การเพ่งดูโลก
การสอนให้นับถือผู้มีอำนาจ
“บิดามารดาในทุกวันนี้แทบไม่เรียกร้องความนับถือต่ออำนาจของตนซึ่งตามจริงแล้วอาจเป็นการทำให้ความนับถือตัวเองของลูก ๆ ลดลง” รายงานข่าวในหนังสือพิมพ์เดอะ โทรอนโต สตาร์ กล่าว. โรนัลด์ มอร์ริช ผู้ชำนัญพิเศษด้านพฤติกรรมกล่าวว่า “ตามจริงแล้ว การที่พวกเด็ก ๆ รู้ข้อจำกัดของตนเป็นการสนองความต้องการของพวกเขาซึ่งอยากรู้ว่าจะคาดหมายอะไรและอยากรู้สึกมั่นคงปลอดภัย—ซึ่งช่วยพวกเขาให้นับถือตัวเองมากขึ้น. เด็ก ๆ ที่ไม่รู้กฎเกณฑ์และไม่รู้จักรับผิดชอบนั่นแหละซึ่งเติบโตขึ้นอย่างที่รู้สึกไม่ค่อยปลอดภัยและไม่ค่อยความมั่นใจ.” เขากล่าวอีกว่า “ผมรู้จักเด็ก 6 ขวบที่กำหนดเวลาเข้านอนของเขาเอง. ผมรู้จักเด็ก 3 ขวบที่คุณแม่เขาพยายามโน้มน้าวไม่ให้ประพฤติไม่ดีด้วยการอธิบายว่าการทำอย่างนั้นทำให้แม่รู้สึกอย่างไร.” มอร์ริชบอกว่า เด็ก ๆ จำเป็นต้องเรียนรู้วิธีปฏิบัติตามกฎครอบครัว และแนวคิดที่ว่า เป็นเรื่องธรรมดาที่พวกเขาจะกลายเป็นคนที่ร่วมมือน้อยลงเมื่ออายุมากขึ้นนั้นเป็นแนวคิดที่ผิด. “เราคาดหมายให้เด็ก ๆ สร้างสมความรู้ด้านวิชาการเพิ่มขึ้นเรื่อย ๆ ทุกปี. แล้วทำไมเราไม่คาดหมายให้เด็ก ๆ มีการปรับปรุงทุกปีในด้านความประพฤติด้วยล่ะ?” เขาถาม. “ถ้าคุณไม่พยายามใช้อำนาจของคุณเพื่อให้เด็ก ๆ เก็บของเล่น พอเขาเป็นวัยรุ่น เขาจะไม่เชื่อฟังกฎของบิดามารดาในเรื่องการกลับบ้านตามเวลาที่กำหนด.”
เสียงที่บันทึกไว้ เพื่อกระตุ้นให้สัตว์กินอาหาร
นักวิทยาศาสตร์ชาวแคนาดาได้ค้นพบว่า อาจกระตุ้นลูกสัตว์เล็ก ๆ ในฟาร์มให้กินอาหารได้โดยการเปิดเสียงที่บันทึกไว้ให้พวกมันฟัง วารสารนิว ไซเยนติสต์ รายงาน. ลูอิส เบต แห่งมหาวิทยาลัยปรินซ์เอดเวิร์ดไอแลนด์ บอกว่า “เราบันทึกเสียงแม่ไก่ตอนมันพบของที่มันอยากให้ลูกกิน.” เมื่อเปิดเสียงที่บันทึกไว้ออกลำโพงที่ตั้งไว้ใกล้อาหาร ลูกไก่ก็กินแม้ว่าแม่ไก่ไม่อยู่. แต่ต้องเปิดให้ถูกเสียง. เบตให้ข้อสังเกตว่า “เมื่อเราเปิดเสียงที่แม่ไก่ทำหลังจากลูกไก่ออกจากไข่ ซึ่งผมฟังดูเหมือนเสียงเรียกให้มากินอาหาร ลูกไก่กลับนิ่งเฉย.” เป้าหมายของพวกนักวิทยาศาสตร์คือ เพื่อเร่งการเติบโตของสัตว์ และในการทดลองระยะแรก ๆ ลูกไก่โตเร็วกว่าปกติถึง 20 เปอร์เซ็นต์ในช่วงสามสัปดาห์แรก. ในการทดลองคล้ายกัน ลูกไก่งวงและลูกหมูก็ถูกกระตุ้นให้กินอาหารบ่อยขึ้นด้วย.
