การเพ่งดูโลก
ความเดือดดาลจากการทดสอบความสามารถขับขี่
หนังสือพิมพ์อินเตอร์แนชันแนล เฮรัลด์ ทริบูน ในปารีสรายงานว่า “ตั้งแต่ปี 1994 การทำร้ายทั้งทางวาจาและทางกายต่อ ‘ผู้ตรวจ’ การทดสอบความสามารถขับขี่ของฝรั่งเศส 500 คนมีเพิ่มขึ้น 150 เปอร์เซ็นต์.” จากผู้เข้าทดสอบทั้งหมด มีไม่ถึง 60 เปอร์เซ็นต์ที่ผ่านการทดสอบความสามารถขับขี่ 20 นาที และผู้เข้าทดสอบซึ่งไม่ผ่านหลักสูตรขับรถที่ค่าเรียนแพงก็สอบไม่ผ่านแทบทุกคน. ผู้ที่ทดสอบไม่ผ่านกำลังระบายโทสะเพิ่มขึ้นเรื่อย ๆ ต่อผู้ตรวจซึ่งเคยถูกชกและถูกดึงผมลากออกจากรถ. ผู้ตรวจคนหนึ่งกระทั่งถูกไล่ตามโดยชายที่ถือกระบอกฉีดยาซึ่งเขาอ้างว่าบรรจุเลือดที่ปนเปื้อนเชื้อเอดส์. เมื่อไม่นานมานี้ ชายอายุ 23 ปีซึ่งทดสอบไม่ผ่านได้ยิงผู้ตรวจด้วยปืนบรรจุกระสุนยาง. เพื่อป้องกันความรุนแรงทั้งหมดนั้น มีการเสนอแนะให้ผู้ตรวจแจ้งผลสอบแก่ผู้ขับรถโดยทางไปรษณีย์แทนการมาฟังผลด้วยตัวเอง.
การแต่งงานของวัยรุ่น
ที่อินเดีย ในบรรดาหนุ่มสาวที่แต่งงานกันนั้นมีมากถึง 36 เปอร์เซ็นต์ที่อายุระหว่าง 13 ถึง 16 ปี ตามการสำรวจเมื่อไม่นานนี้ของหน่วยงานอนามัยครอบครัวแห่งชาติ. การวิจัยนั้นยังพบด้วยว่าในหมู่เด็กสาวที่อายุ 17 ถึง 19 ปี มีถึง 64 เปอร์เซ็นต์ที่มีบุตรแล้วหรือไม่ก็ตั้งครรภ์ หนังสือพิมพ์เอเชียน เอจ ในมุมไบรายงาน. รายงานนั้นกล่าวว่าความเป็นไปได้ที่คุณแม่วัยสาวซึ่งอายุ 15 ถึง 19 ปีจะเสียชีวิตเนื่องด้วยสาเหตุต่าง ๆ ซึ่งเกี่ยวพันกับการตั้งครรภ์มีมากเป็นสองเท่าของพวกคุณแม่ที่อายุ 20 ถึง 24 ปี. ยิ่งกว่านั้น การติดเชื้อต่าง ๆ ที่แพร่ทางเพศสัมพันธ์ในหมู่หนุ่มสาวที่อายุ 15 ถึง 24 ปีก็เพิ่มเป็นสองเท่าในช่วงไม่กี่ปีที่แล้ว. พวกผู้เชี่ยวชาญชี้ว่าปัญหาที่เพิ่มขึ้นนั้นเนื่องจากการขาดความรู้และเนื่องจากข้อมูลที่ชักนำให้หลงผิดจากคนรุ่นเดียวกันและสื่อเกี่ยวกับเรื่องเพศ.
