้าทายเราจริง ๆ.
ถาม: คนงานเด็กจะคาดหมายอะไรได้ในวันข้างหน้า?
ตอบ: ทุกประเทศในโลกกำลังกลับไปที่กรุงเจนีวาปีนี้เพื่อทำอนุสัญญาฉบับใหม่เกี่ยวกับรูปแบบแรงงานเด็กที่เลวร้ายที่สุด. นั่นส่อถึงความสำเร็จอย่างใหญ่หลวงทีเดียว คือมีทุกประเทศ รวมทั้งองค์การผู้ใช้แรงงานและองค์การนายจ้าง. หวังเป็นอย่างยิ่งว่า นั่นจะทำให้เกิดโครงสร้างใหม่ที่มุ่งกำจัดรูปแบบที่เลวร้ายที่สุดของแรงงานเด็ก.
ไม่ใช่ทุกคนที่มองในแง่ดีเช่นเดียวกับโซเนีย โรเซน. ชาลส์ แมกคอร์แมก ประธานองค์การ เซฟ เดอะ ชิลเดร็น มีข้อคัดค้าน.เขากล่าวว่า “ไม่มีนโยบายทางการเมือง และความตื่นตัวของสาธารณชนที่จะทำให้เรื่องนี้เกิดขึ้น.” ทำไม? องค์การทุนเพื่อเด็กแห่งสหประชาชาติออกความเห็นว่า “แรงงานเด็กมักเป็นประเด็นที่ซับซ้อน. แหล่งที่ทรงอิทธิพลหนุนหลังอยู่ รวมถึงนายจ้างหลายคน กลุ่มผลประโยชน์และนักเศรษฐศาสตร์ที่เสนอว่าตลาดการค้าจะต้องเปิดเสรีไม่ว่าจะต้องมีความสูญเสียอะไรก็ตาม และนักประเพณีนิยมที่เชื่อว่าเด็กบางคนมีวรรณะหรือชั้นชนที่เพิกถอนสิทธิ์ของพวกเขา.”
[รูปภาพ]
โซเนีย โรเซน
[รูปภาพหน้า 5]
ประวัติศาสตร์ที่น่าเศร้าของแรงงานเด็กรวมไปถึงการทำงานหนักในเหมืองและในโรงงานฝ้าย
[ที่มาของภาพ]
U.S. National Archives photos
[รูปภาพหน้า 7]
คุ้ยขยะ
[รูปภาพหน้า 7]
ทำงานหนักมากในการเก็บฟืน
[ที่มาของภาพ]
UN PHOTO 148046/ J. P. Laffont - SYGMA
[รูปภาพหน้า 7]
ทำงานในโรงงานปั่นด้าย
[ที่มาของภาพ]
CORBIS/Dean Conger
[รูปภาพหน้า 8]
เด็กข้างถนนขายของเพื่อจะได้เงินแค่ 2.50 บาทต่อวัน
[ที่มาของภาพ]
UN PHOTO 148027/Jean Pierre Laffont
[รูปภาพหน้า 8]
ทำงานในร้านช่างไม้
[ที่มาของภาพ]
UN PHOTO 148079/ J. P. Laffont - SYGMA
[รูปภาพหน้า 9]
ดิ้นรนหาเลี้ยงชีพ
[ที่มาของภาพ]
UN PHOTO 148048/J. P. Laffont - SYGMA