เครียด
หนังสือพิมพ์แวนคูเวอร์ ซัน รายงานว่า “ชาวแคนาดาเกือบครึ่งหนึ่งบ่นว่าพวกเขาเกิดความเครียดค่อนข้างมากเมื่อพยายามทำให้งานสมดุลกับชีวิตที่บ้าน. จำนวนนี้เป็นสองเท่าของเมื่อสิบปีก่อน.” ทำไมเพิ่มมากอย่างนั้น? การสำรวจซึ่งเผยแพร่โดยศูนย์รวมข่าวของแคนาดาเผยให้เห็นเปอร์เซ็นต์ที่เพิ่มขึ้นของคนทำงานชาวแคนาดาซึ่งเป็นผู้เอาใจใส่ดูแลสมาชิกในครอบครัว. มีคนมากขึ้นมีบุตรเมื่ออายุมาก และคนเหล่านี้มักประสบข้อท้าทาย “ในการดูแลทั้งบุตรและบิดามารดาในเวลาเดียวกัน.” ถึงแม้ 84 เปอร์เซ็นต์ของผู้ตอบการสำรวจรู้สึกพอใจกับงานที่ตนทำ แต่รายงานนี้ให้ข้อสังเกตว่า เมื่อการทำให้ความต้องการของที่บ้านและที่ทำงานสมดุลกันกลายเป็นปัญหาขึ้นมา “พวกเขาส่วนใหญ่จะลดเวลาสำหรับความจำเป็นส่วนตัวลง ซึ่งรวมทั้งเวลานอนด้วย.” ศูนย์รวมข่าวดังกล่าวบอกว่า “ผลก็คือความเครียด และเสียสุขภาพ.”
ใบสั่งยาที่ก่ออันตราย
หนังสือพิมพ์ชตุทท์การ์เทอร์ นาคริชเทิน รายงานว่า “ในเยอรมนีปีที่แล้ว ยาเป็นต้นเหตุให้มีการเสียชีวิตมากกว่าอุบัติเหตุทางการจราจรเสียอีก.” มีรายงานว่าประชาชนราว 25,000 คนเสียชีวิตในปี 1998 เนื่องจากยาที่สั่งจ่ายอย่างผิด ๆ. จำนวนนี้มากเป็นสามเท่าของจำนวนคนที่เสียชีวิตในอุบัติเหตุทางการจราจรในช่วงเวลาเดียวกัน. กล่าวกันว่าการหายากินเองยังมีผลรองลงมา. ปัญหาใหญ่ดูเหมือนเป็นการขาดความรู้และการฝึกอบรมในหมู่แพทย์เกี่ยวกับยาต่าง ๆ และผลของมัน. ตามที่รายงานนั้นกล่าว เภสัชกร อิงกอล์ฟ คาสคอร์บี กล่าวว่า ตามการประเมินแล้ว “ในเยอรมนีแต่ละปี การที่มีผู้เสียชีวิต 10,000 คนและผู้ป่วยเนื่องจากผลข้างเคียงร้ายแรง 250,000 รายอาจหลีกเลี่ยงได้หากใช้การวิจัยและการฝึกอบรมให้เกิดประโยชน์อย่างเต็มที่.”
ในทำนองเดียวกัน วารสารภาษาฝรั่งเศสชื่อซีอองส์ เอ อาเวเนียร์ รายงานเกี่ยวกับการวิจัยเมื่อไม่นานมานี้ในฝรั่งเศสซึ่งเผยให้เห็นว่า จากใบสั่งยา 150,000 ใบที่แพทย์ให้แก่ผู้ซึ่งอายุ 70 ปีขึ้นไปนั้น มีประมาณ 10,700 ใบที่สั่งผิดหรือไม่ได้ผล. เกือบ 1 ใน 50 อาจก่ออันตรายได้เนื่องจากปฏิกิริยาที่อาจเกิดขึ้นได้จากยาตามใบสั่งอื่นของแพทย์หรือความเสี่ยงอื่น ๆ. ในฝรั่งเศสแต่ละปี คนสูงอายุใช้เวลาประมาณหนึ่งล้านวันอยู่ในโรงพยาบาลเนื่องจากเกิดปฏิกิริยาที่ไม่ดีกับยา.