หมูป่าเข้าเมือง
หมูป่า ซึ่งปกติแล้วเป็นสัตว์ป่าที่ขี้อาย ได้พบว่าเมืองต่าง ๆ ไม่เพียงมีอาหารอุดมสมบูรณ์เท่านั้นแต่ยังเป็นที่คุ้มภัยจากพวกพรานด้วย หนังสือพิมพ์รายสัปดาห์ดี โวเคอ ในเยอรมนีรายงาน. หมูป่าตัวเมียกระทั่งออกลูกในกรุงเบอร์ลินด้วยซ้ำ. สัตว์ที่หิวโหยเหล่านั้นไม่เพียงเพ่นพ่านในบริเวณป่าหรือสวนสาธารณะเท่านั้น. พวกมันยังทำลายสวนในบ้านด้วยโดยเคี้ยวกินส่วนหัวของดอกไม้. พวกหมูป่าซึ่งอาจหนักถึง 350 กิโลกรัมทำให้หลายคนกลัว ซึ่งบางครั้งพวกเขาหาที่หลบภัยในพุ่มไม้หรือตู้โทรศัพท์. สัตว์เหล่านั้นทำให้เกิดอุบัติเหตุในการจราจรนับครั้งไม่ถ้วน. ตอนกลับจากทำงานมาบ้าน ชาวเมืองหลายคนเผชิญกับพวกผู้บุกรุกที่มีขนสั้นเต็มตัว. ชายคนหนึ่งถามว่า “ผมจะเข้าบ้านอย่างไรในเมื่อมีหมูป่า 20 ตัวยืนขวางระหว่างรถผมกับประตูบ้าน?”
นักเรียนเครียด
ช่วงสอบไล่ปลายปีการศึกษาทำให้นักเรียนจำนวนมากในอินเดียมีความเครียดเพิ่มขึ้น หนังสือพิมพ์เอเชียน เอจ ในมุมไบรายงาน. การเร่งดูหนังสือก่อนสอบและความกดดันให้ได้คะแนนดี ๆ ทำให้นักเรียนบางคนทนรับไม่ไหว และจำนวนนักเรียนที่ไปหาจิตแพทย์ก็เพิ่มเป็นสองเท่าในช่วงที่มีการสอบ. บิดามารดาบางคนเป็นห่วงอยากเห็นลูก ๆ สอบได้คะแนนดีจึงให้งดการบันเทิงทุกอย่าง. จิตแพทย์ วี. เค. มันดรา ให้ข้อสังเกตว่า “พวกพ่อแม่ทำให้ลูก ๆ ตกอยู่ใต้ความกดดันหนักหนาสาหัส. นอกจากนั้นยังมีการแข่งขันกับนักเรียนคนอื่นด้วย.” เขากล่าวเพิ่มเติมว่า บิดามารดาหลายคน “ไม่ตระหนักว่าการช่วยบุตรให้รู้สึกผ่อนคลายจะช่วยให้จิตใจเขาสดชื่นแจ่มใสและช่วยให้เขาเรียนดีขึ้น.” จิตแพทย์ฮาร์ช เชตตี กล่าวว่า ความเครียดจากการสอบ “ค่อย ๆ ลามไปถึงกระทั่งนักเรียนชั้นมัธยมปีที่หนึ่ง.”
โรคหนึ่งมาแทนอีกโรคหนึ่ง
“สามสิบปีที่แล้ว ชาวอียิปต์สามในห้าคนเป็นโรคบิลฮาร์เซีย (พยาธิใบไม้เลือด) เป็นโรคที่ทำให้อ่อนเพลียซึ่งเกิดจากปรสิตที่มีหอยทากน้ำเป็นพาหะ” วารสารดิ อิโคโนมิสต์ กล่าว. การรณรงค์ต่อสู้โรคบิลฮาร์เซียโดยใช้ยาสมัยใหม่ได้ลดการคุกคามจากโรคนี้ลงไปมากทีเดียว. แต่บัดนี้ดูเหมือนว่าวิธีการหนึ่งที่ใช้ในการรณรงค์ตอนแรก ๆ นั้นอาจ “ทำให้หลายล้านคนติดเชื้อตับอักเสบซี ไวรัสชนิดหนึ่งที่ทำให้ถึงตายได้ซึ่งอาจกลายเป็นสิ่งก่อปัญหาใหญ่ด้านสุขภาพในอียิปต์แทนที่บิลฮาร์เซีย.” สาเหตุก็คือเข็มที่ใช้ฉีดยาแก้บิลฮาร์เซีย “ถูกใช้แล้วใช้อีกและไม่ค่อยมีการทำไร้เชื้ออย่างเหมาะสม. . . . พวกนักวิทยาศาสตร์ไม่รู้จักเชื้อตับอักเสบซี (HCV) ที่มากับเลือดด้วยซ้ำจนกระทั่งปี 1988” วารสารนี้กล่าว. ปัจจุบัน การสำรวจเผยให้เห็นว่าอียิปต์ “มีจำนวนผู้เสียชีวิตด้วยโรคตับอักเสบซีสูงที่สุดในโลก.” กล่าวกันว่าชาวอียิปต์ราว 11 ล้านคน—ประมาณ 1 ใน 6—มีเชื้อนี้ ซึ่ง 70 เปอร์เซ็นต์ของผู้ติดเชื้อจะมีอาการกำเริบจนเป็นโรคตับเรื้อรัง และ 5 เปอร์เซ็นต์จะเสียชีวิต. โดยเรียกการรณรงค์ต่อสู้บิลฮาร์เซียว่า “การแพร่โรคที่เกิดจากไวรัสครั้งใหญ่ที่สุดครั้งเดียวโดยพวกแพทย์ซึ่งเป็นที่รู้จักกันจนถึงปัจจุบัน” บทความนั้นกล่าวเพิ่มเติมว่า “สิ่งปลอบใจอย่างเดียวคือว่า ถ้าไม่มีการรณรงค์ครั้งใหญ่นั้น อีกหลายคนคงตายไปแล้วเพราะบิลฮาร์เซีย.”
นักฟุตบอลที่ถูกทิ้ง
นิตยสารข่าวมารีอาน ในปารีสกล่าวว่า “นักฟุตบอลหนุ่ม ๆ ในแอฟริกาที่ถูกจ้างไปเล่นให้ทีมต่าง ๆ ในฝรั่งเศสมีมากกว่า 90 เปอร์เซ็นต์ที่จบลงด้วยการเป็นคนงานผิดกฎหมาย [โดยไม่มี] ความหวังใด ๆ ที่จะเข้าร่วมในวงสังคมฝรั่งเศส.” รายงานทางการฉบับหนึ่งของรัฐบาลฝรั่งเศสประจานพวกแมวมองที่ไร้ยางอายซึ่งเดินทางไปทั่วโลกเพื่อค้นหา “หนุ่มแข้งทอง.” เด็กหนุ่มชาวแอฟริกาหลายพันคน รวมทั้งที่อายุต่ำกว่า 13 ปีประมาณ 300 คนถูกล่อใจด้วยความฝันเรื่องอาชีพนักกีฬาที่น่าหลงใหล. แต่พวกเขาส่วนใหญ่ไม่ได้เซ็นสัญญาอะไรอย่างเป็นทางการกับสโมสร และจึงจบลงโดยไม่ได้เงินสักแดงเดียว. นิตยสารดังกล่าวให้ความเห็นว่า “แฟ้มเอกสารของพวกทนายความในคดีเกี่ยวกับนักฟุตบอล มีเรื่องน่าเศร้ามากกว่าเรื่องน่าดีใจอยู่มากทีเดียว.”
ภาวะมลพิษทำให้ ภัยพิบัติจากแมลงเพิ่มขึ้น
ดูเหมือนว่าภาวะมลพิษของน้ำทำให้ปัญหาเรื่องแมลงที่กัดคนยิ่งเพิ่มขึ้นในแถบใกล้แม่น้ำชิลีซึ่งไหลผ่านอะเรคีปาซึ่งเป็นเมืองใหญ่ที่สุดเมืองหนึ่งของเปรู. ชาวเมืองที่นั่นใช้ยาขับไล่แมลงเท่าที่มีในเมืองจนหมดเพื่อสู้กับการบุกรุกของแมลงขนาดเล็กที่กัดคน. ตามที่หนังสือพิมพ์เอล โคเมอร์ซีโอ ในลิมากล่าว เชื่อกันว่าภัยพิบัตินี้คงต้องเป็นผลจากภาวะมลพิษทางเคมีในแม่น้ำชิลี. สารชีวพิษดูเหมือนทำลายพวกคางคกในแม่น้ำไปเป็นจำนวนมาก ซึ่ง “เป็นสิ่งควบคุมทางชีวภาพตามธรรมชาติของแมลงเหล่านี้มานานหลายปี” หนังสือพิมพ์นี้กล่าว.
สะอาดเกินไปไหม?
ตามที่สถาบันเวชศาสตร์สิ่งแวดล้อมและสุขศาสตร์โรงพยาบาลที่มหาวิทยาลัยไฟรบูร์กประเทศเยอรมนีกล่าว สารต้านแบคทีเรียซึ่งใส่เพิ่มลงในผลิตภัณฑ์ที่ใช้ในครัวเรือนอาจไม่มีประโยชน์หรืออาจเป็นอันตรายด้วยซ้ำ หนังสือพิมพ์เยอรมันเวสท์แฟลิเช นาคริชเทน รายงาน. ศาสตราจารย์ฟรานซ์ ดาชเนอร์ หัวหน้าสถาบันนี้กล่าวว่า “สารเหล่านั้นไม่จำเป็นสักอย่างเดียว. กลับเป็นตรงกันข้าม อาจเป็นอันตรายต่อผู้ใช้ได้.” อันตรายประการหนึ่งคือ ผลิตภัณฑ์เหล่านั้นบางอย่างมีสารซึ่งทำให้เกิดภูมิแพ้อย่างรุนแรง. เสื้อผ้าที่มีกลิ่นเหม็นก็แค่ต้องซัก ไม่ต้องใช้สารเคมีต้านแบคทีเรีย รายงานข่าวนี้กล่าว. ดาชเนอร์ลงความเห็นว่า “การทำความสะอาดแบบปกติด้วยผลิตภัณฑ์ทำความสะอาดที่ไม่เป็นอันตรายต่อสิ่งแวดล้อมก็เพียงพอแล้ว.”
เหล้าองุ่นที่แรงขึ้น
ตำรวจกับกลุ่มผู้สำนึกถึงอันตรายจากแอลกอฮอล์ในบริเตนเตือนว่า การเพิ่มปริมาณแอลกอฮอล์ในเหล้าองุ่นสามารถทำให้ผู้ที่ดื่มเป็นครั้งคราวเมาได้. เมื่อสิบปีก่อน ปกติแล้วเฉพาะเหล้าองุ่นชนิดพิเศษหรือเหล้าองุ่นสำหรับดื่มหลังอาหารเท่านั้นที่มีปริมาณแอลกอฮอล์ 13 ถึง 14 เปอร์เซ็นต์. แต่เดี๋ยวนี้ เหล้าองุ่นสำหรับดื่มในแต่ละวันโดยทั่วไปแล้วมีแอลกอฮอล์ถึง 14 เปอร์เซ็นต์. เหล้าองุ่นเหล่านั้นส่วนใหญ่มาจากประเทศต่าง ๆ เช่น ออสเตรเลีย, แอฟริกาใต้, และชิลี ที่ซึ่งอากาศอบอุ่นทำให้มีองุ่นที่สุกงอมกว่า หวานกว่า ซึ่งใช้ผลิตเหล้าองุ่นที่แรงกว่า. เมื่อรายงานเรื่องนี้ หนังสือพิมพ์เดอะ ซันเดย์ ไทมส์ ในลอนดอนยกคำพูดของแมรี-แอน แมกคิบเบน ผู้ช่วยผู้อำนวยการคณะกรรมการสอดส่องการใช้แอลกอฮอล์มากล่าวที่ว่า “ปริมาณแอลกอฮอล์ในเหล้าองุ่นกำลังเพิ่มขึ้น และจึงกลายเป็นเรื่องน่าสับสนสำหรับผู้บริโภคซึ่งไม่ได้เอาใจใส่เรื่องปริมาณแอลกอฮอล์ที่สูงขึ้น.”
ความกดดันให้ทำตาม
การสำรวจที่รัฐบาลดำเนินการกับวัยรุ่น 500 คนในอังกฤษแจ้งว่า พวกหนุ่มสาว “กำลังต่อสู้กับความกดดันที่เพิ่มขึ้นเพื่อให้ทำตามภาพลักษณ์ที่ดีพร้อมในโฆษณาและสื่อต่าง ๆ” หนังสือพิมพ์เดอะ การ์เดียน ในลอนดอนรายงาน. ขณะที่พวกเด็กสาวมีแนวโน้มจะรับมือกับความเครียดนั้นด้วยการปรับทุกข์กับเพื่อนสนิท แต่พวกเด็กหนุ่มพบว่ายากจะถ่ายทอดความรู้สึกของตนออกมา จึงยังผลให้หลายคนแสดงความโกรธออกมาด้วยพฤติกรรมก้าวร้าวหรือละเมิดกฎหมาย. เนื่องด้วยความรู้สึกที่ประเมินค่าตัวเองต่ำและความซึมเศร้าที่เพิ่มขึ้น ความเป็นไปได้ที่พวกเด็กหนุ่มจะฆ่าตัวตายจึงมีมากกว่าพวกเด็กสาวในวัยเดียวกันถึงสามเท่า. ในทางตรงข้าม ความเป็นไปได้ที่พวกเด็กสาวจะจงใจทำร้ายตัวเองหรือมีความผิดปกติต่าง ๆ ในด้านการกิน เช่น ภาวะเบื่ออาหารและอาการหิวไม่หายนั้นมีมากกว่าพวกเด็กหนุ่มถึงสี่เท่า.